Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ใบงานภาษาไทยหน่วย2ม1เทอม1

ใบงานภาษาไทยหน่วย2ม1เทอม1

Published by puttan.somsri, 2021-06-08 04:03:40

Description: ใบงานภาษาไทยหน่วย2ม1เทอม1

Search

Read the Text Version

ชดุ กจิ กรรม วิชาภาษาไทย ชน้ั มธั ยมศึกษาปี ที่ ๑ หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี ๒ เรอ่ื ง รอ้ ยรสโคลงโลกนิติ ครผู สู้ อน คณุ ครพู ดุ ตาล สมศรี ช่ือ..................................................................................................................................................................................................................... หอ้ ง เลขที...............................................................................................................

เอกสารประกอบการสอน ใบความรู้ ที่ ๒.๑ เรือ่ งงานพระราชพิธตี า่ ง ๆ พระราชพธิ ีจรดพระนงั คลั แรกนาขวญั พระราชพธิ บี รมราชาภิเษก บทบาทของพิธกี ร

หลักการอา่ นออกเสียงร้อยแก้ว การอา่ นออกเสยี งร้อยแก้ว หมายถงึ การอ่านถ้อยคาทีม่ ีผ้เู รยี บเรียงหรือประพันธไ์ ว้ โดยการเปลง่ เสยี ง และวางจังหวะเสียงให้เปน็ ไปตามความนยิ ม และเหมาะสมกับเรื่องที่อา่ น เพอ่ื ถา่ ยทอดอารมณ์ไปสูผ่ ู้ฟัง ซงึ่ จะทาให้ผู้ฟังเกิดอารมณ์รว่ มคล้อยตามไปกบั เร่ืองราว หรอื รสประพันธท์ ่ีอา่ น หลักเกณฑ์ในการอ่านออกเสียงรอ้ ยแก้ว ๑. ก่อนอา่ นควรศึกษาเรื่องที่อ่านใหเ้ ข้าใจ เพื่อเเบ่งวรรคตอน ๒. อ่านใหค้ ลอ่ ง และเสยี งดงั พอเหมาะกบั สถานที่และจานวนผู้ฟัง ๓. อา่ นให้คลอ่ งและถกู ตอ้ งตามอกั ขรวธิ ี โดยเฉพาะ ร ล คาควบกลาต้องออกเสยี งให้ชัดเจน ๔. เน้นเสยี งและถอ้ ยคา ตามนาหนักความสาคัญของใจความ ใช้เสยี งและจังหวะให้เปน็ ไปตามเนือ เรือ่ ง เชน่ ดุ ออ้ นวอน จรงิ จงั ฯลฯ ๕. อ่านออกเสียงให้เหมาะสมกบั ประเภทของเรอ่ื ง เช่น ถา้ อา่ นเรอื่ งทีใ่ ห้ขอ้ เท็จจรงิ ท่วั ไป จะอ่าน ออกเสยี งธรรมดาใหช้ ดั เจน ๖. ในระหวา่ งทอ่ี ่าน ควรกวาดสายตามองตัวอักษร สลับกับการเงยหน้าขึนมาสบตาผฟู้ งั ในลักษณะ ทเ่ี หมาะสม และดูเปน็ ธรรมชาติ ๗. ถ้าอ่านในทป่ี ระชมุ ต้องยนื ทรงตวั ในทา่ ทางท่ีสง่า มอื ทจี่ บั กระดาษอยใู่ นท่าทางทเี หมาะ ไมเ่ กรง็ ไม่ยกกระดาษ หรือเอกสารบังหน้า หรอื ไม่ถอื ไวต้ ่าเกนิ ไปจนต้องก้มลง วิธีการอ่านออกเสยี งข้อความท่เี ป็นรอ้ ยแกว้ สรา้ งวฒั นธรรมคนรุ่นใหม่ให้เป็นนกั อ่าน ในปัจจบุ ันกล่าวกันว่า/ เรากาลงั อยูใ่ นยุคโลกาภิวัฒน์ หรอื เรยี กอีกอย่างวา่ โลกไร้พรมแดน// แตจ่ ะ เรยี กอย่างไรก็ตามเถิด/การอ่าน/ กเ็ ปน็ กระบวนการสาคัญอย่างยิง่ ในการพฒั นาคนในทศวรรษนี/ เพราะโลก ของการศึกษา/ มิไดจ้ ากัดอยู่ภายในห้องเรียน/ ทีม่ ีลักษณะรปู ทรงสีเ่ หลีย่ มเเคบๆ เท่านัน/ เเตข่ อ้ มูลขา้ วสาร สารสนเทศตา่ งๆ /ไดย้ ่อโลกให้เล็กลงเทา่ ท่เี ราอยากรู้ได้รวดเร็ว/ ในชั่วลดั นิวมอื เดียวอยา่ งทคี่ นโบราณกลา่ วไว/้ จะมีสอ่ื ให้อา่ นอยา่ งหลากหลายใหเ้ ลอื ก/ ทังสื่อสิ่งพิมพท์ เ่ี ราค้นุ เคย/ ไปจนส่ืออิเล็กทรอนิกส์ทีเ่ รียกวา่ \"อินเทอรเ์ น็ต\" เพราะการต่อส้รู กุ รานกันของมนุษย์ยุคใหม/่ จะใช้ขอ้ มลู / สติ/ ปญั ญา/ และคุณภาพของคนใน ชาติ/ มากกว่าการใชก้ าลังอาวุธเข้าประหัตประหารกนั // หากคนในชาตดิ ้อยคุณภาพ/ ขาดการเรยี นรู้/ จะถกู ครอบงาทางปญั ญาได้ง่ายๆ / จากส่ือตา่ งๆ จากชาตทิ ่ีพัฒนาเเลว้ หากคนไม่อา่ นหนงั สือ/ ก็ยากท่จี ะพฒั นาสตปิ ญั ญา และความรู้ได้/ โดยเฉพาะประเทศที่กาลงั พัฒนา/ จะต้องทุ่มเทให้คนมีนิสัยรักการอา่ น/ มที ักษะในการอา่ น/ และพัฒนาวิธกี ารอ่านให้เป็นนักอ่านที่ดี// นกั อา่ นทดี่ ีจะมภี มู ิคุ้มกันการครอบงาทางปัญญาไดเ้ ปน็ อย่าง/ รู้เท่ากนั คน และสามารถแก้ปญั หาไดด้ ี ชาติกา้ วไกลด้วยคนไทยรักการอา่ น : มานพ ศรเี ทยี ม * เคร่อื งหมาย / หมายถงึ การหยุดเวน้ ช่วงจังหวะสนั ๆ เครือ่ งหมาย // หมายถึง การหยุดเว้นชว่ งจงั หวะทยี่ าวกวา่ เคร่ืองหมาย / เครือ่ งหมาย ____ หมายถงึ การเน้น การเพ่ิมนาหนักของเสียง

เอกสารประกอบการสอน ใบงานท่ี ๒.๑ แบบบันทึกการอ่านหนังสือ ชื่อหนังสือพมิ พ์.................................................................เร่ืองท่อี ่าน.............................................................. ผู้เขียน ..........................................วนั ทพ่ี มิ พ์ ......................ปี ทพ่ี มิ พ์ .......................หน้าท.ี่ ........................... บันทกึ วนั ท.ี่ .........เดือน..............................พ.ศ. ...............กลุ่มสาระการเรียนรู้............................................... สาระสาคญั ของเรื่อง …………………………………………………………………………………………………….... ……………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………… …………………………… วเิ คราะห์ข้อคดิ /ประโยชน์ทไี่ ด้จากเร่ืองทอี่ ่าน ………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………….............. ………………………………………………………………………………………………….................… …………………………………………………………………………………………………………..…… สิ่งทส่ี ามารถนาไปประยุกต์ใช้ในชีวติ ประจาวนั ………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………….............. ……………………………………………………………………………………………………................. ผลการประเมนิ ๑. ลายมือสวยงามถูกต้อง (๑๐) ........................... ๒. ทางานสะอาดเรียบร้อย (๑๐) ............................. ๓. สรุปสาระสาคญั ชัดเจน (๑๐) ............................ รวมคะแนน (๓๐) ............................................ รับทราบ O .......................................... O ………………………… คุณครู ผู้ปกครอง ชื่อผู้บนั ทกึ ..........................................................................................................................................

แบบทดสอบก่อนเรียน-หลังเรยี น คาช้ีแจง ให้นกั เรยี นเลือกคาตอบท่ีถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว ๑. การใชเ้ สียงในการอ่านออกเสียงบทรอ้ ยแก้วข้อใดไม่ ๖. การอา่ นออกเสียงบทร้อยกรองมีจุดมงุ่ หมายในการ ถูกต้อง อา่ นอยา่ งไร ก. ออกเสยี งดังเพ่ือเรียกรอ้ งความสนใจ ก. มงุ่ ใหเ้ กิดจินตภาพ ข. ออกเสียงให้เปน็ เสยี งพูดอยา่ งเปน็ ธรรมชาติ ข. มงุ่ ใหเ้ กดิ อรรถรสในการอ่าน ค. เน้นเสยี งตามนาหนักความสาคญั ของใจความ ค. มุ่งให้เกดิ ความงามทางภาษา ง. ออกเสยี งให้เหมาะสมกับประเภทของเร่อื งที่อ่าน ง. มงุ่ ให้เกดิ ความซาบซึงในรสของบทประพันธ์ ๒. การอา่ นทีต่ ้องการเน้นหรือเพิ่มนาหนักของเสียงควรใช้ ๗. การอา่ นบทร้อยกรองประเภทใดทีม่ ีการแบง่ วรรค เครอ่ื งหมายใดกากบั ตอนแตกต่างจากข้ออ่ืน ก. เครอื่ งหมาย / ข. เคร่ืองหมาย // ก. กลอนหก ข. กลอนสกั วา ค. เครอื่ งหมาย _ ง. เครอื่ งหมาย /_ ค. โคลงกระทู้ ง. กลอนสภุ าพ ๓. ขอ้ ใดเปน็ ลกั ษณะเด่นของการอา่ นแบบบรรยาย ๘. การอา่ นดว้ ยนาเสียงหนักแน่น สนั กระชับ เหมาะกบั ก. การอ่านทเี่ น้นนาหนกั ของเสียง การอ่านเนือความในลักษณะใด ข. การอ่านทลี่ ากเสยี งช้าๆ และไว้หางเสยี ง ก. เนอื ความประเภทสง่ั สอน ค. การอ่านท่ีทาใหผ้ ฟู้ ังเกิดอารมณค์ ล้อยตาม ข. เนือความประเภทตดั พ้อต่อวา่ ง. การอ่านทท่ี าใหเ้ กิดเสียงโศกเศรา้ แล้วกลับเป็น ค. เนอื ความประเภทแสดงอารมณ์กลวั เสยี งปกติ ง. เนอื ความประเภทแสดงอารมณโ์ กรธ ๔. การอา่ นให้เกดิ จินตภาพควรปฏิบัติอยา่ งไร ๙. การอ่านคาประพันธป์ ระเภทใด ฝึกอ่านได้งา่ ยที่สดุ ก. อ่านให้ถูกต้องตามอกั ขรวิธใี นภาษาไทย ก. อา่ นบทเจรจา ข. อ่านบทร้อยแก้ว ข. อา่ นจากพจนานกุ รม ฉบับราชบณั ฑิตยสถาน ค. อา่ นบทกลอนสวด ง. อ่านแบบทานอง ค. อา่ นออกเสยี งให้ดังกังวานจนผ้ฟู ังเกิดจินตภาพ เสนาะ ง. อา่ นเน้นคาสาคญั และคาท่ตี ้องการใหเ้ กิดจนิ ต ๑๐.การอ่านโคลงกระทู้มหี ลกั ในการอ่านอย่างไร ภาพ ก. อา่ นเหมือนโคลงส่ีสุภาพ คือ อ่านตามแนวนอน ๕. การอา่ นคาใหเ้ ออื สัมผสั ในเพ่อื เพิ่มความไพเราะ เปน็ ข. ไมม่ ีกฎเกณฑต์ ายตวั แล้วแต่ผอู้ า่ นจะพิจารณา การอ่านในข้อใด ค. อา่ นตามแนวนอนก่อนแล้วย้อนไปอ่านกระทู้ ก. ไมม่ ีกษัตรยิ ค์ รองปฐพี อา่ นวา่ ปะ-ถะ-พี เรียงตามแนวตงั ข. ข้าอุตส่าห์มาเคารพอภวิ ันท์ อา่ นว่า อะ-พิ-วนั ง. อา่ นกระทู้เรียงตามแนวตังกอ่ น แล้วย้อนไปอ่าน ค. บุญบันดาลดลจิตพระธดิ า อ่านว่า พระ-ทิ-ดา ตามแนวนอน ง. คดิ ถึงบาทบพติ รอดศิ ร อา่ นว่า อะ-ดดิ -สอน

ใบความรทู้ ี่ ๒.๑ ตานานดอกกุหลาบ เปน็ ดอกไมท้ นี่ ยิ มปลูกไว้ชืน่ ชมมาแต่โบราณ ประมาณกันว่ากหุ ลาบเกดิ ขึนเม่ือกวา่ ๗๐ ลา้ นปีมาแล้ว เคยมีการค้นพบฟอสซิลของกุหลาบใน รฐั โคโลราโด และ รฐั โอเรกอน ประเทศสหรฐั อเมริกา และได้พสิ จู น์ว่า กหุ ลาบป่าเปน็ พชื ที่มีอายุถงึ ๔๐ ลา้ นปี แต่กหุ ลาบป่าสมยั โลกลา้ นปีนี มรี ปู ร่างหน้าตาไมเ่ หมอื นกหุ ลาบสมยั นี เนือ่ งจากมนุษย์ไดน้ าเอากหุ ลาบปา่ มาปลกู และผสมพนั ธุ์ ขยายพนั ธุ์เป็นพันธ์ตุ ่างๆ มากมาย ความจรงิ แล้วกาเนดิ ของกุหลาบหรือกุหลาบป่านีมีเฉพาะในแถบบรเิ วณเหนือเสน้ ศนู ย์สูตรของโลกเทา่ นนั คือ กาเนิดในภาคกลางของทวปี เอเชียแล้วแพร่ขยายพนั ธไ์ุ ปตลอดซกี โลกเหนือ ไมว่ า่ จะเปน็ แถบทมี่ ีอากาศหนาว จดั อย่าง อารก์ ติก อลาสกา้ ไซบีเรีย หรือแถบอากาศร้อนอยา่ ง อินเดยี แอฟริกาเหนอื แตใ่ นบรเิ วณแถบใตเ้ สน้ ศนู ยส์ ตู รอย่างทวปี ออสเตรเลีย หรอื เกาะตา่ งๆ ในมหาสมทุ รรวมทงั แอฟริกาใต้ ไมเ่ คยมปี รากฏว่ามกี ุหลาบป่า เกิดขึนเองตามธรรมชาตเิ ลย ตามประวตั ศิ าสตร์เล่าว่า กุหลาบป่าถูกนามาปลูกไว้ในพระราชวังของจักรพรรดิจีน ในสมัยราชวงศฮ์ น่ั ราว ๕,๐๐๐ ปีมาแลว้ ขณะทอ่ี ยี ิปตเ์ องก็ปลูกกหุ ลาบเปน็ ไม้ดอก ส่งไปขายใหแ้ ก่ชาวโรมัน ชาวโรมันเป็นชาตทิ ร่ี ัก ดอกกหุ ลาบมากถึงจะส่งั ซือจากประเทศอยี ิปต์แล้ว ยงั ลงทุนสร้างเนอรส์ เซอร่ีขนาดใหญ่สาหรับปลกู ดอก กหุ ลาบอกี ด้วย สาหรับชาวโรมันแล้วเรียกได้ว่าดอกกหุ ลาบมีความสาคญั กับชีวติ ประจาวัน เพราะชาวโรมันถือ ว่าดอกกุหลาบเปน็ สัญลกั ษณ์ของความรกั ซง่ึ เป็นทังของขวญั เปน็ ดอกไม้สาหรบั ทาเป็นมาลัยต้อนรับแขก เป็น ดอกไม้สาหรับงานเฉลมิ ฉลองตา่ งๆ ใชเ้ ปน็ สว่ นประกอบสาหรบั ทาขนม ทาไวน์ ส่วนนามนั กหุ ลาบยังใชท้ าเป็น ยาไดอ้ ีกด้วย กหุ ลาบถือเปน็ สัญลักษณ์แหง่ ความรักและความโรแมนติก ซึ่งมีบางตานานเลา่ ว่า ดอกกุหลาบเปน็ เสมือน เคร่อื งหมายแทนการกาเนิดของ เทพธดิ าวนี ัส ซงึ่ เป็นเทพแห่งความงาม และความรัก วนี ัสเปน็ ทรี่ ้จู กั กนั ในช่ือ อโฟรไดท์ ในตานานเทพของกรกี ได้กลา่ วไวว้ า่ นาตาของเธอหยดลงปะปนกบั เลือดของ อคอนสิ คนรกั ของเธอ ทีถ่ กู หมูปา่ ฆา่ เลือดและนาตาหยดลงสพู่ ืนแลว้ กลายเปน็ ดอกไม้สแี ดงเข้มหรือดอกกหุ ลาบนั่นเอง สกี ุหลาบสือ่ ความหมาย สแี ดง สอ่ื ความหมายถึง ความรักและความปราถนา เปน็ ดอกไมข้ องกามเทพ คิวปิด และอรี อส เปน็ ส่งิ นาโชคนาความรกั มาใหแ้ กห่ ญงิ หรือชายทีไ่ ดร้ บั สีชมพู สอ่ื ความหมายถงึ ความรักทม่ี ีความสุขอยา่ งสมบรู ณ์ สีขาว ส่อื ความหมายถงึ ความมเี สนห่ ์ ความบริสทุ ธ์ิ มิตรภาพ และความสงบเงียบ และนาโชคมา ใหแ้ กห่ ญิงหรือชายเช่นเดยี วกับกุหลาบแดง สีเหลอื ง สอ่ื ความหมายถึง เราเป็นเพื่อนที่ดตี ่อกันเสมอนะ สีขาวและแดง ส่ือความหมายถึง ความเปน็ อนั หนง่ึ อันเดยี วกัน

ใบงานที่ ๒.๒ เรอ่ื งการอา่ นตีความเอกสารทางวชิ าการ คาชแี้ จง ให้นักเรียนอา่ นบทความทางวิชาการแล้วค้นหาความหมายของคาศัพท์ยาก โดยใชพ้ จนานุกรม ฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ค่านิยมเก่ียวกับผู้ท่ีบวชเรียนมีสูงมาก สังคมถือว่าผู้บวชเรียนแล้วเป็นบัณฑิต ออกเสียงว่า บันดิดหรือ เปน็ คนสุกแล้ว พ่อแมส่ ว่ นมากจะไมย่ อมยกบตุ รสาวใหแ้ ต่งงานกับคนที่ยังไม่ผ่านการเป็นบัณฑิตหรือเป็นคน สกุ เป็นอันขาด ต่อมาคาว่าบณั หายไปเหลอื แต่ฑิต ต่อมาก็เขียนเป็นทิดแทน จนบัดนีใครที่ไม่รู้ความเป็นมาก็ ยากจะโยงได้ว่า บัณฑิตกบั ฑดิ -ทิด เป็นคาเดยี วกัน การเข้าพรรษาเป็นพิธีกรรมสาหรับพระภิกษุเท่านัน สามเณรมีส่วนบ้างเฉพาะวันเข้าพรรษา แต่ไม่มีวัน ออกพรรษา คฤหสั ถอ์ ย่างเราไมน่ า่ เก่ียวขอ้ งดว้ ย ที่จริงจะว่าเกี่ยวก็เกี่ยว ไม่เก่ียวก็ไม่เก่ียว ขึนอยู่กับคาว่าเกี่ยว นันหมายเอาเกี่ยวในระดับใด ถ้าเป็นการเลือก ท่ีมุงท่ีบังอันมิดชิดปลอดภัย ถึงวันเข้าพรรษาแล้วตังสัจ อธิษฐานวา่ “เราจะอยู่จาพรรษา ณ อาวาสแห่งนีตลอดสามเดือนใน ฤดูฝนแล้วก็อยู่ ณ ท่ีนันโดยไม่ไปค้าง คืนท่ีไหนตลอดสามเดือน นอกจากมีกิจธุระจาเป็นตามที่บัญญัติไว้ในพระวินัย ถ้าอย่างนีคฤหัสถ์ไม่เกี่ยวเป็น พิธีกรรมสาหรับพระภิกษุเท่านัน แต่ถ้าคิดว่าชาวบ้านทังชายและหญิงเป็นพุทธศาสนิกชนมีหน้าท่ีอุปถัมภ์ บารุงพระสงฆ์ วดั วาอาราม และพระพุทธศาสนาโดยรวม ชาวบ้านอย่างเราก็ย่อมเก่ียวข้องด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้ คือชาวบ้านได้มีโอกาสถวายจตุปัจจัยไทยทาน ทาบุญตักบาตร ถวายผ้าอาบนาฝน เข้าวัดฟังธรรมในช่วง เขา้ พรรษานับว่าไดท้ าประโยชนท์ ังแกต่ นเองและแก่พระพทุ ธศาสนา ท่ีมา มาเขา้ พรรษากันเถอะ ของ เสฐยี รพงษ์ วรรณปก จากหนังสือพิมพ์มติชน ฉบบั วนั อาทติ ย์ท่ี ๑๗ กรกฎาคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๔

เอกสารประกอการสอนแผนการสอนท่ี ๒.๓ ตัวอยา่ งการเขียนส่ือสารทีด่ ี พดู ถงึ กล้วยทอดแล้ว คนไทยเรียกว่ากล้วยแขก ความจริงแล้วก็คือกล้วยชุบแป้งทอดนันเอง กล้วยทา อะไร ได้หลายอย่างนอกจากกินเปล่าๆ หรือกินกับเนยแข็ง เช่น กล้วยไข่กินกับกระยาสารท กล้วยป้ิง กล้วย เผา กลว้ ยทบั กลว้ ยตาก กล้วยแชน่ าผงึ กล้วยเชอ่ื มราดหัวกะทิ กลว้ ยดิบต้มยาทาแกงกะทิเปน็ กับข้าวก็ได้ ต้นกล้วยปลูกทาแนวรัวได้ สบั ให้หมกู ินได้ หวั ปลใี ช้ยาหรือกินดิบๆ กับก๋วยเต๋ียวผัดไทยก็อร่อย ทาต้ม หัวปลีกับปลาช่อนก็เจริญอาหารดีนักแล ใบกล้วยหรือใบตองก็มีประโยชน์ สมัยก่อนยังไม่มีถุงพลาสติกก็ได้ ใบตองนีแหละ เป็นภาชนะห่อขนมและกับข้าว ใช้ปูรองนั่งรองนอนก็ได้ มุงหลังคาก็ได้ ทาบายศรีของสูงก็ได้ คนไทยเป็นหนีกล้วยจริงๆ แต่พออะไรที่เป็นของง่ายของตายกลับประชดประชันดันแดกเสียอีกว่า “ของ กล้วยๆ” “ง่ายเหมือนปอกกลว้ ย เขา้ ปาก” ทม่ี า เดนิ ดนิ กนิ ข้าวแกง โดย วิษณุ เครืองาม

ใบความรู้ เรอ่ื งการใชภ้ าษาประกอบการเขยี นและมารยาทในการเขยี น มารยาทในการเขยี น การเขียน เป็นทกั ษะทส่ี าคญั ในการส่อื สาร เพราะการเขียนสามารถบนั ทึกในสิ่งทไี่ ด้อ่าน ได้ ฟงั ทบทวนความร้แู ละถ่ายทอดความรู้สผู่ อู้ ืน่ ได้ การเขยี นสัมฤทธิ์ผลคือการเขียนที่ผอู้ า่ นเข้าใจตามทผ่ี ้เู ขียน ตอ้ งการ นอกจากนผี ู้เขยี นควรตระหนกั ถึงมารยาทในการเขียน มารยามในการเขยี น มีดังนี ๑. เขียนใหถ้ กู ต้องตามอักขรวธิ ีและรูปแบบการเขียน ๒. เขยี นในสิ่งท่ีสรา้ งสรรค์ ไม่สรา้ งความเสียหายใหแ้ ก่ผูอ้ ื่น ๓. เขียนในส่งิ ที่เปน็ จริงมีประโยชน์มีการคน้ คว้าข้อมูลอย่างถกู ต้อง ๔. ใช้ภาษาสภุ าพ เหมาะสมกับรปู แบบของงานเขยี น ๕. เขียนด้วยลายมือที่อ่านง่าย สวยงาม สะอาดสะอา้ น ๖. บอกแหลง่ ทีม่ าและช่ือผู้แตง่ หากคดั ลอกขอ้ ความมาจากหนงั สือเลม่ อื่น ลักษณะสาคัญของการใช้ภาษาเขียน ๑. ใช้ภาษาท่ีเข้าใจง่าย ไมจ่ าเป็นต้องใชค้ าศพั ท์แปลก ๆ ท่ีมีความหมายต้องขบคิดอกี หรือ ตีความได้หลายแง่มมุ ๒. ใช้ภาษาทช่ี ัดเจน สามารถส่อื ความคดิ ได้ตรงตามทีผ่ สู้ ่งสารตังใจไว้ นัน่ คอื ผ้เู ขียนตอ้ ง ชัดเจนในความคิดของตนเองกอ่ น แลว้ นาความชดั เจนในความ คิดดัง กล่าวมาถ่ายทอดดว้ ยการใชภ้ าษาเขียนให้ชัดเจน ตรงตามเป้าหมาย

ใบงานท่ี ๒.๓ เรือ่ งการใช้ถ้อยคาในการเขยี นส่อื สาร คาชแี้ จง ใหน้ ักเรยี นตอบคาถามท่ีกาหนดใหถ้ กู ต้อง ๑. การเลือกใช้คาให้ถกู ต้องตามความหมายมีวธิ ีการอยา่ งไร ๒. การใชค้ าให้ถกู ต้องตามระเบยี บภาษามวี ิธกี ารอย่างไร ๓. มารยาทในการเขียนมหี ลกั ปฏิบตั ิอยา่ งไร

แบบทดสอบก่อน-หลังเรยี น คาช้แี จง ให้นักเรยี นเลือกคาตอบท่ีถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว ๑. การคัดลายมือมจี ุดประสงค์ตรงกับข้อใด อา่ นข้อความต่อไปนี้ แลว้ ตอบคาถาม ข้ ๖-๗ ก. เพือ่ ประกวดการคัดลายมือ ข. เพอ่ื ฝึกสมาธใิ นการเขยี นตัวอกั ษรไทย “ คอื เธอผเู้ ป็นสดุ ทร่ี กั ยง่ิ ชวี ติ ค. เพอื่ ฝึกการใชเ้ วลาว่างใหเ้ กดิ ประโยชน์ คอื เธอผซู้ ง่ึ เป็นทกุ สง่ิ ในชวี ติ ฉนั เป็นผทู้ น่ี ำทำง ง. เพื่อใหม้ ีความคิดสร้างสรรคใ์ นการประดษิ ฐ์อักษรไทย ผทู้ ช่ี ท้ี ำง ผซู้ ง่ึ ลขิ ติ ชวี ติ และโชคชะตำ คอื เธอผเู้ ป็นดงั่ สรอ้ ยถนมิ พมิ พำภรณ์ เป็นดงั่ ๒. ข้อใดเปน็ ข้อควรปฏบิ ัตใิ นการคัดลายมือท่ถี ูกต้อง เครอ่ื งประดบั กำยและใจใหล้ ้ำเลศิ วไิ ลตลอดมำ ก. วางกระดาษให้ห่างจากสายตาประมาณ ๑๒ นวิ คอื เธอผเู้ ป็นสง่ิ ทค่ี ำดหวงั ของฉนั อยำ่ ทง้ิ ฉนั ไป ข. ใช้ไม้บรรทัดวดั ระยะช่องไฟให้มีความสมา่ เสมอ วนั ใดทไ่ี รเ้ ธอ ฉนั คงตอ้ งถงึ แกก่ ำรตำย” ค. จับดินสอใหแ้ นน่ เพื่อการลงนาหนกั ตวั อักษรทีช่ ัดเจน ง. นั่งโนม้ ตัวไปดา้ นหนา้ เพื่อถ่ายนาหนักลงทดี่ ินสอ ๖. ข้อความนีมีจดุ ด้อยอย่างไร หรอื ปากกา ก. ใชค้ าฟุ่มเฟอื ย ข. ใชค้ าเชือ่ มไม่ถกู ต้อง ๓. ข้อใดไมม่ ีความจาเป็นในการฝึกคัดลายมือ ค. ใช้สานวนภาษาตา่ งประเทศ ก. วางสระและวรรณยกุ ต์ใหถ้ กู ท่ี ง. ใชค้ าไมถ่ ูกต้องตามชนิดและหนา้ ทข่ี อง ข. เรม่ิ คัดตวั อักษรจากหัวไปหาง โดยไม่ยกดนิ สอ ค. เว้นระยะชอ่ งไฟระหว่างตัวอกั ษรใหห้ า่ งเสมอกัน คา ง. คัดตัวอักษรใหเ้ สมอแนวเดยี วกัน และใหโ้ ย้ไปข้างหนา้ ๗. ขอ้ ความใดใช้อาการนามไมถ่ กู ต้อง เลก็ นอ้ ย ก. คอื เธอผูเ้ ป็นสดุ ทีร่ ักย่งิ ชีวติ ๔. ขอ้ ใดกลา่ วถงึ จุดประสงค์ของการคัดลายมอื ได้ถูกตอ้ งท่ีสุด ข. ผทู้ ช่ี ีทาง ผู้ซง่ึ ลขิ ติ ชีวติ และโชคชะตา ค. เปน็ ดัง่ เครื่องประดับกายและใจใหล้ า ก. ชว่ ยให้ผูค้ ดั ลายมือมีสมาธิในการทางาน เลิศวิไล ข. เป็นเครื่องมือในการถ่ายทอดความรู้ความคดิ ง. อยา่ ทิงฉนั ไป วันใดท่ีไร้เธอฉันคงต้องถึง ค. ช่วยให้รักการเขยี นภาษาไทยซ่งึ เปน็ ภาษาประจาชาติ แก่การตาย ง. ชว่ ยใหเ้ ขียนตัวอกั ษรไทยได้ถกู ต้องตามหลกั วิธีการ ๘. การกระทาท่ีเอาใจจดจ่ออยกู่ ับส่งิ ใดส่ิงหนงึ่ ควรใชค้ าใดจึงจะถกู ต้องตามความหมายท่ี ต่างๆ แทจ้ รงิ ๕. ข้อพึงปฏิบตั ิก่อนการคดั ลายมือข้อใดสาคญั ที่สุด ก. มัว่ สมุ ข. หมกมนุ่ ก. เตรียมอปุ กรณใ์ นการคัดลายมอื ค. ขะมักเขม้น ข. นัง่ ใหถ้ กู ต้องตามหลักการนงั่ คดั ลายมือ ง. อดตาหลบั ขบั ตานอน ค. อา่ นทาความเข้าใจขอ้ ความทจ่ี ะคดั ลายมือให้จบ ก่อนลงมอื คัด ง. เลือกรูปแบบการคดั ลายมือตามความพอใจ แลว้ เลือก ข้อความทจ่ี ะคดั

๙. ขอ้ ใดใชค้ าถูกตอ้ งตามฐานะของบุคคล ๑๐. ขอ้ ใดใช้ลักษณนามไมถ่ ูกต้อง ก. ประธานนักเรยี นเข้าหาผู้อานวยการสถานศกึ ษา ก. เธอสวมแหวน ๒ วง ข. ประธานนกั เรยี นเข้าพบผู้อานวยการสถานศึกษา ข. หนา้ ฝนนเี ราตอ้ งเตรียมร่มไว้หลายคนั ค. ประธานนักเรยี นเข้าเย่ยี มผู้อานวยการสถานศกึ ษา ค. ชา่ งไม้ทก่ี าลังซ่อมบา้ นของเราไปซือเล่อื ยมาหลาย ง. ประธานนกั เรียนเข้าคารวะผู้อานวยการ คนั สถานศกึ ษา ง. ชาวประมงกาลงั หาซือเรือลาใหมม่ าใช้แทนลาเก่าที่ เอา ขึนคาน

แบบทดสอบก่อน-หลังเรยี น แผนการสอนท่ี ๒.๔ ๑. ขอ้ ใดคอื จุดประสงค์ของการพูดแสดงความคดิ เห็น ๖. “การปรึกษาหารอื กันในเรอ่ื งใดเรื่องหน่ึงเพยี งเร่ือง เชงิ สรา้ งสรรค์ เดยี วในวงกว้าง” ข้อความนีกลา่ วถงึ การพูดเชงิ วชิ าการ ก. ต้องการให้มกี ารเปลีย่ นแปลงไปในทางท่ีดี ประเภทใด ข. ต้องการให้มีความคดิ คล้อยตามกับผู้พูด ก. การพดู รายงาน ข. การอภิปราย ค. ตอ้ งการให้มีการยอมรับในข้อผดิ พลาด ค. การสัมมนา ง. การประชุม ง. ต้องการให้เกดิ ความเช่ือถือ ๑ ๗.ภาษาทใี่ ชใ้ นการพดู รายงานมีลักษณะอยา่ งไร ๒. การพดู ประเภทใดทใ่ี ชอ้ ุปกรณป์ ระกอบการพดู ก. ใชภ้ าษาที่เขา้ ใจง่าย มีความหมายตรงตวั ก. พดู สรุปใจความสาคัญของเรื่อง ข. ใชภ้ าษาพูดทกี่ ระชบั เขา้ ใจงา่ ย สภุ าพ ข. พูดรายงานทางวชิ าการ ค. ใช้ถ้อยคาตามข้อมลู ทีค่ น้ คว้ามา ค. พดู แสดงความคดิ เหน็ ง. ใช้ศัพท์วิชาการ ง. พดู เล่าเรื่อง ๘. ถ้านกั เรียนต้องการเล่าเรื่องให้เด็กนักเรยี นระดบั ชัน ๓. “เป็นการพูดทม่ี ีพลัง ใหค้ ติเตือนใจ สอนใจทค่ี วรนามา ประถมศกึ ษาปที ่ี ๔ ฟังโดยมจี ุดมุ่งหมายเพ่ือสงั่ สอน เป็นแงค่ ิดในการสรา้ งสรรคใ์ ห้ชีวติ ดขี นึ ” ขอ้ ความนี อบรมใหม้ ีความสามัคคีกนั ควรเลือกเล่าเรอ่ื งประเภทใด กลา่ วถงึ การพูดประเภทใด ก. สารคดีสง่ เสรมิ การท่องเที่ยว ก. การพูดแสดงความคดิ เห็น ข. บทความเชิงวิชาการ ข. การพดู ให้กาลังใจ ค. นทิ านคุณธรรม ค. การพูดรายงาน ง. เรอ่ื งสัน ง. การพูดตชิ ม ๙. การจับใจความสาคัญของส่ิงที่ฟงั และดู ควรปฏบิ ตั ิสงิ่ ๔. ขอ้ ใดเป็นการพูดแสดงความคิดเหน็ เฉพาะตวั ใดเปน็ อนั ดบั แรก ก. อนั แก้วดีมีค่าราคายิ่ง ส่งใหล้ งิ จะรู้ค่าราคาหรอื ก. พจิ ารณาถึงประโยชนท์ ี่จะได้จากการฟังและดู ข. รักเมอื งไทย ชชู าตไิ ทย ทะนุบารุงให้รุ่งเรือง ข. เลอื กฟงั และดสู ่ือที่ดีมีคณุ ภาพ ค. หน้ารอ้ นฉนั ชอบไปเท่ียวจังหวัดทม่ี ชี ายทะเล ค. มมี ารยาทในการฟังและดู ง. ปหี นา้ อาจจะมีนาทว่ มใหญอ่ กี ครัง ง. ฟังและดสู ่ือใหต้ ลอดเรื่อง ๕. บุคคลในข้อใดเป็นนักเล่าเร่ือง ๑๐.การเรียบเรยี งจบั ใจความสาคัญของเรื่องท่ีฟงั และดู ก. นายบูมพูดเสนอแนะแนวทางในการแก้ปัญหา เพอ่ื นามาพูดควรใชภ้ าษาที่มีลกั ษณะอย่างไร ความ แตกแยกในสังคม ก. ภาษาพดู ทีเ่ ข้าใจง่าย ข. นายบอสแสดงความคิดเห็นต่อพฤติกรรมของผูท้ ี่ ข. ภาษาท่สี วยงามสละสลวย ตนสนใจ ค. ภาษาท่มี ีความลกึ ซงึ กินใจ ค. นายบอยถา่ ยทอดประสบการณข์ องตนให้ผอู้ ่ืนฟัง ง. ภาษาท่เี ปน็ ทางการหรอื กึง่ ทางการ ง. นายเบสพดู แตป่ ระเดน็ สาคัญของเร่ืองท่ีอยากพดู

ใบความร้ทู ี่ ๒.๔ การพูดเลา่ เรื่อง ความหมายของการพูดเลา่ เร่อื ง การเล่าเรอ่ื งคอื การนาเอาเร่ืองราวต่างๆจากประสบการณ์หรอื เรอื่ งทศั นศิลป์เทพนยิ ายนิทานมาเลา่ หรอื พดู ใหผ้ ู้อ่ืนฟัง การเล่าเรื่องมจี ดุ ประสงคเ์ พ่ือใหเ้ กิดความรู้ความเข้าใจในเหตุการณ์บุคคลหรอื ลักษณะนิสัยบางอย่าง ของบุคคลในเร่ืองเนือหาของเร่ืองท่นี ามาเลา่ รวมทงั เพ่ือให้บรรลจุ ุดประสงค์ตามทีต่ ้องการอื่นๆ หลกั การเลอื กเรื่องท่ีจะเลา่ การเลือกหัวข้อพูดในที่ชุมชนนันอาจเป็นอะไรที่ยากเย็น อาจรู้สึกว่ามีหัวข้อมากมายให้เลือกไม่รู้จบ แต่ก็มี วิธีเลือกหัวข้อสองสามวิธีที่ช่วยจากัดหัวข้อที่จะพูดลงไปได้ เมื่อถึงเวลาเลือกหัวข้อที่เหมาะสมจริงๆ ก็ต้อง คานึงถึงความรู้และความสนใจของเรา รวมทังผู้ฟังและจุดประสงค์ในการพูด ถ้าอยากรู้วิธีเลือกหัวข้อพูดในท่ี ชมุ ชน และได้รับเสยี งปรบมือชืน่ ชมยาวนาน การเตรยี มตวั ในการเลา่ เร่ือง โดยรวบรวมเนือหาจากความรู้หรือข้อมูลท่ีมีอยู่จากประสบการณ์เดิม และจากการค้นคว้าเพิ่มเติมด้วย ตนเองด้วยวธิ ตี า่ ง ๆ เช่น จากการอ่านหนังสือ การสัมภาษณ์หรือสอบถามผู้รู้ ฯลฯ ต่อจากนันก็นามาคัดเลือก โดยคงส่วนท่ีจาเป็นไว้ และตัดส่วนท่ีไม่จาเป็นทิง และนามาจัดลาดับและวางโครงเร่ือง โดยแบ่งออกเป็น ๓ ขันตอนใหญ่ ๆ คือ ขันท่ีเป็นคานาหรือตอนท่ีเร่ิมต้นเรียกว่าการอารัมภบท ต่อจากนันก็มาถึงตอนเนือเร่ือง และตอนสรปุ ตามลาดับในการเตรียมเรือ่ งนัน สิ่งสาคัญท่ีจะต้องเตรียมเป็นพิเศษ คือ การกล่าวอารัมภบทและ การกล่าวสรปุ การกล่าวอารัมภบทจะต้องสรา้ งความศรัทธาให้เกิดกบั ผูฟ้ ัง และเรยี กร้องความสนใจจากผู้ฟังได้ ส่วนการกล่าวสรปุ ควรมงุ่ ใหผ้ ้ฟู งั เกิดความประทับใจเปน็ สาคัญ ลกั ษณะการเล่าเรอ่ื งท่ีดี การใชภ้ าษาควรใชร้ ะดับภาษาใหส้ อดคล้องกบั เนือเร่ืองเช่นการเลา่ เรื่องสาคญั ควรใชภ้ าษาระดับ สนทนามากกวา่ ทีจ่ ะใชภ้ าษาระดบั ทางการ การใชท้ า่ ทางมกี ารแสดงสีหน้าและอารมณป์ ระกอบการเล่าเร่อื งใช้ท่าทางประกอบให้เหมาะสม รวมถงึ การใช้นาเสียงสงู ต่าหนักเบาเพื่อให้ผู้ฟงั เกิดความสนใจได้ใช้ความคิดและจิตนาการตาม การใช้เวลาควรใชเ้ วลาเหมาะสมไมม่ ากเกินไปหรือไม่น้อยเกนิ ไปได้มีการกาหนดเวลาไม่ควรพูดจนเกนิ เวลา การเล่าประสบการณ์ การเตรยี มเรื่องการเลา่ ประสบกามฉะเชิงเทราเลา่ เร่ืองดีเหตกุ ารณท์ ่เี กิดขึนจากการถา่ ยทอดให้ผู้อ่นื ใหเ้ ชา่ ควรลาดับเหตกุ ารณห์ รือมขี ้อท่ีควรฟังชวนตดิ ตามเราจึงมแี นวคิดการเตรยี มเนือเรื่อง ประโยชน์ของการเลา่ เร่ือง การเลา่ เรอื่ งการเล่าเรื่องชวนใหก้ ารสนทนามชี ีวติ ชวี ติ ชวี าบุคคลทว่ั ไปชอบฟงั การเลา่ เรอื่ งโดยเฉพาะเมื่อเรา สามารถติดตามและมอี ารมณ์ขนั สอดแทรกเรื่องประโยชน์ของการเลา่ เรื่องมีหลายประการ

ใบงานที่ ๒.๔ คาชีแจง ใหน้ กั เรียนจดั ทาแผนภาพโครงเร่อื งตามลาดบั เหตกุ ารณจ์ ากเร่อื งท่ฟี ังและดู

ใบความรู้ ที่ ๒.๕ เพลงชนดิ ของคา ทานองเพลง ลามะลิลา (สร้อย) คาเอย้ คา ขนึ้ ต้นอะไรก็ได้ แต่ตอ้ งลงทา้ ยดว้ ย สระอา หญิง คานามนนั คืออะไร (ซา) ขอเชญิ ขานไข อยา่ งได้เก็บงา ชาย คานาม เรียกคนสัตวส์ ิง่ ของ (ซา) ขอเชญิ นวลนอ้ ง จงหมั่นจดจา หญงิ คาสรรพนามนันคืออะไร (ซา) บอกหน่อยได้ไหม อยา่ ได้ใจดา ชาย สรรพนาม ใช้แทนนามทังหลาย (ซา) หญิง คากรยิ า นันคืออะไร (ซา) มอี ยู่มากมาย พี่ไม่ได้อา ชาย กริยา ใชแ้ สดงอาการ (ซา) ฉนั ยงั สงสยั โปรดไดช้ นี า หญงิ คาวเิ ศษณ์ละคะคุณพ่ี (ซา) น่งั นอน กิน อา่ น ตัก และตา ชาย วเิ ศษณ์คือคาขยาย (ซา) หญิง นอกจากนยี งั มีอะไรอีก (ซา) ช่วยบอกอีกที น้องจะไดจ้ า ชาย ยังมอี ทุ าน สันธาน บพุ บท (ซา) เพือ่ ชว่ ยบรรยายเนอื หาของคา (สร้อย) คาเอ้ยคา ขน้ึ ต้นอะไรก็ได้ พี่อย่าหลบหลีก จะใจระกา พีบ่ อกน้องหมดเจด็ ชนิดของคา แต่ตอ้ งลงทา้ ยด้วย สระอา ท่ีมา http://www.sahavicha.com

ใบความรู้ เรอ่ื งชนดิ ของคา คาและชนดิ ของคาในภาษาไทย มนุษย์เราที่อยู่รว่ มกันเปน็ สงั คมจาเป็นต้องติดตอ่ สอ่ื สารกันเพื่อให้ รคู้ วามต้องการและ เข้าใจความรู้สึกนึกคิด ของกันและกัน การตดิ ต่อส่ือสารกันทาได้หลายทาง แต่ทางทีส่ าคัญ ทส่ี ดุ คอื ทางการพดู และการเขียนข้อความท่ีผู้พูดหรอื ผู้เขยี นกล่าวออกไปจะยืดยาวเพยี ง ใด ขอ้ ความนัน อาจจะแบง่ เปน็ ชว่ ง ๆ ได้ ช่วงของขอ้ ความท่ีบรรจคุ วามคดิ ท่ีสมบูรณ์ หรือ ข้อความอนั บรบิ รู ณ์ชว่ งหนง่ึ เรียกวา่ ประโยคในแตล่ ะประโยคจะมีการใช้คา ในประโยค แตกตา่ งกนั ออกไปตามความหมายและหน้าที่ของ คาในประโยค บรรดาคาทังหลาย ทใ่ี ช้กนั อยู่ในภาษาไทย จาแนกออกเป็นชนดิ ต่าง ๆ กัน ดงั นี ๑. คานาม ๒. คาสรรพนาม ๓. คากรยิ า ๔. คาวิเศษณ์ ๕. คาบพุ บท ๖. คาสนั ธาน ๗. คาอทุ าน ๑. คานาม คือ คาท่ใี ช้เรียกชื่อ คน สัตว์ สงิ่ ของ แบ่งเปน็ ๕ ชนิด คือ ๑.๑ สามานยนาม คอื คานามทใ่ี ช้เรียกชื่อโดยทั่วไป เชน่ คน นก ม้า เรอื รถ ๑.๒ วสิ ามานยนาม คือ คานามที่ใช้เรยี กช่ือเฉพาะ เช่น กรุงเทพฯ โรงพยาบาลศริ ริ าช สมศกั ด์ิ ๑.๓ สมุหนาม คือ คานามท่ีใชเ้ ป็นชอื่ หมวด หมู่ กอง คณะ เพื่อให้รวมกนั เป็น หมวด หมู่ กอง คณะ กอง ฝูง โขลง รัฐบาล บรษิ ทั ๑.๔ ลกั ษณะนาม คอื คานามท่ีใชบ้ อกลักษณะของนาม เพื่อให้รู้สัดสว่ นรปู พรรณสัณฐาน ของคานาม นนั ๆ เชน่ กงิ่ ขอน ปาก ฉบับ พระองค์ บาน วง ป้ืน เลา ฯลฯ ๑.๕ อาการนาม คือ คานามซ่ึงเกดิ จากคากรยิ า หรือคาวเิ ศษณ์ มคี า การ และความ นาหน้า เชน่ การ เดิน การเลน่ ความเจริญ ความตาย ความรู้ ความดี ความเร็ว ๒. คาสรรพนาม คือ คาที่ใช้แทนชอื่ หรอื คาที่ใชแ้ ทนคานามทังปวง มี ๖ ชนิด ๒.๑ บุรษุ สรรพนาม คอื สรรพนามที่ใชแ้ ทนคานามในการพดู จา แบ่งออกเปน็ ๓ พวก คือ บุรุษที่ ๑ บรุ ุษที่ ๒ และบุรษุ ท่ี ๓ เช่น ฉนั ท่าน เขา ๒.๒ ประพนั ธสรรพนาม คือ สรรพนามทีใ่ ช้แทนคานามซง่ึ อยู่ข้างหน้า ได้แก่ ท่ี ซ่ึง อัน ๒.๓ ปฤจฉาสรรพนาม คอื คาสรรพนามท่ีใช้แทนคานาม และใชเ้ ป็นคาถาม ได้แก่ ใคร อะไร ไหน ผู้ใด สง่ิ ไร ฯลฯ ๒.๔ วภิ าคสรรพนาม คือ คาท่ีใชแ้ ทนนามเพ่ือแยกนามนันออกเปน็ ส่วน ๆ ได้แก่ ต่าง บา้ ง กัน เช่น ชาวนาตา่ งไถ่นา นักเรียนบา้ งก็เล่นบา้ งกเ็ รียน เขารกั กนั นกั มวยชกกัน ๒.๕ นยิ มสรรพนาม คอื คาท่ใี ช้แทนคานามเพื่อบอกความกาหนดใหช้ ดั เจน เช่น น่ี นี นนั่ โนน้

๒.๖ อนยิ มสรรพนาม คือ คาที่ใช้แทนคานามแต่ไม่บอกแน่นอน เช่น ใคร อะไร ท่ีไหน ใด ๆ อนยิ ม สรรพนามคลา้ ยปฤฉาสรรพนาม แต่ปฤจฉาสรรพนามใช้เป็นคาถามอนยิ ม สรรพนาม ใชเ้ ป็นความบอกเล่า ๓. คากริยา คอื คาทแี่ สดงอาการของนาม หรือสรรพนาม มี ๔ ชนิด คอื ๓.๑ อกรรมกริยา คือ กริยาที่ไม่ต้องการกรรมมารับข้างทา้ ย เพราะมีใจความครบ บริบรู ณ์แลว้ ได้แก่ นง่ั นอน ยืน เดนิ ไป พูด บิน พัง พัด ไหล หัก หัวเราะ ฯลฯ ๓.๒ สกรรมกรยิ า คือ กริยาที่ตอ้ งการกรรมมารับขา้ งท้ายจึงจะได้ความสมบรู ณ์ ไดแ้ ก่ เขียน ตี กนิ จับ ไล่ เปิด อ่าน ฯลฯ ๓.๓ วิกตรรถกรยิ า คือ กรยิ าท่ีตอ้ งอาศัยเนือความของวกิ ตั ิการกท่ีอย่ขู า้ งทา้ ยจึงจะได้ ความสมบูรณ์ ได้แก่ เหมือน คล้าย เท่า คอื ดัง ๓.๔ กริยานเุ คราะห์ คือ กรยิ าทีใ่ ช้ประกอบหรือชว่ ยกริยาสาคญั ในประโยค ไดแ้ ก่ กาลงั พง่ึ นา่ จะ จกั จง คง เคย ควร ชะรอย ต้อง ถกู พึง ย่อม ยัง ฯลฯ ๔. คาวเิ ศษณ์ คือ คาท่ีใช้ประกอบคาอื่นใหม้ เี นือความแปลกออกไป คาที่ใช้ประกอบ ได้แก่ คานาม คาสรรพ นาม คากรยิ า และคาวเิ ศษณ์ จาแนกออกเป็น ๑๐ ชนิด คือ ๔.๑ ลกั ษณวเิ ศษณ์ คือ คาท่ีใช้ประกอบคาอ่ืนเพ่ือบอกลกั ษณะของคานนั ๆ โดยมากใช้ประกอบ คานาม คาสรรพนามท่ีใช้ประกอบคากริยาและกริยาวิเศษณ์มีน้อย เช่น ๑) บอกชนดิ ไดแ้ ก่ ช่วั เลว แก่ อ่อน หนุ่ม สาว ฯลฯ คนชวั่ คนดี โคแก่ หญ้าอ่อน ๒) บอกขนาด ได้แก่ สงู ใหญ่ เล็ก ยาว สัน โต แคบ ฯลฯ ตน้ ไมส้ งู แมน่ ากวา้ ง ๓) บอกสัณฐาน ได้แก่ กลม บาง แบน รี ฯลฯ โตะ๊ กลม ใบไม้รี ๔) บอกสี ได้แก่ ดา ขาว เหลือง แดง ฯลฯ เสือดา ผา้ เหลอื ง ใบไมเ้ ขียว ๕) บอกเสยี ง ได้แก่ ดัง ค่อย เพราะ แหบ เครือ ฯลฯ เสยี งดัง พูดค่อย ๖) บอกกลน่ิ ได้แก่ เหมน็ หอม ฉนุ คาว ฯลฯ ดอกไมห้ อม นาเหม็น ๗) บอกรส ได้แก่ เปรยี ว ขม จืด เผ็ด หวาน เคม็ มัน ฯลฯ สม้ เปรียว นาตาลหวาน ๘) บอกสมั ผัส ได้แก่ ร้อน เยน็ นิ่ม กระดา้ ง แขง็ ฯลฯ นาร้อน เบาะนมุ่ ๙) บอกอาการ ได้แก่ ช้า เรว็ เออ่ื ย ซึม ฉลาด ซอ่ื ฯลฯ วง่ิ เร็ว ไหลเอ่อื ย ๔.๒ กาลวเิ ศษณ์ คือ คาทีใ่ ชป้ ระกอบคาอื่นเพื่อบอกเวลา ประกอบได้ทังนาม สรรพนาม และกริยา ไดแ้ ก่ เด๋ยี วนี เช้า เยน็ ชา้ นาน โบราณ ปจั จบุ นั ฯลฯ ๔.๓ สถานวเิ ศษณ์ คือ คาทีใ่ ช้ประกอบคาอนื่ เพื่อบอกสถานท่ี ประกอบทังนาม สรรพนาม กรยิ า ไดแ้ ก่ ใกล้ ไกล หา่ ง ชดิ ใต้ เหนือ ลา่ ง บน ฯลฯ ๔.๔ ประมาณวเิ ศษณ์ คอื คาท่ใี ช้ประกอบคาอื่นเพอื่ บอกจานวน แบ่งออกเป็น ๔ ชนดิ คอื ๑) บอกจานวนจากัด ได้แก่คาว่า หมด สิน ทังหมด ทังปวง บรรดา ทงั ผอง ๒) บอกจานวนไมจ่ ากัด ได้แก่ มาก น้อย จุ หลาย ๆ ฯลฯ ๓) บอกจานวนแบ่งแยก ไดแ้ ก่ บาง บา้ ง ต่าง สง่ิ ละ คนละ ฯลฯ ๔) บอกจานวนนบั แบง่ เป็น ๒ ชนิด คอื บอกจานวนเลข เช่น หนึ่ง สอง กบั บอก จานวนที่ เชน่ ที่หนึ่ง ทส่ี อง

๔.๕ ปฤจฉาวิเศษณ์ คือ คาท่ีใช้ประกอบคาอน่ื เป็นคาถาม ได้แก่ ใด อะไร ทาไม ไหน เท่าไร เช่น คน ไหนเรียนเกง่ เธอมากี่คน ๔.๖ นิยมวเิ ศษณ์ คือ คาท่ใี ช้ประกอบคาอน่ื เพื่อบอกความแน่นอน ความชัดเจน เช่น นี นนั แท้ แบง่ เปน็ ๒ ชนิด ๑) บอกความแน่นอนในความหมาย เช่น ฉนั เอง ไปแน่ สวยแท้ ดีทเี ดียว ๒) บอกความแน่นอนของสิง่ ใดสิ่งหน่ึง เช่น คนนัน ท่ีนัน ที่น่ี ๔.๗ อนยิ มวเิ ศษณ์ คือ คาท่ีใช้ประกอบคาอนื่ โดยไมบ่ อกกาหนดแนน่ อนลงไป เช่น อนื่ อน่ื ใด ไย เช่น เหตใุ ดเธอรบี กลบั บ้าน ๔.๘ ประตชิ ญาวเิ ศษณ์ คือ คาท่ีใช้แสดงรับรอง โตต้ อบ รับขาน เชน่ จ๋า ครบั เออ คุณขา กระหม่อม พะย่ะค่ะ ๔.๙ ประติเสธวเิ ศษณ์ คอื คาที่บอกความห้าม หรือไม่รบั รอง เช่น ไม่ใช่ มิได้ บ่ ๔.๑๐ ประพันธวเิ ศษณ์ คือ คาประพนั ธสรรพนาม ซ่งึ เอามาใชเ้ หมอื นคาวิเศษณ์ ได้แก่ ที่ ซงึ่ อนั เช่น เขาพูดอย่างทฉี่ ันพูด ท่ี ซึ่ง อัน ถ้าอยตู่ ิดกับคานาม หรือสรรพนามจะเปน็ ประพนั ธสรรพนาม ถา้ อยตู่ ิดกับกริยาหรือกริยาวิเศษณจ์ ะเป็นประพนั ธวิเศษณ์ ๕. คาบพุ บท คือ คาที่ใช้นาหนา้ คาอนื่ ไดแ้ ก่ นาหน้า คานาม คาสรรพนาม คากรยิ า สภาวมาลา เพ่อื บอกตาแหน่งแหง่ ทข่ี องคาเหล่านนั แบ่งเป็น ๒ อยา่ ง ๕.๑ คาบพุ บทที่ไม่เช่ือมคากับคาอน่ื ได้แก่ คานาหน้า คาทักทายในบทอาลปนะ (คาทใี่ ช้เรยี กร้องผูท้ ่ี จะพดู ด้วย) เช่น อนั วา่ ดูกอ่ นดรู า ข้า แต่แน่ะ ๕.๒ บพุ บทที่เชือ่ มกบั คาอน่ื คอื บพุ บททน่ี าหนา้ คานาม สรรพนาม กริยาสภาวมาลา ๑) บพุ บทนาหน้าบทกรรม ไดแ้ ก่ ซ่งึ สู้ ยัง แก่ ตลอด ๒) บุพบทนาหนา้ บทอน่ื ในฐานะเครอ่ื งใช้หรอื ตดิ ต่อกัน ได้แก่ ดว้ ย โดย อัน ตาม กับ ๓) บพุ บทนาหนา้ บทอน่ื ในฐานะเป็นผูร้ ับ ไดแ้ ก่ เพ่ือ ตอ่ แก่ แต่ เฉพาะ ๔) บุพบทนาหน้าบทอน่ื เพ่ือบอกทีม่ าหรือต้นเหตุ ไดแ้ ก่ แต่ จาก กว่า เหตุ ตงั แต่ ๕) บุพบทนาหนา้ บอกเวลา ได้แก่ เม่ือ ณ แต่ ตังแต่ จน สาหรับ เฉพาะ ๖) บพุ บทนาหนา้ บอกสถานท่ี ไดแ้ ก่ ใต้ บน ริม ชิด ใกล้ ท่ี การใช้บุพบทบางคา ”กบั ” ๑. ใชใ้ นความร่วมดว้ ย ทากรยิ าเหมอื นกนั เช่น ครูไปกบั ศิษย์ ๒. ใชใ้ นความหมายท่ไี ปดว้ ย มาด้วย อยูด่ ้วย เสียหายดว้ ย เชน่ ทากับมอื เหน็ กับตา ๓. ใชใ้ นความทอี่ ยู่ด้วยกนั ไปด้วยกนั ทาอะไรด้วยกนั เช่น บุตรกบั ธิดา โคกับเกวยี น ๔. ใช้ในความหมายในสง่ิ ท่ีจานวนมาก ไปดว้ ยกนั มาด้วยกัน อยูด่ ว้ ยกัน เชน่ ฉันมากับหนมุ่ ครูไป กบั คณะนกั เรียน ”แก่” ใช้นาหน้าคาที่เกยี่ วกบั การให้ มักใชส้ าหรบั ผูน้ อ้ ย หรือผทู้ ี่อยู่ในฐานะเดยี วกัน เชน่ ฉนั บอกแก่ เธอลงโทษแกผ่ ู้กระทาผิด ให้ถอ้ ยคาแก่ศาล ”แด”่ ใช้ทาหน้าท่ีเกี่ยวกบั การให้อนั เป็นที่เคารพสักการะ เช่น ถวายไทยทานแด่พระภกิ ษุสงฆ์ ”ตอ่ ”

๑. ใชใ้ นความหมายเม่ือเป็นทรี่ ับในต่างชนั กัน เช่น เรยี นต่อทา่ นรฐั มนตรี รายงานต่อ หัวหน้า ให้การตอ่ ศาล ๒. เปน็ การแสดงความเกย่ี วข้องกัน ใช้ในความหมายติดต่อกัน ความขัดแย้งกนั เชน่ เขา ดา่ ต่อหน้าเรา เขาเปน็ คนซื่อตรงต่อเวลา “โดย ตาม” ใชเ้ มอื่ เป็นบทแหง่ กริยา เชน่ เขาทาตามคาสง่ั ไปโดยสวัสดภิ าพ ”ใน” ๑. ใชก้ บั บคุ คลทเี่ คารพนบั ถอื หรือสง่ิ ท่ีสกั การะ เชน่ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู วั พระราชนิพนธใ์ น ๒. ใช้ในความหมายเพือ่ แสดงว่าของเล็กอยู่ในของใหญ่ เช่น คิดในใจ ความในอก ปลาในนา คนไทยในต่างประเทศ ๖. คาสันธาน คอื คาซึ่งใช้ต่อหรอื เชื่อมถ้อยคาใหต้ ิดต่อกนั แบ่งเปน็ ๓ ประการ ๖.๑ เชอ่ื มคาต่อคา ๖.๒ เชื่อมประโยคต่อประโยค ๖.๓ เชอ่ื มความต่อความ ชนดิ ของคาสนั ธาน มี ๘ ชนดิ ๑) เชอ่ื มความคล้อยตามกนั ไดแ้ ก่ เช่นว่า คือ กับ และ จึง ครนั …จึง ๒) เช่อื มความแยง้ กนั ได้แก่ แต่ แตท่ ว่า แม้ ก็ กว่า…ก็ แม้…ก็ ๓) เชอ่ื มความเปน็ เหตุเปน็ ผลกัน ไดแ้ ก่ ดว้ ย เพราะ จงึ เพราะฉะนัน ฯลฯ ๔) เชอ่ื มความทเี่ ลือกเอาอย่างใดอยา่ งหน่ึง ได้แก่ หรือ มฉิ ะนัน ไม่เชน่ นนั ๕) เช่ือมความทีต่ า่ งตอนกนั ไดแ้ ก่ ฝา่ ย ส่วน อน่ึง ๖) เชื่อมความเปรียบเทียบ ได้แก่ ดจุ ประหนงึ่ วา่ คล้าย เหมอื น ฯลฯ ๗) เชื่อมความแบง่ รบั แบ่งสู้ ได้แก่ ถ้า ผวิ า่ แมว้ ่า ต่างว่า สมมติวา่ ๘) เชือ่ มความให้สละสลวย ได้แก่ อย่างไรก็ตาม สดุ แตว่ า่ ทาไมกบั ๗. คาอุทาน คือ คาชนดิ หนึ่ง ซึง่ บอกเสยี งคน สัตว์ หรือสง่ิ ของตา่ ง ๆ แบ่งออกเป็น ๒ ชนิด ๗.๑ อุทานบอกอาการ แบ่งเป็น ๑. อาการรอ้ งเรียก หรือบอกให้รตู้ ัว เช่น น่แี นะ เฮ้ย โวย้ ฯลฯ ๒. อาการโกรธเคอื ง เชน่ ชะ ๆ ชิ ๆ เหม่ ดดู ู๋ ฯลฯ ๓. อาการประหลาดหรือตกใจ เชน่ อ๊ะ เออแน่ แม่เจา้ โว้ย ฯลฯ ๔. อาการสงสยั หรือปลอบโยน เชน่ เจา้ เอย๋ อนจิ จา พทุ โธ่ ฯลฯ ๕. อาการเขา้ ใจหรอื รบั รู้ เช่น เออ เออน่ะ อ้อ ฯลฯ ๖. อาการเจ็บปวด เช่น โอย โอย้ ฯลฯ ๗. อาการสงสัยหรือไต่ถาม เช่น หา หือ ฯลฯ ๘. อาการหา้ มหรือทักทว้ ง เชน่ ฮา้ ไฮ้ ออื หือ ฯลฯ ๙. อาการจากสงิ่ ธรรมชาติ เชน่ ปัง ปึง ตมู โครม ฯลฯ ๗.๒ อทุ านเสริมบท คอื การเสริมถอ้ ยคาเพื่อฟงั ให้รืน่ หู เชน่ ไมล่ ืมหไู มล่ ืมตา แขนแมน เสอ่ื สาด ดอี ก ดีใจ ผู้หญิงยิงเรือ อาบนาอาบท่า อยูบ่ ้านอยู่ชอ่ ง

ใบงานที่ ๒.๕ เรื่องชนดิ ของคา คาชแี้ จง ใหน้ ักเรยี นจาแนกชนดิ ของคาท่ีกาหนดให้ถูกต้อง ใกล้ กบั ว้าย ทุง่ นา โทรทัศน์ อุ๊ยตาย บา้ ง เพราะวา่ แหง่ คุณพ่ี มากมาย หนังสอื เนอื่ งจาก หรอื ข้าพเจา้ ทาการบา้ น เปรียว ตน้ ไม้ แก่ เหลือเกนิ กระผม เตยี บน เธอ หวั เราะ กล้วยแขก ว่งิ ดฉิ นั เหม็น ด้วย โอย้ จับปลา นอนหลบั อย่างไรก็ตาม เพราะฉะนนั สนามหลวง โทรศพั ท์มือถือ คุณพระชว่ ย คำนำม คำสรรพนำม คำกริยำ คำวิเศษณ์ คำสนั ธำน คำบพุ บท คำอทุ ำน

ข้อสอบตามแผนการสอนท่ี ๒.๕ เร่ืองชนิดของคา คาชแี้ จง ใหน้ ักเรียนเลือกคาตอบท่ีถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว ๑. ขอ้ ใดกล่าวถกู ต้อง ๖. คานามข้อใดมีหนา้ ทตี่ า่ งจากข้ออน่ื ก. คาท่ปี ระสมแลว้ มีความหมายเรยี กวา่ “พยางค์” ก. มานีชอบดูละครตอนเย็น ข. คาเกดิ จากการนาเสยี งพยัญชนะและเสียงสระประสม ข. คณุ ปูช่ อบเลา่ นิทานพนื บ้าน กนั ค. แมใ่ ห้ตกุ๊ ตาหมีแกน่ อ้ งในวนั เกิด ค. คาหนงึ่ คามีพยางคเ์ ดียวหรอื มีหลายพยางค์ และอาจ ง. นายกรัฐมนตรีประชุมท่ีทาเนียบรัฐบาล ไมม่ ีความหมายก็ได้ ๗. ขอ้ ใดมคี าวเิ ศษณ์บอกความชเี ฉพาะ ง. กลมุ่ คาเกดิ จากการนาคาหลายๆ คามาเรียงกนั ก. นกั เรยี นคนนตี งั ใจเรยี นมาก แต่ยังมคี วามหมายไมบ่ รบิ ูรณ์ ข. ฉนั ชอบภาพล้อเลียนภาพนี ๒. คาทีช่ ว่ ยขยายคาอน่ื ในประโยค เรยี กคาชนดิ ใด ค. คณุ ย่าขา หนูอยากกนิ นาพริกคะ่ ก. คากริยา ง. วนั ๆ ไมท่ าอะไรเลยเอาแต่เล่นเกม ข. คาอุทาน ๘. คาสนั ธานในขอ้ ใดตา่ งจากข้ออนื่ ค. คาสันธาน ก. นกเปน็ คนกินเกง่ แตไ่ ม่อ้วน ง. คาวเิ ศษณ์ ข. ฉันกบั เพื่อนจะไปเล่นฟตุ บอล ๓. คาใดที่มสี ว่ นสาคญั ในประโยคมากท่ีสดุ ค. หนูจะซือการ์ตูนหรือแผน่ ซดี ี ก. คานาม ง. แม่ทางานเหน่ือยทังวนั แต่แม่ก็ไมบ่ ่น ข. คากริยา ๙. ประโยคในข้อใดใชค้ าอุทานไดเ้ หมาะสม ค. คาสันธาน ก. น่ๆี เสือตัวนสี วยจงั ! ง. คาสรรพนาม ข. อยุ๊ ! รีบทาการบ้านเข้าสิ ๔. คาใดเป็นคานาม ค. ตายจริง! ฉนั ลมื เอาการบ้านมา ก. เปรยี ว ข. ทาบุญ ง. พทุ โธ่! ทางานมาทังวัน เหน่ือยจงั เลย! ค. สวยงาม ง. ความคดิ ๑๐. ประโยคในข้อใดเปน็ ประโยคความรวม ๕. คาในข้อใดทใ่ี ชล้ ักษณนามเหมือนกันทกุ คา ก. ขนมทีฉ่ นั ชอบกนิ มากคือฝอยทอง ก. ป่ิน เบ็ด สาก ข. วันหยดุ ฉนั กับพ่ีจะไปขายของท่ตี ลาด ข. เกวียน พาย ดาบ ค. เขาชอบดูการ์ตนู เร่อื งราพนั เซลมาก ค. เณร ชี พระพุทธรูป ง. แมข่ องฉนั ไปตลาดกับคุณปา้ ข้างบา้ น ง. อทุ ยาน นาตก สะพาน

ใบงานท่ี ๒.๖ เรือ่ งการสรปุ เนอ้ื หาโคลงโลกนิติ คาชี้แจง ให้นกั เรียนอา่ นวรรณคดเี ร่ือง โคลงโลกนติ ิ แล้วสรปุ เนือหา ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………..………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………

ใบงานที่ ๒.๗ เรือ่ งการวเิ คราะห์คุณค่าโคลงโลกนติ ิ คาช้แี จง ใหน้ กั เรียนอา่ นวรรณคดีเร่ือง โคลงโลกนติ ิ แลว้ วิเคราะหแ์ ละอธิบายตามประเด็นท่กี าหนด ๑. สภาพสังคมที่ปรากฏในวรรณคดีเรอ่ื ง โคลงโลกนติ ิ ๒. สอนท่ปี รากฏในวรรณคดเี รอ่ื ง โคลงโลกนิติ ๓. คา่ นยิ มทีป่ รากฏในวรรณคดีเรอ่ื ง โคลงโลกนติ ิ

เอกสารประกอบการสอน ท่ี ๒.๘ ข้อคิดจากโคลงโลกนิติ ให้แง่คิดความหวาน ความหวานหญงิ รปู งาม ออ้ ย และถอ้ ยคา หรอื การพดู รสหวานในโลกนี มสี าม หญงิ รูปบรสิ ทุ ธิ์งาม อกี ออ้ ย สมเสพรสกลกาม เยาวโยค หวานไปป่ านรสถอ้ ย กลา่ วเกลยี งไมตรี สานวนเก่า หวานใดในโลกนี มสี ามสิง่ นา หวานหน่งึ คือรสกาม อกี ออ้ ย หวานอ่ืนหมื่นแสนทราม สารพดั หวานเอยหวานไป่ ปานรสถอ้ ย กลา่ วเกลยี งคาหวาน (สมเดจ็ ฯ กรมพระยาเดชาดศิ ร) สอนให้รจู้ ักความดคี วามช่ัว การทเ่ี ราไดร้ บั ผลอย่างไรย่อมมเี หตจุ ากการกระทาของเราทงั สิน ผูท้ าดียอ่ ม ไดร้ ับผลดีตอบแทน ผทู้ าชว่ั ผลท่เี กิดจากการทาช่วั นัน ย่อมกัดกร่อนใจซึ่งเปรียบได้กับสนิมกดั กร่อนเนือเหล็ก ใหผ้ พุ ังไป ฉะนัน ดังท่วี ่า สนมิ เหลก็ เกดิ แต่เนอื ในตน กนิ กัดเนือเหลก็ จน กรอ่ นขรา บาปเกิดแตต่ นคน เปน็ บาป บาปย่อมทาโทษซา ใส่ผบู้ าปเอง กลา่ วถงึ ความดีความช่ัวไวใ้ นอีกบทหนึ่งว่า ววั ควายนนั เม่อื สนิ ชพี แล้วยังมีเขาและหนงั ทเี่ ปน็ ประโยชน์ สว่ นคนเราเมอื่ สินชวี ิต คงเหลอื แตเ่ กียรติยศชื่อเสยี งและความดีความชว่ั ให้คนได้จดจาไว้เทา่ นนั ดงั ท่วี ่า โคควายวายชพี ได้ เขาหนัง เปน็ สิ่งเปน็ อนั ยงั อยูไ่ ซร้ คนเด็ดดบั สูญสัง- ขารร่าง เปน็ ชื่อเปน็ เสียงได้ แตร่ ้ายกบั ดี สอนใหร้ จู้ กั ประมาณตนโคลงโลกนิติสอนใหร้ ู้จกั ประเมินความสามารถและประมาณกาลังของตน นบั เป็นคาสอนทีส่ อดคล้องกับแนวพระราชดาริของพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัวฯ เรอ่ื งหลกั ปรชั ญาของบ เศรษฐกิจพอเพยี ง ดังคาสอนทีใ่ ชแ้ นวเทียบกับนกตวั น้อยที่หากินตามกาลังของตนและทารงั แตพ่ อตวั นกน้อยขนน้อยแต่ พอตัว รงั แตง่ จเุ มียผวั อยู่ได้ มกั ใหญ่ย่อมคนหวัว ไพเพดิ ทาแต่พอตัวไซร้ อย่าใหค้ นหยนั

สอนให้รจู้ ักพจิ ารณาคนและรู้จกั คบเพือ่ น โคลงโลกนิตสิ อนใหร้ ูจ้ ักพิจารณาเลือกคบคน โดยกลา่ วเปรยี บเทยี บว่า กา้ นบัว สามารถบอกความตนื ลกึ ของนาไดฉ้ นั ใด กริ ิยามารยาทของคนก็สามารถบง่ บอกถงึ การอบรมเลยี งดูได้ฉนั นัน คาพดู ก็สามารถบ่งบอกใหร้ วู้ า่ คนนันพูดฉลาดหรือพดู โง่ เช่น เกย่ี วกบั หยอ่ มหญา้ ท่ี เหี่ยวแหง้ ยอ่ มบอกให้รวู้ ่าดนิ ในบริเวณนนั ไม่ดี ดังทวี่ า่ ก้านบัวบอกลึกตืน ชลธาร มารยาทสอ่ สันดาน ชาตเิ ชือ โฉดฉลาดเพราะคาขาน ควรทราบ หยอ่ มหญา้ เหย่ี วแหง้ เรือ บอกร้านแสลงดิน อีกบทหนึง่ จะกลา่ วเปรียบเทยี บจติ ใจของคนกับความลึกของมหาสมุทรท่แี ม้จะลึกเพยี งใดกอ็ าจจะใช้ เครอื่ งมอื วัดได้ หรอื ภเู ขาแม้จะสูงเพียงใดก็อาจใช้เครื่องมือวดั ความสงู ไดเ้ ช่นกนั แต่จิตใจคนนันวัดความรูส้ ึก จรงิ แท้ได้ยาก ดงั ที่ว่า พระสมุทรสุดลกึ ล้น คณนา สายดิง่ ทอดทงิ มา หยัง่ ได้ เขาสูงอาจวดั วา กาหนด จิตมนุษย์นไี ซร้ ยากแทห้ ย่งั ถึง อีกบทหนึ่งสอนให้อยหู่ า่ งไกลจากคนชัว่ เพราะหากคบคนชั่วเป็นมติ ร เม่อื ถึงเวลาผิดใจกันเขาก็อาจ กลา่ วโทษแก่เราได้ ดังท่ีว่า มิตรพาลอย่าคบให้ สนิทนัก พาลใชม่ ติ รอย่ามัก กลา่ วใกล้ ครนั ครามเคียดคุมชกั เอาโทษ ใส่นา รเู้ หตุสงิ่ ใดไซร้ สอ่ สินกลางสนาม สอนไม่ให้ทาตามอย่างผอู้ ื่น (ในทางไมด่ )ี เม่ือเห็นผูอ้ ่นื มัง่ มีกว่าก็ไมค่ วรโลภ ไม่ควรอยากมีอยากไดต้ ามคนอ่ืน แมจ้ ะยากจนก็ให้หม่ันทามาหากนิ อยา่ เกียจครา้ นและท้อแท้ ใหร้ จู้ ักใช้ชีวติ อย่างพอเพยี ง ดังท่ีว่า เห็นทา่ นมอี ย่าเคลมิ ใจตาม เรายากหากใจงาม อย่าครา้ น อตุ สาห์พยายาม การกิจ เอาเยี่ยงอยา่ งเพ่ือนบ้าน อยา่ ท้อทากิน สอนให้มีความกตญั ญู โคลงโลกนติ ิสอนใหร้ ะลกึ ถงึ พระคณุ บิดามารดาและครู โดยกลา่ วเปรยี บวา่ พระคุณของมารดานนั ยิง่ ใหญ่เปรียบได้กบั แผ่นดิน พระคุณของบดิ าเล่าก็กวา้ งขวางเปรยี บได้กับอากาศ พระคุณของพนี่ ันสูงเท่ากับ ยอดเขาพระสุเมรุ และพระคุณของครบู าอาจารย์กล็ าลึกเปรยี บไดก้ ับนาในแมน่ าทังหลาย ดงั ทว่ี า่

คุณแมห่ นักหนาเพยี ง พสธุ า คณุ บิดรดุจอา- กาศกวา้ ง คุณพี่พา่ งศขิ รา เมรุมาศ คณุ พระอาจารย์อ้าง อาจสู้สาคร สอนใหเ้ ป็นคนมวี าจาอ่อนหวาน คนท่ีพดู จาสภุ าพไพเราะย่อมมีเพื่อนมาก เปรยี บได้กับดวงจันทรท์ มี่ ดี าวจานวนมากรายล้อมประดับ ตา่ งกบั คนพดู จากระด้างหยาบคาย ทาใหม้ ีไม่ใครปรารถนาจะคบหรือสมาคมดว้ ย เปรียบไดก้ ับดวงอาทิตย์แสง รอ้ นแรงที่บดบงั แสงของดาวดวงอนื่ ดงั ท่ีว่า อ่อนหวานมานมิตรล้น เหลอื หลาย หยาบบ่มเี กลอกราย เกล่ือนใกล้ ดจุ ดวงศศิฉายดาวดาษ ประดบั นา สุริยาส่องดาราไร้ เพ่อื ร้อนแรงแสง

ใบงานที่ ๒.๘ เรื่อง สรุปขอ้ คิด คาชีแ้ จง ใหน้ กั เรียนเขยี นนิทานเทียบโคลงโลกนิติ ๑ เร่ือง โดยนาเรอ่ื งที่พบเหน็ ในชวี ติ ประจาวนั มาเปน็ เคา้ โครงในการเขียนและเลอื กโคลงโลกนิติทเี่ หมาะสมกับเนือหา ๑ บท มาประกอบการเขียน นิทานเทยี บโคลงโลกนติ ิ เรอ่ื ง

ใบงานที่ ๒.๘ ความรู้และข้อคิดโคลงโลกนติ ิ คาช้ีแจง ใหน้ กั เรยี นอา่ นบทประพันธ์ท่กี าหนด แล้วตอบคาถาม คุณแม่หนาหนกั เพียง พสธุ า ๑. คุณบิดรดุจอา- กาศกวา้ ง คุณพพ่ี า่ งศขิ รา เมรุมาศ คุณพระอาจารยอ์ ้าง อาจสสู้ าคร บทประพนั ธ์มคี ณุ ค่าดา้ นวรรณศลิ ป์อย่างไร นักเรยี นเหน็ ด้วยกบั บทประพันธข์ ้างต้นหรอื ไม่ อยา่ งไร ความร้ดู ยู งิ่ ลา สินทรัพย์ ๒. คิดค่าควรเมืองนบั ยิง่ ไซร้ กายอาต- มานา เพราะเหตุจกั อยู่กบั เร่งรู้เรียนเอา โจรจักเบยี นบ่ได้ บทประพันธ์นใี หข้ อ้ คดิ อยา่ งไรกบั ผูอ้ า่ น นกั เรียนเห็นด้วยกบั บทประพนั ธ์ข้างตน้ หรอื ไม่ อย่างไร

แบบทดสอบหลงั เรียน คาชี้แจง ใหน้ ักเรียนเลือกคาตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว ๑. โคลงโลกนติ ิ มีความเป็นมาอยา่ งไร อา่ นโคลงโลกนิติที่กาหนด แล้วตอบคาถาม ข้อ ๖-๘ ก. กรมพระยาเดชาดศิ รแต่งขนึ ข. เปน็ ของเก่าที่แปลมาจากภาษาบาลี ค. พระบาทสมเด็จพระน่ังเกลา้ เจ้าอยู่หัวทรง คณุ แม่หนาหนักเพียง พสธุ า คุณบิดรดจุ อา- กาศกว้าง ค้นพบ คณุ พี่พา่ งศิขรา เมรุมาศ คณุ พระอาจารยอ์ ้าง อาจสู้สาคร ง. กรมพระยาเดชาดิศรรวบรวมงานเกา่ มา ชาระแล้ว นาขนึ ถวาย ร.๓ ๒. ขอ้ ใดไม่จดั เปน็ ผลงานประพันธข์ องกรมพระ ๖. โคลงบทนมี งุ่ สอนเรื่องใดเปน็ สาคญั ก. ความกตัญญู ยา ข. ความดี ความชว่ั ค. การลาดับผูท้ มี่ ีพระคณุ เดชาดศิ ร ง. การอปุ ถัมภค์ าชผู ูม้ ีพระคณุ ก. กาพย์ดษุ ฎีสังเวย ๗. คาศัพท์ในขอ้ ใดมีความหมายเหมอื นกนั ก. สาคร – พสธุ า ข. โคลงปราบดาภเิ ษก ข. พสธุ า – เมรุมาศ ค. เพยี ง – ดุจ – พ่าง ค. คาฉนั ท์กล่อมพระเศวต ง. ศขิ รา – อากาศ – เมรุมาศ ง. นริ าศไปทัพเมืองเวยี งจันทน์ ๘. ข้อใดกล่าวเปรยี บเทยี บไมถ่ ูกตอ้ ง ก. พระคณุ พอ่ เปรยี บกบั ความลึกมหาสมทุ ร ๓. ขอ้ ใดจดั เป็นคณุ ค่าทส่ี าคญั สงู สดุ ของโคลงโลก ข. พระคุณครูบาอาจารยเ์ ปรียบกับมหาสมุทร ค. พระคณุ พี่เปรยี บกับขนุ เขาสูงใหญ่ นติ ิ ง. พระคุณแมเ่ ปรยี บกบั ผนื แผน่ ดิน ก. ความงามและซาบซงึ ในรสวรรณคดี ๙. พระบาทสมเด็จพระนง่ั เกล้าเจ้าอยูห่ ัว โปรด เกลา้ ฯ ข. เข้าใจการนาเสนอและการใช้ถอ้ ยคา ให้นาโคลงโลกนิติท่ีชาระแล้วไปจารึกท่ใี ด ค. เหน็ ภาพสะท้อนสังคมในอดีตชดั เจนมาก ก. วดั อรณุ ราชวราราม ข. วดั พระศรีรตั นศาสดาราม ขนึ ค. วดั พระเชตพุ นวิมลมังคลาราม ง. วดั ราชบพิตรสถิตมหาสีมาราม ง. นาคติที่ได้ไปประยกุ ตใ์ ช้ในการดาเนินชวี ิต ๔. จดุ ประสงค์สาคัญในการแต่งโคลงโลกนิตติ รง กบั ข้อใด ก. ใชเ้ ป็นสภุ าษิตสอนใจประชาชน ข. ใช้ประดบั ตกแตง่ พระอารามในวัดโพธ์ิ ค. มุ่งใหเ้ ปน็ วรรณคดีมรดกชนั สูงของชาติ ง. เป็นสรรพวิชาทค่ี รอบคลมุ ศาสตรท์ ุกแขนง ๕. โคลงโลกนติ ิ จัดอยู่ในวรรณคดีหมวดใด ก. บันเทงิ คดี ข. นทิ านพนื บ้าน ค. สุภาษิต คาสอน ง. บันทึกการเดินทาง

๑๐. เหตใุ ดจึงยกย่องโคลงโลกนติ ิใหเ้ ปน็ ๑ ในหนงั สอื ดี ๑๐๐ เล่ม ท่คี นไทยควรอา่ น ก. เพราะเปน็ สภุ าษิตคาสอน ข. เพราะใช้ถ้อยคาที่มีความไพเราะ ค. เพราะให้ความรคู้ วามคดิ ในการปฏบิ ัตติ น ง. เพราะมคี วามเหมาะสมทงั รูปแบบเนอื หา และคณุ คา่ วรรณกรรม

แบบฝึกหัดเพ่ิมเติม ชุดท่ี ๑ เร่อื ง กลอนสุภาพ ๑. ใช้นาหอม ยอ้ มกาย ใหช้ าย………… ไม่ช้าคง จางหาย จากกาย………..…. ใช้ความดี ผกู พนั นนั ยืนยาว จะ………………. ใจชาย ตราบวายชนม์ ๒. สุขเพราะแสงแห่งธรรมนา……….… (นิ่ม สุขเพราะใจปล่อยวางว่างสบาย นวล หาญณรงค์) คิดถงึ ธรรมนาใจใสสวา่ ง คิดตรกี ตรองพอใจในสง่ิ มี สุขเพราะจิตสงบพบ……………………..…….. สขุ ……………….……กับชวี ิตถา้ คิดดี …..……..ส่มู รรคผล………………………..……. ………………..……….ความชว่ั กลวั บาปกรรม

แบบฝึกเพ่ิมเติม ชุดที่ ๒ ๑.คาวา่ \"โคลงโลกนิต\"ิ อา่ นออกเสียงว่าอย่างไร ๑.โคลง-โลก-กะ-น-ิ ติ ๒.โคลง-โลก-กะ-นดิ ๓.โคลง-โลก-นิ-ติ ๒.กวที ่านใดเป็นผ้แู ตง่ โคลงโลกนติ ิ ๑.สมเด็จพระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาเดชาดิศร ๒.สุนทรภู่ ๓.พระบาทสมเด็จ พระนั่งเกลา้ เจา้ อย่หู วั (รัชกาลที่ 3) ๓.สมเด็จฯ กรมพระยาเดชาดิศร ทรงชาระโคลงโลกนิตสิ านวนเก่า แลว้ จารกึ ไวท้ ่วี ดั ใด ๑.วัดพระศรีรตั นศาสดารามฯ (วดั พระแก้ว) ๒.วัดอรุณราชวรารามฯ (วดั แจง้ ) ๓.วัดพระเชตุพนฯ (วดั โพธ์ิ) ๔.โคลงโลกนิตฉิ บับทสี่ มเด็จฯ กรมพระยาเดชาดิศร ทรงชาระนมี ีทงี หมดกีบ่ ท ๑.385 บท ๒.483 บท ๓.593 บท ๕.โคลงโลกนติ ิ ใช้คาประพันธ์ประเภทใด ๑.กาพยย์ านี ๑๑ ๒.โคลงสี่สภุ าพ ๓.กลอน ๘ ๖.โคลงโลกนติ ิ แตง่ ในปี พ.ศ. ใด ๑.พ.ศ.๒๑๒๓ ๒.พ.ศ.๒๓๒๕ ๓.พ.ศ.๒๓๗๔ ๗.\"ไป่เห็นชเลไกล\" คาว่า ชเล แปลวา่ อะไร ๑.ทะเล ๒.ภูเขา ๓.สายนา ๘.\"คุณแมห่ นาหนักเพียง พสธุ า\" ในทีน่ ีเปรยี บพระคณุ แมก่ ับสงิ่ ใด ๑.ยอดเขา ๒.แผน่ ดนิ

๓.จักรวาล ๙.\"พระคุณพ่ีพ่างศิขรา เมรุมาศ\" ในที่นีเปรียบพระคุณพี่กับสงิ่ ใด ๑.ยอดเขาสงู ๒.ยอดเขา ๓.แผน่ ดนิ ๑๐.โคลงโลกนติ ิสอนให้คนเราปฏิบตั ิตนอยา่ งไร ๑.สอนใหท้ าความดี ๒.สอนให้มีความกตัญญู ๓.ถูกทกุ ข้อ

อยา่ ลมื ทบทวน กจิ กรรมอีกครงั้ นะคะ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook