ชดุ กจิ กรรม วิชาภาษาไทย ชน้ั มธั ยมศึกษาปี ที่ ๑ หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ ๑ เรอื่ ง นิราศภเู ขาทอง ชื่อ..................................................................................................................................................................................................................... หอ้ ง เลขที.............................................. ...................................................... 1
เอกสารประกอบการสอน ใบงานที่ ๑.๑ แบบบันทกึ การอ่านหนังสือ ช่ือหนังสือพมิ พ์.................................................................เรื่องที่อ่าน.............................................................. ผ้เู ขียน ..........................................วนั ทพี่ มิ พ์ ......................ปี ทพ่ี มิ พ์ .......................หน้าท.ี่ ........................... บนั ทกึ วนั ท.่ี .........เดือน..............................พ.ศ. ...............กลุ่มสาระการเรียนรู้............................................... สาระสาคญั ของเร่ือง ……………………………………………………………………………………………………....……… ………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………… วเิ คราะห์ข้อคิด/ประโยชน์ทไี่ ด้จากเร่ืองทอี่ ่าน ……………………………………………………………………………………………………….……… ………………………………………………………………………………………………..............……………… ………………………………………………………………………………….................………………… …………………………………………………………………………………………..…………………………… ……… สิ่งทส่ี ามารถนาไปประยกุ ต์ใช้ในชีวติ ประจาวนั ……………………………………………………………………………………………………….……… ………………………………………………………………………………………………..............……………… …………………………………………………………………………………….................………………………… ผลการประเมนิ ๑. ลายมือสวยงามถูกต้อง (๑๐) ........................... ๒. ทางานสะอาดเรียบร้อย (๑๐) ............................. ๓. สรุปสาระสาคัญชัดเจน (๑๐) ............................ รวมคะแนน (๓๐) ............................................ รับทราบ O .......................................... O ………………………… คุณครู ผู้ปกครอง ชื่อผู้บันทกึ ........................................................................................................................................... 2
เอกสารประกอบการสอ คาช้ ีแจง นักเรยี นอ่านบทบรรยายตานานดอกกหุ ลาบ และทาเคร่ืองหมายแบง่ วรรคตอนในการอ่าน เพือ่ ใหฝ้ ึกอ่านได้ถูกต้อง บทบรรยายตานานดอกกหุ ลาบ เคยไดย้ นิ คาเปรยี บเปรยไหมทีว่ ่า ผหู้ ญงิ สวยแต่เตม็ ไปดว้ ยเลห่ เ์ หล่ยี มก็เปรยี บไดด้ ัง “ดอกกหุ ลาบ” เพราะ ดอกกุหลาบนั้น แมจ้ ะมรี ูปร่างภายนอกท่ีสวยงามรวมถงึ กลน่ิ ท่หี อมชวนดม แต่มนั ก็มีหนามแหลม หากไมร่ ะวัง อาจโดนบาด ไดง้ า่ ยๆ กหุ ลาบนั้นมชี ื่อสามัญว่า “Rose” ช่อื ทางพฤกษาศาสตรว์ า่ “Rosa hybrids” และมชี ่ือวงศว์ า่ “Rosaceae” ขยายพันธโ์ุ ดยการตอนก่งิ ลักษณะของกุหลาบนนั้ มีทง้ั ไม้พุ่มและไม้เลื้อย ลาต้นและกง่ิ จะมีหนาม สว่ นดอกของกุหลาบ จะมที ั้งดอกเดยี่ วและเป็นช่อ กลบี ดอกมีลกั ษณะใหญ่ มีไม่ต่ากวา่ ๕ กลบี กหุ ลาบน้นั มี กล่ินหอมชวนดม และมหี ลายสี เช่น แดง ขาว เหลือง ชมพู ฯลฯ อีกทัง้ ยังมีหลายชนดิ ดว้ ย ซงึ่ คาวา่ กุหลาบนนั้ มาจากคาว่า “คุล” ที่ในภาษาเปอร์เซียแปลว่า “สีแดง ดอกไม้ หรือดอกกุหลาบ” โดย ในภาษาฮินดกี ม็ คี าว่า “คุล” แปลวา่ “ดอกไม”้ และคาวา่ “คุลาพ” ก็หมายถึงกุหลาบอย่างท่ีไทยเราเรียกกัน แต่ ออกเสียงเป็น “กุหลาบ” ส่วนคาว่า “Rose” ในภาษาอังกฤษน้ันมาจากคาว่า “Rhodon” ที่แปลว่ากุหลาบใน ภาษากรกี กุหลาบเป็นดอกไม้ที่นิยมปลูกมาแต่โบราณว่ากันว่ากุหลาบเกิดข้ึนเมื่อ 70 ล้านปีมาแล้ว และเคยมีการ ค้นพบ ฟอสซิลของกุหลาบที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยแต่ก่อนกุหลาบน้ันเป็นกุหลาบป่าและมีรูปร่างไม่เหมือน ในทุกวันน้ี แตเ่ น่อื งจากมนุษยไ์ ดน้ าเอากุหลาบป่ามาปลกู และผสมพันธ์จุ นขยายเปน็ พันธุ์ตา่ งๆ มากมาย ตามประวัติศาสตร์เล่าว่ากุหลาบป่าถูกนามาปลูกไว้ในพระราชวังของจักรพรรดิในสมัยราชวงศ์ฮั่น ราว 5,000 ปีมาแลว้ ขณะที่อียปิ ตเ์ องกป็ ลูกกหุ ลาบเปน็ ไม้ดอกส่งไปขายให้แก่ชาวโรมัน เพราะชาวโรมันเป็นชาติท่ีรัก ดอกกุหลาบมาก แม้ว่าจะส่ังซื้อจากประเทศอียิปต์แล้วก็ตาม แต่ก็ยังลงทุนสร้างสถานท่ีขนาดใหญ่สาหรับปลูก ดอกกุหลาบอีกด้วย เพราะสาหรับชาวโรมันแล้วดอกกุหลาบน้ันมีความสาคัญต่อชีวิตประจาวัน อีกทั้งชาวโรมัน ถือว่าดอกกุหลาบเป็นสัญลักษณ์ของความรัก เป็นท้ังของขวัญ และเป็นดอกไม้สาหรับทามาลัยต้อนรับแขก รวมถงึ เปน็ ดอกไมส้ าหรับงานฉลองตา่ งๆ แถมยงั เปน็ ส่วนประกอบสาหรับทาขนม ทาไวน์ และยาไดอ้ ีกด้วย เมื่อเอ่ยถึงดอกกุหลาบแล้ว หลายๆ คนก็คงจะนึกถึงเรื่องความรัก เพราะกุหลาบถือเป็นสัญลักษณ์ของ ความรักและความโรแมนติก โดยมีบางตานานเล่าว่า ดอกกุหลาบเป็นเสมือนเครื่องหมายแทนการกาเนิดของ เทพธดิ าวนี สั ซง่ึ เปน็ เทพแห่งความงามและความรัก วีนัสเป็นที่รู้จักกันในช่ือ อโฟรไดท์ ในตานานเทพของกรีกได้ กล่าวไว้วา่ น้าตาของเธอหยดลงปะปนกับเลอื ดของ อคอนิส คนรกั ของเธอทีถ่ กู หมปู า่ ฆ่า เลอื ดและน้าตาหยดลงสู่ พ้ืนแลว้ กลายเปน็ ดอกไม้สีแดงเข้มหรือดอกกุหลาบน่ันเอง แต่บางตานานก็เล่าว่าดอกกุหลาบเกิดจากเลือดของอ โฟรไดทเ์ องท่ีหยดลงสพู่ นื้ เมอ่ื เธอแทงตัวเองด้วยหนามแหลม แม้จะไม่มีการบันทึกอย่างชัดเจนว่าดอกกุหลาบนั้นเข้ามาเก่ียวข้องกับบ้านเราตอนไหน แต่จากบันทึกของ ลา ลูแบร์ ราชทตู ฝรง่ั เศสในสมยั สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช ไดบ้ นั ทึกไวว้ า่ เหน็ กุหลาบที่กรงุ ศรอี ยธุ ยา และในกาพย์หอ่ โคลงนิราศธารโศก สมยั กรุงศรีอยุธยา ซ่ึงเปน็ พระราชนพิ นธ์ของเจ้าฟา้ ธรรมธิเบศร กไ็ ดม้ กี ารกล่าวถงึ กหุ ลาบเอาไว้ และยงั มตี านานดอกกุหลาบของ ไทยที่เปน็ บทละครพระราชนิพนธข์ องรชั กาลท่ี ๖ เรือ่ ง มทั นะพาธา ในเรื่องเล่าถงึ เทพธิดาองค์หนึ่งช่ือ “มัทนา” ซ่ึงได้มีเทพบุตร องค์หนงึ่ ชื่อ “สุเทษณะ” ซ่ึงพระองคท์ รงหลงรักเทพธดิ า “มทั นา” มาก แตน่ างไม่มีใจรัตอบ จึงถูกสาปให้ไปเกิดเป็นดอกกุหลาบ จงึ กลายเปน็ ตานานดอกกุหลาบแตน่ ัน้ มา 3
แบบทดสอบกอ่ น - หลังเรียน ท่ี ๑.๑ คาช้แี จง ให้นักเรยี นเลือกคาตอบท่ีถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว ๑. การใช้เสยี งในการอา่ นออกเสยี งบทรอ้ ยแก้วขอ้ ใด ๖. การอ่านออกเสยี งบทรอ้ ยกรองมีจดุ มุ่งหมายในการอ่าน ไมถ่ กู ตอ้ ง อยา่ งไร ก. ออกเสยี งดงั เพื่อเรยี กร้องความสนใจ ก. มงุ่ ใหเ้ กิดจินตภาพ ข. ออกเสยี งให้เปน็ เสียงพดู อย่างเป็นธรรมชาติ ข. ม่งุ ใหเ้ กิดอรรถรสในการอ่าน ค. เน้นเสยี งตามน้าหนกั ความสาคญั ของใจความ ค. มุ่งใหเ้ กดิ ความงามทางภาษา ง. ออกเสยี งให้เหมาะสมกบั ประเภทของเรือ่ งทีอ่ ่าน ง. มงุ่ ใหเ้ กิดความซาบซงึ้ ในรสของบทประพนั ธ์ ๒. การอ่านที่ตอ้ งการเนน้ หรือเพิม่ น้าหนักของเสียงควรใช้ ๗. การอา่ นบทร้อยกรองประเภทใดทม่ี ีการแบ่งวรรคตอน เคร่อื งหมายใดกากบั แตกต่างจากข้ออื่น ก. เครอ่ื งหมาย / ข. เคร่ืองหมาย // ก. กลอนหก ข. กลอนสักวา ค. เครอ่ื งหมาย _ ง. เครือ่ งหมาย /_ ค. โคลงกระทู้ ง. กลอนสุภาพ ๓. ขอ้ ใดเป็นลักษณะเดน่ ของการอา่ นแบบบรรยาย ๘. การอ่านด้วยน้าเสียงหนักแนน่ สั้น กระชับ เหมาะกบั ก. การอา่ นท่เี นน้ น้าหนักของเสียง การอ่านเนือ้ ความในลกั ษณะใด ข. การอา่ นที่ลากเสยี งชา้ ๆ และไวห้ างเสยี ง ก. เนือ้ ความประเภทสงั่ สอน ค. การอ่านที่ทาใหผ้ ู้ฟังเกดิ อารมณ์คล้อยตาม ข. เนือ้ ความประเภทตดั พอ้ ตอ่ ว่า ง. การอา่ นทีท่ าใหเ้ กิดเสยี งโศกเศร้า แลว้ กลบั เป็น ค. เนื้อความประเภทแสดงอารมณ์กลวั เสียงปกติ ง. เนื้อความประเภทแสดงอารมณโ์ กรธ ๔. การอา่ นให้เกดิ จนิ ตภาพควรปฏิบตั อิ ยา่ งไร ๙. การอ่านคาประพันธ์ประเภทใด ฝกึ อ่านได้งา่ ยทส่ี ดุ ก. อา่ นให้ถกู ตอ้ งตามอกั ขรวิธีในภาษาไทย ก. อา่ นบทเจรจา ข. อ่านบทร้อยแกว้ ข. อา่ นจากพจนานกุ รม ฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน ค. อ่านบทกลอนสวด ง. อ่านแบบทานองเสนาะ ค. อา่ นออกเสียงให้ดงั กงั วานจนผฟู้ งั เกดิ จนิ ตภาพ ๑๐. การอา่ นโคลงกระทู้มหี ลักในการอา่ นอยา่ งไร ง. อ่านเน้นคาสาคญั และคาทต่ี อ้ งการใหเ้ กิดจินตภาพ ก. อา่ นเหมอื นโคลงสี่สภุ าพ คือ อา่ นตามแนวนอน ๕. การอา่ นคาให้เออ้ื สมั ผสั ในเพอ่ื เพม่ิ ความไพเราะ เปน็ การอ่าน ข. ไมม่ ีกฎเกณฑ์ตายตัว แลว้ แตผ่ อู้ ่านจะพิจารณา ในข้อใด ค. อ่านตามแนวนอนก่อนแล้วยอ้ นไปอา่ นกระทเู้ รยี ง ก. ไมม่ ีกษัตรยิ ์ครองปฐพี อ่านว่า ปะ-ถะ-พี ตามแนวตง้ั ข. ขา้ อุตสา่ หม์ าเคารพอภิวนั ท์ อ่านวา่ อะ-พิ-วัน ง. อ่านกระทเู้ รยี งตามแนวตัง้ ก่อน แล้วย้อนไปอ่าน ค. บุญบนั ดาลดลจิตพระธิดา อา่ นวา่ พระ-ทิ-ดา ตามแนวนอน ง. คดิ ถงึ บาทบพติ รอดศิ ร อา่ นว่า อะ-ดดิ -สอน 4
ใบความรู้ที่ ๑.๒ เร่อื งการอา่ นเชิงวเิ คราะห์ การอา่ นเชิงวเิ คราะหเ์ ป็นการอา่ นหนงั สือแตล่ ะเล่มอย่างละเอียดให้ได้ความครบถ้วน แล้วจึงแยกแยะใหไ้ ดว้ า่ สว่ นตา่ งๆ น้ันมคี วามหมายและความสาคญั อย่างไรบ้าง แตล่ ะด้านสมั พนั ธก์ ับส่วนอ่ืนๆ อย่างไร วธิ อี ่านแบบวเิ คราะห์นี้ อาจใช้วเิ คราะหอ์ งคป์ ระกอบของคาและวลี การใช้คาในประโยค วเิ คราะห์สานวน ภาษา จุดประสงค์ของผู้แต่งไปจนถงึ การวิเคราะห์นยั หรอื เบื้องหลงั การจัดทาหนงั สอื หรือเอกสารนัน้ การวิเคราะห์เรื่องที่อ่านทุกชนิด ส่ิงที่จะละเลยไม่ได้ คือ การพิจารณาถึงการใช้ถ้อยคา สานวนภาษาว่า มี ความเหมาะสมกบั ระดับและประเภทของงานเขยี นหรือไม่ เช่น ในบทสนทนาก็ไม่ควรใช้ภาษาที่เป็นแบบแผน ควร ใช้สานวน ให้เหมาะสมกับสภาพจรงิ หรอื เหมาะแกก่ าลสมัยที่เหตุการณ์ในหนังสือนั้นเกิดข้ึน เป็นต้น ดังนั้นการ อ่านวเิ คราะหจ์ งึ ตอ้ ง ใช้เวลาอา่ นมาก และยิง่ มเี วลาอา่ นมากกย็ งิ่ มีโอกาสวเิ คราะหไ์ ดด้ ีมากข้ึน การอ่านในระดับ น้ีตอ้ งรจู้ ักตัง้ คาถามและจัดระเบยี บเร่ืองราวที่อ่านเพอื่ จะได้เข้าใจเร่ืองและความคดิ ท่ีผู้เขียนต้องการ กระบวนการวิเคราะหก์ ารอา่ น ๑. พิจารณารูปแบบของงานประพันธ์วา่ ใชร้ ปู แบบใด อาจเปน็ นทิ าน บทละคร นวนยิ าย เรื่องส้นั บทรอ้ ย กรอง หรอื บทความจากหนงั สือพิมพ์ ๒. แยกเน้ือเรื่องออกเปน็ ส่วนๆ ใหเ้ หน็ วา่ ใครทาอะไร ทไี่ หน อย่างไร เม่ือไร ๓. แยกพิจารณาแตล่ ะส่วนให้ละเอยี ดลงไปวา่ ประกอบกนั อย่างไร หรือประกอบดว้ ยอะไรบา้ ง ๔. พจิ ารณาให้เห็นว่าผู้เขียนใหก้ ลวิธเี สนอเรือ่ งอย่างไร ขนั้ ตอนการอา่ นเชงิ วเิ คราะห์ ๑. การอ่านวิเคราะหค์ า การอา่ นวิเคราะห์คา เป็นการอ่านเพื่อใหผ้ ู้อ่านแยกแยะถอ้ ยคาในวลี ประโยคหรอื ข้อความตา่ งๆ โดย สามารถบอกไดว้ า่ คาใดใช้อย่างไร ใช้ผดิ ความหมาย ผดิ หนา้ ที่ไม่เหมาะสม ไม่ชดั เจนอย่างไร ควรจะต้องหาทาง แก้ไขปรบั ปรงุ อย่างไร เช่น - อยา่ เอาไปใช้ทับกระดาษ - ทีน่ ีร่ บั อัดพระ - เขาท่องเทย่ี วไปทว่ั พภิ พ - เจา้ อาวาสวัดนม้ี รณกรรมเสยี แลว้ ๒. การอ่านวิเคราะหป์ ระโยค การอา่ นวิเคราะห์ประโยค เป็นการอา่ นเพื่อแยกแยะประโยคต่างๆ วา่ เป็นประโยคทถี่ ูกต้องชดั เจน หรอื ไม่ ใช้ประโยคผิดไปจากแบบแผนของภาษาอย่างไร เป็นประโยคทถ่ี ูกต้องสมบูรณเ์ พียงใดหรอื ไม่ มี หน่วยความคดิ ในประโยคขาดเกินหรอื ไม่ เรยี งลาดับความในประโยคท่ีใช้ไดถ้ กู ตอ้ งชัดเจนหรอื ไม่ ใช้ฟุ่มเฟอื ยโดย ไมจ่ าเปน็ หรือใชร้ ปู ประโยคที่สอ่ื ความหมายไมช่ ดั เจนหรือไม่ เม่ือพบข้อบกพร่องตา่ งๆ แล้วก็สามารถแก้ไขให้ ถกู ต้องได้ เชน่ 5
- สขุ ภาพของคนไทยไม่ดสี ่วนใหญ่ - การแก้ปญั หาจราจรในกรงุ เทพฯ เกิดการจลาจล - ทุกคนยอ่ มประสบความสาเรจ็ ท่ามกลางความขยนั หม่ันเพยี ร - เขามกั จะเป็นหวัดในทกุ คร้ังทฝ่ี นเร่ิมตก ๓. การอ่านวเิ คราะหท์ ัศนะของผแู้ ต่ง ผูอ้ ่านต้องพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบว่า ผเู้ ขียนเสนอทัศนะมนี ้าหนกั เหตผุ ลประกอบข้อเท็จจรงิ น่าเช่ือถอื เพียงใด เป็นคนมองโลกในแง่ใด เป็นต้น ๔. การอา่ นวเิ คราะหร์ ส การอ่านวิเคราะห์รส หมายถงึ การอ่านอยา่ งพจิ ารณาถงึ ความซาบซึ้งประทับใจที่ได้จากการอา่ นวธิ ีการท่ี จะ ทาให้เข้าถึงรสอยา่ งลึกซ้ึง คือการวิเคราะห์รสของเสยี งและรสของภาพ ๔.๑ ด้านรสของเสยี ง ผูอ้ า่ นจะรสู้ กึ ไดช้ ดั จากการอ่านออกเสยี งดงั ๆ ไม่วา่ จะเปน็ การอ่านอยา่ งปกตหิ รอื การอา่ นทานองเสนาะ จึงจะชว่ ยให้ร้สู กึ ถงึ ความไพเราะของจงั หวะและความเคล่อื นไหวซ่ึงแฝงอยูใ่ นเสยี ง ทาใหเ้ กิด ความรู้สึกไปตามท่วงทานองของเสียงสงู ต่าจากเนื้อเร่ืองที่อ่าน ๔.๒ ดา้ นรสของภาพ เมื่อผู้อ่านอา่ นแลว้ เกดิ ความเข้าใจเรื่อง ในขณะเดยี วกันทาใหเ้ หน็ ภาพด้วย เป็นการ สร้างเสริมให้ผอู้ า่ นไดเ้ ข้าใจความหมาย การเขยี นบรรยายความดว้ ยถอ้ ยคาไพเราะทัง้ รอ้ ยแกว้ และร้อยกรอง ก่อใหเ้ กิด ภาพขน้ึ ในใจผู้อา่ น ทาใหเ้ กดิ ความเพลิดเพลนิ และเข้าใจความหมายของเร่ืองได้ดีย่ิงข้นึ ๕. การอา่ นเพื่อวเิ คราะห์ขอบเขตของปัญหาและการตีความเน้ือหาของข้อความ การอา่ นเชิงวเิ คราะห์ ยงั มีสิ่งที่ตอ้ งพจิ ารณา คอื การวิเคราะห์ขอบเขตของปัญหา และการตคี วามเนือ้ หา ของหนงั สือ มีรายละเอียดดังน้ี ๕.๑ การวเิ คราะห์ขอบเขตของปัญหา มีหลักปฏบิ ตั ิดงั น้ี ๑) จดั ประเภทหนังสอื ตามชนิดและเนือ้ หา หนังสอื แต่ละประเภทมวี ธิ ีอ่านต่างกนั ก่อนอ่านต้อง วิเคราะห์ใหร้ ูว้ า่ หนังสอื เลม่ น้ันอยใู่ นประเภทใด การแบ่งประเภทจะดูแต่ชื่อเร่ืองหรอื ลักษณะภายนอกเพยี งอยา่ งเดียว ไมไ่ ด้ตอ้ งสารวจเน้ือหาดว้ ย อยา่ งไรก็ตาม ชือ่ เร่อื งเป็นสิง่ แรกท่ใี ชเ้ ป็นแนวทางได้ เพราะผู้เขยี นยอ่ มต้องพยายามตัง้ ชือ่ เรือ่ งใหต้ รงแนวเขยี นหรอื จุดม่งุ หมายในการเขียนของตนใหม้ ากท่ีสดุ ๒) สรปุ ให้ส้ันท่สี ุดวา่ หนังสือนัน้ กล่าวถึงอะไร หนงั สือท่ดี ีทุกเล่มต้องมเี อกภาพ มกี ารจัดองค์ประกอบ ของสว่ นย่อยอย่างมีระเบยี บ ผู้อ่านต้องพยายามสรปุ ภาพดังกลา่ วออกมาเพียง ๑-๒ ประโยคว่า หนังสอื เลม่ น้ันมีอะไร เป็นจุดสาคัญหรอื เป็นแกน่ เรื่อง แลว้ จงึ หาความสมั พนั ธก์ บั ส่วนสาคญั ต่อไป ๓) กาหนดโครงสังเขปของหนังสอื เมอื่ อ่านต้องตง้ั ประเดน็ ด้วยวา่ จากเอกภาพของหนงั สือเล่มนนั้ มี สว่ นประกอบสาคญั อะไรบ้าง ส่วนทส่ี าคัญๆ สัมพันธก์ นั โดยตลอดหรอื ไม่ และแตล่ ะส่วนกม็ หี น้าที่ของตนสนบั สนนุ ซึ่ง กัน และกนั หรือไม่ ๔) กาหนดปัญหาท่ผี ้เู ขียนตอ้ งการแก้ ผ้อู ่านควรพยายามอ่านและค้นพบว่าผู้เขยี นเสนอปญั หาอะไร อย่างไร มีปัญหายอ่ ยอะไร และใหค้ าตอบไวต้ รงๆ หรือไม่ การตัง้ ปญั หาเป็นวธิ กี ารหนง่ึ ทจี่ ะทาให้เขา้ ใจเรื่องแจ่มแจ้ง 6
ยิ่งต้งั ปญั หา ได้กว้างขวางลึกซึ้งเพียงใด ย่ิงเข้าใจได้เพิ่มขึ้นเพียงนัน้ ๕.๒ การตคี วามเน้ือหาของหนังสือ การตีความเป็นสงิ่ ทผ่ี ู้อ่านทาความเข้าใจความคิดของผูเ้ ขยี น พจิ ารณาวตั ถปุ ระสงค์ของผูเ้ ขียน ซ่งึ บางครัง้ ผเู้ ขยี นไม่ได้บอกความหมายหรือนยั ของขอ้ ความทีเ่ ขยี นออกมาตรงๆ แต่ ผู้อา่ นต้องอาศัยความรู้ความเขา้ ใจบรบิ ทของเรื่องเป็นอย่างดี จึงจะตคี วามได้ถูกต้อง การทาความเข้าใจความคดิ ของ ผเู้ ขยี นน้ัน ไมว่ ่าความคิดจะถกู ต้องหรือไม่ เราจะเห็นดว้ ยหรอื ไม่ก็ตาม แตก่ ารพยายามเข้าใจเช่นนัน้ ทาใหเ้ ราไม่ วจิ ารณ์ผเู้ ขียน อยา่ งไมย่ ุติธรรมแต่จะพจิ ารณาทง้ั ข้อดี ข้อบกพรอ่ งของงานเขียนน้ันอย่างแจ่มแจ้ง การตคี วามเนื้อหา ของหนังสือมีรายละเอียดต่างๆ ดงั นี้ ๑) ตีความหมายของคาสาคัญ และค้นหาประโยคสาคัญท่สี ุด ผูอ้ ่านตอ้ งพยายามเขา้ ใจคาสาคญั และเข้าใจ ประเดน็ ท่ีสาคัญที่ผูเ้ ขียนเสนอ เพ่ือเข้าใจความคดิ ของผู้เขยี น ๒) สรุปความคิดสาคัญของผู้เขยี น โดยพิจารณาว่าประโยคใดเป็นเหตุ ประโยคใดเปน็ ผล ประโยคใดเปน็ ข้อสรุป ซ่ึงบางครั้งผู้เขียนไม่ไดส้ รุปความคดิ ออกมาให้เห็นชัดเจนแต่ผู้อ่านต้องพยายามสรปุ ออกมาใหไ้ ด้ ๓) ตัดสินว่าอะไร คือการแกป้ ัญหาของผเู้ ขยี น เมื่อผู้อ่านตีความสาคัญให้ตรงกับผูเ้ ขียน เข้าใจความคดิ สาคัญ ของ ผ้เู ขยี น และสรปุ ความคิดของผเู้ ขียนได้แลว้ ผู้อา่ นก็จะวเิ คราะหห์ รอื ตดั สินได้ว่า จากเรอ่ื งราวหรือเหตุผลตา่ งๆ ที่ ผูเ้ ขยี นนามาเสนอน้นั มีความสมเหตุสมผลหนกั แน่นน่าเช่อื ถือไดห้ รือไม่เพียงใด เพื่อนาไปส่กู ารวิจารณ์หนังสอื เรื่องนนั้ ๆ ต่อไป การพจิ ารณาหนงั สือ การพิจารณาหนังสือเปน็ การประเมินคุณค่าหนังสือดา้ นตา่ งๆ ถ้าผู้อา่ นรูห้ ลักการประเมินจะทาให้การอ่าน หนังสอื มคี ณุ คา่ และความหมายมากยิง่ ขึ้น เม่ืออ่านแล้วสามารถแสดงความคิดเห็นเชงิ ประเมินคุณค่าของหนังสือได้ อยา่ งมีหลกั เกณฑ์ ผอู้ ่านจะเข้าใจหนงั สอื นน้ั ได้อยา่ งลึกซงึ้ และการพจิ ารณาหนังสือของตนจะมปี ระโยชนแ์ กผ่ ูอ้ ื่น ดว้ ย หนังสอื มีหลายประเภทใหเ้ ลอื กอ่าน แต่ละประเภทก็มีรายละเอยี ดหรือโครงสรา้ งแตกตา่ งกนั ไปตามลักษณะของ หนงั สอื ประเภทน้นั ๆ ในที่นี้จะนาเสนอการพจิ ารณาหรอื ประเมนิ คุณค่าของหนังสือ บทความหรอื เร่ืองราวต่างๆ ที่ ผูเ้ รยี นจะต้องเรียนหรืออ่าน ในชวี ติ ประจาวัน ดงั น้ี ๑. การอา่ นพจิ ารณาคอลมั น์ต่างๆ จากหนงั สือพิมพ์ หนงั สอื พิมพ์เป็นหนังสือท่ีคนจานวนมากอ่านเปน็ ประจาทุกวนั มีคอลมั นห์ ลากหลาย การอา่ น หนังสอื พมิ พ์มีแนวการพิจารณาประเดน็ ต่างๆ ดังนี้ ๑.๑ การพาดหัวขา่ ว เปน็ การตง้ั ชอื่ ข่าวให้กะทัดรดั และพมิ พด์ ้วยตัวอกั ษรใหญเ่ ป็นพเิ ศษ เพ่อื ดงึ ดดู ความสนใจ การพาดหัวขา่ วท่ีดมี ีลกั ษณะดงั นี้ ๑) หัวข่าวตรงกบั สาระของข่าว ผู้เขยี นขา่ วไมค่ วรพาดหวั ข่าวไมต่ รงกบั เน้ือหาสาระของข่าวเพื่อ เรียกรอ้ งความสนใจ ๒) หวั ข่าวใชภ้ าษาท่ีกะทดั รดั เขา้ ใจง่าย ไมค่ วรใช้ภาษาท่ีก่อให้เกดิ ความเข้าใจผิด และใช้คาผดิ ความหมายเพยี งเพอื่ ผลประโยชนท์ างการขาย โดยไมค่ านึงถงึ คุณคา่ ทางภาษา เชน่ - ทพั กฬี าพิการหวงั 30 ทอง - เปิดตวั กนิ ปยุ๋ วัดใจนายก - ห่นื รมุ สังฆกรรมสาวรุ่น ๑.๒ เนอื้ หาของข่าว มีแนวพิจารณาดงั นี้ 7
๑) เน้ือหาขา่ วที่ดี ตอ้ งเปน็ ข่าวจรงิ ตามเหตุการณ์ทีเ่ กิดข้นึ ไมค่ วรมคี วามคดิ เห็นหรอื เพม่ิ เนือ้ หา ตามใจผ้เู ขยี นเพอ่ื ใหผ้ ้ฟู ังชืน่ ชอบ ขา่ วทีด่ ีต้องเปน็ ข่าวทสี่ ง่ ผลกระทบต่อคนหมู่มากหรือส่วนรวม เชน่ ขา่ วการเมอื ง การ เลือกต้งั ข่าวการปกครอง ข่าวสังคม ข่าวเศรษฐกจิ ขา่ วการประกอบอาชีพหรือขา่ วเก่ยี วกบั การอนามัย เป็นต้น ไม่ควร เปน็ ข่าวของคนใดคนหนง่ึ เพื่อยกย่องเชิดชู โดยมงุ่ หวังประโยชนส์ ว่ นตนเป็นทตี่ ้ัง และต้องเปน็ ขา่ วที่ไม่ทาลายความ มั่นคงของชาติ ความสงบสขุ ของประชาชนและศีลธรรมอันดีงาม ๒) ภาษาท่ใี ชค้ วรเป็นภาษาสุภาพ ไมค่ วรใชภ้ าษาหยาบคาย ๓) การเล่าเหตุการณ์ในข่าวควรเล่าตามลาดบั ต้ังแตต่ น้ จนจบ ไมป่ ดิ บงั อาพรางมีเงื่อนงา สลับซับซ้อน ๔) การเลา่ เหตกุ ารณ์ทุกตอนต้องอา้ งอิงหลกั ฐานท่ีมา สถานทเ่ี วลา รวมถงึ บุคคลท่เี กี่ยวข้องเพอ่ื ให้ ผอู้ า่ นทราบรายละเอียดและมีความเชือ่ ถือในข่าว การปกปิดสถานที่ ชือ่ หรอื นามของบุคคล ควรเปน็ ไปเพ่ือความบริสุทธิ์ ใจท่ีปกป้องผูบ้ รสิ ุทธิ์ ผู้เยาวห์ รือเป็นจรรยาบรรณของหนงั สือพิมพ์ ๑.๓ การพิจารณาบทความในวารสารหนังสอื พิมพ์ มีดังน้ี บทความในวารสารและหนังสอื พิมพ์ สว่ นใหญ่เก่ยี วข้องกับคนหม่มู ากและแสดงความคิดเห็นของ ผู้เขียนอยา่ งเต็มท่ี บทความท่ีดคี วรมีลักษณะดังน้ี ๑) ผเู้ ขียนบทความต้องเปน็ ผู้ท่รี ู้เรื่องทเ่ี ขียนอย่างถ่องแท้ มีข้อมูลสามารถอ้างอิงได้ ๒) ผู้เขยี นบทความต้องแสดงความคดิ เหน็ โดยอาศยั ข้อเท็จจริงและเหตุผลอื่นๆ ประกอบอย่าง กว้างขวาง การแสดงความคดิ เหน็ เป็นไปอย่างบริสทุ ธ์ิใจ ไมใ่ ชค้ วามรสู้ ึกของตนเองเปน็ ตัวกาหนดเพียงอย่างเดียว การ แสดงความคิดเหน็ นน้ั ควรเป็นไปในทางสรา้ งสรรคแ์ ละไม่อคตลิ าเอียง ๓) การวิจารณข์ องผูเ้ ขียนบทความ ต้องต้ังอยบู่ นหลักการ การตาหนไิ ม่ควรเน้นที่ตวั บุคคล แต่เน้นท่ี วธิ กี ารหรือหลักการ ควรช้ใี หเ้ ห็นปัญหาและเสนอแนวทางแก้ปัญหาอย่างถูกต้อง นอกจากนรี้ ูปแบบการเขยี นและ การใช้ภาษา ควรมคี วามถกู ต้องเข้าใจงา่ ย ไม่ใช้ถ้อยคาทีส่ ่อเสยี ดหยาบคาย ๑.๔ การพิจารณาคอลัมน์อืน่ ๆ มวี ิธีการพจิ ารณาดงั นี้ นอกจากข่าวและบทความแล้ว วารสารหรอื หนงั สอื พมิ พย์ งั มอี กี หลายคอลมั น์ เช่น บันเทิงคดี ประกาศ โฆษณา ความร้ตู า่ งๆ การพจิ ารณาคุณค่าในแตล่ ะคอลัมน์ ควรพิจารณาเรื่องการใช้ภาษาการเขียน และคุณคา่ ท่ไี ดร้ บั จากการอา่ น เป็นตน้ ๒. การพิจารณาหนังสอื ประเภทสารคดี สารคดี ไดแ้ ก่ หนงั สอื ท่ีใหแ้ นวความรูต้ ่างๆ เชน่ ด้านปรัชญา ตรรกวทิ ยา การศึกษา ควรพิจารณาใน ดา้ นต่างๆ ดังน้ี ๒.๑ เนอื้ หาสาระ มีความถูกต้องสมบูรณต์ ามหลกั วชิ าหรือไม่ เร่ืองนามาเขียนมสี ารประโยชนเ์ พยี งใด เหมาะสาหรับผอู้ ่านระดบั ใด ๒.๒ วิธเี สนอหนงั สอื อาจเสนอเปน็ ความเรยี งวิชาการ มกี ารคน้ ควา้ หาความรู้อ้างอิงประกอบหรือเสนอ เป็นบนั ทกึ ของผเู้ ขียน เล่าประสบการณ์ของตนหรือเสนอเป็นจดหมายใหโ้ ตต้ อบ ควรพิจารณาว่าผู้เขียนมวี ิธีเขยี นทชี่ วน อ่าน เข้าใจงา่ ยหรอื ไม่ สานวน ภาษาสื่อความหมายได้แจ่มแจง้ หรอื ไม่ เหมาะแก่ระดบั ของผอู้ ่านตามความตั้งใจของ ผ้เู ขยี นหรอื ไม่ เพยี งใด 8
๒.๓ การวางเค้าโครงเรอื่ ง เค้าโครงเรอื่ งท่ีเขยี นจะตอ้ งมกี ารจดั ลาดบั อยา่ งมรี ะเบยี บ จึงควรพจิ ารณาว่า ผเู้ ขยี นสามารถทาใหค้ วามสาคัญๆ เชือ่ มโยงต่อเนื่องกนั ได้ดีเพียงใด มกี ารเรียงลาดบั ความยากง่ายเพื่อช่วยความ เข้าใจของผอู้ ่านหรือไม่ ๒.๔ ส่วนประกอบของหนังสือ สว่ นประกอบตา่ งๆ ของหนังสอื ได้แก่ คานา สารบัญดชั นี บรรณานกุ รม อภิธานศัพท์ สามารถช่วยใหผ้ อู้ า่ นเขา้ ใจความสาคัญของหนังสอื ได้รวดเรว็ ควรพิจารณาว่าหนังสอื นั้นๆ มี สว่ นประกอบอานวยประโยชน์ดงั กลา่ วหรือไม่ ๒.๕ วุฒิและประสบการณข์ องผู้เขยี น หนังสอื สารคดบี างเล่มจะมปี ระวัติย่อ วฒุ ิและประสบการณ์ของ ผ้เู ขยี นบอกไวด้ ้านหลงั รายละเอียดดังกล่าวจะชว่ ยให้ผู้อ่านสามารถวนิ จิ ฉัยได้ดยี ่ิงขึ้นวา่ เรอื่ งนัน้ ๆ มีคณุ ค่า นา่ เชอ่ื ถือหรือไม่ ๒.๖ คณุ ภาพการพิมพ์และการออกแบบรูปเลม่ สิง่ ท่ีชีใ้ หเ้ ห็นคณุ ภาพของหนังสอื เช่น การจัดหวั เรื่อง ทาใหส้ ่ือความไดช้ ัดเจน การพิสจู นอ์ กั ษรถูกต้อง การออกแบบรปู เล่มเหมาะสมน่าอ่าน ๓. การพิจารณาหนงั สือประเภทบันเทงิ คดี หนังสือประเภทบันเทงิ คดี อาจมวี ธิ ีการพิจารณาในด้านต่างๆ ดงั นี้ ๓.๑ แก่นของเรื่องหรือแนวเร่ือง หมายถึง แนวคดิ สาคัญของผู้เขยี น ซึ่งเป็นหวั ใจของเรื่อง ๓.๒ การวางโครงเรอื่ ง หมายถึง การผูกเรื่องให้มตี ัวละครและเหตกุ ารณ์เชอ่ื มโยงสมั พันธ์กันตงั้ แตต่ น้ จนจบเรือ่ ง ซ่ึงจะต้องสอดคล้องกบั แกนของเรื่องทผ่ี ู้แตง่ วางแนวไวแ้ ละต้องดาเนนิ ไปอย่างสมเหตุสมผล ๓.๓ ตวั ละคร ตัวละครอาจมีน้อยหรือมากแล้วแต่ความประสงค์ของผแู้ ต่ง การเสนอตัวละครทน่ี า่ สนใจ ตอ้ งเปน็ ตัวละครท่มี ลี ักษณะนิสัยและพฤติกรรมที่มคี วามสมจริง คือ เป็นบคุ คลทอ่ี าจหาได้ในชวี ติ จริง มใิ ช่ดีหรอื เลวจนผิดมนษุ ย์ธรรมดา นอกจากน้ันพฤติกรรมต่างๆ ของตัวละคร ควรสะท้อนภาพชวี ติ จริงของสังคมตามความ เปน็ จริงดว้ ย ๓.๔ ฉาก เปน็ สว่ นที่ชว่ ยทาใหบ้ รรยากาศของเร่ืองเปน็ ไปอย่างสมจริง ซ่งึ ผเู้ ขียนจะต้องบรรยายให้ตรง กบั ความเป็นจรงิ หรืออยู่ในวิสยั ที่เปน็ จรงิ ได้ ๓.๕ สานวนภาษาและลลี าในการเขียน นักเขียนจะมสี านวนหรือลลี าการเขียนเปน็ แบบฉบับของตน ดังนนั้ ผวู้ ิจารณจ์ ะตอ้ งพจิ ารณาใหถ้ ่องแท้วา่ ผเู้ ขียนมลี ีลาการเขียนอยา่ งไร ๓.๖ สารจากผู้เขยี น สารที่ผ้เู ขียนให้ หมายถึง ข้อคิดหรือบางสิง่ บางอยา่ งทผ่ี เู้ ขียนฝากไว้ให้ ซึ่งผูอ้ ่าน อาจได้รับแตกตา่ งกันไปตามแต่ประสบการณ์ของผอู้ า่ น ควรฝกึ ทกั ษะให้ไว ตอ่ การรบั สารของผ้เู ขยี นและตีความ เข้าใจ เพอื่ ให้การอ่านเรื่องบนั เทงิ คดมี รี สชาติมากย่ิงขนึ้ ๔. การพิจารณาหนงั สือประเภทร้อยกรองหรือกวนี ิพนธ์ หนงั สอื ประเภทร้อยกรองหรือกวีนิพนธ์ มีวิธีการพจิ ารณาดงั น้ี ๔.๑ รปู แบบของฉันทลักษณ์ คอื ลกั ษณะบังคบั ของบทร้อยกรองแต่ละประเภทซ่ึงต่างกัน ควร พิจารณาความถูกตอ้ งของรูปแบบฉันทลกั ษณ์น้ันๆ เปน็ เกณฑ์ ๔.๒ ความคิดเห็นและเน้ือหาสาระในบทกวี บทกวีท่ดี จี ะต้องมีเนื้อหาสาระท่แี สดงความนึกคิดอนั มี คณุ ค่าแก่ชีวิต บทกวีบางบทให้ความรูส้ ึกสะเทือนอารมณใ์ นดา้ นตา่ งๆ เชน่ อารมณร์ กั อารมณ์เศรา้ อารมณ์โกรธ ฯลฯ บางบท ให้คตเิ ตอื นใจ ให้ความรูเ้ ร่ืองตา่ งๆ เปน็ ต้น จงึ ควรพิจารณาให้ถ่ีถ้วนว่ากวีให้ความคิดอะไรแก่ผู้อ่านบา้ งและมี เน้ือหาสาระอย่างไร 9
๔.๓ กลวธิ กี ารแตง่ หรือวรรณศลิ ป์ กลวิธใี นการแต่งหรือวรรณศิลปน์ ้อี าจพิจารณาไดจ้ ากการเลอื กคามา ใช้ให้เหมาะสมกบั ความ การเลน่ เสยี งด้วยสมั ผสั สระ พยัญชนะ การใช้โวหารแบบตา่ งๆ การใช้สญั ลกั ษณ์ ซึง่ กวแี ต่ ละคนจะมกี ลวธิ ีแต่งแตกต่างกนั ไปเป็นเฉพาะตน ๔.๔ รสของบทร้อยกรอง หมายถงึ ความรู้สึกที่เกิดขนึ้ แก่ผู้อ่าน เมื่อถ้อยคาสานวน หรือเร่อื งราวในบท รอ้ ยกรองนน้ั ๆ มากระทบอารมณ์ผอู้ า่ น อาจใหค้ วามรสู้ กึ ทางด้านความรัก ความเศรา้ ความตน่ื เต้น ฯลฯ แลว้ แต่ ลกั ษณะของบทร้อยกรองและอารมณ์ของผ้อู ่านขณะนั้น ๔.๕ สารจากบทร้อยกรอง บทร้อยกรองก็มีสารของผูแ้ ต่งฝากไว้เชน่ กนั ดงั นนั้ จึงควรพิจารณาให้ถถี่ ้วน เพ่อื รบั สารจากผเู้ ขียนไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพการประเมินคุณคา่ ของหนงั สือไม่ว่าประเภทใด ผู้ประเมนิ ควรอา่ น หนงั สอื นน้ั ๆ อยา่ งละเอียดและพจิ ารณา ทง้ั จุดดแี ละจดุ ด้อยของหนังสือด้วยใจเป็นธรรม ปราศจากอคติ ซงึ่ เมื่อได้อา่ นหนังสือมากๆ และฝกึ การวเิ คราะห์ ตลอดจน มกี ารประเมินคณุ ค่าของหนงั สืออยู่เสมอแล้วก็จะช่วยให้มวี ิญญาณในการอ่านหนังสอื และอา่ นหนงั สือ อยา่ งมีอรรถรสย่งิ ขนึ้ ทีม่ า กรมวชิ าการ. การจัดสาระการเรยี นรู้ กลุ่มสาระการเรยี นรภู้ าษาไทย ตามหลกั สูตรการศกึ ษาขน้ั พืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๔ พ.ศ.๒๕๔๖ 10
ใบงานที่ ๑.๒ คาช้ีแจง นักเรียนจดบันทึกข้อมูลในส่วนทสี่ าคัญและ ส่ิงที่จาเปน็ ทไ่ี ด้จากการอา่ นจากใบความรู้ ที่ ๑.๒ โดยใช้ ขอ้ ความอยา่ งรัดกุมหรือย่อตามความเข้าใจ ........................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................... 11
ใบงานท่ี ๑.๒ เรอ่ื ง การวิเคราะหค์ ุณค่าหนงั สือตามความสนใจ คาชี้แจง ใหน้ ักเรียนวเิ คราะหค์ ณุ ค่าจากประเด็นต่อไปนี้ แกน่ ของเร่ือง ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... การวางโครงเรื่อง ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ตัวละคร ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ฉาก ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... สานวนและลีลาในการเขยี น ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... 12
ใบความรู้ที่ ๑.๓ ตัวอย่างการเขยี นสื่อสารที่ดี พูดถึงกล้วยทอดแลว้ คนไทยเรยี กว่ากล้วยแขก ความจรงิ แล้วกค็ ือกล้วยชุบแป้งทอดน้ันเอง กลว้ ยทา อะไร ได้หลายอย่างนอกจากกนิ เปล่าๆ หรอื กินกบั เนยแข็ง เชน่ กล้วยไขก่ นิ กับกระยาสารท กลว้ ยปง้ิ กลว้ ย เผา กล้วยทับ กลว้ ยตาก กลว้ ยแช่นา้ ผ้ึง กลว้ ยเช่ือมราดหวั กะทิ กล้วยดบิ ตม้ ยาทาแกงกะทิเป็นกับขา้ วก็ได้ ต้นกล้วยปลูกทาแนวร้ัวได้ สับให้หมกู นิ ได้ หวั ปลีใช้ยาหรอื กินดบิ ๆ กบั ก๋วยเตยี๋ วผดั ไทยก็อร่อย ทาตม้ หวั ปลกี ับปลาช่อนกเ็ จริญอาหารดนี ักแล ใบกลว้ ยหรือใบตองกม็ ีประโยชน์ สมัยก่อนยงั ไม่มถี ุงพลาสตกิ ก็ได้ ใบตองน้ีแหละ เปน็ ภาชนะห่อขนมและกับข้าว ใช้ปรู องน่ังรองนอนกไ็ ด้ มุงหลังคากไ็ ด้ ทาบายศรขี องสงู ก็ได้ คนไทยเป็นหนี้กล้วยจรงิ ๆ แต่พออะไรท่ีเป็นของง่ายของตายกลบั ประชดประชันดนั แดกเสยี อกี ว่า “ของ กลว้ ยๆ” “งา่ ยเหมือนปอกกลว้ ย เข้าปาก” ท่มี า เดินดินกินข้าวแกง โดย วิษณุ เครอื งาม 13
ใบงานที่ ๑.๓ การใช้ถอ้ ยคาในการเขยี นส่อื สาร คาช้แี จง ให้นกั เรียนตอบคาถามที่กาหนดให้ถกู ต้อง การเลอื กใช้คาให้ถกู ต้องตามความหมายมวี ธิ กี ารอย่างไร การใช้คาให้ถกู ต้องตามระเบยี บภาษามวี ิธกี ารอย่างไร มารยาทในการเขยี นมหี ลักปฏบิ ัตอิ ย่างไร 14
แบบทดสอบ ก่อน – หลังเรยี น เรือ่ งการพดู เชงิ สรา้ งสรรค์ คาชีแ้ จง ให้นกั เรียนเลือกคาตอบท่ีถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว ๑. การจบั ใจความสาคญั ของสงิ่ ท่ฟี ังและดู ควรปฏบิ ัตสิ ิ่งใด ๖. ข้อใดคือจดุ ประสงค์ของการพดู แสดงความคดิ เห็น เป็นอนั ดบั แรก ก. ฟงั และดสู อ่ื ใหต้ ลอดเรือ่ ง เชิงสรา้ งสรรค์ ข. มมี ารยาทในการฟังและดู ค. เลือกฟงั และดสู ือ่ ทดี่ มี คี ณุ ภาพ ก. ตอ้ งการใหเ้ กดิ ความเช่ือถอื ง. พจิ ารณาถึงประโยชนท์ ่ีจะได้จากการฟังและดู ข. ต้องการให้มีการยอมรับในขอ้ ผิดพลาด ๒. การเรยี บเรยี งจบั ใจความสาคัญของเรอ่ื งทฟี่ ังและดู เพอ่ื นามาพูดควรใชภ้ าษาท่มี ลี ักษณะอยา่ งไร ค. ตอ้ งการใหม้ ีความคดิ คลอ้ ยตามกับผพู้ ดู ก. ภาษาพูดทเี่ ข้าใจงา่ ย ข. ภาษาทสี่ วยงามสละสลวย ง. ตอ้ งการให้มกี ารเปลยี่ นแปลงไปในทางที่ดี ค. ภาษาทม่ี คี วามลกึ ซึง้ กินใจ ง. ภาษาที่เปน็ ทางการหรือกงึ่ ทางการ ๗. ขอ้ ใดเป็นการพดู แสดงความคดิ เหน็ เฉพาะตวั ๓. บคุ คลในขอ้ ใดเป็นนักเลา่ เรื่อง ก. ปหี น้าอาจจะมนี า้ ทว่ มใหญอ่ ีกครั้ง ก. นายเบสพดู แตป่ ระเดน็ สาคญั ของเร่อื งทอี่ ยากพูด ข. นายบอยถา่ ยทอดประสบการณ์ของตนให้ผู้อื่นฟงั ข. หนา้ รอ้ นฉนั ชอบไปเทยี่ วจังหวดั ท่ีมชี ายทะเล ค. นายบอสแสดงความคดิ เหน็ ตอ่ พฤตกิ รรมของผทู้ ี่ตนสนใจ ง. นายบูมพูดเสนอแนะแนวทางในการแกป้ ัญหา ค. รักเมอื งไทย ชชู าตไิ ทย ทะนุบารุงใหร้ ุง่ เรอื ง ความแตกแยกในสงั คม ง. อนั แก้วดมี ีคา่ ราคาย่ิง ส่งให้ลงิ จะร้คู า่ ราคาหรอื ๔. การพูดประเภทใดที่ใช้อปุ กรณ์ประกอบการพูด ๘. “เปน็ การพูดท่ีมีพลัง ให้คติเตือนใจ สอนใจทค่ี วรนามาเป็นแง่ ก. พดู เล่าเรื่อง ข. พดู แสดงความคดิ เห็น คิดในการสร้างสรรค์ให้ชวี ิตดีขนึ้ ” ขอ้ ความนีก้ ลา่ วถึง ค. พูดรายงานทางวชิ าการ ง. พูดสรุปใจความสาคัญของเรอื่ ง การพูดประเภทใด ๕. ถ้านกั เรียนตอ้ งการเลา่ เรื่องใหเ้ ดก็ นักเรยี นระดับช้ัน ประถมศึกษาปีท่ี ๔ ฟงั โดยมีจดุ มงุ่ หมายเพอ่ื ส่งั สอนอบรม ก. การพดู ติชม ให้มีความสามัคคกี ัน ควรเลอื กเลา่ เร่อื ง ประเภทใด ก. เรอ่ื งสน้ั ข. การพูดรายงาน ข. นทิ านคณุ ธรรม ค. บทความเชงิ วิชาการ ค. การพดู ใหก้ าลังใจ ง. สารคดสี ่งเสริมการท่องเทีย่ ว ง. การพดู แสดงความคดิ เหน็ ๙. “การปรกึ ษาหารอื กันในเรือ่ งใดเรือ่ งหนึ่งเพียงเร่ืองเดยี วในวง กวา้ ง” ข้อความน้กี ล่าวถึงการพดู เชงิ วชิ าการประเภทใด ก. การประชุม ข. การสัมมนา ค. การอภปิ ราย ง. การพดู รายงาน ๑๐. ภาษาทใี่ ช้ในการพูดรายงานมลี ักษณะอย่างไร ก. ใช้ศัพท์วิชาการ ข. ใช้ถ้อยคาตามขอ้ มูลท่ีค้นคว้ามา ค. ใชภ้ าษาพูดที่กระชับ เขา้ ใจง่าย สภุ าพ ง. ใช้ภาษาท่ีเขา้ ใจงา่ ย มีความหมายตรงตวั 15
ใบงานท่ี ๑.๔ การพดู เชงิ สรา้ งสรรค์ คาชี้แจง นกั เรยี นอธบิ ายหลกั การพูดและสรปุ ความรู้เรอื่ ง การพูดเชงิ สรา้ งสรรค์ ตามประเด็น ท่คี รูกาหนด การพดู แสดงความคดิ เหน็ ............................................................................................................................. ............................................................ ... ............................................................................................................................. ............................................................... ............................................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ............................................................... ............................................................................................................................. ............................................................... ......................................................................................................................................... ................................................... ............................................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ............................................................... การพดู ใหก้ าลงั ใจ ............................................................................................................................. ............................................................... ............................................................................................................................. ............................................................... ............................................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ............................................................... ............................................................................................................................. ............................................................... การพดู ตชิ ม ................................................................................................................................ ............................................................ ............................................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ............................................................... ............................................................................................................................. ............................................................... ............................................................................................................................................... ............................................. ...................................................................................... ...................................................................................................... 16
ใบงานท่ี ๑.๔ วซี ีดี ธรรมะเดลิเวอร่ี ชุดท่ี ๒๖ สุขกนั เถอะ คาช้ีแจง ให้นกั เรียนพูดแสดงความคิดเห็นจากวซี ีดี ธรรมะเดลิเวอรี่ ชุดท่ี ๒๖ สุขกนั เถอะโยม ตามอินเทอร์เน็ต ลาดบั เหตุการณ์หรือบนั ทึกเรื่องยอ่ ท่ีจะพดู ............................................................................................................................. ............................................................... ............................................................................................................................. ............................................................... ....................................................................................................................................................................................... ..... ............................................................................................................................. ............................................................... ............................................................................................................................. ............................................................... .................................................................................................................................. .......................................................... ............................................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ............................................................... ภาษาหรือทา่ ทางในการพดู ............................................................................................................................. ............................................................ ... ............................................................................................................................. ............................................................... ............................................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ............................................................... ............................................................................................................................. ............................................................... ส่ือประกอบการพดู ............................................................................................................................. ............................................................... ................................................................................................................................................................................ ............ ....................................................................................................................... ..................................................................... ............................................................................................................................. ............................................................. .. ............................................................................................................................. ............................................................... ............................................................................................................................................................................................ 17
แบบทดสอบ แผนการสอนที่ ๑.๕ เร่ือง ชนิดและหนา้ ที่ของคา คาช้แี จง ใหน้ กั เรยี นเลือกคาตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว ๑. ขอ้ ใดกล่าวถกู ต้อง ๖. คานามข้อใดมีหน้าท่ีต่างจากขอ้ อ่นื ก. คาที่ประสมแลว้ มคี วามหมายเรียกวา่ “พยางค์” ก. มานีชอบดลู ะครตอนเยน็ ข. คาเกิดจากการนาเสียงพยัญชนะและเสยี งสระประสม ข. คุณปชู่ อบเล่านิทานพื้นบ้าน กัน ค. แม่ใหต้ ุ๊กตาหมีแกน่ ้องในวนั เกิด ค. คาหน่ึงคามพี ยางค์เดยี วหรือมีหลายพยางค์ และอาจ ง. นายกรัฐมนตรปี ระชุมที่ทาเนียบรฐั บาล ไม่มีความหมายก็ได้ ๗. ขอ้ ใดมคี าวิเศษณบ์ อกความช้ีเฉพาะ ง. กลมุ่ คาเกิดจากการนาคาหลายๆ คามาเรยี งกัน ก. นกั เรียนคนนต้ี ัง้ ใจเรียนมาก แตย่ ังมีความหมายไมบ่ รบิ ูรณ์ ข. ฉันชอบภาพลอ้ เลยี นภาพนี้ ๒. คาท่ชี ว่ ยขยายคาอื่นในประโยค เรยี กคาชนดิ ใด ค. คุณยา่ ขา หนูอยากกนิ น้าพริกค่ะ ก. คากริยา ง. วันๆ ไมท่ าอะไรเลยเอาแตเ่ ล่นเกม ข. คาอทุ าน ๘. คาสนั ธานในขอ้ ใดต่างจากข้ออืน่ ค. คาสันธาน ก. นกเปน็ คนกินเก่งแต่ไม่อว้ น ง. คาวเิ ศษณ์ ข. ฉันกบั เพื่อนจะไปเลน่ ฟุตบอล ๓. คาใดท่ีมสี ว่ นสาคัญในประโยคมากทส่ี ุด ค. หนูจะซื้อการต์ ูนหรือแผ่นซดี ี ก. คานาม ง. แม่ทางานเหนื่อยท้ังวันแตแ่ ม่ก็ไมบ่ ่น ข. คากรยิ า ๙. ประโยคในข้อใดใช้คาอุทานได้เหมาะสม ค. คาสันธาน ก. นๆ่ี เส้อื ตวั นสี้ วยจงั ! ง. คาสรรพนาม ข. อุ๊ย! รีบทาการบา้ นเข้าสิ ๔. คาใดเป็นคานาม ค. ตายจริง! ฉันลมื เอาการบา้ นมา ก. เปรยี้ ว ง. พทุ โธ่! ทางานมาทั้งวนั เหนื่อยจังเลย! ข. ทาบญุ ๑๐. ประโยคในข้อใดเปน็ ประโยคความรวม ค. สวยงาม ก. ขนมทีฉ่ ันชอบกนิ มากคอื ฝอยทอง ง. ความคดิ ข. วันหยุดฉันกับพีจ่ ะไปขายของท่ีตลาด ๕. คาในข้อใดทใี่ ช้ลักษณนามเหมือนกนั ทกุ คา ค. เขาชอบดูการต์ นู เรอ่ื งราพันเซลมาก ก. ปนิ่ เบด็ สาก ง. แม่ของฉันไปตลาดกับคณุ ป้าข้างบา้ น ข. เกวียน พาย ดาบ ค. เณร ชี พระพุทธรูป ง. อทุ ยาน นา้ ตก สะพาน 18
ใบงานท่ี ๑.๕ เร่อื ง ชนิดของคา คาชี้แจง ให้นกั เรยี นจาแนกชนิดของคาท่กี าหนดให้ถกู ต้อง ใกล้ กบั วา้ ย ท่งุ นา โทรทศั น์ อุ๊ยตาย บา้ ง เพราะว่า แหง่ มากมาย หนงั สอื เน่อื งจาก หรอื ขา้ พเจา้ ทาการบา้ น เปรย้ี ว ตน้ ไม้ คุณพ่ี กระผม เตย้ี บน เธอ หวั เราะ กลว้ ยแขก วง่ิ ดฉิ นั แก่ เหมน็ ดว้ ย โอย้ จบั ปลา นอนหลบั อยา่ งไรกต็ าม เพราะฉะนนั้ เหลอื เกนิ สนามหลวง โทรศพั ทม์ อื ถอื คณุ พระช่วย คำนำม คำสรรพนำม คำกริยำ คำวิเศษณ์ . คำสนั ธำน คำบพุ บท คำอทุ ำน 19
แบบทดสอบ กอ่ น-หลังเรียน เรอ่ื ง สรุปเนอื้ หาเร่ืองนริ าศภเู ขาทอง คาชีแ้ จง ให้นักเรียนเลือกคาตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว ๑. นิราศภูเขาทองแต่งข้นึ ในสมยั ใด ก. สมัยรชั กาลที่ ๑ ข. สมัยรชั กาลท่ี ๒ ค. สมัยรชั กาลที่ ๓ ง. สมยั รัชกาลท่ี ๔ ๒. ข้อใดกลา่ วถกู ต้องเกย่ี วกับนริ าศ ก. นยิ มแต่งเพ่ือพรรณนาการเดนิ ทาง ข. คร่าครวญถงึ พอ่ แม่ท่ีตอ้ งเดนิ ทางจากมา ค. ใช้เหก่ ล่อมเจ้านายเพื่อให้ข้อคิด คติเตือนใจ ง. มีจุดมงุ่ หมายในการยอพระเกียรตขิ องกษัตรยิ ์ ๓. ขอ้ ใดมคี วามหมายเหมือนกับบทประพันธต์ อ่ ไปนี้ “ถงึ บางพดู พูดดีเป็นศรศี ักดิ์ มคี นรักรสถ้อยอร่อยจติ แม้นพูดชว่ั ตัวตายทาลายมติ ร จะชอบผดิ ในมนุษย์เพราะพดู จา” ก. พูดจนลิงหลับ ข. พูดดีเปน็ ศรีแกป่ าก ค. น้าทว่ มทงุ่ ผักบุ้งโหรงเหรง ง. พดู ไปสองไพเบีย้ นิง่ เสยี ตาลงึ ทอง ๔. เพราะเหตุใด พระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลิศหล้านภาลยั จงึ ตั้งชือ่ เมืองสามโคกว่าเมืองปทมุ ธานี ก. เพราะมีดอกบัวขนึ้ อยู่มาก ข. เพราะเปน็ ตลาดค้าบัวขนาดใหญ่ ค. เพราะชาวเมืองนี้นิยมทานาบัวเป็นอาชีพ ง. เพราะมคี นนาฝักบัวที่มีช่ือเสียงของสามโคกมาถวาย ๕. ขอ้ ใดแสดงให้เหน็ ถึงการประกอบอาชีพประมง ก. ถงึ โรงเหลา้ เตากล่ันควันโขมง ข. ท้งั ของสวนล้วนแต่เรอื เรยี งราย ค. มพี ว่ งแพแพรพรรณเขาค้าขาย ง. ตรงหน้าโรงโพงพางเขาวางราย 20
๖. “โอบ้ าปกรรมน้านรกเจยี วอกเรา ให้มวั เมาเหมือนหนึ่งบ้าเปน็ น่าอาย” คาท่ีเป็นตัวหนามีความหมายวา่ อย่างไร ก. นา้ ตา ข. น้าเมา ค. นา้ ครา ง. นา้ สกปรก ๗. คาในข้อใดมคี วามหมายวา่ ดอกบัว ทกุ คา ก. บษุ บา บบุ ผา กชกร ข. บุษบัน บษุ บา บษุ กร ค. ปทมุ มาลี กชกร ง. อบุ ล บษุ กร ปทุม ๘. ข้อใดแสดงใหเ้ ห็นถึงความเช่ือของสงั คมไทย ก. จนแจม่ แจง้ แสงตะวันเห็นพันธุผ์ ัก ดูนา่ รกั บรรจงสง่ เกสร เหลา่ บัวเผ่ือนแลสล้างรมิ ทางจร ก้ามกุ้งซอ้ นเสียดสาหรา่ ยใตค้ งคา ข. สายตงิ่ แกมแซมสลับต้นตบั เต่า เปน็ เหล่าเหล่าแลรายทง้ั ซา้ ยขวา กระจบั จอกดอกบัวบานผกา ดาษดาดูขาวดัง่ ดาวพราย ค. เห็นโศกใหญ่ใกลน้ ้าระกาแฝง ท้งั รักแซงแซมสวาทประหลาดเหลอื เหมอื นโศกพี่ท่ีช้าระกาเจือ เพราะรักรือ้ แรมสวาทมาคลาดคลาย ง. ง้ิวนรกสิบหกองคุลีแหลม ดังขวากแซมเส้ียมแทรกแตกไสว ใครทาชคู้ ูท่ ่านครั้นบรรลยั ก็ตอ้ งไปปนี ต้นนา่ ขนพอง ๙. ข้อใดใช้คาเพ่อื การสร้างจนิ ตภาพได้อยา่ งชดั เจน ก. เห็นโศกใหญใ่ กลน้ า้ ระกาแฝง ท้งั รักแซงแซมสวาทประหลาดเหลือ เหมอื นโศกพ่ที ีช่ ้าระกาเจือ เพราะรักรอ้ื แรมสวาทมาคลาดคลาย ข. จนแจ่มแจง้ แสงตะวันเห็นพันธ์ผุ ัก ดนู ่ารกั บรรจงสง่ เกสร เหล่าบัวเผ่ือนแลสลา้ งริมทางจร กา้ มกุ้งซอ้ นเสยี ดสาหรา่ ยใตค้ งคา ค. สายติง่ แกมแซมสลับตน้ ตบั เต่า 21
เป็นเหลา่ เหล่าแลรายทงั้ ซา้ ยขวา กระจบั จอกดอกบวั บานผกา ดาษดาดขู าวดัง่ ดาวพราย ง. ง้วิ นรกสบิ หกองคุลีแหลม ดงั ขวากแซมเส้ียมแทรกแตกไสว ใครทาช้คู ่ทู ่านคร้นั บรรลัย กต็ ้องไปปีนตน้ นา่ ขนพอง ๑๐. บทประพนั ธ์ในข้อใดแสดงใหเ้ หน็ รสวรรณคดที เี่ รยี กวา่ สลั ลาปังคพสิ ยั ก. ถงึ อารามนามวดั ประโคนปัก ไม่เห็นหลกั ลือเลา่ วา่ เสาหิน เป็นสาคญั ปันแดนในแผ่นดิน มิรู้สน้ิ สดุ ชือ่ ที่ลอื ชา ข. เหมอื นแมค่ รัวคั่วแกงพะแนงผัด สารพัดเพยี ญชนังเครอื่ งมังสา อันพริกไทยใบผกั ชีเหมือนสีกา ต้องโรยหน้าเสยี สักหน่อยอร่อยใจ ค. ถึงหนา้ วงั ดงั หน่ึงใจจะขาด คดิ ถงึ บาทบพิตรอดิศร โอผ้ า่ นเกล้าเจา้ ประคณุ ของสุนทร แตป่ างก่อนเคยเฝา้ ทกุ เชา้ เย็น ง. พอกราบพระปะดอกปทุมชาติ พบพระธาตสุ ถติ ในเกสร สมถวลิ ยนิ ดีชุลกี ร ประคองช้อนเชิญองค์ลงนาวา 22
ใบงานท่ี ๑.๖ เร่ือง การสรุปเนื้อหา คาช้แี จง นกั เรยี นแต่ละกลุ่มสรุปประเดน็ ความรู้ จากวรรณคดีเร่ือง นิราศภูเขาทอง วรรณคดปี ระเภทนิราศของสนุ ทรภู่ มคี วามโดดเดน่ หรือแตกตา่ งจาก ผลงานของบคุ คลอื่นอย่างไร ผลงานวรรณคดปี ระเภทนิราศ ของสนุ ทรภมู่ กี เ่ี รอ่ื ง เรอ่ื งใดบา้ ง จุดมงุ่ หมายในการแต่งนริ าศภูเขาทอง ของสนุ ทรภู่คอื อะไร กลอนนริ าศ มลี ักษณะคาประพันธ์ คล้ายกับกลอนประเภทใด จงอธิบาย 23
ใบงานที่ ๑.๗ เรื่องจับใจความสาคัญและอธิบายคุณค่า คาชีแ้ จง ใหน้ ักเรียนวเิ คราะหแ์ ละอธิบายคณุ ค่าด้านวรรณศลิ ปจ์ ากวรรณคดีเร่ือง นริ าศภูเขาทอง ถงึ บางเด่ือโอ้มะเด่ือเหลือประหลาด บังเกดิ ชาติแมลงหวม่ี ีในไส้ เหมอื นคนพาลหวานนอกยอ่ มขมใน อุปไมยเหมอื นมะเดอื่ เหลือระอา ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ ดูนา้ วิ่งกลง้ิ เชี่ยวเปน็ เกลียวกรอก กลบั กระฉอกฉาดฉัดฉวัดเฉวยี น บ้างพลงุ่ พลงุ่ วุ้งวงเหมือนกงเกวียน ดเู วียนเวียนควา้ งควา้ งเปน็ หวา่ งวน ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ จนแจ่มแจง้ แสงตะวันเห็นพันธ์ผุ กั ดูนา่ รักบรรจงสง่ เกสร เหลา่ บัวเผอื่ นแลสล้างรมิ ทางจร ก้ามกุ้งซอ้ นเสียดสาหรา่ ยใตค้ งคา สายต่ิงแกมแซมสลับตน้ ตับเต่า เปน็ เหลา่ เหลา่ แลรายท้งั ซา้ ยขวา กระจับจอกดอกบวั บานผกา ดาษดาดขู าวดงั ดาวพราย ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ จนดึกดาวพราวพร่างกลางอมั พร กระเรยี นร่อนรอ้ งกอ้ งเม่ือสองยาม ท้ังกบเขียดเกรียดกรีดจังหรดี เรือ่ ย พระพายเฉื่อยฉิวฉวิ วะหวิวหวาม ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ 24
ใบงานท่ี ๑.๘ เรอื่ งการสรุปความรู้และขอ้ คิด คาช้ีแจง ใหน้ กั เรียนอา่ นบทประพนั ธ์ แล้ววิเคราะห์ตามประเดน็ ที่กาหนด ถึงโรงเหล้าเตากลนั่ ควันโขมง มีคนั โพงผูกสายไว้ปลายเสา ๑. โอบ้ าปกรรมนา้ นรกเจยี วอกเรา ใหม้ วั เมาเหมือนหน่ึงบ้าเป็นน่าอาย ทาบุญบวชกรวดน้าขอสาเร็จ พระสรรเพชญโพธิญาณประมาณหมาย ถงึ สรุ าพารอดไมว่ อดวาย ไม่ใกล้กรายแกลง้ เมินกเ็ กินไป ความรทู้ ไ่ี ด้รบั จากบทประพันธ์ ข้อคิดทีไ่ ดร้ ับ แนวทางในการนาความรแู้ ละขอ้ คิดไปใช้ในชวี ิตประจาวนั ถงึ สามโคกโศกถวิลถึงปิน่ เกล้า พระพุทธเจา้ หลวงบารุงซ่ึงกรุงศรี ชือ่ ปทุมธานีเพราะมบี วั ประทานนามสามโคกเป็นเมอื งตรี แต่ชือ่ ตั้งกย็ ังอยู่เขารู้ทั่ว ไมร่ อดชวั่ เชน่ สามโคกยิ่งโศกใจ ๒. โอพ้ ระคุณสูญลบั ไมก่ ลับหลงั ต้องเที่ยวเตรด็ เตร่หาท่อี าศัย แตเ่ รานท้ี ีส่ ุนทรประทานตวั ขอให้ได้เป็นข้าฝ่าธลุ ี สิ้นแผน่ ดนิ สิ้นนามตามเสดจ็ แมน้ กาเนดิ เกดิ ชาติใดใด ความรู้ท่ไี ดร้ ับจากบทประพันธ์ ข้อคิดท่ไี ดร้ บั แนวทางในการนาความรแู้ ละข้อคิดไปใชใ้ นชีวติ ประจาวนั ถงึ บา้ นง้วิ เห็นแตง่ ิว้ ละลิ่วสงู ไมม่ ีฝูงสัตว์สงิ กิ่งพฤกษา นกึ ก็นา่ กลวั หนามขามขามใจ ๓. ดว้ ยหนามดกรกดาษระดะตา ดงั ขวากแซมเสี้ยมแทรกแตกไสว ง้ิวนรกสบิ หกองคุลแี หลม ก็ตอ้ งไปปีนตน้ น่าขนพอง ใครทาชู้คู่ท่านครัน้ บรรลัย 25
ความรูท้ ีไ่ ด้รับจากบทประพนั ธ์ ขอ้ คิดท่ีไดร้ บั แนวทางในการนาความรแู้ ละขอ้ คิดไปใช้ในชีวิตประจาวนั ถงึ หน้าแพแลเหน็ เรอื ที่นั่ง คดิ ถึงครง้ั ก่อนมานา้ ตาไหล เคยหมอบรับกับพระจมนื่ ไวย แลว้ ลงในเรือที่นง่ั บลั ลังก์ทอง ๔. เคยทรงแต่งแปลงบทพจนารถ เคยรับราชโองการอา่ นฉลอง จนกฐินสิน้ แม่นา้ และลาคลอง มิได้ข้องเคืองขดั หทั ยา เคยหมอบใกลไ้ ดก้ ล่นิ สคุ นธ์ตรลบ ละอองอบรสร่นื ชน่ื นาสา สน้ิ แผ่นดนิ สน้ิ รสสุคนธา วาสนาเรากส็ น้ิ เหมอื นกลนิ่ สุคนธ์ ความรทู้ ไี่ ด้รบั จากบทประพนั ธ์ ข้อคิดท่ไี ดร้ บั แนวทางในการนาความร้แู ละขอ้ คิดไปใช้ในชีวิตประจาวนั 26
ใบงานที่ ๑.๙ เร่อื ง การวิเคราะห์และอธิบายคณุ คา่ ด้านเนือ้ หา คาชแี้ จง ใหน้ กั เรียนวิเคราะห์ตามประเดน็ ทก่ี าหนด ถงึ โรงเหลา้ เตากล่นั ควนั โขมง มีคันโพงผกู สายไวป้ ลายเสา ๑. โอบ้ าปกรรมนา้ นรกเจียวอกเรา ให้มัวเมาเหมือนหนงึ่ บ้าเปน็ น่าอาย ทาบุญบวชกรวดนา้ ขอสาเร็จ พระสรรเพชญโพธญิ าณประมาณหมาย ถงึ สุราพารอดไมว่ อดวาย ไม่ใกลก้ รายแกล้งเมินกเ็ กนิ ไป ความรู้ที่ไดร้ ับจากบทประพันธ์ ถงึ สามโคกโศกถวิลถงึ ป่นิ เกล้า พระพทุ ธเจา้ หลวงบารงุ ซง่ึ กรุงศรี ชอ่ื ปทุมธานเี พราะมบี ัว ประทานนามสามโคกเป็นเมอื งตรี แต่ชอ่ื ตง้ั กย็ ังอยเู่ ขารู้ทวั่ ไม่รอดชัว่ เช่นสามโคกยงิ่ โศกใจ ๒. โอ้พระคณุ สูญลบั ไม่กลับหลงั ตอ้ งเท่ียวเตร็ดเตรห่ าท่อี าศยั แตเ่ รานท้ี ่สี ุนทรประทานตัว ขอให้ได้เปน็ ข้าฝา่ ธลุ ี สิ้นแผ่นดินสิ้นนามตามเสดจ็ แม้นกาเนดิ เกิดชาตใิ ดใด ความรูท้ ไ่ี ด้รับจากบทประพันธ์ ถงึ บา้ นงิ้วเหน็ แต่ง้ิวละล่วิ สูง ไมม่ ฝี งู สตั วส์ ิงก่งิ พฤกษา นึกกน็ ่ากลัวหนามขามขามใจ ๓. ดว้ ยหนามดกรกดาษระดะตา ดังขวากแซมเส้ียมแทรกแตกไสว งิ้วนรกสิบหกองคลุ ีแหลม กต็ ้องไปปนี ตน้ นา่ ขนพอง ใครทาชู้คู่ท่านครน้ั บรรลยั ความร้ทู ี่ได้รับจากบทประพันธ์ 27
ถงึ หนา้ แพแลเห็นเรอื ท่ีน่งั คิดถงึ ครงั้ ก่อนมาน้าตาไหล แล้วลงในเรือทน่ี ่งั บลั ลงั ก์ทอง เคยหมอบรับกบั พระจมน่ื ไวย เคยรบั ราชโองการอา่ นฉลอง มิได้ข้องเคอื งขดั หทั ยา ๔. เคยทรงแต่งแปลงบทพจนารถ ละอองอบรสรน่ื ช่นื นาสา จนกฐนิ สิ้นแม่นา้ และลาคลอง วาสนาเราก็ส้ินเหมอื นกล่ินสุคนธ์ เคยหมอบใกลไ้ ดก้ ล่นิ สคุ นธ์ตรลบ ส้นิ แผน่ ดินสิ้นรสสุคนธา ความรทู้ ่ไี ด้รับจากบทประพนั ธ์ 28
แบบทดสอบกอ่ นเรยี น หน่วยการเรยี นรู้ท่ี ๑ คำชี้แจง ใหน้ กั เรยี นเลอื กคาตอบท่ถี ูกต้องท่สี ุดเพียงข้อเดยี ว ๑. การคดั ลายมอื มจี ุดประสงคต์ รงกบั ข้อใด อา่ นข้อความต่อไปนี้ แลว้ ตอบคาถาม ข้อ ๖-๗ ก. เพือ่ ประกวดการคดั ลายมือ ข. เพ่ือฝึกสมาธิในการเขียนตัวอักษรไทย “ คอื เธอผเู้ ป็นสดุ ทร่ี กั ยง่ิ ชวี ติ ค. เพอ่ื ฝึกการใชเ้ วลาว่างให้เกดิ ประโยชน์ คอื เธอผซู้ ง่ึ เป็นทกุ สงิ่ ในชวี ติ ฉนั เป็นผทู้ น่ี า ง. เพ่อื ใหม้ ีความคดิ สรา้ งสรรค์ในการประดษิ ฐ์อกั ษรไทย ทาง ๒. ขอ้ ใดเป็นขอ้ ควรปฏบิ ตั ิในการคดั ลายมือทถ่ี กู ต้อง ผทู้ ช่ี ท้ี าง ผซู้ ง่ึ ลขิ ติ ชวี ติ และโชคชะตา ก. วางกระดาษให้ห่างจากสายตาประมาณ ๑๒ น้วิ ข. ใช้ไมบ้ รรทดั วดั ระยะชอ่ งไฟใหม้ ีความสม่าเสมอ คอื เธอผเู้ ป็นดงั่ สรอ้ ยถนิมพมิ พาภรณ์ เป็น ค. จับดินสอใหแ้ นน่ เพอ่ื การลงน้าหนักตัวอกั ษรที่ชดั เจน ง. นง่ั โนม้ ตัวไปดา้ นหนา้ เพอื่ ถา่ ยน้าหนักลงทดี่ นิ สอ ดงั ่ หรือปากกา ๖. ข้อคเวคารมอ่ืนงีม้ ปจี ดุรดะ้อดยบั อกยาา่ งยไแรละใจใหล้ า้ เลศิ วไิ ลตลอด ๓. ข้อใดไมม่ ีความจาเป็นในการฝึกคดั ลายมือ ก. ใชค้ าฟ่มุ เฟือย ก. วางสระและวรรณยกุ ตใ์ หถ้ ูกท่ี ข. ใชค้ าเช่ือมไม่ถกู ต้อง ข. เริม่ คดั ตวั อกั ษรจากหัวไปหาง โดยไมย่ กดินสอ ค. ใช้สานวนภาษาต่างประเทศ ค. เวน้ ระยะช่องไฟระหว่างตวั อกั ษรใหห้ ่างเสมอกนั ง. ใช้คาไมถ่ กู ตอ้ งตามชนดิ และหน้าท่ีของคา ง. คัดตวั อกั ษรให้เสมอแนวเดยี วกนั และให้โยไ้ ปขา้ งหนา้ ๗. ข้อความใดใช้อาการนามไมถ่ กู ต้อง เลก็ น้อย ก. คือเธอผเู้ ปน็ สดุ ทรี่ กั ยิง่ ชีวติ ข. ผทู้ ชี่ ที้ าง ผซู้ ึ่งลขิ ติ ชวี ิตและโชคชะตา ๔. ขอ้ ใดกลา่ วถึงจุดประสงค์ของการคดั ลายมือได้ถกู ต้องทีส่ ดุ ค. เปน็ ด่ังเครอ่ื งประดับกายและใจให้ลา้ เลศิ วไิ ล ก. ชว่ ยใหผ้ ู้คัดลายมอื มีสมาธใิ นการทางาน ง. อยา่ ทงิ้ ฉันไป วนั ใดทีไ่ รเ้ ธอฉันคงต้องถึงแกก่ ารตาย ข. เปน็ เคร่ืองมือในการถ่ายทอดความรู้ความคดิ ๘. การกระทาที่เอาใจจดจ่ออยู่กบั สิง่ ใดสิ่งหนึง่ ควรใชค้ าใด ค. ชว่ ยให้รกั การเขยี นภาษาไทยซงึ่ เปน็ ภาษาประจาชาติ จึงจะถูกต้องตามความหมายทแ่ี ทจ้ ริง ง. ชว่ ยใหเ้ ขยี นตัวอกั ษรไทยไดถ้ ูกตอ้ งตามหลักวิธกี าร ก. ม่ัวสมุ ต่างๆ ข. หมกมุ่น ค. ขะมักเขม้น ๕. ขอ้ พงึ ปฏิบัตกิ ่อนการคดั ลายมอื ข้อใดสาคญั ทีส่ ดุ ง. อดตาหลบั ขับตานอน ก. เตรียมอปุ กรณ์ในการคดั ลายมอื ข. นงั่ ใหถ้ กู ต้องตามหลกั การน่งั คดั ลายมือ ค. อ่านทาความเข้าใจข้อความทจ่ี ะคัดลายมือใหจ้ บ กอ่ นลงมอื คดั ง. เลือกรปู แบบการคดั ลายมือตามความพอใจ แล้วเลือก ข้อความท่ีจะคัด ๙. ข้อใดใช้คาถกู ต้องตามฐานะของบุคคล ๑๐. ข้อใดใช้ลกั ษณนามไมถ่ กู ตอ้ ง ก. ประธานนกั เรยี นเขา้ หาผอู้ านวยการสถานศึกษา ก. เธอสวมแหวน ๒ วง ข. ประธานนกั เรียนเข้าพบผอู้ านวยการสถานศึกษา ข. หนา้ ฝนน้เี ราต้องเตรยี มรม่ ไวห้ ลายคัน ค. ประธานนักเรยี นเขา้ เย่ียมผู้อานวยการสถานศกึ ษา ค. ช่างไม้ท่กี าลังซอ่ มบา้ นของเราไปซ้ือเลือ่ ยมาหลายคนั ง. ประธานนกั เรยี นเข้าคารวะผอู้ านวยการสถานศกึ ษา ง. ชาวประมงกาลังหาซอื้ เรอื ลาใหมม่ าใช้แทนลาเก่าทเ่ี อา ข้ึนคาน 29
คาอธิบายรายวชิ าพ้นื ฐาน รหสั วิชา ท๒๑๑๐๑ รายวชิ า ภาษาไทยพืน้ ฐาน กล่มุ สาระการเรยี นร้ภู าษาไทย เวลาเรียน ๖๐ ชว่ั โมง / ภาคเรยี น ๑.๕ หนว่ ยกิต ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๑ ภาคเรียนที่ ๑ ฝึกทักษะการอ่าน การฟัง การดู การพูด การเขียน การอ่านออกเสียงร้อยแก้วท่ีเป็นบทบรรยาย การอ่านออกเสียงร้อยกรองประเภทกลอนสุภาพ กลอนสักวา กาพย์ยานี ๑๑ กาพย์ฉบัง ๑๖ กาพย์ สุรางคนางค์ ๒๘ และโคลงส่ีสุภาพการอ่านจับใจความจากส่ือ การอ่านหนังสือตามความสนใจ การเขียน ส่ือสาร เช่น การเขียนแนะนาตนเอง การเขยี นแนะนาสถานที่สาคญั ๆการเขยี นบนสื่ออิเล็กทรอนิกส์ การเขียน บรรยายประสบการณ์ การเขียนเรียงความเชิงพรรณนา การเขียนย่อความจากส่ือต่างๆ เช่น เรื่องส้ัน คา สอน โอวาท คาปราศรัย สุนทรพจน์ รายงาน ระเบียบ คาสั่ง บทสนทนาเร่ืองเล่าประสบการณ์ การเขียน แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสาระจากส่ือต่างๆ เช่น บทความ หนังสืออ่านนอกเวลา ข่าวและเหตุการณ์ ประจาวันเหตุการณ์สาคัญต่างๆ การเขียนจดหมายส่วนตัว จดหมายขอความช่วยเหลือ จดหมายแนะนา การ เขยี นจดหมายกิจธุระจดหมายสอบถามข้อมลู การเขยี นรายงาน ได้แก่ การเขยี นรายงานจากการศึกษาค้นคว้า การเขียนรายงานโครงงาน การพูดสรุปความ พูดแสดงความรู้ ความคิดอย่างสร้างสรรค์จากเร่ืองท่ีฟังและดู การพูดประเมินความน่าเช่ือถือของส่ือท่ีมีเนื้อหาโน้มน้าว หลักการพูดรายงาน การสร้างคา คาประสม คาซ้า คาซ้อน คาพ้อง ภาษาพูด ภาษาเขียน กาพยยานี ๑๑ สานวนที่เป็นคาพังเพยและสุภาษิต วรรณคดีและ วรรณกรรมเกย่ี วกบั ศาสนา ประเพณี พธิ ีกรรม สภุ าษิตคาสอน เหตุการณ์ประวัติศาสตร์บันเทิงคดี บันทึกการ เดินทาง วรรณกรรมท้องถิ่น การวิเคราะห์คุณค่าและข้อคิดจากวรรณคดีและวรรณกรรม บทอาขยานและบท ร้อยกรองทมี่ ีคุณคา่ บทอาขยานตามทกี่ าหนด บทร้อยกรองตามความสนใจ โดยใช้กระบวนการอ่าน การเขียน การฟัง การดู การพูด การคิดวิจารณญาณ ทักษะการคิด สรา้ งสรรค์ ทักษะการสบื คน้ การฝกึ ปฏิบตั ิ การทางานเป็นกลุ่ม การเรียนรู้ความเข้าใจทางภาษา การศึกษา ค้นคว้า ทักษะการสืบค้น การอธิบาย การยกตัวอย่างฝึกปฏิบัติ การแสดงความคิดเห็น การอภิปรายความรู้ รว่ มกนั กระบวนการเรียนรู้ความเขา้ ใจการสร้างคา มีความซ่ือสัตย์สุจริต มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ อยู่อย่างพอเพียง มุ่งม่ันในการทางาน และมีน้าใจ ตลอดจนให้ นักเรียนตระหนักและเห็นคุณค่าในการรักษาสิ่งแวดล้อม การดาเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง รักความเป็นไทย มีจิตสาธารณะ มีมารยาทในการอ่าน มีมารยาทในการเขียน และมีมารยาทใน การฟงั การดู และการพดู ตวั ชี้วดั ท ๑.๑ ม.๑/๑ ม.๑/๒ ม.๑/๓ ม.๑/๕ ม.๑/๖ ม.๑/๗ ม.๑/๘ ท ๒.๑ ม.๑/๑ ม.๑/๒ ม.๑/๓ ม.๑/๔ ม.๑/๕ ม.๑/๖ ม.๑/๗ ม.๑/๘ ม.๑/๙ ท ๓.๑ ม.๑/๑ ม.๑/๒ ม.๑/๓ ม.๑/๔ ม.๑/๕ ม.๑/๖ ท ๔.๑ ม.๑/๑ ม.๑/๒ ม.๑/๕ ม.๑/๖ ท ๕.๑ ม.๑/๑ ม.๑/๒ ม.๑/๓ ม.๑/๔ ม.๑/๕ รวม ๓๒ ตัวช้ีวัด 30
ส อยา่ ลมื ทบทวน กจิ กรรมนะจะ๊ 31
32
Search
Read the Text Version
- 1 - 32
Pages: