วิจยั ในช้นั เรียน ระดบั มธั ยมศึกษาปี ที่ ๑ ประจาปี การศึกษา ๒๕๖๓ ผวู้ จิ ยั นางสาวพดุ ตาล สมศรี ๑
วิจยั ในช้นั เรียน ระดบั มธั ยมศึกษาปี ที่ ๑ ประจาปี การศึกษา ๒๕๖๓ ผวู้ จิ ยั นางสาวพดุ ตาล สมศรี ๒
วิจยั ในช้นั เรียน ระดบั มธั ยมศึกษาปี ที่ ๑ ประจาปี การศึกษา ๒๕๖๓ . บทท่ี ๑ การแก้ปญั หานกั เรยี นที่อา่ นไม่ไดด้ ้วยวิธีการอา่ นสะกดคา โดยใช้สือ่ สาเรจ็ รปู ความสาคัญและท่ีมา . ในการพฒั นาวิชาภาษาไทย เปน็ การพฒั นาทเี่ นน้ การสอนเพื่อพฒั นาในด้านทักษะ .และการ ฝึกประสมคาอา่ นสะกดคาเป็นพื้นฐานในการศึกษาหาความรู้เพื่อพัฒนาในด้าน.ทกั ษะและการฝึกประสม คาอ่านสะกดคาเปน็ พืน้ ฐานในการศกึ ษาหาความรู้ นกั เรยี นในบางส่วน ยังขาดทกั ษะในด้านการอา่ น จึงส่งผลมาให้ตอ้ งมกี ารปรบั ปรุง แก้ไข และตอ้ งมี.การพัฒนาในทักษะน้ีอยา่ งต่อเน่ืองและจากการเรยี น การสอนของนักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี .๑ จานวน ๕ คน ดังนนั้ ผทู้ ี่ทาการวิจัย จงึ หาวิธกี ารท่ีจะ ดาเนินการเพือ่ ทีจ่ ะแก้ปญั หา .และพฒั นาให้นกั เรียนได้เกิดทักษะในดา้ นการอ่านใหเ้ ข้าใจมากยง่ิ ขึ้น ดังนั้นในการพฒั นาในครง้ั น้ี จะใชว้ ิธกี ารประเมินนักเรยี นควบคู่ไปกับกจิ กรรมการ.เรยี นการสอน . ๒. วัตถปุ ระสงค์ . เพ่ือเปน็ การพัฒนาทกั ษะในด้านการอา่ น ระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี ๑ ดว้ ยวธิ กี าร.ประเมินที่ เนน้ ผเู้ รยี นเป็นสาคญั ๓. ตวั แปรทีศ่ ึกษา ๑. วธิ อี า่ นตามปกติ ตวั แปรตน้ ๒. วธิ ีการประเมินทีเ่ น้นนักเรียนเป็นสาคัญ ๓ การทดสอบทักษะในดา้ นการอา่ นและข้อเสนอแนะ ตัวแปรตาม . ๑. พฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน . ๒. ทักษะในด้านการอา่ น ๔. ขอบเขตของการวจิ ัย ๑. กลุม่ ทศ่ี ึกษานักเรียนชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี ๑ จานวนนกั เรยี นทศ่ี กึ ษา ๒๐ คน โรงเรียนราม วทิ ยา รัชมคั ลาภิเษก ปกี ารศึกษา ๒๕๖๓ ในการทาวจิ ัยครงั้ น้ี เลอื กนกั เรยี นท่ีศึกษาในชน้ั เรยี น ๒๐ . คน ไดท้ าการทดสอบการอ่านสะกดคานักเรียนกลุ่มนีเ้ นอื่ งจากต้องการทราบทกั ษะพนื้ ฐานในการอ่าน ในด้านการสะกดคาอา่ น จงึ ไดส้ ร้างแบบตรวจสอบการอา่ นเป็นปัญหาในดา้ นการเรียนในวชิ าอนื่ ๆโดยครู ประจาชน้ั ได้ตดิ ตามพฤติกรรมในด้านการเรียนของนักเรียนกลุม่ นไี้ ด้อย่างต่อเนื่อง ๒. การวชิ าภาษาไทย หมายถงึ วธิ ีสอนทผ่ี ู้วจิ ยั ไดส้ อนตามปกติ โดยมีเทคนคิ การสอนแบบ ใหม่ๆ โดยการเน้นผู้เรียนเป็นสาคญั ๓. วิธกี ารประเมินทเี่ นน้ ผูเ้ รยี น เปน็ สาคญั ทผ่ี วู้ จิ ัยไดต้ รวจสอบการอา่ นควบคู่กับ การเรยี นการสอนของคุณครูประจาชั้น เพ่อื จะไดข้ ้อมูลจากตวั นกั เรียนและนาข้อมูลเหลา่ นัน้ มาปรบั ปรงุ ดา้ นการอ่านเพ่ือให้นักเรยี นเกิดการเรียนรู้อยา่ งสูงสุด โดยมีวิธีการที่ใชด้ งั ต่อไปน้ี คือ โดยการสงั เกต การสอนของครู สนทนา ซักถามนักเรียน การตรวจการบ้าน การฝึกอา่ นสะกดในหนังสอื แบบเรียน ภาษาไทย และหนังสอื เสริมทักษะการอ่าน ผวู้ จิ ยั นางสาวพดุ ตาล สมศรี ๓
วิจยั ในช้นั เรียน ระดบั มธั ยมศึกษาปี ที่ ๑ ประจาปี การศึกษา ๒๕๖๓ ๔. พฤติกรรมการเรยี นรู้ของนักเรยี น หมายถึง พฤตกิ รรมทนี่ ักเรียนแสดงออก ในการเรยี นรู้ ในวชิ าภาษาไทย ด้านการอ่านสะกดคา การเขียนคาตามคาบอกของครู และการทาแบบฝกึ หดั อ่าน สะกดคา ๕. ทกั ษะการเรยี นในวิชาภาษาไทย หมายถงึ ความสามารถของนักเรยี นในการเรียนวชิ า ภาษาไทย เก่ยี วกับการอา่ นสะกดคา สามารถบอกถงึ พยญั ชนะ ต้น สระ ตวั สะกด และรูป วรรณยกุ ต์ได้ โดยมีเกณฑ์ผ่านรอ้ ยละ ๘๐ ขึ้นไป โดยการทดสอบเกบ็ คะแนน ๕. แนวคดิ ในการวิจัย พฤติกรรมการเรยี นรู้ของนักเรียน ทกั ษะในด้านการอ่าน วธิ ีการอา่ นตามปกตแิ ละวธิ กี าร ประเมนิ ทเ่ี นน้ นักเรียนเป็นสาคญั ๖. ประโยชน์ทคี่ าดว่าจะได้รับ ผลการวจิ ัยนี้ จะเปน็ ขอ้ มูลอยา่ งหนงึ่ ท่จี ะช่วยให้การพฒั นาทกั ษะในดา้ นการอ่าน ด้วยวิธีการ ประเมินทเี่ นน้ ผูเ้ รียนเปน็ สาคัญ มีการฝกึ ทักษะการสะกดคา การประสมคา ทมี่ ี พยัญชนะ สระ ตัวสะกดและวรรณยุกต์ และใหเ้ กิดทัศนคตทิ ่ดี ีต่อวชิ าภาษาไทย เพื่อที่จะให้การเรียน วชิ าภาษาไทยสมั ฤทธผิ์ ลยิง่ ขึน้ ผูว้ จิ ยั นางสาวพุดตาล สมศรี ๔
วจิ ยั ในช้นั เรียน ระดบั มธั ยมศึกษาปี ท่ี ๑ ประจาปี การศึกษา ๒๕๖๓ บทท๒ี่ ทฤษฎีที่เกยี่ วข้องกับ “การอ่าน” ในส่วนน้ีจะนาเสนอ โดยแยกเป็นทฤษฏีว่าด้วย “การอ่าน”, “การคิด” และ “การเขียน” ซึ่ง จดุ เนน้ จะอยู่ที่ “การคดิ ” เปน็ หลกั ซึ่งเปน็ ส่วนทเี่ กย่ี วพันกับ “การคิดวเิ คราะห์” ทสี่ ดุ ๑. การอา่ น (reading) ราชบัณฑิตยสถานนิยามว่า “อ่าน” หมายถึง “ว่าตามตัวอักษร” ส่วน “การอ่าน” หมายถึง “การ แปลความหมายของตวั อักษรทอ่ี า่ นออกมาเป็นความรู้ ความคิด และเกิดความเข้าใจเร่ืองราวที่อ่านตรงกับ เรื่องราวที่ผู้เขียนเขียน ผู้อ่านสามารถนาความรู้ ความคิด หรือสาระเรื่องราวที่อ่านไปใช้ประโยชน์ได้” ซ่ึงมีความหมายในลักษณะเป็นการรับแล้วถ่ายทอดโดย ใช้ตัวอักษร สัญลักษณ์ เป็นสื่อความคิด เจตนา หรือการทาความเข้าใจกับทผี่ ู้ถ่านทอดตอ้ งการส่ือความคิด เจตนาหรือการทาความเข้าใจกับผู้ที่ผู้ถ่ายทอด ตอ้ งการสือ่ ความหมายนน้ั จุดม่งุ หมายของการอ่าน ๒. การคิด (thinking or thought) พจนานกุ รมฉบับราชบัณฑติ ยสถานนยิ ามไวว้ ่า “ ทาให้ปรากฏเป็นรูปหรือประกอบให้เป็นรูปหรือ เป็นเร่ืองขึ้นในใจ;ใคร่ครวญ, ไตร่ตรอง, เช่น เรื่องนี้ยากยังคิดไม่ออก; คาดคะเน เช่นคิดว่าเย็นนี้ฝน อาจจะตก; คานวณ เช่น คิดเลขในใจ; มุ่ง, จงใจ, ตั้งใจ,เช่น อย่าคิดร้ายเขาเลย; นึก เช่น คิดละอาย” เร่ืองของการคิดมีนักการศึกษา และนักจิตวิทยาจานวนไม่น้อยได้สร้างคาอธิบายไว้จานวนมาก โดยสรุป ระดับของการคิดสามารถแบง่ ออกได้เป็น ๒ ระดับคอื ๑. ทักษะการคิดพ้ืนฐาน เป็นทักษะการคิดที่เป็นพื้นฐานของการคิดในระดับที่สูงข้ึนไปเป็นการคิดที่ ใช้ในการดารงชีวิต มีการพิจารณาไตร่ตรองเหตุการณ์หรือข้อมูลต่างๆโดยอาศัยประสบการณ์เป็นหลักในการ ตดั สินใจ ๒.ทักษะการคิดระดับสูง เป็นทักษะการคิดที่ต้องใช้กระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลายและซับซ้อนมี การกล่ันกรองข้อมูลหรือเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนอย่างสมเหตุสมผลโดยอาศัยประสบการณ์และการเรียนรู้ท่ี ต่อเนือ่ งชว่ ยในการตัดสินใจ ซง่ึ การทผ่ี ู้เรยี นจะเกดิ กระบวนการคิดได้นั้น ครผู ้สู อนจะต้องพัฒนาทักษะการคิดก่อนเพราะการสอน ให้ผู้เรียนเกิดทักษะการคิดในเบ้ืองต้นจะเป็นการปูพื้นฐานให้ผู้เรียนสร้างกระบวนการคิดของตนเองได้ ใน ทีส่ ุด ๓. การเขยี น (writing) ราชบัณฑิตยสถานนิยามว่า การเขียน คือ “ขีดให้เป็นตัวหนังสือหรือเลข, ขีดให้เป็นเส้นหรือ รูปต่าง ๆ, วาดแต่งหนังสือ” การเขียนเป็นการแสดงความรู้ ความคิด ความรู้สึก และความต้องการ ของผ้สู ง่ สารออกไปเป็นลายลกั ษณอ์ กั ษร เพอ่ื ให้ผู้รับสาร สามารถอา่ นเขา้ ใจ ไดร้ บั ทราบความรู้, ความคิด, ความรู้สึก และความต้องการเหล่าน้ัน การถ่ายทอดโดยวิธีบอกเล่าปากต่อปาก หรือท่ีเรียกว่า “ มุขปาฐะ ” อาจทาให้สารตกหล่นหรือคลาดเคล่ือนได้ง่าย ลายลักษณ์อักษรหรือที่ตัวหนังสือ ที่ แท้จริงคือเคร่ืองหมายท่ีใช้แทนคาพูดนั่นเองความสาคัญและประโยชน์ของการเขียนสื่อความมีความสาคัญ เป็นอย่างย่ิงเพราะเป็นวิธีการสื่อสารและมีประโยชน์เนื่องด้วยเป็นการถ่ายทอด ความรู้ความคิด ความรู้สึก ต่างๆ ของผู้เขียนเป็นหลัก และนอกจากน้ัน การเขียนยังเป็นเคร่ืองสาคัญในการท่ีจะวัดความเจริญของ อารยธรรมของมนุษย์ในแต่ละยุคสมัยด้วย รวมท้ังถ่ายทอดภาพในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตท่ีเป็นการ จินตนาการไดอ้ ีกด้วย สรา้ งความรกั ความเขา้ ใจ ขอ้ ตกลงแนวปฏิบัติเพ่ือการอยู่ร่วมกนั ในสงั คม ผูว้ จิ ยั นางสาวพดุ ตาล สมศรี ๕
วิจยั ในช้นั เรียน ระดบั มธั ยมศึกษาปี ท่ี ๑ ประจาปี การศึกษา ๒๕๖๓ ในการเขียนภาษาไทย มีแบบแผนท่ีต้องการรักษา มีถ้อยคาสานวนที่ต้องใช้เฉพาะ และต้องเขียน ให้แจ่มแจ้ง เพราะผู้อ่านไม่สามารถไต่ถามผู้เขียน ได้เมื่ออ่านไม่เข้าใจ ผู้ที่จะเขียนให้ได้ดี ต้องใช้ถ้อยคา ใหเ้ หมาะสมกับผูร้ บั สาร โดยพจิ ารณาวา่ ผ้รู ับสารสามารถรบั สารท่ีสง่ มาไดม้ ากนอ้ ยเพียงใด ทฤษฎพี ัฒนาการทางสติปัญญา ฌัง เพียเจต์ (Jean Piaget) นักทฤษฏีชาวสวิสผู้สนใจในพัฒนาการของเด็ก ได้เสนอทฤษฎีว่า มนุษย์ ทุกคนต้งั แต่เกดิ มาพร้อมทจี่ ะสมั พนั ธ์กับสิ่งแวดล้อม มนุษย์มีความสามารถในการจัดรวบรวมข้อมูล และ การซมึ ซับปรบั ตวั (assimilation) เม่ือมนุษย์มปี ฏิสมั พันธก์ ับสงิ่ แวดล้อมก็จะซึมซับเอาประสบการณ์ใหม่ ให้รวมเขา้ อย่ใู นโครงสร้างของสตปิ ัญญา(cognitive structure) โดยจะเป็นการตคี วาม หรือการรับข้อมูล จากส่ิงแวดล้อม เพียเจต์มองว่ามนุษย์นอกจากสามารปรับตัวเข้ากับส่ิงแวดล้อมแล้ว ยังสามารถปรับ โครงสร้างทางปัญญา (accommodation) ให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมหรือประสบการณ์ใหม่ หรือเป็นการ เปลย่ี นแปลงความคิดเดิมจากประสบการณ์เดิมให้สอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมใหม่ ซ่ึงเป็นความสามารถใน การปรับโครงสรา้ งทางปญั ญาขน้ั ตอนการพัฒนาทางปัญญาเป็นไปตามขน้ั ตอน กล่าวได้โดยสรุปว่า เพียเจต์มองว่า ความคิดต่างๆของมนุษย์ คือความสามารถในการปรับตัวให้ เข้ากับส่ิงแวดล้อมระหว่างที่ปรับตัวเพื่อรักษาดุลยภาพแห่งชีวิตจะเกิดการเรียนรู้และความคิดข้ึนด้วย พัฒนาการทางความคิด (สติปญั ญา) ต่างๆออกเป็น ๒ ระดับ คอื ๑. การปรับด้วยการซมึ ซบั (assimilation) ๒. การปรบั โครงสร้างทางปัญญา (accommodation) เขากล่าวต่อไปว่า ผลการทางานของขบวนการดังกล่าวจะเกิดเป็นโครงสร้าง (schema) ขึ้นในสมอง โครงสร้างต่างๆจะพัฒนาตามระดับอายุและจะสมบูรณ์เม่ืออายุประมาณ ๑๕ ปี เพียเจท์ถือว่าเป็นไป ตามลาดับขัน้ จะข้ามขน้ั ไม่ได้ แตอ่ ตั ราของการพัฒนาการจะแตกตา่ งกันไปในเดก็ แต่ละคนอัน เนื่องมาจากความแตกต่างกัน มีสาเหตุมาจากส่ิงแวดล้อมเป็นสาคัญ เพียเจท์ยังได้แบ่งการพัฒนาการทาง สติปญั ญาของมนุษย์เปน็ ๔ ขั้น ตามลาดับอายุ คือ ๑. ขั้นประสาทสัมผสั และการเคลื่อนไหว (sensorimotor) เร่ิมต้ังแต่แรกเกิดจนถึงประมาณ ๒ ปี วัยน้ีเป็นวยั ท่ีมนษุ ยป์ ฏิสมั พันธก์ บั ส่งิ แวดลอ้ มดว้ ยประสาทสมั ผสั และการเคลอ่ื นไหวของอวัยวะต่างๆของ ร่างกายเป็นหลกั ๒. ขั้นความคิดก่อนการปฏิบัติการ (preoperational) ข้ันน้ีเริ่มตั้งแต่อายุประมาณ ๑ปีคร่ึง – ๖ ปี เป็นขั้นเร่ิมเรียนรู้การพูดและเข้าใจเคร่ืองหมายท่าทางท่ีส่ือความหมายเรียนรู้ส่ิงต่างๆได้ดีข้ึน ใช้ สัญลักษณแ์ ทนวัตถสุ ่งิ ของที่อยรู่ อบๆตวั เรมิ่ มีความสามารถทางภาษา แตย่ ังไมส่ ามารถใชเ้ หตผุ ลได้ดนี ัก ๓. ข้ันการคิดแบบรูปธรรม (concrete operational) ขั้นนี้เริ่มจากอายุประมาณ ๗ – ๑๑ ปี พฒั นาการในชว่ งนี้มนุษยส์ ามารถใชเ้ หตุผลกบั ส่งิ ที่แลเหน็ ได้ แล้วแบ่งส่ิงแวดล้อมออกเป็นหมวดหมู่ได้ และ สามารถคิดย้อนกลบั (Reversibility) ได้ ๔. ขั้นการคิดแบบนามธรรม (formal operational) ขั้นนี้จะเริ่มตั้งแต่อายุประมาณ ๑๑ - ๑๕ ปี เปน็ ชว่ งทีม่ นุษย์รู้จักการใช้เหตุผล และเรียนรู้เก่ียวกับนามธรรมได้ สามารถท่ีจะต้ังสมมุติฐานและทฤษฎี และเหน็ ว่าความจรงิ ทเ่ี หน็ ด้วยกับการรับรู้ไม่สาคัญเท่ากับการคิดถึงส่ิงท่ีอาจเป็นไปได้ (possibility) เด็ก วยั นีจ้ งึ เป็นเด็กท่ีเร่มิ มีความทะเยอทะยาน ฝนั อยากจะเปน็ โน่นเป็นน่ี ผูว้ ิจยั นางสาวพุดตาล สมศรี ๖
วจิ ยั ในช้นั เรียน ระดบั มธั ยมศึกษาปี ท่ี ๑ ประจาปี การศึกษา ๒๕๖๓ บทท๓่ี วธิ ดี าเนินการวิจยั วธิ ีดาเนนิ การวิจัย การกาหนดระยะเวลาทาการวิจัย ระยะเวลาที่ทาการวิจัยทงั้ หมด ๒๐ วนั โดยผวู้ ิจยั กาหนดให้ นกั เรียนอา่ นสะกดคาในแบบตรวจสอบการอ่าน ในแตล่ ะคร้ังครกู จ็ ะบนั ทึกหลงั การอ่านสะกดคา ลงใน ตารางบันทกึ เพ่ือความกา้ วหน้าของตวั นักเรียน ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง ๑. ประชากรเป็นนกั เรยี นตวั อยา่ งท่ศี ึกษาระดบั ชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี ๑ โรงเรียนรามวทิ ยา รัชมคั ลาภเิ ษก จงั หวดั สุรินทร์ ปีการศกึ ษา ๒๕๖๓ ๒. ตวั อยา่ งท่ีใช้ในการศกึ ษาครง้ั น้ีคือนักเรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๑ โรงเรยี นรามวิทยา รชั มัคลาภเิ ษก จงั หวัดสุรนิ ทร์ จานวนนักเรียน ๕ คน เครอ่ื งมอื ท่ีใช้ในการเกบ็ ข้อมูล การวิจยั คร้ังน้ีผูว้ ิจยั ไดส้ ร้างเครื่องมือแบบตรวจสอบการอา่ นสะกดคา ในการวิจัยครงั้ น้ี ผู้วิจัยไดด้ าเนนิ การวิจัยตามแผนการสอนตามปกตโิ ดยครอบคลมุ เน้อื หาใน การอ่านสะกดคา อ่านเน้อื เรื่องจากหนังสือแบบเรยี นภาษาไทย รวมถงึ ฝกึ เขยี นสะกดคาทุกวนั ในตอน เชา้ กอ่ นมีการเรียนการสอนโดยดาเนนิ การสะกดคาในตาราง ดังนี้ แบบตรวจสอบการอา่ น คาชแ้ี จง กากบาททับคาทน่ี ักเรยี นอ่านผดิ แล้วเขียนคาที่อา่ นผดิ น้ันลงในชอ่ งว่าง แก้ว เปน็ นกั เรยี น ชัน้ ม.๑ บา้ น ของ แก้ว อยู่ ใกล้ ภเู ขา เชา้ วันเสาร์ หลงั จาก อาบนา้ แปรงฟนั และ กิน อาหาร แลว้ แก้ว พา ลูกหมา ไป เดนิ เล่น ใน ตลาด ขณะ เดนิ เล่น ดว้ ย ความสุข และ สนุกสนาน อยู่ นนั้ แกว้ เดิน ไป ชน โต๊ะ ของ แมค่ ้า ทาให้ แกว้ ลน่ื ลม้ ลงไป ที่ กอง ขยะ จน กระโปรง เลอะเทอะ เพราะ แก้ว เป็น เด็ก ท่ี ไม่ แข็งแรง จงึ ไม่สบาย ไป เรียน หนังสอื ไม่ได้ ทง้ั ๆ ท่ี อยาก ไป โรงเรยี น แก้ว กลัว เรยี น ไม่รูเ้ รอื่ ง จึง ให้ เพื่อนๆ ช่วย สอน การบ้าน ให้ เดีย๋ วน้ี แกว้ แขง็ แรง ดี และ ไป โรงเรยี น ได้แล้ว ผูว้ จิ ยั นางสาวพดุ ตาล สมศรี ๗
วิจยั ในช้นั เรียน ระดบั มธั ยมศึกษาปี ที่ ๑ ประจาปี การศึกษา ๒๕๖๓ เกณฑ์ ๑. อา่ นผดิ ๑ – ๑๘ คา = อา่ นได้ ๒. อ่านผดิ ๑๙ คา = อา่ นไม่ได้ ผลการประเมนิ อ่านผดิ ------------------------ คา อา่ นได้ อา่ นไม่ได้ ความคดิ เห็นและข้อแนะนา ……………………………………………………………….. …………………………………………………………….. ลงช่ือ......................................................................... ผปู้ ระเมนิ ตาแหน่ง...................................................................................... ………………../………………. /………………… การเกบ็ รวบรวมข้อมูล ๑. แบบตรวจสอบการอ่าน ๒.นาคะแนนท่ไี ด้จากการสอบการอ่านมาวิเคราะหข์ ้อมลู โดยใชก้ ารคิดคะแนนเปน็ รอ้ ยละ การวิเคราะหข์ อ้ มลู การนาผลจากการสอบการอ่านมาคิดเปน็ ร้อยละ เกณฑ์ ๑. อา่ นได้ถูกต้อง = อา่ นไดด้ มี าก ๒. อา่ นผดิ ๑ – ๑๘ คา = อ่านไดด้ ี ๓. อา่ นผดิ ๑๙ คาขึ้นไป = ตอ้ งปรบั ปรุงแก้ไข ผวู้ จิ ยั นางสาวพุดตาล สมศรี ๘
วจิ ยั ในช้นั เรียน ระดบั มธั ยมศึกษาปี ท่ี ๑ ประจาปี การศึกษา ๒๕๖๓ บทที่ ๔ ผลการวิเคราะหข์ ้อมลู สญั ลกั ษณ์ที่ใช้ในการนาเสนอผลวิเคราะห์ข้อมลู ในการนาเสนอผลวิเคราะหข์ ้อมลู และแปลความหมายผลการวเิ คราะห์ข้อมลู ผู้วจิ ยั ได้กาหนดสญั ลกั ษณต์ ่างๆดงั ตอ่ ไปนี้ ตารางท.่ี ๑ คะแนนจากการอ่านแบบตรวจสอบการอ่านสะกดคา เลขท่ี ชอ่ื -นามสกลุ จานวนคาอ่านผิด อ่านได้ อา่ นไมไ่ ด้ ๑ เด็กชายกรณ์ดนยั ลอื จันดา ๒ ๑๘ ๒ ๔ ๑๖ ๒ เดก็ ชายธนากร ประเมนิ ชัย ๑๖ ๓ ๑๗ ๑๘ ๒ ๓ เดก็ ชายสรุ ะบดินทร์ ไขจนั ทร์ ๑๗ ๑๙ ๑ ๔ เดก็ หญงิ กาญจนา เพชรใส ๒ ๕ เดก็ หญงิ วรรณศิ า พอ่ คา้ ๑ ตารางที่ ๒ แสดงสรปุ ผลจากการสังเกตพฤตกิ รรมการอ่านสะกดคา จานวน ( ดีมาก) ระดับผลการเรยี น ( ปรบั ปรุง ) นักเรียน ( ดี ) ๕ อ่านได้ถูกต้อง อา่ นผิด ๑-๑๘ คา อา่ นผดิ ๑๙ คาขน้ึ ไป จากตารางท่ี ๒ ปรากฏวา่ การสงั เกตพฤติกรรมการอา่ นสะกดคา ของนักเรียนกลมุ่ ตัวอยา่ งคือผูเ้ รยี น มีพฤติกรรมการอา่ นในการเรียนร้ตู อบสนองในระดบั ท่ดี มี ากมจี านวน ๓ คน ระดบั ผลการอ่านทีด่ ีมี จานวน - คน ระดับผลการอ่านทต่ี ้องปรบั ปรุงมีจานวน ๒ คน ผวู้ ิจยั นางสาวพดุ ตาล สมศรี ๙
วิจยั ในช้นั เรียน ระดบั มธั ยมศึกษาปี ท่ี ๑ ประจาปี การศึกษา ๒๕๖๓ บทท๕่ี สรุปผลการศึกษาค้นคว้า ผลการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้เป็นการศกึ ษาผลจากการอ่านสะกดคา เพื่อพัฒนาทักษะในการอ่าน อภปิ ราย การศกึ ษาค้นคว้าคร้งั นเ้ี ปน็ การศึกษาผลจาการอ่านสะกดคาจากแบบตรวจสอบการอ่าน ในแต่ ละคาที่มีผลตอ่ การเรียนการสอน ของนักเรยี นระดบั ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี ๑ โรงเรยี นรามวทิ ยา รชั มัคลาภิเษก อาเภอศีขรภูมิ จงั หวัดสุรนิ ทร์ ปรากฏวา่ ผลการศกึ ษามีดงั น้ี สรุปผลการสงั เกตพฤติกรรมในการอา่ นของนกั เรียนจานวน ๕ คน พบว่าผูเ้ รียนได้อ่าน สะกดคาแบบตรวจสอบการอ่านและบรรลวุ ตั ถปุ ระสงคใ์ นการอา่ นสะกดคาไดถ้ ูกต้องมจี านวน ๓ คนคิด เปน็ ร้อยละ๖๐ แสดงใหเ้ ห็นว่าผ้เู รียนมพี ฤติกรรมรกั การอ่านและมีความรับผดิ ชอบอา่ นได้ดีมากและมี ประสทิ ธภิ าพ ผเู้ รยี นทีอ่ า่ นแบบตรวจสอบการอา่ นทผี่ ดิ ตั้งแต่ ๑-๑๘ คา แต่ผ่านเกณฑ์นัน้ มีจานวน ๓ คน คิดเป็นร้อยละ ๖๐ แสดงใหเ้ หน็ ว่าผเู้ รียนมีพฤติกรรมทรี่ กั การอ่านไดด้ แี ต่ยงั ขาดทักษะในการ อา่ นอย่บู ้าง เรียนต้องมีการฝึกฝนในการอ่านให้มากขึน้ ผเู้ รยี นที่อา่ นแบบตรวจสอบการอ่าน ทอ่ี ่านผิด ตัง้ แต่ ๑๙ คาเป็นต้นไปนั้นไม่มนี ักเรยี นที่อ่านผิด ข้อเสนอแนะ ผลการทาวจิ ัยคร้ังนี้นาไปพฒั นาการเรียนการสอนของคูณครใู นเรื่องทักษะตา่ งๆของผู้เรยี น ไดเ้ พ่ือให้ผู้เรยี นมปี ระสทิ ธิภาพมากข้นึ ผวู้ จิ ยั นางสาวพุดตาล สมศรี ๑๐
วจิ ยั ในช้นั เรียน ระดบั มธั ยมศึกษาปี ท่ี ๑ ประจาปี การศึกษา ๒๕๖๓ ภาคผนวก กิจกรรมการสอนเสรมิ เพ่ิมความรู้ ผวู้ จิ ยั นางสาวพุดตาล สมศรี ๑๑
วิจยั ในช้นั เรียน ระดบั มธั ยมศึกษาปี ที่ ๑ ประจาปี การศึกษา ๒๕๖๓ ผวู้ จิ ยั นางสาวพดุ ตาล สมศรี ๑๒
วิจยั ในช้นั เรียน ระดบั มธั ยมศึกษาปี ที่ ๑ ประจาปี การศึกษา ๒๕๖๓ ผวู้ จิ ยั นางสาวพดุ ตาล สมศรี ๑๓
วิจยั ในช้นั เรียน ระดบั มธั ยมศึกษาปี ที่ ๑ ประจาปี การศึกษา ๒๕๖๓ ผวู้ จิ ยั นางสาวพดุ ตาล สมศรี ๑๔
Search
Read the Text Version
- 1 - 14
Pages: