1 ชนั้ มธั ยมศึกษาปี ท่ี ๑ หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ ๓ เรอ่ื ง สภุ าษิตพระรว่ ง ครผู สู้ อน คณุ ครพู ดุ ตาล สมศรี 1
2 ใบความรู้ที่ ๓.๑ เรอ่ื งการพดู แสดงความคิดเหน็ การพูดแสดงความคิดเห็น หมายถงึ การพูดเพ่ือแสดงความรูส้ กึ หรอื แสดงความคิดเหน็ เกี่ยวกบั เรื่องใด เรื่องหนึง่ อยา่ งมเี หตผุ ล มีความสอดคล้องกบั เรื่องทพ่ี ูด ในการพูดแสดงความคิดเหน็ ผู้พูดอาจพูดแสดงความ คิดเหน็ เกยี่ วกับเร่ืองทางวชิ าการ เศรษฐกิจ หรือสงั คมก็ได้ ทัง้ น้เี มื่อแสดงความคิดเหน็ ไปแลว้ ควรทาให้ผู้ฟงั เหน็ ด้วยหรอื คล้อยตาม การพูดแสดงความคิดเหน็ อาจเป็นการพดู ระหว่างบุคคลหรือต่อบคุ คลหรือต่อท่ีประชุมก็ได้ ทั้งน้ีขึ้นอยู่ กบั โอกาสในการพดู เช่น การใหส้ มั ภาษณ์ การประชุม การสมั มนา การอภปิ ราย การบรรยาย ประเภทของการพูดแสดงความคิดเห็น การพดู เพ่ือแสดงความคิดเห็นอาจแบ่งไดห้ ลายประเภทตามโอกาสท่ีพดู หรอื ตามลกั ษณะเนื้อหาของ การแสดงความคดิ แต่ในทน่ี ้ไี ดแ้ บ่งประเภทของการพูดแสดงความคิดเห็นตามลกั ษณะเนื้อหาออกเปน็ ๔ ประเภท ดังนี้ ๑. การพูดแสดงความคดิ เห็นในเชงิ สนับสนุน การพูดแสดงความคดิ เหน็ ในลักษณะดังกล่าว เป็นการ พดู เพื่อสนบั สนนุ ความคดิ เหน็ ของผู้อนื่ ซึง่ ผพู้ ดู อาจจะพิจารณาแลว้ วา่ ความคิดเห็นที่ตนสนับสนนุ มรสาระ และประโยชนต์ ่อหน่วยงานและส่วนรวม หรอื ถา้ เปน็ การแสดงความคดิ เหน็ เชิงวิชาการจะต้องเปน็ ความคดิ เห็น ที่เปน็ องค์ความร้สู ัมพนั ธ์กบั เน้ือเร่อื งที่กาลังพดู กันอยู่ทั้งในระหวา่ งบุคคลหรือในที่ประชุม เชน่ การพดู ในท่ี ประชมุ การอภปิ ราย การแสดงปาฐกถา เปน็ ต้น ๒. การพูดแสดงความคิดเห็นในเชิงขัดแยง้ การพดู ลกั ษณะดังกลา่ วเปน็ การพดู แสดงความคดิ เห็นใน กรณีทมี่ ีความคิดไม่ตรงกันและเสนอความคดิ อืน่ ๆ ที่ไม่ตรงกับผูอ้ นื่ การพดู แสดงความคิดเห็นในเชิงขัดแย้ง ควรเป็นไปในเชิงสร้างสรรค์ อันจะก่อประโยชนต์ ่อหน่วยงานหรือสาธารณชน เชน่ การสัมมนา การอภิปราย การประชุม เปน็ ต้น ๓. การพูดแสดงความคดิ เห็นในเชิงวิจารณ์ เปน็ การพูดเพื่อวจิ ารณ์เกยี่ วกบั เรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งผู้ วิจารณอ์ าจจะแสดงความคิดเห็นดว้ ยหรือไม่เห็นด้วย และวจิ ารณใ์ นเชงิ สร้างสรรค์ ผูว้ จิ ารณจ์ ะต้องวางตัวเป็น การไม่อคตติ ่อผู้พดู หรือส่ิงท่ีเห็น เช่น การแสดงความคิดเห็นต่อหนังสือ ละคร รายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์ เปน็ ต้น ๑. การพูดแสดงความคดิ เหน็ เพื่อนาเสนอความคดิ ใหม่ เป็นการพดู ในกรณีทไ่ี มเ่ หน็ ด้วยกบั การแสดง ความคดิ เหน็ ของผู้อ่นื และการนาเสนอความคดิ เห็นใหม่ของตนทค่ี ิดว่าจะเปน็ ประโยชนต์ ่อสว่ นรวม เช่น การแสดงความคดิ เหน็ ในทีป่ ระชุมเป็นต้น ลักษณะของผูพ้ ดู แสดงความคิดเหน็ ที่ได้ ๑. ผู้พดู จะต้องมคี วามรู้ในเร่ืองทจี่ ะแสดงความคิดเห็นเป็นอยา่ งดี ๒. การแสดงความคิดเห็นในเร่ืองใดเรื่องหนง่ึ ควรมหี ลกั การแสดงความคดิ เห็นในเชงิ ขดั แยง้ และเชิงวิจารณ์ 2
3 ๓. ใชภ้ าษาสภุ าพเหมาะสมกับโอกาส โดยเฉพาะการแสดงความคิดเห็นในเชิงขัดแยง้ และเชิงวจิ ารณ์ เพื่อรกั ษา ความสัมพนั ธ์ทด่ี ีต่อผู้พูดและผฟู้ งั ๔. การแสดงความคดิ เหน็ ใดๆก็ตาม ควรแสดงความคดิ เห็นในเชงิ สรา้ งสรรค์และเปน็ ประโยชนต์ อ่ ส่วนรวมเป็น สาคัญ ตัวอย่างสลากสุภาษติ ท่ีรักอย่าดูถูก อย่าดูถูกว่าน้อย อย่าตีงูให้แก่กา อย่ารักห่างกว่าชิด ของปากท่านอย่ารีบ เดินทางอย่า เดินเปล่ียว มสี นิ อย่าอวดมั่ง ครูบาสอนอย่าโกรธ หงิ ห้อยอยา่ แขง่ ไฟ อย่ารกิ ล่าวคาคด ๑. ครูใหน้ ักเรยี นกลุ่มเดิมแต่ละคนจับฉลากสภุ าษิต แลพ้ ดู แสดงความคดิ เหน็ เกย่ี วกบั สภุ าษิตทจ่ี ับฉลาก ได้ ในหวั ขอ้ ต่อไปน้ี ๑) นักเรยี นคิดว่าผใู้ หญม่ ีเหตุผลอยา่ งไร จงึ หา้ มไม่ใหก้ ระทาส่ิงน้ัน ๒) นักเรยี นพูดแสดงความคิดเห็นสนับสนนุ หรอื ขดั แยง้ ต่อการหา้ มไม่ให้กระทาสิง่ น้ัน ในการพูดแสดงความคิดเห็นของนักเรียนแต่ละคนให้สมาชิกในกลุ่มประเมินการพูดของเพื่อว่าพูดได้ ตรงประเด็นมเี หตผุ ลนา่ เชอ่ื ถอื และมีความเป็นไปได้หรือไม่ แลว้ บนั ทกึ ไว้ โดยหมุนเวียนให้ครบทกุ คน สภุ าษติ ท่ีให้นักเรยี นจบั ฉลาก ๑. อย่าชงั ครูชงั มิตร ๖. ภายในอย่านาออก ภายนอกอยา่ นาเข้า ๒. อยา่ นัง่ ชดิ ผู้ใหญ่ ๗. คนพาลอย่าพาลผิด อย่าผูกมติ รไมตรี ๓. อย่ามปี ากวา่ คน ๘. ไปเรือนท่านอยา่ งนงิ่ นาน การเรอื นตนเรง่ คิด ๔. อยา่ อวดหาญแกเ่ พ่ือน ๙. ของแพงอยา่ มกั กนิ ๕. อยา่ ขอร้องรักมิตร ๑o. สเู้ สยี สนิ อย่าเสยี ศกั ด์ิ 3
4 ใบงานที่ ๓.๓ เรอื ง อธิบายคุณค่าดา้ นเน้ือหา คาช้ีแจง ใหน้ กั เรยี นเขยี นอธิบายคาตอบตอ่ ไปน้ี ๑. คณุ ค่าเนื้อหาของสภุ าษติ พระรว่ งมอี ะไรบ้าง ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................. ........................................................................................... ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................ .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................ ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................. ........................................................................................... ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................ .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................ ๒. คาสอนในสุภาษิตพระร่วงสามารถนามาใชใ้ นชวี ติ ประจาวันได้อยา่ งไร ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................ ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................. ........................................................................................... ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................ .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................ ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................ .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................ ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................................. .............................. 4
5 ใบงานที่ ๓.๒ แผนทคี่ วามคิดสภุ าษติ พระร่วง คาช้แี จง ใหน้ ักเรยี นอา่ นวรรณคดีเร่ือง สภุ าษิตพระร่วง แล้วสรปุ เนอื้ หาจดั ทาเปน็ แผนท่ีความคดิ 5
6 การวเิ คราะห์สุภาษิตพระร่วง ๓.๓ คาชแ้ี จง ใหน้ ักเรยี นอ่านวรรณคดเี ร่ือง สภุ าษิตพระร่วง แล้วตอบคาถาม ๑. รูปแบบและลักษณะคาประพันธ์ของวรรณคดีเรื่อง สุภาษติ พระรว่ ง มีลักษณะอยา่ งไร ๒. เนื้อหาของวรรณคดเี ร่ือง สภุ าษิตพระรว่ ง มีลกั ษณะอย่างไร ๓. สภุ าษติ พระรว่ งท่ีกาหนดเป็นการสอนเกี่ยวกบั เร่ืองใด l อย่าใฝ่ตนใหเ้ กนิ ทดแทนคณุ ทา่ นเม่อื ยาก เข้าเถื่อนอยา่ ลืมพร้า พึงผนั เผื่อต่อญาติ อยา่ ใฝส่ ูงให้พ้นศักด์ิ อย่าใฝเ่ อาทรพั ย์ท่าน ๒.ใหน้ ักเรยี นเขยี นแผนผงั ลักษณะค าประพันธ์ประเภทรา่ ยสภุ าพ และโคลงสองสุภาพ พรอ้ มโยงสัมผัส ๓. เนือ้ หาของวรรณคดีเร่อื ง สภุ าษิตพระร่วง มีลักษณะอย่างไร 6
7 ใบความรู้ท่ี ๓.๔ เรื่อง “หลักการเขยี นรายงานจากการค้นควา้ ” ความหมายของรายงาน รายงาน หมายถงึ ผลการศกึ ษาคน้ ควา้ เร่ืองใดเรื่องหนงึ่ โดยผ่านกระบวนการเรียบเรยี งแล้วเขียนหรอื พิมพ์ให้ถูกตอ้ งตามแบบแผนท่ีกาหนดให้การทารายงานอาจทาเป็นรายบคุ คลหรอื เปน็ รายกลุม่ ก็ได้ วตั ถปุ ระสงค์ของการรายงาน ๑.เพอ่ื ให้รูจ้ ักค้นคว้าหาความรู้ดว้ ยตนเอง ๒. เพอ่ื ฝึกทักษะและนสิ ัยรักการอา่ น การคน้ คว้า ตลอดจนสามารถสรปุ ความหรือจับใจความของ เร่อื งที่อา่ นได้ ๓.เพื่อสง่ เสริมความคิดรเิ รม่ิ สรา้ งสรรค์ คิดวเิ คราะห์ คดิ อย่างมีระบบ มีเหตผุ ล ๔. เพอื่ ฝึกทักษะการเขยี น การนาเสนอรายงานไดอ้ ย่างถูกต้อง ประเภทของรายงาน ๑. รายงานทัว่ ไป เป็นรายงานท่เี สนอขอ้ เทจ็ จริง หรือขอ้ คดิ เห็นของบุคคลเกีย่ วกบั ข่าว เหตุการณ์ ต่างๆ ใหผ้ ูอ้ ่านได้ทราบข่าวความเคลือ่ นไหวของบุคคล หรอื เหตุการณ์ เชน่ รายงานเสนอรายงาน รายงาน เหตกุ ารณ์ ๒. รายงานทางวชิ าการ เปน็ รายงานท่ีไดจ้ ากการศกึ ษาค้นคว้าวจิ ัยอยา่ งมรี ะบบ โดยใช้กระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ สามารถพสิ ูจนไ์ ด้ เน้อื หาของรายงานมงุ่ เสนอผลทไ่ี ดจ้ ากการศกึ ษา แบ่งเปน็ ๓ ประเภทคือ ๒.๑ รายงาน ๒.๒ ภาคนิพนธ์ ๒.๓ วทิ ยานพิ นธ์ หรือ ปรญิ ญานพิ นธ์ ลกั ษณะของรายงานทด่ี ี ๑. ผเู้ ขียนไดแ้ สดงใหเ้ หน็ วา่ มกี ารศึกษาคน้ ควา้ อยา่ งจรงิ จัง กวา้ งขวาง เนือ้ หา ครบถ้วน ถูกต้อง แม่นยา ๒. จดั เรียงลาดบั เนอื้ หาได้อย่างต่อเนือ่ ง มคี วามสมั พนั ธก์ ันอย่างดี สมเหตสุ มผล ๓. ใชภ้ าษาไดถ้ ูกต้องตามหลักการเขยี นท่ดี ี ๔. แสดงหลกั ฐานอ้างอิงและแหล่งท่ีมาของข้อมูลถูกต้อง ทนั สมัย สว่ นประกอบของรายงาน ๑. สว่ นปรกอบตอนต้น หรือสว่ นนา ประกอบดว้ ย ปกนอก ปกใน คานา สารบญั บัญชีตาราง บญั ชภี าพประกอบ เป็นต้น ๒. ส่วนปรกอบสว่ นกลาง หรือสว่ นเน้ือเรื่อง ๓. ส่วนประกอบตอนทา้ ย คอื ส่วนเพิ่มเติม เป็นส่วนประกอบที่ช่วยใหผ้ ู้อ่านไดร้ บั ประโยชน์เพ่มิ เตมิ ข้นั ตอนของการเขยี นรายงาน ๑. การเลือกหวั ข้อรายงาน ๒. การรวบรวมหนงั สืออา้ งอิงหรือบรรณานุกรม ๓. การเขียนโครงเรื่องเพ่ือกาหนดขอบขา่ ยเน้อื หา ๔. การอา่ นและทาบตั รบนั ทกึ การอ่าน ๕. การเรียบเรียงเนอื้ หา ๖. การเขียนบรรณานกุ รม 7
8 ใบงานที่ ๓.๔ เรอื่ ง “หลักการเขียนรายงานจากการค้นคว้า” คาชี้แจงให้นกั เรียนศึกษาเรื่องการเขียนรายงานการศกึ ษาค้นคว้า แล้วตอบคาถาม ๑.องค์ประกอบของรายงานการศึกษาคน้ คว้ามีก่สี ว่ น อะไรบ้าง ..................................................................................................................................... ......................................... .......................................................................................................................................... ................................... ............................................................................................... ............................................................................... ............................................................................................................................. ................................................ ..................................................................................................................................... ......................................... ............................................................................................................................................................................. ..................................................................................................................................... ......................................... ............................................................................................................................. ................................................ .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................ ..................................................................................................................................... ......................................... ............................................................................................................................................................................. ..................................................................................................................................... ......................................... .......................................................................................... ................................................................................... ..................................................................................................................................... ......................................... ............................................................................................................................. ................................................ .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................ ..................................................................................................................................... ......................................... .......................................................................................... ................................................................................... ..................................................................................................................................... ......................................... ............................................................................................................................. ................................................ .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................ ..................................................................................................................................... ......................................... ............................................................................................................................................................................. ..................................................................................................................................... ......................................... ............................................................................................................................. ................................................ .............................................................................................................................................................................. 8
9 ๒. องคป์ ระกอบแต่ละส่วนมวี ิธเี ขียนอย่างไร .................................................................................................. ............................................................................ ............................................................................................................................. ................................................ ..................................................................................................................................... ......................................... ............................................................................................................................................................................. ..................................................................................................................................... ......................................... ............................................................................................................................. ................................................ ..................................................................................................................................... ......................................... .......................................................................................... ................................................................................... ..................................................................................................................................... ......................................... ............................................................................................................................. ................................................ .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................ ..................................................................................................................................... ......................................... ............................................................................................................................................................................. ..................................................................................................................................... ......................................... ............................................................................................................................. ................................................ .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................ ..................................................................................................................................... ......................................... ............................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................... .......................................... ............................................................................................................................. ................................................ ..................................................................................................................................................................... ......... .......................................................................................................................... ................................................... ..................................................................................................................................... ......................................... ........................................................................................................................................................... .................. ................................................................................................................ .............................................................. ............................................................................................................................. ................................................ ................................................................................................................................................. ............................. ...................................................................................................... ....................................................................... ..................................................................................................................................... ......................................... ....................................................................................................................................... ...................................... 9
10 แบบทดสอบทา้ ยกิจกรรม ท่ี ๓.๕ เร่ืองสานวนสุภาษติ และคาพังเพย จงแยกสานวนสุภาษติ และคาพงั เพย ลงในช่องตามตารางท่กี าหนดให้ หน้าม้า ตงี ูใหก้ ากิน ทดแทนคุณท่านเมือ่ ยาก รกั เขามากกว่าผม เทวดาเดนิ ดิน ปากหอยปากปู การกระทาอย่าด่วนได้ นา้ มาปลากินมด คดิ ขนขวยทีช่ อบ ขุดคนดว้ ยปาก คาพังเพย สานวน สภุ าษติ ( ๕ คะแนน ) ๑. นาพยางคใ์ นวงกลมที่ ๑ – ๕ ไปสะกดเปน็ สานวน สุภาษติ และคาพงั เพยแล้วเขยี นลงในช่องวา่ ง ปลูก อยา่ เมต ๑. รู้ ร้าง ตรี ๒. มิตร ตอ ต่อ ปลูก บ อยา่ ไมต รี ตราา้ ง ตรี ๓. คน ๔. อยา่ ดู จน ถูก ทรัพย์ ใฝ่ ทา่ น อยา่ เอา ๕. เจร ตาม จา คดี 10
11 ๓.หาสุภาษิตในเรื่องสุภาษิตพระร่วงที่มีความหมายเดียวกันกับสุภาษิตในข้อ ก. แล้วเขียนเติมลงใน ช่องวา่ งดา้ นซา้ ยมือ ก. สวุ านขบอยา่ ขบตอบ ข. อยา่ ใฝ่ตนให้เกิน ค. มีสินอย่าอวดม่ัง ง. คิดแล้วจึงเจรจา จ. อยา่ คะนงึ ถึงโทษทา่ น ๔. ขีดเส้นโยงพฤติกรรมของคนในข้อ ก. กับสานวนสุภาษติ คาพงั เพยดา้ นซ้ายมอื ก. นายเนยี นชอบพูดโอ้อวด - ก้ิงกา่ ได้ทอง วา่ ตนเปน็ คนรา่ รวย ข. นางนม่ิ ชอบนาเรอ่ื งในครอบ - จบั ให้มัน่ คั้นให้ตาย ครัวไปเลา่ ใหเ้ พือ่ นฟงั ค. นางสาวยินดใี ห้เพ่อื นยมื เงินทั้งๆที่ - รักเขามากกวา่ ผม พ่อของเธอก็มีความจาเปน็ ตอ้ งใช้เงิน ง. แดงกับดาตา่ งกร็ ู้ว่าอกี ฝา่ ยหนง่ึ มี - ความในอย่านาออก แผนการณ์จะฉอ้ โกงเงินของบรษิ ัท จ. นายเกง่ ทางานจนสาเร็จแม้จะ - ไกเ่ ห็นตีนงู งูเหน็ ตีนไก่ มอี ปุ สรรคมากมาย 11
12 แบบทดสอบกอ่ นเรยี น แผนที่ ๓.๖ ๑.ภาษาหมายถึง ก. คาทเ่ี ปล่งออกมา ข.ลายลกั ษณอ์ ักษรท่เี ขยี น ค.เสียงท่เี ปล่งออกมาเพื่อส่ือความหมาย ง. ลักษณะท่าทางท่ใี ชส้ ื่อออกมา ๒.ภาษามอี งค์ประกอบ 2 ประการคือ ก. เสยี ง ไพเราะ ข. เสยี ง ชดั เจน ค.เสียง คา ง. เสยี ง ความหมาย ๓.เสยี งในภาษาเกดิ ขนึ้ ได้เพราะอะไร ก.ใชอ้ วัยวะตา่ งๆต้ังแต่ช่องทอ้ งจนถึงรมิ ฝีปากให้ประสานกนั เปน็ เสยี ง ข. ใช้อวยั วะต่างๆตง้ั แตก่ ระบงั ลมจนถงึ ริมฝปี ากให้ประสานกันเปน็ เสยี ง ค. ใชอ้ วัยวะต่างๆตั้งแต่หลอดลมจนถึงริมฝีปากใหป้ ระสานกนั เป็นเสียง ง.ใช้อวยั วะตา่ งๆตัง้ แตช่ ่องท้องจนถึงฟันให้ประสานกนั เปน็ เสียง 12
13 ๔.จากภาพตาแหน่งเสียงนาสิกอยู่ที่หมายเลขใด ก. หมายเลข 1 ข. หมายเลข2 ค. หมายเลข3 ง. หมายเลข 4 ๕. เครือ่ งหมายตา่ งๆอาณตั สญั ญาณ ไมจ่ ดั เปน็ ภาษาเพราะ ก. สือ่ ความหมายไมไ่ ่ด้ ข ไมใ่ ช่เสียงพูด ค. ไมม่ ีเสียง ง. ไมใ่ ชเ้ สียง ๖. เสยี งสระเกิดจากอะไร ก. เกิดจากลมผา่ นรมิ ฝีปาก แล้วสะบดั ออก ข. เกิดจากลมผา่ นเพดานแขง็ แลว้ สะบดั ออก ค. เกดิ จากลมผ่านเส้นเสยี ง แลว้ สะบัดออก ง. เกดิ จากลมผ่านเพดานอ่อน แล้วสะบัดออก ๗.สียงทีเ่ ปล่งออกทางริมฝีปากไดแ้ ก่พยญั ชนะตวั ใดบ้าง ก. บ พ ข ค ข. บ ป ข ค ค. บ จ ข ค ง. บ ป พ ม ๘. เสยี งในภาษาไทยมกี ี่ชนดิ ก. 1ชนิด ข. 2 ชนดิ ค. 3 ชนดิ ง. 4 ชนดิ ๙. ขอ้ ใตคอื อวัยวะที่ใชใ้ นการเปลง่ สียงท้ังหมด ก. รมิ ฝีปาก ฟนั ปุม่ เหงือก ข. รมิ ฝีปาก จมูก ปุ่มเหงือก ค. รมิ ฝีปาก เพดานออ่ น ปุ่มเหงือก ง. รมิ ฝีปาก เพดานแขง็ ป่มุ เหงือก ๑๐.เสยี งในภาษาไทยชนิดใดท่เี รียกว่าเสยี งดนตรี ก. สยี งพยัญชนะ 13
14 ข. เสยี งสระ ค. เสยี งวรรณยกุ ต์ ง. เสยี งสามัญ 14
15 ใบความรู้ที่ ๓.๖ เรื่อง ระบบเสยี งและอวยั วะในการออกเสยี ง ระบบเสียงและอวยั วะในการออกเสียง เร่ือง ระบบเสียงและอวยั วะในการออกเสียง ความหมายของภาษา ภาษา หมายถึง เสียงท่ีมนษุ ย์เปล่งออกมาเพือ่ สื่อความหมายระหว่างมนุษยด์ ้วยกนั เพ่ือสนองความต้องการ ตา่ งๆ เสยี งในภาษาเกิดขนึ้ ได้อยา่ งไรเสียงต่าง ๆ ของมนุษย์ ไมว่ า่ จะเป็นเสยี งพูด เสยี งร้อง เสียงหัวเราะ เกดิ ขึ้นจากการส่นั ของเสน้ เสียง ซงึ่ อยูภ่ ายในลาคอเส้นเสียงจะสน่ั ไดต้ ้องมลี มภายในปอดผ่านออกมากระทบ กับเสน้ เสียง เกดิ เป็นเสยี งต่าง ๆ ข้นึ เสียงในภาษาเกดิ จากลมจากปอดผ่านหลอดลม กล่องเสยี งซึ่งมเี ส้นเสยี งอยู่ภายใน เสน้ เสยี งเมอ่ื ถูกลมผา่ นจะเกิดการส่นั ทาให้เกดิ เสียง ขณะท่ลี มผ่านมาในชอ่ งปาก หรือช่องจมูก จะถูกอวยั วะตา่ งๆ เช่น ล้นิ เพดานปาก ปมุ่ เหงือก ฟันและรมิ ฝปี ากกล่อมเกลาลมใหเ้ ป็นเสยี งต่างๆ ตามทีผ่ ู้พดู ตอ้ งการ 15
16 อวัยวะท่ีใชใ้ นการออกเสยี งมีดงั ตอ่ ไปนี้ ๑. ปอด ภายในปอดจะมีถุงลมเล็ก ๆ จานวนมาก เม่ือต้องการเปลง่ เสียงต้องอาศยั ลมจากปอดระบายลม ออกมา เพอ่ื นามาใช้ในการเปล่งเสยี งพดู ๒. กระบงั ลม เป็นกล้ามเน้ือผืนใหญก่ น้ั อยู่ในช่องท้องอยใู่ ตป้ อด เม่ือหายใจเข้า กระบังลมจะเคลื่อนตวั ลงต่า ทาใหเ้ กิดพน้ื ที่กกั เก็บลมมากขึ้น เมอื่ หายใจออกกระบงั ลมจะถูกยกสงู ขนึ้ อากาศภายในจะถูกผลักออกมาทาง หลอดลม ชอ่ งจมูกและปาก ๓. หลอดลม เปน็ ชอ่ งทางเดินของลมจากปอดมาสู่กล่องเสียง ๔. เสน้ เสียง เป็นอวัยวะสาคัญท่ที าใหเ้ กิดเสยี ง ประกอบด้วยเส้นเอ็นและกล้ามเนือ้ เป็นแผ่น ๒ แผ่น เมือ่ จะ เปล่งเสียงลมผา่ นเส้นเสยี ง เส้นเสียงส่ันจึงทาใหเ้ กดิ เสียง เส้นเสยี งตัง้ อย่ตู รงกลางกล่องเสยี ง กลอ่ งเสียง คือ ส่วนทอ่ี ยู่เหนอื หลอดลมขนึ้ มา ตรงท่เี ราเรียกว่าลกู กระเดือก ๕. ลิน้ เป็นสว่ นทีเ่ คล่ือนไหวได้มากทีส่ ดุ ในการออกเสยี ง เปน็ อวัยวะท่ีควบคมุ ช่องทางเดินของลม จงึ ทาให้ เกดิ เป็นเสยี งในลักษณะต่างๆ ๖. ลนิ้ ไก่ เปน็ ก้อนเน้ือเล็กๆ อยูต่ ่อปลายเพดานอ่อนตรงกลางระหวา่ งชอ่ งปากกบั ช่องจมูก ๗. ช่องจมูก เปน็ โพรงในช่องจมกู อย่เู หนือลน้ิ ไก่ขน้ึ ไป เปน็ ช่องทางเดนิ ลมเม่ือตอ้ งการออกเสยี งนาสิก เช่น เสยี งพยญั ชนะ น ง ม ๘. เพดานออ่ น เปน็ สว่ นของเพดานปากตอ่ กับลนิ้ ไก่ ใช้ในการออกเสียง โดยการเอาลิ้นไปแตะเพ่ือควบคุมลม ในการออกเสยี งบางเสยี ง เช่น เสยี งพยัญชนะ ก ค ๙. เพดานแขง็ เปน็ สว่ นของเพดานปากตอ่ กับเพดานอ่อน ใชใ้ นการออกเสียง โดย เอาลนิ้ ไปแตะเพ่ือควบคมุ ลมในการออกเสียงบางเสยี งเช่นเดียวกบั เพดานอ่อน เช่น เสียงพยญั ชนะ ย จ ช ๑๐. ปมุ่ เหงือก เปน็ ส่วนทน่ี นู ออกมาตรงบรเิ วณโคนฟนั บนด้านใน ล้นิ แตะอย่ใู กลบ้ ริเวณปมุ่ เหงือก เม่ือออก เสยี งพยญั ชนะ เช่น เสยี งพยัญชนะ ด น ล ๑๑. ฟัน เป็นอวยั วะซง่ึ เปน็ ฐานหรือตาแหนง่ ท่เี กดิ ของเสียงหลายชนิด เชน่ เมื่อใช้ฟนั บนกบั รมิ ฝีปากลา่ ง ควบคุมทางเดนิ ลมใหล้ อดช่องพอจะผ่านได้ทาใหเ้ กิดเสยี งพยัญชนะ ฟ หรือใชล้ ้นิ แตะฟันบนกส็ ามารถออก เสยี งพยญั ชนะ ต ท ๑๒. รมิ ฝีปาก เป็นอวัยวะที่สาคญั ในการออกเสียงซ่ึงทาให้เกดิ เสียงแตกตา่ งกันมาก เชน่ ใชร้ ิมฝปี ากบนและรมิ ฝปี ากล่างปดิ กักลมไว้ช่วั ครู่ แล้วปลอ่ ยกจ็ ะได้เสยี งพยัญชนะ บ ป พ ม ว หากออกเสยี งสระกใ็ ชร้ ิมฝีปาก กับลนิ้ ควบคุมลมออกเสยี งได้ทงั้ หมด เชน่ ทาปากห่อกลมล้ินสว่ นหลังอยู่ในระดับสูง กลาง ต่า ก็จะได้เสียง สระ อุ อู โอะ โอ เอาะ ออ ตามลาดับ ชนดิ และลักษณะของเสียงในภาษาไทย เสยี งในภาษาไทย มี ๓ ชนิด คือ เสียงสระ เสียงพยัญชนะ เสียงวรรณยกุ ต์ ๑. เสยี งสระ คอื เสียงทีเ่ กิดจากลมผา่ นเสน้ เสียง ซ่งึ เกร็งตัวชดิ กนั ปิดช่องทางเดินลมจนสัน่ สะบัด แล้วออกไปทางช่องปากหรอื จมกู โดยทไ่ี ม่ถูกสกัดกัน้ ณ ทใี่ ดทห่ี นึ่งในช่องทางเดินลม แต่มีการใช้ลน้ิ และริม ฝีปากกลอ่ มเกลาเสียงใหแ้ ตกต่างกนั ไปไดห้ ลายเสียงลกั ษณะสาคัญของเสียงสระมี ๒ อยา่ ง คือ เป็นเสยี งส่นั สะบัดหรอื เสยี งกอ้ ง และเป็นเสียงผ่านออกไปโดยตรง บางคร้ังจึงได้ช่ือว่า เสียงแท้ ๒. เสียงพยญั ชนะ คอื เสยี งท่ีเกิดจากลมผา่ นเส้นเสียงซ่งึ อาจส่ันสะบดั หรือไม่ก็ได้ แลว้ ถูกสกัดกัน้ ท้งั หมดหรอื บางส่วน ณ ทใ่ี ดทหี่ นง่ึ ในช่องทางเดนิ ลม เชน่ เพดานอ่อน เพดานแขง็ ปุ่มเหงือก ฟัน ริมฝปี ากและลิน้ ก่อน จะปลอ่ ยออกมาทางช่องปากหรือช่องจมูก 16
17 ลกั ษณะสาคญั ของเสียงพยัญชนะ คือ เปน็ เสยี งท่ถี ูกกักก่อนทจี่ ะผ่านออกไปทางช่องปากหรอื ช่องจมูก บางคร้งั เรยี กว่า เสียงแปร ๓. เสยี งวรรณยุกต์ คอื เสยี งทมี่ กี ารเปลยี่ นระดับสงู ตา่ เน่ืองจากระดบั ความสน่ั สะเทือนของเสน้ เสยี งในขณะ เปลง่ เสยี งวรรณยกุ ต์แตล่ ะเสยี งไม่เท่ากนั และเปลง่ ออกมาพร้อมกับเสียงสระ บางครงั้ เรยี กว่า เสยี งดนตรี กาเนิดและชนดิ ของเสยี งในภาษาไทย ความหมายของเสียงในภาษา เสียงในภาษา หมายถึง เสยี งที่มนุษย์เปล่งออกมา เพือ่ ส่ือความหมายระหวา่ งมนุษย์ด้วยกัน เพ่อื สนองความตอ้ งการต่าง ๆ เช่น เพอื่ ขอความชว่ ยเหลือ เพอ่ื ขอความรู้ เพ่ือแสดงความรูส้ กึ พอใจ หรือไม่ พอใจ ใหผ้ ู้ฟงั เข้าใจความประสงค์ของผู้พดู เสียงในภาษาจงึ ตอ้ งมีความหมายอันเปน็ ท่เี ข้าใจตรงกันระหวา่ ง มนุษย์ท่ีอยรู่ ่วมสังคมเดียวกัน ภาษามีองคป์ ระกอบสาคัญ ๒ อย่าง คือ เสียง (หรือคาพูด) และความหมาย เครื่องสื่อความเข้าใจอื่น ๆ นอกจากเสียงพูดของมนุษย์ ไม่จัดเป็นภาษา เช่น เคร่อื งหมาย อาณตั ิ สญั ญาณ กาเนดิ ของเสยี งในภาษา เสยี งในภาษาเกิดข้ึนได้เพราะเราใช้อวยั วะตา่ ง ๆ ตั้งแต่เหนือช่องท้องขึ้นมาจนถึงริมฝปี าก และ ชอ่ งจมูกใหท้ างานประสานกัน ทาให้เกิดเสยี งข้ึน อวัยวะที่ใชใ้ นการออกเสียง ได้แก่ ปอด หลอดลม และกล่องเสียง ท่ีลาคอ เมื่อลมผา่ นเส้นเสยี งจะทาใหเ้ สน้ เสียงสะบัดเกิดเปน็ เสยี งก้อง ถา้ สะบดั ไม่มากเสียงกจ็ ะไมก่ ้อง จากน้ัน ลมก็จะถูกปล่อยผ่านไปทางช่องปาก แล้วไปกระทบกบั ส่วนต่าง ๆ ของปาก เช่น ลิ้นไก่ ล้ิน ริมฝีปาก ฟัน ปุ่ม เหงือก เพดานแข็ง เพดานอ่อน ทาให้เสียงถูกกัก หรือกั้นลมด้วยอวัยวะสว่ นใดส่วนหน่งึ ในช่องปาก หรือถูก กักลมในช่องปาก แล้วปล่อยลมบางส่วนออกไปทางข้างลนิ้ หรือดนั ลมให้เสียดแทรกอวยั วะต่าง ๆ ออกมา หรือดันลมใหข้ ึ้นจมูก ทาให้เกิดเปน็ เสียงต่าง ๆ อวัยวะที่ใช้ในการออกเสยี ง อวยั วะสว่ นทม่ี ีหนา้ ท่ีโดยตรงในการออกเสียงมลี ักษณะสาคัญ ดังต่อไปน้ี ๑. ริมฝีปาก เป็นอวัยวะส่วนที่สามารถเคลื่อนไหวได้มาก และทาให้เสียงแตกตา่ งกันมาก เราอาจจะบังคบั รมิ ฝีปากใหป้ ิดสนทิ ใหเ้ ปิดเลก็ น้อย ใหเ้ ปดิ กวา้ งขึ้น ใหย้ ืน่ ออกมา ให้ห่อกลม หรอื ทาเปน็ รปู รีกไ็ ด้ ลกั ษณะต่าง ๆ ของริมฝีปากลว้ นมีผลตอ่ การออกเสียง และทาใหเ้ สียงแตกตา่ งกันไปทั้งส้นิ ๒. ฟัน เปน็ อวยั วะซึง่ เป็นฐาน หรือตาแหน่งท่ีเกิดของเสยี งหลายชนดิ เชน่ เมื่อกดฟันบนลงทร่ี มิ ฝีปากลา่ ง ลมจะลอดช่องที่พอจะผ่านออกมาได้ ทาใหเ้ กิดเป็นเสียงชนิดที่เรยี กวา่ เสียงเสยี ดแทรกทีเ่ กดิ ระหวา่ งฟันกับรมิ ฝปี าก ถ้าฟันบนกดกบั ฟนั ลา่ ง ลมทผี่ า่ นออกมาจะทาให้ได้เสยี งเสียดแทรกทเ่ี กดิ ที่ฟนั เป็น ตน้ ๓. ปุ่มเหงือก เป็นส่วนที่นูนออกมาตรงบริเวณหลังฟันด้านบน ถ้าเอาลิ้นแตะดูจะรสู้ กึ ว่า มีลกั ษณะ เป็นคลืน่ ลนิ้ อาจจะแตะหรืออยู่ใกล้บรเิ วณป่มุ เหงือก ซ่ึงทาให้เกิดเสยี ง ปุ่มเหงือกจึงนับเป็นตาแหนง่ หรอื ฐาน สาคัญในการออกเสียงตาแหน่งหน่ึง ๔. เพดานแขง็ หมายถึง เพดานสว่ นทีโ่ คง้ เป็นกระดูกแข็ง ๕. เพดานอ่อน คือ ส่วนของเพดานซ่ึงอยู่ต่อเพดานแข็งเข้าไปข้างใน มีลักษณะเป็นกระดูกอ่อนท่ีขยบั ข้นึ ลง ได้เล็กน้อย เวลาพูดสว่ นใหญเ่ พดานอ่อนและลิน้ ไก่จะถูกยกขึน้ ไปจดกับผนังคอ และก้ันลมไม่ให้ออกไปทางจมูก 17
18 ในเวลาออกเสียงนาสกิ (ได้แก่ เสียง /น/ /ม/ /ง/ ในภาษาไทย) เท่าน้นั ที่เพดานอ่อนจะลดระดบั ลงมาเพอื่ ให้ลม ออกไปทางจมูกได้ ๖. ลิ้นไก่ เป็นกอ้ นเน้ือเล็ก ๆ อยูต่ อ่ ปลายเพดานอ่อนตรงกลางปาก ส่นั รวั ได้ ๗. ช่องจมูก หมายถึง โพรงในช่องจมูก ซ่ึงอยู่เหนือล้ินไก่ขึ้นไปเป็นช่องที่ลมซ่ึงผ่านเสน้ เสียงขึ้นมาจะผ่าน ออกไปทางจมูกไดเ้ ม่อื เวลาหายใจ และเวลาออกเสยี งนาสิก ในเวลาที่เปลง่ เสยี งอ่นื ๆ ลิน้ ไก่จะถูกยกข้นึ ไปปดิ ชอ่ งจมกู เพ่ือใหล้ มออกมาทางชอ่ งปาก ๘. ลิ้น เป็นสว่ นท่ีเคลื่อนไหวได้มากที่สุดในการออกเสียงพูด ส่วนท่ีเคลื่อนไหวของล้ิน แต่ละสว่ นมีผลต่อการ ออกเสยี ง เราจึงแบ่งลน้ิ ออกเป็น ๓ สว่ น ตามหน้าที่ท่ีมใี นการออกเสยี ง คือ - ปลายล้ิน หรือลิ้นส่วนปลายสดุ ซง่ึ จะยกขึ้นไปแตะอวยั วะส่วนตา่ ง ๆ ในปากตอนบนได้โดยงา่ ย - หนา้ ล้นิ หรือลนิ้ ส่วนหนา้ ไดแ้ ก่ ลิ้นส่วนทีอ่ ยู่ตรงข้ามกบั เพดานแข็ง - หลังลน้ิ หรือลิ้นสว่ นหลงั ได้แก่ ส่วนของลิน้ ซง่ึ อย่ตู รงขา้ มกบั เพดานอ่อน ๙. แผน่ เนื้อปากหลอดลม หรือล้นิ ปิดกล่องเสียง เปน็ แผ่นเนอื้ บาง ๆ อย่ตู ่อโคนล้ินลงไปในลาคอ มีหน้าที่ปิด เปิดช่องหลอดลมเพ่ือป้องกันมิให้อาหารตกลงไปในหลอดลม เม่ือพูดแผ่นเนือ้ นจี้ ะเปิดออก ๑๐. โพรงคอ หมายถงึ โพรงซ่ึงอยูถ่ ัดช่องปากลงไปจนถึงเส้นเสยี ง ๑๑. เส้นเสียง เป็นอวัยวะสาคัญที่ทาให้เกิดเสียง เส้นเสียงมีลักษณะประกอบด้วยเส้นเอน็ และกล้ามเนื้อ เป็นแผ่น ๒ แผ่น เสน้ เสียงทั้งสองวางขวางอยู่ตรงกลางกลอ่ งเสยี ง กล่องเสียงคอื ส่วนทีอ่ ยู่เหนือหลอดลม ข้นึ มา ตรงทเี่ ราเรียกว่า ลกู กระเดอื ก ภาพท่ี ๑.๑ อวยั วะท่ีใชใ้ นการออกเสียง (ทม่ี า : หนังสือเรียนพฒั นาทกั ษะภาษา เล่ม ๑, ๒๕๔๖) 18
19 แบบบันทกึ กจิ กรรมที่ ๓.๖.๑ ตอนท่ี ๑ ตอบคาถาม เรื่อง ความหมายและกาเนิดของเสียงในภาษา ชอ่ื - สกลุ ........................................................................................... ชั้น .................... เลขท่ี ........... คาชแ้ี จง ให้นักเรยี นเตมิ คาหรือข้อความในช่องว่างให้ถูกต้อง ๑. เสยี งในภาษา หมายถึง ............................................................................................................................. ๒. ภาษามอี งคป์ ระกอบ ๒ ประการ ได้แก่ ..................................................................................................... ๓. อวยั วะที่เปน็ แหล่งเรมิ่ ต้นของเสียงในภาษา คือ ........................................................................................ ๔. อวัยวะทีใ่ ชใ้ นการออกเสยี ง ได้แก่ ............................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ๕. เสยี งในภาษาเกิดจาก ................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................................................................................... .......................... ............................................................................................................................................ .................................. ๖. เคร่ืองหมายต่าง ๆ อาณัตสิ ญั ญาณ ไม่จัดเปน็ ภาษา เพราะ ..................................................................... ............................................................................................................................................................................. ๗. อวัยวะท่มี ีลักษณะประกอบด้วยเส้นเอ็น และกล้ามเน้อื เป็นแผน่ ๒ แผ่น วางขวางอย่กู ลาง กลอ่ งเสียง คอื .............................................................................................................. ......................... ๘. เสียงเสยี ดแทรกทเี่ กดิ ระหว่างฟันกับริมฝปี าก เกดิ จาก ........................................................................... ............................................................................................................................................................................ ๙. เพดานอ่อนจะลดระดบั ลงมาเพ่ือใหล้ มออกไปทางจมูกได้ ในเวลาท่ีออกเสียง ........................................ ๑๐. เสยี งพยัญชนะในภาษาไทยท่เี ป็นเสยี งนาสิก ไดแ้ ก่ เสียง ...................................................................... 19
20 แบบบันทกึ กจิ กรรมท่ี ๓.๖.๒ ตอนท่ี ๒ ตอบคาถาม เรอื่ ง อวัยวะทีใ่ ช้ในการออกเสียง ชอ่ื - สกลุ ........................................................................................... ชั้น .................... เลขที่ ........... คาชี้แจง ใหน้ กั เรยี นบอกช่ืออวัยวะที่ใชใ้ นการออกเสียง 20
21 ใบงานท่ี ๓.๗ การอา่ นจบั ใจความสาคญั คาช้ีแจง ใหน้ ักเรยี นสรปุ ใจความสาคญั ใหถ้ ูกต้อง ลูกแกะหลงฝูงกับหมาปา่ ลูกแกะตัวหน่ึงหลงฝงู วิง่ เตลดิ ไปพบกบั หมาปา่ ขณะกาลงั จะถกู จบั กนิ ลกู แกะเหน็ จวน ตวั ไมม่ ีทางหนพี ้น จึงแข็งใจยืนเผชิญหนา้ พร้อมออกอุบายวา่ “ไหนๆ ข้ากจ็ ะต้องกลายเป็นอาหารของท่านอย่างไม่มีทางหลกี เล่ยี งได้แล้ว ก่อนตายข้า อยากฟังเสยี งปี่ และเตน้ ราเป็นครงั้ สดุ ทา้ ย ขอท่านชว่ ยอนุเคราะห์ดว้ ยเถดิ ” หมาป่านึกสนกุ จึงเปา่ ปด่ี ้วยทานองเรา้ ใจ หมาเฝา้ ฝงู แกะตัวหนงึ่ ว่ิงมาตามเสยี ง ครนั้ เหน็ ลกู แกะกาลงั ตกอยู่ในอนั ตรายจึงเหา่ เรียกพรรคพวกของมัน ด้วยเหตนุ ี้หมาปา่ ต้องรบี ทิ้งป่วี ิ่งหนไี ปดว้ ย ความเสียดาย เพ่อื นกนิ สนิ้ ทรัพยแ์ ลว้ แหนงหนี หาง่าย เพื่อนตาย หลายหม่ืนมี มากได้ หายาก ถ่ายแทนชี- วาอาตม์ ฝากผไี ข้ ยากแทจ้ ักหา (โคลงโลกนิติ : กรมพระยาเดชาดศิ ร) \\ 21
22 แบบทดสอบ แผนท่ี ๗ อา่ นบทร้อยกรองต่อไปนี้ แล้วตอบคาถาม ข้อ 1-2 ฝงู ชนกำเนิดคลำ้ ย คลงึ กนั ใหญ่ยอ่ มเพศผวิ พรรณ แผกบำ้ ง ควำมรอู้ ำจเรยี นทนั กนั หมด เวน้ แตช่ วั่ ดกี ระดำ้ ง ห่อนแกฤ้ ๅไหว (โคลงโลกนติ )ิ ๑. ใจความสาคญั ของบทร้อยกรองน้อี ยู่ในตอนใด ก. เวน้ แตช่ ว่ั ดีกระด้าง หอ่ นแก้ฤๅไหว ข. ใหญ่ย่อมเพศผิวพรรณแผกบ้าง ค. ความรูอ้ าจเรยี นทัน กันหมด ง. ฝงู ชนกาเนิดคลา้ ย คลงึ กัน ๒. ผู้เขยี นบทร้อยกรองนี้มนี ้าเสยี งอย่างไร ก. เศร้าโศกสลดใจ ข. แนะนาสัง่ สอน ค. รกั และห่วงใย ง. ตาหนติ ิเตียน ๓. ประโยคในข้อใดมีความหมายตรง ก. เมอื่ เสรจ็ จากการทาธรุ กิจส่วนตวั แลว้ ก็ออกเดนิ ทางต่อไป ข. เม่อื ไปได้สักคร่เู ขาจอดรถข้างทางเพ่ือลงไปยิงกระต่าย ค. ในโอกาสเดียวกันนั้นเธอก็ลงจากรถไปเก็บดอกไม้ด้วย ง. เขาและเธอไปเทีย่ วตา่ งจังหวดั โดยขบั รถไปเอง ๔. นทิ านชาดกจดั เปน็ นิทานประเภทใด ก. นทิ านนานาชาติ ข. นทิ านประจาถนิ่ ค. นทิ านคตธิ รรม ง. นทิ านอีสป ๕. ขอ้ ใดมคี วามหมายโดยนยั ก. ผูท้ ่ีเกย่ี วข้องเดอื ดร้อนกนั ไปหมดทง้ั ตวั เองและผูป้ กครองทตี่ ้องลางานมา ข. ทาผิดระเบยี บโรงเรียนตามเคยเด๋ียวฝ่ายปกครองจะเชญิ ไปพบ ค. เธอแตง่ ตวั สวยมากเลยนะนางเอกงวิ้ ยงั แพเ้ ธอเลย ง. หา้ มไม่ให้แตง่ หน้ามาโรงเรียน 22
23 อ่านข้อความต่อไปนี้ แล้วตอบคาถาม ขอ้ ๖-๗ “ในชว่ งหน้ำแลง้ กระเจยี วใชช้ วี ติ อยำ่ งเรน้ ลบั โดยซ่อนตวั อยใู่ ตผ้ นื ดนิ เม่อื ฝนแรกมำถงึ มนั จงึ คอ่ ยๆ ชกู ำ้ นดอกออกมำอวดสสี วยสดบนพน้ื ดนิ เม่อื เขำ้ สฤู่ ดฝู น จรงิ ๆใบสเี ขยี วกจ็ ะงอกขน้ึ มำ จนถงึ หน้ำแลง้ ใบเขยี วๆ กเ็ หย่ี วแหง้ ไป ถงึ ครำวทก่ี ระเจยี วพกั ซอ่ นตวั อยใู่ ตด้ นิ อกี ครงั้ ” ๖. ข้อใดคือประโยคใจความรองของข้อความนี้ ก. เมอื่ เขา้ สฤู่ ดฝู นจริงๆ ใบสเี ขยี วกจ็ ะงอกขนึ้ มา ข. ในชว่ งหนา้ แล้งกระเจยี วใช้ชวี ติ อย่างเรน้ ลับโดยซอ่ นตัวอยูใ่ ตผ้ ืนดนิ ค. ใบเขียวๆ กเ็ หยี่ วแหง้ ไป ถึงคราวที่กระเจยี วพกั ซอ่ นตวั อยูใ่ ตด้ นิ อีกครั้ง ง. เมื่อฝนแรกมาถงึ มันจึงค่อยๆ ชูก้านดอกออกมาอวดสสี วยสดบนพ้นื ดิน ๗. ข้อใดคอื ประโยคใจความสาคัญของขอ้ ความนี้ ก. เมือ่ เขา้ สู่ฤดฝู นจริงๆ ใบสีเขียวก็จะงอกขน้ึ มา ข. ในชว่ งหนา้ แล้งกระเจยี วใช้ชวี ติ อยา่ งเร้นลบั โดยซ่อนตวั อยใู่ ตผ้ ืนดนิ ค. ใบเขยี วๆ ก็เหีย่ วแห้งไป ถึงคราวทก่ี ระเจยี วพกั ซ่อนตัวอยู่ใต้ดินอีกครั้ง ง. เมอื่ ฝนแรกมาถงึ มนั จึงค่อยๆ ชูก้านดอกออกมาอวดสีสวยสดบนพน้ื ดนิ อ่านข้อความต่อไปนี้ แลว้ ตอบคาถาม ขอ้ ๘-๑๐ “ชวี ติ มคี ำ่ เกนิ กวำ่ ทจ่ี ะปล่อยไปตำมยถำกรรม หรอื ล่องลอยไปตำมกระแสสงั คม เอำแต่ทำมำหำกนิ ไขว่ควำ้ หำยศ ทรพั ย์ และแสวงหำควำมสขุ จนลมื ไปว่ำ ทงั้ หมดน้เี ป็นของชวั่ ครงั้ ชวั่ ครำวเท่ำนนั้ แมจ้ ะรดู้ ว้ ย เหตุผลวำ่ ทกุ คนจะตอ้ งตำย แตผ่ คู้ นกลบั จมอย่กู บั ควำม ลุม่ หลง เพลดิ เพลนิ กบั ควำมสขุ เฉพำะหน้ำหรอื ฝัน เอำเองวำ่ ทุกอยำ่ งทเ่ี รำมนี นั้ จะเป็นของเรำไปชวั่ ฟ้ำ ดนิ สลำย กว่ำจะต่นื จำกฝันกม็ กั สำยไปแลว้ ” 23
24 ๘. ขอ้ ความนีต้ ีความได้อยา่ งไร ก. ใหใ้ ช้ชวี ิตอย่างคนที่มีสติ ไม่ลมุ่ หลงอยกู่ ับความสุข เฉพาะหน้า ข. ต้องใชช้ ีวติ อยู่บนพื้นฐานแห่งความเปน็ จรงิ ค. อยา่ ปลอ่ ยชีวติ ไปตามยถากรรม ง. อย่ายดึ ติดกับสิง่ ที่มี ๙. ขอ้ ใดคือประโยคใจความสาคัญของข้อความน้ี ก. แม้จะร้ดู ้วยเหตผุ ลว่าทุกคนจะต้องตาย แต่ผคู้ นกลบั จมอย่กู ับความลมุ่ หลง ข. ฝนั เอาเองวา่ ทุกอยา่ งที่เรามีนัน้ จะเปน็ ของเราไปชว่ั ฟา้ ดินสลาย กว่าจะต่นื จากฝนั ก็มักสายไปแลว้ ค. เอาแต่ทามาหากนิ ไขวค่ ว้าหายศ ทรพั ย์ และแสวงหาความสขุ ง. ชวี ติ มีคา่ เกนิ กว่าทจ่ี ะปล่อยไปตามยถากรรม ๑๐. ผู้เขียนขอ้ ความนีม้ ีนา้ เสยี งอย่างไร ก. เศร้าโศกสลดใจ ข. แนะนาสั่งสอน ค. รักและหว่ งใย ง. ตาหนติ เิ ตยี น 24
25 สวสั ดี 25
Search
Read the Text Version
- 1 - 25
Pages: