Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore History of European

History of European

Description: History of European

Search

Read the Text Version

ประวัติศาสตร์ ทวีปยุโรป History of European Submitted by Chatsavas Yoosathaporn

1 Table of 2 5 Contents 37 สารบัญ บทที 1 ยุคก่อนประวัติศาสตร์ บทที 2 ยุคโบราณ บทที 3 ยุคกลาง 13 บทที 4 ยุคใหม่ 15 บทที 5 พัฒนาการทางด้านการเมืองการปกครอง 23 บทที 6 พัฒนาการทางด้านเศรษฐกิจ 30 บทที 7 พัฒนาการทางด้านสังคม ศิลปะวัฒนธรรม 34 บทที 8 การสรา้ งสรรค์ทางศิลปวัฒนธรรม

2 บทที 1 ยคุ ก่อนประวัติศาสตร์ Paleolithic Europe

3 คน Dmanisi มี ขนาดเล็กเมือเทียบ ยุคก่อนประวตั ิศาสตรข์ องยุโรป กับ Homo erectus มนุษย์โฮโมอเี รคตัส (บรรพบุรุษของมนษุ ยป์ จจบุ ัน) กบั มนุษยน์ ีแอนเดอร์ธอล (Neanderthals) อาศยั อยใู่ น แบบคลาสสิก ยโุ รปมานานก่อนทมี มี นุษย์ปจจุบัน (โฮโมเซเปยน หรอ Homo sapiens) กระดกู ของมนษุ ยย์ คุ แรก ๆ ในยโุ รปถูกพบทเี มือง Dmanisi ประเทศจอร์เจยี ซงึ กระดูกเหลา่ นันคาดวา่ มีอายุราว ๆ 2 ล้านปก่อนครสตกาล หลกั ฐานของมนุษย์ทีมโี ครงสร้างสรระคลา้ ยมนุษย์ปจจบุ นั ทีปรากฏในยโุ รปทเี กา่ ทีสดุ นันคอื ประมาณ 35,000 ปกอ่ นครสตกาล แต่หลักฐานแสดงการตงั รกรากถาวรนันแสดงอยู่ราว ๆ 7000 ปก่อนครสตกาล ในประเทศบลั แกเรย โรมาเนยี และ กรซ Cueva de las Manos, เปรโิ ต โมเร โน, อารเ์ จนตินา ศิลปะในถํามีอายุ ระหว่าง 13,000– 9,000 ปก่อนครสิ ต์ ศักราช มีลายฉลุ ส่วน ใหญ่เปนมือซา้ ย

4 ยุโรปกลางเข้าสู่ยุคหินใหม่ (Neolithic) ในชว่ งราว ๆ 6000 ปก่อนคริสตกาลก่อน หลาย ๆ ทีในยุโรปเหนือซงึ เข้าสู่ยุคหินใหม่ในชว่ งราว ๆ 5000 ถึง 4000 ปก่อน คริสตกาล ราว ๆ 2000 ปก่อนคริสตกาลเริมมีอารยธรรมทีมีความรู้ทางการอ่าน-เขียนใน ยุโรปคืออารยธรรมของพวกมิโนน (Minoans) ทีเกาะcrete และตามด้วยพวกไมเซ เนียน (Myceneans) (ทังสองอารยธรรมอยู่ราว ๆ บริเวณซงึ เปนประเทศกรีซใน ปจจุบัน) ราว ๆ 400 ปก่อนคริสตกาล วฒั นธรรมลาทีเน่ (La Tène) ซงึ เปนวฒั นธรรมใน ยุคเหล็กได้แพร่กระจายไปเกือบทัวภาคพืน พวกอีทรัสกัน (Etruscans) ได้เข้าไป ตังรกรากในตอนกลางของอิตาลีและลอมบาดี (Lombady) ซงึ อยู่ตอนเหนือของ อิตาลีปจจุบัน แผนท่ีแสดงการขยายตวั ของยุคหนิ ใหมต ัง้ แต 7 ถงึ 5 สหสั วรรษ กอนครสิ ตศกั ราช รวมทัง้ วัฒนธรรมคาร เดยี มดวยสนี ้ําเงนิ ปลายยุคยุโรปในค. 4000–3500 ปี กอนคริสตกาล ปลายยุคสาํ รดิ ยุโรป

5 บทที 2 ยุคโบราณ Classical antiquity

6 ยุคโบราณ วหิ ารพารเ ธนอนเป็นหน่ึงใน สัญลักษณทเ่ี ป็นทร่ี จู ักมากที่สดุ ในยคุ สมัยโบราณในยุโรปหรือบางครังเรียกวา่ “สมัยคลาสสิก” (อังกฤษ: Classical antiquity หรือ Classical era หรือ Classical period) เปนคํากวา้ ง ๆ ทีใชเ้ รียกสมัยของประวตั ิศาสตร์วฒั นธรรมทีมีศูนย์กลางอยู่ในบริเวณ คลาสสิก โดยเป็นตัวอยา งของ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทีประกอบด้วยวฒั นธรรมของกรีกโบราณ และ โรมันโบราณทีเรียกรวมกันวา่ โลกกรีก-โรมัน วฒั นธรรมกรีกโบราณ ยุคโบราณโดยทัวไปเริมขึนเมือมีการบันทึกมหากาพย์โดยโฮเมอร์เมือราว 800 ถึง 700 ปก่อนคริสต์ศักราช และ ดําเนินต่อมาจนถึงการรุ่งเรืองของคริสต์ศาสนาและการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันในคริสต์ศตวรรษที 5 ยุค โบราณสินสุดลงเมือเกิดการสลายตัวของวฒั นธรรมคลาสสิกในตอนปลายของยุคโบราณตอนปลาย (Late Antiquity) (ค.ศ. 300-ค.ศ. 600) ทีคาบต่อไปยังสมัยยุคกลางตอนต้น (ค.ศ. 600-ค.ศ. 1000) ยุคโบราณมักจะหมายถึงมุมมองอันเปนอุดมคติของยุคของผู้คนในสมัยต่อมาเชน่ ในคํากล่าวของเอดการ์ อัลเลน โพ ทีวา่ “ความรุ่งโรจน์ในกาลครังหนึงของกรีกโบราณ, ความยิงใหญ่ในกาลครังหนึงของโรมันโบราณ” วฒั นธรรมของกรีกโบราณมีอิทธิพลอันยิงใหญ่ต่อภาษา การปกครอง ระบบการศึกษา ศิลปะ และ สถาปตยกรรม ของโลกยุคใหม่ เปนเชอื เพลิงของยุคฟนฟูศิลปวทิ ยาของยุโรปตะวนั ตกและอีกครังหนึงในยุคฟนฟูคลาสสิกใน คริสต์ศตวรรษที 18 และ 19 2800 ปก่อน ในเอเซยี เปนยุคทองของราชวงศ์โจว ของจีน มีตํานานนาจา เกิดจากดอกบัว มี 3เศียร 6กร มีเทพ นักรบเอ้อหลางพร้อมเทพสุนัขคู่ใจ

7 พระเจา้ อเล็กซานเดอรม์ หาราช ในขณะทีรฐั ของกรกี แตกกระจายเปนก๊ก ๆ ชาวมาซดี อนทางตอนเหนอื ก็เรอื งอํานาจขนึ มา ฟลลิปป (Phillip) เปนผทู้ ีเรมิ สรา้ งฐานอํานาจนาํ กองทัพบุกรฐั กรกี ขนึ เปนผนู้ าํ สมาพนั ธก์ รกี กมุ อํานาจไวใ้ นมอื หลังจากสงครามกับพวกเปอรเ์ ซยี ชาวกรกี ก็ยงั แค้นไมห่ าย พยายามอยา่ งยงิ ทีจะบุกเขา้ ไปบา้ ง ฟลลิปปสรา้ ง กองทัพของเขาบา้ งหลังจากทีรวมกรกี ไวไ้ ด้ แต่ก็มาถกู สงั หารเสยี ก่อน คราวนี พระเจา้ อเล็กซานเดอรม์ หาราช (Alexander the great) ลกู ชายเพยี งคนเดียวก็ขนึ มาครอง อํานาจแทน นาํ ทัพสกู้ ับชาวเปอรเ์ ซยี บุกลงไปถึง “อียปิ ต์\" จนชาวเปอรเ์ ซยี ทีเคยรุง่ เรอื งมากทีสดุ อาณาจกั รหนงึ ต้องมาเสอื มอํานาจลงไป อเล็กซานเดอรย์ งั ไมพ่ อใจกับชยั ชนะเพยี งแค่นีเขายงั นาํ กองทัพบุกไปถึงอินเดีย แต่ก็ไปต่อไมไ่ หวเนอื งจากห่า ฝนทีตกลงมาอยา่ งไมล่ ืมหลู ืมตาของดินแดนเขตรอ้ น ทหารก็เหนอื ยอ่อนจากการทําศึกหนกั อยา่ งยาวนาน และ คิดถึงบา้ น จนจอมทัพทียงิ ใหญท่ ีสดุ ในโลกยงั ต้องจาํ ใจเดินทางกลับบา้ นเกิดเสยี ที เขาล่องเรอื ทางแมน่ าํ สนิ ธุมา ถึงบาบโิ ลน (ระหวา่ งแมน่ าํ ไทกรสี และแมน่ าํ ยูเฟรติส ในปจจุบนั ) และตังเมอื งหลวงทีนนั อเล็กซานเดอรก์ ลับบา้ นไปได้ไมท่ ันไรก็มาด่วนตายตอนอายุสามสบิ สามป นกั ประวตั ิศาสตรบ์ นั ทึกสาเหตวุ า่ เปน เพราะการดืมเหล้าอยา่ งหนกั ในงานเลียงครงั หนงึ จนรา่ งกายของเขารบั ไมไ่ หว แต่บางคนก็แยง้ วา่ เขาถกู วางยา พษิ จากนนั อาณาจกั รของเขาได้ถกู แยง่ กันในหมูแ่ มท่ ัพของกรกี คือ แคสแซนเดอร์ ไลซมิ คัส เซลิวคัส และ ปโต เลมี

8 สงครามกรกี -เปอรเ์ ซยี และสงครามเปโลโปนเี ซยี สงครามกรกี -เปอรเ์ ซยี คือสงครามของพวกกรกี กับชาวเปอรเ์ ซยี ทีบุกมาจากทางฝงอาหรบั ทหารเปอรเ์ ซยี (ซา้ ย) สกู้ ับฮอปไลต์ชาวกรกี (ขวา) เขา้ มาทางตอนเหนอื ประวตั ิศาสตรไ์ ด้จดบนั ทึกวรี กรรมของชาวสปารต์ า (Sparta) ทีไปรบ รายละเอียดบนถ้วยไคลิกซ์ สมยั ศตวรรษที 5 ก่อน ขวางพวกเปอรเ์ ซยี ทีมเี ปนแสนได้ด้วยกําลังคนไมก่ ีพนั ทีชอ่ งเขา“เทอรโ์ มพเี ล” ครสิ ตกาล (Thermopylae) นาํ โดยกษัตรยิ “์ เลโอไนดาสที 1” (Leonidas I) หยุดพวกเปอรเ์ ซยี ไวไ้ ด้หลาย วนั ก่อนทีจะถกู ทําลาย ถ่วงเวลาให้ชาวกรกี มเี วลาตังตัวต่อกรกับชาวเปอรเ์ ซยี ได้สาํ เรจ็ ในภาย หลัง สงครามเปโลโปนีเซยี เปนสงครามกลางเมอื งระหวา่ งรฐั ของชาวเอเธนส์ (Athen) มหาอํานาจ ทางทะเลกับชาวสปาต้ารช์ นชาตินกั รบหลังจากสงครามกับพวกเปอรเ์ ซยี ได้ไมน่ าน ชาวสปารต์ าไปขอความชว่ ยเหลือจากพวกเปอรเ์ ซยี ให้ชว่ ยต่อเรอื ไปสกู้ ับชาวเอเธนส์ ตัดเสบยี ง ทางทะเลจนชาวเอเธนสอ์ ดอยากต้องยอมแพไ้ ปในทีสดุ หลังจากสงครามครงั นีรฐั กรกี ก็เรมิ ทํา สงครามกันเรอื ยมาทําให้เสอื มอํานาจลงอยา่ งรวดเรว็ จนการมาถึงของชาว มาซดี อน (Macedon) ในขณะทีรฐั ของกรกี แตกกระจายเปนก๊ก ๆ ชาวมาซดี อนทางตอนเหนอื ก็เรอื งอํานาจขนึ มา ฟล ลิปป (Phillip) เปนผทู้ ีเรมิ สรา้ งฐานอํานาจนาํ กองทัพบุกรฐั กรกี ขนึ เปนผนู้ าํ สมาพนั ธก์ รกี กมุ อํานาจไวใ้ นมอื

9 หลังจากสงครามกับพวกเปอรเ์ ซยี ชาวกรกี ก็ยงั แค้นไมห่ าย พยายามอยา่ งยงิ ทีจะ สงครามเพโลพอนนเี ซยี น หรอื สงครามเพโลพอนนสี เปน บุกเขา้ ไปบา้ ง ฟลลิปปสรา้ งกองทัพของเขาบา้ งหลังจากทีรวมกรกี ไวไ้ ด้ แต่ก็มา สงครามระหวา่ งจกั รวรรดเิ อเธนสก์ ับสนั นบิ าตเพโลพอนนี ถกู สงั หารเสยี ก่อน คราวนี พระเจา้ อเล็กซานเดอรม์ หาราช (Alexander the เซยี นทีนาํ โดยสปารต์ า great) ลกู ชายเพยี งคนเดียวก็ขนึ มาครองอํานาจแทน นาํ ทัพสกู้ ับชาวเปอรเ์ ซยี บุกลงไปถึง “อียปิ ต์\" จนชาวเปอรเ์ ซยี ทีเคยรุง่ เรอื งมากทีสดุ อาณาจกั รหนงึ ต้อง มาเสอื มอํานาจลงไป อเล็กซานเดอรย์ งั ไมพ่ อใจกับชยั ชนะเพยี งแค่นีเขายงั นาํ กองทัพบุกไปถึงอินเดีย แต่ก็ไปต่อไมไ่ หวเนอื งจากห่าฝน[ฝนตกหนกั ]ทีตกลงมาอยา่ งไมล่ ืมหลู ืมตาของ ดินแดนเขตรอ้ น ทหารก็เหนอื ยอ่อนจากการทําศึกหนกั อยา่ งยาวนาน และคิดถึง บา้ น จนจอมทัพทียงิ ใหญท่ ีสดุ ในโลกยงั ต้องจาํ ใจเดินทางกลับบา้ นเกิดเสยี ที เขา ล่องเรอื ทางแมน่ าํ สนิ ธุมาถึงบาบโิ ลน (ระหวา่ งแมน่ าํ ไทกรสี และแมน่ าํ ยูเฟรติส ในปจจุบนั ) และตังเมอื งหลวงทีนนั อเล็กซานเดอรก์ ลับบา้ นไปได้ไมท่ ันไรก็มาด่วนตายตอนอายุสามสบิ สามป นกั ประวตั ิศาสตรบ์ นั ทึกสาเหตวุ า่ เปนเพราะการดืมเหล้าอยา่ งหนกั ในงานเลียงครงั หนงึ จนรา่ งกายของเขารบั ไมไ่ หว แต่บางคนก็แยง้ วา่ เขาถกู วางยาพษิ ชา่ งเปน จุดจบทีไมส่ มบูรณเ์ ลยสาํ หรบั จอมคนทีครองครงึ โลกอยูใ่ นกํามอื จากนนั อาณาจกั รของเขาได้ถกู แยง่ กันในหมูแ่ มท่ ัพของกรกี คือ แคสแซนเดอร์ ไลซมิ คัส เซลิวคัส และ ปโตเลมี

10 ความรงุ่ เรอื งของกรงุ โรม พวกโรมนั มกี ษัตรยิ ป์ กครองกันเรอื ยมาหลังตํานานโรมูลุ ภาพวาด Roma Antica โดยศิลปนชาวอิตาลีจโิ อวานนเี ปาโลพานนิ ี ส (Romulus) กษัตรยิ ล์ กู หมาปาทีก่อตังกรุงโรม จนมา ถึงรุน่ ของกษัตรยิ ท์ าควนิ (Tarquin the pround) เปน องค์สดุ ท้าย วา่ กันวา่ ชาวโรมนั ไมพ่ อใจทีทาควนิ สรา้ งสงิ ก่อสรา้ งต่าง ๆ มากมายจนประชาชนเดือดรอ้ นทําให้มี ตระกลู ชนั สงู พวกแพทรเิ ซยี น (Partrician) ทีมอี ํานาจใน กรุงโรมนาํ โดยสกลุ บรูตัส (Brutus) พากันขบั ไล่พระองค์ ลงจากบลั ลังก์ ตังแต่นนั มาชาวโรมนั ก็ใชก้ ารปกครองแบบสาธารณรฐั ปกครองโดยสภาซเี นตมาถึงสรี อ้ ยปจวบจนมาถึงยุคของ จกั รพรรดิออกัสตัส (Augustus) จกั รพรรดิพระองค์แรก ของจกั รวรรดิโรมนั

11 การล่มสลายของกรงุ โรม กรงุ โรมไดข้ ยายอาณาเขตทียงิ ใหญท่ ีสดุ ในชว่ งรชั สมยั ของทรา จกั รวรรดิโรมนั แผ่ขยายอาณาเขตรอบทะเลเมดิเตอรร์ าเนียนจนมี จนั (ค.ศ. 98–117) อาณาเขตสงู สดุ ในศตวรรษที 2 แต่อาณาจกั รโรมนั ทีใหญ่เกินไป ทําให้ยากแก่การปกครอง ทําให้ต้องแบง่ จกั รวรรดิออกเปนตะวนั ออกและตะวนั ตก ในค.ศ. 330 จกั รพรรดิคอนสแตนตินมหาราชตัง เมอื งไบแซนติอุม (Byzantium) เปนเมอื งหลวงใหมแ่ ทนทีโรม ตัง ชอื ใหมเ่ ปนโรมใหม่ (Nova Roma) แต่ผู้คนมกั จะเรยี กวา่ เมอื งของ พระเจา้ คอนสแตนติน คอนสแตนติโนเปล (Constantinople) สงครามกับชนเผ่าเยอรมนั ในยุโรปกลางและตะวนั ออกในปจจุบนั ทําให้ชาวโรมนั เหนือยล้า ในศตวรรษที 4 พวกชนฮัน (Huns) จากเอเชยี บุกเขา้ มาในยุโรป สงั หารเผ่าเยอรมนั อยา่ งโหดเหียม ทําให้เผ่าเยอรมนั ต่าง ๆ มาขอ อาศัยในจกั รวรรดิ แลกเปลียนกับการถกู เกณฑ์ไปรบ ใน ค.ศ. 378 ในการรบทีอเดรยี โนเปล (Adrianople) เผ่าวสิ โิ กธ เอาชนะทัพโรมนั และยดึ แควน้ ดาเชยี (Dacia โรมาเนียในปจจุบนั ) เปนทีมนั ในค.ศ. 391 จกั รพรรดิธโี อโดซอิ ุสออกกฎหมายให้ครสิ ต์ศาสนาเปน ศาสนาเพยี งหนึงเดียวของจกั รวรรดิโรมนั ความเชอื ตามหลักของ ครสิ ต์ศาสนานันบรรเทาความกระหายสงครามของชาวโรมนั จน เกือบหมด ทําให้ต้องจา้ งทหารเผ่าเยอรมนั เพอื ให้สกู้ ับพวกเยอรมนั เอง กองทัพโรมนั จงึ อ่อนแอลง

12 พระเจา้ ธโี อโดซอิ ุสทรงแบง่ อาณาจกั รโรมนั ออกเปนตะวนั ออกและตะวนั ตก การ 'Sack of Rome' โดย Karl Briullov เปนภาพวาดที แบง่ จกั รวรรดิเปนการตัดเนือรา้ ยของจกั รวรรดิ คือ ฝงตะวนั ตกทียอ่ ยยบั ด้วยการ Tretyakov Gallery ในมอสโก มนั แสดงใหเ้ หน็ รุกรานของเผ่าอนารยชน ทําให้จกั รวรรดิฝงตะวนั ออก ทีรุง่ เรอื งด้วยการค้ากับ เสน้ ทางสายไหม ยงั คงอยูร่ อดเปนจกั รวรรดิไบแซนไทน์ไปอีกพนั ป Genseric ราชาแหง่ Vandals ทีบุกรุกเมอื งหลวง ใน ค.ศ. 409 เผ่าแวนดัล (Vandals) ทนการโจมตีของพวกฮันไมไ่ หว จงึ ขา้ มแม่ ของโรมนั นําไรน์ทีเปนนําแขง็ มาในแควน้ โกล (Gaul) ปล้นสะดมไปตามทางและตังรกรากที คาบสมุทรไอบเี รยี ในค.ศ. 410 พระเจา้ อลารคิ (Alaric) แห่งพวกวซิ กิ อททําทัพบุก ยดึ กรุงโรม เผาทําลายเมอื งจนพนิ าศ จนจกั รพรรดิโฮโนรอิ ุส แห่งจกั รวรรดิตะวนั ตก ยกแควน้ อากีแตนในฝรงั เศสปจจุบนั ให้กับพวกวซิ กิ อท พวกวซิ กิ อทจากอากี แตนก็บุกไอบเี รยี ขบั พวกแวนดัลไปแอฟรกิ าเหนือในค.ศ. 429 พวกแวนดัลจาก แอฟรกิ ายกทัพเรอื กลับมาโจมตีทําลายกรุงโรมใน ค.ศ. 455 ใน ค.ศ. 476 โอโดอาเซอร์ (Odoacer) จากเผ่าเยอรมนั โจมตีกรุงโรม และ ปลดจกั รพรรดิองค์สดุ ท้ายแห่งฝงตะวนั ตก คือ จกั รพรรดิโรมุลสุ ออกสุ ตสุ (Romulus Augustus) ทําให้จกั รพรรดิฝงตะวนั ออกสง่ พระเจา้ ธโี อโดรคิ (Theodoric) แห่งชาวออสโตรกอท (Ostrogoths) มายดึ โรมคืน แต่ธโี อโดรคิ ก็ ตังอาณาจกั รในอิตาลีเสยี เอง ฟลาวอิ ุส โอเดเซอร์ นายทหารทีใน ค.ศ. 476 ได้กลายเปนกษัตรยิ อ์ งค์แรกแหง่ อิตาลี รชั สมยั ของพระองค์นับเปนจุดสนิ สดุ ของ จกั รวรรดิโรมนั ตะวนั ตก

13 บทที 3 ยคุ กลาง Middle Ages

14 ยุคกลางเปนหนึงในสามยุคหลักตามแบบแผนนยิ มทัวไปในการศกึ ษาประวัตศิ าสตร์ยโุ รป ไดแ้ ก่ อารยธรรมคลาสสคิ หรอสมัยคลาสสิก สมยั กลาง และสมัย ใหม่ เลโอนาร์โด บรูนี คือนักประวัติศาสตร์ทา่ นแรกทใี ช้การจดั แบ่งชว่ งเวลาทงั สามนใี นงานประพนั ธ์ ประวัติศาสตร์แห่งชาวฟลอเรนซ์ (History of the Florentine People; ค.ศ. 1442) ของเขา คําวา่ \"สมยั กลาง\" ปรากฏครังแรกในภาษาละตินป ค.ศ. 1469 ในคําวา่ เมดิอาเทมปสตสั (media tempestas) แปลวา่ มัชฌิมฤดู การใชใ้ นช่วงแรกมีหลากหลาย เช่น เมดอิ มุ เอวมุ (medium aevum) แปลวา่ สมัยกลาง พบบนั ทกึ ครังแรกในป ค.ศ. 1604 หรอ เมดอิ าเชคูลา (media scecula) แปลวา่ สมยั กลาง พบบนั ทึกครังแรกในป ค.ศ. 1625 การแบ่งช่วงเวลาออกเปนสามสมยั กลายมาเปน มาตรฐานสากล เมอื นกั ประวัตศิ าสตร์ชาวเยอรมนั นามวา่ ครสตอฟ เซลลาเรยส ตพี มิ พ์ ประวัตศิ าสตร์สากลแยกเปน สมยั โบราณ, สมยั กลาง และสมยั ใหม่ (Universal History Divided into an Ancient, Medieval, and New Period) ในป ค.ศ. 1683 ซงึ ภาษาองั กฤษเปนเพยี งภาษาหลกั ทียังคงพหุ รูปแบบเชน่ นนั ไวด้ ังเดมิ ปเรมแรกของสมัยกลางทเี ปนทีนยิ มทีสุดคอื ค.ศ. 476, ซึงมีการถอื นบั ปนคี รังแรกโดยเลโอนาร์โด บรูนแี ละสาํ หรับทวั ทังทวปยุโรปแล้ว ค.ศ. 1500 มักจะถูก พิจารณาวา่ เปนจุดสินสุดของสมัยกลาง ซึงไมไ่ ด้มีการกาํ หนดวันสนิ สุดอย่างแน่ชดั ในระดับสากล หากขนึ อยกู่ ับสถานการณ์ทีต่างกันออกไป เชน่ วันทคี รสโต เฟอร์ โคลมั บัส ออกเดนิ ทางสู่ทวปอเมรกาเปนครังแรกในป ค.ศ. 1492, การเขา้ ยึดครองกรุงคอนสแตนติโนเปลโดยชาวเติร์กในป ค.ศ. 1453 หรอการปฏริ ูป ศาสนาฝายโปรเตสแตนต์ในป ค.ศ. 1517 ก็ถกู นํามาใช้ในบางกรณใี นทางกลบั กนั นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษนยิ มใชย้ ทุ ธการทีบอสเวร์ธฟลด์ในป ค.ศ. 1485 เปนจุดสินสดุ ของยคุ กลาง สว่ นสเปนมักถือเอาวันสวรรคตของพระเจ้าเฟร์นนั โดที 2 ในป ค.ศ. 1516, วันสวรรคตของสมเด็จพระราชนิ ีนาถอิซาเบลลาที 1 ในป ค.ศ. 1504 หรอวันสนิ สุดลงของสงครามกรานาดาในป ค.ศ. 1492 นักประวัติศาสตร์ในกลมุ่ ประเทศทใี ชภ้ าษากลุ่มโรมานซม์ กั จะจําแนกสมยั กลางออกเปนสองชว่ ง คอื สมยั กลางตอนตน้ และสมยั กลางตอนปลาย แต่นัก ประวัติศาสตร์ในกล่มุ ประเทศทีใช้ภาษาองั กฤษยึดถือการจําแนกแบบเยอรมันซึงแบง่ ออกเปนสามชว่ ง คือ สมัยกลางตอนต้น, ตอนกลาง และตอนปลาย ใน ชว่ งต้นครสต์ศตวรรษที 20 นกั ประวัตศิ าสตร์ชาวเบลเยียม อ็องร ปเยนน์ และนักประวัตศิ าสตร์ชาวดัตช์ โยฮนั เฮอร์ซิงกา ไดจ้ ําแนกสมยั กลางออกเปนชว่ ง ย่อยซึงต่อมาการจาํ แนกนแี พร่หลายอยา่ งมาก คือ ต้นสมยั กลางตังแต่ ค.ศ. 476 - 1000 ยคุ กลางตอนกลางตงั แต่ ค.ศ. 1000 - 1300 และยคุ กลางตอน ปลายตังแต่ ค.ศ. 1300 - 1453 ในครสตศ์ ตวรรษที 19 ตลอดชว่ งสมัยกลางทงั หมดมกั ถกู กลา่ วถึงวา่ เปนยุคมืด แต่ด้วยการจําแนกชว่ งเวลาของปเยนนแ์ ละ เฮอร์ซิงกานี ยคุ มดื จะหมายถึงยุคกลางตอนต้นเทา่ นัน อยา่ งนอ้ ยกใ็ นหมนู่ กั ประวัติศาสตร์

15 ระบบฟวดลั หรอื ศักดนิ าสวามภิ ักดิ คําวา่ feudalism มาจากคําวา่ fiefs หมายถึง ทีดินพนั ธสญั ญาระหวา่ งเจา้ นายกับขา้ โดยเกียวขอ้ งกับการใชท้ ีดิน และ ระบบเศรษฐกิจเปนแบบแมเนอร์ (Manor) ระบบฟวดัล เกิดจากประเพณีของชาวโรมนั ผสมผสานเขา้ กับประเพณีคอมเิ ตตัส (comitatus) ของพวกอนารยชนเผ่ากอทหรอื เยอรมนั ระบบฟวดัลเน้นระบบ \"ต่างตอบแทน\" โดยยดึ หลักการวา่ กษัตรยิ เ์ ปนเจา้ ของทีดิน แบง่ ทีดินให้ขุนนางและอัศวนิ ไปทําประโยชน์ ขุนนางและอัศวนิ ต้องรบั ใช้ และจงรกั ภักดีต่อกษัตรยิ เ์ พอื เปนการตอบแทน ระบบฟวดัลเปนการปกครองแบบกระจายอํานาจ โดยคนทีมอี ํานาจมากทีสดุ คือ ขุนนาง ระบบฟวดัลทําให้เกิดระบบเศรษฐกิจแบบแมเนอรห์ รอื เศรษฐกิจแบบเลียงชพี หรอื เศรษฐกิจแบบเลียงตนเอง หรอื เศรษฐกิจแบบคฤหาสน์ มศี ูนยก์ ลางอบูท่ ี บา้ นของ Lord 1. กษัตรยิ ์ มฐี านะเปน Lord สงู สดุ โดยมขี ุนนางเปน Vassal มพี นั ธะผกู พนั ทางหนา้ ทีต่อกัน กษัตรยิ จ์ ะพระราชทานทีดินเปนการมอบ หมายอํานาจในการปกครองให้กับขุนนาง ขุนนางมขี อ้ ผกู พนั กับกษัตรยิ เ์ พราะมที ีดินอยูใ่ นอาณาเขตจงึ ยอ่ มเปน Vassal มหี นา้ ทีชว่ ยเหลือ กษัตรยิ ย์ ามสงคราม ทีดินทีพระราชทานให้สามารถรบิ คืนได้ถ้า Vassal ไมป่ ฏิบตั ิตามสญั ญาหรอื สนิ ชวี ติ โดยไมม่ ที ายาท 2. ชนชนั ปกครองหรอื ขุนนางเจา้ ของทีดิน (Suzerain) นบั ตังแต่อัศวนิ ขนึ ไปในฝรงั เศส มบี รรดาศักดิเปน Duke,Earl, Lord, Baron, Count มกี ารปกครองลดหลันตามลําดับขนั ขุนนางจะคอยดแู ลปกครองเสรชี น เสรชี นมฐี านะเปน Vassal ของขุนนาง ขุนนางมฐี านะเปน ทัง Vassalของกษัตรยิ ์ ขุนนางชนั สงู ยงั มฐี านะเปน Lord ของขุนนางชนั ตํากวา่ ลงมา 3. เสรชี น (Villain) สว่ นใหญเ่ ปนชาวนา เปนผเู้ ชา่ ทีดินซงึ เคยเปนของตนเองแต่ไมม่ ภี าระผกู ติดกับทีดินหรอื เปนเจา้ ของทีนาขนาดเล็ก ชาวนารายเล็กๆ 4. ทาสติดทีดิน (Serf) คือชาวนาทีอาศัย ทํากินบนทีดินตังแต่บรรพบุรุษ ต้องผกู ติดกับทีดิน จะโยกยา้ ยไปไหนไมไ่ ด้ อยูใ่ นการควบคมุ ของ เจา้ นาย 5. พระและนกั บวช มบี ทบาททางการอบรมจติ ใจให้แก่สามญั ชน

16 สงครามครูเสด สงครามครูเสด (อังกฤษ: Crusades; อาหรบั : อัลฮัมลาต อัศศอลีบยี ะหฺ แปลวา่ \"สงครามไมก้ างเขน\") ภาพกรงุ เยรซู าเลมในสงครามครเู สดครงั แรก เปนชุดสงครามรบนอกประเทศทางศาสนา ทีถกู ทําให้ศักดิสทิ ธโิ ดยสมเด็จพระสนั ตะปาปาเออรบ์ นั ที 2 และ ศาสนจกั รคาทอลิก มเี ปาหมายทีแถลงไวเ้ พอื ฟนฟูการเขา้ ถึงทีศักดิสทิ ธใิ นและใกล้เยรูซาเล็มของครสิ เตียน เยรูซาเล็มเปนนครศักดิสทิ ธแิ ละสญั ลักษณ์ของศาสนาเอบราฮัมหลักทังสาม (ศาสนายูดาย ศาสนาครสิ ต์ และศาสนาอิสลาม)ภมู หิ ลังสงครามครูเสดเกิดเมอื เซลจุคเติรก์ มชี ยั ชนะอยา่ งเด็ดขาดเหนือกองทัพไบแซน ไทน์เมอื ค.ศ. 1071 และตัดการเขา้ ถึงเยรูซาเล็มของครสิ เตียน จกั รพรรดิไบแซนไทน์ อเล็กซสิ ที 1 ทรง เกรงวา่ เอเชยี ไมเนอรท์ ังหมดจะถกู บุกรุก พระองค์จงึ ทรงเรยี กรอ้ งผู้นําครสิ เตียนตะวนั ตกและสนั ตะปาปา ให้มาชว่ ยเหลือกรุงคอนสแตนติโนเปลโดยไปจารกิ แสวงบุญหรอื สงครามศาสนาเพอื ปลดปล่อยเยรูซาเล็ม จากการปกครองของมุสลิมอีกสาเหตหุ นึงเปนเพราะการทําลายล้างสถานทีศักดิสทิ ธขิ องครสิ เตียนเปน จาํ นวนมากและการเบยี ดเบยี นครสิ ต์ศาสนิกชนภายใต้อัล-ฮาคิม กาหลิปราชวงศ์ฟาติมยี ะห์ นักรบครูเสดประกอบด้วยหน่วยทหารแห่งโรมนั คาทอลิกจากทัวยุโรปตะวนั ตก และไมอ่ ยูภ่ ายใต้อํานาจ บงั คับบญั ชารวม สงครามครูเสดชุดหลัก โดยเฉพาะอยา่ งยงิ ทีพุง่ เปาต่อมุสลิมในเลแวนต์ (Levant) เกิด ขนึ ระหวา่ ง ค.ศ. 1095 ถึง 1291 นักประวตั ิศาสตรใ์ ห้ตัวเลขสงครามครูเสดก่อนหน้านันอีกมาก หลังมี ความสาํ เรจ็ ในชว่ งแรกอยูบ่ า้ ง สงครามครูเสดชว่ งหลังกลับล้มเหลว และนักรบครูเสดถกู บงั คับให้กลับบา้ น ทหารหลายแสนคนกลายเปนนักรบครูเสดโดยการกล่าวปฏิญาณ สมเด็จพระสนั ตะปาปาให้การไถ่บาป บรบิ ูรณ์ (plenary indulgence) แก่ทหารเหล่านัน สญั ลักษณ์ของนักรบเหล่านี คือ กางเขน คําวา่ \"ครู เสด\" มาจากภาษาฝรงั เศส หมายถึง การยกกางเขนขนึ ทหารจาํ นวนมากมาจากฝรงั เศสและเรยี กตนเองวา่ \"แฟรงก์\" ซงึ กลายเปนคําสามญั ทีมุสลิมใช้ สงครามครูเสดสง่ ผลกระทบใหญ่หลวงทางการเมอื ง เศรษฐกิจและสงั คมต่อยุโรปตะวนั ตก มนั สง่ ผลให้ จกั รวรรดิไบแซนไทน์ทีนับถือครสิ ต์อ่อนแอลงมาก และเสยี ให้แก่เติรก์ มุสลิมในอีกหลายศตวรรษต่อมา เร กองกิสตา สงครามอันยาวนานในคาบสมุทรไอบเี รยี ซงึ กําลังครสิ เตียนพชิ ติ คาบสมุทรคืนจากมุสลิม มี ความสมั พนั ธใ์ กล้ชดิ กับสงครามครูเสด

17 สงครามรอ้ ยป สงครามร้อยปเปนความขัดแยง้ ระหว่างองั กฤษและฝรังเศส นาน 116 ป นบั จาก ตามเข็มนา ิกา จากบนซา้ ย: พ.ศ. 1880 ถงึ พ.ศ. 1996 (ค.ศ. 1337 ถึง 1453) เรมจากการอ้างสทิ ธขิ องกษัตรย์ กองเรออังกฤษและฝรังเศส- องั กฤษเหนือบัลลงั กฝ์ รังเศส คําทนี ักประวัติศาสตร์ใชน้ ยิ ามสงครามความขดั แย้งแบง่ กสั ตยิ าในยุทธนาวทีลาโรเชล, ไดส้ ามถงึ สีชว่ ง คือ สงครามยุคเอ็ดเวร์ด(Edwardian War 1337-1360) สงคราม ยทุ ธการทอี าแซง็ กรู ์ ยุคแครอไลน์ (Caroline War 1369-1389) สงครามยุคแลงคาสเตอร์ ยทุ ธการปาแตย (Lancastrian War 1415-1429) โจนออฟอารก์ ปลกุ ขวญั กําลัง อังกฤษกับฝรังเศสเปนไมเ้ บือไม้เมากนั มานาน ชาวนอร์มงั ดบี ุกไปชิงราชบงั ลังกท์ ี ฝรงั เศสในการล้อมออรเ์ ลอ็อง เกาะองั กฤษเพราะยงั อยากทจี ะไดด้ ินแดนของบรรพบรุ ุษกลับมาอกี ครัง อังกฤษกบั ฝรังเศสจึงทาํ สงครามกนั เรอยมา ชว่ งหลงั ของสงครามองั กฤษสามารถบุกเขา้ ไปยดึ ดินแดนของฝรังเศสได้จนเกือบจะ สนิ ชาติ แต่ก็มกี ารมาถึงของหญงิ สาว “ฌานดาร์ค” (โจนออฟอาร์ค) สาวชาวนาผไู้ ด้ รับนิมิตจากพระเจา้ ให้นําฝรังเศสไปสู่เอกราชจากพวกองั กฤษ แต่ไม่ทันทจี ะจบ สงครามโจนก็ถกู จบั ไปเผาในข้อหาว่าเปนแม่มด แตก่ ารกระทาํ ของโจนก็ไมเ่ สียเปล่า พวกฝรังเศสขับไลอ่ ังกฤษออกจากประเทศได้สาํ เร็จ

18 การล่มสลายของกรงุ คอนสแตนติโนเปล การเสยี กรุงคอนสแตนติโนเปล (อังกฤษ: Fall of Constantinople) เกิดขนึ หลัง จากทีคอนสแตนติโนเปลถกู ล้อมและยดึ เมอื งได้โดยสลุ ต่านเมห์เมดที 2 แห่ง จกั รวรรดิออตโตมนั จากจกั รวรรดิไบแซนไทนท์ ีนาํ โดยจกั รพรรดิคอนสแตนตินที 11 การล้อมเรมิ ตังแต่พฤหัสบดีที 2 เมษายน ค.ศ. 1453 และสนิ สดุ ลงเมอื วนั อังคารที 29 พฤษภาคมของปเดียวกัน (ตามปฏิทินจูเลียน) การเสยี กรุงคอนสแตน ติโนเปลเท่ากับเปนการสนิ สดุ อํานาจของจกั รวรรดิไบแซนไทนท์ ีรุง่ เรอื งมากวา่ พนั หนงึ รอ้ ยป ทีขณะนนั ก็เรมิ แตกแยกกันปกครองโดยราชวงศ์กรกี หลายราชวงศ์ ภาพการตีคอนสแตนติโนเปล เขยี นเมอื ค.ศ. 1499

19 บทที 4 ยุคใหม่ Modern Age

20 ยุคใหม่ เรมตงั แตป่ ทีครสโตเฟอร์ โคลัมบัส ( Christopher Columbus ) ค้นพบโลกใหมห่ รอทวปอเมรกา และสินสุดลงในปทีสงครามโลกครังที 2 ยตุ ิลงยุโรปสมัยใหม่ เปนสมยั แหง่ การฟนฟูอารยธรรมกรก-โรมัน และมกี ารพัฒนาทางดา้ นการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สงั คม ศิลปะวทยาการ เปนยคุ ทีมอี ารยธรรมเจรญรุ่งเรอง อยา่ งมาก และแพร่ไปยงั ดินแดนต่างๆ ปจจัยสาํ คัญทีทาํ ให้เกิดความเจรญรุ่งเรองของยุโรปในชว่ งประวัตศิ าสตร์สมัยใหม่ 1.การฟนฟูศิลปะวทยาการ ( Renaissances ) ทําใหย้ โุ รปกลายเปนสงั คมแห่งการเรยนรู้ 2.การสาํ รวจเส้นทางเดินเรอ โดยมงุ่ หมายทางการค้าและการเผยแผค่ รสตศ์ าสนา 3.การเกิดชนชันกลาง (พ่อค้า) เขา้ มาควบคุมเศรษฐกิจแทนพวกขนุ นางในระบบฟวดลั และสนบั สนนุ กษัตรย์ ในด้านการปกครอง ทําให้ฐานะกษัตรย์เขม้ แข็ง 4.ความก้าวหน้าทางดา้ นการพมิ พ์ มกี ารประดิษฐ์แท่นพมิ พ์ไดส้ าํ เร็จ ทาํ ใหม้ กี ารพมิ พห์ นังสอื เผยแพร่ความรู้และวทยาการใหมๆ่ ออกไปอยา่ งรวดเร็ว รูปปูนปนนูนสงู บนประตชู ยั กรุงปารสี

21 สมยั ใหมช่ ว่ งแรก สมยั ใหมช่ ว่ งแรก (ครสิ ต์ศตวรรษที 15-18) มเี หตกุ ารณ์สาํ คัญดังนี 1.การฟนฟูศิลปวทิ ยาการของกรกี และโรมนั ( Renaissances ) นําความรูว้ ธิ คี ิด ใชป้ ญญาและเหตผุ ลตามแบบอยา่ งนักปราชญ์ชาวกรกี ให้ความสาํ คัญกับคณุ ค่า ความเปนมนุษย์ หรอื เปนลักษณะยุคมนุษยน์ ิยม 2.การปฏิรูปศาสนา เกิดการแบง่ แยกศาสนจกั รเปน 2 นิกายใหญ่ๆ คือ 2.1.นิกายโรมนั คาทอรกิ มศี ูนยก์ ลางทีกรุงโรม มพี ระสนั ตะปาปา ( Pope ) เปนประมุข 2.2.นิกายโปรแตสแตนท์ แบง่ เปนนิกายยอ่ ยๆอีกหลายนิกาย นับถือในประเทศต่างๆ เชน่ นิกายอังกฤษ ( Church of England ) และนิกายลเู ธอร์ ( Lutheranism ) ในเยอรมนี 3.การขยายอิทธพิ ลของชาติตะวนั ตก โคลัมบสั ผคู้ ้นพบทวปี อเมรกิ า 3.1.ยุโรปเขา้ สยู่ ุคการสาํ รวจเสน้ ทางเดินเรอื โบสถ์ในครสิ ต์ ศาสนา นิกายโรมนั คาทอรกิ 3.2.การค้นพบดินแดนทางตะวนั ออกของชาติตะวนั ตก -บารโ์ ธโลมวิ ไดแอส ชาวโปรตเุ กสสามารถเดินเรอื เลียบทวปี แอฟรกิ าจนเขา้ แหลม ก๊ดู โฮม ได้สาํ เรจ็ ใน ค.ศ.1488 -วาสโก ดา กามา ใชเ้ สน้ ทางของไดแอส จนถึงเอเชยี และสามารถขนึ ฝงที เมอื งคาลิกัต ของอินเดียและสามารถซอื เครอื งเทศโดยตรงจากอินเดีย นํากลับไปขาย ในยุโรปได้กําไรมากมาย -ครสิ โตเฟอร์ โคลัมบสั ชาวอิตาลีรบั ใชก้ ษัตรยิ ส์ เปนในการสาํ รวจเสน้ ทางเดิน เรอื ไปประเทศจนี เปนผู้ค้นพบทวปี อเมรกิ า และเปนผู้เชอื วา่ โลกมสี ณั ฐานกลม ไมแ่ บน ตามคําสอนของครสิ ต์ศาสนา ในสมยั กลาง -เฟอรด์ ินานด์ มาเจลแลน ชาวโปรตเุ กส รบั อาสากษัตรยิ ส์ เปน หาเสน้ ทางเดิน เรอื มายงั ตะวนั ออกจนสามารถเขา้ ฟลิปปนสแ์ ต่เขาถกู ชาวพนื เมอื งฆา่ ตาย แต่ลกู เรอื สามารถนําเรอื กลับมาสเปนได้

22 4. การปฏิวตั ิทางวทิ ยาศาสตร์ ปญญาชนชาวตะวนั ตกให้ความสนใจศึกษาค้นควา้ จนเกิดความรูแ้ ละความเจรญิ ก้าวหน้าในศาสตรแ์ ขนงต่างๆ โดยเฉพาะ วทิ ยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ และคณิตศาสตร์ และจากการประดิษฐแ์ ท่นพมิ พข์ อง โยฮัน กเู ตนเบอรก์ ชาวเยอรมนั ทําให้วทิ ยาการ ความรูแ้ พรห่ ลายอยา่ งรวดเรว็ ปจจยั ทีสนับสนุนให้เกิดการปฏิวตั ิวทิ ยาศาสตร์ เกิดจากแนวความคิดทีสาํ คัญ 2 ประการ คือ 1. แนวคิดมนุษยนิยม ( Humanism ) ซงึ ได้รบั มาจากหลักปรชั ญาของชาว กรกี โดยสอนให้มนุษยม์ คี วามเชอื มนั ในความ สามารถของมนุษย์ สติปญญาของมนุษยส์ ามารถนํามนุษยไ์ ปสกู่ ารค้นหาความจรงิ ของสรรพสงิ ต่างๆ ในโลก 2. แนวคิดในปรชั ญาธรรมชาตินิยม ( Naturalism ) สอนให้เชอื วา่ สงิ ต่างๆ ล้วนดําเนินไปตามกฎเกณฑ์ธรรมชาติ ธรรมชาติที อยูร่ อบๆตัวมนุษยน์ ันมอี ิทธพิ ลต่อชวี ติ ความเปนอยูข่ องมนุษย์ จงึ เรมิ ศึกษาค้นควา้ และทดลอง จนเกิดองค์ความรูใ้ หมเ่ รยี กวา่ เปน ยุคแห่งภมู ธิ รรม หรอื ยุคแห่งการรูแ้ จง้ (The Enlightenment) กาลิเลโอ ผปู้ ระดิษฐก์ ล้องโทรทัศน์ (Telescope)

23 สมยั ใหมช่ ว่ งหลัง สมยั ใหมช่ ว่ งหลัง (นบั แต่กลางครสิ ต์ศตวรรษที 18 จนสนิ สดุ สงครามโลกครงั ที 2) มเี หตกุ ารณส์ าํ คัญ ได้แก่ 1. การปฎิวตั ิอุตสาหกรรม 1.1 เปนยุคทีเปลียนวธิ กี ารผลิตสนิ ค้าจากใชแ้ รงงานคนและสตั วม์ าใชเ้ ครอื งจกั ร 1.2 ประเทศแรกทีบุกเบกิ คืออังกฤษโดยอุตสาหกรรมแรกทีมกี ารปฏิวตั ิ คืออุตสาหกรรม การทอผา้ 2.การเกิดแนวความคิดทางการเมอื ง และเศรษฐกิจแบบใหม่ - การปกครองระบอบประชาธปิ ไตย มนี กั ปราชญท์ ีเสนอแนวคิด ดังนี จอห์น ล๊อค ชาวอังกฤษกล่าววา่ มนษุ ยท์ กุ คนเกิดมาเท่าเทียมกันและ มอี ิสระไมม่ ี ผใู้ ดมสี ทิ ธทิ ีจะใชอ้ ํานาจในการคกุ คามชวี ติ เสรภี าพและทรพั ยส์ นิ ของผอู้ ืนได้ มองเตสกิเออ ชาวฝรงั เศส ได้เขยี นหนงั สอื เรอื ง เจตนารมณแ์ ห่งกฎหมาย ( The Spirit of Laws ) เสนอความคิดการแบง่ แยกอํานาจ คือ นติ ิบญั ญตั ิ บรหิ าร ตลุ าการ เขาเชอื วา่ หากแยกอํานาจสทิ ธแิ ละเสรภี าพของประชาชนจะได้รบั การค้มุ ครอง แต่ถ้าอํานาจทัง 3นีรวมกันอยูใ่ นองค์การเดียวกัน อาจจะทําให้เกิดการกดขปี ระชาชน วอลแตร์ ชาวฝรงั เศส เปนนกั คิดและมผี ลงานด้านการเขยี นมากมายให้ความสาํ คัญแก่เสรภี าพในการพูดและการนบั ถือศาสนา ต่อต้าน ความอยุติธรรมในสงั คม แต่ใน ด้านการเมอื งไมเ่ คยแสดงความคิดเห็น อยา่ งชดั เจน จงึ ไมม่ ที ฤษฎีการเมอื งทีแนน่ อน รุสโซ ชาวฝรงั เศส ผลงานหนงั สอื ทีสาํ คัญคือ สญั ญาประชาคม ( The Social Contract ) ขอ้ ความทีจบั ใจคนเปนจาํ นวนมากคือ “มนษุ ยท์ กุ คนเกิดมามอี ิสระ แต่ทกุ หน ทกุ แห่งเขาถกู พนั ธนาการ” รุสโซ เนน้ เรอื งเจตจาํ นงรว่ มกันของประชาชน( General Will ) เขาได้รบั สมญาวา่ “เจา้ ทฤษฎีแห่งอํานาจอธปิ ไตย” เครอื งจกั รกลไอนํา ของ เจมส์ วตั ต์

24 3.สงครามโลกครงั ที 1 3.1 ปญหาหลักคือ ลัทธชิ าตินิยม และจกั รวรรดินิยม เกิดการแยง่ ชงิ ผลประโยชน์ในด้าน เศรษฐกิจและการเมอื ง 3.2 มกี ารแบง่ ออกเปน 2 ฝาย คือ ฝายสมั พนั ธมติ รและฝายมหาอํานาจกลาง 3.3 สงครามครงั นี ฝายสมั พนั ธมติ รเปนฝายชนะ 3.4 เกิดสนธสิ ญั ญาแวรซ์ ายน์และองค์การสนั นิบาตชาติ 4.สงครามโลกครงั ที 2 4.1 ปญหาหลักคือ การละเมดิ สนธสิ ญั ญาแวรซ์ ายน์ของเยอรมนั และ การล่มขององค์การสนั นิบาตชาติ 4.2 มกี ารแบง่ ออกเปน 2 ฝาย คือ ฝายสมั พนั ธมติ รและฝายอักษะ 4.3 สงครามครงั นี ฝายสมั พนั ธมติ รเปนฝายชนะ 4.4 เกิดองค์การสหประชาชาติและสงครามเยน็ การสรู้ บในมหาสงครามโลกครงั ที 1 สหรฐั ฯ ใชร้ ะเบดิ ปรมาณูถล่มเมอื งฮิโรชมิ าเพอื ยุติสงครามโลกครงั ที 2

25 บทที 5 พฒั นาการด้านการเมืองการ ปกครอง

26 ระบอบกษัตรยิ ภ์ ายใต้รฐั ธรรมนญู ในอังกฤษ พระเจา้ จอหน์ (ค.ศ.๑๑๙๙-๑๒๑๖) ทรงยอมรบั แมกนาคารต์ า (Magna Carta ค.ศ.๑๒๑๕) หรอื มหากฎบตั ร (Great Charter) ทีขุนนาง พระ พอ่ ค้า และประชาชนรวมตัวกันบบี บงั คับใหพ้ ระองค์ยอมรบั ขอ้ ตกลงทีเปนลายลักษณ์อักษรในการจาํ กัดพระราชอํานาจไมใ่ หใ้ ชพ้ ระราชอํานาจเกินขอบเขตในการเก็บภาษี อากร การลงโทษและอืนๆ ต่อมาได้เกิดรฐั สภา (parliament) ทีประกอบด้วย สภาขุนนาง (House of Lords) และ สภาสามญั (House of Commons) ทีมสี ว่ น สาํ คัญในการลดอํานาจสทิ ธขิ องกษัตรยิ ์ ต่อมาเมอื กษัตรยิ พ์ ยายามจะละเลยอํานาจของรฐั สภา สภาและประชาชนได้รว่ มกันก่อการปฏิวตั ิอันรงุ่ โรจน์ (Glorious Revolution) ขนึ ใน ค.ศ.๑๖๘๘ ขบั กษัตรยิ ์ ออกจากบลั ลังโดยไมม่ กี ารนองเลือดและใหก้ ษัตรยิ พ์ ระองค์ใหมย่ อมรบั ในอํานาจของรฐั สภา นับเปนการสนิ สดุ ของการพยายามใชอ้ ํานาจปกครองอยา่ งเด็ดขาด ของกษัตรยิ ์ และเปนจุดเรมิ ต้นของการปกครองแบบกษัตรยิ ภ์ ายใต้รฐั ธรรมนูญอยา่ งแท้จรงิ ทังยงั ยุติปญหาความแตกแยกทางศาสนาภายในประเทศโดย กําหนดใหก้ ษัตรยิ ต์ ้องทรงนับถือและเปนองค์ศาสนูปถัมภกของนิกายแองกลิคัน (Anglicanism) หรอื นิกายอังกฤษ (Church of England)

27 ระบอบกษัตรยิ แ์ บบสมบูรณาญาสทิ ธริ าชย์ สว่ นฝรงั เศสและประเทศมหาอํานาจในอดีตอืนๆ ได้แก่ ปรสั เซยี (รฐั หนงึ ในดินแดนเยอรมนั ต่อมามบี ทบาทเปนผนู้ าํ ในการรวมชาติเยอรมนีใน ค.ศ.๑๘๗๑) ออสเตรยี และรฐั เซยี นนั กลับมพี ฒั นาการระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสทิ ธริ าชย(์ Absolutism) ฝรงั เศสใน ค.ศ. ๑๖๑๔ หลังเกิดเหตคุ วามวุน่ วายและสงครามกับสเปน สภาฐานนั ดร (Estates General) ซงึ เปนตัวแทนของชนชนั ต่างๆ ได้ประกาศยุบตัว และประกาศให้ “อํานาจอธปิ ไตรสงู สดุ เปนของกษัตรยิ เ์ พราะทรงเปนผไู้ ด้รบั มงกฎุ จากพระเปนเจา้ ” จงึ ทําให้ไมม่ กี ารเรยี กประชุมสภาฐานนั ดรอีกเลยเปนเวลา ๑๗๕ ป จนก่อนเกิดการปฏิวตั ิ ฝรงั เศส ค.ศ. ๑๗๘๙ (French Revolution of 1789) ทําให้กษัตรยิ ฝ์ รงั เศสไมม่ สี ภาทีจะควบคมุ การใชพ้ ระราชอํานาจ พระราชอํานาจของกษัตรยิ จ์ งึ ได้เพมิ พูนขนึ อีก หลังจากสงครามสามสบิ ป (Thirty Years’ War ค.ศ. ๑๖๑๘-๑๖๔๘) ซงึ เกิดจากความขดั แยง้ ระหวา่ งนกิ ายโรมนั คาทอลิกกับนกิ ารโปรเตสแตนต์สนิ สดุ ลง มหาอํานาจต่างๆ ดังกล่าวขดั แยง้ (ยกเวน้ รฐั เซยี ทีไมไ่ ด้เขา้ รว่ มในสงครามด้วย) ก็จดั การปกครองแบบรวมศูนยอ์ ํานาจให้อยูใ่ นเมอื งของกษัตรยิ เ์ พอื ใชเ้ ปนเครอื งมอื ทีมปี ระสทิ ธภิ าพในการ สรา้ งและขยายอํานาจของรฐั โดยฝรงั เศสภายใต้การปกครองของพระเจา้ หลยุ สท์ ี ๑๔ (Louis XIV, ค.ศ. ๑๖๔๓-๑๗๑๕) ผงาดขนึ เปนมหาอํานาจประเทศแรก มกี องทัพขนาด ใหญท่ ีมปี ระสทิ ธภิ าพและดําเนนิ นโยบายขยายอํานาจพรมแดนพวกขุนนางต่างสญู เสยี อํานาจทางการเมอื งและเปลียนสถานภาพเปนขา้ ราชการ ลักษณะของระบอบการปกครองทีมกี ษัตรยิ เ์ ปนศูนยก์ ลางแห่งอํานาจดังกล่าวนีก็ได้รบั การพฒั นาขนึ ในปรสั เซยี และประสบความสาํ เรจ็ ในสมยั ของพระเจา้ เฟรเดรกิ มหาราช (Frederick the Great, ค.ศ. ๑๗๔๐-๑๗๘๖) ออสเตรยี ในสมยั ของจกั รพรรดินีมาเรยี เทเรซา (Maria Theresa ค.ศ. ๑๗๔๐-๑๗๘๐) สว่ นรฐั เซยี ในสมยั ของซารป์ เตอร์ มหาราช (Peterthe Great, ค.ศ. ๑๖๘๒-๑๗๒๕) และซารนี าแคเทอรนี มหาราช (Catherine the Great, ๑๗๖๒-๑๗๙๖) ซงึ ได้มกี ารเรยี กชว่ งระยะเวลาดังกล่าวนีวา่ ยุคแห่ง สมบูรณาญาสทิ ธริ าชย์ (Age of Absolutism)

28 ในการปฏิวตั ิฝรงั เศส ค.ศ. ๑๗๘๙ ได้มคี วามพยายามทีจะลดอํานาจของกษัตรยิ แ์ ละนาํ ไปสกู่ ารสถาปนาระบอบการปกครองแบบสาธารณรฐั ขนึ ใน ค.ศ. ๑๗๙๒ แต่ไมป่ ระสบความ สาํ เรจ็ ฝรงั เศสหันกลับไปปกครองในระบอบกษัตรยิ อ์ ีกครงั ในสมยั จกั พรรดินโปเลียนที ๑ (Napoleon I, ค.ศ.๑๘๐๔-๑๘๑๕) ความพยายามจะขยายอํานาจของฝรงั เศสไปทัว ยุโรปก่อให้เกิดการรวมตัวของมหาอํานาจอืนๆ เพอื หยุดยงั จกั รพรรดินโปเลียนที ๑ และสามารถรบชนะกองทัพฝรงั เศสได้ใน ค.ศ. ๑๘๑๕ หลังจากนนั มกี ารฟนฟูราชวงศ์ต่างๆ ที สญู เสยี อํานาจไประหวา่ งสงครามนโปเลียน (Napoleonic Wars, ค.ศ. ๑๘๐๔-๑๘๑๕) รวมทังราชวงศ์บูรบ์ ง (Bourbon) ของฝรงั เศสด้วย อยา่ งไรก็ดี ในครสิ ต์ศตวรรษที ๑๙ อํานาจของกษัตรยิ เ์ รมิ ถกู ต่อต้าน มกี ารเรยี กรอ้ งสทิ ธิ เสรภี าพ จากการแพรข่ ยายของลัทธเิ สรนี ยิ มและชาตินยิ ม ทําให้รูปแบบการปกครอง ประเทศต่างๆ มกี ารเปลียนแปลงเกิดการปฏิวตั ิในดินแดนต่างๆ ทัวยุโรปเปนละลอกๆ รฐั สภาจงึ มบี ทบาทสาํ คัญขนั และกษัตรยิ ต์ ้องตกอยูภ่ ายใต้อํานาจการควบคมุ ของรฐั สภา ในระดับหนงึ ระหวา่ ง ค.ศ. ๑๘๗๑-๑๙๑๔ ชาวยุโรปจาํ นวนหนงึ จงึ เห็นวา่ เปน ระยะเวลาอันงดงาม (The Beautiful Times) ทีประชาชนมสี ทิ ธแิ ละเสรภี าพ ทังความเจรญิ ทาง วทิ ยาศาสตรก์ ็นาํ มาซงึ ความสะดวกสบายแก่ชวี ติ ด้วย ขณะเดียวกันหลักการของรฐั บาลทีเปนตัวแทนของประชาชนก็เปนทียอมรบั กันโดยทัวไป พลเมอื งเพศชายในประเทศ ต่างๆ ได้รบั สทิ ธใิ นการลงคะแนนเสยี งเลือกตัง อยา่ งไรก็ดี ในทางตรงกันขา้ ม ลัทธมิ ากซท์ ีเกิดขนึ ก็มองเห็นการเอารดั เอาเปรยี บของนายทนุ ต่อชนชนั แรงงานและต้องการ เลียนแปลงระบบการเมอื งการปกครองเพอื ให้สงั คมปราศจากชนชนั และมคี วามเสมอภาคกัน โดยทีชนชนั แรงงานมบี ทบาทเปนผนู้ าํ ในการปกครอง เมอื สงครามโลกครงั ที ๑ (ค.ศ. ๑๙๑๔-๑๙๑๘) สนิ สดุ ลง ระบอบการปกครองแบบกษัตรยิ ใ์ นรสั เซยี เยอรมนี และออสเตรยี ก็สนิ สดุ ลงพรอ้ มกับเกิดระบอบการปกครองแบบ สงั คมนยิ มขนึ ในรสั เซยี ฝรงั เศสได้เปลียนระบอบการปกครองเปนสาธารณรฐั ตังแต่ ค.ศ. ๑๘๗๑ สว่ นเยอรมนีและออสเตรยี ก็มกี ารสถาปนาระบอบการปกครองแบบ สาธารณรฐั ระหวา่ ง ทศวรรษ ๑๙๒๐-กลางทศวรรษ ๑๙๓๐ อิตาลีซงึ มเี บนีโต มุสโสลีนี (Benito Mussolini) และเยอรมนีมอี ดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) เปนผนู้ าํ ได้ ประกาศปกครองประเทศด้วย ระบอบเผด็จการฟาสซสิ ต์ (Fascism) หรอื ระบอบเผด็จการทหาร ทีผนู้ าํ มอี ํานาจควบคมุ กําลังทหาร ตํารวจ และเปนพรรคการเมอื งเดียว โดย ประชาชนต้องจงรกั ภักดี มคี วามศรทั ธาและความเชอื มนั ในผนู้ าํ ลัทธฟิ าสซสิ ต์จงึ มสี ว่ นทําให้เยอรมนีเหิมเกรมิ และก่อสงครามโลกครงั ที ๒ (ค.ศ. ๑๙๓๙-๑๙๔๕)

29 ระบอบการปกครองในทวปี ยุโรปสมยั ปจจุบนั หลังสงครามโลกครงั ที ๒ ระบอบการปกครองของยุโรปแยกออกเปน ๒ ระบอบอยา่ งเด่นชดั ดังนี ๑) ระบอบประชาธปิ ไตย เปนระบอบทีเน้นความเปนปจเจกบุคคลนิยม (individualism) เหตผุ ลนิยม (rationalism) และเสรภี าพ (freedom) หลักการสาํ คัญของ แนวความคิดประชาธปิ ไตย คือ สทิ ธิ เสรภี าพของประชาชน ประชาชนเปนทีมาของอํานาจอธปิ ไตย ทกุ คนมสี ทิ ธิ เสรภี าพ และความเสมอภาคภายใต้กฎหมาย การ ปกครองระบอบประชาธปิ ไตยมตี ้นกําเนิดมาตังแต่สมยั กรกี โบราณ เมอื กวา่ ๕๐๐ ปก่อนครสิ ต์ศักราช โดยนครรฐั เอเธนสเ์ ปนดินแดนแห่งแรกทีให้สทิ ธแิ ก่พลเมอื ง เพศชายทีเปนเสรชี นทกุ คนมสี ทิ ธใิ นการเลือกตังและเขา้ นังในสภา ทังยงั ดํารงตําแหน่งผู้ปกครองได้ ระบอบการปกครองแบบประชาธปิ ไตยเปนระบอบการ ปกครองทีประชาชนมอี ํานาจสงู สดุ โดยมรี ฐั สภาทําหน้าทีเปนตัวแทนของประชาชน ๒) ระบอบเผด็จการคอมมวิ นิสต์ เปนระบอบการปกครองทีอ้าง อุดมการณ์ของลัทธมิ ากซใ์ นการสรา้ งสงั คมทีปราศจากชนชนั และมคี วามเสมอภาคกันในด้านต่างๆ โดยชนชนั แรงงานเปนผู้ ปกครองประเทศระอบเผด็จการคอมมวิ นิสต์มพี รรคการเมอื ง เพยี งพรรคเดียว ผู้นําพรรคคอมมวิ นิสต์และผู้นํารฐั เปนคน เดียวกัน สหภาพโซเวยี ตเปนประเทศแรกทีมกี ารปกครองใน ระบอบเผด็จการคอมมวิ นิสต์ภายหลังการปฏิวตั ิรสั เซยี ในเดือน ตลุ าคม ค.ศ. ๑๙๑๗ หลังสงครามโลกครงั ที ๒ ก็มปี ระเทศอืน ปกครองในระบอบเผด็จการคอมมวิ นิสต์อีก ๑๖ ประเทศ แต่เมอื สหภาพโซเวยี ตล่มสลายลงใน ค.ศ. ๑๙๙๑ ก็เหลือเพยี งไมก่ ี ประเทศ เชน่ จนี คิวบา เกาหลีเหนือ เปนต้น สว่ นบรรดาประเทศ บรวิ ารของสหภาพโซเวยี ตเดิม (รวมทังรสั เซยี ) ก็ต้องปฏิรูปการ ปกครองตนเองในแนวทางของระบอบการปกครองแบบ ประชาธปิ ไตยด้วย

30 บทที 6 พฒั นาการด้านเศรษฐกจิ

31 เศรษฐกิจแบบพาณชิ ยนยิ ม เศรษฐกิจแบบพาณิชยนิยม (mercantilism) เปนระบบเศรษฐกิจทีเกิดขนึ และพฒั นาพรอ้ มๆ กับการก่อตัวของรฐั ชาติ เปนรูปแบบของเศรษฐกิจ ครสิ ต์ศตวรรษที ๑๖-๑๘ โดยรฐั เขา้ ควบคมุ อุตสาหกรรมและการค้าภายในประเทศ สง่ เสรมิ การดําเนินธุรกิจของพอ่ ค้า การสง่ สนิ ค้าออก และกีดกัน การนําเขา้ สนิ ค้าจากต่างประเทศลัทธพิ าณิชยนิยมเปนผลจากความเชอื วา่ การควบคมุ และการดําเนินธุรกิจต่างๆ จะทําให้รฐั มนั คง เขม้ แขง็ ดังนัน จงึ ถือเปนหน้าทีและความจาํ เปนของรฐั ทีจะต้องดําเนินการทกุ วถิ ีทางเพอื เปนเจา้ ของทรพั ยากรและโภคทรพั ยต์ ่างๆ และเขา้ ครอบครองดินแดนต่างๆ แล้วจดั ตังเปนอาณานิคม เผยแผ่ศาสนา ท้ายทีสดุ ก็ก่อให้เกิดความขดั แยง้ กันเองและเขา้ สสู่ งคราม กลายเปนสงครามทีลกุ ลามในภมู ภิ าคอืนๆ ของ โลก เชน่ สงครามเจด็ ป (Seven Year’ War, ค.ศ. ๑๗๕๖-๑๗๖๓) ระหวา่ งฝรงั เศสและออสเตรยี กับอังกฤษและปรสั เซยี ก่อให้เกิดการรบกันทังใน ทวปี ยุโรป อเมรกิ า และเอเชยี

32 เศรษฐกิจแบบทนุ นยิ ม ปลายครสิ ต์ศตวรรษที ๑๘ ได้เกิดแนวคิดทางเศรษฐศาสตรแ์ ละการเมอื งทีสาํ คัญ คือ แนวคิด ไลสเ์ ซ-แฟร์ (laissez-faireเปนคําฝรงั เศส หมายถึง ปล่อยให้เปน เอง) และแนวคิดการค้าเสรี (free trade) ของแอดัม สมทิ (Adam Smith) ชาวสกอต เจา้ ของผลงานเรอื ง The Wealth of Nations (ค.ศ. ๑๗๗๖) ทีกําหนดให้ อุปสงค์ (demand) และอุปทาน (supply) เปนตัวกําหนดกลไกของตลาด ด้านเศรษฐกิจนัน ไลสเ์ ซ-แฟร์ หมายถึง การดําเนินนโยบายภายในทีรฐั บาลไมค่ วรเขา้ ไปก้าวก่ายกับการค้า เปนธุรกิจของภาคเอกชนทังในด้านอุตสาหกรรมและการ เงิน ระบบเศรษฐกิจแบบเสรนี ิยมสง่ เสรมิ ให้นายทนุ แขง่ ขนั กันอยา่ งเสรี ผู้บรโิ ภคจะทําให้กลไกของตลาดเคลือนไหวและนําความมงั คังมาสรู่ ฐั ได้ อยา่ งไรก็ดี ทังแนวคิดไลสเ์ ซ –แฟร์ และการค้าเสรดี ังกล่าวได้รบั การสนับสนุนจากชนชนั นายทนุ อีกทังสอดคล้องกับลัทธเิ สรนี ิยม จงึ ทําให้เกิดการสะสมทนุ การ ลงทนุ และขยายทนุ อยา่ งกวา้ งขวาง เกิดระบบตลาดการค้าเสรแี บบทนุ นิยม (free market capitalism) ไปทัวโลก โดยรฐั ให้การสนับสนุนและออกกฎหมายต่างๆ เพอื ค้มุ ครองสทิ ธเิ สรภี าพในการทําธุรกิจและการค้า การครอบครองทรพั ยส์ นิ และการทําสญั ญาต่างๆ ในโลกปจจุบนั ระบบทนุ นิยมและแนวคิดไลสเ์ ซ แฟร์ และการค้าเสรกี ็ยงั คงเปนนโยบายเศรษฐกิจทีสาํ คัญของประเทศประชาธปิ ไตย โดยรฐั เขา้ มามบี ทบาทในด้าน การวางนโยบาย การควบคมุ คณุ ภาพและวธิ กี ารผลิต ตลอดจนการดแู ลในเรอื งสวสั ดิการของผู้ใชแ้ รงงานด้วย

33 เศรษฐกิจแบบสงั คมนยิ ม เศรษฐกิจแบบสงั คมนิยม (socialism) เปนระบบเศรษฐกิจทีพฒั นามาจากแนวความคิดทางการเมอื งของคารล์ มากซ์ (Karl Marx) นักสงั คมนิยมทีมชี อื เสยี งของยุโรป เกิดขนึ กลางครสิ ต์ศตวรรษที ๑๙ เพอื ตอบโต้การขยายตัวของลัทธทิ นุ นิยมและการเอา รดั เอาเปรยี บชนชนั แรงงาน เขาต้องการสรา้ งระบบเศรษฐกิจทีเสมอภาค คือ การยกเลิกกรรมสทิ ธทิ รพั ยส์ นิ สว่ นบุคคล และให้มี การจดั การทางการผลิตโดยชนชนั แรงงาน ซงึ ชนชนั แรงงานจะใชอ้ ํานาจเผด็จการในการปกครองเพอื ผลักดันนโยบายสงั คมนิยม ให้บรรลผุ ลสาํ เรจ็

34 บทที 7 พฒั นาการด้านสงั คมและศลิ ป วัฒนธรรม

35 กําเนดิ ของชนชนั กลาง ในสมยั กลางตอนต้น สงั คมของตะวนั ตกประกอบด้วย ชนชนั ๓ ฐานันดร ได้แก่ กษัตรยิ -์ ขุนนาง นักบวช และชาวไร-่ ชาวนา (ทาสติดทีดิน) แต่เมอื มกี ารฟน ตัวของเศรษฐกิจและเมอื งขนึ ในครสิ ต์ศตวรรษที ๑๑ สงั คมยุโรปก็เกิดชนชนั ใหม่ คือ ชนชนั กลางหรอื ชนชนั กระ มพี ทีประกอบอาชพี ต่างๆ เชน่ ชา่ งฝมอื ลกู จา้ ง พอ่ ค้า อาจารย์ นักศึกษา โดยอาศัยอยูใ่ นเขตเมอื ง ถือวา่ เปน ชนชนั ใหม่ ของสงั คมตะวนั ตก ชนชนั กลางเหล่านีได้รว่ มกันวางรากฐานความเจรญิ ให้ แก่สงั คมยุโรปและปลกู ฝงอุดมการณ์และวธิ กี ารปฏิบตั ิในการอยูร่ ว่ มกัน เชน่ สทิ ธแิ ละหน้าทีของชาวเมอื ง การจดั เก็บภาษีและค่าปรบั เปนต้น เพอื นํารายได้ มาบรหิ าร การทํานุบาํ รุงแลการปองกันเมอื ง สง่ เสรมิ และขยายการศึกษาการจดั ตังมหาวทิ ยาลัย และเกิดการฟนฟูศิลปวทิ ยาการและความเจรญิ อืนๆ ตลอด จนสง่ เสรมิ คณุ ธรรมและให้ความสาํ คัญแก่สทิ ธิ เสรภี าพ และความเสมอภาคปจเจกบุคคล ซงึ เปนพนื ฐานสาํ คัญทีทําให้สงั คมยุโรปสามารถพฒั นาระบอบการ ปกครองแบบระบอบประชาธปิ ไตย

36 การขยายตัวของเมอื งในยุคปฏิวตั ิอุตสาหกรรม การขยายตัวของเมอื งในยุคปฏิวตั ิอุตสาหกรรมเด่นชดั ขนึ ในกลางครสิ ต์ศตวรรษที ๑๙ กล่าวคือใน ค.ศ. ๑๘๕๑ การ สาํ รวจสาํ มะโนครวั ในอังกฤษบง่ ชใี ห้เห็นเปนครงั แรกวา่ มปี ระชากรอาศัยอยูใ่ นเขตเมอื งมากกวา่ อยูใ่ นเขตชนบท ขณะ ทีประเทศอืนๆ ก็มแี นวโน้มของสงั คมเมอื งในลักษณะเดียวกันนีด้วย แต่เมอื สนิ ครสิ ต์ศตวรรษที ๑๙ มเี มอื งกวา่ ๕๐ แห่งทีมปี ระชากรมากกวา่ ๑ ล้านคน ปจจุบนั ประชากรสว่ นใหญ่ในทวปี ยุโรปมากกวา่ รอ้ ยละ ๕๐-๖๐ อาศัยอยูใ่ นเขต เมอื งซงึ มขี นาดใหญ่

37 บทที 8 การสร้างสรรคท์ างศิลป วัฒนธรรม

38 แมว้ า่ ศิลปวฒั นธรรมของกรกี -โรมนั คือ รากเหง้าของอารยธรรมตะวนั ตก แต่ครสิ ต์ศาสนาซงึ เปนทียอมรบั ในจกั รวรรดิมนั ตังแต่ต้นครสิ ต์ศตวรรษที ๔ และมี อิทธพิ ลอยา่ งมากในโลกตะวนั ตกจนสมยั กลางได้ชอื วา่ ยุคแหง่ ศรทั ธา (Age of Faith) ก็คือ พลังทีแต่งเติมใหศ้ ิลปวฒั นธรรมของยุโรปบรรลคุ วามงามและความ สมบูรณ์แบบ ทังมกี ารสรา้ งมหาวหิ าร (cathedral) ด้วยศิลปะแบบกอทิกไปทัวยุโรปในระหวา่ ง ค.ศ. ๑๑๐๐-๑๓๐๐ มจี าํ นวนมากกวา่ ๕๐๐ แหง่ ต่อมาในยุคฟนฟู ศิลปะวทิ ยาการ (Renaissance) ทีเรมิ ต้นในอิตาลีในกลางครสิ ต์ศตวรรษที ๑๔ ยุโรปสามารถฟนฟูการศึกษาและผลงานสรา้ งสรรค์ทางด้านวจิ ติ รศิลปของกรกี - โรมนั ขนึ มาใหม่ ศิลปนต่างหวนกลับไปสโู่ ลกของธรรมชาติ จนเกิดเปนรูปแบบของศิลปะซงึ เปนความงามของธรรมชาติและการวภิ าคของมนุษยท์ ีจดั วา่ เปนผลงาน อันยงิ ใหญ่ของพระเปนเจา้ มาซกั ซโี อ (Masaccio, ค.ศ. ๑๔๐๑-๑๔๒๘) เปนจติ รกรอิตาลีคนแรกทีนําเทคนิคการวาดภาพ ๓ มติ ิมาใช้ จนเกิดเปนแนวคิดใหมท่ ีวา่ ลักษณะที สมจรงิ (realism) นันเปนอยา่ งไร ในชว่ งระยะเวลานี งานจติ รกรรมและงานประติมากรรมก็เรมิ มคี วามโดดเด่น มกี ารสรา้ งงานประติมากรรมเปนรูปนักบุญประดับประดาตามจตั รุ สั ต่างๆ รวมทังภาพ จติ รกรรมฝาผนังปูนเปยก (fresco) ตามผนังของโบสถ์วหิ ารและบา้ นเรอื นต่างๆ ศิลปนชาวเฟลมชิ หรอื ดัตชเ์ ปนพวกแรกทีพฒั นาเทคนิคการวาดภาพสนี ํามนั ที ผสมไขข่ าวและนําแทนสฝี ุน ซงึ สามารถสรา้ งสอี ่อนแก่ ดโู ปรง่ แสง มรี ายละเอียดเหมอื นภาพถ่ายในปจจุบนั ในเวลาต่อมาศิลปนอิตาลีก็นําไปพฒั นาเปนภาพเขยี น ใสก่ รอบประดับฝาภายในอาคารทีพกั อาศัย โดนาเตลโล (Donatello, ค.ศ. ๑๓๖๘-๑๔๖๖) เปนประติมากรคนแรกทีสรา้ งผลงาน เดวดิ (David) เด็กหนุ่มในคัมภีร์ ไบเบลิ เปนรูปชายหนุ่มเปลือยในท่ายนื โดดเด่นอยา่ งอิสระจากขอ้ บงั คับทีเครง่ ครดั ของสมยั กลาง แต่ก็สะท้อนความเปนธรรมชาติของมนุษย์ รูปสลัก ลาปเอตา La Pieta รูปสลักเดวดิ ( David ) แสดงสดั สว่ น และกล้ามเนือทีสมสว่ นของรา่ งกาย

39 ในครสิ ต์ศตวรรษที ๑๕-๑๖ ศิลปกรรมของอิตาลีได้พฒั นาถึงขดี สงู สดุ และเปนแมแ่ บบให้แก่ศิลปนชาติอืนๆ ในยุโรป ศิลปนทีมชี อื เสยี ง ทีสดุ ของยุคฟนฟูศิลปะวทิ ยาการ คือ เลโอนารโ์ ด ดา วนิ ชี (Leonado da Vinci, ค.ศ. ๑๔๕๒-๑๕๑๙ ) ซงึ ถือเปน มหาศิลปนแห่งศิลปน ทังปวง ต่อมาในครสิ ต์ศตวรรษที ๑๗ รูปแบบของศิลปกรรมในยุคฟนฟูศิลปวทิ ยาการก็มกี ารพฒั นาจนมรี ูปแบบอลังการ หรูหรา ฟุงเฟอ และแวววบั ด้วยสที อง เกิดเปน ศิลปะบาโรก (Baroque) ในอิตาลี ศิลปะบาโรกถกู นํามาใชเ้ พอื ความยงิ ใหญ่ของครสิ ต์ศาสนานิ การโรมนั คาทอลิก สว่ นในฝรงั เศส ศิลปะบาโรกก็ถกู นําไปใชเ้ พอื สรา้ งความสขุ และความหรูหราแก่ชนชนั สงู เชน่ การสรา้ งพระรา ชวงั แวรซ์ ายของพระเจา้ หลยุ สท์ ี ๑๔ ต่อมาศิลปะบาโรกจากราชสาํ นักก็ขยายเขา้ สคู่ ฤหาสน์ของชนชนั ขุนนาง และในต้นครสิ ต์ศตวรรษที ๑๘ เมอื งหลวงของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะเยอรมนีก็เกิดการพฒั นารูปแบบงานศิลปะทีให้อิสระแก่จนิ ตนาการและการใชแ้ สง โดยเน้น ความสวา่ งมากขนึ จงึ มผี ู้เรยี กศิลปะบาโรกในระยะเวลาต่อมาวา่ ศิลปะโลโกโก (Rococo) ใน ค.ศ. ๑๘๓๙ ได้มกี ารประดิษฐก์ ล้องถ่ายรูปขนึ ทําให้การวาดภาพเหมอื นคน (portrait) เสอื มลงจติ รกรหันไปสนใจวาดภาพจากสภาพ ความเปนจรงิ ตามธรรมชาติและสงั คมมากขนึ ซงึ สง่ ผลให้ ศิลปะเรยี ลลิสต์หรอื สจั นิยม (Realism) มบี ทบาทสาํ คัญในชว่ งกลางครสิ ต์ วรรษที ๑๙ ภาพวาดแนวสจั นิยมมกั ถ่ายทอดความเปนจรงิ ของชวี ติ ในสงั คมอุตสาหกรรม ทังความมงั คังของนายทนุ และชวี ติ ของคน ยากจนในเมอื งใหญ่ ตลอดจนการใชช้ วี ติ ในชนบท ขณะเดียวกันศิลปนก็นําหลักวทิ ยาศาสตรม์ าประยุกต์กับแนวทางศิลปะ ทําให้ภาพวาด มลี ักษณะใหมท่ ีสวา่ งและสดใสมากขนึ จงึ ได้ชอื วา่ อิมเพรสชนั นิสต์ (Impressionism)จติ รกรทีโดดเด่น เชน่ โกลด โมเน (Claude Monet) ปแยร์ โอกสู ต์ เรอนัวร์ (Pierre Auguste Renoir) เปนต้น The Death of Marat Woman with a Parasol (1875) by Claude Monet

40 ในชว่ งหลังสงครามโลกครงั ที ๑ และสงครามโลกครงั ที ๒ รูปแบบงานศิลปะพฒั นาก้าวหนา้ มากขนึ ในด้านเทคนคิ และการ แสดงออกโดยศิลปนได้พยายามประยุกต์ใชเ้ ทคนคิ ใหมๆ่ สรา้ งงานศิลปะทีสอดคล้องกับความต้องการของสงั คมและยุค สมยั มกี ารถ่ายทอดอารมณแ์ ละความคิดทีอิสระในรูปแบบต่างๆ ศิลปะแนวใหม่ เชน่ ลัทธสิ าํ แดงพลังอารมณแ์ นว นามธรรม (Abstract Expressionism) ศิลปะประชานคิ ม (Pop Art) จลนศิลป (Kinetic Art) เปนต้น ทําให้การ สรา้ งสรรค์งานศิลปะก้าวหนา้ มากขนึ นอกจากพฒั นาการในด้านต่างๆ ทีทําให้ชาติตะวนั ตกมบี ทบาทในโลกแล้ว ในครสิ ต์ศตวรรษที ๑๗-๑๘ ได้เกิด เหตกุ ารณ์การปฏิวตั ิครงั ใหญ่ขนึ ในทวปี ยุโรป ๓ เหตกุ ารณ์ ได้แก่ การปฏิวตั ิวทิ ยาศาสตร์ (Scientific Revolution) ในครสิ ต์ศตวรรษที ๑๗ การปฏิวตั ิอุตสาหกรรม (Industrial Revolution) และการปฏิวตั ิทาง ภมู ปิ ญญา (Intellectual Revolution) หรอื ยุคภมู ธิ รรม (Age of Enlightenment) ในกลางครสิ ต์ศตวรรษ ที ๑๘ และการปฏิวตั ิฝรงั เศส (French Revolution) ในปลายครสิ ต์ศตวรรษที ๑๘ ซงึ ถือวา่ มคี วามสาํ คัญและ มผี ลกระทบต่อการเปลียนแปลงทางการศึกษา เศรษฐกิจ การเมอื ง ตลอดจนโลกทัศน์ สงั คมและวฒั นธรรม ของดินแดนต่างๆ ในทวปี ยุโรปมากทีสดุ การปฏิวตั ิวทิ ยาศาสตร์ ซงึ ได้แก่ การตังขอ้ สงั เกต การตรวจสอบอยา่ งมเี หตผุ ลและผา่ นการพสิ จู นท์ ดลอง แลมขี อ้ สรุป โดยไมเ่ ชอื อะไรอยา่ งงมงาย ทําให้ชาติตะวนั ตกเชอื มนั ในการเรยี นรู้ แสวงหาความเปนจรงิ มากขนึ จนทําให้ชาติตะวนั ตก นาํ ความรูท้ างด้านวทิ ยาศาสตรไ์ ปพฒั นาเครอื งมอื เครอื งใชต้ ่างๆ ยารกั ษาโรคตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ ขณะเดียวกัน การปฏิวตั ิวทิ ยาศาสตรก์ ็ก่อให้เกิดการปฏิวตั ิทางภมู ปิ ญญาหรอื ยุคภมู ธิ รรม ทีทําให้เกิดนกั ปรชั ญาเมธสี าํ คัญ ได้แก่ จอห์น ลอก (John Locke) มงเตสกีเยอ (Montesquieu) วอลแตร์ (Voltaire) และรูโซ (Rousseau) เจา้ ของผลงาน สญั ญาประชาคม (Social Contract) ทีคํานงึ ถึงสทิ ธิ เสรภี าพของประชาชน และ เจตจาํ นงรว่ มของประชาชน (General Will)กลายเปนแรงจูงใจให้ชาวฝรงั เศสก่อการปฏิวตั ิฝรงั เศสใน ค.ศ. ๑๗๘๙ เรยี กรอ้ งเสรภี าพ ความเสมอภาค และ ภราดรภาพ (Liberty, Equality and Fraternity) เพอื สรา้ งความเสมอภาคในทางการเมอื ง เศรษฐกิจ และสงั คม ทําให้ ในเวลาต่อมามกี ารล้มระบอบกษัตรยิ ใ์ นฝรงั เศสและจดั ตังระบอบการปกครองแบบสาธารณรฐั ขนึ

41 สว่ นการปฏิวตั ิอุตสาหกรรมทีเกิดขนึ ในอังกฤษเปนแห่งแรกในกลางครสิ ต์ศตวรรษที ๑๘ โดยการเปลียนแปลง วธิ กี ารผลิตและระบบการผลิตจากการใชแ้ รงงานคน สตั ว์ และพลังธรรมชาติ มาเปนการใชเ้ ครอื งจกั รกลที สามารถผลิตสนิ ค้าได้จาํ นวนมากก็ก่อให้เกิดการเปลียนแปลงทังในด้านการเมอื ง การปกครอง เศรษฐกิจ สงั คม และวฒั นธรรมในครสิ ต์ศตวรรษที ๑๙ อยา่ งมาก อีกทังยงั เปนกระบวนการทีเกิดขนึ อยา่ งต่อเนืองมาจนถึง ปจจุบนั ในครสิ ต์ศตวรรษที ๒๐ ประเทศมหาอํานาจยุโรปได้เกิดความขดั แยง้ กันและเผชญิ กับปญหาต่างๆ เชน่ การเรยี ก รอ้ งอํานาจปกครองตนเองของชนใต้ปกครอง ปญหาเชอื ชาติ ลัทธกิ ารเมอื งตลอดจนการแขง่ ขนั กันเองเพอื มี อํานาจควบคมุ เศรษฐกิจและดินแดนต่างๆ ทัวโลกทีเปนแหล่งทรพั ยากรธรรมชาติ และจุดยุทธศาสตรส์ าํ คัญจน ต้องเขา้ สรู้ บกันในสงครามโลกครงั ที ๑ ( ค.ศ. ๑๙๑๔-๑๙๑๘ ) และสงครามโลกครงั ที ๒ ( ค.ศ. ๑๙๓๙-๑๙๔๕) ซงึ เกิดความหายนะไปทัวทําให้ประเทศมหาอํานาจยุโรปเก่า ได้แก่ อังกฤษ ฝรงั เศส ออสเตรยี และเยอรมนีต่างสญู เสยี บทบาทผู้นําและเปดโอกาสให้สหรฐั อเมรกิ าและสหภาพโซเวยี ตก้าวขนึ มาเปนประเทศผู้นําของโลกแทน หลังจากทีสงครามโลกครงั ที ๒ ยุติลง ยุโรปต้องเผชญิ กับวกิ ฤตการณ์ต่างๆ ทังภายในและภายนอก ตลอดจน การเรง่ บูรณะฟนฟูประเทศ ประเทศมหาอํานาจยุโรปตะวนั ตกต่างสญู เสยี บทบาทและอาณานิคมทีเคยเปนฐาน อํานาจทางเศรษฐกิจและการเมอื งมาเปนระยะเวลายาวนาน ดังนัน เพอื ดํารงบทบาทของประเทศผู้นําและ สามารถแขง่ ขนั กับสหรฐั อเมรกิ าและสหภาพโซเวยี ตทังด้านเศรษฐกิจ การเมอื งการปกครอง และการทหาร กล่มุ ประเทศยุโรปตะวนั ตกจงึ ได้พยายามรวมตัวกันเพอื สรา้ งความแขง็ แกรง่ ให้กับประเทศของตนอีกครงั โดย รว่ มประชุมกันและดําเนินการอยา่ งเปนรูปธรรม เกิดการจดั ตัง สหภาพยุโรป (European Union:EU) ขนึ โดย มวี ตั ถปุ ระสงค์เพอื ให้นานาประเทศในยุโรป (ตะวนั ตก) มเี อกภาพในการดําเนินนโยบายด้านการเมอื งเศรษฐกิจ การเงิน กาปองกันและการต่างประเทศ ตลอดจนด้านสงั คมและวฒั นธรรม มาตรการสาํ คัญของการสรา้ งยุโรปในเชงิ บูรณาการ ได้แก่ การสรา้ งยุโรปของชาวยุโรป (People’s Europe) คือ รวมประเทศต่างๆ ทังหมดตังแต่ชายฝงมหาสมุทรแอตแลนติกจนถึงเทือกเขายูรลั เขา้ เปนอันหนึงอัน เดียวกัน ทังนี ได้มกี ารดําเนินการมาตังแต่ ค.ศ. ๑๙๘๕ เพอื ให้ประชากรในประเทศทีมคี วามแตกต่างกันทังในภมู ิ หลังทางประวตั ิศาสตร์ วฒั นธรรม ความเชอื และค่านิยมให้ซมึ ซบั ความเปนพวกเดียวกัน

42 บทที 9 อทิ ธพิ ลของทวีปยโุ รปต่อ สงั คมโลก

43 ในด้านการเมอื งการปกครอง อุดมการณ์ประชาธปิ ไตยซงึ เรมิ จากสมยั กรกี ทีสง่ เสรมิ ให้ประชาชนตระหนักถึงสทิ ธิ หน้าที และความรบั ผิดชอบต่อรฐั นับวา่ มี ความสาํ คัญเปนอยา่ งยงิ ถือเปนแมแ่ บบของระบอบการปกครองแบบประชาธปิ ไตย ทังยงั ก่อให้เกิดระบอบกษัตรยิ ภ์ ายใต้รฐั ธรรมนูญอีกด้วย ทียกยอ่ ง กษัตรยิ เ์ ปนพระประมุขของประเทศแต่ให้อํานาจการปกครองและบรหิ ารประเทศแก่ประชาชน สว่ นโรมนั ก็มชี อื เสยี งในเรอื งการรกั สทิ ธิ เสรภี าพสว่ นบุคคล และการมรี ะเบยี บวนิ ัยของสงั คมกฎหมายสบิ สองโต๊ะของโรมนั ได้ให้ความยุติธรรมแก่พลเมอื งทกุ ชนชนั อยา่ งทัดเทียมกันและเปนแมแ่ บบของการออก ประมวลกฎหมายในนานาประเทศทัวโลก สว่ นงานศิลปะแขนงต่างๆ ของกรกี -โรมนั ก็ถือเปนต้นแบบในงานสรา้ งสรรค์ทัวโลก รวมทังอาคารสถานทีคฤหาสน์ พระราชวงั โบสถ์วหิ ารทีมใี ห้เห็นกันทัวไปทียงั คงนิยมรูปแบบสถาปตยกรรมกรกี -โรมนั อยูจ่ นถึงปจจุบนั ในสมยั กลาง แมว้ า่ ชว่ งเวลาระหวา่ งการล่มสลายของจกั รวรรดิโรมนั ใน ค.ศ. ๔๗๖ จนถึงการฟนตัวของเมอื งในครสิ ต์ศตวรรษที ๑๑ แสงของอารยธรรมตะวนั ตกจะรบิ หรลี งเพราะเกิดจากการรุกรานของพวกอนารยชนจนแทบมดื สนิทนัน แต่เมอื ยุโรปฟนตัวขนึ อีกครงั การสรา้ งสรรค์ความเจรญิ และอารยธรรมของ ยุโรปก็รุดหน้าอยา่ งรวดเรว็ เมอื งในสมยั กลางของยุโรปได้กลายเปนแมแ่ บบของเมอื งในปจจุบนั ทังได้รูปแบบและการจดั ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาล มกี ารเก็บภาษีจากชาวเมอื ง การจดั การปองกันตนเอง มกี ารจดั ตังธนาคาร การจดั ตลาดนัด การกําหนดวนั ที ๑ มกราคม เปนวนั ขนึ ปใหม่ และอืนๆ รวมทังการ เกิดชนชนั กลางและการสรา้ งค่านิยมของชนชนั กลางทีเน้นบทบาทและหน้าทีทีมตี ่อสงั คม เชน่ การเสยี ภาษีอากรเพอื นํารายได้ไปบรหิ ารและปองกันเมอื ง ตลอดจนการใฝการศึกษาจนก่อให้เกิดมหาวทิ ยาลัยขนึ อีกทังยงั มกี ารสรา้ งมหาวหิ ารกอทิกทีมลี ักษณะโดดเด่นเฉพาะและพฒั นามาจากรูปแบบสถาปนาโรมนั และ ถ่ายทอดสนู่ านาประเทศทัวโลกพรอ้ มกับการเผยแผ่ครสิ ต์ศาสนาซงึ เปนทียอมรบั กันตังแต่ต้นครสิ ต์ศตวรรษที ๔ ในสมยั จกั รวรรดิโรมนั อิทธพิ ลของอารยธรรมตะวนั ตกเปนทีประจกั ษ์มากขนึ ในครสิ ต์ศตวรรษที ๑๖ เมอื ยุโรปก้าวเขา้ สยู่ ุคแห่งการค้นพบและการสาํ รวจ และการปฏิรูปศาสนา ทําให้ ชาวครสิ ต์มที างเลือกทีจะปฏิบตั ิตามกฎเกณฑ์ของนิกายโรมนั คาทอลิกทีเน้นพธิ กี รรมและยกยอ่ งให้สนั ตะปาปาเปนผู้นําสงู สดุ ในครสิ จกั ร หรอื นิการ โปรเตสแตนต์ทีมุง่ การมศี รทั ธาหรอื ความเชอื และยดึ ถือพระคัมภีรไ์ บเบลิ เปนหลักปฏิบตั ิสงู สดุ มกี ารจดั ตังอาณานิคมและสถาบนั การค้าขนึ ทังในทวปี เอเชยี และทวปี อเมรกิ า เกิดการแขง่ ขนั กันในการขยายอํานาจของชาติตะวนั ตกและการเกิดลัทธพิ าณิชยนิยมและการปฏิวตั ิทาวการค้าซงึ ทําให้ชอ่ งวา่ งระหวา่ ง คนรวยกับคนจนขยายตัวมากขนึ สว่ นอารยธรรมและภาษาตะวนั ตก ได้แก่ ภาษาสเปน โปรตเุ กส อังกฤษ และฝรงั เศส ก็ได้รบั การเผยแพรอ่ ยา่ งกวา้ งขวาง รวมทังสตั ว์ เชน่ มา้ ววั ลา และพชื เชน่ สม้ ขา้ วโอ๊ต และผลเบอรร์ ี เปนต้น อีกทังการเผยแผ่ครสิ ต์ศาสนานิกายโรมนั คาทอลิกและโปรเตสแตนต์ก็ใชม้ ชิ นั นารี และวธิ กี ารรุนแรง ขณะเดียวกันก็มกี ารละเมดิ วถิ ีชวี ติ ของคนท้องถินจนถึงขนั เชา้ ทําลายอารยธรรมดังทีเกิดขนึ กับชนพนื เมอื งในทวปี อเมรกิ า นอกจากนี ชาว ยุโรปยงั ได้นําเชอื โรคต่างๆ เชน่ โรคไขท้ รพษิ โรคมาลาเรยี และโรคหัด ไปติดชาวพนื เมอื งจนเกิดการล้มตายจาํ นวนมากอีกด้วย

44 นับตังแต่ครสิ ต์วรรษที ๑๗ เปนต้นมา ได้เกิดการเปลียนแปลงในยุโรปหลายด้าน ได้แก่ การปฏิวตั ิวทิ ยาศาสตร์ การปฏิวตั ิอุตสาหกรรม การปฏิวตั ิทาง ภมู ปิ ญญาในยุคภมู ธิ รรม และการปฏิวตั ิฝรงั เศส ซงึ ล้วนแต่ปูทางให้ยุโปก้าวสกู่ ารเปนผู้นําของโลกการปฏิวตั ิวทิ ยาศาสตรท์ ําให้สงั คมตะวนั ตกก้าวหน้าด้าน เทคโนโลยแี ละวทิ ยาการต่างๆ มากกวา่ ดินแดนอืนๆ ของโลก สว่ นการปฏิวตั ิอุตสาหกรรมก็ทําให้ยุโรปเปลียนแปลงจากสงั คมเกษตรกรรมเปนสงั คมอุตสาหกรรมทีทันสมยั ประชาชนมกี ารกินดีอยูด่ ีทําให้เศรษฐกิจแบบ ทนุ นิยมขยายตัวอยา่ งมากและคนจนถกู อัดเอาเปรยี บมากยงิ ขนึ ขณะเดียวกันก็เกิดลัทธสิ งั คมนิยมทีพยายามสรา้ งความทัดเทียมทางด้านเศรษฐกิจ ต่อมา ในปลายครสิ ต์ศตวรรษที ๑๙ เกิดลัทธจิ กั รวรรดินิยมใหมแ่ ละการล่าอาณานิคมโพน้ ทะเล ซงึ มผี ลต่อการขยายตัวของตลาดการค้าและการยาํ ยอี ํานาจ อธปิ ไตยของประเทศทีอ่อนแอกวา่ การเผยแพรว่ ฒั นธรรมและภาษาตะวนั ตกและความเชอื ในครสิ ต์ศาสนาทังนิกายโรมนั คาทอลิกและนิกายโปรเตสแตนต์ ให้กวา้ งขวางยงิ ขนึ ในครสิ ต์ศตวรรษที ๑๘ ยงั เปนยุคของการเรยี กรอ้ งสทิ ธิ เสรภี าพ และความเปนธรรมของนักปรชั ญาเมธี (philosophe) ในยุคภมู ธิ รรมทีนําไปสกู่ ารปฏิวตั ิ อเมรกิ ัน ค.ศ. ๑๗๗๖ และการปฏิวตั ิฝรงั เศส ค.ศ. ๑๗๘๙ ของชนชนั กลางเพอื ความเปนประชาธปิ ไตยตามแนวทางของเสรภี าพ ความเสมอภาค และ ภราดรภาพต่อมายงั นําไปสกู่ ารเกิดลัทธชิ าตินิยมทีชนชาติเดียวกันต้องการรวมดินแดนของตนให้เปนชาติขนึ หรอื กําจดั อิทธพิ ลของต่างชาติออกไป ในครสิ ต์ศตวรรษที ๒๐ มหาอํานาจยุโรปได้เกิดความขดั แยง้ กันในด้านผลประโยชน์และการพยายามจดั ระเบยี บโลกตามความต้องการของแต่ละประเทศจน เกิดสงครามโลกครงั ที ๑ (ค.ศ. ๑๙๑๔-๑๙๑๘) และสงครามโลกครงั ที ๒ (ค.ศ. ๑๙๓๙-๑๙๔๕) หลังสงครามโลกครงั ที ๒ สนิ สดุ ลง ได้มคี วามพยายามจดั ตัง องค์การระหวา่ งประเทศขนึ เพอื เสรมิ สรา้ งสนั ติภาพและความรว่ มมอื ของโลก โดยเฉพาะองค์การสหประชาชาติ (United Nations) ซงึ ยงั คงมบี ทบาทต่อ ประชาชาติในปจจุบนั นอกจากนี ผลของลัทธสิ งั คมนิยมทีต้องการสรา้ งสงั คมแห่งความเสมอภาคทีปราศจากชนชนั ก็ก่อให้เกิดการปฏิวตั ิรสั เซยี ค.ศ. ๑๙๑๗ ทําให้รสั เซยี เปลียนแปลงการปกครองเปนระบอบคอมมวิ นิสต์เปนประเทศแรกของโลก และได้ขยายตัวจากยุโรปไปสดู่ ินแดนต่างๆ ของโลกในเวลาต่อมา ขณะเดียวกันสหรฐั อเมรกิ าก็เรมิ มบี ทบาทในการเมอื งโลกมากขนึ ในชว่ งหลังสงครามโลกครงั ที ๒ ยุโรปต้องสญู เสยี สถานภาพการเปนมหาอํานาจอันดับหนึงของโลก และถกู แบง่ แยกออกเปนยุโรปตะวนั ตกทีมกี าร ปกครองในระบอบประชาธปิ ไตย และยุโรปตะวนั ออกปกครองในระบอบคอมมวิ นิสต์ อยา่ งไรก็ดี ประเทศยุโรปตะวนั ตกได้วางแผนพฒั นาตัวเองไปสคู่ วาม เปนอันหนึงอันเดียวกันเพอื รกั ษาความเปนประเทศผู้นําโลกไวโ้ ดยจดั ตังสหภาพยุโรปหรอื อียู (European Union : EU ) ขนึ ใน ค.ศ.๑๙๙๓ ในปจจุบนั ก็เปน แมแ่ บบให้แก่สมาคมประชาชาติแห่งเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้หรอื อาเซยี น (ASEAN ก่อตังใน ค.ศ. ๑๙๗๖) ในการรวมตัวเปนอันหนึงอันเดียวกันด้วยการ สรา้ งความเขม้ แขง็ ในด้านเศรษฐกิจของภมู ภิ าคของตนโดยมกี ารจดั ตังเขตการค้าเสรแี ห่งอาเซยี นหรอื อาฟตา (AFTA) และมกี ารประกาศกฎบตั รอาเซยี น (ASEAN Charter) ขนึ ใน ค.ศ. ๒๐๐๙ ทีจงั หวดั เพชรบุรี ประเทศไทย

Thanks for the content from https://sites.googl e.com/site/prawat isastryurop/home.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook