Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore E-book ระบบการทำฟาร์ม

E-book ระบบการทำฟาร์ม

Published by vanichb, 2018-03-28 06:01:41

Description: E-book ระบบการทำฟาร์ม

Search

Read the Text Version

ความหมายของระบบการทาฟาร์ม ระบบการทาาฟาร์ม (Farming Systems) เปน็ การทากิจกรรมการเกษตรท่ีเป็นระบบของเกษตรกรประกอบด้วยองค์ประกอบหรือกจิ กรรมต่างๆ หลายอย่างและมีความสัมพันธซ์ ่ึงกนั และกัน โดยการใช้ประโยชนจ์ ากทรพั ยากรและปจั จยัการผลติ ที่มีอยใู่ นครอบครวั ซึ่งมใิ ช่แค่พืช สตั ว์ ประมง และกจิ กรรมอื่นๆเท่านั้น แตร่ วมการทากจิ กรรมอน่ื ๆ ด้วย ไม่ว่าจะเปน็ ทางตรงหรือทางออ้ ม และอาจใชร้ ะยะเวลาสั้นหรอื ระยะเวลานาน ซง่ึ เป็นผลมาจากความร้คู วามเขา้ ใจและความสามารถ ตลอดจนพฤตกิรรมของเกษตรกรที่มตี ่อสภาพแวดลอม้ ทางธรรมชาตทิอยรู่ อบตวั ตัวเกษตรกร และการทาฟารม์มีปัจจัยตา่ ง ๆ มาเก่ียวข้อง ท้ังดา้ นเทคโนโลยีการผลิต สภาพชีวภาพ เศรษฐกจิ และสงั คม และสภาพส่งิ แวดลอ้ มตามธรรมชาติ

ระบบการทาฟารม์ (Farming Systems) หมายถงึ ระบบการเกษตรของเกษตรกรโดยการใช้ประโยชน์จากทรพยั ากรททม่ี ีอยใู่ นครัวเรือน มอี งค์ประกอบหรือกจิ กรรมหลาย ๆ อย่างแต่ละกิจกรรมมคี วามสมั พนั ธซ์ ง่ึ กนั และกนั และแต่ละกิจกรรมต่างก็มีปัจจยั หลายอย่างมาเกยี่ วขอ้ ง เช่น ปจั จยั ทางกายภาพชีวภาพ เศรษฐกจิ สงั คมและส่ิงแวดลอ้ มตามธรรมชาติการเปลยี่ นแปลงกจิ กรรม หนง่ึ จะมีผลกระทบไปถึงกิจกรรมอืน่ ๆ ดว้ ย ระบบการทาฟาร์มมิได้หมายถึงเพียงพืชต่าง ๆ มีสัตว์ต่าง ๆ ทีเ่ ลย้ี ง หรอื กิจกรรมอ่ืน ๆ ในฟารม์ เท่าน้ัน แต่หมายถงึ ขอบขา่ ยเชือ่ มโยงอันสลับซบั ซ้อนของ ดนิ พืช สตั ว์แรงงาน เครอื่ งมือและ ปัจจัยการผลิตตา่ งๆ ท่เี กษตรกรมอยู่รวมทง้ั อิทธพิ ลของสภาพแวดล้อมทางกายภาพ ชีวภาพ เศรษฐกจิ และสังคมซง่ึ เปน็ เง่อื นไขของเกษตรกรในการผลติ ตลอดจนการปรบั เทคโนโลยกี ารผลติ ใหเ้ หมาะสม และสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมดงั กลา่ ว เพื่อให้บรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ เป้าหมายและความพอใจของ เกษตรกร ตัวอย่างแผนภูมิแสดงความสมั พนั ธ์ของปัจจยั ต่าง ๆ ในระบบการทาฟารม์ เหน็ ได้วา่ ปจั จัยต่าง ๆ มสี ว่ นสมั พนั ธ์กนั เชน่ ผลผลติ จากพชืไร่เป็นอาหารสตั ว์ วัสดรุ องคอกมลู สตั ว์นามาใช้ทาปุ๋ย เป็นตน้ความหมายของคาที่เกี่ยวข้องกับระบบการทาฟารม์ พชื เป็นองคปร์ ะกอบสาคัญของระบบการทาฟารม์ ทง้ั นเี้ พราะพืชเปน็ อาหาร ยารักษาโรค ที่อยอู่ าศัยธาตอุ าหารบารุงดิน ซง่ึ เปน็ สว่ นสาคัญของสภาพแวดล้อมตามธรรมชาตมิ นษุ ย์พยายามที่ จะจดั ระบบการปลกู พืชใหส้ ะดวกและงา่ ยต่อการดูแลรักษาและเกบ็ เกี่ยวผลผลติ จึงไดเ้ ปลยี่ นระบบ จากการที่ปลอ่ ยให้พชื ที่ปลูกขึน้ ปะปนกนั อย่างไม่เป็น

ระเบยี บเช่นในสภาพธรรมชาติ มาเป็นการปลูก อย่างเปน็ แถวเปน็ แนวบ้างหว่านเป็นผนื เดียวกนั บ้าง ซึ่งสามารถแบ่งระบบการปลูกพืชตามวธิ กิ ารปลูกระบบการปลกู พชื (Cropping System) เปน็ กจิ กรรมเก่ียวกบั การผลติ พืชในฟารม์ หนงึ่ ๆ รวมไปถึงองค์ประกอบต่างๆ ท่ีจาเปน็ สาหรับการปลูกพชื และความสัมพนั ธร์ ะหว่างพืชกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งปจั จุบันมีลักษณะของระบบการปลกูพชื แบบตา่ ง ๆ มากมาย แบ่งระบบการปลกู พชื ไดก้ ว้าง ๆ ออกเปน็ 5 ระบบ คือ 1. ระบบการปลกู พืชร่วม (Intercropping) หมายถงึ ระบบการปลกู พชื ต้งั แต่สองชนดิ รว่ มกัน ในเวลาเดยี วกันหรอื เวลาใกลเ้ คียง กนั อาจเปน็ รูปแบบใดก็ไดใ้ น 2 รูปแบบ ดังนี้ 1.1 การปลกู แบบแซมเปน็ แถว (Row Intercropping) หมายถงึ ระบบการ ปลกู พชื รว่ มที่มอี ยา่ งนอ้ ยหน่งึ ชนิดทป่ี ลกู เปน็ แถว ทเี่ หลอื นอกจากน้ีอาจจะปลกูเปน็ แถวสลับกบั พชื แรกหรือปลูกไมเ่ ปน็ แถวอย่ใู นระหว่างแถวของพชื แรกกไ็ ด้ 1.2 การปลกู แบบผสม (Mixed Intercropping) หมายถึง การปลูกพชื รว่ มทไ่ี มเ่ ปน็ แถวเป็นแนวโดยปลูกผสมกันไปตามความเหมาะสมของสภาพทีต่ ้องการตามธรรมชาตเิ ช่นเดียวกบั สภาพปา่ ไมใ้ นธรรมชาติ การปลกู พืชร่วมในเวลาเดยี วกัน ใชเ้ คร่อื งหมาย + แสดงการร่วมของระบบ เชน่ ขา้ วโพด + ถั่วลสิ งหมายถงึ การปลูกขา้ วโพดร่วมกับถั่วลสิ งในเวลาเดยี วกนั เปน็ ต้น 2. ระบบการปลูกแบบรบั ชว่ ง (Relay Cropping) หมายถึง ระบบการปลูกพชื ทสี่ องขณะท่ีพชื แรกยัง ไม่เกบ็ เก่ยี วและหลงั จากพชื แรก ออกดอก โดย ปลูกในพืน้ ทีเ่ ดียวกนั ซ่ึงอาจปลกูระหว่างแถว (inter – row) หรอื ปลกู ผสม (Mixed) กไ็ ด้ การปลูกแบบรับชว่ งร่วมกนั ใช้เครอื่ งหมาย – แสดงการร่วมในระบบ เช่น ขา้ ว – ถั่ว เหลือง หมายถงึ การปลกู ข้าวแลว้ รับช่วงโดยการ ปลกู ถ่ัวเหลืองกอ่ นการเก็บเก่ยี วขา้ ว เป็นต้น

3. การปลกู พชื หมนุ เวยี น (Crop Rotation) การปลูกพืชสองชนิดหรือมากกว่าลงบนพื้นที่ เดยี วกัน แต่ว่าปลกู ไมพ่ รอ้ มกนั โดยมีการจัด ลาดบั พืชท่ีปลกู อย่างมีระเบยี บ(Regular Sequence) ชนิดของพชื และหลกั ปฏบิ ตั ิในการปลกู พืชหมนุ เวียน - เลอื กพชื ให้เหมาะสมกับดิน ภมู ิประเทศและภูมิอากาศ พืชทเ่ี ลอื กควรสามารถปรับ ตัวเขา้ กบั สภาพแวดลอ้ มได้เช่น ไม่เป็นพืชทต่ี อ้ งมีการพรวนดินบอ่ ยครงั้ - ในระบบการปลูกพชื หมนุ เวียนตอ้ งมีพืชตระกลู ถวั่ หรือตระกูลหญ้า ซง่ึ มีการเจริญเติบโตอย่างหนาแน่น เพ่อื เปน็การรกั ษาหรือเพิ่มปรมิ าณไนโตรเจนและอนิ ทรียวตั ถุในดิน เพราะพชื บางชนิดทปี่ ลูกในระบบพชื หมนุเวียน จะนาไนโตรเจนจากดินไปใชเ้ ปน็ จานวนมากในแต่ละปี เช่น ขา้ วโพด มันฝรง่ั ยาสบู ฝา้ ยเปน็ ต้น ตามปกติ ในระบบการปลูกพืชหมุนเวยี นจะมกี ารปลูกพชื ตระกลู ถวั่ ผสมกับหญ้า ตัง้ แต่ 1 ใน 4 ถึง 1 ใน 3 ของพนื้ ท่ีปลูกพชื หมุนเวยี นหรือมากกว่า - การเลือกลาดับพชื การจัดลาดับพืชท่ีปลูกก่อนหลังจะมอี ิทธพิ ลต่อผลผลติ พืชทปี่ ลกู ตามมา เช่นข้าวโพดที่ปลกู ตามหลังพชื ตระกูลถว่ั ทม่ี รี ากหยั่งลกึ ทาให้ข้าวโพดไดผ้ ลผลติ สูงกวา่ เพราะ รากสามารถชอนไชไปในดนิ ได้มากกว่าและได้รบั ไนโตรเจนจากเศษเหลือของพืชตระกลู ถัว่ การจัดลาดับพชื ในระบบพชื หมนุ เวียนมีความสาคญั ในเขตพ้ืนที่ค่อนขา้ งแหง้ แล้ง เพราะจะทาให้มคี วามชื้นในดินเหลืออยู่แตกต่างกนั แล้วแต่ชนิดของพชื ทีม่ ีระบบรากแตกต่างกัน เช่นข้าวโพดจะมีรากต้นื เมอ่ื เปรยี บเทยี บกบั ข้างฟ่าง พืชที่ปลกู หลงั ขา้ วโพดจงึ มปี ริมาณความช้ืนท่เี ปน็ ประโยชน์ เหลือทจี่ ะใช้มากกวา่ พชื ทปี่ ลกู ตามข้าวฟ่าง ทาให้ผลผลติ ของพืชทป่ี ลูกตามขา้ วโพดสูงกว่าพชื ทีป่ ลูก ตามขา้ วฟ่าง เป็นตน้

4. ระบบการปลกูแบบทวิกสิกรรมหรือแบบรวม (Double of Sequential Cropping) หมายถงึ ระบบการปลกู พชื แรกจนเก็บเกี่ยวแลว้ จึงปลูกพืชทส่ี องตามทนั ทหี รือเวน้ ช่วงไม่นานนัก โดยเฉพาะในสภาพของพื้นที่ทยี่ งั มีความชืน้ และนา้ ในดนิ เหลือจากการปลูกพชื แรกเพียงพอต่อการเจริญเติบโตและให้ผลผลติ ของพืชที่สอง5. ระบบการปลกู แบบตา่ งระดับ (Multi – Storeyed Cropping) หมายถงึ การปลกู พชื ท่มี คี วามสูงและความต้องการแสงสว่างแตกต่างกันในพื้นทีเ่ ดียวกัน เช่น พืชตระกลู ถว่ั โกโก้ กาแฟ พรกิ ไทย กานพลูและมะพร้าว ในพ้ืนท่แี ละในเวลาเดยี วกัน ซ่ึงแต่ล่ะชนิดมคี วามสูงและความต้องการแสงแดดแตกต่างกันและสามารถอยรู่ ่วมกนั ได้6. ระบบการปลกู แบบราทูน (Ratoon Cropping) หมายถึง การใชพ้ ชื ทส่ี ามารถจะยดื ระยะเวลาให้ผลผลิตไดม้ ากกวา่หนง่ึ ฤดกู าลโดยไมต่ อ้ งมีการปลูกใหม่ โดยใช้วิธกี ารตัดให้เหลือตอซึ่งจะแตกก่งิ กา้ นและใหผ้ ลได้ใหม่ เชน่ ฝา้ ย ออ้ ย ขา้ วฟ่าง สบั ปะรด ละหุง่ เป็นตน้ประเภทของระบบการทาฟาร์ม การทากิจกรรมการเกษตรของเกษตรกรมคี วามแตกตา่ งกันในแตล่ ะครัวเรอื น มีการจัดสรรทรัพยากรที่มอี ยูอ่ ยา่ งมีระบบ ซง่ึ เกิดจากการเรียนรแู้ ละประสบการณ์ การจัดระบบการทาฟาร์ม โดยการปลกู พืชหลายชนดิ ในพื้นที่เดียวกันย่อมแกง่ แยง่ ปัจจยั สาคญั ในการเจริญเตบิ โตร่วมกนั การใช้วิธีใดก็ตามทเ่ี ป็นการลดการแข่งขนั การเจริญเติบโตของพชื ดงั กลา่ วให้นอ้ ยท่สี ดุ และการใหป้ ระโยชน์ซึ่งกันและกัน ตลอดจนการให้ประโยชน์แกเ่ กษตรกรมากท่สี ุด นับวา่ เปน็ การจดั ระบบการทาฟาร์มทด่ี ี ถ้าพิจารณาระบบการทาฟาร์ม(Farming Systems) ตามลกษั ณะของพืชทป่ี ลกู สามารถแบ่งระบบการทาฟารม์ ได้ 4 ประเภทคือ 1. ระบบการทาฟาร์มท่มี ขี า้ วเป็นพืชหลกั (Rice Base Farming System) เปน็ ระบบการทาฟารม์ ในสภาพทร่ี าบลุ่มท่มี ีการปลกู ข้าวเปน็ พืชหลกั ในฤดูฝนตามด้วยพืชอื่น ๆ (พชื ไร่ พชื ผกั กอ่ นหรือหลังการปลกู ข้าว) ตัวอย่าง การปลกู พืชที่มีขา้ วเป็นพืชหลัก ข้าวนาปี – ข้าวนาปรงั ขา้ วนาปี – พืชผกั ถว่ั เขยี ว – ขา้ วนาปี – ขา้ วโพดฝักออ่ น งา – ขา้ วนาปี – ถ่วั เหลอื ง ข้าวนาปี – ถัว่ ลิสง – ข้าวโพดหวาน

2. ระบบการทาาฟาร์มท่ีมพี ืชไรเ่ ป็นพืชหลัก (Field Crop Base Farming System) เปน็ ระบบการทาาฟารม์ ในท่ดี อนซึง่เกษตรกรปลูกพืชไรเ่ ปน็ พชื หลักแลว้ ตามด้วยพชื อื่น ๆ

ตัวอยา่ ง การปลูกพืชท่ีมีพชื ไรเ่ ปน็ พืชหลกั ข้าวโพด – ถั่วลสิ ง ข้าวโพด – ขา้ งฟ่าง ขา้ วโพดฝกั ออ่ น – ถัว่ เหลอื ง – ขา้ วโพด งา – ขา้ วโพด – ข้าวฟา่ ง 3. ระบบการทาฟาร์มที่มพี ชื สวนเป็นพืชหลัก (Perennial Crop Base Farming System) เป็นระบบการทาฟาร์มทั้งในสภาพท่ดี อนและที่ลุ่ม โดยมีพชื สวนปลูกเป็นพชื หลัก ซ่งึ ในสภาพท่ลี ุม่ จาเป็นต้องปลกู แบบยกรอ่ ง ส่วนในสภาพทด่ี อนไม่จาเปน็ ตอ้ งปลูกแบบยกรอ่ ง ในการจัดระบบการทาฟารม์ ท่ีมีพชื สวนเปน็ หลักนั้น นยิ มปลูกไมผ้ ลเป็นพืชหลักและปลกูไม้ผลพืชผัก พชื ไร่ เปน็ พืชแซม ซึ่งพืชแซมเหล่านส้ี ว่ นใหญจ่ ะเปน็ พชื ที่สามารถทาเงินใหเ้ กษตรกรภายในระยะเวลาอนั สนั้ ไม้ผลท่ีแนะนาใหป้ ลกู เป็นพืชหลัก ไดแ้ ก่ สม้ โอกระท้อน ขนุน มะขามหวาน มะมว่ ง มะปรางหวาน ลองกอง มงั คุด ไมผ้ ลทแ่ี นะนาให้ปลูกเป็นพืชแซม ไดแ้ ก่ ไมผ้ ลท่ีกล่าวในข้างต้น แตป่ ลกู ระยะชิดเพอ่ื การขยายพันธ์ุและพุทรา นอ้ ยหนา่ ฝร่งั กลว้ ย มะละกอ พชื ผกั ทแ่ี นะนาใหปล้ กูเป็นพืชแซม ไดแ้ ก่ มะเขือ ฟกั แตงกวา มะระ ถว่ั ฝกั ยาว ข้าวโพดฝักอ่อนแตงไทย พริก ตะไคร้ โหระพา สะระแหน่ พืชไรท่ ่แี นะนาให้ปลกู เป็นพชื แซม ไดแ้ ก่ ถวั่ เหลืองรับประทานฝกั สด ถ่วั ลิสง 4. ระบบการทาฟารมแ์ บบไรนา่ สวนผสมและการเกษตรแบบผสมผสาน (Mixed Farming andIntegrated Farming System) เปน็ ระบบการเกษตรที่มี การปลูกพืชหรือเลี้ยงสตั ว์ ประมง และกจิ กรรมอน่ื ๆ หลายชนิดในฟารม์ เพ่อื ตอบสนองต่อการบรโิ ภค เพ่อื ลดความเส่ียงจากราคาผลผลตทิ ่ีไม่แนน่ อน อาจมีการจัดการให้กจิ กรรมการผลติผสมผสานเก้ือกูลกนั เพ่อื ลด ตน้ ทนุ การผลิตและคานงึ ถึงสภาพแวดล้อม เชน่ การปลกู ไม้ยนื ตน้ ในนาการเลยี้ งหมคู วบคู่กับ การเลยี้ งปลาในนาข้าว เป็นตน้

รปู แบบระบบการเกษตรแบบยัง่ ยนื ทเ่ี หมาะสมเกษตรกรรมยงั่ ยืน (Sustainable agriculture) หมายถงึ การทาการเกษตรทต่ี อบสนองต่อความต้องการของผูบ้ รโิ ภคและเปน็ มติ รกบั สภาพแวดล้อม และความสมดุลของสภาพธรรมชาติหมายถงึ ระบบการผลติ ทางการเกษตรหรอื ระบบฟารม์ ในรปู แบบต่างๆ ทเ่ี หมาะสมกับภมู ินเิ วศของแต่ละพ้ืนที่จัดเป็นระบบการผลติ ท่ีเหมาะสม (Appropriate production system) กับสภาพทรัพยากรและส่ิงแวดล้อมในไร่นาทแี่ ตกต่างกันออกไป ซ่ึงรูปแบบของระบบการผลติทางการเกษตรแบบยั่งยนื น้นั จาแนกออกเป็นลกั ษณะต่าง ๆ ตามองคป์ ระกอบท่ีสาคัญและมหี ลากหลายรูปแบบหรือชอื่ เรียกทีไ่ ม่เหมอื นกนั กไ็ ด้ตามแต่ลกั ษณะการผลิตวา่ จะเน้นหนกั ด้านใด หรือมีจดุ เดน่ ทีต่ ่างกันออกไปอยา่ งไรรูปแบบหลกั ๆ ทชี่ ดั เจนและเป็นทเ่ี ข้าใจกนั ทว่ั ไป ได้แก่1. เกษตรผสมผสาน (Integrated farming) เนน้ กิจกรรมการผลิตมากกวา่ สองกจิ กรรม ขึ้นไปในเวลาเดียวกันและกจิ กรรมเหลา่ นีเ้ กือ้ กลู ซ่งึ กนั และกัน เปน็ การสรา้ งมลู คา่ เพิม่ ให้มากขน้ึ จากการใชป้ ระโยชน์ทรพั ยากรท่ดี ินที่มีจากดั ในไร่นาใหเ้ กิดประโยชน์สงู สุด จุดเด่น คอื เปน็ การจัดการความเสี่ยง (Risk management)และ การประหยัดทางขอบขา่ ย(Economy of scope)

2. เกษตรอนิ ทรยี ์ (Organic farming) เน้นหนกั การผลิตท่ไี มใ่ ชส้ ารอนนิ ทรยี ์เคมหี รือเคมีสงั เคราะห์แต่สามารถใช้อินทรีย์เคมีได้ เช่น สารสกัดจากสะเดา ตะไคร้หอม หรือสารสกัดชวี ภาพ เพอื่ เพมิ่ ความอุดมสมบูรณแ์ กท่ รพั ยากรดิน จดุ เดน่ คือ เป็นการสรา้ งความปลอดภัยด้านอาหาร (Food safety) ใหแ้ ก่ผู้บรโิ ภค 3. เกษตรธรรมชาติ (Natural farming) เน้นหนักการทาการเกษตร ท่ีไมร่ บกวนธรรมชาติหรอื รบกวนให้น้อยท่ีสุดท่จี ะทาได้ โดยการไมไ่ ถ พรวน ไมใ่ ช้สารเคมีไม่ใชป้ ุ๋ยเคมีและไม่กาจดั วัชพืช แตส่ ามารถมีการ คลุมดนิ และใช้ปุ๋ยพชื สดได้ จุดเดน่ คือ เปน็ การฟ้ืนฟคู วามสมดลุ ของระบบนเิ วศ (Rehabilitation of ecological balance) และลดการพึง่ พาปัจจยั ภายนอก

4. เกษตรทฤษฎีใหม(่ New theory agricultural) เน้นหนกั การจัดการทรพั ยากรน้าในไร่นาใหเ้ พยี งพอเพอื่ ผลิตพืช อาหาร โดยเฉพาะข้าวเอาไว้บรโิ ภคในครัวเรอื น รวมท้งั มกี ารผลิตอ่ืน ๆ เพอื่ บริโภคแล่ะจาหน่ายสว่ นทีเ่ หลอื แก่ตลาดเพือ่ สร้างรายไดอ้ ยา่ งพอเพียง จุดเดน่ คอื เปน็ การสรา้ งความม่นั คงด้านอาหาร(Food security) ซงึ่ เป็นข้ันพื้นฐานของเศรษฐกจิ พอเพยี งระดบั ครวั เรอื น 5. วนเกษตร (Agroforestry) เน้นหนกั การมีต้นไมใ้ หญ่ และพชืเศรษฐกจิ หลายระดบั ท่ีเหมาะสมกับแตล่ ะพนื้ ท่เี พอ่ื การใช้ ประโยชนป์ ่าไม้ของพชื หรอื สัตวช์ นดิ ต่าง ๆ ที่เก้อื กูลกนั ท้ังยงั เปน็ การเพิ่มพน้ื ท่ีของทรพั ยากรป่าไม้ทม่ี ีจากดั ได้อีกทางหนงึ่ จุดเดน่ คอื เปน็ การคงอยรู่ ่วมกนั ของปา่ และการ เกษตรทงั้ ยงั เพิม่ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook