Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ร่ายยยยย

ร่ายยยยย

Published by TopTap Nuttawat, 2022-09-28 10:11:53

Description: ร่ายยยยย

Search

Read the Text Version

หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการอ่านและ การเขียนร้อยกรองไทย รหัส 1541214 เนื้อหาประกอบไปด้วยความรู้ เรื่องคำประพันธ์ประเภทร่าย รวมไปถึงประวัติความเป็นมาของร่าย ฉันทลักษณ์ของร่ายและเทคนิครูปแบบการเเต่งร่ายโดยจุดประสงค์ของ ทางคณะผู้จัดทำคือต้องการศึกษาค้นคว้าเรื่องคำประพันธ์ประเภทร่าย รวมถึงรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับร่าย และในการจัดทำผลงานชิ้นนี้ ต้องขอบพระคุณอาจารย์ ดร. จนัญญา งามเนตร อาจารย์ประจำ รายวิชาการอ่านและการเขียนร้อยกรองไทย ที่ได้คอยช่วยให้คำปรึกษา และแนวทางในการจัดทำ และทางคณะผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผล งานชิ้นนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ต้องการศึกษาเนื้อหาดังกล่าวเป็นอย่างดี คณะผู้จัดทำ

ความหมายของร่าย 4 ที่มาของร้อยกรองไทยประเภทร่าย 6 ประเภทของร้อยกรองไทยประเภทร่าย 9 ข้อบังคับของร้อยกรองไทยประเภทร่าย 10 ร่ายยาว 11 ร่ายดั้น 14 ร่ายโบราณ 17 ร่ายสุภาพ 19 ลิลิต 22 ความหมายของลิลิต 23 ลิลิตดั้น 25 ลิลิตโบราณ 30 ลิลิตสุภาพ 33 สรุป 36 บรรณานุกรม 37

ร่าย 4 ร่าย พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 (ราชบัณฑิตยสถาน. 2556 : 1000) ให้ความหมายของร่ายไว้ดังนี้ “น. ชื่อคำประพันธ์ ประเภทร้อยกรองแบบหนึ่ง เช่น ร่ายยาว ร่ายสุภาพ ร่ายดั้น ร่าย โบราณ” บุญเหลือ ใจมโน (2549 : 131) ให้ความหมายของร่ายว่า คือ คำประพันธ์ที่บรรยายเรื่องราว ไม่กำหนดจำนวนบาทหรือบท (ยกเว้น ร่ายโบราณ ร่ายสุภาพ ที่กำหนดจำนวนคำในแต่ละวรรค วรรคละ 5 คำ จบด้วยโคลง ) วิเชียร เกษประทุม (2550 : 93) กล่าวว่า ร่าย หมายถึง คำ ประพันธ์ชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่กำหนดว่ามีบทหรือบาทเท่านั้นเท่านี้ จะแต่ง ยาวเท่าไหร่ก็ได้ เป็นแต่ต้องเรียงคำให้สอดคล้องกันตามข้อบังคับ เท่านั้น

ร่าย 5 ร่าย กำชัย ทองหล่อ (2554 : 564) อธิบายว่า “ร่ายเป็นชื่อของคำ ประพันธ์ชนิดหนึ่งซึ่งไม่กำหนดว่าจะต้องมีจำนวนบทหรือบาทเท่าใด จะแต่งให้ยาวเท่าไรก็ได้ เพียงแต่ต้องเรียงคำให้คล้องจองกันตามข้อ บังคับเท่านั้น” สรุป ร่ายเป็นร้อยกรองไทยประเภทหนึ่งที่แต่งง่าย ที่สุด มีกฎข้อบังคับทางฉันทลักษณ์น้อยกว่าร้อยกรองไทยประเภทอื่น เพราะไม่ได้กำหนดจำนวนบาทและจำนวนวรรคในแต่ละบท ลักษณะ การส่งสัมผัสจะพิเศษกว่าร้อยกรองไทยประเภทอื่น ๆ เพราะร่ายจะส่ง สัมผัสระหว่างวรรคต่อกันไปทุกวรรค มีร่ายบางชนิดที่กำหนดจำนวน คำในแต่ละวรรคและต้องจบบทด้วยโคลง แต่บางชนิดไม่กำหนด จำนวนคำในวรรค กำหนดเฉพาะสัมผัสระหว่างวรรคและไม่ต้องจบบท ด้วยโคลง

ร่าย 6 ร่าย ร้อยกรองไทยประเภทร่ายมีมาตั้งแต่เมื่อใด ไม่ปรากฎหลักฐานแน่ชัด เมื่อมีภาษาเขียนและ จารึกไว้ในหลักศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงก็มีร่ายปะปนอยู่ด้วยแล้ว ซึ่งแสดงว่าร้อยกรองประเภทร่ายได้เกิดขึ้นก่อนศิลาจารึกพ่อขุน รามคำแหงในสมัยสุโขทัย ดังที่พระยาอุปกิตศิลปสารได้กล่าวไว้ใน หนังสือหลักภาษาไทย : ฉันทลักษณ์ (2539 : 417) ว่า “คำร่ายเป็นคำกานท์เก่าแก่ของไทย เราคู่กับคำโคลง กล่าวคือ คำร่าย เป็นคำขับร้องกันสามัญทั่วไป” (กานท์ แปลว่า บทกลอน เป็นคำโบราณ) พระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ) สันนิษฐานว่าร่ายเป็นของ ไทยแท้เเน่นอนเพราะคนไทยนิยมพูดเป็นเสียงสัมผัสคล้องจองปรากฏ ประโยคคล้องจองในสำนวนศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง กาพย์พระมุนี เดินดงของภาคเหนือและคำแอ่วของภาคตะวันออกเฉียงเหนือนอกจาก นี้ยังสันนิษฐานว่า คำว่า \"ร่าย\" ดัดมาจาก \"ร่ายมนต์\" สังเกตจาก โองการแช่งน้ำที่มีร่ายดั้นปรากฎเป็นเรื่องแรกและมีเนื้อหาเป็นคำ ประกาศในการดื่มน้ำสาบาน

ร่าย 7 สันนิษฐานว่า ร่ายยาวเป็นร่ายที่เกิดขึ้นในอันดับแรกสุดต่อมา จึงเกิด \"ร่ายโบราณ\" ซึ่งกำหนดจำนวนพยางค์และจุดสัมผัมคล้องจอง ตายตัวและตามมาด้วย \"ร่ายดั้น\" ซึ่งมีการประยุกตกฏเกณฑ์ของโคลง ดั้นเข้ามาสุดท้ายจึงเกิด \"ร่ายสุภาพ\" ซึ่งมีการประยุกตกฏเกณฑ์ของ โคลงสุภาพเข้ามา ที่มาของร้อยกรองไทยประเภทร่ายอาจมี 2 ทาง คือ วรรณกรรมมุขปาฐะ เป็นวรรณกรรมเรื่องเล่าด้วยปาก ไม่มีการ จดบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร สืบต่อหรือสืบทอดด้วยการจำ แล้วเอาไปเล่าต่อ ๆ กัน จากปากหนึ่งสู่ปากหนึ่ง ร่ายใช้เป็นคำร้องกันโดยทั่วไป ในเพลงกล่อมเด็ก เพลง ประกอบการละเล่นของเด็ก และเพลงอื่น ๆ ซึ่งมี ลักษณะสัมผัสแบบร่ายคือมีสัมผัสต่อเนื่อง ระหว่างวรรค แต่ละวรรคจะเป็นข้อความ สั้น ๆ ดังต่อไปนี้ เพลงรีรีข้าวสาร “รีรีข้าวสาร สองทะนานข้าวเปลือก เลือกท้องใบลาน คดข้าวใส่จาน เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน พานเอาคนข้างหลังไว้”

ร่าย 8 ร้อยกรองไทยประเภทร่ายอาจจะมีที่มาจากกาพย์ “วชิรปันตี” และกาพย์ “มหาวชิรปันตี” ในคัมภีร์กาพย์สารวิลาสินีของอินเดีย เพราะ มีลักษณะสัมผัสคล้ายกันมากคือกาพย์วชิรปันตีมีคำ วรรคละห้าคำกำหนดให้คำสุดท้ายวรรคข้างหน้าส่ง สัมผัสไปยังคำที่สามวรรคต่อไปทุกวรรคส่วนกาพย์ มหาวิรปันตีมีคำวรรคหน้าห้าคำ วรรคหลัง หกคำ กำหนดให้คำรับสัมผัสเป็นคำ ที่สามในวรรคที่มีห้าคำและ คำที่สี่ในวรรคที่มีหกคำ ร้อยกรองไทยประเภทร่ายนั้น กวีนิยมแต่งกันมาตั้งแต่โบราณกาล เพราะมีปรากฏในวรรณคดีไทยสมัย กรุงศรีอยุธยาตอนต้น ได้แก่ ลิลิตโองการแช่งน้ำ มหาชาติคำหลวง ลิลิตยวนพ่าย ลิลิตพระลอ และ ในวรรณคดีศาสนาคือ ร่ายยาวมหาชาติ กลอนเทศน์ หรือร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก กาพย์มหาชาติ และวรรณคดีไทย ประเภทโคลงที่ใช้ร้อยกรองไทยประเภทร่ายเป็นบทนำต้นเรื่อง ได้แก่ โคลงกำสรวล โครลงนิราศนรินทร์ เป็นต้น

ร่าย 9 1. ร่ายยาว วรรณกรรมที่แต่งด้วยร่ายยาว ได้แก่ มหาชาติคำหลวง มหาชาติกลอน เทศน์ หรือร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก กาพย์มหาชาติ นันโทปนันทสูตร คำหลวง บทเทศน์หรือบททำขวัญต่าง ๆ เช่น บายศรีสู่ขวัญเด็ก บททำ ขวัญนาค เป็นต้น 2. ร่ายโบราณ วรรณคดีที่แต่งด้วยร่ายโบราณเป็นวรรณคดีโบราณ คือ ลิลิตพระลอ 3. ร่ายดั้น วรรณคดีไทยที่แต่งด้วยร่ายดั้นได้แก่ ลิลิตยวนพ่าย กำสรวลโคลงดั้น ทั้ง 2 เรื่องนี้เป็นวรรณคดีไทยสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น 4. ร่ายสุภาพ วรรณคดีไทยที่แต่งด้วยร่ายสุภาพได้แก่ ลิลิตพระลอ ซึ่งสันนิษฐานว่าแต่ง ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น

ร่าย 10 คณะ หมายถึง ข้อบังคับเกี่ยวกับส่วนประกอบของร่ายแต่ละชนิดว่ามีส่วนประกอบ อย่างไร บทหนึ่ง ๆ กำหนดจำนวนวรรค จำนวนคำเท่าใด ผู้แต่งจะแต่งกี่วรรคก็ได้ ร่ายบางชนิดกำหนดจำนวนคำในแต่ละวรรคไว้กว้าง บางชนิดก็กำหนดจำนวนคำ ในวรรคไว้แน่นอน เช่น ร่ายสุภาพกำหนดจำนวนคำไว้ 5 คำทุกวรรค สัมผัส หมายถึง ข้อบังคับการใช้ให้คล้องจองกันในร้อยกรองไทยทุกประเภทซึ่ง สำคัญที่สุด เพราะถ้าขาดสัมผัสงานเขียนนั้นก็ไม่เป็นร้อยกรอง สัมผัสโดยทั่วไป ของร่าย คือ กำหนดให้มีคำส่งสัมผัสท้ายวรรคและมีคำรับสัมผัสต้นวรรคถัดไป เช่นนี้จนจบ คำเอกคำโท หมายถึง การกำหนดให้ใช้คำเอกคำโทคำเอกคือพยางค์หรือคำที่มี รูปวรรณยุกต์เอกกำกับหรือคำเอกโทษ หรือคำตายทุกคำที่ไม่มีรูปวรรณยุกต์ กำกับ ส่วนคำโทคือพยางค์หรือคำที่มีรูปวรรณยุกต์โทกำกับหรือคำโทโทษ โดย ไม่ได้กำหนดว่าคำเอกคำโทนั้นจะเป็นเสียงวรรณยุกต์ใด คำเอกคำโทเป็นข้อ บังคับของโคลงและร่ายบางชนิดที่กำหนดให้จบบทด้วยโคลง พยางค์หรือคำ หมายถึง ข้อบังคับจำนวนพยางค์หรือคำที่ใช้ในร้อยกรองไทยใน ความหมายของร้อยกรองไทยจะเรียกหนึ่งพยางค์เป็นหนึ่งคำเสมอ ถ้าเป็นคำลหุ 2 คำ อาจนับเป็น 1 คำก็ได้ เช่น อดิศร นับเป็น 2 คำ และคำ 2 พยางค์ที่เขียนไม่ ประวิสรรชนีย์ เช่น ขจร พะยอม ทหาร ประทีป นับเป็น 1 คำ หรือ 2 คำก็ได้ คำสร้อย หมายถึง คำที่ใช้ต่อท้ายวรรค ท้ายบท หรือท้ายบทร้อยกรองไทยประเภท โคลงและร่าย คำสร้อยจะต้องเป็นคำเป็นไม่ใช่คำตาย ตามปกติจะมีคำซ่งมีความ หมายอยู่ข้างหน้า แต่เนื้อความอาจไม่สมบูรณ์หรือจำนวนคำไม่ครบตามที่บัญญัติ ไว้ในร้อยกรองไทยประเภทโคลงและร่าย จึงต้องเติมคำสร้อยอีก 1 หรือ 2 คำ เพื่อให้ครบเนื้อความและจำนวนคำที่กำหนด ทั้งยังเพิ่มสำเนียงการอ่านให้

ร่าย 11

ร่าย 12 ร่ายยาวเป็นร่ายที่ไม่บังคับจำนวนคำในแต่ละวรรคเหมือนร่ายชนิดอื่น คำในแต่ละวรรคจึงอาจมีมากบ้างน้อยบ้างขึ้นอยู่กับเนื้อความ มีลักษณะ บังคับทางฉันทลักษณ์ ดังนี้ “โภ เวสฺสนฺตร ดูกรมหาเวสสันดร อย่าอาวรณ์โว้เว้ทำเนาเขา ข้ากับเจ้า เขาจะตีกันไม่ต้องการ ให้ลูกเป็นทานแล้ว ยังมาสอดแคล้วเมื่อภายหลัง ท้าวเธอจึ่งตั้งพระสมาธิระงับดับพระวิโยค กลั้นพระโศกสงบแล้ว พระ พักตร์ก็ผ่องแผ้วแจ่มใส ดุจทองอุไรทั้งแท่ง อันบุคคลจะแกล้งหล่อแล้วมา วางไว้ในพระอาศรม ตั้งแต่จะเชยชมพระปิยบุตรทานบารมี แห่งหน่อพระ ชินศรีเจ้า นั้นแล” (มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์กุมาร)

ร่าย 13 รูปแบบคณะ ร่ายยาวไม่บังคับจำนวนคำในวรรค แต่ละวรรคให้มีจำนวนคำระหว่าง 5 - 15 คำ และ ไม่บังคับจำนวนวรรคในบท บทหนึ่งจะแต่งให้ยาวกี่วรรคก็ได้ รูปแบบสัมผัส กำหนดให้คำสุดท้ายวรรคข้างหน้าส่งสัมผัสไปยังคำใดคำหนึ่งในวรรคถัดไป ยกเว้นคำ สุดท้ายของวรรค เพราะคำสุดท้ายของวรรคจะต้องส่งสัมผัสไปยังวรรคต่อไป การส่ง สัมผัสให้ส่งสัมผัสต่อ ๆ กันไปทุกวรรค การแต่งร่ายยาวนิยมให้มีสัมผัสในเป็นสัมผัส อักษร เมื่ออ่านแล้วจะทำให้เกิดความรู้สึกมีชีวิตชีวาหรือเห็นภาพพจน์ใด้ชัดเจน รูปแบบคำสร้อย เมื่อแต่งร่ายยาวจบแต่ละบทตอนหนึ่งจะใช้คำสร้อยลงท้ายด้วยคำว่า นั้นแล นั้นเถิด ฉะนี้แล ด้วยประการฉะนี้ คำว่านั้นแล นิยมใช้เมื่อสุดกระแสความตอนหนึ่ง ๆ หรือจบ เรื่อง เมื่อลง “นั้นแล” ครั้งหนึ่ง เรียกว่า “แหล่” หนึ่ง ซึ่งเรียกย่อมาจากคำว่า “นั้นแล” นั่นเอง เพราะทำนองจะได้ยินเสียงเป็น “นั้นแหล่” ร่ายที่ประดิษฐ์ขึ้นใหม่ (ร่ายคำหลวง) กรมพระนราธิปประพันธ์พงค์ ทรงนิพนธ์ “ลิลิตคำหลวง” โดยใช้ร่ายยาวในการแต่ง และลงท้ายด้วยโคลงสองสุภาพ แทนร่ายสุภาพ ทรงให้ชื่อร่ายชนิดนี้ว่า “ร่ายคำหลวง”

ร่าย 14

ร่าย 15 ร่ายดั้นปรากฏในวรรณคดีไทย เรื่อง ลิลิตยวนพ่าย เป็นครั้งแรก และมีปรากฏในกำสรวลโคลงดั้น วรรณคดีทั้ง 2 เรื่อง คือ ลิลิตยวนพ่ายและกำสรวลโคลงดั้น เป็นวรรณคดีไทยสมัยกรุงศรีอยุธยาตอน ต้น จะเริ่มด้วยร่ายดั้น ต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์มีร่ายดั้น 3 บท ในหนังสือโคลงนิราศตาม เสด็จลำน้ำน้อยของพระยาตรัง ร้อยกรองไทยประเภทร่ายมีข้อบังคับน้อยกว่าร้อยกรองไทยประเภทอื่น ๆ จึงแต่งง่ายถึงแม้ว่า ร้อยกรองไทยประเภทร่ายจะมีข้อบังคับน้อย ผู้แต่งก็จะต้องมีความรู้ความเข้าใจและยึดเป็นหลัก ปฏิบัติในการแต่งร่ายทุกประเภท ซึ่งจะมีข้อบังคับโดยทั่วไป ดังนี้ ตัวอย่าง จากหนังสือหลักภาษาไทย สรวมชีพนบประณต บาทบงกชจอมนรินทร์ ผ่านปฐพินแผ่นไผท ไกรเกริกก้องก่อเกียรติ ภัยเบียนเบียดฤๅมี ศรีสวัสดิ์ถาวร ราษฎรดลสุข สนุกเพราะพระบารมี ชาติไทยทวียศเยศ เดชกระเดื่องแดนภพ… …พาณิชย์เกษตรกรรมล้นหล้า หลั่งทวี (กำชัย ทองหล่อ, 2554 : 564)

ร่าย 16 ร่ายดั้นมีลักษณะบังคับคณะและสัมผัสคล้ายกับร่ายสุภาพ แต่จบบทด้วยบาทที่ 3 และ บาทที่ 4 ของโคลงสี่ดั้นวิวิธมาลี ไม่ได้จบบทด้วยโคลงสองสุภาพเหมือนร่ายสุภาพมีลักษณะ บังคับทางฉันทลักษณ์ ดังนี้ รูปแบบคณะ ร่ายดั้นไม่จำกัดจำนวนวรรคในแต่ละบท ผู้แต่งต้องแต่งอย่างน้อย 5 วรรคขึ้นไป เพราะ 4 วรรคท้ายบทจะต้องเป็นบาทที่ 3 และบาทที่ 4 ของโคลงสี่ดั้นวิวิธมาลี วรรคหนึ่ง ๆ มีคำ 3 – 8 คำ ที่นิยมคือ 5 คำ รูปแบบคำสร้อย ร่ายดั้นจะเติมคำสร้อยได้ 2 คำท้ายบท หรือเติมคำสร้อยสลับวรรคทุกวรรคที่เรียกว่า “สร้อยสลับวรรค” ก็ได้ เช่นเดียวกับร่ายโบราณและร่ายสุภาพ รูปแบบสัมผัส ร่ายดั้นมีสัมผัสบังคับเช่นเดียวกับร่ายชนิดอื่น ๆ คือคำสุดท้ายของวรรคหน้าส่งสัมผัสไปยัง คำใดคำหนึ่งของวรรคถัดไปเหมือนกันทุกวรรคจนจบบทด้วยบาทที่ 3 และบาทที่ 4 ของโคลงสี่ ดั้นวิวิธมาลี สัมผัสท้ายบทของร่ายดั้นจึงเหมือนโคลงสี่ดั้นวิวิธมาลี คำรับสัมผัสของร่ายดั้นอาจ เลื่อนไปตามจำนวนคำในแต่ละวรรคที่ไม่เสมอกัน วรรคที่มี 5 คำ คำรับสัมผัสจะเป็นคำที่ 1 – 3 วรรคที่มี 3 – 4 คำ คำรับสัมผัสจะเป็นคำที่ 1 – 2 วรรคที่มี 5 – 6 คำ คำรับสัมผัสจะเป็นคำที่ 1 – 4 วรรคที่ 7 – 8 คำ คำรับสัมผัสจะเป็นคำที่ 1 – 5 เมื่อจะจบบทต้องให้คำสุดท้ายของวรรคหน้า ส่งสัมผัสไปยังคที่หนึ่งหรือสองหรือสาม คำใดคำหนึ่งในบาทที่ 3 ของโคลงสี่ดั้นวิวิธมาลี นอกจากนั้นคำรับสัมผัสต้นวรรคจะต้องไม่ใช้คำที่มีสระซ้ำกับคำส่งสัมผัสท้ายวรรค เช่น “ขอเดช ไตรรัตน์ จงขจัดภัยพิบัติให้ส่ำสัตว์สำราญ”

ร่าย 17

ร่าย 18 ร่ายโบราณเป็นชื่อร่ายชนิดหนึ่ง ที่พระยาอุปกิตศิลปสาร (2539 : 418) ได้กล่าวไว้ ว่า ร่ายทั้งหลายนับเป็นร่ายโบราณทั้งนั้น ที่เรียกว่า \"ร่ายโบราณ ในที่นี้หมายเฉพาะ เป็นชื่อคำร่ายชนิดหนึ่ง ซึ่งมีชุกชุมในวรรณคดีโบราณ เช่น ลิลิตพระลอ เป็นต้นหลัง จากที่จำแนกประเภทของร้อยกรองไทยประเภทร่ายชัดเจนแล้ว ในหนังสือลิลิตพระลอ จะมีร่ายโบราณเพียงบางบทที่แทรกอยู่\" ร่ายโบราณมีลักษณะบังคับคณะและสัมผัส คล้ายกับร่ายสุภาพ แต่จบบทห้วน ๆ ไม่ได้จบบทด้วยโคลงสองสุภาพ มีลักษณะบังคับ ทางฉันท์ลักษณ์ ดังนี้ ตัวอย่าง จากหนังสืออ่านกวีนิพนธ์ เรื่องลิตพระลอ ชมข่าวสองพี่น้อง ต้องหทัยจอมราช พระบาทให้รางวัล ปันเสื้อผ้าสนอบ ขอบใจสูเอาข่าว มากล่าวต้องติดใจ บารนี (กระทรวงศึกษาธิการ. 2551 : 11)

ร่าย 19

ร่าย 20 ร่ายสุภาพเป็นร่ายที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ปรากฏใน วรรณคดีไทยเรื่องลิลิตพระลอ กวีนิยมแต่งกันมาก เพราะมีความไพเราะ มีลีลา จังหวะ สัมผัสและระบบแบบแผนมากกว่าร่าชนิดอื่น ๆ ร่ายสุภาพ มีลักษณะบังคับทางฉันทลักษณ์ ดังนี้ ตัวอย่าง จากหนังสืออ่านกวีนิพนธ์ เรื่องลิลิตพระลอ อย่าหมองใจหนุ่มหน้า บรรทมถ้าพระลอ เผือจะซอกล่อมแก้ว กล่าวแล้วสองนางนอน พี่เลี้ยงกรกอดบาท ซอกล่อมนาฏแม่ ณ เกล้า นอนแม่นอนเทอญนะเจ้า พี่เอ้ยทั้งสอง อ่อนนา (กระทรวงศึกษาธิการ. 2534 : 97)

ร่าย 21 1.บทหนึ่ง ๆ มีตั้งแต่ 5 วรรคขึ้นไป จัดเป็นวรรคละ 5 คำ หรือจะเกิน 5 คำบ้างก็ได้ แต่ ไม่ควรให้ เกิน 5 จังหวะในการอ่าน จะแต่งยาวกี่วรรคก็ได้ แต่ตอนจบจะต้องเป็น โคลงสองสุภาพ 2.คำสุดท้ายของวรรคหน้า ต้องสัมผัสผสมคำทีี่ 1 หรือ 2 หรือ 3 ของวรรคถัดไปทุก วรรคนอกจากตอนจบต้องให้สัมผัสแบบโคลงสองสุภาพ 3.เอกโท มีบังคับคำเอก 3 แห่ง คำโท 3 แห่ง ตามแบบของโคลงสองสุภาพ 4.ถ้าคำที่ส่งสัมผัสเป็นคำเป็นหรือคำตาย คำที่รับสัมผัสจะต้องเป็นคำเป็นหรือคำตาย ด้วย และคำสุดท้ายของบทห้ามใช้คำตาย 5.เติมคำสร้อยในตอนสุดท้ายของบทได้อีก 2 คำ หรือจะเติมทุก ๆ วรรคก็ได้แต่พอถึง โคลงสองต้องงด เว้นไว้แต่สร้อยของโคลงสองเอง สร้อยชนิดนี้จะต้องให้เหมือนกันทุก วรรคเรียกว่า “สร้อยสลับวรรค”

ร่าย 22

ร่าย 23 ร้อยกรองไทยประเภทลิลิตเป็นร้อยกรองไทยประเภทร่ายแต่งประสม กับร้อยกรองไทยประเภทโคลง เรียกชื่อเฉพาะว่า “ลิลิต” ใช้แต่งวรรณกรรม สดุดีและเฉลิมพระเกียรติ เช่น ลิลิตโองการแช่งน้ำ ลิลิตพระลอ ลิลิตยวนพ่าย ลิลิตตะเลงพ่าย เป็นต้น นอกจากนี้กวีไทยสมัยก่อนยังนิยมแต่งร้อยกรองไทย ประเภทร่ายประสมกับร้อยกรองไทยประเภทโคลง ฉันท์ กาพย์ และกลอนเป็น วรรณกรรมเรื่องยาว เรียกชื่อเฉพาะว่าคำหลวงและกวีวัจนะ ดังนั้นได้มีนัก ปราชญ์ทางภาษาและวรรณคดีไทยให้ความหมายของลิลิตไว้ ดังต่อไปนี้ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 (ราชบัณฑิตยสถาน. 2556 : 1063) ให้ความหมายของลิลิตไว้ดังนี้ ชื่อคำประพันธ์ประเภทร้อยกรอง แบบหนึ่งซึ่งใช้โคลงและร่ายต่อสัมผัสกันเป็นเรื่องยาว พระยาอุปกิตศิลปะสาร (2499 : 98) ได้อธิบายเกี่ยวกับลิลิตไว้ว่า คำประพันธ์ที่เอาร่ายต่าง ๆ และโคลงต่าง ๆ มาแต่งให้เข้าสัมผัสติดต่อกันไป จนจบเรื่อง เรียกกว่า ลิลิต

ร่าย 24 กำชัย ทองหล่อ (2554 : 413) ได้อธิบายเกี่ยวกับลิลิตไว้ว่า ลิลิต คือ ร้อยกรองที่มีเนื้อเรื่องยาว ๆ ซึ่งแต่งเป็นร่ายและโคลงสลับกันไป ทั้งร่ายและ โคลงเหล่านั้นจะต้องมีสัมผัสเกี่ยวข้องกันในระหว่างท้ายบทกับตันบทตั้งแต่ต้น จนจบ คือต้องทำให้คำสุดท้ายของบทหน้าสลับคำที่ 1 หรือคำที่ 2 หรือคำที่ 3 วรรคต้นของบทต่อไป ยกเว้นบทไหว้ครู ซึ่งอาจจะไม่สัมผัสกับบทอื่นก็ได้ สุภาพร มากแจ้ง (2535 : 287) ได้กล่าวถึงลิลิตไว้ว่า ลิลิตเป็นคำ ประพันธ์ซึ่งประกอบด้วยร่ายแต่งสลับกับโคลง ทั้งโคลงสอง โคลงสาม และ โคลงสี โดยมีการส่งสัมผัสระหว่างร่ายกับบทโคลง ที่เรียกว่า “เข้าลิลิต” หรือ “ร้อยโคลง” ทุกบทตั้งแต่บทแรกจนบทสุดท้าย สัมผัสร้อยโคลงนี้ส่งจากคำ สุดท้ายของบทแรกไปยังคำใดคำหนึ่งในบทต่อไป โดยมากมักเป็นคำใดคำหนึ่ง ในวรรคแรก จากความหมายดังกล่าว สรุปได้ว่า ลิลิตเป็นร้อยกรองไทยประเภท หนึ่งที่ใช้ง่ายร่ายและโคลงแต่งสลับกันเป็นเรื่องยาว โดยมีสัมผัสเชื่อมระหว่าง ร่ายกับโคลงที่เรียกว่า “เข้าลิลิต” หรือ “ร้อยโคลง” ทุกบทตั้งแต่ต้นจนจบ

ร่าย 25

ร่าย 26 ลิลิตดั้นเป็นลิลิตที่แต่งด้วยร่ายดั้นสลับกับโคลงดั้น ทั้งโคลงสอง โคลงสาม และโคลงสี่ดั้น โดยแต่งเป็นเรื่องราว อาจแต่งร่ายหลายบทสลับกับโคลงหลายบท หรือ อาจแต่งร่ายสลับกับโคลงอย่างละบท แล้วแต่เนื้อเรื่องจะเหมาะกับกับร้อยกรองประเภท ใด แต่ส่วนใหญ่กวีมักจะแต่งร่ายหนึ่งบท ยาวหรือสั้นขึ้นอยู่กับเนื้อความ แล้วสลับด้วย โคลงหลาย ๆ บทที่แต่งต่อเนื่องกัน หรือเริ่มต้นจากร่ายดั้น โคลงสองดั้น โคลงสามดั้น และโคลงสี่ดั้นตามลำดับ แล้วจึงกลับมาเริ่มต้นใหม่ที่ร่ายดั้นเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ที่สำคัญ คือ จะต้องมีสัมผัสส่งและสัมผัสรับทุกบท คือการร้อยโคลงตั้งแต่บทแรกจนถึงบทสุดท้าย ลิลิตดั้นในแต่ละสมัยมีดังนี้ ลิลิตดั้นสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้แก่ “ลิลิตยวนพ่าย” ซึ่งแต่งในสมัยสมเด็จ พระบรมไตรโลกนาถ จัดเป็นลิลิตดั้นต้นแบบสมัยต่อ ๆ มา การแต่งจะขึ้นต้นเรื่องด้วย ร่ายดั้น 1 บท ต่อด้วยโคลงสี่ดั้น 294 บท โดยไม่มีโคลงสองดั้นและโคลงสามดั้น แต่มี การร้อยโคลงระหว่างร่ายซึ่งเป็นบทขึ้นต้นเรื่องกับโคลงบทแรก ส่วนโคลงบทอื่น ๆ ก็มี การร้อยโคลงทุกบทตามลักษณะการแต่งลิลิต นอกจากนี้ยังมีกวีนิพนธ์ “กำสรวลโคลง ดั้น” ซึ่งแต่งเป็นลิลิตดั้นที่มีลักษณะการแต่งลิลิตยวนพ่าย คือเริ่มต้นเรื่องด้วยร่ายดั้น 1 บทต่อด้วยโคลงสี่ดั้นบาทกุญชรและมีโคลงสี่ดั้นวิวิธมาลีแทรก ดังตัวอย่างจากหนังสือ ประวัติวรรณคดี เล่ม 1 วรรณคดีและวรรณกรรม สมัยกรุงศรีอยุธยา : ลิลิตยวนพ่าย

ร่าย 27 ร่ายดั้น ศรีสิทธิสวัสดิ ชยัสดุมงคลวิมลวิบูลย์ อดูลยาดิเรกเอกภูธรกรกช ทศนัขสมุชลิต วิกสิตสโรโชดม บรมนบอภิวาท บาทรโชพระโคดม สํนุพระสัทธรรมาทิตย บพิตร มหิทธิมเหาฬาร มหานคาธยศรย หฤทัยธวรงค์ทรงทวดึงษ มหาบุรุษลักษณ์… …ดำรง กษัตรให้กรสานต์ ประหารทุกขให้กษัย ไชยเกษตรให้เกษม เปรมใจราษฎรกำจรยศ โยค ดิลกโลกยอาศรย ชยชยนฤเปนทราทรงเดช ฤๅลงดินฟ้าฟุ้ง ข่าวขจร โคลงสี่ดั้น พรหมพิษณุบรเมศเจ้า จอมเมรุ มาศแฮ ยํเมศมารุตอร อาศนม้า พรุณคนิภุเพนทรา สูรเสพย เรืองรวีวรเจ้า แจ่มจันทร สารสยามพากยพร้อง กลกานท์ นี้ฤๅ คือคู่มาลาสวรรคื ช่อช้อย เบญญาพิศาลแสดง เดอมเกียรติ พระฤๅ คือคูไหมแสร้งร้อย กึ่งกลาง (กระทรวงศึกษาธิการ. 2550 : 48 - 49)

ร่าย 28 ลิลิตดั้นสมัยรัตนโกสินทร์ ได้แก่ ลิลิตดั้นของพระยาตรังคภูมิบาล 2 เรื่องคือ “โคลงนิราศตามเสด็จลำน้ำน้อย” ลักษณะการแต่งเหมือนลิลิตยวนพ่าย คือเริ่มต้นด้วย ร่ายดั้น 3 บท ต่อด้วยโคลงสี่ดั้นบาทกุญชรและวิวิธมาลี และ \"โคลงดั้นเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านกาลัย\" ขึ้นต้นด้วยร่ายดั้น 1 บท ต่อด้วยโคลงสี่คั้น บาทกุญชรและจบด้วยร่ายดั้น 1 บท สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว กรม สมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรสทรงนิพนธ์โคลงดั้นปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนฯ เป็นลิลิตดั้น เช่นเดียวกับลิลิตยวนพ่าย คือเป็นร่ายดั้น 1 บท ต่อด้วยโคลงสี่ดั้นทั้งบาทกุญชรและวิวิธ มาลี ในเรื่องมีร่ายดั้นสั้น ๆ แทรก 1 บท และจบด้วยร่ายสุภาพ 1 บท นอกจากนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชนิพนธ์ลิลิตนารายณ์สิบปาง ประกอบ ด้วยร่ายดั้น โคลงสองดั้น โคลงสามดั้นและโคลงสี่ดั้น มีการร้อยโคลงทุกบท ร่ายดั้นใน ลิลิตนารายณ์สิบปางจะจบด้วยโคลงสองคั้นไม่ใช่จบด้วยบาทที่ 3 และบาทที่ 4 ของโคลง สี่ดั้น จึงเป็นข้อกำหนดเแบบแผนการแต่งลิลิตดั้นว่าร่ายดั้นต้องจบด้วยโคลงสองดั้น ลิลิต ดั้นที่ต้องแต่งด้วยร่ายดั้นและโคลงดั้นเริ่มเป็นที่นิยมในสมัยรัชกาลที่ ๖ เป็นต้นมาโดย ยึดพระราชนิพนธ์ลิลิตนารายณ์สิบปางเป็นต้นแบบ ดังตัวอย่าง

ร่าย 29 ร่ายดั้น จักดำเนินตำนาน ตามโบราณคัมภีร์ อันมีนามภาคะวัต จัดเป็นตำรับเลิด กล่าวเนิดวิษญู ผู้ดุงโลกนี้ มีข้อความกล่าวชัด ว่าเมื่อปัทมะกับป์ ลับล่วงลงแล้วนั้น อันเทวะพรหมา เหนื่อยกายาใคร่นิ ทร์ เพื่อบพิตรผ่อนกาย หมายให้มีกำลัง คงคืนดีดังเดิม... พบองค์พระพรหมา นิทราสนิทแน่ แลกระแสรพ- ระเวท วิเศษล้ำโลกัย หลั่งไหลจากโอษฐท่าน ขุนยักษ์หาญสมปอง รองรับพระเวทไว้ จบเสร็จสำเร็จได้- สิทธิสรรพ์ โคลงสองดั้น กุมภัณฑ์แสนเปรมใจ ได้พระเวทเลิดล้ำ โคลงสี่ดั้น จึ่งรีบประดาน้ำ กลับพลัน ปางนั้นอินทริราชเจ้า โลกา ทราบกิจทานพทำ ชั่วไซร้ พระทรงพระเมตตา แด่สัตว์ หวังอนุเคราะห์ให้ สุขสานต์ มัตสยา อวตารทรงรูปแม้น ตีบน้อย คือศะผะรัตนะ คอยท่วง ทีแฮ แหวกสายว่ายคงคา ถูกกาล เมื่อถับโอกาสคล้อย (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, อ้างถึงใน สุภาพร มากแจ้ง. 2535 : 292)

ร่าย 30

ร่าย 31 ลิลิตโบราณเป็นลิลิตที่แต่งด้วยร่ายโบราณสลับกับโคลงโบราณ ยมแต่งเป็น เรื่องยาว อาจแต่งร่ายหลายบทสลับกับโคลงหลายบท หรืออาจแต่งร่ายสลับกับโคลง อย่างละบท แต่ส่วนใหญ่กวีมักจะแต่งร่ายหนึ่งบท ยาวหรือสั้นขึ้นอยู่กับเนื้อความ แล้ว สลับด้วยโคลงหลาย ๆ บท แต่งต่อเนื่องกัน ที่สำคัญคือจะต้องมีสัมผัสส่งและสัมผัสรับ ทุกบท หลังจากเรื่องลิลิตโองการแช่งน้ำแล้ว กวีไม่นิยมแต่งเป็นสิลิตโบราณ ลิลิต โบราณจะขึ้นต้นเรื่องด้วยร่ายเป็นบทไหว้ครู บทสรรเสริญเทวดาหรือบทยอพระเกียรติ ดัง ตัวอย่างจากหนังสือประวัติวรรณคดีเล่ม ๑ วรรณคดีและวรรณกรรม สมัยกรุงสุโขทัยและ สมัยกรุงศรีอยุธยา : สิลิตโองการแช่งน้ำ โอมไซยะไชย ไขสพัศพรหมญาณ ผ่านเคียรเกล้าเจ้าคสี่บัวทอง เหนือขุนห่าน ท่านรังก่อดินฟ้าหน้าจตุรทิศ ไทมีตรดา มหากฤตราไตย อมไตยโลเกษ จงตรีศักติท่าน พิญาณปรมาธิเบศ ไทธเรศสุรสิทธิ พ่อเสวยพรหมาณฑ์ ใช่น้อย ประถมบุญการติเรก บูรภพบรู้ที่ร้อย ก่อมา (แทงพระแสงครพรหมาสตร์)

ร่าย 32 โคลงโบราณ นานาอเนกน้าว เดิมกัลป์ จักร่ำจักราพาฬ เมื่อไหม้ กล่าวถึงตระวันเจ็ด อันพลุ่ง อันพลุ่งน้ำแล้งไข้ ขอดหาย เจ็ดปลามันพุ่งหล้า เป็นไฟ วาบจตุราบาย แผ่นขว้ำ แผ่นขว้ำชักไตรตรึงษ์ เป็นเผ้า เป็นเผ้าแลบล้ำ สีละออง (กระทรวงศึกษาธิการ. 2550 : 43 -44)

ร่าย 33

ร่าย 34 ลิลิตสุภาพเป็นลิลิตที่แต่งด้วยร่ายสุภาพสลับกับโคลงสุภาพ ทั้งโคลงสอง โคลงสาม และโคลงสี่สุภาพ โดยแต่งเป็นเรื่องยาว อาจจะแต่งร่ายหลายบทสลับกับโคลง หลายบทที่แต่งติดต่อกัน หรืออาจแต่งร่ายสลับกับโคลงอย่างละบทก็ได้ แล้วแต่เนื้อเรื่อง จะเหมาะกับการใช้ร้อยกรองประเภทใด ส่วนใหญ่กวีมักแต่งร่าย 1 บท จะยาวหรือสั้นขึ้น อยู่กับเนื้อความแล้วสลับด้วยโคลงหลาย ๆ บทที่แต่งต่อเนื่องกัน กวีอาจเริ่มต้นด้วยร่าย สุภาพ โคลงสองสุภาพ โคลงสามสุภาพ และโคลงสี่สุภาพ แล้วย้อนกลับมาที่ร่ายสุภาพ ใหม่ก็ได้ ข้อสำคัญคือจะต้องให้มีสัมผัสส่งและสัมผัสรับกันทุกบท คือมีการร้อยโคลง ตั้งแต่บทแรกจนถึงบทสุดท้าย ดังตัวอย่าง จากหนังสืออ่านกวีนิพนธ์ เรื่องลิลิตตะเลงพ่าย ตัวอย่าง เนืองบังคมคำราช พระบาทบทันนิทรา ร่ายสุภาพ พื้นนภางค์เผือดดาว แสงเงินขาวขอบฟ้า รังสีเฉกฉายฉัน ไก่แก้วขันเจื้อยแจ้ว ..... ¤ เสร็จเสาวนีย์สั่งสนม ไปเผด็จดัสกรให้ เหือดเสี้ยนศึกสยาม สิ้นมา จวนเวลาล่วงสาง แสงทองจ้าจับเมฆ ขอลาองค์ท่านให้

ร่าย 35 โคลงสองสุภาพ ลาเสด็จศึกด้าว ¤ พระฟังความลูกท้าว อวยพระพรเลิศล้น ดั่งเบื้องบรรหาร แห่งเงื้อมมือเทอญ พ่อนา โคลงสามสุภาพ เดชะ ¤ ภูบาลอื้นอำนวย พ่อได้ จงอยุธย์อย่าพ้น วิริยภาพ พ่อนา โคลงสี่สุภาพ ธิราชเจ้าจอมสยาม (ลิลิตตะเลงพ่าย : กรมพระปรมานุชิตชิโนรส) ¤ จงเจริญชัเยศด้วย ชาวอยุธย์อย่าพะ จงแพ้พินาศพระ ชนะแด่สองท่านให้ หมายเหตุ : คำที่พิมพ์ตัวหนา เป็นการสัมผัสร้อยโคลง หรือการเข้าลิลิต กฎ : ร่ายและโคลงที่ใช้ในลิลิตนั้น มีลักษณะดังกล่าวมาแล้วข้างต้น เพียงแต่เพิ่มสัมผัสระหว่างบทให้เกี่ยวข้องติดต่อกันตั้งแต่ต้น จนจบ คือให้คำสุดท้ายของบทต้น สัมผัสกับคำที่ 1 หรือ 2 หรือ 3 ของวรรคแรกของบทต่อไป ซึ่งเรียกว่าการ “เข้าลิลิต” หรือการ “ร้อยโคลง”

ร่าย 36 ร่ายเป็นร้อยกรองไทยที่แต่งง่าย เพราะมีกฎเกณฑ์ข้อบังคับ น้อยกว่าร้อยกรองไทยประเภทอื่น ร่ายมีที่มาจากวรรณกรรมมุขปาฐะ หรือจากคัมภีร์กาพย์สารวิลาสินีของอินเดีย ร่ายมี 4 ชนิด คือ ร่ายยาว ร่ายโบราณ ร่ายดั้น และร่ายสุภาพ ส่วนลิลิตเป็นร้อยกรองไทยชนิดหนึ่ง ที่กวีใช้ร้อยกรองประเภทร่ายแต่งสลับกับร้อยกรองประเภทโคลงในเรื่อง เดียวกัน โดยมีสัมผัสเชื่อมระหว่างบท ที่เรียกว่าเข้าลิลิตหรือร้อยโคลง ลิลิตปรากฏครั้งแรกในวรรณกรรมสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น คือลิลิต โองการแช่งน้ำ ลิลิตมี 3 ชนิด คือ ลิลิตโบราณ ลิลิตดั้น และลิลิตสุภาพ ลิลิตโบราณกวีไม่นิยมแต่ง แต่ยังคงนิยมแต่งลิลิตดั้นและลิลิตสุภาพ ลักษณะของลิลิตแต่ละชนิดจะเป็นไปตามข้อบังคับทางฉันลักษณ์ของ ร้อยกรองไทยประเภทโคลงและร่าย การนำร้อยกรองไทยประเภทร่าย และโคลงมาแต่งประสมกัน นับเป็นความคิดสร้างสรรค์ของกวีที่จะทำให้ ร้อยกรองไทยมีรูปแบบ จังหวะ ลีลา ที่หลากหลายและเป็นแบบอย่างทาง ด้านความคิดสร้างสรรค์ของกวีในสมัยก่อนได้เป็นอย่างดี

ร่าย 37 จาระไน สิทธิบูรณะ. (2559). ท่วงทำนองร้อยกรองไทย. มหาวิทยาลัย ดอดอดราชภัฏจันทรเกษม : คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ บุญเหลือ ใจมโน. การแต่งคำประพันธ์. กรุงเทพฯ : ............มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2549. วัฒนะ บุญจับ. ร้อยกรองไทย. กรุงเทพฯ : บริษัทเอดิสันเพลส โพรดักส์ /////////จำกัด, 2544 วิเชียร เกษประทุม. (2550). ลักษณะคำประพันธ์ไทย. กรุงเทพฯ : ............สำนักพิมพ์พัฒนาศึกษา. อุปกิตศิลปสาร, พระยา. (2499). ไวยากรณ์ไทยฉันทลักษณ์. (พิมพ์ .............ครั้งที่ 3). พระนคร : ไทยวัฒนาพานิช.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook