Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิจัยชั้นเรียน บัญชีร่วมค้า

วิจัยชั้นเรียน บัญชีร่วมค้า

Published by muangkaew.orawan, 2021-03-15 02:28:38

Description: วิจัยชั้นเรียน บัญชีร่วมค้า

Search

Read the Text Version

วิจยั ในชั้นเรียน เรื่อง : การใช้รูปแบบการ เรียนรู้ แบบร่วมมือ เพ่ือพัฒนา ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น เรื่องความรู้ ทั่วไปเกี่ยวกับการร่วมค้า ในวิชาการบัญชีร่วมค้าและระบบใบสาคัญ ระดับชั้น มัธยมศึกษาปที ี่ 6 สาขาบญั ชี โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 31 ของ นางสาวธนัญภรณ์ ธรรมใจ ตาแหนง่ ครูผชู้ ว่ ย โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 31 อาเภอแมแ่ จม่ จังหวัดเชยี งใหม่ สานักบริหารงานการศึกษาพเิ ศษ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน กระทรวงศึกษาธกิ าร

ชื่อผลงานวิจัย : การใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เร่ืองความรู้ท่ัวไป เกี่ยวกับการร่วมค้า ในวิชาการบัญชีร่วมค้าและระบบใบสาคัญ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 6 สาขาบัญชี โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 ช่ือผู้วจิ ัย : นางสาวธนญั ภรณ์ ธรรมใจ ตาแหนง่ ครูผู้ช่วย วุฒกิ ารศึกษา : ปริญญาตรบี ัญชีบัณฑิต มหาวิทยาลัยพายพั ปฏิบตั งิ านสอน : กลมุ่ สาระการงานอาชพี (พาณิชยกรรรม) บทคัดย่อ การวจิ ยั ครั้งนี้ มวี ัตถุประสงค์เพอื่ สังเกตผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นของวิชาการบัญชีรว่ มค้าและ ระบบใบสาคญั ซ่ึงมผี ลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นต่า และขาดความสนใจในการเรียน ผู้วิจยั จึงสนใจทาการวิจัยเพอื่ ปรับผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาการบัญชีร่วมค้าและระบบใบสาคัญ ด้วยรูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือเป็น การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นสภาพแวดล้อมทางการเรียนให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ร่วมกนเป็นกลุ่มในการจัดการ เรียนการสอน มีรูปแบบการเรียนรู้ต่าง ๆ ผู้วิจัยจะต้องจัดให้มีการตอบสนองการเรียนมากที่สุดและให้เกิด ประโยชน์กับนักเรียน ซ่ึงกลุ่มตัวอย่าง คือนักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 6 สาขาบัญชีซ่ึงกาลังศึกษาอยู่ใน ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2563 จานวน 15 คน ผลการวจิ ยั พบว่า จากการเปรียบเทยี บคะแนนกอ่ นเรียนและหลงั เรยี น นกั เรียนทกุ คน มคี ะแนนหลงั เรยี นมากกว่ากอ่ นเรียน โดยนกั เรียนมีคะแนนเฉลย่ี หลังเรียนสูงข้นึ 3.34 คะแนน คะแนน เฉลีย่ กอ่ นเรียนคือ 4.61 คะแนน คิดเป็นคะแนนเฉลีย่ ร้อยละ 46.10 และ คะแนนเฉลยี่ หลังเรยี นคือ 7.95 คะแนน คิดเปน็ คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 79.50

ความสาคญั และความเป็นมาของปัญหา พระราชบัญญัตกิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 ยดึ ผ้เู รียนเป็นศนู ยก์ ลาง มกี ารจดั กระบวน การเรียนรู้ท่ีประกอบด้วยการจัดเนื้อหา สาระและกิจกรรม ให้สอดคล้องกับความสนใจ ความถนัดของผู้เรียน โดยคานึงถึงความแตกต่าง ระหว่างบุคคล ฝึกทักษะกระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์และ ประยุกต์ความรู้มาใช้เพ่ือป้องกันและแก้ปัญหา(พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ.2542 ฉบับปรับปรุง 2545 หนา้ 5) จัดการเรียนการสอนโดยผสมสื่อการเรียน และองค์ประกอบ ท่ีเอื้ออานวยความสะดวก เพ่ือให้ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ การเรียนการสอนที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ผู้เรียนต้องปฏิบัติ สืบค้น ข้อมูลด้วยตนเอง ครูเป็นผู้แนะนา เป็นพ่ีเล้ียงในการดาเนินกิจกรรมถ้าผู้เรียนยังไม่มีความพร้อม จะทาให้เกิด ปัญหาในการเรียนได้ดังน้ัน ผู้เรียนต้องมีการพ่ึงพาและช่วยเหลือเกื้อกูลกันต้องมีการช่วยเหลือปรึกษาหารือ ร่วมมือกนทางาน เพ่ือให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนสูงข้ึน มีการให้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ มีความสมั พันธ์ระหว่างผู้เรยี นดีข้นึ ทาใหผ้ เู้ รียนมสี ขุ ภาพจิตดีขึ้น และมคี วามมนั ใจในตนเองมากขน้ึ ผู้วจิ ยั ได้สงั เกตผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นของวิชาการบญั ชรี ่วมค้าและระบบใบสาคัญ ซ่งึ มี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่าและขาดความสนใจในการเรียน ผู้วิจัยจึงสนใจทาการวิจัยเพ่ือปรับผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนวิชาการบัญชีร่วมค้าและระบบใบสาคัญ ด้วยรูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือ เป็นการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ที่เน้นสภาพแวดล้อมทางการเรียนให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ร่วมกันเป็นกลุ่ม ในการจัดการเรียนการสอน มีรูปแบบการเรียนรู้ต่าง ๆ ผู้วิจัยจะต้องจัดให้มีการตอบสนองการเรียนมากท่ีสุดและให้เกิดประโยชน์กับ นักเรียนด้วยเหตุดังกล่าวผู้วิจัยจึงมีแนวคิดในการทาวิจัยเร่ือง “การใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือเพ่ือ พัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนสาขางานการบัญชี ระดับมัธยมศึกษาปีท่ี 6 เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มี ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนทส่ี งู ข้ึน และเสรมิ สรา้ งประสบการเรยี นรู้ใหม่ ๆ ใหผ้ ูเ้ รยี นอย่างมคี ุณภาพ วตั ถปุ ระสงคก์ ารวจิ ัย เปรยี บเทยี บผลสัมฤทธิก์ อ่ นและหลังเรียน เรอ่ื ง ความร้ทู ั่วไปเกยี่ วกบการร่วมค้าโดยใช้รปู แบบ การเรยี นร้แู บบรว่ มมอื กรอบแนวคิดของการวจิ ัย ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม การเรยี นรู้แบบรว่ มมอื ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นด้วยการ เรียนรู้แบบร่วมมือ

ขอบเขตของการวจิ ัย กลมุ่ เป้าหมายใช้ ในการศึกษา ได้แก่ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 6 สาขาบัญชี ซึ่งกาลังศึกษาอยู่ใน ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศกึ ษา 2563 จานวน 15 คน กลุ่มตัวอย่าง นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 6 สาขาบัญชี ซึ่งกาลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนท่ี 2 ปี การศกึ ษา 2563 จานวน 5 คน ตวั แปรทใี่ ช้ในการศกึ ษา ตวั แปรตน้ : การเรียนรแู้ บบรว่ มมือ ตวั แปรตาม : ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนดว้ ยการเรยี นร้แู บบร่วมมือ นิยามคาศัพท์ 1. การเรียนแบบร่วมมือ หมายถึงวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนของรายวิชาบัญชีร่วมค้าและระบบ ใบสาคัญ ท่ีเน้นการจัดสภาพแวดล้อมทางการเรียนให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ร่วมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ แต่ละกลุ่ม ประกอบด้วยสมาชิกท่ีมีความรู้ ความสามารถแตกต่างกัน โดยท่ีแต่ละคนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในการเรียนรู้ รวมท้ังการเป็นกาลังใจแก่กันและกัน คนที่เรียนเก่งจะช่วยเหลือคนท่ีอ่อนกว่า สมาชิกในกลุ่มไม่เพียงแต่ รับผิดชอบต่อการเรียนของตนเองเท่านั้น แต่จะต้องร่วมรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของสมาชิกทุกคนในกลุ่ม ความสาเรจ็ ของแตล่ ะบุคคลคือความสาเร็จของกลุ่ม 2. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถงึ ระดับผลคะแนนของนักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สาขาบญั ชี ใน รายวชิ าบัญชรี ว่ มคา้ และระบบใบสาคญั เม่ือได้รับการจดั การเรียนการสอนแบบรว่ มมือ แนวคดิ ทฤษฏีที่เกีย่ วข้อง 1. การเรยี นแบบร่วมมอื 1.1 ความหมายของการเรียนแบบร่วมมอื สาหรับความหมายของการเรียนแบบร่วมมือ มีนักวชิ าการหลายทา่ นได้ใหค้ าจากดความในแง ั ่มมุ ตา่ ง ๆ ดงั ตอ่ ไปน้ี ทิศนา แขมณี ( 2545 : 98 ) ได้ใหค้ วามหมายของการเรี ยนแบบร่วมมือ ( Cooperative Learning ) ว่า หมายถึง การเรียนร้เู ป็นกลุ่มย่อยโดยมีสมาชิกกลุ่มทีม่ คี วามสามารถแตกต่างกนประมาณ 3 - 6 คน ช่วยกนเรียนรู้เพอ่ื นาไปสู่เปา้ หมายของกลุม่ วัฒนา ระงับทุกข์ ( 2545 : 39 ) ได้ให้ความหมายของการเรียนแบบร่วมมือ ว่าหมายถึงวิธีการจัด กิจกรรมการเรียนท่ีเน้นการจัดสภาพแวดล้อมทางการเรียนให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ร่วมกนเป็นกลุ่มเล็ก ๆ แต่ละ

กลุ่มประกอบด้วยสมาชิกที่มีความรู้ ความสามารถแตกต่างกัน โดยที่แต่ละคนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ่ในการ เรียนรู้ รวมทั้งการเป็นกาลังใจแก่กันและกัน คนที่เรียนเก่งจะช่วยเหลือคนที่อ่อนกวา สมาชิกใน กลุ่มไม่ เพียงแต่รับผิดชอบต่อการเรียนของตนเองเท่านั้น แต่จะต้องร่วมรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของสมาชิกทุกคนใน กลุม่ ความสาเรจ็ ของแต่ละบคุ คลคอื ความสาเรจ็ ของกลุ่ม พมิ พพ์ นั ธ์ เดชุคุปต์ ( 2544 : 37 ) ไดใ้ หค้ วามหมายของการเรียนแบบร่วมมือวา หมายถึง การร่วมมือ กันทางานเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมาย ซึ่งทุกคนยอมรับจุดมุ่งหมายร่วมกน และเมื่อพัฒนาสาเร็จแล้วส่งผลให้ ผู้ร่วมงานเกดิ ความพอใจจากความหมายของการเรยี นแบบร่วมมือดังกลา่ วขา้ งต้น ตามทัศนะของ ผู้วิจัย สรุปได้วาการเรียบแบบร่วมมือ เป็นการจัดการเรียนรู้โดยแบ่งผู้เรียนเป็นกลุ่มเล็ก ๆ โดยสมาชิกทุกคน ในกลุ่มมีส่วนร่วมมือกัน และถ่ายทอดความรู้ระหว่างกัน ทาให้สมาชิกแต่ละคนสามารถเกิดการเรียนรู้และ ทกั ษะเพม่ิ ข้นึ จากการร่วมมือกนทากิจกรรม และทาให้มปี ฏสิ มั พันธท์ ่ดี ตี ่อกัน 1.2 องค์ประกอบของการเรยี นแบบร่วมมอื Johnson and Johnson ( อา้ งถงึ ในทิศนา แขมณี 2545 : 99 – 100 ) การเรยี นรแู้ บบร่วมมอื ไมไ่ ดม้ ี ความหมายเพยี งว่า มีการจดั ใหผ้ ้เู รียนเขา้ กลมุ่ แล้วใหง้ านแลว้ บอกใหผ้ ู้เรียนใหช้ ว่ ยกันทางานเท่านนั้ การ เรยี นรูจ้ ะเป็นแบบรว่ มมือได้ ต้องมอี งค์ประกอบทส่ี าคญั ครบ 5 ประการดังน้ี 1. การพ่ึงพาและเก้ือกูลกน ( Positive Interdependence ) กลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือจะต้องมี ความตระหนักวาสมาชิกกลุ่มทุกคนมีความสาคัญ และความสาเร็จของกลุ่มขึ้นกับสมาชิกทุกคนในกลุ่มใน ขณะเดียวกันสมาชิกแต่ละคนจะประสบความสาเร็จได้ก็ต่อเม่ือกลุ่มประสบความสาเร็จดังน้ันแต่ละคนต้อง รับผิดชอบในบทบาทหน้าท่ีของตน และในขณะเดียวกันก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกันทาให้ได้หลายทางเช่น การให้ ผู้เรียนมีเป้าหมายเดียวกัน หรือให้ผู้เรียนกาหนดเป้าหมายในการทางาน การเรียนรู้ร่วมกันการให้รางวัลตาม ผลงานกลุ่ม การให้งานหรือวัสดุอุปกรณ์ที่ทุกคนต้องทาหรือใช้ร่วมกน การมอบหมาย บทบาทหน้าที่ในการ ทางานร่วมกันให้แต่ละคน 2. การปรึกษาหารือกนอย่างใกล้ชิด (Face to Face Promotive Interaction) การท่ีสมาชิกในกลุ่ม มีการพึ่งพาช่วยเหลอื เก้ือกลู กัน เป็นปัจจัยท่ีจะส่งเสริมให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ต่อกนและกันในทางท่ีจะ ช่วยให้ กลุ่มบรรลุเป้าหมาย สมาชิกกลุ่มจะห่วงใย ไว้วางใจ ส่งเสริม และช่วยเหลือกนและกันในการทางานต่างๆ รวมกัน ส่งผลใหเ้ กิดสัมพนั ธภาพทีด่ ีต่อกนั 3. ความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้ของสมาชิกแต่ละคน (Individual Accountability) สมาชิกในกลุ่ม ทุกคนจะต้องมีหน้าที่รับผิดชอบ และพยายามทางานท่ีได้รับมอบหมายอยางเต็มความสามารถ ไม่มีใครท่ีจะ ได้รับประโยชนโ์ ดยไมท่ าหนา้ ท่ขี องตน ดังนั้นกลุ่มจึงต้องมีระบบการตรวจสอบผลงาน ทั้งที่เป็นรายบุคคลและ เป็นกลุ่มวิธีการที่สามารถส่งเสริมให้ทุกคนได้ทาหน้าที่ของตนอย่างเต็มท่ีมีหลายวิธี เช่น การจัดกลุ่มให้เล็ก เพื่อจะไดม้ กี ารเอาใจใส่กันและกันอย่างทั่วถึง การทดสอบเป็นรายบุคคล การสุ่มเรียกช่ือให้รายงาน ครูสังเกต พฤตกิ รรมของผู้เรยี นในกลุ่ม การจัดใหก้ ล่มุ มผี ้สู ังเกตการณ์ การจดั ให้ผูเ้ รียนสอนกันและกัน

4. การใช้ทักษะการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและทักษะการทางานกลุ่มย่อย ( ่ Interpersonal andSmall Group Skill) การเรียนรู้แบบร่วมมือจะประสบความสาเร็จได้ ต้องอาศัยทักษะที่สาคัญหลาย ประการ เช่น ทักษะทางสังคม ทักษะการปฏิสัมพันธ์กบผู้อ่ืน ทักษะการทางานกลุ่ม ทักษะการส่ือสารและ ทักษะการแก้ปัญหาขัดแย้ง รวมทั้งการเคารพ ยอมรับ และไว้วางใจซึ่งกันและกัน ซ่ึงครูควรสอนและฝึกให้แก่ ผู้เรียนเพือ่ ชว่ ยใหด้ าเนินงานไปได้ 5. การวิเคราะห์กระบวนการกลุ่ม (Group Processing) กลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือจะต้องมีการ วิเคราะห์กระบวนการทางานของกลุ่มเพื่อช่วยให้กลุ่มเกิดการเรียนรู้และปรั บปรุงการทางานให้ดีขึ้นซ่ึง ครอบคลุมการวิเคราะห์เกี่ยวกบวิธีการทางานกลุ่ม พฤติกรรมของสมาชิกกลุ่มและผลงานกลุ่ม การวิเคราะห์ การเรยี นรนู้ ี้อาจทาได้โดยครู หรือผเู้ รยี น หรือท้ังสองฝ่าย เป็นยุทธวิธีหน่ึงที่ส่งเสริมให้กลุ่มต้ังใจทางาน เพราะ รู้วาจะได้รับข้อมูลป้อนกลับ และช่วยฝึกทักษะการคิด คือ สามารถจะประเมินการคิดและพฤติกรรมของตนที่ ไดท้ าไป 1.3 การเรยี นแบบร่วมมอื ของเคแกน Kagan (อ้างถงึ ในพมิ พันธ์ เดชะคุปต์ 2544 : 38 - 47) ได้ออกแบบเทคนิคการเรยี นแบบรว่ มมือ เป็น เทคนคิ การเรยี นทไี่ ม่จาเป็นตอ้ งใช้ตลอดกิจกรรมการเรียนรู้ในแต่ละคาบ อาจใช้ในขั้นนาสอดแทรกใน ขั้นการ สอน ข้ันสรุป ขั้นทบทวน หรือขั้นวัดผล โดยการกาหนดโครงสร้างหรือกิจกรรมการเรียนรู้ให้ผู้เรียนมี ปฏิสัมพันธ์กน สมาชิกกลุ่มอาจคิดพร้อมกันหรืออภิปรายเป็นคู่ หรือสมาชิกกลุ่มพูด ส่วนสมาชิกกลุ่มอาจคิด พร้อมกนหรืออภิปรายเป็นคู่ หรือสมาชิกกลุ่มพูด ส่วนสมาชิกกลุ่มที่เหลือเป็นผู้ฟังต่อมาสมาชิกที่เป็นผู้ฟัง เปล่ียนมาเปน็ ผพู้ ดู สว่ นสมาชิกท่เี ป็นผูพ้ ูดเปลี่ยนมาเป็นผฟู้ งั เคแกนได้พัฒนาเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือไว้ถึง 52 เทคนิค โดยเทคนิคต่อไปนี้ เคแกนเสนอให้มีสมาชิก 4 - 6 คนต่อกลุ่ม และเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ อยา่ งไมเ่ ป็นทางการ มีดังนี้ 1) การพดู เป็ นคู่ (Rally Robin) เป็นเทคนิคทเี่ ปิดโอกาสใหผ้ เู้ รยี นพดู ตอบแสดงความคดิ เหน็ เป็นคู่ ๆ โดยเปดิ โอกาสให้สมาชกิ ทเ่ี ป็นคูพ่ ูดกนั ได้ โดยให้สลับกันเปน็ ผพู้ ูดและผู้ฟัง 2) การเขยี นเป็นคู่ (Rally Table) เป็นเทคนคิ คลา้ ยกบการพูดเป็นคู่ทกุ ประการตา่ งกันเพยี งการ เขียนเป็นคู่ เป็นการร่วมมือเป็นคู่ ๆ โดยผลัดกันเขียนหรือผลัดกันวาด (ใช้อุปกรณ์ : กระดาษ 2 แผ่นและ ปากกา 2 ด้ามตอ่ กล่มุ ) 3) การพดู รอบวง (Round Robbin) เป็นเทคนิคที่สมาชิกของกลุ่มผลักกนพูด ตอบเล่า อธิบายโดยไม่ ใช้การเขียน การวาด และเป็นการท่ีผลัดกนทลี ะคนตามเวลาท่ีกาหนด จนครบทุกคน 4) การเขียนรอบวง (Round Table) เป็นเทคนิคท่ีเหมือนกบการพูดรอบวง แตกต่างท่ีเน้นการเขียน การวาด (ใชอ้ ปุ กรณ์ : กรดาษ 1 แผน และปากกา 1 ด้าม ต่อกลุ่ม) เทคนคิ น้อี าจดัดแปลงให้สมาชิกกลุ่มทุกคน เขยี นหรอื บนั ทึกผลพร้อม ๆ กัน ตา่ งคนต่างเขยี นในเวลาท่ีกาหนด (ใชอ้ ปุ กรณ์ : กระดาษ 4แผน่ และปากกา 4 ดา้ ม ต่อกลุ่ม) เรยี กเทคนคิ น้ีว่า การเขียนพรอ้ มกนั รอบวง (Simultaneous RoundTable)

5) การแกปัญหาด้วยการต่อภาพหรือต่อคา (Jigsaw Problem Solving) เป็นเทคนิคท่ีสมาชิกแต่ละ คนคิดคาตอบของตนเองไว้ จากน้นั กลุ่มนาคาตอบของทกุ ๆ คนมารว่ มอภิปรายเพอ่ื หาคาตอบทด่ี ีทส่ี ุด 6) คิดเดี่ยว -คิดคู่ –ร่วมกนคิด ( Think -Pair -Share) เป็นเทคนิคโดยเร่ิมจากปัญหาหรือโจทย์ คาถาม โดยใหส้ มาชิกแตล่ ะคนคิดหาคาตอบดว้ ยตนเองก่อน แล้วนาคาตอบไปอภปิ รายกันเป็นคู่จากนั้น จงึ นาคาตอบของตนหรือของเพื่อนทเ่ี ป็นคเู่ ลา่ ใหเ้ พ่ือนฟังท้งั ชัน้ 7) อภปิ รายเป็นคู่ (Pair Discussion) เปน็ เทคนคิ ทคี่ รูถามคาถาม กาหนดโจทย์ แล้วใหส้ มาชกิ ท่ี นั่งใกลก้ นั ร่วมคดิ และอภิปรายเป็นคู่ 8) อภิปรายเป็นทีม (Team Discussion) เป็นเทคนิคท่ีเมื่อครู ตั้งคาถามกาหนดโจทย์แล้วให้สมาชิก ของกลุม่ ทุกคนรว่ มกันคดิ พูดอภิปรายพรอ้ มกัน 9) ทาเป็นกลุ่ม – ทาเป็นคู่-และทาคนเดียว (Team -Pair -Solo) เป็นเทคนิคท่ีเม่ือครูกาหนดปัญหา หรือโจทย์ หรืองานให้ทาแล้ว สมาชิกจะทางานร่วมกันท้ังกลุ่มจนทางานได้สาเร็จ และถึงข้ันสุดท้ายให้สมาชิก แตล่ ะคนทางานเดีย่ วจนสาเร็จ 10) การเรียงแถว (Line - Ups) เป็นเทคนคิ ทีง่ ่าย ๆ โดยให้ผเู้ รียนยนื เป็นแถวเรียงลาดับภาพข้อความ หรอื สงิ่ ทีค่ รูกาหนดให้ เช่นครูให้ภาพตา่ ง ๆ แก่ผู้เรยี น แล้วใหผ้ ูเ้ รียนเรียงลาดับขั้นตอนของวงจรชีวิตของแมลง หว่ งโซอ่ าหาร เปน็ ตน้ 11) การพดู เปน็ คตู่ ามเวลาท่ีกาหนด (Time -Pair -Share) เป็นเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือท่ีสมาชิก จับคู่กน สมาชิกคนท่ี 1 พูดในเวลาท่ีกาหนดเพื่อตอบโจทย์ปัญหาท่ีกาหนด สมาชิกคนที่ 2 ฟังจากน้ันให้สลับ หนา้ ทกี่ นั การพูดใช้เวลาเท่ากบั ครง้ั แรก 12) การทาโครงงานเป็นกลุ่ม (Team Project) เป็นเทคนิคการเรียนด้วยโครงงานโดยครูกาหนด วธิ กี ารทาโครงงาน ระบบุ ทบาทของสมาชิกแต่ละคนในกลมุ่ ให้ร่วมกันทาโครงงานตามมอบหมาย หรือ อาจใช้ วธิ ใี ห้ผเู้ รียนร่วมกนคดิ โครงงานกันเอง 13) การหาข้อยุติ (Showdown) เป็นเทคนิคท่ีใช้ทบทวนความรู้ วัดความรู้ ซ่ึงอาจใช้ได้ทุกขั้นตอน ของการสอนโดย - สมาชิกแต่ละคนเขียนคาถามตามท่คี รูกาหนดลงในกระดาษของตน - ให้สมาชกิ นาโจทย์คาถามพรอ้ มวางปากกาวางตรงกลางโตะ๊ - กาหนดหัวหน้า เรม่ิ ท่สี มาชิกคนใดคนหนงึ่ ก่อนกไ็ ด้ ใหส้ มุ่ หยบิ โจทย์คาถาม - สมาชิกทกุ คนหยิบปากกา แล้วเขยี นคาตอบเพื่อตอบโจทยค์ าถามในกระดาษของตนเอง - ตรวจคาตอบรว่ มกันถา้ ตอบถูกตอ้ ง ทุกคนก็แสดงความชน่ื ชม ถา้ ตอบไมถ่ ูกตอ้ งให้เปดิ ตาราคน้ คว้า หรือถามผู้สอนกไ็ ด้ แล้วแกไขให้ถกู ต้อง จากนน้ั หมุนเวยี นสมาชกิ คนต่อไปเปน็ หวั หนา้ แลว้ ดาเนนิ กิจกรรมตามข้ันตอนข้างต้น ทาเชน่ น้จี นสมาชกิ ทุกคนตอบโจทยค์ าถามได้ครบ 14) คิดเด่ียว -คิดคู่ -คิดเป็นกลุ่ม (Think -Pair -Square) เป็นเทคนิคโดยเร่ิมจากปัญหาหรือโจทย์ คาถามโดยสมาชิกแตล่ ะคนคิดคาตอบดว้ ยตนเองกอ่ น แล้วนาคาตอบของตนไปอภิปรายกบั เพื่อนเป็นค่จู ากนน้ั

ก็อภปิ รายกับสมาชิกในกลุ่มของตนกอ่ น แลว้ อาจนาคาตอบเลา่ ใหเ้ พ่ือท้ังช้นั ฟงั 15) การพดู วงกลมซอ้ น (Inside - Outside Circle) เป็นเทคนคิ ท่ผี ู้เรียนอาจน่ังหรอื ยืนเป็นวงกลม ซอ้ นกนั 2 วง แตล่ ะวงมีจานวนกลุ่มเท่ากัน วงในหันหน้าออก วงนอกนักหน้าเข้า หรือ อาจน่ังหรือยืน เป็นคู่ก็ ได้ ผู้เรียนที่เป็นคู่หรือกลุ่มท่ีเป็นคู่กันจะพูด หรืออภิปราย หรือนาเสนอผลงานกลุ่มแก่กันและกันโดยผลัดกัน พูด อาจมีกาหนดเวลาด้วย จากนั้นหมุนเวียนเปลี่ยนคู่และกลุ่มใหม่ไปเรื่อย ๆ โดยไม่ซ้ากันโดยผู้เรียนวงนอก และวงในเคล่อื นที่ไปในทิศทางตรงกนข้าม เพือ่ ใหพ้ บสมาชกิ ไม่ซา้ กลุ่มเดมิ งานวิจยั ทเี่ กีย่ วข้อง การวิจัยในคร้ังนี้ได้ศึกษางานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกบการเรียนแบบร่วมมือ และ การพัฒนาทักษะการคิด การเขียน มรี ายละเอยี ดสรุปได้ดงั นี้ จินตนา ปัณฑวงศ์ ( 2547 : บทคัดย่อ ) ได้ทาการวิจัยเร่ืองการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเพ่ือพัฒนา กระบวนการคิด ทักษะทางภาษา และพฤติกรรมที่พึงประสงค์ของนักเรียน มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา และ พัฒนากระบวนการคิด และทักษะทางภาษา และพฤติกรรมที่พึงประสงค์ โดยใช้การเรียนแบบร่วมมือ เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัย คือ แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบสอบถาม แบบสารวจหลักการสอน แบบสืบสอบช่ืนชม แบบสัมภาษณ์หลังสอน แบบสังเกตการเรียนรู้ ผลการวิจัยพบว่า ผู้เรียนเกิดกระบวนคิด เป็นรูปธรรม สามารถนาความรู้ที่ได้รับมาประดิษฐ์ของเล่นจากแรงดันสูญญากาศได้ เกิดทักษะการแก้ปัญหา อย่างเป็นระบบ ผู้เรียนเกิดพฤติกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ เกิดการเปล่ียนแปลงที่ยังยืนในการพึ่งพาเก้ือกูล กันและกัน ผู้เรียนมีทักษะทางภาษาดีขึ้น นักเรียนท่ีเก่งจะช่วยเหลือนักเรียนท่ีอ่อน เพ่ือให้มีการพัฒนาการ เรยี น และผลงานของรายบคุ คลและกล่มุ ฤทัยรัตน์ ทิพวรรณ ( 2544 : บทคัดย่อ ) ได้ทาการวิจยั เร่ือง การพัฒนาทกั ษะการเขียนสะกดคา ภาษาไทย โดยใช้กิจกรรมการเรียนแบบร่วมมือสาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 มีวัตถุประสงค์เพื่อ พฒั นาชดุ ฝกึ ทักษะการเขยี นสะกดคาภาษาไทย โดยใช้กิจกรรมการเรียนแบบร่วมมือ และศึกษาความสามารถ ในการเขียนสะกดคาภาษาไทยของนกั เรียนก่อนหลงั การใชช้ ดุ ฝึกทักษะการเขียนสะกดคาผลการวิจัย เครื่องมือ ท่ีใชใ้ นการวิจยั คอื ชุดฝึกทกั ษะการเขยี นสะกดคาภาษาไทย แบบสารวจปัญหาการเรียนการสอนวิชาภาษาไทย ด้านการสะกดคา แบบทดสอบวัดความสามารถในการเขียนสะกดคาภาษาไทย ผลการวิจัย พบวา ปัญหาการ เรียนการสอนด้านสะกดคา 3 อันดบั แรก คาท่ไี มป่ ระวสิ รรชนีย์ คาท่ใี ชส้ ระไอไม้มลาย และที่ตัว ล ผลของการ นาชดุ ฝึกทกั ษะการเขียนสะกดคามาใช้นักเรียนสูงกว่าก่อนใชอ้ ย่างมนี ัยสาคัญทางสถติ ิท่รี ะดบั .05 ระเบียบวธิ ีวจิ ัย ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง กลมุ่ เป้าหมายใช้ในการศึกษา ได้แก่ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 6 สาขาบัญชี โรงเรียนราชประชานุ เคราะห์ 31 ซึง่ กาลงั ศกึ ษาอย่ใู นภาคเรียนที่ 1 ปี การศกึ ษา 2563 จานวน 15 คน

การคดั เลือกกลมุ่ ตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่าง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สาขาบัญชี โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 ซึ่งกาลัง ศกึ ษาอย่ใู นภาคเรยี นที่ 1 ปี การศึกษา 2563 จานวน 5 คน เครอื่ งมอื ท่ีใชใ้ นการศกึ ษา 1. แผนการจดั การเรียนร้วู ิชาการบญั ชรี ว่ มค้าและฝากขาย โดยใช้รปู แบบการเรียนรู้แบบร่วมมอื เนื้อหาประกอบด้วยความรู้ท่ัวไปเกยี่ วกบการร่วมคา้ การสอนแบบร่วมมอื 1. ครูผ้สู อนจะช้แี จงวัตถุประสงค์การเรยี นการสอนแบบรว่ มมอื 2. แบง่ ผ้เู รียนออกเป็นกลมุ่ ย่อยกลุ่มละ 4-6 คน โดยมีทั้งนักเรยี น เกง่ ออ่ น ปานกลางอยู่รวมกันในแต่ ละกลมุ่ 3. กาหนดให้มหี วั หน้ากลุม่ เลขากลมุ่ สมาชิกในกล่มุ 4. กาหนดให้แต่ละกลุ่มต้องส่งงานพร้อมกันเป็นกลุ่มให้ช่วยเหลือดูแลซึ่งกันและกันใน การทางาน ตามท่คี รมู อบหมาย 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนมขี นั้ ตอนการสร้าง ดงั น้ี 1. ศึกษาทฤษฎีการสรา้ งข้อสอบแบบเลอื กตอบ 2. ศกึ ษาเนอ้ื หา และจุดประสงค์การเรยี นรู้ของวชิ าการบญั ชีรว่ มค้าและระบบใบสาคัญ 3. สรา้ งแบบทดสอบ 4. นาแบบทดสอบไปให้หวั หนา้ สาขาวิชาตรวจพจิ ารณา การรวบรวมขอ้ มลู ผ้วู ิจัยเก็บรวบรวมขอ้ มูลดว้ ยตัวเอง โดยดาเนินการดงั น้ี 1. ชแ้ี จงวัตถปุ ระสงค์และข้นั ตอนในการทดลองให้นกั เรยี นกลมุ่ ตวั อย่างทราบ 2. ทดสอบก่อนเรียนและบันทกึ คะแนน 3. ดาเนินการเรยี นการสอนด้วยวิธกี ารสอนแบบรว่ มมือ 4. ทดสอบหลงั เรยี นโดยใช้แบบทดสอบชดุ เดยี วก่อนเรยี น สถิตทิ ีใ่ ช้ในการวเิ คราะห์ขอ้ มูล 1. ค่าเฉลี่ย (Mean) ของคะแนนแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนการทดลองและหลังการทดลอง และ ผลการประเมนิ การวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างการทดลอง

2. ค่า t-test แบบ Dependentวิเคราะห์ความแตกต่างของคะแนนจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรยี นก่อนการทดลองและหลังการทดลอง 3. ค่าเบีย่ งเบนมาตรฐาน (Standard deviation) ของคะแนนแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนการ ทดลองและหลงั การทดลอง การวเิ คราะหข์ ้อมลู สาคัญ การวเิ คราะหข์ อ้ มูลในการวิจยั เรื่อง ความรทู้ ั่วไปเกย่ี วกบการร่วมค้า วิชาการบญั ชรี ว่ มคา้ และระบบใบสาคัญ นักเรียนระดับชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 6 สาขาบัญชี ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูล เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างคะแนนที่ได้จากการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้รูปแบบ การเรียนแบบร่วมมือของเคแกน และการเปรียบเทียบคะแนนที่ได้จากการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน วิชาการบัญชีร่วมคา้ และระบบใบสาคัญ โดยหาค่าเฉล่ียของคะแนนท่ีไดจ้ ากการทดสอบ ตารางท่ี 1 ตารางเปรยี บเทยี บความแตกตา่ งระหว่างคะแนนที่ไดจ้ ากการทดสอบกอ่ นเรียนและหลังเรยี น ดว้ ยเทคนิคการเรียนของเคแกน ลาดับท่ี คะแนนกอ่ นเรียน คะแนนหลงั เรยี น สว่ นต่างของคะแนน 1 5 8 +3 2 4 8 +4 3 6 9 +3 4 4 8 +4 5 6 7 +1 สรปุ ผลการวิจัย จากการเปรียบเทียบคะแนนกอ่ นเรียนและหลงั เรียน นักศึกษาทุกคนมคี ะแนนหลงั เรียนมากกว่า ก่อนเรียน โดยนักศึกษามีคะแนนเฉล่ียหลังเรียนสูงข้ึน 3.34 คะแนน คะแนนเฉล่ียก่อนเรียนคือ 4.61 คะแนน คิดเปน็ คะแนนเฉลีย่ รอ้ ยละ 46.10 และ คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนคือ 7.95 คะแนน คิดเป็นคะแนน เฉลี่ยร้อยละ 79.50 อภปิ รายผล การเปรียบเทียบคะแนนก่อนเรยี นและหลงั เรยี นวชิ าการบญั ชีรว่ มค้าและระบบใบสาคัญ ของนกั เรียน

พบว่านักเรียนมีคะแนนเฉล่ียหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ซ่ึงสอดคล้องกบงานวิจัยของจินตนา ปัณฑวงศ์ (2547:บทคดั ยอ่ ) ไดท้ าการวจิ ยั เรอ่ื งการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเพ่ือพัฒนากระบวนการคิด ทักษะทางภาษา ผลการวิจัยพบวา ผ้เู รียนเกิดกระบวนคิดเป็นรูปธรรม สามารถนาความรู้ทีไ่ ดร้ บั มาประดิษฐข์ อง เล่นจากแรงดันสูญญากาศได้ เกิดทักษะการแกปัญหาอย่างเป็นระบบ ผู้เรียนเกิดพฤติกรรมการเรียนรู้แบบ รว่ มมือ เกดิ การเปล่ียนแปลงท่ยี ังยนื ในการพึ่งพาเกอื้ กูลกันและกัน ผู้เรียนมีทักษะทางภาษาดีข้ึนนักเรียนที่เก่ง จะชว่ ยเหลอื นักเรียนที่อ่อน เพอื่ ใหม้ กี ารพัฒนาการเรียน และผลงานรายบุคคลและกลมุ่ ข้อเสนอแนะ 1. ก่อนท่ีจะสอนด้วยวิธีการเรียนแบบร่วมมือครู ผู้สอนต้องเข้าใจวิธีการอย่างถ่องแท้ และต้อง เตรยี มการให้เปน็ ระบบ มีข้ันตอน สามารถมองภาพโดยรวมของกิจกรรมการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี เพ่ือ ป้องกน ขอ้ ผดิ พลาดที่อาจเกดิ ขนึ้ ได้ 2. การจัดกลุ่มไม่ควรให้ผู้เรียนจัดกลุ่มกนเอง เพราะผู้เรียนจะ ั จัดกลุ่มเฉพาะคนที่สนิทกน อาจทา การปฏิบัติกิจกรรมไมเ่ ป็นไปตามเปา้ หมายท่ตี อ้ งการ ควรจัดกลุ่มแบบคละผลสัมฤทธิ์ ในแตล่ ะกลุ่มควรมี สมาชกิ ที่เรียนดี และเรียนอ่อนคละกน ดงั นั้นครูจึงควรเป็นผ้กู าหนดวธิ กี ารจัดกลุม่ 3. การจดั กิจกรรมการเรยี นร้คู วรเน้นผูเ้ รียนเป็นสาคญั จัดกิจกรรมหรือสถานการณท์ ม่ี ุ่งเนน้ ใหผ้ ู้เรยี น ไดพ้ ยายามแสวงหาความรู้ และค้นพบดว้ ยตนเอง ครตู อ้ งคอยดูแลใหค้ าแนะนา ติดตามสังเกต ควรให้ผู้เรียนได้ รว่ มกนทากิจกรรมทค่ี รูจดั ขึน้ เพื่อให้ผเู้ รียนตระหนักถึงความสาคญั ของการใหค้ วามร่วมมอื แกก่ ลมุ่ 4. เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือของเคแกน ครูผู้สอนสามารถนามาใช้ได้ง่ายและสะดวก เพราะ สามารถนามาใช้สอดแทรกในกิจกรรมการจดั การเรียนรู้ในข้ันคอนใดก็ได้ อาจใช้ในการข้ันนา สอดแทรกในขั้น การสอน ข้ันสรุป ขั้นทบทวน หรือขั้นวัดผล โดยกาหนดโครงสร้างหรือกิจกรรมการเรียนรู้ให้ผู้เรียนมี ปฏิสัมพนั ธ์กน จงึ ควรนามาพัฒนาใชก้ ับรายวชิ าอ่นื ๆ ในสาขาการบญั ชไี ดอ้ ีก บรรณานกุ รม คณะกรรมการการศึกษาเอกขน,สานักงาน. แนวการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญระดับ อาชีวศกึ ษา. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พค์ รุ สุ ภาลาดพรา้ ว,2545. จินตนา ปณั ฑวงศ,์ การจัดการเรียนร้แบบร่วมมือเพิ่ ู มพัฒนากระบวนการคิด ทักษะทางภาษาและ พฤติกรรม ที่พึงประสงค์ของนกั เรียน. งานวิจยั . โรงเรียนสาธติ สถาบนั ราชภฎั เชียงใหม่2547. ทิศนา แขมมณี. ศาสตร์การสอน : องค์ความร้เพ่ือการจัดกระบวนการเรียนร ู ท้ ี่มีประสิทธิภาพ. กรุงเทพฯ : สานักงานพมิ พแ์ ห่งจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , 2545. พมิ พันธ์ เดชะคปุ ต.์ ทักษะวิชาชพี ครยู ุคปฏิรูปการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : บริษัทเดอะมาสเตอร์กรุ๊ป จากัด, 2544. ฤทยั รตั น์ ทพิ วรรณ, การพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคาภาษาไทยโดยใช้กิจกรรมการเยนแบบร่วมมือ สาหรับ นกั เรยี นชนั้ ประถมศึกษาปี ที่ 2, วทิ ยานพิ นธ์ ค.ม. : สถาบันราชภฎั นครสวรรค์, 2544. วฒั นา ระงบั ทกุ ข,์ แผนการสอนท่ีเน้นผเ้ รียนเป็ นศ ู ูนย์กลาง. พมิ พค์ รั้งที่ 3, กรงุ เทพฯ : บริษทั สานัก

พิมพว์ ฒั นาพานชิ จากดั , 2545. สามญั ศกึ ษา,กรม.ชุดฝึกอบรมด้วยตนเองเรือ่ งการวจิ ยั ช้นั เรียน. กรุงเทพฯ : โรงพิมพค์ ุรสุ ภา ลาดพร้าว, 2544.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook