Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ทฤษฎีประมวลสารสนเทศ

ทฤษฎีประมวลสารสนเทศ

Published by Kawjoy, 2023-02-24 15:09:01

Description: ทฤษฎีประมวลสารสนเทศ

Search

Read the Text Version

ทฤษฎปี ระมวลสารสนเทศ (Information Processing Model) ทฤษฎกี ารเรียนรกู้ ล่มุ ปญั ญานิยม (Cognitive Learning Theories)

1 นางสาวกญั ญาณฐั นอ้ ยนนั ท์ เลขท่ี 4 รหัสนกั ศกึ ษา 365180512004 2 นางสาวชนนิ าถ อนนั ตพนั ธ์ เลขท่ี 16 รหสั นกั ศกึ ษา 365180512016 3 นางสาวณภษร แสงอนิ ทร์ เลขท่ี 25 รหัสนกั ศกึ ษา 365180512025

1. ทฤษฎปี ระมวลสารสนเทศ (Information Processing Model) นักจิตวิทยากลุ่มหนึ่งของปัญญานิยมมองว่าการ เรียนรู้เป็นการเปลี่ยนแปลงปริมาณความรู้ของผู้เรียน ท้ังในด้านปริมาณ และวิธีการประมวลสารสนเทศ แนวคิดดังกล่าว เรียกว่า ทฤษฎีประมวลสารสนเทศ ทฤษฎีนี้ให้ความสนใจกับธรรมชาติของผู้เรียนซึ่งเป็นผู้ ที่ active (มีความตื่นตวั ในการเรยี น) 1

2. ความคดิ พื้นฐานในการใช้ทฤษฎีประมวลสารสนเทศ ทฤษฎีน้ีมีแนวคิดว่า การทางานของสมองมีความ คล้ายคลึงกบั การทางานของเครื่องคอมพิวเตอร์ ตามทัศนะของนักจิตวิทยา ความคิดพ้ืนฐานในการใช้ ทฤษฎีประมวลสารสนเทศ มดี ังต่อไปน้ี 1.การเรียนรู้ส่ิงใดก็ตามผู้เรียนสามารถควบคุมอัตรา ความเร็วของการเรียนรู้ และข้นั ตอนการเรยี นรไู้ ด้ 2. การเรียนรู้เป็นการเปล่ียนแปลงความรู้ของผู้เรียน ทั้ง ทางด้านปริมาณและคุณภาพ 2

3. การประมวลขอ้ มูลตามแนวความคิดของทฤษฎปี ระมวลสารสนเทศ คลอสไมเออร์ (Klausmeire,1985) ได้อธิบายการเรียนรู้ของมนุษย์โดยเปรียบเทียบการ ทางานของคอมพวิ เตอร์กบั การทางานของสมอง ซ่งึ มกี ารทางานเป็นขัน้ ตอนดงั น้ีคอื 1. การรบั ข้อมลู (Input) โดยผ่านทางอุปกรณห์ รือเครื่องรบั ขอ้ มูล 2. การเข้ารหัส (Encoding) โดยอาศัยชุดคาสง่ั หรือซอฟต์แวร์ (Software) 3. การสง่ ขอ้ มลู ออก (Output) โดยผ่านทางอปุ กรณ์ 3

4. กระบวนการประมวลข้อมูลสารสนเทศ เป็นกระบวนการทางสมองในการจัดการเก็บข้อมูลข่าวสารที่เป็นสิ่งแวดล้อม ภายนอกตัวบุคคล ผ่านการรับรู้เข้ามาในสมอง แล้วเก็บบันทึกไว้ในสมองหรือจะ ถกู จัดเก็บในรูปความจา โดยแบง่ ออกเป็น 3 รูปแบบ คือ 1. ความจาจากการสัมผสั (Sensory Memory) 2. ความจาระยะสน้ั (Short-term Memory หรอื STM) 3. ความจาระยะยาว (Long-term Memory หรอื LTM) 4

4.1 รูปแบบความจา 1. ความจาจากการสมั ผัส (Sensory Memory) เปน็ การจัดเกบ็ ขอ้ มลู เบื้องตน้ ทต่ี รงตามสภาพความเปน็ จรงิ ตามธรรมชาติของส่ิงเร้า ขอ้ มลู นจ้ี ะอยรู่ ะยะส้นั เพยี ง 1-3 วินาที เพ่อื รอการตัดสนิ ใจ ซ่งึ กระบวนการควบคุมใหเ้ กิด ความจาระยะนี้ คือ - การระลึกได้ (Recognition) ถึงสง่ิ ทไ่ี ด้เรยี นรมู้ าแล้ว - ความใสใ่ จ (Attention) ตอ่ ขอ้ มูลทร่ี บั รู้ 5

4.2 รูปแบบความจา (ตอ่ ) 2. ความจาระยะสัน้ (Short-term Memory หรอื STM) นักจิตวิทยาศึกษาเก่ียวกับความจาระยะส้ันพบว่าอย่างมากจา ไดเ้ พียง 20 วินาทหี รอื ระหวา่ ง 15-30 วนิ าที บางคร้งั เรยี กความจา ระยะส้ันว่า ความจาปฏิบัติการ (Working memory) เพราะ เป็นความจาเก่ียวกับสิ่งที่เราต้องการใช้ในขณะหนึ่ง ในช่วงท่ีกาลัง ทาการประมวลสารสนเทศเท่าน้ัน เช่น การท่องหรือการทบทวน ข่าวสารขอ้ มลู น้นั กจ็ ะหายไปในเวลาไมก่ ี่วนิ าที 6

4.3 รปู แบบความจา (ต่อ) 3. ความจาระยะยาว (Long-term Memory หรอื LTM) ถ้าต้องการเก็บข้อมูลความจาระยะสั้นไว้ใช้ภายหลัง ข้อมูลน้ันจะตอ้ งประมวลและเปล่ียนรูป จากความจาระยะสั้นไป ใช้ในความจาระยะยาว กระบวนการท่ีใช้เรียกว่า การ เข้ารหัส (Encoding) ซ่ึงอาจเกิดขึ้นโดยการท่องซ้าๆ เช่น การ ท่องสูตรคูณ การท่องซ้าหลายๆ คร้ัง ก็จะเข้าไปเก็บไว้ใน ความจาระยะยาว 7

ไดอะแกรมการประมวลขอ้ มูลตามแนวความคดิ ของทฤษฎีประมวลสารสนเทศ 8

5. ข้นั ตอนการประมวลข้อมลู สารสนเทศ เม่อื ข้อมลู ผ่านเขา้ ไปในสมองของมนุษย์ โดยผา่ นประสาทสัมผสั ท้งั 5 จะเกิดการแปรขอ้ มลู เพื่อเตรียม นาไปเก็บไวใ้ นความจารูปแบบตา่ งๆ และพร้อมท่จี ะใหเ้ รยี กกลับขึน้ มาใชไ้ ด้อกี ซึ่งมี 3 ขัน้ ตอน ดังนี้ 1. ขน้ั การเข้ารหสั (Encoding) เมื่อสมองรับรู้ข้อมูลที่จะจาแล้ว ก็จะผ่านข้อมูลท่ีรับรู้ ไปยังสมอง สมองไม่ได้บันทึกข้อมูลท่ีรับสัมผัสโดยตรง แต่ จะเปลี่ยนเปน็ รหัสเสียกอ่ น เช่น เม่ือนักเรียนได้ยินเสียงครู สอน เสยี งครไู มไ่ ดถ้ กู บันทกึ เข้าไปในสมองจริง แต่เสียงน้ัน จะถูกเปลี่ยนให้เป็นรหัสก่อน จึงจะนาเข้าไปจาไว้ในสมอง ส่วนความจาระยะส้ันต่อไป 9

5. ขัน้ ตอนการประมวลขอ้ มูลสารสนเทศ (ตอ่ ) 2. ข้ันเก็บรหสั (Storage) เป็นการบันทึกข้อมูลท่ีเปล่ียนแปลงเป็นรหัสเรียบร้อยแล้วใน ความจาระยะสั้นบันทึกลงบนสมองให้เป็นความจาระยะยาว เพ่ือ ความสะดวกในการระลึกข้อมูลนั้นในอนาคต เช่น จะบันทึกข้อมูล ปากกา แก้วน้า ดินสอ และจาน สมองจะจัดหมวดหมู่ข้อมูล เป็น 2 ชุด คือ ชุดเครื่องเขียน ได้แก่ ปากกา ดินสอ และชุด ภาชนะ คือ แก้วน้า จาน จากน้ันสมองจึงทาการบันทึกความจา โดยสร้างรอยความจา (Memory trace) ไวใ้ นสมอง 10

5. ข้นั ตอนการประมวลขอ้ มูลสารสนเทศ (ต่อ) 3. ข้นั การถอดรหสั (Retrieval) เป็นการคิดค้นหรือการคืนมาของข้อมูลท่ี บันทึกเอาไว้ในความจาระยะยาว กลับเข้ามาสู่ ความจาระยะสั้น หากข้อมูลท่ีระลึกได้ตรงกับ ข้อมูลท่ีบันทึกไว้แสดงว่าจาได้ แต่ถ้าข้อมูลท่ี ระลกึ ไดไ้ มต่ รงกับข้อมลู ทบี่ ันทึกไว้ แสดงว่ามีการ ลมื เกดิ ขึน้ 11

6. องคป์ ระกอบของกระบวนการประมวลข้อมูลสารสนเทศ การที่บุคคลจะมีกระบวนการประมวลข้อมูลสารสนเทศทมี่ ปี ระสิทธภิ าพนน้ั จะต้องมรี ะบบความจาข้อมูลท่ี ดี การจาขอ้ มูลได้มากนอ้ ยเพียงใดก็ขนึ้ กบั กระบวนการทางปัญญาของบุคคลนน้ั ซง่ึ ประกอบดว้ ย 1. การใส่ใจ (Attention) เป็นปัจจยั สำคญั ในกำรรบั ขอ้ มลู เพ่อื เขำ้ รหสั เก็บไวใ้ นควำมจำระยะสนั้ 2. การรับรู้ (Perception) เม่ือบุคคลใส่ใจในข้อมูลใดท่ี รับเขา้ มาทางประสาทสัมผัส บุคคลก็จะรับรู้ข้อมูลนั้น และนา ข้อมลู นีเ้ ขา้ สู่ความจาระยะส้ัน (STM) 12

6. องคป์ ระกอบของกระบวนการประมวลขอ้ มูลสารสนเทศ (ต่อ) 3. การทาซา้ (Rehearsal) หากบุคคลมกี ระบวนการรักษาข้อมูล โดยการทบทวนซ้าแล้วซ้าอีก ข้อมลู น้นั ก็จะยังคงถูกเก็บรักษาไว้ใน ความจาระยะสัน้ 4. การเข้ารหัส (Encoding) หากบุคคลมีกระบวนการสร้าง ตัวแทนทางความคิด (Mental representation) เก่ียวกับข้อมูล นัน้ โดยมกี ารนาขอ้ มลู นัน้ เขา้ สู่ความจาระยะยาว 5. การเรียกคนื (Retrieval) การเรียกคนื ข้อมลู ที่จาไวใ้ นความจา ระยะยาว เพ่ือนาออกมาใช้ มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับการ เขา้ รหสั 13

7. ความรู้ในเชงิ เมตาคอคนิชน่ั หรอื การรู้คิด (Metacognition knowledge) หากเปรียบเทียบกระบวนการทางสมองในการประมวลข้อมูลกับ คอมพิวเตอร์ ก็คือโปรแกรมสั่งงานหรือ“Software” ส่วนการควบคุมการ ประมวลข้อมลู ของสมอง คือ การที่บุคคลรู้ถงึ การคิดของตนให้เป็นไปในทางท่ี ตนต้องการการรู้ เรยี กว่า“Metacognition”หรือ“การรู้คิด” ซึ่งหมายถึง การ ตระหนักรู้ (Awareness) เกี่ยวกับความรู้และความสามารถของตนเอง ประกอบไปดว้ ย 14

7. ความรู้ในเชงิ เมตาคอคนิชน่ั หรือการรคู้ ิด (Metacognition knowledge) 1. ความรูเ้ กี่ยวกับบุคคล (Person) ประกอบไปด้วย ความรู้ ความเชื่อเกี่ยวกับ - ความแตกตา่ งภายในตัวบคุ คล (Intra individual differences) - ความแตกตา่ งระหว่างบุคคล (Inter individual differences) - ลกั ษณะสากลของกระบวนการรูค้ ิด (Universals of cognition) 2. ความร้เู กี่ยวกบั งาน (Task) ประกอบด้วยความรเู้ กี่ยวกับขอบข่ายงานปจั จยั เงอื่ นไขของงาน และลกั ษณะของงาน 15

7. ความรู้ในเชิงเมตาคอคนชิ นั่ หรอื การรู้คิด (Metacognition knowledge) 3. ความรู้เกี่ยวกับกลวธิ ี (Strategy) ประกอบดว้ ยความรู้เกี่ยวกบั กลวธิ ีการรู้ คิดเฉพาะด้านและโดยรวม และประโยชนข์ องกลวิธีนั้นทมี่ ตี ่องานแตล่ ะอยา่ งใน ลกั ษณะทีค่ ลา้ ยคลึงกัน ไดจ้ าแนกความรูใ้ นเชิงเมตาคอคนิชั่นออกเป็น 3 ประเภท เชน่ เดียวกนั ได้แก่ - ความรเู้ ชิงปัจจัย (Declarative knowledge) - ความรูเ้ ชงิ กระบวนการ (Procedural knowledge) - ความรู้เชงิ เงอ่ื นไข (Conditional knowledge) 16

8. การประยุกตใ์ ชก้ ารทฤษฎีประมวลสารสนเทศในการเรียนการสอน 1. การนาเสนอสิ่งเร้าที่ผู้เรียนรู้จักหรือมีข้อมูลอยู่แล้วจะ สามารถช่วยให้ผู้เรียนให้ความใส่ใจและรับรู้สิ่งนั้น ซ่ึงผู้สอน สามารถเชอื่ มโยงไปถึงสิง่ ใหมท่ ี่เกยี่ วข้องกบั ส่ิงน้ันได้ 2. การจัดการเรยี นการสอน ผสู้ อนควรวเิ คราะหว์ า่ สง่ิ ใดบา้ ง ท่ีเป็นตัวกระตุ้นความสนใจของผู้เรียน เพื่อจัดสิ่งเร้าในการ เรยี นรใู้ หต้ รงกบั ความสนใจของผู้เรียน 17

8. การประยกุ ตใ์ ชก้ ารทฤษฎีประมวลสารสนเทศในการเรยี นการสอน(ตอ่ ) 3. ข้อมูลที่ผ่านการรับรู้แล้ว จะถูกนาไปเก็บไว้ในความจา ระยะส้ัน ดังนั้นหากต้องการที่จะจาส่ิงน้ันนานกว่าน้ี ต้องใช้ วธิ ีการต่างๆ ชว่ ย เชน่ การทอ่ งจาซ้ากนั หลายๆ คร้ัง 4. หากต้องการจะให้ผู้เรียนจดจาเนื้อหาสาระใดๆ ได้เป็น เวลานาน สาระน้ันจะต้องได้รับการเข้ารหัส (Encoding) เพื่อ นาไปเข้าหน่วยความจาระยะยาว วิธีการเข้ารหัสสามารถทาได้ หลายวธิ ี เชน่ การท่องจา 18

8. การประยุกตใ์ ช้การทฤษฎีประมวลสารสนเทศในการเรยี นการสอน(ต่อ) 5. ข้อมูลท่ีถูกนาไปเก็บไว้ในหน่วยความจาระยะส้ันหรือ ร ะยะยา ว แล้ว สา มา ร ถเรียก อ อ ก มา ใ ช้ งา นได้ โ ด ย ผ่าน “Effectors” ซ่ึงเป็นตัวกระตุ้นพฤติกรรมทางวาจาหรือ การกระทามาเป็นพฤตกิ รรมทส่ี ังเกตเห็นได้ 6. การท่ีผู้เรียนรู้จักการบริหารควบคุมกระบวนการทาง ปัญญาหรือกระบวนการคิดของตน ทาให้บุคคลน้ันสามารถ ส่ังงานให้สมองกระทาการต่างๆ โดยผู้เรียนจะประสบ ผลสาเร็จในการเรยี นรูไ้ ด้ 19

9. จดุ ดแี ละจุดอ่อนทฤษฎปี ระมวลสารสนเทศ จุดดี 1. ความสามารถในการเก็บบันทึกข้อมูลท่ีรับเข้ามาในสมองส่วนความจา ระยะยาว ซึ่งเปน็ องคป์ ระกอบพ้นื ฐานท่ีสาคญั ของการเรยี นร้ทู ุกชนิด 2. นาไปประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นแล้ว การ พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนเพ่ือพัฒนาการเรียนรู้หลายแบบได้ใช้ ทฤษฎีเป็นพื้นฐาน 20

9. จดุ ดแี ละจดุ อ่อนทฤษฎีประมวลสารสนเทศ (ตอ่ ) จดุ อ่อน 1. ทฤษฎีไม่ได้อธิบายว่าเม่ือข้อมูลเข้าไปเก็บไว้ท่ีความจาระยะยาวแล้วจะ อยู่ไดน้ านเท่าใด การวิจัยในปจั จุบันไมไ่ ดใ้ ห้คาตอบท่ชี ดั เจน 2. ทฤษฎีไม่ได้อธิบายว่าทาไมข้อมูลบางข้อมูลไม่สามารถเข้าไปท่ีความจา ระยะยาว (LTM) แต่บางขอ้ มูลเข้าไปได้ 21

ขอบคุณคะ่


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook