การจัดการทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อม (ศน.ณฐั สิทธ์ิ ธงยส่ี ิบสอง) การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม หมายถึง การดาเนินงานต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ มอยา่ งมี ประสิทธิภาพ ท้งั ในดา้ นการจดั หาการเก็บรักษา การซ่อมแซม การใชอ้ ยา่ งประหยดั และการสงวนรักษา เพื่อให้ทรัพยากรธรรม ชาตและสิ่งแวดลอ้ มน้นั สามารถเอ้ืออานวยประโยชนแ์ ก่มวลมนุษยไ์ ดใ้ ชต้ ลอดไปอยา่ งไม่ขาดแคลนหรือมีปัญหาใด ๆ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ ม หมายถึง สิ่งตา่ ง ๆ ที่อยรู่ อบตวั มนุษย์ ท้งั ที่มีชีวติ และไม่มีชีวติ ท้งั ท่ีเป็นรูปธรรม (จบั ตอ้ งมองเห็นได)้ และนามธรรม (วฒั นธรรม แบบแผน ประเพณี ความเช่ือ) ประเภทของทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อม ก. ทรัพยากรธรรมชาติ แบง่ ตามลกั ษณะที่นามาใชไ้ ด้ 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ 1. ทรัพยากรธรรมชาติประเภทใชแ้ ลว้ ไม่หมดสิ้น 2. ทรัพยากรธรรมชาติประเภทใชแ้ ลว้ หมดสิ้นไป ส่ิงแวดล้อม สิ่งแวดล้อมของมนุษย์ท่ีอยู่รอบ ๆ ตวั ท้งั ส่ิงท่ีมีชีวิตและไม่มีชีวิต ซ่ึงเกิดจาก การกระทาของมนุษยแ์ บ่งออกเป็ น 2 ประเภท คือ 1. ส่ิงแวดลอ้ มทางธรรมชาติ 2. ส่ิงแวดลอ้ มทางวฒั นธรรม หรือสิ่งแวดลอ้ มประดิษฐ์ หรือมนุษยเ์ สริมสร้างกาหนดข้ึน ส่ิงแวดล้อมมกี ารเปลยี่ นแปลงอยู่เสมอ ซึ่งเกดิ จากสาเหตุ 2 ประการ คือ 1) มนุษย์ 2) ธรรมชาติแวดลอ้ ม มนุษย์ เป็นตวั การเปลี่ยนแปลงสังคมเพ่ือผลประโยชนข์ องตนเอง มากกวา่ ส่ิง อื่น เช่น ชอบจบั ปลา ในฤดูวางไข่ ใชเ้ คร่ืองมือถี่เกินไปทาใหป้ ลาเลก็ ๆ ติดมาดว้ ย ลกั ลอบตดั ไมท้ าลายป่ า เพื่อนามาสร้างที่อยูอ่ าศยั ส่งเป็ นสินคา้ หรือ เพือ่ ใชพ้ ้นื ท่ีเพาะปลูกปล่อยของเสียจากโรงงานและไอเสียจากรถยนตท์ าใหส้ ิ่งแวดลอ้ มเป็นพษิ (น้าเน่า อากาศเสีย) ทรัพยากรดนิ ดินเป็ นสิ่งแวดลอ้ มที่เกิดข้ึนเองโดยธรรมชาติ เกิดจากการสลายตวั ผุพงั ของหินชนิดต่าง ๆ โดยใชเ้ วลาท่ีนานมาก หินท่ีสลายตวั ผุกร่อนน้ีจะมีขนาดต่าง ๆ กนั เมื่อผสมรวมกบั ซากพืช ซากสัตว์ น้า อากาศ ก็กลายเป็ นเน้ือดินซ่ึงส่วนประกอบ เหล่าน้ีจะมากนอ้ ยแตกต่างกนั ไปตามชนิดของดิน
ประโยชน์ของดนิ ดินมีประโยชนม์ ากมายมหาศาลตอ่ มนุษยแ์ ละส่ิงมีชีวติ อื่น ๆ คือ 1. ประโยชน์ตอ่ การเกษตรกรรม เพราะดินเป็นตน้ กาเนิดของการเกษตรกรรมเป็ นแหล่งผลิตอาหารของมนุษย์ ในดินจะมี อินทรียวตั ถุและธาตุอาหารรวมท้งั น้าท่ีจาเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช อาหารที่คนเราบริโภคในทุกวนั น้ีมาจากการเกษตรกรรม ถึง 90% 2. การเล้ียงสัตว์ ดินเป็ นแหล่งอาหารสัตวท์ ้งั พวกพืชและหญา้ ที่ข้ึนอยู่ ตลอดจนเป็ นแหล่งที่อยู่อาศยั ของสัตวบ์ างชนิด เช่น งู แมลง นาก ฯลฯ 3. เป็ นแหล่งที่อยู่อาศยั แผ่นดินเป็ นท่ีต้งั ของเมือง บา้ นเรือน ทาให้เกิดวฒั นธรรมและอารยธรรมของชุมชนต่าง ๆ มากมาย 4. เป็นแหล่งเกบ็ กกั น้า เน้ือดินจะมีส่วนประกอบสาคญั ๆ คือ ส่วนท่ีเป็ นของแข็ง ไดแ้ ก่ กรวด ทราย ตะกอน และส่วนท่ี เป็นของเหลว คือ น้าซ่ึงอยใู่ นรูปของความช้ืนในดินซ่ึงถา้ มีอยมู่ าก ๆ ก็จะกลายเป็ นน้าซึมอยคู่ ือน้าใตด้ ิน น้าเหล่าน้ีจะค่อย ๆ ซึม ลงท่ีต่า เช่น แม่น้าลาคลองทาใหเ้ รามีน้าใชไ้ ดต้ ลอดปี ชนิดของดิน อนุภาคของดินจะรวมตวั กนั เขา้ เกิดเป็ นเม็ดดิน อนุภาคเหล่าน้ีจะมีขนาดไม่เท่ากนั ขนาดเล็กท่ีสุดคืออนุภาคดินเหนียว อนุภาคขนาดกลางเรียกอนุภาคทรายแป้ง อนุภาคขนาดใหญ่เรียกวา่ อนุภาคทรายเน้ือดิน จะมีอนุภาคท้งั 3 กลุ่มน้ีผสมกนั อยใู่ น สัดส่วนท่ีไม่เทา่ กนั ทาใหเ้ กิดลกั ษณะของดิน 3 ชนิดใหญ่ ๆ คือ ดินเหนียว ดินทราย และดินร่วน 1. ดินเหนียว เป็ นดินที่เม่ือเปี ยกแลว้ มีความยืดหยุน่ อาจป้ันเป็ นกอ้ นหรือคลึงเป็ นเส้นยาวไดเ้ หนียวเหนอะหนะติดมือ เป็นดินที่มีการระบายน้าและอากาศไมด่ ี มีความสามารถในการอุม้ น้าไดด้ ี มีความสามารถในการจบั ยึดและแลกเปล่ียนธาตุอาหาร พืชไดส้ ูง หรือค่อนขา้ งสูง เป็ นดินท่ีมีกอ้ นเน้ือละเอียด เพราะมีปริมาณอนุภาคดินเหนียวอยู่มาก เหมาะที่จะใชท้ านาปลูกขา้ ว เพราะเก็บน้าไดน้ าน 2. ดินทราย เป็ นดินที่มีการระบายน้าและอากาศดีมาก มีความสามารถในการอุม้ น้าต่า มีความอุดมสมบูรณ์ต่า เพราะ ความสามารถในการจบั ยึดธาตุอาหารพืชมีนอ้ ย พืชท่ีช้นั บนดินทรายจึงมกั ขาดท้งั อาหารและน้าเป็ นดินท่ีมีเน้ือดินทรายเพราะมี ปริมาณอนุภาคทรายมาก 3. ดินร่วน เป็ นดินท่ีมีเน้ือดินค่อนข้างละเอียดนุ่มมือ ยืดหยุ่นได้บา้ ง มีการระบายน้าได้ดีปานกลาง จดั เป็ นเน้ือดินที่ เหมาะสมสาหรับการเพาะปลูกในธรรมชาติมกั ไมค่ อ่ ยพบ แตจ่ ะพบดินที่มีเน้ือดินใกลเ้ คียงกนั มากกวา่ สีของดินจะทาให้เราทราบ ถึงความอุดมสมบูรณ์ปริมาณอินทรียวตั ถุที่ปะปนอยูแ่ ละแปรสภาพเป็ นฮิวมสั ในดิน ทาให้สีของดินต่างกนั ถา้ มีฮิวมสั น้อยสีจะ จางลงมีความอุดมสมบูรณ์นอ้ ย ปัญหาทรัพยากรดนิ ดินส่วนใหญ่ถูกทาลายให้สูญเสียความอุดมสมบูรณ์ หรือตวั เน้ือดินไปเน่ืองจากการกระทาของมนุษย์ และการสูญเสีย ตามธรรมชาติทาใหเ้ ราไม่อาจใชป้ ระโยชน์จากดินไดอ้ ยา่ งเตม็ ประสิทธิภาพ การสูญเสียดินเกิดไดจ้ าก
1. การกดั เซาะและพงั ทลายโดยน้า น้าจานวนมากที่กระทบผิวดินโดยตรงจะกดั เซาะผิวดิน ใหห้ ลุดลอยไปตามน้า การ สูญเสียบริเวณผวิ ดินจะเป็นพ้นื ที่กวา้ ง หรือถูกกดั เซาะเป็นร่องเล็ก ๆ ก็ข้ึนอยกู่ บั ความแรง และบริเวณของน้าท่ีไหลบา่ ลงมาก 2. การตดั ไมท้ าลายป่ า การเผาป่ า ถางป่ าทาใหห้ นา้ ดินเปิ ด และถูกชะลา้ งไดง้ ่ายโดยน้าและลมเม่ือฝนตกลงมา น้าก็ชะลา้ ง เอาหนา้ ดินที่อุดมสมบูรณ์ไปกบั น้า ทาใหด้ ินมีคุณภาพเส่ือมลง 3. การเพาะปลูกและเตรียมดินอยา่ งไม่ถูกวธิ ี การเตรียมที่ดินทาการเพาะปลูกน้นั ถา้ ไม่ถูกวธิ ีก็จะก่อความเสียหายกบั ดิน ไดม้ ากตวั อยา่ งเช่น การไถพรวนขณะดินแหง้ ทาใหห้ นา้ ดินท่ีสมบูรณ์หลุดลอยไปกบั ลมได้ หรือการปลูกพืชบางชนิดจะทาใหด้ ิน เส่ือมเร็ว การเผาป่ าไม้ หรือตอขา้ วในนา จะทาให้ฮิวมสั ในดินเส่ือมสลายเกิดผลเสียกบั ดินมาก ดินที่เป็ นกรด เกษตรกรแกไ้ ขได้ โดยการใชป้ ูนขาวหวา่ น และไถพรวนใหเ้ ขา้ กบั ดิน การอนุรักษ์ดนิ ปัญหาที่เกิดข้ึนจากการพงั ทลายหรือการสูญเสียความอุดมสมบูรณ์ของหนา้ ดินน้นั จะทาให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ติดตามมา เช่น ดินขาดความอุดมสมบูรณ์ทาใหเ้ กษตรกรตอ้ งซ้ือป๋ ุยเคมีมาบารุงดินเสียค่าใชจ้ ่ายมหาศาล ตะกอนดินท่ีถูกชะลา้ งทาใหแ้ ม่น้า และปากแม่น้าต้ืนเขิน ตอ้ งขุดลอกใชเ้ งินเป็ นจานวนมาก เราจึงควรป้องกนั ไม่ให้ดินพงั ทลายหรือเสื่อมโทรมซ่ึงสามารถกระทา ไดด้ ว้ ยการอนุรักษด์ ิน 1. การใชท้ ี่ดินอยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม การปลูกพชื ควรตอ้ งคานึงถึงชนิดของพืชท่ีเหมาะสมกบั คุณสมบตั ิของดิน การปลูก พืชและการไถพรวนตามแนวระดบั เพ่ือป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของหน้าดิน นอกจากน้ีควรจะสงวนรักษาท่ีดินท่ีมีความอุดม สมบูรณ์ไวใ้ ช้ในกิจการอื่น ๆ เช่น โรงงานอุตสาหกรรม ท่ีอยู่อาศยั เพราะท่ีดินที่มีความอุดมสมบูรณ์และเหมาะสมในการ เพาะปลูกมีอยจู่ านวนนอ้ ย 2. การปรับปรุงบารุงดิน การเพิ่มธาตุอาหารให้แก่ดิน เช่น การใส่ป๋ ุยพืชสด ป๋ ุยคอก การปลูกพืชตะกูลถว่ั การใส่ปูนขาว ในดินท่ีเป็นกรด การแกไ้ ขพ้นื ท่ีดินเคม็ ดว้ ยการระบายน้าเขา้ ท่ีดิน เป็นตน้ 3. การป้องกนั การเส่ือมโทรมของดิน ไดแ้ ก่ การปลูกพืชคลุมดิน การปลูกพืชหมุนเวียน การปลูกพืชบงั ลม การไถพรวน ตามแนวระดบั การทาคนั ดินป้องกนั การไหลชะลา้ งหนา้ ดิน รวมท้งั การไมเ่ ผาป่ าหรือการทาไร่เลื่อนลอย 4. การใหค้ วามชุ่มช้ืนแก่ดิน การระบายน้าในดินที่มีน้าขงั ออกการจดั ส่งเขา้ สู่ท่ีดินและการใชว้ สั ดุ เช่น หญา้ หรือฟางคลุม หนา้ ดินจะช่วยใหด้ ินมีความอุดมสมบูรณ์ ทรัพยากรนา้ โลกของเราประกอบข้ึนด้วยพ้ืนดินและพ้ืนน้า โดยส่วนท่ีเป็ นฝื นน้าน้นั มีอยู่ประมาณ 3 ส่วน (75%) และเป็ น พ้นื ดิน 1 ส่วน (25%) น้ามีความสาคญั อยา่ งยิ่งกบั ชีวิตของพืชและสัตวบ์ นโลกรวมท้งั มนุษยเ์ ราดว้ ยน้าเป็ นทรัพยากรที่สามารถเกิด หมุนเวียนไดเ้ รื่อย ๆ ไม่มีวนั หมดสิ้น เมื่อแสงแดดส่องมาบนพ้ืนโลก น้าจากทะเลและมหาสมุทรก็จะระเหยเป็ นไอน้าลอยข้ึนสู่ เบ้ืองบนเน่ืองจากไอน้ามีความเบากวา่ อากาศ เมื่อไอน้าลอยสู่เบ้ืองบนแลว้ จะไดร้ ับความเยน็ และกลนั่ ตวั กลายเป็ นละอองน้าเล็ก ๆ ลอยจบั ตวั กนั เป็ นกลุ่มเฆม เมื่อจบั ตวั กนั มากข้ึนและกระทบความเยน็ ก็จะกลน่ั ตวั กลายเป็ นหยดน้าตกลงสู่พ้ืนโลก น้าบนพ้ืน
โลกจะระเหยกลายเป็นไอน้าอีกเม่ือไดร้ ับความร้อนจากดวงทิตย์ ไอน้าจะรวมตวั กนั เป็ นเมฆและกลนั่ ตวั เป็ นหยดน้ากระบวนการ เช่นน้ี เกิดข้ึนเป็นวฏั จกั รหมุนเวยี นตอ่ เน่ืองกนั ตลอดเวลา เรียกวา่ วฏั จกั รน้าทาใหม้ ีน้าเกิดข้ึนบนผวิ โลกอยสู่ ม่าเสมอ การอนุรักษ์นา้ น้ามีความสาคญั และมีประโยชนม์ หาศาล เราจึงควรช่วยแกไ้ ขปัญหาน้าเสียหรือการสูญเสียทรัพยากรน้าดว้ ยการอนุรักษ์ น้า ดงั น้ี 1. การใชน้ ้าอยา่ งประหยดั การใชน้ ้าอยา่ งประหยดั นอกจากจะลดค่าใชจ้ า่ ยเก่ียวกบั คา่ น้าลงไดแ้ ลว้ ยงั ทาให้ปริมาณน้าเสีย ที่จะทิ้งลงแหล่งน้ามีปริมาณนอ้ ย และป้องกนั การขาดแคลนน้าไดด้ ว้ ย 2. การสงวนน้าไวใ้ ช้ ในบางฤดูหรือในสภาวะที่มีน้ามากเหลือใชค้ วรมีการเก็บน้าไวใ้ ช้ เช่น การทาบ่อเก็บน้า การสร้าง โอ่งน้า ขดุ ลอกแหล่งน้า รวมท้งั การสร้างอา่ งเก็บน้า และระบบชลประทาน 3. การพฒั นาแหล่งน้า ในบางพ้ืนท่ีท่ีขาดแคลนน้า จาเป็ นท่ีจะตอ้ งหาแหล่งน้าเพิ่มเติม เพื่อใหส้ ามารถมีน้าไวใ้ ช้ ท้งั ใน ครัวเรือนและในการเกษตรไดอ้ ยา่ งพอเพียง ปัจจุบนั การนาน้าบาดาลข้ึนมาใชก้ าลงั แพร่หลายมากข้ึนแต่อาจมีปัญหาเร่ืองแผน่ ดิน ทรุด 4. การป้องกนั น้าเสีย การไม่ทิ้งขยะและสิ่งปฎิกูลและสารพิษลงในแหล่งน้า น้าเสียที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรม โรงพยาบาล ควรมีการบาบดั และขจดั สารพิษก่อนท่ีจะปล่อยลงสู่แหล่งน้า 5. การนาน้าเสียกลบั ไปใช้ น้าที่ไม่สามารถใชไ้ ดใ้ นกิจการอยา่ งหน่ึงอาจใชไ้ ดใ้ นอีกกิจการหน่ึง เช่น น้าทิ้งจากการลา้ ง ภาชนะอาหาร สามารถนาไปรดตน้ ไมไ้ ด้ ทรัพยากรป่ าไม้ ประเภทของป่ าไมใ้ นประเทศไทย ประเภทของป่ าไมจ้ ะแตกต่างกนั ไปข้ึนอยกู่ บั การกระจายของฝน ระยะเวลาท่ีฝนตกรวมท้งั ปริมาณน้าฝนทาใหป้ ่ าแต่ละ แห่งมีความชุ่มช้ืนตา่ งกนั สามารถจาแนกไดเ้ ป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ 1. ป่ าประเภทท่ีไมผ่ ลดั ใบ (Evergreen) 2. ป่ าประเภทที่ผลดั ใบ (Deciduous) ป่ าประเภททไี่ ม่ผลดั ใบ (Evergreen) ป่ าประเภทน้ีมองดูเขียวชอุ่มตลอดปี เนื่องจากตน้ ไมแ้ ทบท้งั หมดท่ีข้ึนอยเู่ ป็ นประเภทท่ีไม่ผลดั ใบ ป่ าชนิดสาคญั ซ่ึงจดั อยใู่ นประเภท น้ี ไดแ้ ก่ 1. ป่ าดงดิบ (Tropical Evergreen Forest or Rain Forest) ป่ าดงดิบที่มีอยูท่ ว่ั ในทุกภาคของประเทศ แต่ที่มีมากที่สุด ไดแ้ ก่ ภาคใตแ้ ละภาคตะวนั ออก ในบริเวณน้ีมีฝนตกมาก และมีความช้ืนมากในทอ้ งท่ีภาคอื่น ป่ าดงดิบมกั กระจายอยบู่ ริเวณท่ีมีความชุ่มช้ืนมาก ๆ เช่น ตามหุบเขาริมแม่น้าลาธาร หว้ ย แหล่งน้า และบนภูเขา ซ่ึงสามารถแยกออกเป็นป่ าดงดิบชนิดตา่ ง ๆ ดงั น้ี
1.1 ป่ าดิบช้ืน (Moist Evergreen Forest) เป็นป่ ารกทึบมองดูเขียวชอุ่มตลอดปี มีพนั ธุ์ไมห้ ลายร้อยชนิดข้ึนเบียดเสียดกนั อยูม่ กั จะพบกระจดั กระจายต้งั แต่ความสูง 600 เมตร จากระดบั น้าทะเล ไมท้ ี่สาคญั ก็คือ ไมต้ ระกูลยางต่าง ๆ เช่น ยางนา ยางเสียน ส่วนไมช้ ้นั รอง คือ พวกไมก้ อ เช่น กอน้า กอเดือย 1.2 ป่ าดิบแลง้ (Dry Evergreen Forest) เป็ นป่ าท่ีอยูใ่ นพ้ืนท่ีค่อนขา้ งราบมีความชุ่มช้ืนน้อย เช่น ในแถบภาคเหนือและภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือมกั อยูส่ ูงจาก ระดบั น้าทะเลประมาณ 300-600 เมตร ไมท้ ี่สาคญั ไดแ้ ก่ มะคาโมง ยางนา พยอม ตะเคียนแดง กระเบากลกั และตาเสือ 1.3 ป่ าดิบเขา (Hill Evergreen Forest) ป่ าชนิดน้ีเกิดข้ึนในพ้ืนท่ีสูง ๆ หรือบนภูเขาต้งั แต่ 1,000-1,200 เมตร ข้ึนไปจากระดับน้าทะเล ไม้ส่วนมากเป็ นพวก Gymonosperm ไดแ้ ก่ พวกไมข้ ุนและสนสามพนั ปี นอกจากน้ียงั มีไมต้ ระกูลกอข้ึนอยู่ พวกไมช้ ้นั ที่สองรองลงมา ไดแ้ ก่ เป้ง สะเดาชา้ ง และขมิ้นตน้ 2. ป่ าสนเขา (Pine Forest) ป่ าสนเขามกั ปรากฎอยตู่ ามภูเขาสูงส่วนใหญ่เป็ นพ้ืนที่ซ่ึงมีความสูงประมาณ 200-1800 เมตร ข้ึนไปจากระดบั น้าทะเลใน ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ บางทีอาจปรากฎในพ้ืนที่สูง 200-300 เมตร จากระดับน้าทะเลในภาค ตะวนั ออกเฉียงใต้ ป่ าสนเขามีลกั ษณะเป็ นป่ าโปร่ง ชนิดพนั ธุ์ไมท้ ่ีสาคญั ของป่ าชนิดน้ีคือ สนสองใบ และสนสามใบ ส่วนไม้ ชนิดอ่ืนที่ข้ึนอยดู่ ว้ ยไดแ้ ก่พนั ธุ์ไมป้ ่ าดิบเขา เช่น กอชนิดต่าง ๆ หรือพนั ธุ์ไมป้ ่ าแดงบางชนิด คือ เตง็ รัง เหียง พลวง เป็นตน้ 3. ป่ าชายเลน (Mangrove Forest) บางทีเรียกวา่ \"ป่ าเลนน้าเคม็ ”หรือป่ าเลน มีตน้ ไมข้ ้ึนหนาแน่นแต่ละชนิดมีรากค้ายนั และรากหายใจ ป่ าชนิดน้ีปรากฎอยู่ ตามท่ีดินเลนริมทะเลหรือบริเวณปากน้าแม่น้าใหญ่ ๆ ซ่ึงมีน้าเค็มท่วมถึงในพ้ืนที่ภาคใตม้ ีอยตู่ ามชายฝ่ังทะเลท้งั สองดา้ น ตาม ชายทะเลภาคตะวนั ออกมีอยทู่ ุกจงั หวดั แต่ที่มากท่ีสุดคือ บริเวณปากน้าเวฬุ อาเภอลุง จงั หวดั จนั ทบุรี พนั ธุ์ไมท้ ่ีข้ึนอยูต่ ามป่ าชายเลน ส่วนมากเป็ นพนั ธุ์ไมข้ นาดเล็กใช้ประโยชน์สาหรับการเผาถ่านและทาฟื นไมช้ นิดที่ สาคญั คือ โกงกาง ประสัก ถว่ั ขาว ถว่ั ขา โปรง ตะบูน แสมทะเล ลาพูนและลาแพน ฯลฯ ส่วนไมพ้ ้ืนล่างมกั เป็ นพวก ปรง ทะเลเหงือกปลายหมอ ปอทะเล และเป้ง เป็นตน้ 4. ป่ าพรุหรือป่ าบึงน้าจืด (Swamp Forest) ป่ าชนิดน้ีมกั ปรากฎในบริเวณท่ีมีน้าจืดท่วมมาก ๆ ดินระบายน้าไม่ดีป่ าพรุในภาคกลาง มีลกั ษณะโปร่งและมีตน้ ไม้ ข้ึนอยหู่ ่าง ๆ เช่น ครอเทียน สนุ่น จิก โมกบา้ น หวายน้า หวายโปร่ง ระกา ออ้ และแขม ในภาคใตป้ ่ าพรุมีข้ึนอยูต่ ามบริเวณ ท่ีมีน้าขงั ตลอดปี ดินป่ าพรุที่มีเน้ือท่ีมากที่สุดอยู่ในบริเวณจงั หวดั นราธิวาสดินเป็ นพีท ซ่ึงเป็ นซากพืชผุสลายทบั ถมกนั เป็ น เวลานานป่ าพรุแบ่งออกได้ 2 ลกั ษณะ คือ ตามบริเวณซ่ึงเป็ นพรุน้ากร่อยใกลช้ ายทะเลตน้ เสม็ดจะข้ึนอยูห่ นาแน่นพ้ืนที่มีตน้ กก ชนิดต่าง ๆ เรียก \"ป่ าพรุเสม็ด หรือ ป่ าเสม็ด\" อีกลกั ษณะเป็ นป่ าท่ีมีพนั ธุ์ไมต้ ่าง ๆ มากชนิดข้ึนปะปนกนั ชนิดพนั ธุ์ไมท้ ี่สาคญั
ของป่ าพรุ ไดแ้ ก่ อินทนิล น้าหวา้ จิก โสกน้า กระทุ่มน้าภนั เกรา โงงงนั กะทง่ั หนั ไมพ้ ้ืนล่างประกอบดว้ ย หวาย ตะคา้ ทอง หมากแดง และหมากชนิดอื่น ๆ 5. ป่ าชายหาด (Beach Forest) เป็ นป่ าโปร่งไม่ผลดั ใบข้ึนอยูต่ ามบริเวณหาดชายทะเล น้าไม่ท่วมตามฝ่ังดินและชายเขาริมทะเล ตน้ ไมส้ าคญั ท่ีข้ึนอยู่ ตามหาดชายทะเล ตอ้ งเป็นพืชทนเคม็ และมกั มีลกั ษณะไมเ้ ป็ นพุ่มลกั ษณะตน้ คดงอ ใบหนาแขง็ ไดแ้ ก่ สนทะเล หูกวาง โพธ์ิ ทะเล กระทิง ตีนเป็ดทะเล หยนี ้า มกั มีตน้ เตยและหญา้ ต่าง ๆ ข้ึนอยเู่ ป็ นไมพ้ ้ืนล่าง ตามฝั่งดินและชายเขา มกั พบไมเ้ กตลาบิด มะคาแต้ กระบองเพชร เสมา และไมห้ นามชนิดต่าง ๆ เช่น ซิงซี่ หนามหนั กาจาย มะดนั ขอ เป็นตน้ ป่ าประเภททผ่ี ลดั ใบ (Declduous) ตน้ ไมท้ ี่ข้ึนอยใู่ นป่ าประเภทน้ีเป็นจาพวกผลดั ใบแทบท้งั สิ้น ในฤดูฝนป่ าประเภทน้ีจะมองดูเขียวชอุ่มพอถึงฤดูแลง้ ตน้ ไม้ ส่วนใหญ่จะพากนั ผลดั ใบทาใหป้ ่ ามองดูโปร่งข้ึน และมกั จะเกิดไฟป่ าเผาไหมใ้ บไมแ้ ละตน้ ไมเ้ ล็ก ๆ ป่ าชนิดสาคญั ซ่ึงอยู่ ในประเภทน้ี ไดแ้ ก่ 1. ป่ าเบญจพรรณ (Mixed Declduous Forest)ป่ าผลดั ใบผสม หรือป่ าเบญจพรรณมีลกั ษณะเป็ นป่ าโปร่งและยงั มีไมไ้ ผช่ นิดต่าง ๆ ข้ึนอยูก่ ระจดั กระจายทว่ั ไปพ้ืนที่ดินมกั เป็ นดินร่วนปนทราย ป่ าเบญจพรรณ ในภาคเหนือมกั จะมีไมส้ ักข้ึนปะปนอยูท่ วั่ ไป ครอบคลุมลงมาถึงจงั หวดั กาญจนบุรี ในภาคกลางในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือและภาคตะวนั ออก มีป่ าเบญจพรรณนอ้ ยมากและ กระจดั กระจาย พนั ธุ์ไมช้ นิดสาคญั ไดแ้ ก่ สัก ประดู่แดง มะค่าโมง ตะแบก เสลา ออ้ ยชา้ ง ส้าน ยม หอม ยมหิน มะเกลือ สมพง เกด็ ดา เก็ดแดง ฯลฯ นอกจากน้ีมีไมไ้ ผท่ ่ีสาคญั เช่น ไผป่ ่ า ไผบ่ ง ไผซ่ าง ไผร่ วก ไผไ่ ร เป็นตน้ 2. ป่ าเต็งรัง (Declduous Dipterocarp Forest)หรือที่เรียกกนั วา่ ป่ าแดง ป่ าแพะ ป่ าโคก ลกั ษณะทวั่ ไปเป็ นป่ าโปร่ง ตามพ้ืนป่ า มกั จะมีโจด ตน้ แปรง และหญา้ เพ็ก พ้ืนที่แห้งแลง้ ดินร่วนปนทราย หรือกรวด ลูกรัง พบอยู่ทวั่ ไปในที่ราบและที่ภูเขา ใน ภาคเหนือส่วนมากข้ึนอยูบ่ นเขาท่ีมีดินต้ืนและแหง้ แลง้ มากในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ มีป่ าแดงหรือป่ าเต็งรังน้ีมากท่ีสุด ตาม เนินเขาหรือท่ีราบดินทรายชนิดพนั ธุ์ไมท้ ่ีสาคญั ในป่ าแดง หรือป่ าเต็งรัง ไดแ้ ก่ เต็ง รัง เหียง พลวง กราด พะยอม ติ้ว แตว้ มะค่าแต ประดู่ แดง สมอไทย ตะแบก เลือดแสลงใจ รกฟ้า ฯลฯ ส่วนไมพ้ ้ืนล่างท่ีพบมาก ได้แก่ มะพร้าวเต่า ป่ ุมแป้ง หญา้ เพก็ โจด ปรงและหญา้ ชนิดอื่น ๆ 3. ป่ าหญา้ (Savannas Forest)ป่ าหญา้ ที่อยทู่ ุกภาคบริเวณป่ าที่ถูกแผว้ ถางทาลายบริเวณพ้ืนดิน ท่ีขาดความสมบูรณ์และถูกทอดทิ้ง หญา้ ชนิดต่าง ๆ จึงเกิดข้ึนทดแทนและพอถึงหน้าแลง้ ก็เกิดไฟไหมท้ าให้ตน้ ไมบ้ ริเวณ ขา้ งเคียงล้มตาย พ้ืนท่ีป่ าหญา้ จึงขยายมากข้ึนทุกปี พืชท่ีพบมากที่สุดในป่ าหญา้ ก็คือ หญ้าคา หญา้ ขนตาช้าง หญา้ โขมง หญา้ เพก็ และป่ ุมแป้ง บริเวณท่ีพอจะมีความช้ืนอยบู่ า้ ง และการระบายนา้ ไดด้ ีก็มกั จะพบพงและแขมข้ึนอยู่ และอาจพบตน้ ไมท้ น ไฟข้ึนอยู่ เช่น ตบั เตา่ รกฟ้าตานเหลือ ติว้ และแตว้ ประโยชน์ของทรัพยากรป่ าไมห้ ยอ่ นใจไดด้ ี นอกจากน้นั ป่ าไมย้ งั เป็ นท่ีรวมของพนั ธุ์พืชและพนั ธุ์สัตวจ์ านวนมาก จึง เป็นแหล่งใหม้ นุษย์ ป่ าไมม้ ีประโยชน์มากมายต่อการดารงชีวติ ของมนุษยท์ ้งั ทางตรงและทางออ้ ม ไดแ้ ก่.
ประโยชนท์ างตรง (Direct Benefits) ไดแ้ ก่ ปัจจยั 4 ประการ1. จากการนาไมม้ าสร้างอาคารบา้ นเรือนและผลิตภณั ฑต์ ่าง ๆ เช่น เฟอร์นิเจอร์ กระดาษ ไมข้ ีด ไฟ ฟื น เป็ นตน้ 2. ใช้เป็ นอาหารจากส่วนต่าง ๆ ของพืชและผล3. ใช้เส้นใย ท่ีไดจ้ ากเปลือกไมแ้ ละเถาวลั ยม์ าถกั ทอ เป็ น เคร่ืองนุ่งห่ม เชือกและอื่น ๆ4. ใชท้ ายารักษาโรคตา่ ง ๆ ประโยชน์ทางออ้ ม (Indirect Benefits) 1. ป่ าไมเ้ ป็นเป็นแหล่งกาเนิดตน้ น้าลาธารเพราะตน้ ไมจ้ านวนมากในป่ าจะทาให้น้าฝนท่ีตกลงมาค่อย ๆ ซึมซบั ลงในดิน กลายเป็นน้าใตด้ ินซ่ึงจะไหลซึมมาหล่อเล้ียงใหแ้ มน่ ้า ลาธารมีน้าไหลอยตู่ ลอดปี 2. ป่ าไมท้ าใหเ้ กิดความชุ่มช้ืนและควบคุมสภาวะอากาศ ไอน้าซ่ึงเกิดจากการหายใจของพืช ซ่ึงเกิดข้ึนอยมู่ ากมายในป่ า ทาใหอ้ ากาศเหนือป่ ามีความช้ืนสูงเม่ืออุณหภูมิลดต่าลงไอน้าเหล่าน้นั ก็จะกลนั่ ตวั กลายเป็ นเมฆแลว้ กลายเป็ นฝนตกลงมา ทาให้ บริเวณท่ีมีพ้ืนป่ าไมม้ ีความชุ่มช้ืนอยเู่ สมอ ฝนตกตอ้ งตามฤดูกาลและไมเ่ กิดความแหง้ แลง้ 3. ป่ าไมเ้ ป็ นแหล่งพกั ผอ่ นและศึกษาความรู้ บริเวณป่ าไมจ้ ะมีภูมิประเทศท่ีสวยงามจากธรรมชาติรวมท้งั สัตวป์ ่ าจึงเป็ น แหล่งพกั ผอ่ นไดศ้ ึกษาหาความรู้ 4. ป่ าไมช้ ่วยบรรเทาความรุนแรงของลมพายแุ ละป้องกนั อุทกภยั โดยช่วยลดความเร็วของลมพายุที่พดั ผา่ นไดต้ ้งั แต่ ๑๑- ๔๔ % ตามลกั ษณะของป่ าไมแ้ ต่ละชนิด จึงช่วยให้บา้ นเมืองรอดพน้ จากวาตภยั ไดซ้ ่ึงเป็ นการป้องกนั และควบคุมน้าตามแม่น้า ไมใ่ หส้ ูงข้ึนมารวดเร็วลน้ ฝ่ังกลายเป็นอุทกภยั 5. ป่ าไมช้ ่วยป้องกนั การกดั เซาะและพดั พาหนา้ ดิน จากน้าฝนและลมพายโุ ดยลดแรงปะทะลงการหลุดเลือนของดินจึง เกิดข้ึนน้อย และยงั เป็ นการช่วยให้แม่น้าลาธารต่าง ๆ ไม่ต้ืนเขินอีกด้วย นอกจากน้ีป่ าไมจ้ ะเป็ นเสมือนเครื่องกีดขวางตาม ธรรมชาติ จึงนบั วา่ มีประโยชน์ในทางยทุ ธศาสตร์ดว้ ยเช่นกนั การอนุรักษ์ป่ าไม้ ป่ าไมถ้ ูกทาลายไปจานวนมาก จึงทาให้เกิดผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศไปทวั่ โลกรวมท้งั ความสมดุลในแง่อื่นดว้ ย ดงั น้ัน การฟ้ื นฟูสภาพป่ าไมจ้ ึงตอ้ งดาเนินการเร่งด่วน ท้งั ภาครัฐภาคเอกชนและ ประชาชน ซ่ึงมีแนวทางในการกาหนด แนวนโยบายดา้ นการจดั การป่ าไม้ ดงั น้ี 1. นโยบายดา้ นการกาหนดเขตการใชป้ ระโยชนท์ ี่ดินป่ าไม้ 2. นโยบายดา้ นการอนุรักษท์ รัพยากรป่ าไมเ้ กี่ยวกบั งานป้องกนั รักษาป่ าการอนุรักษส์ ิ่งแวดลอ้ มและสนั ทนาการ 3. นโยบายดา้ นการจดั การท่ีดินทากินใหแ้ ก่ราษฎรผยู้ ากไร้ในทอ้ งถิ่น 4. นโยบายดา้ นการพฒั นาป่ าไม้ เช่น การทาไมแ้ ละการเก็บหาของป่ า การปลูก และการบารุงป่ าไม้ การคน้ ควา้ วจิ ยั และดา้ นการอุตสาหกรรม 5. นโยบายการบริหารทวั่ ไปจากนโยบายดงั กล่าวขา้ งตน้ เป็ นแนวทางในการพฒั นาและการจดั การทรัพยากรป่ าไมข้ อง ชาติใหไ้ ดร้ ับผลประโยชน์ ท้งั ทางดา้ นการอนุรักษแ์ ละดา้ นเศรษฐกิจอยา่ งผสมผสานท้งั น้ีเพ่ือใหเ้ กิดความสมดุลของธรรมชาติ และมีทรัพยากรป่ าไมไ้ วอ้ ยา่ งยงั่ ยนื ต่อไปในอนาคต
ทรัพยากรแร่ธาตุ แร่ คือ ธาตุแท้ หรือสารบริสุทธ์ิที่เกิดข้ึนเองตามธรรมชาติ โดยมีส่วนประกอบทางเคมีและมีรูปผลึกที่แน่นอน จดั เป็ น ทรัพยากรธรรมชาติประเภทหน่ึงท่ีมีความสาคญั ต่อมนุษยม์ าต้งั แตส่ มยั โบราณ ชนิดของแร่ เราสามารถแบ่งแร่ออกเป็น 3 ชนิด คือ แร่โลหะ แร่อโลหะ และแร่เช้ือเพลิง 1) แร่โลหะคือ แร่ที่นามาถลุงก่อน แลว้ จึงนาไปใชป้ ระโยชน์ แร่โลหะที่สาคญั ไดแ้ ก่ ดีบุก วลุ แฟรม เหล็กทองแดง เป็ นตน้ 2) แร่อโลหะ คือ แร่ท่ีสามารถนามาใชป้ ระโยชน์ไดโ้ ดยไมต่ อ้ งถลุงแร่อโลหะที่สาคญั ไดแ้ ก่ ยปิ ซมั เกลือแกง แร่รัตน ชาติ 3) แร่เช้ือเพลิง คือ แร่ท่ีใชเ้ ป็นพลงั งานเช้ือเพลิง แร่เช้ือเพลิงท่ีสาคญั ไดแ้ ก่ ลิกไนต์ น้ามนั และกา๊ ซธรรมชาติ ประโยชน์ของแร่ 1) ใชใ้ นกิจการอุตสาหกรรม 2) ใชท้ าเคร่ืองใช้ เครื่องประดบั ตา่ งๆ 3) ใชใ้ นการก่อสร้างอาคารบา้ นเรือน 4) ใชเ้ ป็นเช้ือเพลิงใหค้ วามร้อนและพลงั งานตลอดจนนามาสร้างเป็นเคร่ืองอานวยความสะดวกต่างๆ ทรัพยากรสัตว์ป่ า การอนุรักษ์สัตว์ป่ า สัตวป์ ่ ามีประโยชน์ต่อสิ่งแวดลอ้ มซ่ึงรวมถึงคนเราดว้ ยท้งั โดยทางตรงและทางออ้ ม จึงตอ้ งมีวิธีการป้องกนั และแกไ้ ข ไม่ใหส้ ตั วป์ ่ าลดจานวนหรือสูญพนั ธุ์ดว้ ยการอนุรักษส์ ตั วป์ ่ า ดงั น้ี 1. กาหนดกฎหมายและวธิ ีการปฏิบตั ิอยา่ งเคร่งครัด เพ่ือให้ป่ าเป็ นแหล่งอาหารท่ีอยอู่ าศยั ของสัตวป์ ่ า อาทิ เขตรักษาพนั ธุ์ สตั วป์ ่ า เขตหา้ มล่าสัตวป์ ่ า เขตเพาะพนั ธุ์สตั วป์ ่ า ฯลฯ ใหม้ ีมากเพียงพอ 2. การรณรงคเ์ ผยแพร่ประชาสัมพนั ธ์ ใหเ้ ห็นความสาคญั ในการอนุรักษส์ ัตวป์ ่ าอยา่ งจริงจงั 3. การไม่ล่าสัตวป์ ่ า ไม่ควรมี การล่าสัตวป์ ่ าทุกชนิด ท้งั สัตวป์ ่ าสงวนสัตวป์ ่ าคุม้ ครองเพราะปัจจุบนั สัตวป์ ่ าทุกชนิดไดล้ ดจานวนลงอย่างมากทาให้ขาดความ สมดุลทางธรรมชาติ 4. การป้องกนั ไฟป่ า ไฟป่ านอกจากจะทาใหป้ ่ าไมถ้ ูกทาลายแลว้ ยงั เป็ นการทาลายแหล่งอาหารและที่อยอู่ าศยั ของสัตวป์ ่ า ดว้ ย 5. การปลูกฝังการใหค้ วามรัก และเมตตาตอ่ สัตวอ์ ยา่ งถูกวธิ ีสัตวป์ ่ าทุกชนิดมีความรักชีวติ เหมือนกบั มนุษย์ การฆ่าสัตวป์ ่ า การนาสัตวป์ ่ ามาเล้ียงไวใ้ นบา้ นเป็นการทรมานสตั วป์ ่ า ซ่ึงมกั ไมม่ ีชีวติ รอด 6. การเพาะพนั ธุ์เพม่ิ สัตวป์ ่ าที่กาลงั จะสูญพนั ธุ์หรือมีจานวนนอ้ ยลง ควรมีการเพาะพนั ธุ์ขยายพนั ธุ์ให้มีจานวนเพ่ิมข้ึนเพ่ือ เป็นการทดแทนและเร่งใหม้ ีสตั วป์ ่ าเพิม่ มากข้ึน
Search
Read the Text Version
- 1 - 9
Pages: