Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore E-BOOKขัตติยพันธกรณี

E-BOOKขัตติยพันธกรณี

Published by EIEI, 2022-08-30 15:06:22

Description: E-BOOKขัตติยพันธกรณี

Search

Read the Text Version

ขัตติยพันธกรณี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่๖/๓ นำเสนอ คุณครูชมัยพร แก้วปานกัน

ชิ้นงาน E-BOOK เรื่อง ขัตติยพันธกรณี จัดทำโดย นางสาวธนัชพร งามขำ เลขที่ ๑๐ นางสาวมธุรดา พันธุ์ล้อม เลขที่ ๒๑ นางสาวมัลลิกา สำราญมาก เลขที่ ๒๓ นางสาววิมพ์วิภา ไทยวงษ์ เลขที่ ๒๕ นางสาวสุจิรา ละม้าย เลขที่ ๒๙ นางสาวสุวรา สายน้ำ เลขที่ ๓๒ นางสาวอมรรัตน์ ช้างนิ่ม เลขที่ ๓๔ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ เสนอ คุณครู ชมัยพร แก้วปานกัน วารสารเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาภาษาไทย ท๓๓๑๐๑ ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ โรงเรียนสงวนหญิง จังหวัดสุพรรณบุรี

ก คำนำ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-BOOK) เล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาภาษาไทย ท๓๓๑๐๑ ในระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ ๖ โดยมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษา เรื่อง ขัตติยพันธกรณี ดำเนินการจัดทำขึ้นเพื่อใช้ ในการเรียนรู้ ทั้งนี้ในหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้ประกอบไปด้วย ประวัติผู้แต่ง เนื้อเรื่อง และลักษณะ คำประพันธ์ เพื่อให้เข้าใจคุณค่าต่างๆ เช่น คุณค่าทางวรรณคดี คุณค่าทางสังคม คณะผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการจัดทำหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ สนใจศึกษาประวัติศาสตร์วรรณคดีไทย ผู้ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ และขอ ขอบคุณคุณครูชมัยพร แก้วปานกัน คุณครูที่ปรึกษา รวมถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดทำหนังสือ อิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้ให้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี หากมีข้อผิดพลาดประการใด คณะผู้จัดทำขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย คณะผู้จัดทำ

ข สารบัญ หน้า เรื่อง ก คำนำ ข สารบัญ ๑ ความเป็นมา ๒-๓ ประวัติผู้แต่ง ๔ ลักษณะคำประพันธ์ ๕ เนื้อเรื่องเต็ม (แบบย่อ) ๖-๗ เนื้อเรื่องเต็ม (เฉพาะตอนที่เรียน) วิเคราะห์คุณค่า ๑๒ - วิเคราะห์คุณค่าด้านเนื้อหา ๑๓-๑๖ - วิเคราะห์คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ๑๗ - วิเคราะห์คุณค่าด้านสังคม ๑๘ บรรณนานุกรม

ความเป็นมา ๑ ขัตติยพันธกรณี(เหตุอันเป็นข้อผูกพันของกษัตริย์)เป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าฯและพระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เป็นบทที่มีที่มาจากเหตุการณ์ จริงในประวัติศาสตร์ในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อที่เกี่ยวกับความอยู่รอดของประเทศของ คือเหตุการณ์ รศ.๑๑๒ (ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๓๖) โดยเหตุการณ์ครั้งนี้มาจากความขัดแย้งระหว่างประเทศไทยและ ประเทศฝรั่งเศสเกี่ยวกับเขตแดนทางด้านหลวงพระบาง ซึ่งเริ่มต้นจากการกระทบกระทั่งกันของ กำลังทหารทั้งจากฝั่งไทยและฝรั่งเศส และทวีความรุนแรงขึ้นไปเรื่อย ๆ เมื่อผู้แทนทางการทูตของ ทั้ง ๒ ประเทศเจรจาเพื่อหาทางออกไม่สำเร็จ จนกระทั่งวันที่ ๑๓ กรกฎาคม รศ. ๑๑๒ กองเรือรบ ของฝรั่งเศส ได้รุกล้ำเข้ามาถึงปากแม่น้ำเจ้าพระยา แล่นผ่านป้อมพระจุลจอมเกล้า และป้อมผีเสื้อ สมุทร จนในที่สุด เรือปืนของฝรั่งเศส ๒ ลำก็สามารถเข้ามาจอดและทอดสมอหน้าสถานทูตฝรั่งเศส ได้ พร้อมทั้งยื่นคำขาดในการเรียกร้องสิทธิเหนือดินแดน และเรียกร้องค่าปรับ ได้แก่ 1.ฝรั่งเศสในฐานะเป็นมหาอำนาจผู้คุ้มครองเวียดนามและกัมพูชาจะต้องได้ดินแดนทั้งหมดทางฝั่ง ตะวันออกของแม่น้ำโขง 2.ไทยจะต้องลงโทษนายทหารทุกคนที่ก่อการรุกรานที่ชายแดน 3.ไทยต้องเสียค่าปรับให้ฝรั่งเศสจำนวน3ล้านฟรังค์เหรียญทอง(1,560 ,000 บาท สมัยนั้น) วิกฤตการณ์ครั้งนี้จบลงเมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม รศ. ๑๑๒ ด้วยการลงนามในสนธิสัญญากรุงเทพฯ ซึ่ง ทำให้ไทยเสียดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงไป และเสียอำนาจการปกครองคนในบังคับชาวอินโดจีน ให้แก่ฝรั่งเศส ทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสียพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่ง จนทรงประชวร หนัก ไม่ยอมเสวยพระโอสถ แต่ได้ทรงพระราชนิพนธ์บทโคลงและฉันท์ เพื่อระบายความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมานแสนสาหัส จนไม่ทรงปรารถนาที่จะดำรงพระชนม์ชีพอีกต่อไป ทรงส่งบทพระราช นิพนธ์ไปอำลาเจ้านายพี่น้องบางพระองค์ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา ดำรงราชานุภาพเป็นพระเจ้าน้องยาเธอ เมื่อทรงได้รับพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุ ภาพ ก็ทรงนิพนธ์บทประพันธ์ถวายตอบทันทีทำให้กำลังพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าฯ กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง กลับเสวยพระโอสถและเสด็จออกว่าราชการได้ในไม่ช้า

ประวัติผู้แต่ง ๒ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 5 ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 และสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี ประสูติ เมื่อวันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2396 ทรงมีพระอัจฉริยภาพด้านภาษาและวรรณกรรมที่โดดเด่น ทรงเป็นทั้งกวี และนักแต่งหนังสือที่มีความรู้ลึกซึ้ง ทรงสามารถเเต่งโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน บทละคร ตลอดจน ร้อยแก้วต่าง ๆ ได้อย่างดียิ่ง ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือไว้มากมายหลายประเภททั้งทางด้าน ประวัติศาสตร์ ประเพณี วรรณคดีและอื่น ๆ ซึ่งล้วนแต่มีคุณค่าเป็นที่ยอมรับและได้รับการยกย่องใน วงวิชาการวรรณกรรมไทย ทรงพระราชนิพนธ์พระราชพิธีสิบสองเดือน ไกลบ้าน ลิลิตนิทราชาคริต บทละครเรื่องเงาะป่า กวีนิพนธ์เบ็ดเตล็ด เป็นต้น และพระราชนิพนธ์เสด็จประพาสตามที่ต่าง ๆ ตลอดจนพระราชหัตถเลขาที่ทรงมีถึงเจ้านายและบุคคลสำคัญต่าง ๆ อีกมากมาย

ประวัติผู้แต่ง ๓ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ประสูติเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2405 เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 57 ในพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาชุ่ม และทรงเป็นกำลังสำคัญของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ในการพัฒนาประเทศให้ได้รับความเจริญ ก้าวหน้า โดยเฉพาะด้านวงการการศึกษาของไทยที่ทรงเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งกรมศิลปากร ราชบัณฑิตย สภา พิพิธภัณฑสถาน หอสมุดพระนคร อีกทั้งได้พระองค์ท่านได้ทรงพระนิพนธ์หนังสือ ตำราต่าง ๆ ด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี ไว้เป็นจำนวนมากทรงนิพนธ์หนังสือที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ไว้มากกว่า650 เรื่อง จึงทรงได้รับการถวายพระนามว่า “พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย”

ลักษณะคำประพันธ์ ๔ พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์เป็นคำประพันธ์ ประเภท ๑. โคลงสี่สุภาพจำนวน ๗ บท ๒. อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ จำนวน ๔ บท (ไม่เคร่งครัดเรื่อง ครุ - ลหุ) พระนิพนธ์ในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพระนิพนธ์เป็นคำประพันธ์ประเภท อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ จำนวน ๒๖ บท (ไม่เคร่งครัดเรื่อง ครุ - ลหุ) พระราชนิพนธ์เรื่องขัตติยพันธกรณีเป็นคำประเภทโคลงสี่สุภาพและอินทรวิเชียรฉันท์ ซึ่งเป็นการ เล่าเรื่องในเหตุการณ์ร.ศ.๑๑๒ มีทั้งการพระราชนิพนธ์เพื่อทรงลาเจ้านายพี่น้องบางพระองค์หรือแม้ กระทั้งการตอบกลับด้วยเช่นกัน ลักษณะคำประพันธ์แต่งด้วย โคลงสี่สุภาพเป็นโคลงชนิดหนึ่งที่กวีนิยมแต่งมากที่สุด ด้วยเสน่ห์ ของการบังคับวรรณยุกต์เอกโทอันเป็นมรดกของภาษาไทยที่ลงตัวที่สุด คำว่า สุภาพ หรือ เสาวภาพ หมายถึงคำที่มิได้มีรูปวรรณยุกต์ กับอินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ จะมีแบบแผนเหมือนกับ กาพย์ยานี ๑๑ แต่เพิ่ม ครุ, ลหุ เข้าไป อินทรวิเชียร แปลว่า เพชรพระอินทร์ หมายถึง ฉันท์ที่มีลีลา อย่างเพชรของพระอินทร์ นิยมใช้แต่งข้อความที่เป็นบทชมหรือบทคร่ำครวญ โดยกวีนิพนธ์ทั้งสอง บทเน้นที่การใช้คำและภาพพจน์เพื่อสร้างจินตภาพและอารมณ์สะเทือนใจเป็นสำคัญ

๕ เนื้อเรื่องเต็ม (แบบย่อ) ขัตติยพันธกรณี มาจากเหตุการณ์จริงในประวัติศาสตร์ คือเหตุการณ์ รศ.๑๑๒ (ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๓๖) โดยเหตุการณ์ครั้งนี้มาจากความขัดแย้งระหว่างประเทศไทยและประเทศฝรั่งเศสเกี่ยวกับ เขตแดนทางด้านหลวงพระบาง ซึ่งเริ่มต้นจากการกระทบกระทั่งกันของกำลังทหารทั้งจากฝั่งไทย และฝรั่งเศส และทวีความรุนแรงขึ้นไปเรื่อย ๆ เมื่อผู้แทนทางการทูตของทั้ง ๒ ประเทศเจรจาเพื่อ หาทางออกไม่สำเร็จ จนกระทั่งวันที่ ๑๓ กรกฎาคม รศ. ๑๑๒ กองเรือรบของฝรั่งเศส ได้รุกล้ำเข้า มาถึงปากแม่น้ำเจ้าพระยา แล่นผ่านป้อมพระจุลจอมเกล้า และป้อมผีเสื้อสมุทร จนในที่สุด เรือปืน ของฝรั่งเศส ๒ ลำก็สามารถเข้ามาจอดและทอดสมอหน้าสถานทูตฝรั่งเศสได้ พร้อมทั้งยื่นคำขาดใน การเรียกร้องสิทธิเหนือดินแดน และเรียกร้องค่าปรับ อย่างไรก็ตาม วิกฤตการณ์ครั้งนี้จบลงเมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม รศ. ๑๑๒ ด้วยการลงนามในสนธิสัญญา กรุงเทพฯ ซึ่งมีผลทำให้ไทยเสียดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงไป และเสียอำนาจการปกครองคนใน บังคับชาวอินโดจีนให้แก่ฝรั่งเศส เหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสียพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่ง จน ทรงประชวรหนัก ไม่ยอมเสวยพระโอสถ ในระหว่างนี้ ได้ทรงพระราชนิพนธ์บทโคลงและฉันท์ เพื่อ ระบายความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมานแสนสาหัส จนไม่ทรงปรารถนาที่จะดำรงพระชนม์ชีพอีกต่อ ไป พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงส่งบทพระราชนิพนธ์ไปอำลาเจ้านายพี่น้อง บางพระองค์ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งเป็น พระเจ้าน้องยาเธอในขณะนั้น เมื่อทรงได้รับ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุ ภาพ ก็ทรงนิพนธ์บทประพันธ์ถวายตอบทันที ในส่วนของพระนิพนธ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ แต่งด้วยคำ ประพันธ์ประเภทอินทรวิเชียรฉันท์ โดยแต่งเพื่อถวายกำลังพระทัยรัชกาลที่๕ และถวายข้อคิดให้ ตระหนักถึงสัจธรรม โดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเปรียบ ประเทศไทยเป็นเรือลำใหญ่ลำหนึ่ง อันมี รัชกาลที่๕ เป็นกัปตัน ซึ่งเป็นผู้ที่เป็นใหญ่ในเรือ มีอำนาจ สั่งลูกเรือ ซึ่งหมายถึงชาวสยาม โดยรัชกาลที่๕ ในฐานกัปตันมีหน้าที่นำพาลูกเรือให้รอดพ้นจาก พายุคลื่นลมมรสุมต่าง ๆ

๖ เนื้อเรื่องเต็ม(เฉพาะตอนที่เรียน) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงพระราชนิพนธ์ว่าทรงพระประชวรอย่างหนักเป็นเวลา นานทำให้เป็นภาระของผู้ดูแลความกังวลพระทัยนี้เมื่อประกอบกับความเจ็บทั้งพระวรกายและ พระทัยของพระองค์รวมทั้งไม่สามารถปฏิบัติพระราชกรณียกิจได้อย่างเต็มพระกำลังโดยเฉพาะ อย่างยิ่งในยามวิกฤติ จึงมีพระราชประสงค์ที่จะจากภพนี้(มีความคิดจะเสด็จสวรรคต)เพื่อ ปลดเปลื้องความทุกข์ความเหน็ดเหนื่อยไปสู่โลกหน้าที่มีแต่ความสบายกายสบายใจมีความสุขมาก ยิ่งกว่า พระองค์ทรงเล่าถึงอาการประชวรว่าทรงประชวรด้วยโรคฝีสามยอดแล้ว มีไข้ส่าเป็นระยะ ส่งผลให้พระองค์ทรงเจ็บปวดทรมานมากอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะทั้งปวดทั้งกายและศีรษะ ผู้ที่ไม่เคย มีอาการแบบนี้ ย่อมไม่รู้ว่าความเจ็บปวดทรมานนั้นมันมากเพียงไหน พระองค์ยังทรงเล่าว่ารู้สึกเหมือนมี “ตะปูดอกใหญ่” ตรึงเท้าทั้ง ๒ ข้างเอาไว้ ทำให้เดินไม่ สะดวก หรือเดินไม่ได้ เป็นการเปรียบภาระหน้าที่เป็นตะปูดอกใหญ่ที่ตรึงพระบาทของพระองค์ไว้มิ ให้ทรงพระดำเนินได้คล่องและไม่สามารถปลดเปลื้องความทุกข์นั้นออกไป ทรงราพึงถึงชีวิตคนเราว่ามีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอดั่ง คำโบราณที่ว่าชั่วเจ็ดทีดีเจ็ดหน ในยาม ที่เป็นเด็กทรงมีความสุขคล้ายสัตว์เดรัจฉาน คือมีทั้งทุกข์ สุข กล้าหาญ และหวาดกลัว บางคน อาจบกพร่องเพราะหลงลืมไปบ้างคล้ายคนใกล้จะตายและเสียสติ ทรงบรรยายความรู้สึกเหนื่อยหน่ายหมดกำลังพระทัยที่จะทรงรักษาพระองค์ อันเป็นผลมาจาก อาการประชวรที่ดำเนินต่อเนื่องมายาวนานแม้จะหายจากอาการพระประชวรและกลับมาได้อย่าง เต็มที่ก็มิใช่ว่าจะทรงแก้ปัญหาที่ทรงกลัดกลุ้มลงได้เพราะการหาทางป้องกันรักษาบ้านเมืองให้ รอดพ้นจากเงื้อมมือของฝรั่งเศสเป็นเรื่องยากการที่ทรงมองไม่เห็นทางออกในการแก้ปัญหานี้ก่อให้ เกิดความกังวลอันใหญ่หลวงคือทรงหวั่นว่าหากทรงรักษาชาติไว้ไม่ได้และต้องเสียเมืองไปพระองค์ จะทรงเป็นเช่นเดียวกับ สมเด็จพระมหินทราธิราชและสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ในคราวเสียกรุง ศรีอยุธยาทั้งสองครั้งและจะทรงถูกครหานินทาตลอดไปว่าไม่สามารถประกอบพระราชกรณียกิจที่ สำคัญที่สุดของพระมหากษัตริย์ คือ การปกป้องรักษาชาติบ้านเมืองเอาไว้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพตอบบทพระราชนิพนธ์โดยทรงเริ่มต้นพระ นิพนธ์ของพระองค์ด้วยการถวายกำลังพระทัยแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วย การบรรยายให้เห็นว่าพระองค์ในฐานะที่ทรงเป็นพระบรมวงศานุวงศ์และเสนาบดีที่ทรงปฏิบัติงาน อย่างใกล้ชิด ทรงตระหนักว่าพระประชวรนั้นหนักหนาสาหัสเพียงใดทรงความวิตกกังวลและห่วงใย

๗ และตนพร้อมที่จะสละเลือดเนื้อและชีวิตหากจะบรรเทาพระอาการประชวรลงได้ไม่เพียงแต่พระองค์ ผู้ทรงอยู่ใกล้เท่านั้น ประชาชนทั่วไปก็เกิดความรู้สึกเช่นเดียวกันต่อพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นที่รัก ยิ่ง หลังจากถวายกาลังพระทัยแล้ว สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพก็ถวายข้อคิดว่าคนไทย ทุกหมู่เหล่าเปรียบเสมือนลูกเรือของเรือสยามซึ่งกาลังสับสนไม่รู้จะทำประการใดหากเรือขาด กะปิตันที่ทรงเป็นทั้งผู้นาและศูนย์รวมจิตใจของชาติลูกเรือหรือประชาชนทั้งหลายจะตกอยู่ในสภาวะ เช่นไร จากนั้นได้กราบทูลให้ทรงตระหนักในสัจธรรมที่ว่าการดำเนินกิจการงานใดๆย่อมต้องพบ อุปสรรคด้วยกันทั้งสิ้นโดยใช้ภาพพจน์เปรียบเทียบ“บรรดากิจ”กับเรือที่แล่นไปในทะเลซึ่งต้อง เผชิญกับพายุเป็นธรรมดาการจะผ่านพายุไปให้พ้นก็ต้องร่วมมือร่วมใจพยายามอย่างถึงที่สุดทั้ง กัปตันและลูกเรือทุกคนเมื่อทาเช่นนั้นแล้วแม้เรือจะจมลงทุกคนก็ยังมีความภูมิใจได้รับคำสรรเสริญ เรื่องความมานะบากบั่นกล้าหาญการนิ่งเฉยไม่ทาอะไรเลยไม่ก่อให้เกิดผลดีแต่อย่างใดเพราะเรือ ย่อมจะจมลงแน่นอนทั้งยังจะถูกตำหนิอีกด้วยต่อจากนั้นสมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรง อาสาที่จะถวายชีวิตรับใช้ปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญชาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า อยู่หัวจนสุดกาลังพระนิพนธ์จบลงด้วยการถวายพระพรให้ทรงฟื้นจากอาการประชวรโดยเร็วและมี พระราชหฤทัยที่ผ่องแผ้วมีพระชนมายุยืนยาวเพื่อเกื้อกูลสยามรัฐต่อไป

ขัตติยพันธกรณี ๘ พระราชนิพนธ์โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ็บนานหนักอกผู้ บริรักษ์ ปวงเฮย คิดใคร่ลาลาญหัก ปลดเปลื้อง ความเหนื่อยแห่งสูจัก พลันสร่าง ตูจักสู่ภพเบื้อง หน้านั้นพลันเขษม ยังราย ส่านอ เป็นฝีสามยอดแล้ว เชื่อได้ ปวดเจ็บใครจักหมาย เศียรกลัด กลุ้มแฮ ใช่เป็นแต่ส่วนกาย นั่นนั้นเห็นจริง ใครต่อเป็นจึ่งผู้ บาทา อยู่เฮย คล่องได้ ตะปูดอกใหญ่ตรึ้ง จึง บ อาจลีลา แก่สัตว์ ปวงแฮ เชิญผู้ที่เมตตา ส่งข้าอัญขยม ชักตะปูนี้ให้ เปลี่ยนแปลง จริงนอ มากครั้ง ชีวิตมนุษย์นี้ เป็นเยี่ยง อย่างนา สุขและทุกข์พลิกแพลง เจ็ดข้างฝ่ายดี โบราณท่านจึงแสดง ดีรฉาน ชั่วนับเจ็ดทีทั้ง ขลาดด้วย หย่อนเพราะ เผลอแฮ เป็นเด็กมีสุขคล้าย ชีพสิ้นสติสูญ รู้สุขรู้ทุกข์หาญ หกคน ละอย่างละอย่างพาล คล้ายกับผู้จวนม้วย เคลิบเคลิ้ม เชิญเครื่อง ฉันไปปะเด็กห้า ริกเร้าเหงาใจ โกนเกศนุ่งขาวยล ถามเขาว่าเป็นคน ไปที่หอศพเริ้ม

๙ กล้วยเผาเหลืองแก่ก้ำ เกินพระ ลักษณ์นา แรกก็ออกอร่อยจะ ใคร่กล้า นานวันยิ่งเครอะคระ กลืนยาก ทนจ่อซ่อมจิ้มจ้ำ แดกสิ้นสุดใบ เจ็บนานนึกหน่ายนิตย์ มะนะเรื่องบำรุงกาย ส่วนจิต บ มีสบาย ศิระกลุ้มอุราตรึง แม้หายก็พลันยาก จะลำบากฤทัยพึง ตริแต่จะถูกรึง อุระรัดและอัตรา กลัวเป็นทวิราช บ ตริป้องอยุธยา เสียเมืองจึงนินทา บ ละเว้น ฤ ว่างวาย คิดใดจะเกี่ยงแก้ ก็ บ พบซึ่งเงื่อนสาย สบหน้ามนุษย์อาย จึงจะอุดแลเลยสูญฯ ขัตติยพันธกรณี พระนิพนธ์โดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ขอเดชะเบื้องบาท วรราชะปกศี- โรตม์ข้าผู้มั่นมี มะนะตั้งกตัญญู ได้รับพระราชทาน อ่านราชนิพันธ์ดู ทั้งโคลงและฉันท์ตู ข้าจึงตริดำริตาม อันพระประชวรครั้ง นี้แท้ทั้งไผทสยาม เหล่าข้าพระบาทความ วิตกพ้นจะอุปมา ประสาแต่อยู่ใกล้ ทั้งรู้ใช่ว่าหนักหนา เลือดเนื้อผิเจือยา ให้หายได้ชิงถวาย ทุกหน้าทุกตาตู บ พบผู้จะพึงสบาย ปรับทุกข์ทุรนทุราย กันมิเว้นทิวาวัน ดุจเหว่าพละนา- วะเหว่ว้ากะปิตัน นายท้ายฉงนงัน ทิศทางก็คลางแคลง

๑๐ นายกลประจาจักร จะใช้หนักก็นึกแหนง จะรอก็ระแวง จะไม่ทันธุรการ อึดอัดทุกหน้าที่ ทุกข์ทวีทุกวันวาร เหตุห่างบดียาน อันเคยไว้น้ำใจชน ถ้าจะว่าบรรดากิจ ก็ไม่ผิด ณ นิยม เรือแล่นทะเลลม จะเปรียบต่อก็พอกัน ธรรมดามหาสมุทร มีคราวหยุดพายุผัน มีคราวสลาตัน ตั้งระลอกกระฉอกฉาน ผิวพอกำลังเรือ ก็แล่นรอดได้ไม่ร้าวราน หากกรรมจะบันดาล ก็คงล่มทุกลำไป ชาวเรือก็ย่อมรู้ ฉะนี้อยู่ทุกจิตใจ แต่ลอยอยู่ตราบใด ต้องจำแก้ด้วยแรงระดม แก้รอดตลอดฝั่ง จะรอดทั้งจะชื่นชม เหลือแก้ก็จำจม ให้ปรากฏว่าถึงกรรม ผิวทอดธุระนิ่ง บ วุ่นวิ่งเยียวยาทำ ที่สุดก็สูญลำ เหมือนที่แก้ไม่หวาดไหว ผิดกันแต่ถ้าแก้ ให้เต็มแย่จึงจมไป ใคร่ห่อนประมาทใจ ว่าขลาดเขลาและเมาเมิน เสียทีก็มีชื่อ ได้เลื่องลือสรรเสริญ สงสารว่ากรรมเกิน กำลังดอกจึงจมสูญ นี้ในน้ำใจข้า อุปมาบังคมทูล ทุกวันนี้อาดูร แต่ที่พระประชวรนาน เปรียบตัวเหมือนอย่างม้า ที่เป็นพาหนยาน ผูกเครื่องบังเหียนอาน ประจำหน้าพลับพลาชัย คอยพระประทับอาสน์ กระหยับบาทจะพาไคล ตามแต่พระทัยไท ธ จะชักไปซ้ายขวา

๑๑ ไกลใกล้ บ ได้เลือก จะกระเดือกเต็มประดา ตราบเท่าจะถึงวา- ระชีวิตมลายปราณ ด้วยชื่อนับว่าชายชาญ ขอตายให้ตาหลับ ธุระได้บาเพ็ญทำ เกิดมาประสบภาร- ภินิหาระแห่งคำ ฤทธิดังมโนหมาย ด้วยเดชะบุญญา บรมนาถเร่งเคลื่อนคลาย สัตย์ข้าจงได้สัม- จะผ่องพ้นที่หม่นหมอง ชะประสงค์ที่ทรงปอง ขอจงวราพาธ พระบาทให้สามัคคี พระจิตพระวรกาย จะวิบัติพระขันตี ละลืมเลิกละลายสูญ ขอจงสำเร็จรา- ยุสถาวรพูน ปกข้าฝ่าละออง สยามรัฐพิพัฒน์ผลฯ ขอเหตุที่ขุ่นขัด จงคลายเหมือนหลายปี ขอจงพระชนมา- เพิ่มเกียรติอนุกูล

วิเคราะห์คุณค่าด้านเนื้อหา ๑๒ รูปแบบการแต่ง ส่วนแรกของเรื่องใช้โคลงสี่สุภาพ ส่วนที่สองใช้อินทรวิเชียรฉันท์ มีการใช้อุปมาโวหาร อุปลักษณ์ โวหาร รสวรรณคดี การเล่นสัมผัสต่างๆ รวมถึงการใช้คำราชาศัพท์ที่เหมาะสมกับเนื้อหา องค์ประกอบของเรื่อง สาระและแนวคิดสำคัญ แสดงถึงความวิตกและความทุกข์ของประชาชน ความอยู่รอดของประชาชน และความรักความ ห่วงใยประชาชนถึงแม้ว่าท่านจะประชวรเป็นอย่างหนัก และแสดงถึงความจงรักภักดีของกรม พระยาดำรงราชานุภาพและประชาชนที่มีต่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โครงเรื่อง เกิดจากไทยขัดแย้งกับฝรั่งเศสเรื่องเขตแดน เหตุการณ์นี้จึงทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวเสียพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่งจึงเกิดการประชวรหนัก ในส่วนของกรมพระยาดำรงราชา นุภาพทรงปฏิบัติหน้าที่อย่างใกล้ชิด ทรงมีความวิตกกังวลและห่วงใยประชาชน และความเป็นอยู่ ของประชาชน หลังจากนั้นเป็นการถวายข้อคิดโดยการใช้อุปมาโวหาร พระนิพนธ์จบด้วยการ ถวายพระพรให้ทรงหายจากอาการพระประชวร ตัวละคร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระยาดำรงราชานุภาพ ฝรั่งเศส กลวิธีการแต่ง เป็นบทพระราชนิพนธ์โคลงสี่สุภาพและอินทรวิเชียรฉันท์ ส่วนมากใช้พรรณนาโวหาร แทรกด้วย เทศนาโวหาร กาใช้อุปลักษณ์อุปมาด้านจินตภาพด้านภาพ นามนัย อติพจน์ เป็นต้น ทั้งยังมีการ ใช้รสวรรณคดีมาใช้ในการแต่งขัตติยพันธกรณี จากท้องเรื่อง เหตุการณ์กรุงรัตนโกสินทร์ ใน ร.ศ. ๑๑๒ (พ.ศ.๒๔๓๖)

วิเคราะห์คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ๑๓ บทประพันธ์ใช้ภาษาได้ไพเราะ มีการใช้คำเล่นคำที่สละสวย การเล่นสัมผัสอักษร สัมผัสสระ มีจังหวะ กระทบเพื่อให้เกิดอารมณ์ การใช้ซ้ำคำเพื่อเน้นความหมายให้เข้าใจชัดเจนมากขึ้น ดังตัวอย่างต่อไปนี้ - การสรรคำ ๑.๑ มีการใช้โวหารภาพพจน์ต่างๆ ในการบรรยายและสื่อถึงอารมณ์และความรู้สึก ดังตัวอย่าง เจ็บนานหนักอกผู้ บริรักษ์ ปวงเฮย คิดใคร่ลาลาญหัก ปลดเปลื้อง ความเหนื่อยแห่งสูจัก พลันสร่าง ตูจักสู่ภพเบื้อง หน้านั้นพลันเขษม ได้บรรยายถึงความเจ็บปวดโศกเศร้าเสียใจความทุกข์ใจ จนไม่อยากที่จะมีชีวิตคงอยู่ต่อไป ๑.๒ การเลือกใช้คำที่เหมาะสมกับเนื้อเรื่องและฐานะของบุคคลในเรื่อง ดังตัวอย่างเช่น ขอเดชะเบื้องบาท วรราชะปกศี โรตม์ข้าผู้มั่นมี มะนะตั้งกตัญญู ในบทประพันธ์นี้ได้มีการเลือกสรรคำอย่างถูกต้องตามฐานะบุคคลในเรื่องคือบทที่กรมพระยาดำรง ราชานุภาพนิพนธ์ถึงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ มีการใช้คำถูกต้องตามกาลเทศะที่เหมาะสม กับตัวละคร ๑.๓ การเลือกใช้คำโดยคำนึงถึงเสียง ๑.๓.๑ การซ้ำคำเพื่อเน้นความ ดังตัวอย่างเช่น ทุกหน้าทุกตาตู บ พบผู้จะพึงสบาย ปรับทุกข์ทุรนทุราย กันมิเว้นทิวาวัน ใช้การเล่นคำซ้ำ คือ ทุก เพื่อเน้นความให้ชัดเจนมากขึ้น เพื่อให้เข้าใจคำนั้นมีหลายความหมาย ๑.๓.๒ การเล่นสัมผัสพยัญชนะ ดังตัวอย่างเช่น เจ็บนานนึกหน่ายนิตย์ มะนะเรื่องบำรุงกาย ส่วนจิต บ มีสบาย ศิระกลุ้มอุราตรึง นี้ในน้ำใจข้า อุปมาบังคมทูล ทุกวันนี้อาดูร แต่ที่พระประชวรนาน มีการเล่นสัมผัสพยัญชนะ “น” นั่นคือคำว่า นี้ในน้ำ ให้มีสัมผัสคล้องจองของคำประพันธ์

วิเคราะห์คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ๑๔ การเล่นสัมผัสพยัญชนะสัมผัสสระ ดังตัวอย่างเช่น เจ็บนานนึกหน่ายนิตย์ มะนะเรื่องบำรุงกาย ส่วนจิต บ มีสบาย ศิระกลุ้มอุราตรึง มีการเล่นสัมผัสสระ กาย กับ สบาย สัมผัสพยัญชนะ นั่นคือคำว่า นานนึกหน่ายนิตย์ ๑.๓.๓ คำอัพภาส ดังตัวอย่างเช่น ขอเหตุที่ขุ่นขัด จะวิบัติพระขันตี จงคลายเหมือนหลายปี ละลืมเลิกละลายสูญ มีการเล่นคำอัพภาส ละลืม ละลาย ๑.๓.๔ คำปฏิพากย์ ดังตัวอย่างเช่น ไกลใกล้ บ ได้เลือก จะกระเดือกเต็มประดา ตราบเท่าจะถึงวา- ระชีวิตมลายปราณ มีการเล่นคำปฏิพากย์ คำว่าไกลใกล้ คือการกล่าวในสิ่งที่ขัดแย้งกัน หรือตรงนกันข้าม - การใช้ภาพพจน์ ๒.๑ การใช้พรรณนาโวหาร เช่น เจ็บนานหนักอกผู้ บริรักษ์ ปวงเฮย คิดใคร่ลาลาญหัก ปลดเปลื้อง ความเหนื่อยแห่งสูจัก พลันสร่าง ตูจักสู่ภพเบื้อง หน้านั้นพลันเขษม เป็นการให้รายละเอียดในเรื่องโดยแทรกอารมณ์ความรู้สึกลงไป เพื่อให้เกิดภาพในใจ ๒.๒ การใช้เทศนาโวหาร เช่น ชีวิตมนุษย์นี้ เปลี่ยนแปลง จริงนอ สุขและทุกข์พลิกแพลง มากครั้ง โบราณท่านจึงแสดง เป็นเยี่ยง อย่างนา ชั่วนับเจ็ดทีทั้ง เจ็ดข้างฝ่ายดี ในบทประพันธ์นี้เป็นการกล่าวในเชิงสั่งสอนเกี่ยวกับชีวิต เพราะชีวิตคนเรานั้นเกิดการเปลี่ยนแปลง อยู่เสมอ มีทั้งสุขและทุกข์ เหมือนกับที่โบราณว่าไว้ว่า ชั่วเจ็ดทีดีเจ็ดหน

วิเคราะห์คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ๑๔ ๒.๓ การใช้อุปมาโวหาร โดยการกล่าวเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นภาพชัดเจน เช่น ดุจเหว่าพละนา- วะเหว่ว้ากะปิตัน นายท้ายฉงนงัน ทิศทางก็คลางแคลง มีคำว่า ดุจ เป็นการเปรียบว่าเหมือนพวกชาวเรือที่ขาดกัปตัน นายท้ายก็สงสัย ไม่รู้จะไปทางไหน ๒.๔ การใช้อุปลักษณ์โวหาร เช่น ตะปูดอกใหญ่ตรึ้ง บาทา อยู่เฮย จึงบ่อาจลีลา คล่องได้ เชิญผู้ที่มีเมตตา แก่สัตว์ ปวงแฮ ชักตะปูนี้ให้ ส่งข้าอัญขยม ทรงเปรียบพันธกรณีที่มีต่อชาติบ้านเมืองในฐานะที่พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ เป็นตะปูดอกใหญ่ ที่ตรึงพระบาทไว้มิให้ก้าวย่างไปได้ ๒.๕ การใช้อติพจน์ เช่น ประสาแต่อยู่ใกล้ ทั้งรู้ใช่ว่าหนักหนา เลือดเนื้อผิเจือยา ให้หายได้จะชิงถวาย กล่าวได้ว่าถ้าเลือดเนื้อของตนเจือยาถวายให้หายประชวรได้ก็จะทูลเกล้าฯ ถวายเป็นการกล่าวเกิน ความจริง ๒.๖ การใช้บุคคลวัตโวหาร เช่น ผิวพอกำลังเรือ ก็แล่นรอดได้ไม่ร้าวราน หากกรรมจะบันดาล ก็คงล่มทุกลำไป เป็นการกล่าวถึงเรือที่ไม่มีชีวิตว่าหากเรือพอมีกำลังก็จะต้านลมได้ทำให้แล่นไปอย่างปลอดภัย หาก กรรมก็จะบันดาลให้ล่มทุกลำไป ๒.๗ การใช้นามนัย เช่น ดุจเหว่าพละนา- วะเหว่ว้ากะปิตัน นายท้ายฉงนงัน ทิศทางก็คลางแคลง ในบทประพันธ์นี้ได้คำว่า กะปิตัน หมายถึงกัปตันเรือ เปรียบถึงพระมหากษัตริย์

วิเคราะห์คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ๑๕ การใช้นามนัย เช่น นายกลประจำจักร จะใช้หนักก็นึกแหนง จะรอก็ระแวง จะไม่ทันธุรการ ในบทประพันธ์นี้ได้คำว่า นายกล หมายถึงกัปตันผู้ดูแลเรือ หรือเปรียบข้าราชการ/ข้าราชบริพาร ๒.๘ การใช้คำถามเชิงวาทศิลป์ เช่น ตะปูดอกใหญ่ตรึ้ง บาทา อยู่เฮย จึง บ อาจลีลา คล่องได้ เชิญผู้ที่เมตตา แก้สัตว์ ปวงแฮ ชักตะปูนี้ให้ ส่งข้าอัญขยม เป็นการตั้งคำถามตรงที่ ''เชิญผู้ที่เมตตา แก้สัตว์ ปวงแฮ ชักตะปูนี้ให้ ส่งข้าอัญขยม ''ใครที่สามารถ ดึงตะปูดอกใหญ่นี้ออกได้ ร.๕ จะทรงยินดีให้ดึงออกเป็นอย่างยิ่ง คำปฏิปุจฉา ดังตัวอย่างเช่น ชาวเรือก็ย่อมรู้ ฉะนี้อยู่ทุกจิตใจ แต่ลอยอยู่ตราบใด ต้องจำแก้ด้วยแรงระดม คือ คำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ คือ แต่ลอยอยู่ตราบใด แปลได้ว่า แต่ตราบใดยังคงลอยลำอยู่ ก็จำ ต้องร่วมแรงร่วมใจแก้ไขไปด้วยกัน ๒.๙ จินตภาพด้านการเคลื่อนไหว (นาฏการ) เช่น ฉันไปปะเด็กห้า หกคน โกนเกศนุ่งขาวยล เคลิบเคลิ้ม คำว่า ไป แสดงความเคลื่อนไหว จินตภาพด้านสีและรสชาติ เช่น กล้วยเผาเหลืองแก่ก้า เกินพระ ลักษณ์นา แรกก็ออกอร่อยจะ ใคร่กล้า ๒.๑๐ การใช้คำไวพจน์ ตัวอย่างเช่น นี้ในน้ำใจข้า อุปมาบังคมทูล ทุกวันนี้อาดูร แต่ที่พระประชวรนาน คำไวพจน์ในบทนี้นั่นคือคำว่า อาดูร หมายถึง การทนทุกข์ เดือดร้อนทนทุกข์

วิเคราะห์คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ๑๖ ๓.การใช้รสวรรณคดี เช่น ๓.๑ การใช้สัลลาปังคพิสัย เช่น ฉันไปปะเด็กห้า หกคน โกนเกศนุ่งขาวยล เคลิบเคลิ้ม ถามเขาว่าเป็นคน เชิญเครื่อง ไปที่หอศพเริ้ม ริกเร้าเหงาใจ เป็นการกล่าวถึงในเรื่องของงานศพที่ให้อารมณ์เเห่งความเศร้าโศกเสียใจ ให้ผู้อ่านได้มีอารมณ์เข้าถึง เเละเห็นภาพออกมาชัดเจน ๓.๒ การใช้กรุณารส เช่น เป็นฝีสามยอดแล้ว ยังราย ส่านอ ปวดเจ็บใครจักหมาย เชื่อได้ ใช่เป็นแต่ส่วนกาย เศียรกลัด กลุ้มแฮ ใครต่อเป็นจึ่งผู้ นั่นนั้นเห็นจริง เป็นบทพรรณนาที่ทำให้ผู้อ่านหดหู่เหี่ยวแห้ง เกิดความเห็นใจ พลอยเป็นทุกข์ไปด้วย จากความเจ็บ ปวดที่กล่าวถึงเรื่องของฝี ถ้าใครไม่เป็นก็คงไม่รู้ ๓.๓ การใช้วีรรส เช่น ชีวิตมนุษย์นี้ เปลี่ยนแปลง จริงนอ สุขและทุกข์พลิกแพลง มากครั้ง โบราณท่านจึงแสดง เป็นเยี่ยง อย่างนา ชั่วนับเจ็ดทีทั้ง เจ็ดข้างฝ่ายดี เป็นบทที่มีกลิ่นอายของวีรรสอยู่เนืองๆ เมื่อผู้อ่านได้อ่านเเล้วเห็นถือความเป็นธรรมชาติของชีวิตที่ จะมีทั้งดีเเละร้าย บางคนอ่านเเล้วก็เกิดความเข้าใจ กล้าที่จะเผชิญหน้าที่อุปสรรคมากขึ้น เพราะได้ ตระหนักว่า ไม่ใช่เเค่ตัวเองที่เป็นทุกข์

๑๗ ๔. การใช้สำนวนสุภาษิต เช่น ชีวิตมนุษย์นี้ เปลี่ยนแปลง จริงนอ สุขและทุกข์พลิกแพลง มากครั้ง โบราณท่านจึงแสดง เป็นเยี่ยง อย่างนา ชั่วนับเจ็ดทีทั้ง เจ็ดข้างฝ่ายดี สั่งสอนเกี่ยวกับชีวิต เพราะชีวิตคนเรานั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ มีทั้งสุขและทุกข์ เหมือนกับที่ โบราณว่าไว้ว่า ชั่วเจ็ดทีดีเจ็ดหน วิเคราะห์คุณค่าด้านสังคม เจ็บนานหนักอกผู้ บริรักษ์ ปวงเฮย คิดใครลาลาญหัก ปลดเปลื้อง ความเหนื่อยแห่งสูจัก พลันสร่าง ตูจักสู่พบเบื้อง หน้านั้นพลันเกษม แสดงถึงฐานะทางสังคมที่ร่ำรวย มั่งคั่ง ยิ่งใหญ่ ควรเการพนับถือ เนื่องจากมีผู้ดูแลรักษามากมาย หลายคน คอยดูแลพระองค์ อันพระประชวรครั้ง นี้แท้ทั้งไผทสยาม เหล่าข้าพระบาทความ วิตกพ้นจะอุปมา ประสาแต่อยู่ใกล้ ทั้งรู้ใช่ว่าหนักหนา เลือดเนื้อผิเจือยา ให้หายได้ชิงถวาย ประชาชนและข้าราชบริพารทุกคน แสดงถึงความจงรักภักดีต่อสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การ เสียสละแม้กระทั่งชีวิตก็สามารถที่จะมอบให้ได้ ฉันไปปะเด็กห้า หกคน โกนเกศนุ่งขาวยล เคลิบเคลิ้ม ถามเขาว่าเป็นคน ไปที่หอศพเรึ้ม เชิญเครื่อง ริกเร้าเหงาใจ วิธีชีวิตด้านความเชื่อ และการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ดุจเหว่าพละนา- วะเหว่ว้ากะปิตัน นายท้ายฉงนงัน ทิศทางก็คลางแคลง การรับวัฒนธรรมภาษาตะวันตกมาใช้ในภาษาไทย

บรรณานุกรม ๑๘ กระทรวงศึกษาธิการ.(2555).หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐานภาษาไทยชั้นมัธยมศึกษาปีที่6 วรรณคดีวิจักษ์. พิมพ์ครั้งที่4. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพร้าว. Jutalak Cherdharun. (2563).ขัตติยพันธกรณี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่6 วิชาภาษาไทย.สืบค้น 7 สิงหาคม 2565/ จาก https://blog.startdee.com/ขัตติยพันธกรณี-ม-6-ภาษาไทย ครูกิ่งกาญจน์ โรงเรียนสตรีศรีน่าน. (2558).ขัตติยพันธกรณี .สืบค้น 8 สิงหาคม 2565/ จากhttps://kingkarnk288.wordpress.com จุฑาลักษณ์ เชิดธรุณ.(2564).ขัตติยพันธกรณี .สืบค้น 10 สิงหาคม 2565/ จากhttps://blog.startdee.com กัญญา ดำรงค์สา.(2558).ขัตติยพันธกรณี .สืบค้น 15 สิงหาคม 2565/ จากhttps://sites.google.com/a/bj.ac.th/phasa-thiy-m-6/bth-thi-2 ทรูปลูกปัญญา.(2565).บทเรียนออนไลน์วิชาภาษาไทยเรื่องขัตติยพันธกรณี.สืบค้น 25 สิงหาคม 2565/ จากhttps://www.trueplookpanya.com/learning/detail/31988 จุฬาลงกรณ์ราชบรรณาลัย.(ม.ป.ป.).พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว.สืบค้น 25 สิงหาคม 2565/ จากhttps://kingchulalongkorn.car.chula.ac.th/th/history/rama5_bio ดำรงนุภาพ.(ม.ป.ป.).ประวัติโดยย่อกรมพระยาดำรงราชานุภาพ.สืบค้น 25 สิงหาคม 2565/ จากhttp://www.damrong.org/?p=3877


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook