History of Renaissance music ดนตรียคุ เรอเนสซองซ์
คำ�นำ� ในยคุ ฟื้นฟศู ลิ ปวทิ ยา สง่ิ ทไี่ ดร้ บั การฟนื้ ฟดู า้ นศิลปวิทยา ไมไ่ ดม้ ีเพียง ดา้ นศิลปะท่วั ไปเช่น จติ รกรรม ประตมิ ากรรม สถาปัตยกรรมฯลฯ แตร่ วมไปถึงด้านดนตรกี ็ได้มกี ารปรับเปล่ยี นและ พฒั นามากข้ึน เพือ่ ท่ีจะได้มดี นตรี และ เสียงเพลง ท่ไี มเ่ คยมมี าก่อน จึงได้มกี าร ประดิษฐ์เครอื่ งดนตรี ชนดิ ใหมๆ่ และ การเปลีย่ นแปลงรูปแบบของการเขยี นวิธีการเผยแพรเ่ พลงดนตรีแนวใหม่ เกิดขึ้น หนังสือเลม่ นี้ เป็นสว่ นหน่ึงของรายวชิ า 082104 อารยธรรมโลก WORLD CIVILIZA-TION ไดจ้ ัดท�ำ ขึ้นเพ่อื รวบรวมขอ้ มลู ความรู้ ประวัตศิ าสตร์เกีย่ วกับศิลปวทิ ยาด้านดนตรี ในสมัยฟ้นื ฟูศิลปวิทยา หากหนังสอื เล่นนี้มีความผดิ พลาดประการใด กข็ ออภัย มา ณ ทีน่ ้ี
สารบญัหัวขอ้ หน้าประวัติศาสตรด์ นตรีตะวนั ตก 1-6ประวัตศิ าสตรด์ นตรยี ุคเรอเนสซองซ์ 7-14สมยั ศตวรรษท่ี 15 15-20สมัยศตวรรษท่ี 16 21-24เครื่องดนตร ี 25-33นกั ประพนั ธเ์ พลง 34-44บรรณานกุ รม 45
1
ประวตั ิศาสตร์ดนตรตี ะวนั ตก
ประวตั ิศาสตร์ดนตรตี ะวนั ตก การศกึ ษาประวตั ิศาสตรด์ นตรีตะวนั ตกน้ัน ไมใ่ ชเ่ รื่องไกลตวั มนั ทำ�ให้เราไดร้ บั รถู้ ึงส่งิ ที่เปน็ รากฐานของดนตรี สิ่งท่ีเรารบั ฟงั กันอย่จู นถงึ ปจั จุบนั เราจะได้รบั ร้วู า่ ทศั นะคติและรสนยิ มของผู้สร้างสรรค์ และ ผู้ฟงั ดนตรใี นแต่ละสมัยน้ันแตกตา่ งกนั อยา่ งไรประวตั ศิ าสตรด์ นตรีตะวันตกแบ่งออกเปน็ สมัยต่างๆ มี 9สมัย ดังน้ีสมัยกรกี (Ancient Greek music)สมยั โรมนั (Roman)สมัยกลาง (The Middle Ages)สมัยเรอเนสซองซ์ (The Renaissance)สมยั บาโรก (The Baroque Age)สมัยคลาสสิก (The Classical Period)สมัยโรแมนตกิ (The Romantic Period)สมัยอมิ เพรชช่นั นิสติค (The Impressionistic)สมยั ศตวรรษท่ี 20 และปจั จบุ นั (The Twentieth century) 3
Ancient Greek music Roman4
The Middle AgesThe Renaissance 5
RENAISSANCE MUSIC 7
ประวตั ศิ าสตร์ดนตรยี ุคเรอเนสซองซ์ความเปน็ มา สมัยเรอเนสซองซ์ หรอื สมยั ฟ้นื ฟูศิลปวทิ ยา เรม่ิ ประมาณ ค.ศ. 1450 – 1600 ค�ำ วา่“Renaissance” แปลว่า “การเกิดใหม่” หมายความวา่ ได้มกี ารเปลี่ยนแปลงจากสมยั กลางทม่ี ีการเครง่ ครดั ในเร่ืองของศาสนา มาฟน้ื ฟศู ิลปวิทยามากขึน้ แทน ดนตรีเป็นส่ิงส�ำ คญั ของประชาสังคมศาสนาในยุคฟ้ืนฟศู ิลปวทิ ยา ช่วง 1450 – 1600นไี้ ดเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงรูปแบบของการเขียนวธิ ขี องการเผยแพรเ่ พลงดนตรีแนวใหม่ และการพัฒนาของเครื่องดนตรี ลักษณะของดนตรีสมัยนม้ี ีการปรับปรงุ และ พัฒนามาจากยคุ ศลิ ปใ์ หมข่ องสมัยกลางเพลงร้องยังคงนิยมกนั เหมือนดมิ แตเ่ พลงบรรเลง เริ่มมีบทบาทเขา้ มามากขึ้น เพลงในยคุ นแี้ บง่เป็น 2แบบ อมิ มิเททีฟโพลีโฟนี (Imitative Polyphony) คอื มีหลายแนว และแต่ละแนวจะเรม่ิ ไม่พร้อมกัน ทกุ แนวเสียงมีความสำ�คญั The composer Johannes Okeghem with his singers. Paris, Bibliothèque Nationale, fr M 1537 9
โฮโมโฟนี (Homophony) คอื มหี ลายแนวเสียงและบรรเลงไปพรอ้ มกนั มีเพียงแนว เสียงเดียวทเ่ี ดน่ แนวเสยี งอนื่ ๆ เป็นเพียงเสียงประกอบ การประสานเสยี งไดร้ ับการพัฒนาให้ กลมกลนื ข้ึน เพลงศาสนายงั คงมีความส�ำ คญั เปน็ รากฐานของการประสานเสยี ง เพลงส่วนใหญก่ ็ ยงั เก่ยี วขอ้ งกบั คริสตศ์ าสนาอยู่ เพลงท่ีใช้ประกอบขนั้ ตอนต่างๆ ของพธิ ีทางศาสนาท่ีส�ำ คัญ คอื เพลงแมส (Mass) และ โมเตท็ (Motet) ค�ำ ร้องเป็นภาษาละติน แมส (Mass) คือ บทเพลงร้องในศาสนาของนิกายโรมันคาทอลคิ ค�ำ วา่ Mass มาจาก คำ�ภาษาละตนิ วา่ Missa ทม่ี คี �ำ ศัพท์เรยี กโดยเฉพาะวา่ Monody เดิมไม่มีการประสานเสยี ง มี ทงั้ การขับรอ้ งเดย่ี วและการขับรอ้ งหมู่ เป็นเพลงเสียงเดีย่ ว ต่อมาหลงั ศตวรรษที่ 12 เร่มิ มีการ ประสานเสยี งเกิดขนึ้ ในเพลงแมส เรียกวา่ Organum ทำ�ใหเ้ กดิ พืน้ ผิวแบบ Polyphony เกิดข้ึน และเพ่มิ ดนตรปี ระกอบเมอื่ ศตวรรษท่ี 17 Music of the Masses10
โมเตท็ (Motet) เปน็ เพลงร้องทางศาสนา แต่เดมิ ไมม่ ดี นตรีประกอบและเน้ือรอ้ งสว่ น ใหญเ่ ปน็ ภาษาละตนิ ค�ำ วา่ “Motet” มาจากค�ำ ในภาษาฝรงั่ เศสวา่ “Mot” ซงึ่ มคี วามหมายตรง กบั คำ�ในภาษาองั กฤษวา่ “Word” ในทางดนตรี หมายถึงการเพิ่มคำ�ร้องเขา้ ไปในแนวเสยี งบนท่ี เพิม่ เข้ามาใหม่ เพลงโมเตท็ ในยคุ แรกเร่ิมเปน็ เพลงร้องท่ีมี 2 แนวเสยี ง และทงั้ 2 แนวเสยี งมีคำ�รอ้ งที่ ไมเ่ หมือนกัน เพลงโมเตท็ บางเพลงจะก�ำ หนดให้ใช้เคร่ืองดนตรีชว่ ยบรรเลงแนวทำ�นองบนที่เปน็ เสยี งสูงดว้ ย Motet Through The Years12
เพลงทไี่ ม่ใช่เพลงศาสนากเ็ ร่มิ นิยมกนั มาก ไดแ้ ก่ เพลง แมดริกลั (Madrigal) เป็นเพลงทม่ี จี ังหวะสนกุ สนาน เกย่ี วกับความรัก หรอื ยกย่องบุคคลส�ำ คญั นอกจากนย้ี ังใชภ้ าษาประจ�ำ ชาติของแต่ละชาติ A Madrigal” by John Callcott Horsley ยุคนม้ี กี ารน�ำ เอา ความดัง - เบาของเสยี งดนตรี (Dynamic) มาใชเ้ ปน็ องค์ประกอบส�ำ คัญอย่างหนง่ึ ของดนตรี สมัยเรอเนสซองซ์ (The Renaissance) ไดแ้ บง่ เปน็ 2ช่วงหลักๆ คอื สมัยศตวรรษที่ 15และ สมยั ศตวรรษที่ 16 13
14
สมยั ศตวรรษท่ี 15 15
สมัยศตวรรษท่ี 15 สมยั ศตวรรษที่ 15 ประชาชนทว่ั ไปได้หลุดพ้นจากการปกครองระบอบศักดินา (Feu- dalism) มนษุ ยนยิ ม (Humanism) ได้กลายเปน็ ลัทธสิ ำ�คญั ทางปรชั ญา ในช่วงต้นศตวรรษท่1ี 5 เพลงดนตรี ได้รบั อทิ ธิพลจาก นักประพันธเ์ พลงภาษาองั กฤษและยโุ รป ตอนเหนือ เพลงมักจะมี 3 แนว โดยแนวบนสุดจะมลี ักษณะนา่ สนใจกว่าแนวอนื่ ๆ เพลงที่ ประกอบดว้ ยเสียง 4 แนว ในลกั ษณะของโซปราโน อัลโต เทเนอร์ เบส เรม่ิ นยิ มประพนั ธก์ ันซงึ่ เป็นรากฐานของการประสานเสียง 4 แนว ตอ่ ๆมา เพลงโบสถ์จ�ำ พวก แมสมีการประพันธก์ นั เชน่ เดียวกบั ในสมัยกลาง เพลงโมเตต็ ยังมรี ปู แบบคลา้ ยสมยั ศิลป์ใหม่ เกดิ การสอดประสานเพลงคฤหสั ถ์ขึน้ คือ สอดประสานแบบล้อ กัน (Imitative style) และ เพลงประเภทซังซอง แบบสอดประสาน (Polyphonic chanson) มี แนวอ่นื ซงึ่ มแี นวโน้มเป็นลกั ษณะของการใสเ่ สียงประสาน (Homophony)ลกั ษณะล้อกนั แบบน้ี เปน็ ลกั ษณะส�ำ คัญของเพลงในสมัยนี้ ไดม้ กี ารน�ำ เอารูปแบบเพลงของแบบโมเต็ต และ แคนนอน มาประพนั ธ์ เปน็ แบบเพลงแมส ผู้คนในยุคเรเนสซองส์ เชื่อในเรอื่ งเหตผุ ลมากขึน้ แสวงหาข้อเทจ็ จริง เลิกเช่ือผ้นู �ำ ศาสนาจกั รอยา่ งงมงาย แสวงหาความสขุ ความสวย ความงาม ความโออ่ า่ สนใจเร่อื งกายวิภาค มิตสิ ัมพันธ์ การจัดองคป์ ระกอบ ส่งิ ต่างๆ เหล่านไ้ี ดส้ ะทอ้ นออกมาทางงานสถาปตั ยกรรม ส่ิง กอ่ สรา้ ง ผลงานทางศลิ ปะ ผลงานทางดนตรี วรรณกรรม และการคน้ พบทางวทิ ยาศาสตร์ ผูม้ ี ฐานะทางสงั คม พ่อคา้ ขุนนาง เริ่มให้ความสนใจกับผลงานทางศลิ ปะดนตรมี ากขึ้น16
ศลิ ปนิ ผู้มชี ่อื เสยี งในสมัยนี้ โลเรนโซ กีแบร์ตี (Lorenzo Ghiberti)lorenzo ghiberti portrait 17
โดนาเตล็ โล (Donatello) รปู ปน้ั โดนาเตลโลท่ีฟลอเรนซ์ เลโอนารโ์ ด ดา วินชิ (Leonardo da Vinci) Leonardo da Vinci Paintings18
เครื่องดนตรที ี่เลโอนารโ์ ด ดา วนิ ชิ ออกแบบ 19
20
สมยั ศตวรรษท่ี 16 21
สมยั ศตวรรษท่ี 16 สมยั ศตวรรษท่ี 16 มนษุ ยนยิ มเป็นลทั ธิสำ�คัญทางปรัชญา เพลงบรรเลงก็เรม่ิ นยิ มกนั มากข้ึน เพลงโบสถ์ยังมอี ิทธพิ ลจากเพลงโบสถ์ของโรมนั แต่กม็ เี พลงโบสถข์ องนกิ ายโปรแตสแตน ท์เกิดข้นึ การประสานเสยี งเรมิ่ มีหลกั เกณฑม์ ากขน้ึ การใช้การประสานเสียงสลบั กับการลอ้ กัน ของทำ�นองเป็นลักษณะหน่งึ ของเพลงในสมัยนี้ การแต่งเพลงแมสและโมเต็ต น�ำ หลักของการล้อ กันของท�ำ นองมาใช้แต่เป็นแบบฟวิ ก์ (Fugue) คอื การล้อของท�ำ นองที่มีการแบ่ง เป็นส่วน ๆ ท่ี สลับซับซ้อนมีหลักเกณฑม์ ากขน้ึ ดนตรใี นศตวรรษนี้มรี ูปแบบ ใหม่ ๆ เกิดข้นึ และหลกั การต่าง ๆ มีแบบแผนมากข้ึน สมยั นีม้ กี ารปฏวิ ัตทิ างดนตรเี กดิ ข้นึ ในเยอรมัน ซงึ่ เปน็ เร่อื งของความขดั แย้งทางศาสนากบั พวกโร มนั แคธอลิก จึงมีการแต่งเพลงขน้ึ มาใหมโ่ ดยใชก้ ฏเกณฑ์ใหมด่ ้วยเพลงทเ่ี กดิ ขึน้ มาใหมเ่ ป็นเพลง สวดที่เรยี กว่า “โคราล” (Chorale) ซงึ่ เปน็ เพลงที่น�ำ มาจากแชนท์แตใ่ สอ่ ัตราจงั หวะเข้าไป เป็น อัตราจังหวะทแี่ นน่ อน ใสเ่ น้อื เป็นเรือ่ งศาสนาและเปน็ เพลงท่แี ตง่ ขึ้นใหม่ดว้ ย ในสมัยนีม้ นษุ ย์เริ่ม เห็นความส�ำ คญั ของดนตรมี าก โดยถอื ว่าดนตรเี ป็นส่วนหน่ึงของชีวติ ในสมัยน้ีดนตรีของคฤหสั ถ์ (Secular Music) และดนตรศี าสนา (Sacred Music) มีความส�ำ คัญเท่ากัน22
23
ลกั ษณะบทเพลงในสมัยนี้ 1. บทร้องใชโ้ พลีโฟนี (Polyphony) สว่ นใหญ่ใช้ 3-4 แนว ในศตวรรษที่ 16 ได้ชือ่ วา่ “The Golden Age of Polyphony” the Golden Age of Polyphony Josquin des Prez Born: Hainault or Henegouwen (Burgundy), c. 1440 Died: Condé-sur-Escaut, August 27, 1521 2. มีการพฒั นา Rhythm ในแบบ Duple time และ Triple time ขึน้ 3. การประสานเสียงใช้คู่ 3 ตลอด และเปน็ สมัยสดุ ท้ายทมี่ ีรูปแบบของขับร้อง และ บรรเลงเหมอื นกนั24
INSTRUMENTS เครื่องดนตรี
เครือ่ งดนตรี ตั้งแต่เร่มิ ต้นสมยั ศตวรรษท่ี 16 เครือ่ งดนตรี จงึ ความสำ�คัญมากขน้ึ เคร่ืองดนตรถี ูกนำ� มาใช้ ส�ำ หรบั การเต้นรำ� และ จะมาพร้อมกบั เสยี งดนตรี เคร่อื งดนตรใี นสมัยนที้ ีน่ ิยมใชก้ ัน ได้แก่ เคร่ืองสายท่บี รรเลงด้วยการใช้คันชัก ไดแ้ ก่ ซอวโิ อล (Viols) ขนาดต่าง ๆ ซอรเี บค (Rebec) ซ่ึง ตัวซอมีทรวดทรงคลา้ ยลูกแพร์เปน็ เครอ่ื งสายท่ใี ชค้ นั ชกั ลูท เวอรจ์ นิ ลั คลาวคิ อรด์ ขลยุ่ รีคอรเ์ ด อร์ ป่ีชอม ปี่คอร์เน็ต แตรทรัมเปต และแตรทรอมโบนโบราณ เปน็ ตน้ สมัยนี้เปน็ ชว่ งระหวา่ งการพัฒนาเครอื่ งดนตรรี ปู ร่างรปู ทรงทค่ี ้นุ เคย จนกลายเป็นแบบ ทรี่ ู้จกั กัน(ไวโอลิน, กีตาร์, คีบอรด์ ต่างๆ) Renaissance consort26
Viols 27
Rebec Lute28
viol renaissanceCrumhorn renaissance 29
Rackett Sackbut (Early trombone) Cornamuse30
Rauschpfeiferenaissance shawm 31
Recoder(ขล่ยุ รีคอรเ์ ดอร์) Clavichord32
Harpsichord Virginal 33
COMPOSERS นกั ประพนั ธ์เพลง
จอหน์ ดนั สเตเบิล (John Dunstable, ประมาณ 1390 –1453) เปน็ ชาวอังกฤษ ผลงานของเขาจะอยูในช่วงระหวา่ ปลายยคุ กลาง และตน้ ยคุ เรอเนสซอซ์ ดนั สเตเบิ้ลเปน็ ผูท้ ่ีมชี อื่ เสียงและเป็นที่ยอมรับอยา่ งกว้างขวางทั้งในอังกฤษและภาคพืน้ ยุโรปแต่เปน็ ที่น่าเสียดายเปน็ อยา่ งมาก เนือ่ งจากผลงานของเขาได้ถกู ทำ�ลายไปหลายสว่ นเนอ่ื งมาจากผลของการทำ�สงครามในประเทศองั กฤษ ผลงานทีย่ งั หลงเหลืออยไู่ ดน้ ำ�มาจากแหล่งอ่ืน ๆ เช่นเยอรมนั และอติ าลี ดนั สเตเบิ้ล เป็นนักประพนั ธ์เพลงทต่ี ้องการให้ทำ�นองเพลงมีความเด่นชดั มากกวา่ แนวท�ำ นองอน่ื ๆ เขาเป็นคนแรกทน่ี �ำ ทำ�นองเดยี วมาใชเ้ ปน็ firmus cantus ซ่ึงแต่ก่อนหนา้ น้จี ะเป็นหลายท�ำ นองสอดสลบั กนั ตัวอย่างเดน่ ชดั คือเพลง Missa Rex seculorum นอกจากนนั้ เขายังไดน้ ำ�วธิ ีการประสานเสียงในระยะขน้ั คู่ 3 และขั้นคู่ 6 มาใช้ พรอ้ มทง้ั ยังมกี ารนำ�คอร์ดทม่ี ีเสียงกระด้างมาใชใ้ นบทเพลงดว้ ย จึงถอื ไดว้ า่ ดนั สเตเบ้ลิ เป็นผู้นำ�แนวดนตรใี นยคุ ใหม่ ทจี่ ะมีผลต่อการประพันธ์เพลงในยุคต่อมาผลงานท่ีมชี ่ือเสยี ง (Missa Rex seculorum , Salve scema sanctitatis, Quam pulchra es,Agincourt Hymn 35
กิโยม ดูเฟย์ (Guillianum Dufay ประมาณ 1400-1474) ดเู ฟยเ์ ป็นชาวเนเธอรแ์ ลนด์ แตเ่ ป็นผูน้ ำ�ดนตรีท้ังในฝรั่งเศส และอติ าลี เพลงทีแ่ ตง่ มี ท้งั เพลงคฤหัสถแ์ ละเพลงโบสถ์ เพลงคฤหสั ถ์ท่ีไดป้ ระพนั ธไ์ ว้ได้แก่ เพลงชองซง (chanson) ผล งานดา้ นเพลงโบสถ์ท่ปี ระพนั ธ์ไวเ้ ป็นจ�ำ นวนมากคือเพลงประเภท แมส (Mass) นอกจากนน้ั ยังได้ พัฒนารูปแบบการประพนั ธเ์ พลงโมเต็ท (Motet) ไวใ้ หผ้ ู้ประพันธเ์ พลงรุน่ หลงั ๆ น�ำ มาใช้ด้วย ผลงานที่มชี ่อื เสียง Ce moys de may, Salve Regina, Anima mea liquefacta est, Mon chier amy โอคิกัม (Johannes Ockeghem, ประมาณ 1410-1497) เปน็ สงั คีตกวีชาวเนเธอรแ์ ลนดใ์ นยคุ เรอเนซองส์ เป็นลกู ศิษย์ของกโิ ยม ดเู ฟย์ เขารับ แนวคิดของดเู ฟยม์ าผสมผสานกับแนวคดิ ของตนเอง จงึ มีผลทำ�ให้บทเพลงของออคเคอเกมมี ความสมบูรณม์ ากกวา่ นักประพันธ์ในรุน่ ก่อน ออคเคอเกมไดน้ ำ�การลอ้ เลยี นทำ�นอง (imitative style) มาใชใ้ นการเขียนเพลง ซึง่ ถอื ได้ว่าเปน็ ต้นแบบของการเขียนเพลงฟวิ ก์ (Fugue) ในยคุ บา โรก ผลงานของออคเคอเกมมีทง้ั เพลงศาสนาและเพลงฆราวาส ผลงานทีม่ ชี อ่ื เสยี ง Missa Caput - Kyrie, Missa Mi-mi - Gloria, Requiem: Sicut cervus, Quant de vous seul je pers la veue (Rondeau), Ma bouche rit et ma pens- ee pleure - Jean Fouquet.36
จอสกนิ เดอส์ เพรส์ (Josquin des Prez, ประมาณ 1440 -1521) จอสกนิ เดอส์ เพรส์ ( Josquin des Prez) หรอื ท่เี รยี กกนั โดยทว่ั ไปวา่ จอสกนิ (Jos-quin) เป็นนักประพันธเ์ พลงในแนวดนตรีทีเ่ รียกวา่ Franco - Flemish เป็นเพลงขบั รอ้ งทีม่ กี ารสอดแทรกหลายแนวเสยี งในยคุ เรอเนซองส์ เม่อื เปรยี บเทียบระหวา่ ง กโิ ยม ดูเฟย์ (GuillaumeDufay)และพาเลสตรินา(Palestrina) จอสกิน ประพนั ธเ์ พลงทงั้ 2 ประเภท คอื เพลงศาสนา(sacred music) และเพลงฆราวาส (secular music) ในรปู แบบของการขับรอ้ ง รวมทั้งเพลงแมส(mass) เพลงโมเต็ท(motet) เพลงชองซง(chanson) และ เพลงฟรอ็ ตโตลา (frottola) ในศตวรรษที่ 16 จอสกนิ ได้รับการยกยอ่ งอยา่ งสูงสดุ ในดา้ นการเขียนทำ�นองเพลงและการนำ�เทคนิคการประพันธ์เพลงมาใชอ้ ย่างชาญฉลาด ผลงานท่ีมชี ือ่ เสียง Ave Maria, Mille Regretz, Tu solus qui facis mirabilia, Mis-sa Hercules Dux Ferrariae (1/4), Veni Sancte Spiritus, Pater noster / Ave Maria 37
โทมสั ทาลลสิ (Thomas Tallis) ชาวองั กฤษ มีความสามารถดา้ นการแต่งเพลงและเล่นออรแ์ กน เขาไดแ้ ตง่ Anthem เป็นเพลงขับรอ้ งประสานเสยี งในนิกายโปแตสแตนต์ สำ�หรับเพลงบรรเลง วลี เคสไดป้ ระพันธ์ ไวส้ ำ�หรบั การรวมกลุม่ เฉพาะเครอ่ื งดนตรกี ลุ่มเล็ก ๆ เท่านั้น และไมค่ ่อยไดน้ ำ�ออกแสดง ส่วน คุณลกั ษณะของเสียงดนตรีทีไ่ ดป้ ระพนั ธ์ประกอบเพลงแมดริกัล วลิ เคสไดป้ ระพนั ธ์ให้มีเสยี งที่ไม่ แจ่มใส ซึง่ จะให้ความร้สู ึกทต่ี รงกนั ข้ามกบั เนอื้ หาของบทเพลงท่มี ีความสดชน่ื แจ่มใส ผลงานท่มี ีช่อื เสยี ง The Nightingale, Hosanna to the Son of David, service for trebles (Magnificat), Hark all ye lovely saints above38
จโิ อวันนี ปิแอรล์ ุยจิ ดา ปาเลสตรินา(Giovanni Pierluigi da Palestrina, ประมาณ 1524-1594) จโิ อวันนี ปแิ อร์ลยุ จิ ดา ปาเลสตรนิ า หรือเรียกกนั โดยทวั่ ไปว่า ปาเลสตรนิ า เป็นสังคีตกวชี าวอติ าลใี นปลายยคุ เรอเนซองส์ ชีวติ เริม่ ตน้ เกีย่ วกบั ดนตรีดว้ ยการเปน็ นกั ร้องประสานเสยี งในโบสถ์ และได้หัดเลน่ ออร์แกน รวมทง้ั ศกึ ษาวิธกี ารประพนั ธไ์ ปพรอ้ มกัน ผลงานเพลงสำ�หรบัฆราวาส ไดแ้ ก่เพลงแมดริกลั เป็นเพลงรอ้ งประสานเสียงสอดท�ำ นอง 4 เสียง และ 5 เสียง และมีผลงานเพลงส�ำ หรบั บรรเลงดว้ ยเคร่ืองดนตรจี �ำ นวนหนึง่ สว่ นผลงานเพลงศาสนานน้ั มีทง้ั แมสโมเตท็ และเพลงศาสนาในรูปแบบอื่น ๆ บทเพลงของปาเลสตรินาเกือบทัง้ หมดจัดว่าเป็นเพลงในระดบั คุณภาพทงั้ ส้นิ ผลงานท่ีมีชอื่ เสยี ง Missa Papae Marcelli, O Magnum Mysterium, Office desténèbres 39
วลิ เลียม เบิร์ด (William Byrd, 1543-1623) วลิ เล่ียม เบริ ์ด เปน็ สังคตี กวชี าวองั กฤษ ในยคุ เรอเนซองส์ เบริ ด์ เปน็ ผูน้ ำ�รปู แบบการ ประพันธใ์ หม่ ๆ มาใชใ้ นอังกฤษ เบิรด์ ไดส้ รา้ งผลงานระดบั คุณภาพไว้จำ�นวนมาก มที ง้ั เพลง ศาสนาและเพลงฆราวาสในลกั ษณะของการสอดประสานเสยี งแบบโพลโี ฟนี รวมถงึ เพลงสำ�หรับ บรรเลงด้วยคียบ์ อรด์ และเพลงส�ำ หรบั การบรรเลงดว้ ยเคร่ืองดนตรชี นิดอน่ื ๆ ท่ีมอี ยู่ในยุคน้ี ผลงานที่มชี ่อื เสยี ง Agnus Dei (Mass for 5 voices), Gloria (Mass for 4 voices), Sing Joyfully , O mistress mine คลอดิโอ มอนเทแวร์ดี (Claudio Monteverdi, 1567-1643) คลาวดิโอ มอนเตแวรด์ ี เขาเรียนดนตรี พรอ้ มกบั การประพนั ธ์บทเพลงแล้วน�ำ ไปตพี มิ พ์ เพอื่ เผยแพร่เปน็ จำ�นวนมาก ทำ�ใหเ้ ขามชี ื่อเสยี งในด้านผลงานท่เี ขาได้สรา้ งข้ึนมาเมอื่ อายไุ ดเ้ พยี ง 20 ปเี ทา่ นั้น มีช่อื เสียงมากในดา้ นการประพันธด์ นตรีประกอบการแสดงอปุ รากร(Opera) หนึง่ ในการประพันธท์ �ำ นองเพลงที่มีช่ือเสียงคืออุปรากรเร่อื งออรฟ์ ิโอ(Orfeo) นอกจากนั้นยังมีผลงาน ประเภทอนื่ ๆ อกี เช่น แมส โมเท็ต และแมดรกิ ัล มอนเตแวรด์ เี ป็นทร่ี ูจ้ ักสำ�หรับความสามารถใน การแตง่ เพลงทย่ี อดเยีย่ มทั้งเพลงทเี่ ป็นเพลงศาสนาและเพลงส�ำ หรบั ฆราวาส ผลงานทม่ี ีชือ่ เสียง (Famous Works) Orfeo, Marienvesper, Vespro40
ยาคอบ โอเบร็คท์ (Jacob Obrecht, 1457/8-1505) ประเทศเนเธอร์แลนด์ เขาเป็นนักแต่งเพลงท่มี ชี ื่อเสยี งท่สี ุดของมวลชนในยโุ รปในชว่ งปลายศตวรรษท่ี 15 สว่ นใหญเ่ ขียนเพลงทีเ่ ก่ียวข้องกับบทสวด สกั การะโคลด เลอเชนิ (Claude Le Jeune, 1530-1600) เปน็ กวีทีม่ ีชอ่ื เสียง ในฝรัง่ เศส เพลงประเภทซงั ซอง เป็นรูปแบบของเขา หลังจากปี 1570 เขาเขียนรวมเพลงประเภทซงั ซองเข้าด้วยกนั 41
ออร์ลนั โด้ ดิ ลัสโซ (Orlando di Lasso, 1532, possibly 1530 – 14 June 1594) เขาเปน็ สังคตี กวใี นกลุม่ Franco - Flemish School เป็นกลุ่มนกั ดนตรใี นประเทศ เนเธอรแ์ ลนด์ท่ีมีผลงานโดเด่นเกย่ี วกับเพลงขับร้องสอดแทรกหลายแนวเสียง ตัวเขาเองจัดไดว้ ่า เปน็ ผู้ทีม่ ชี ือ่ เสยี งทส่ี ดุ เปน็ ผนู้ ำ�หน่งึ ในสามของกลมุ่ เขาไดเ้ ดินทางไปทว่ั ภาคพน้ื ยุโรป เพ่ือรบั ใช้พวกขนุ นางแหง่ แวน่ แควน้ ต่าง ๆ ของทวีป ยโุ รปในขณะนน้ั ด้วยเหตุนีท้ �ำ ใหพ้ บวา่ ลสั ซุสเปน็ สงั คีตกวคี นเดียวในยุคน้นั ทม่ี กี ารบันทึกผลงาน ไว้ถงึ 5 ภาษาดว้ ยกัน ไดแ้ ก่ เยอรมัน อติ าลี เนเธอรแ์ ลนด์ ฝร่ังเศส และอังกฤษ ลสั ซสุ สรา้ งผล งานทบ่ี นั ทกึ ไว้ด้วยภาษาละติน อติ าลี และเยอรมนั มีจำ�นวนมากกวา่ 2,000 ช้นิ ในจำ�นวนนรี้ วม ถงึ เพลงโมเต็ทจำ�นวน 530 เพลง เพลงแมสท่สี มบูรณ์จำ�นวน 60 เพลง เพลงแมดรกิ ัลและเพลง วิลลาเนลลา(villanella)ที่เปน็ ภาษาอติ าลีจ�ำ นวน 175 เพลง เพลงชองซง(chanson)ที่เปน็ ภาษา ฝรัง่ เศสจำ�นวน 150 เพลง และเพลงลดี (lieder)ทเี่ ปน็ ภาษาเยอรมนั จ�ำ นวน 90 เพลง ผลงานทมี่ ชี ื่อเสยี ง Lauda anima mea Dominum, Sto core mio42
คาร์โล เกซวลโด (Carlo Gesualdo, 30 March 1566 – 8 September1613) เจ้าชายแห่ง เวโนซาร์เปน็ ที่รจู้ ักสำ�หรบั หนังสอื ของเขา และเสียงดนตรโี ดยเฉพาะอยา่ งยิง่ มาดรกิ าลบางส่วนท่ีส�ำ รวจมากา้ วหน้าและเปล่ียนแปลงอาดรอิ อง วลิ แลร์ต (Adriane Willaert, 1490 – 7 December 1562) นักแตง่ เพลงชาวเนเธอร์แลนด์ หน่งึ ในนักประพันธ์เพลงทีห่ ลากหลายมากที่สุดของยุคฟืน้ ฟศู ลิ ปวทิ ยาการเขียนเพลงในเกือบทกุ รปู แบบท่ยี งั หลงเหลอื อยู่ 43
Giovanni Gabrieli โจวันนี กาบริเอลี โจวนั นี กาบริเอลี เกดิ ที่เมืองเวนสิ เขาได้แตง่ เพลงซง่ึ แบง่ ผบู้ รรเลงออกเปน็ 4 กลุ่ม ขณะนง่ั บรรเลงกใ็ หแ้ บง่ กลุ่มนั่งอย่างชัดเจน ลักษณะการประสมวงดนตรแี บบของกาบรเิ อลนิ นี ไี้ ด้ น�ำ ไปส่กู ารประสมวงดนตรีส�ำ หรบั วงออร์เคสตราในปจั จบุ ัน กาบริเอลี เป็นนักประพนั ธค์ นแรกท่ี มีการกำ�กับความดงั เบาในบทเพลงให้นกั ดนตรีปฏบิ ตั ิตาม ในบทเพลงท่ีมชี ่อื วา่ Sonata piano e forte ผลงานท่มี ีชื่อเสียง Sonata Pian e forte, In Ecclesiis, Canzon, Magnificat a 1444
Search