Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ebook

ebook

Published by โศรดา ทุมมาดา, 2021-11-12 08:35:51

Description: ebook

Search

Read the Text Version

จงั หวดั อดุ รธานี ภาพที่ 1 ตราสญั ลกั ษณป์ ระจำจังหวดั อดุ รธานี ข้อมลู ทวั่ ไป อุดรธานี เป็นจงั หวดั ทีต่ งั้ อยูต่ อนบนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย จังหวดั อดุ รธานี เป็นศนู ยป์ ฏิบัตกิ ารกล่มุ จังหวัดภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ตอนบน 1 และศนู ยก์ ลางพื้นท่ลี มุ่ แม่น้ำโขง เดมิ พืน้ ที่เมอื งอุดรธานีในปัจจบุ นั คือบ้านเดอื่ หมากแขง้ ซง่ึ มีมานานรว่ มสมยั กับเมืองเวยี งจันทน์ อาณาจกั รล้าน ช้าง เมอื งอดุ รธานีไดร้ ับการสถาปนาให้เป็นเมืองศูนยบ์ ัญชาการการปกครองของมณฑลอดุ รอย่างเป็น ทางการในสมัยรชั กาลท่ี 4 ปี พ.ศ. 2436 โดยพลตรี พระเจา้ บรมวรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จ้าทองกองกอ้ นใหญ่ กรมหลวงประจกั ษศ์ ลิ ปาคม ซง่ึ ทรงเป็นขา้ หลวงใหญ่สำเรจ็ ราชการแทนพระองคป์ กครอง มณฑลอุดร ใน สมยั ทม่ี ีการปกครองในรปู แบบมณฑลเทศาภิบาล กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ เมืองอุดรธานเี กดิ จากรวมกนั ของหัว เมืองฝ่ายเหนือในพนื้ ทมี่ ณฑลอดุ ร (มณฑลลาวพวน) คอื เมอื งกุมภวาปี เมอื งหนองหาน เมืองนครเข่อื นขนั ธ์ กาบแกว้ บวั บาน และบ้านเดื่อหมากแขง้ มีอาณาเขตปกครองกว้างใหญท่ ีส่ ุดในประเทศ จงั หวดั อดุ รธานอี ยู่ หา่ งจากกรงุ เทพมหานคร 564 กิโลเมตร มเี นอ้ื ทป่ี ระมาณ 11,730 ตารางกิโลเมตร(ประมาณ 7,331,438.75 ไร)่ มสี ภาพภมู ปิ ระเทศทอ่ี ดุ มสมบรู ณ์ และมแี หลง่ อารยธรรมที่เก่าแก่แหง่ หน่งึ ของประเทศและของโลก ปัจจบุ นั อดุ รธานีเป็นศนู ย์กลางหนว่ ยงานราชการต่าง ๆ ในภมู ิภาค ศูนย์กลางการเดินทางทางบกและทาง อากาศของภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ รวมท้งั เป็นศนู ย์กลางของอนุภูมิภาคลมุ่ แมน่ ้ำโขง เช่อื มโยงกบั ประเทศ ในภูมิภาคอาเซียน จงั หวัดอดุ รธานตี ้ังอยู่ตอนบนของประเทศหรือทเี่ รียกว่าอีสานเหนือ อยู่ในภายตะวนั ออกเฉยี งเหนือ ของประเทศไทย ระหว่างเสน้ ร้งุ ที่ 17 องศา 13 ลิปดา เหนือ ถงึ 18 องศา 10 ลปิ ดาเหนอื และระหวา่ งเสน้ แวงที่ 102 องศา 00 ลิปดา ตะวันออก ถงึ 103 องศา 30 ลิปดา ตะวันออก อดุ รธานีมอี าณาเขตตดิ กบั จังหวดั อื่น ๆ ดงั นี้ ทิศเหนอื จรดจงั หวดั หนองคาย (อำเภอสระใคร,อำเภอท่าบอ่ ,อำเภอโพนพสิ ัย

2 อำเภอศรีเชยี งใหม่,อำเภอสงั คม) ทศิ ตะวันออก จรดจงั หวดั สกลนคร (อำเภอบา้ นมว่ ง,อำเภอเจรญิ ศลิ ป์, อำเภอสวา่ งแดนดิน,อำเภอสอ่ งดาว, อำเภอวารชิ ภมู ิ) ทศิ ใต้ จรดจงั หวดั ขอนแกน่ (อำเภอเขาสวนกวาง, อำเภอกระนวน)และจังหวัดกาฬสินธุ์ (อำเภอสหสั ขันธ์,อำเภอท่าคนั โท) ทศิ ตะวนั ตก จรดจงั หวัดเลย (อำเภอปากชม) และจงั หวดั หนองบัวลำภู (อำเภอเมอื งหนองบวั ลำภู) ภาพท่ี 2 แผนทีจ่ ังหวดั อุดรธานี ภูมิประเทศ ประกอบด้วยภเู ขา ที่สงู ที่ราบ ทร่ี าบลุ่ม และพน้ื ทลี่ กู คล่นื ลอนต้ืน แบง่ ออกได้ 2 บริเวณ คอื บรเิ วณทสี่ ูงทางทศิ ตะวันตกและทางทศิ ใตส้ ภาพภูมปิ ระเทศส่วนใหญเ่ ปน็ พื้นทภี่ ูเขา บางสว่ นเป็นพนื้ ท่ีลกู คลืน่ ลอนตน้ื ถงึ ลอนลกึ มีความสงู จากระดบั น้ำทะเลปานกลางประมาณ 200 เมตร สภาพภูมปิ ระเทศ ลกั ษณะนีค้ รอบคลุมพื้นท่ใี นเขตอำเภอน้ำโสม อำเภอหนองวัวซอ อำเภอโนนสะอาด อำเภอศรธี าตุ อำเภอ วังสามหมอ และดา้ นตะวันตกของอำเภอกุดจบั และอำเภอบา้ นผือ มเี ทอื กเขาสูงสลบั เนนิ เตยี้ บางสว่ นเปน็ พ้ืนทีล่ ูกคล่นื ลอนตื้นสลบั พ้ืนท่นี า มีทรี่ าบลุ่มอยบู่ รเิ วณริมแม่นำ้ เชน่ ลำนำ้ โมง ลำปาว เป็นตน้ บรเิ วณพ้นื ที่ลกู คลนื่ ทางทิศตะวันออกเฉยี งเหนอื และทิศตะวนั ออก สภาพภมู ปิ ระเทศ ส่วนใหญเ่ ปน็ พนื้ ทลี่ กู คลน่ื ลอนตื้น มที ด่ี อนสลบั ทนี่ า บางสว่ นเป็นท่ีเนินเขาเตีย้ ๆ มคี วามสูงจาก ระดบั น้ำทะเลปานกลางเฉลยี่ ประมาณ 187 เมตร สภาพภูมปิ ระเทศลักษณะน้ีครอบคลมุ พนื้ ทีบ่ รเิ วณอำเภอบา้ นผอื อำเภอกุดจบั อำเภอ เมือง อำเภอกุมภวาปี อำเภอหนองแสง อำเภอไชยวาน อำเภอเพญ็ อำเภอทงุ่ ฝน อำเภอสรา้ งคอมและ อำเภอบา้ นดงุ มที ่รี าบล่มุ เปน็ บรเิ วณกวา้ งในเขต อ่ ำเภอเมืองอุดรธานี และอำเภอกมุ ภวาปีซง่ึ เป็นต้นกำเนิด

3 ของลำนำ้ ปาว พืน้ ทล่ี ูกคลื่นดงั กลา่ วจะมพี ้ืนทส่ี งู ซึง่ เป็นป่าสงวนแหง่ ชาตเิ ดมิ ทางทศิ ตะวันออกเฉยี งเหนือใน เขตอำเภอบา้ นดุง นอกจากนย้ี งั มพี ้ืนทีร่ าบลมุ่ บรเิ วณแม่นำ้ ตา่ งๆเชน่ หว้ ยนำ้ สวย หว้ ยหลวง ลำน้ำเพ็ญ ห้วย ดาน ห้วยไฟจานใหญ่ และแม่น้ำสงครามเปน็ ตน้ โดยทวั่ ไปเปน็ ท่รี าบสงู สงู กว่าระดับน้ำทะเล โดยเฉลย่ี ประมาณ 187 เมตร พื้นทีเ่ อียงลาดลงสูแ่ ม่นำ้ โขงทาง จังหวดั หนองคาย ประกอบด้วยท่งุ นา ป่าไมแ้ ละภูเขา พืน้ ทสี่ ว่ นใหญเ่ ป็นดนิ ปนทรายและดนิ ลกู รงั ชน้ั ลา่ ง เปน็ ดินดาน ไม่เกบ็ น้ำหรืออุ้มน้ำในฤดแู ลง้ พนื้ บางแหง่ เปน็ ดินเคม็ ซ่ึงประกอบการกสิกรรมไม่ค่อยได้ผลดี พน้ื ที่บางสว่ นเป็นลกู คลืน่ ลอนลาด มีพื้นทร่ี าบแทรกอยู่กระจัดกระจายสภาพพื้นทท่ี างตะวันตกมีภูเขาและ ปา่ ตดิ ต่อกนั เปน็ แนวยาว มีเทอื กเขาสำคญั คือ เทือกเขาภพู านทอดเปน็ แนวยาวต้ังแต่เขตเหนือสดุ ของ จงั หวดั ภูมิอากาศ จงั หวดั อดุ รธานอี ยูใ่ ต้อทิ ธพิ ลของลมมรสมุ ตะวนั ตกเฉียงใตแ้ ละลมมรสมุ ตะวันออกเฉียงเหนือ ลกั ษณะภูมอิ ากาศโดยทัว่ ไปจะมอี ากาศรอ้ นจดั ในฤดรู อ้ นและหนาวจัดในฤดหู นาว ช่วง 5 ปยี ้อนหลัง (ปี 2554 – 2558) อณุ หภูมิสงู สดุ วดั ได้ 42.0 องศาเซลเซียส (เมษายน2556) อณุ หภมู ติ ่ำสดุ ทว่ี ัดได้ 9.8 องศา เซลเซียส (มกราคม 2558) ปี พ.ศ. 2558 อณุ หภูมเิ ฉลย่ี ทง้ั ปี 28.10 องศาเซลเซยี ส โดยมอี ุณหภูมิ สงู สุดใน เดือนเมษายน วดั ได้ 41.90 องศาเซลเซยี สและต่ำสุดในเดอื นมกราคมวดั ได้ 9.80 องศาเซลเซยี ส ความกด อากาศเฉล่ยี ทง้ั ปีวัดได้ 1,009.97 มิลิเมตรปรอท รอ้ ยละของความชน้ื สมั พทั ธ์เฉลี่ยสงู สดุ เท่ากบั 95.58 เฉลี่ย ตำ่ สดุ เทา่ กบั 34.08 และร้อยละของความชน้ื สมั พัทธ์เฉลี่ยทง้ั ปีเทา่ กบั 70.51 อาหาร อาหารทีช่ าวลาวกลุม่ ตา่ งๆชอบรับประทานกเ็ หมอื นกบั อาหารอีสานทั่วไปในปจั จุบัน เช่น กินขา้ ว เหนยี ว ลาบ ก้อย นำ้ ตก ไกย่ า่ ง สม้ ตำ ปลาร้า ยำล้ินฟ้า ฯลฯ อาหารอสี านส่วนใหญ่จะมรี สจดั ชาวเมือง นิยมตม้ เหลา้ กนิ เอง(เหล้าตม้ ) เช่น อุ บรรจุในไหใบเลก็ ๆส่วนมากจะเกบ็ ไวส้ ำหรบั ตอ้ นรับแขกคนสำคัญเวลา ดม่ื จะมหี ลอดดดู คหู่ นง่ึ สำหรับแขกผมู้ าเยือน เวลาดดู อุน้ันทงั้ แขกและเจ้าของบา้ นจะดดู อุพรอ้ มๆกัน นอกจากนก้ี ็ยงั มเี หลา้ โท ปจั จบุ ันเหล้าพน้ื เมืองดังกลา่ วหากนิ ได้ไม่ง่ายแล้วเพราะมีกฎหมายควบคมุ หากตม้ ปรงุ กันเองกจ็ ะเขา้ ข่ายเหลา้ เถื่อน

4 ขนมต่างๆทน่ี ิยมรบั ประทานในกล่มุ ชาวลาวต่างๆ เชน่ ขนมสมั มะปิ(รสชาตเิ หมอื นขนมเปียกอ่อนของชาว ไทยภาคกลางแต่กลน่ิ จะหอมกวา่ เพราะเขานยิ มตำใบเตย ใบฟกั ทอง ใบเดือย ใบอ้อยเขา้ ดว้ ยกนั แลว้ นำมา กรองผสมกบั แป้งและหวั กระทิแล้วกวนในกระทะเวลาสกุ ไดท้ ่ีจะมกี ล่ินหอมอรอ่ ยด)ี ขา้ วลอดช่อง(ลอดชอ่ ง) รสชาตจิ ะมรี สชาติเหมอื นขนมลอดชอ่ งของไทยภาคกลางแตท่ ีต่ า่ งกนั คือจะไมอ่ บเทียน ข้าวปาด(เป็นขนมท่ี ทำมาจากข้าวจา้ วผสมนำ้ ตาล ใส่น้ำปูนใสนิดหนอ่ ยแลว้ กวนเข้าดว้ ยกนั พอเหนียวก็ยกลงเทใส่ถาดแลว้ โรย ดว้ ยมะพรา้ วขูดหยาบๆเหมือนมะพร้าวทโ่ี รยหนา้ ขนมเปียกปูน) ข้าวเหนียวหัวหงอก(คอื ขนมทท่ี ำจากข้าว เหนียวนึ่งผสมกบั มะพร้าวทข่ี ูดใหมๆ่ ผสมกบั เกลือ นำ้ ตาลทราย ออ้ ย) และขา้ วปุ้น(ขนมจนี )รบั ประทานกบั น้ำยาลาวนยิ มรับประทานกนั มาก งานทำบญุ ประเพณตี ่างๆมักจะมีขา้ วปุ้นเป็นอาหารร่วมอยู่ด้วยเสมอ ส่วนขนบธรรมเนยี มและจารตี ประเพณีของกล่มุ คนเหลา่ นีก้ เ็ หมอื นกบั ชาวอสี านทั่วไป คอื ยดึ ถือฮตี 12 (ประเพณี 12 เดือน) และครอง14 (ครอง = ครรลอง แนวทางหรอื กติกาทพ่ี ่ึงใชเ้ ปน็ หลกั ปฏบิ ัตริ ะหว่าง ผ้ปู กครองกับผอู้ ย่ใู ตก้ ารปกครองทพี่ ง่ึ ปฏบิ ัติกนั มี 14 ประการ) ภาพที่ 3 ขนมสมั มะปิ ภาพท่ี 4 ยำลิน้ ฟา้ ลักษณะการแต่งกาย การแตง่ กายของกลมุ่ ไทลาว หรือเรยี กท่วั ไปว่า ชาวอสี าน ผชู้ าย สว่ นใหญน่ ยิ มสวมเสอื้ แขนส้นั สเี ข้มๆ ทเ่ี ราเรียกว่า “ม่อห่อม” สวมกางเกงสเี ดยี วกบั เสอ้ื จรด เขา่ นยิ มใชผ้ า้ คาดเอวด้วยผ้าขาวม้า ผ้หู ญิง การแต่งกายสว่ นใหญน่ ยิ มสวมใสผ่ า้ ซิน่ แบบทอทั้งตวั สวมเส้ือคอเปิดเลน่ สสี ัน หม่ ผ้าสไบ เฉียง สวมเครื่องประดบั ตามข้อมอื ข้อเทา้ และคอ

5 ภาพที่ 5 การแตง่ กาย การแตง่ กายของกลมุ่ ภูไท การแตง่ กายส่วนใหญ่ใช้ผา้ ทอมือซงึ่ ทำจากเสน้ ใยธรรมชาติ เช่น ผ้าฝา้ ย และผ้าไหม ผา้ พ้นื เมอื งอสี าน ชาวอีสานถือวา่ การทอผ้าเปน็ กจิ กรรมยามวา่ งหลงั จากฤดู การทำนาหรอื วา่ งจากงานประจำอืน่ ๆ ใตถ้ ุนบ้านแต่ละบา้ นจะกางหูกทอผา้ กันแทบทกุ ครวั เรอื น โดยผหู้ ญงิ ในวัยต่างๆ จะสบื ทอดกันมาผ่านการจดจำและปฏบิ ัตจิ ากวยั เดก็ ทั้งลวดลายสสี ัน การยอ้ มและการทอ ผ้าท่ี ทอดว้ ยมอื จะนำไปใชต้ ัดเย็บทำเป็นเครอื่ งนุ่งห่ม หมอน ที่นอน ผ้าหม่ และการทอผ้ายงั เป็นการเตรยี มผา้ สำหรับการออกเรือนสำหรบั หญิงวัยสาว ท้งั การเตรียมสำหรบั ตนเองและเจ้าบ่าว ท้ังยังเป็นการวัดถงึ ความ เปน็ กลุ สตรี เป็นแม่เหย้าแม่เรือนของหญงิ ชาวอสี านอกี ด้วย ผา้ ทท่ี อขึ้นจำแนกออกเป็น 2 ชนดิ คอื 1. ผา้ ทอสำหรบั ใช้ในชีวิตประจำวัน จะเปน็ ผ้าพืน้ ไม่มลี วดลาย เพราะตอ้ งการความทนทานจงึ ทอด้วยฝา้ ย ย้อมสตี ามตอ้ งการ 2. ผา้ ทอสำหรบั โอกาสพเิ ศษ เชน่ ใช้ในงานบุญประเพณตี า่ งๆ งานแต่งงาน งานฟ้อนรำ ผา้ ทที่ อจงึ มักมี ลวดลายทสี่ วยงามวจิ ติ รพสิ ดาร มีหลากหลายสสี นั ประเพณีท่คี กู่ นั มากบั การทอผ้าคือการลงขว่ ง โดยบรรดาสาวๆ ในหมู่บา้ นจะพากนั มารวมกลมุ่ กอ่ กองไฟ บ้างกส็ าวไหม บ้างกป็ นั่ ฝา้ ย กรอฝ้าย ฝา่ ยชายก็ถอื โอกาสมาเกย้ี วพาราสีและน่ังคุยเป็นเพอื่ น

6 การละเลน่ การละเลน่ พ้นื บา้ น อาจแบง่ การละเลน่ พน้ื บ้านตามวยั เปน็ การละเล่นของเด็ก และการละเล่นของ ผู้ใหญ่ การละเลน่ ของเดก็ มีทงั้ การเล่นกลางแจ้งและในรม่ การละเล่นดงั กล่าวพอประมวลไดค้ ือ หมากเกบ็ หรือไมก้ ๊อกแกก๊ หรือไมเ้ กบ็ เต้นเชอื ก ขี่มา้ หลงั โปก โคง้ ตีนเกวยี น โป้งแปะ ยงิ ปนื กา้ นกลว้ ย ดีดเม็ดมักขาม ลงหลมุ การละเล่นของผใู้ หญ่ มมี หรสพ ดนตรี เพลงพืน้ บ้าน สำหรบั การละเล่นประเภทกีฬามดี งั น้ี หัวสะบา้ หรือหัวสบิ า้ หมากอหี่ รอื บักอี่ (ตี่จบั ) ขาโกกเกก วิ่งเปี้ยว ดึงหนงั หรอื ดงึ เชือก (ชกั เยอ่ ) กิ่งเกิ๊บหรอื ก๊บกบั ต่อไก่ นาฎศิลป์และดนตรี ได้แก่ หมอลำ ลำภูไท หนังปะโมไทยหรือหนังปลดั ต้ือ (หนงั ตะลุงอสี าน) รำเซงิ้ วง่ิ โปงลาง แมวตับเต่า การเลน่ มหรสพดงั กลา่ วมีดนตรใี ช้ประกอบการเล่นหลายประเภทเชน่ แคน ซอ พิณ ฉิง่ โหวด กบั๊ แก้บ กลองสั้น กลองบาว เป็นต้น หมอลำ เป็นวฒั นธรรมดนตรีและเพลงพื้นบ้านอสี าน ท่ผี ู้แสดงจะขับร้องและฟอ้ นรำคลอไปกบั เสยี งแคน โดยมหี มอแคนเปน็ คนเปา่ หมอลำเกดิ ขน้ึ มารบั ใช้ชวี ติ ชาวอีสานทง้ั ยามทุกขแ์ ละสขุ สบื เร่อื งราว วา่ กอ่ นปี พ.ศ.๒๔๐๐ จะมหี มอลำผเี ข้า มีวัตถุประสงค์เพือ่ รักษาโรคภยั ไข้เจบ็ ปจั จบุ นั หมอลำแยกออกไป หลายแขนง ลำกลอนของบางคณะได้เพม่ิ เครือ่ งดนตรเี ข้าไปเช่น กลองชุด กีตารเ์ บส เรียกหมอลำประยกุ ต์ แนวนวี้ ่าหมอลำซงิ่ หมอลำแบง่ ลกั ษณะการลำ หรือการแสดงได้ส่ีประเภทคือ หมอลำกลอน เปน็ ลักษณะลำแบบโต้กลอนสด ผู้ลำต้องมีความรกู้ วา้ งขวางเกีย่ วกบั วัฒนธรรม ประเพณี ศาสนา คติธรรมต่าง ๆ ฯลฯ หมอลำเร่ือง มกั เป็นนทิ านพนื้ บา้ นเชน่ ผาแดง นางไอ่ นางผมหอม หมอลำเรอื่ ง ยังแบง่ ออกเปน็ ลำห้าชนดิ คือหมอลำพื้น หมอลำหมหู่ รือลเิ กลาว หมอลำเพลิน หมอลำกบ๊ิ แกบ๊ และหมอลำแมง ตบั เตา่ หมอลำผีฟ้า เปน็ การลำเพ่ือรกั ษาผูป้ ว่ ย เรม่ิ จากลำส่อง เพ่ือตรวจหาสาเหตขุ องการปว่ ย แล้วจงึ ลำทรง เพื่อเชิญเทวดาหรอื สง่ิ ศกั ดิส์ ทิ ธใ์ิ หล้ งมาทรงในตวั หมอลำ หมอลำเบ็ดเตลด็ สว่ นใหญ่ใชก้ ารลำที่มสี ำเนียงและท่วงทำนองเฉพาะถ่นิ เช่น ลำพรสวรรค์ ลำภูไท ฯลฯ ส่วนใหญเ่ ปน็ การลำทำนองเกีย้ วพาราสี โตต้ อบกนั

7 รำเซิง้ เป็นการรำประกอบการเซิ้ง ในพธิ ที ำบญุ บ้ังไฟของชาวอีสาน การรำเซง้ิ คิดท่ารำจากการ ทำงานทง้ั ส้ิน เช่น เซง้ิ กระติบขา้ ว คดิ ทา่ รำจากการทเี่ ด็กหนมุ่ สาวสะพายกระติบ๊ ข้าวมาสง่ ญาตพิ น่ี อ้ งทน่ี า เซิง้ สวงิ คดิ ทา่ รำจากท่ีชาวบา้ นถอื สวงิ และข้องไปดักปลา เซง้ิ กระดง้ คิดท่ารำจากการฝัดข้าว รำเซงิ้ คิดทา่ รำข้ึนจากการทำงานและวถิ ชี ีวิตหลาย ๆ แบบเชน่ ท่าถอนกล้า ทา่ ดำนา ท่ามองหรอื ท่าอาย ท่าล้างมอื ทา่ สลดั มมอื ทา่ เชด็ มอื ท่าปน้ั ข้าว ทา่ เตยี้ การรำเซง้ิ ของชาวจังหวดั อุดรธานีนยิ มในงานเทศกาลตา่ ง ๆ มีการปรบั ปรุงท่ารำและ เครื่องแตง่ กายใหง้ ดงามเหมาะสมกับกาลสมยั ภาพที่ 6 การละเลน่ โคง้ ตีนเกวียน ภาพที่ 7 การละเลน่ สะบา้ ภาพท่ี 8 รำเซิ้ง ภาพท่ี 9 ขาโกกเกก

8 ชุมชนตา่ ง ๆ ในอดตี ของบ้านเด่ือหมากแข้ง ในระยะเริ่มแรกนน้ั บ้านเมอื งยงั ไม่เจรญิ เตบิ โตชุมชนตา่ ง ๆ จะตั้งอยู่ตามในลักษณะเป็นค้มุ เป็น หมบู่ า้ น เช่น บา้ นเด่อื หมากแข้ง บา้ นเหลา่ บา้ นโนน บ้านจกิ บ้านศรีชมชืน่ บ้านห้วย บา้ นหนองบวั (กลอง) บา้ นบอ่ น้ำ บา้ นเกา่ นอ้ ย ฯลฯ คมุ้ ตลาดเก่า คมุ้ ตลาดใหม่ ค้มุ คอกววั คุม้ ห้วยโซ่(จากบรเิ วณวงเวยี น อนุสาวรยี ก์ รมหลวงประจกั ษศ์ ลิ ปาคม ถงึ บริเวณวงเวียนห้าแยก(น้ำพุ) ลักษณะของเมอื งอุดรธานีในเวลานั้น ยังเปน็ ปา่ มีตน้ ไมน้ านาพันธ์ขนึ้ อยา่ งหนาแนน่ ลอ้ มรอบเมอื งเชน่ ตน้ ฉำฉา (ตน้ ก้ามปหู รือตน้ จามจรุ )ี ต้น สะแก ตน้ ตะแบก ตน้ ฝาง(หางนกยงู ) ตามรมิ ฝง่ั หว้ ยหมากแขง้ ทั้งสองฟาก มกี อไผข่ ้นึ ประปราย ชาวเมือง นยิ มไปขดุ เอาหนอ่ ไม(้ หน่อนางดิน) เอาไปขายหรอื เอาไปแกง ทำซปุ หน่อไมร้ สชาตอิ รอ่ ยดี นอกจากชุมชน เก่าแกใ่ นทอ้ งถ่นิ แล้ว ยงั มีกลุม่ ผ้คู นทอ่ี พยพมาจากถ่นิ อ่นื เขา้ มาต้ังหลกั แหลง่ ในชุมชนบา้ นเดื่อหมากแขง้ ซง่ึ แบง่ ออกเปน็ กลมุ่ ใหญๆ่ คอื ภาพท่ี 10 ทีอ่ ยอู่ าศัยของชาวอดุ รธานีในอดีต กลมุ่ ชาวโคราช กลุ่มชาวโคราชสว่ นมากจะตงั้ บ้านเรอื นอยบู่ นถนนหมากแขง้ พดู ภาษาถิน่ ของตน เชน่ คำว่า ไอ๋ เหล่า(อะไรนะ ทำไมละ่ ไปกนั เถอะ) เปง้ิ ไปถวั ะ ฯลฯ ชาวโคราชจะนงุ่ ผ้าน่งุ สรวมเสอ้ื แขนกระบอก หม่ ผา้ แถบรดั หนา้ อกเวลาอยู่ทบ่ี า้ น บางคนสรวมเส้ือแขนสนั้ ตดิ กระดมุ 5 เม็ด เหมอื นเสอื้ ชั้นในส่วนมากจะ ประกอบอาชพี ค้าขายเล็กๆ เชน่ ขายสเี สยี ด(เปลือกไม้ชนิดหน่งึ ใชก้ นิ หมากพลซู ง่ึ นยิ มกินกันมากในสมัย โบราณ คนรุ่นใหม่ไม่นิยมกินหมากพลสู ีเสยี ดจงึ หาดูกันไดไ้ มง่ ่ายนัก) ขายยาเสน้ ยาสบู ขผี้ ึ่งสีปาก(ทาปาก) ท่านขุนหมากแข้งคอื อดตี กำนันบา้ นหมากแข้งเปน็ คนโคราชภรรยาของทา่ นมเี ช้อื สายของทา้ วสุรนารี (คณุ หญิงโม) ลกู หลานของท่านเหล่านี้คอื “ตระกลู วชั รนิ ทรช์ ัย” นอกจากนก้ี ็ยงั มี “ตระกลู ชนิ พนั ธ์” บรรพ บุรษุ ของตระกลู น้ีเคยรบั ราชการเป็นทหารของพระเจา้ น้องยาเธอพลตรีพระเจา้ บรมวงศ์เธอกรมหลวง

9 ประจักษ์ศิลปาคม หรอื แมแ้ ต่ดาราภาพยนตร์ “ดาวคา้ งฟา้ ” ผโู้ ดง่ ดังในอดตี ผคู้ นรจู้ กั กันดที ัว่ ประเทศ คือ สรุ ยิ า ชินพนั ธ์” กเ็ ป็นลูกหลานของตระกูลชินพันธ นอกจากนีก้ ลมุ่ ชาวโคราชยงั ไปตงั้ บา้ นเรือนอยู่แถวบา้ น โนนทีต่ ง้ั โรงพยาบาลวัฒนาแถบโรงเรียนเทศบาล2มุขมนตร(ี ถนนมุขมนตร)ี ในปจั จบุ ันบางกลมุ่ ก็ไปตง้ั หลัก แหล่งอย่แู ถวบา้ นแมด อำเภอเพญ็ ประกอบอาชีพจบั ปลานำมาขายทำปลารา้ ปลาสม้ ฯลฯ กลมุ่ ชาวลาวหลวงพระบาง-ชาวลาวเวียงจนั ทร์และลาวพวน กลมุ่ ชาวลาวเวยี งจนั ทร์และชาวลาวหลวงพระบางนม้ี จี ำนวนมาก ผู้ชายส่วนใหญจ่ ะรา่ งกายบึกบึน แข็งแรงสมชายชาตรีสว่ นสาวๆส่วนมากจะหน้าตาดี เปน็ คนรา่ งเล็ก เอวกว่ิ (บาง) ผิวขาวเนียน มอี าชพี ต่างกนั เช่น การต่ำหกู (ทอผา้ ) ขายของเบด็ เตล็ด ขายผกั และผลไม้ นับถือจารีตประเพณี ในสมัยกอ่ น วทิ ยาการทางการแพทยแ์ ละสาธารณะสุขยงั ไมเ่ จรญิ ก้าวหนา้ และไมพ่ อเพยี งตอ่ ความต้องการของ ประชาชน การรกั ษาผูค้ นเจ็บไขไ้ ดป้ ว่ ยในกลมุ่ ของคนเหลา่ นมี้ กั จะอาศัยสมุนไพรรากไมต้ า่ ง ๆ นำมาฝนให้ ละลายเข้ากับนำ้ เพื่อให้คนป่วยรบั ประทาน แตก่ ย็ งั มผี ู้คนอีกจำนวนไมน่ อ้ ยท่รี กั ษาดว้ ยวธิ เี ป่า (คาถา) หรือ รักษาด้วยวธิ ีอญั เชญิ ดวงวิญญาณของผตี ่าง ๆ ทเ่ี คารพนบั ถือเขา้ ร่างทรงเพ่ือบรกิ รรมคาถาอาคมปลุกเสกลง ในขนั นำ้ ให้กลายเป็นน้ำมนต์ แลว้ ใชใ้ บไม้ประพรมน้ำมนต์ไปยงั ร่างของคนเจ็บป่วยหรือบางทกี ็ใหค้ นไข้ดม่ื กินนำ้ มนต์ดังกลา่ วด้วยความเช่ือถือ ตอนกลางวันและกลางคนื จะได้ยินเสียงแคนเป่ามาจากญาตสิ นทิ มิตร สหายทมี่ าเฝ้าไขค้ นป่วย เพือ่ เป็นการให้กำลงั ใจแกค่ นปว่ ยคนไขบ้ างรายถ้าอาการไมห่ นกั มากพอไดย้ ินเสียง แคนเปา่ กท็ ำใหใ้ จคึกลกุ ขน้ึ มาเตน้ รำตามจังหวะเสยี งแคนกม็ ี การรกั ษาดว้ ยวิธดี งั กล่าวบางคนท่ีอาการไม่ หนักกห็ ายแตบ่ างรายทรี่ ักษาไมห่ ายกเ็ ชือ่ กนั ว่าเปน็ เรือ่ งของเวรกรรม ตระกลู ท่เี ก่าแก่ทส่ี ดุ ของกลมุ่ ชาวลาว หลวงพระบางและเวยี งจันทร์คอื ตระกลู บญุ ประคอง บางทา่ นรบั ราชการ บางท่านได้ประกอบคุณงามความ ดีให้แกเ่ มอื งอุดรธานีและเปน็ ทย่ี อมรบั ของสงั คมอยา่ งกว้างขวาง เชน่ คุณมะลิ คณุ แยม้ บญุ ประคอง ใน องค์กรการกศุ ลของภาคเอกชนเช่น สโมสรไลออนสอ์ ดุ รธานกี ็มี ไลออนสพ์ ิรุณ อดีตกรรมการการเลอื กต้ัง (กกต.) จงั หวัดอดุ รธานี เป็นต้น

10 กลุ่มพอ่ ค้าคนจนี กลมุ่ พอ่ ค้าคนจีนทเี่ กา่ แก่ทสี่ ดุ ของบา้ นเด่ือหมากแขง้ จะประกอบธรุ กจิ การคา้ บรเิ วณตลาดเก่า ประมาณ 5 ร้าน คือ ร้านเถ่แก่ลง่ ฮะ(คณุ เจรญิ คุณะปรุ ะ)เปน็ ร้านค้าที่รวบรวมสรรพสินค้านานาชนิด นอกจากนย้ี งั มรี ้านค้าใหญๆ่ อกี 2-3 ร้าน เชน่ รา้ นเถา้ แกเ่ สง็ เสง่ รา้ นเถ้าแกเ่ ชยซง่ึ เปน็ ร้านขายขนมอนั ลือช่ือ ร้านน้ำเพชรเจยี ว รา้ นปา้ ภา สรรพอาสาขายถัว่ ตดั ขนมเปียขนมจันอบั ต่างๆ ตลาดเกา่ นนั้ หมายถงึ ย่านชมุ ชน ถนนอุดรดษุ ฎตี ัง้ แต่บรเิ วณคมุ้ คอกวัวไปจนถึงบา้ นหว้ ย ส่วนตลาดสด(ตลาดเก่า)น้นั อยู่บริเวณสำนกั งาน สาธารณะสุขจงั หวดั อุดรธานีในปจั จุบนั ต่อมามตี ลาดใหมเ่ กิดขึ้นแถวส่แี ยกถนนหมากแข้ง-โพศรี มรี า้ นของเถ้าแกล่ กั ซค์ ือร้านคฉู า่ งจิว รา้ นทองตรา ดาว ร้านทองตราช้าง รา้ นทองตราสมอ ร้านหมอฟันของคณุ เซ็งอ(่ี ประดิษฐท์ ันตแพทย)์ รา้ นอุดรศิลป์ของ บิดาคุณเจียง ร้านเทียนเยีย้ งของคุณพัฒน์ ร้านค้าจากตลาดเก่ากม็ าเปดิ ทีย่ า่ นตลาดใหม่ คือ รา้ นนำ้ เพชร เจยี ว เถ้าแกล่ ง่ ฮะ(คณุ ลุงเจริญ คุณะปรุ ะ บิดาของคุณถาวร คุณะปุระ เจา้ ของเจรญิ โฮเต็ล)ก็มาเปดิ ร้านขาย ผา้ ชือ่ ร้านไทยเจรญิ สว่ นบรเิ วณตลาดสดของตลาดใหมอ่ ย่มู มุ ร้านนำรงค์พาณิชยไ์ ปจนถงึ รา้ นเซง่ หลีไถ่ สว่ น ทางด้านถนนโพศรนี ้ันจากมมุ สีแ่ ยกรา้ นนำรงค์พาณิชยไ์ ปจนเกอื บถงึ ตรอกขา้ วตม้ ศาสนาและประเพณี ชาวจังหวัดอดุ รธานีนบั ถอื พระพทุ ธศาสนาเป็นส่วนมาก ในแตล่ ะหมบู่ ้านมีวัดในพระพทุ ธศาสนาอยู่ ทุกหมบู่ า้ นและยงั มโี บราณสถาน โบราณวัตถุ อันเป็นหลกั ฐานว่า พระพุทธศาสนาได้ประดิษฐานในจังหวัด อุดรธานีและเข้าถึงจติ ใจของประชาชนมาช้านาน แต่ยังมชี นกลุม่ นอ้ ยบางกล่มุ ที่นับถอื ผหี รอื สิง่ ท่มี ีอำนาจ เหนอื ธรรมชาตอิ ยบู่ ้าง นอกจากนย้ี ังมผี ู้นบั ถือศาสนาครสิ ต์และศาสนาอสิ ลามอยบู่ า้ ง ชาวจังหวัดอดุ รธานีมี ขนบธรรมเนยี มประเพณที อ้ งถน่ิ เหมือนกบั ชาววอีสานในทอ้ งถิน่ อน่ื ๆ เป็นตน้ ว่าในรอบปจี ะมกี ารทำบญุ ตามประเพณสี บิ สองเดอื น ท่ีเรียกว่า ฮีตสบิ สอง อยู่ครบทุกเดอื น แตจ่ ะมกี ารปรบั หรอื ตดั ขัน้ ตอนในการ ประกอบพธิ กี รรมบางส่วน ออกตามสภาพสงั คมและเศรษฐกจิ ทเ่ี ปน็ อยปู่ ัจจบุ นั สำหรับขนบธรรมเนยี ม ประเพณีเก่ยี วกบั การกนิ อยู่ การแตง่ กาย กิรยิ ามารยาท และประเพณเี ก่ยี วกบั ชีวติ ยังมีวถิ ชี ีวิตทเ่ี ปน็ แบบ เฉพาะของชาวอสี านไว้อยา่ งชัดเจน ประเพณสี ิบสองเดือน (ฮีตสิบสอง) จะพบมากและปฏบิ ตั กิ ันอย่าง เคร่งครดั เฉพาะกลมุ่ ทป่ี ระชากรทอี่ าศัยอยู่ในเขตชนบท สว่ นชมุ ชนเมอื งจะพบเพยี งกจิ กรรม หรอื พิธี เก่ียวกบั ศาสนา วนั สำคัญของชาติ วนั ลอยกระทง และวนั สงกรานต์เท่าน้นั ทง้ั นอ้ี าจเป็นเพราะว่าชมุ ชนเมอื ง

11 ประกอบด้วยชาวตา่ งชาติและคนไทยเชื้อสายจีน ญวน ซ่งึ เปน็ กลุ่มชนท่ตี ่างวฒั นธรรม ประเพณที ่คี นท้องถ่นิ ยดึ ถือปฏิบตั ิเป็นประเพณที ่ีชาวจงั หวัดอุดรธานีปฏิบัตสิ บื ทอดกันมาเปน็ เวลาชา้ นาน ไดแ้ ก่ งานเทศกาลประจำปี งานทุ่งศรเี มอื งฯ เป็นงานประจำปีทีท่ างจงั หวัดจัดขน้ึ ในชว่ งวนั ท่ี ๑ - ๑๒ ธันวาคม ของทกุ ปี ลักษณะคลา้ ย ๆ กบั งานเทศกาลของจงั หวัดตา่ ง ๆ ซึง่ มักจะจดั รวมกบั งานกาชาด มี มหรสพความบนั เทงิ ต่าง ๆ หลากหลายประเภทมกี ารแขง่ ขนั ประกวดการผลิตงานหตั ถกรรมและการละเลน่ พ้นื เมอื งตา่ ง ๆ หม้อดินเผาลายบา้ นเชยี ง เป็นตัวแทนของมรดกโลกบ้านเชยี ง เปน็ มรดกที่ตกทอดมาจาก บรรพบรุ ษุ การทอผ้าขดิ ไหม บา้ นหนองอ้อ อำเภอหนองววั ซอ ได้มกี ารแต่งต้งั กลมุ่ ทอผ้าขดิ ไหม มาตงั้ แตป่ ี พ.ศ.๒๕๒๕ การทอผ้าขดิ นต้ี อ้ งใช้คนทออยา่ งนอ้ ยสามคน ชว่ ยกันไมเ่ หมอื นการทอผ้าชนิดอืน่ ทีใ่ ชพ้ อเพียง คนเดียว ไดม้ กี ารรวบลายผ้าโบราณและสรา้ งลายขดิ ข้ึนมาใหม่ หลายลายคือ ลายดาวประยุกต์ ลายรม่ เกล้า ลายนายกประยกุ ต์ ลายรอ้ ยปี ร.๕ (ลายพระราชทาน) ลายโบสลับดอกแกว้ ลายกระดมุ ทอง ลายแมงมมุ ลายการฉบา ลายกระต๊บิ ขา้ ว ลายมรดกโบราณ ลายดอกจนั ลายหว่ ง ลายคองโบราณ ลายดอกพกิ ลุ (ลายพระราชทาน) ลายกุญแจประยุกต์ ลายไทยโบราณ ลายแมลงปอ่ ง ลายคณุ หญงิ ลายดอกจิก ลายผเี สื้อ ลายดอกแกว้ ลายนาคโบราณ ลายขอหลง ขนบธรรมเนยี มประเพณี ทเี่ ปน็ เอกลักษณ์มี ดังน้ี งานประเพณีสรงนำ้ พระมหาธาตเุ จดยี ์ ชาวบ้านดอนแก้ว และชาวอำเภอกุมภวาปี จะจัดใหม้ ี งานประเพณสี รงน้ำพระมหาธาตเุ จดยี ์ ในว้นเสาร์-อาทิตย์ แรก หลงั วนั สงกรานต์ เป็นประจำทกุ ปี งานบญุ บงั้ ไฟกมุ ภวาปี จดั ทอ่ี ำเภอกุมภวาปี ถอื เปน็ ประเพณีเก่าแกป่ ระเพณหี นึง่ ในจำนวน ฮีตสบิ สองของชาวอสี าน เมอื่ ถงึ เดอื นหก ก่อนทจ่ี ะลงนาไร่ ปักดำข้าวกล้า จำเป็นตอ้ งประกอบพธิ กี รรม เพือ่ ความเป็นสริ ิมงคลเสียก่อน เพือ่ ใหฝ้ นตกตอ้ งตามฤดูกาล อีกประการหนง่ึ คือ เพอื่ เปิดโอกาสใหผ้ ้คู นได้ พบปะและสนกุ สนานรว่ มกันเปน็ ครั้งสุดทา้ ยของปี ก่อนทแี่ ตล่ ะคนจะแยกย้ายกนั ออกไปปฏิบัตงิ านใน เรอื กสวนไรน่ า ในการจดั งานแตล่ ะคนจะทำการตกแตง่ บงั้ ไฟท่ีชาวบ้านเรยี กวา่ เอ้ ให้สวยงามวจิ ิตรตระการ ตา เพ่อื นำออกมาประชนั ฝีมือกนั อยา่ งเต็มท่ี ประกอบกบั กมุ ภวาปเี ปน็ แหล่งตำนานทก่ี ลา่ วถึงเรอ่ื งการ กำเนดิ บ้ังไฟ ในตำนานท้องถนิ่ เรอื่ ง ผาแดง-นางไอ่ ยง่ิ ทำใหบ้ รรยากาศของการแหบ่ งั้ ไฟของอำเภอกมุ ภวาปี มีชีวิตชีวามากขึ้น

12 งานบุญบ้ังไฟลา้ น ตำบลบา้ นธาตุ อำเภอเพญ็ เปน็ งานบุญบ้งั ไฟที่ยิ่งใหญ่ทจี่ ัดทำข้นึ เปน็ ประจำทกุ ปี มกี ารประกวดกระบวนแห่ ประกวดบง้ั ไฟขนึ้ สูง และประเภทสวยงาม เน่อื งจากเปน็ บงั้ ไฟลา้ น ซึง่ ถอื ว่าเปน็ บัง้ ไฟท่มี ีขนาดใหญท่ ส่ี ดุ ประเพณแี ข่งเรอื ลำน้ำปาว อำเภอกมุ ภวาปี แหลง่ น้ำทีเ่ ปน็ ต้นกำเนิดลำนำ้ ปาวคือ หนองหาน น้อย หรือหนองหานกุมภวาปี เมอ่ื ถงึ วนั เพญ็ เดือนสบิ เอด็ อันเปน็ ชว่ งฤดอู อกพรรษา ชาวอำเภอกุมภวาปี จะจดั ประเพณีการแขง่ เรือในลำนำ้ ปาว หน้าศาลเจา้ กุมภวาปี ของทุกปี เทศกาลขา้ วหลามมันท่ีพนั ดอน อำเภอกุมภวาปี ชว่ งประมาณเดือนตุลาคม จะมีการจัดงาน ประจำปีไหวเ้ จ้าปู่ - เจ้ายา่ ในงานจะมกี ารประกวดขา้ วหลามข้ึน จะมนี ักปรงุ ข้าวหลามมีฝมี อื จากที่ตา่ ง ๆ มาร่วมงานประกวดขา้ วหลามกัน ภาพท่ี 11 งานบญุ บง้ั ไฟกมุ ภวาปี ภาพท่ี 12 งานประเพณีสรงน้ำพระมหาธาตุเจดีย์ ภาพที่ 13 คำขวญั ประจำจงั หวัดอดุ รธานี

13 จังหวดั หนองบัวลำภู ภาพที่ 14 ตราสัญลกั ษณ์ประจำจงั หวดั หนองบวั ลำภู ขอ้ มูลทวั่ ไป หนองบวั ลำภู เปน็ จงั หวดั ในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ตอนบนของประเทศไทยตง้ั อยใู่ นแอง่ สกลนครและอยใู่ นกลมุ่ จงั หวดั ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื ตอนบน เป็นหน่ึงในสามจงั หวัดท่ไี ด้รบั การจดั ตัง้ ขนึ้ เม่ือ พ.ศ. 2536 พรอ้ มกบั จงั หวดั อำนาจเจริญและจงั หวดั สระแกว้ จังหวดั หนองบัวลำภู จัดตงั้ เปน็ จงั หวดั ลำดบั ที่ 75 ของประเทศไทย หนองบัวลำภูหรอื ในอดตี เรียกวา่ นครเข่อื นขันธ์กาบแกว้ บวั บาน ตามตำนาน พระวอ-พระตา ผสู้ ร้างเมืองหนองบัวลำภเู มอ่ื ประมาณปี พ.ศ. 2302 โดยไดส้ รา้ งกำแพงเมอื ง มคี า่ ยคูประตู หอรบครบครนั เพื่อป้องกนั ข้าศกึ โดยเฉพาะขา้ ศึกจากทางเวยี งจันทน์ คือ ได้สรา้ งกำแพงหนิ หอรบข้ึนทเ่ี ชิง เขาบนภูพานคำ ซงึ่ เป็นเส้นทางหน้าด่านใกลก้ ับบรเิ วณนำ้ ตกเฒา่ โต้ หา่ งจากกำแพงเมอื งไปทางทศิ ตะวันออกประมาณ 1 กโิ ลเมตร ต่อมาในปี พ.ศ. 2310 พระเจ้าสิรบิ ุญสารแหง่ เมืองเวยี งจนั ทน์ ได้ส่งกองทพั มาปราบปราม เกดิ การต่อสูก้ นั ท่ชี อ่ งน้ำจน่ั (น้ำตกเฒ่าโต)้ บนภูพานคำ สู้รบกนั อยสู่ ามปียังไม่แพ้ชนะกัน ทางฝ่ายเมอื งเวียงจันทนจ์ ึงขอกองทัพพมา่ มาชว่ ยเหลอื จนสามารถตเี มอื งนคร เขอ่ื นขนั ธฯ์ ได้ พระวอ-พระ ตาจึงไดอ้ พยพผู้คนหนไี ปพงึ่ พระเจา้ องคห์ ลวงไชยกมุ ารแหง่ อาณาจกั ร ล้านช้างจำปาสัก ในปี พ.ศ. 2321 สมเดจ็ พระเจ้าตากสนิ มหาราชจึงไดโ้ ปรดเกล้าฯ ให้เจา้ พระยาจักรยี กกองทัพมาช่วยพระวอ-พระตาขับไล่ กองทัพของพระเจ้าสริ บิ ญุ สารออกไป แล้วยกกองทพั ติดตามเขา้ ตีเมอื งเวยี งจนั ทน์ได้ ครงั้ น้ันไดไ้ ด้อัญเชิญ พระแกว้ มรกตซงึ่ พระเจ้าไชยเชษฐาธริ าชนำไปจากเมอื ง เชยี งใหม่ เมืองนครเขอ่ื นขนั ธ์ฯ ก็ได้มาข้นึ อยูก่ ับ ไทย ในปี พ.ศ. 2433 ได้มกี ารจัดระเบียบการปกครองบ้านเมือง ให้ข้าหลวงเมอื งหนองคายบังคับบญั ชาเมอื ง ใหญ่ 16 เมอื ง เมืองขึน้ 36 เมอื ง เรยี กว่า เมอื งลาวฝ่ายเหนอื และเมอื งนครเขือ่ นขนั ธ์ฯ กไ็ ด้ขน้ึ อยกู่ บั เมอื ง หนองคายน้ัน เจ้าเมืองหนองคายได้แตง่ ต้งั ใหพ้ ระวชิ โยคมกมทุ เขตมาครองเมืองนครเขือ่ น ขันธ์ฯ ซ่งึ มฐี านะ เปน็ เมอื งเอก และเปลี่ยนช่อื เมอื งใหมว่ า่ เมอื งกมทุ ธาสยั จนในปี พ.ศ. 2443 ได้มกี ารเปลย่ี นชอื่ มณฑลฝ่าย เหนือเปน็ มณฑลอดุ ร และให้รวมเมืองต่าง ๆ ในมณฑลอุดรเป็น 5 บริเวณ เมืองกมุทธาสัยถกู รวมอย่ใู น บริเวณบา้ นหมากแขง้ และในปี พ.ศ. 2449 ได้โปรดเกลา้ ฯ ให้เปลยี่ นช่ือเมืองกมทุ ธาสยั เปน็ เมอื ง

14 หนองบัวลำภู ตอ่ มาในปี พ.ศ. 2450 ได้ถูกลดฐานะลงเปน็ อำเภอหนองบวั ลำภู ขึ้นกับจังหวดั อุดรธานี โดยมี พระวจิ ารณ์กมุธกจิ เปน็ นายอำเภอคนแรก อำเภอหนองบัวลำภมู คี วามเจรญิ รงุ่ เรืองขน้ึ ตามลำดับ จนกระทง่ั ยกระดับเป็น จังหวัดหนองบัวลำภู ในปี พ.ศ. 2536 หนองบวั ลำภู เดมิ เคยเปน็ อาํ เภอหนง่ึ ของจังหวดั อดุ รธานี อยหู่ ่างจากจงั หวัดอดุ รธานปี ระมาณ 46 กิโลเมตร ( มีระยะทางหา่ งจากกรงุ เทพฯ โดยเสน้ ทาง รถยนต์ประมาณ 568 กโิ ลเมตร) ในอดีต จงั หวัดหนองบวั ลําภเู ป็นเมอื งโบราณทก่ี อ่ ตั้งมาแลว้ ไม่น้อยกวา่ 900 ปี เดิมเปน็ ดนิ แดนทขี่ น้ึ ตอ่ กรงุ ศรสี ตั ตนาคนหตุ มชี อ่ื วา่ \" เมืองหนองบัวล่มุ ภูนครเขอ่ื นขนั ธกาบแกว้ บวั บาน \" เนอ่ื งจากรัฐบาลมีนโยบายในการกระจายอาํ นาจมายงั สว่ นภมู ิภาค เพือ่ ประโยชนใ์ นดา้ นการปกครอง การใหบ้ รกิ ารของรัฐ การอํานวยความสะดวกแกป่ ระชาชน การสง่ เสรมิ ให้ทอ้ งทเ่ี จริญยง่ิ ขึ้น ตลอดจนเพ่อื ความมั่นคงของชาติ ประกอบกบั จงั หวดั อดุ รธานมี ีอาณาเขตกวา้ งขวางและมพี ลเมืองมาก จึงเห็นสมควร แยกอาํ เภอต่างๆ บางอาํ เภอ ตงั้ ข้นึ เป็นจงั หวัด โดยไดร้ ับการสถาปนาให้เป็นจงั หวัดหนองบัวลาํ ภอู ยา่ งเปน็ ทางการ ตั้งแตว่ นั ท่ี 1 ธนั วาคม พ.ศ. 2536 เปน็ ต้นไป ทีต่ ัง้ จงั หวัดหนองบวั ลำภู เปน็ จงั หวัดหนง่ึ ของภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื มที ่ีต้งั ตามพกิ ดั ภมู ิศาสตร์ อยรู่ ะหว่างเส้นรงุ้ ท่ี 16 องศา 45 ลปิ ดา ถงึ 17 องศา 40 ลปิ ดาเหนอื และเสน้ แวงท่ี 101 องศา 57 ลปิ ดา ถึง 102 องศา 30 ลปิ ดา ตะวนั ออก อยู่หา่ งจากกรงุ เทพมหานคร ประมาณ 518 กิโลเมตร จงั หวดั หนองบัวลำภู มีขนาดพ้ืนทีป่ ระมาณ 3,859.062 ตารางกโิ ลเมตร หรอื ประมาณ 2,411,928.74 ไร่ ขนาด พ้ืนท่ีคดิ เป็นรอ้ ยละ 2.27 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนอื (พน้ื ที่ภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ 170,226 ตาราง กิโลเมตร หรือ 106,392,250 ไร่ และคดิ เป็นรอ้ ยละ 0.75 ของประเทศ) มีอาณาเขตติดตอ่ กบั จงั หวัดอ่นื ๆ ดงั นี้ อาณาเขตติดต่อ ทศิ เหนอื ตดิ ตอ่ กบั อำเภอน้ำโสม อำเภอบ้านผือ จงั หวัดอดุ รธานี ทศิ ตะวันออก ตดิ ตอ่ กับ อำเภอบา้ นผือ อำเภอกดุ จบั อำเภอหนองววั ซอ จงั หวดั อุดรธานี ทิศใต้ ติดตอ่ กับ อำเภอสชี มพู อำเภอหนองนาคำ จงั หวดั ขอนแก่น ทศิ ตะวันตก ติดตอ่ กับ อำเภอภกู ระดงึ อำเภอวังสะพุง อำเภอผาขาว อำเภอเอราวณั จังหวดั เลย

15 ภาพท่ี 15 แผนที่จงั หวดั หนองบวั ลำภู ลกั ษณะภมู ิประเทศ จงั หวัดหนองบัวลำภู มพี ้นื ที่โดยทั่วไปเป็นท่รี าบสงู บางสว่ นเป็นพ้นื ทล่ี กู คลนื่ ลาดตน้ื ถงึ ลาดลกึ แล้ว ลาดลงไปทางทศิ ใต้ และทิศตะวันออก มคี วามสูงจากระดบั น้ำทะเลปานกลางประมาณ 200 เมตร ทาง ตอนบนของจังหวัดจะเปน็ พืน้ ทีภ่ เู ขาสูง โดยยอดดอยหรอื ภเู ขาที่สูงทส่ี ดุ ของจังหวัด ไดแ้ ก่ ดอยผาเวยี ง ภู สามยอดโดยสูงเฉลยี่ 900 เมตร และเป็นต้นนำ้ สายยอ้ ยตา่ ง ๆ พ้นื ท่ีส่วนใหญเ่ ป็นดินปนทรายและลูกรงั ไม่ สามารถเกบ็ กักน้ำหรืออมุ้ น้ำในฤดูแล้ง ลักษณะภูมอิ ากาศ ลักษณะอากาศในจงั หวัดหนองบวั ลำภู แบ่งออกเป็น 3 ฤดู เช่นเดียวกับจงั หวดั อ่ืนๆ ในภาค ตะวนั ออกเฉียงเหนอื ไดแ้ ก่ ฤดูร้อน ฤดฝู น ฤดูหนาว สภาพภูมอิ ากาศโดยท่ัวไปข้ึนอย่กู บั มรสุมทพ่ี ดั ผ่าน ประจำปี จัดอยใู่ นประเภทภูมอิ ากาศแบบพ้นื เมืองรอ้ นเฉพาะฤดู กลา่ วคอื จะมฝี นตกเฉพาะในฤดฝู น สลบั กบั ชว่ งแห้งแล้งในฤดหู นาวและฤดรู ้อน ฤดรู อ้ น อยู่ในระหว่างเดอื น มีนาคมถงึ เมษายน อุณหภมู สิ ูงสดุ เฉลยี่ 34 - 36 องศาเซลเซียส ฤดฝู น อยใู่ นระหวา่ งเดอื น พฤษภาคมถึงตลุ าคม และจะตกมากในเดอื น สงิ หาคม - กนั ยายน เนือ่ งจากอทิ ธพิ ลพายุดเี ปรสชนั ฤดูหนาว อยูใ่ นระหวา่ งเดอื น กมุ ภาพันธ์ อากาศจะหนาวมากในช่วงเดือนธนั วาคม - มกราคม โดย มอี ุณหภมู เิ ฉลยี่ 15 - 16 องศาเซลเซียส

16 ลักษณะภูมิอากาศเปน็ แบบสะวันนาคอื ฤดูฝนสลบั กบั ฤดูแลง้ อย่างชัดเจน ปรมิ าณฝนทตี่ กในจงั หวดั หนองบวั ลำภูโดยเฉล่ียอยใู่ นชว่ งระหว่าง 978.3 - 1,348.9 มิลลเิ มตรต่อปี อำเภอสวุ รรณคหู า มีปรมิ าณฝน ตกโดยเฉลี่ยสูงสุด รองลงมา ได้แก่ อำเภอนากลาง สว่ นพื้นทท่ี ่มี ฝี นตกนอ้ ยทสี่ ดุ ไดแ้ ก่ อำเภอเมอื ง หนองบัวลำภู ซ่งึ มปี รมิ าณโดยเฉล่ียประมาณ 978.3 มิลลเิ มตรต่อปี ทรพั ยากรน้ำ แหลง่ น้ำสามารถแบง่ ออกไดเ้ ปน็ 2 ประเภทใหญๆ่ คอื แหล่งน้ำท่เี กดิ ขนึ้ ตามธรรมชาติและแหล่งนำ้ ที่ สรา้ งข้ึนมา แหล่งนำ้ ธรรมชาติ ได้แก่ แม่น้ำลำคลอง ลำหว้ ย หนองนำ้ บงึ และน้ำบาดาล ในเขตจังหวดั หนองบัวลำภูมี อยูเ่ ปน็ จำนวนมาก แหลง่ นำ้ ทเ่ี ปรยี บเหมอื นเส้นเลอื ดใหญท่ สี่ ำคญั ไดแ้ ก่ ลำพะเนยี ง มตี ้นกำเนิดจากเทอื กเขาสนั ปนั น้ำของลุ่มแมน่ ้ำโขงกบั ลุม่ แม่นำ้ ชี ไหลผา่ นอำเภอนา กลาง อำเภอเมืองหนองบัวลำภู อำเภอศรีบญุ เรือง และอำเภอโนนสงั แล้วไหลลงสอู่ า่ งเก็บนำ้ เขือ่ นอุบลรัตน์ ลำนำ้ พอง มีต้นกำเนิดจากภูกระดงึ และเทอื กเขาสนั ปันน้ำ ของลมุ่ แม่นำ้ ปา่ สกั กับลมุ่ นำ้ ชี ไหล ผา่ นเขตอำเภอภูกระดงึ จงั หวดั เลย อำเภอศรบี ุญเรอื ง และอำเภอโนนสงั แลว้ ไหลลงสู่อา่ งเกบ็ นำ้ เข่ือนอบุ ล รัตน์ ลำนำ้ พองมลี ำน้ำสาขาอยหู่ ลายสาย ทไ่ี หลผา่ นเขตจังหวดั หนองบัวลำภู คอื ลำน้ำมอ ลำนำ้ พวย ลำน้ำ พอง ลำน้ำซำฐาน ลำห้วยโมง ไหลมาจากสันเขาภูซางใหญ่ เขตติดตอ่ อำเภอนาด้วง จงั หวดั เลย แลว้ ไหลผ่านอำเภอ สวุ รรณคหู า เขา้ เขตอำเภอบา้ นผือ จงั หวดั อดุ รธานี แลว้ ไหลไปบรรจบแม่นำ้ โขง แหล่งนำ้ เพ่อื การชลประทาน ในปี พ.ศ. 2539 6 มอี ย่รู วม 68 โครงการ เปน็ โครงการขนาดกลางอยเู่ พยี ง โครงการเดยี วคอื อา่ งเก็บนำ้ ห้วยเหลา่ ยาง อยูท่ บี่ า้ นภูพานทอง ตำบลหนองบวั อำเภอเมอื งหนองบวั ลำภู มี ความจปุ ระมาณ 2.14 ลา้ นลูกบาศกเ์ มตร มีพืน้ ทร่ี บั ประโยชนป์ ระมาณ 2,000 ไร่ โครงการทเี่ หลอื อน่ื ๆ เปน็ โครงการขนาดเลก็ มีความจุประมาณ 13.20 ล้านลูกบาศกเ์ มตร มพี ื้นทร่ี บั ประโยชนป์ ระมาณ 30,000 ไร่

17 อาหาร ลักษณะการปรงุ อาหารชาวจงั หวัดหนองบัวลำภู จะมลี กั ษณะของการปรุงอาหารเพื่อ รับประทานแบบงา่ ย ๆ เช่น ควั่ นึง่ ปง้ิ ยา่ ง จ่ี ลาบ ก้อย พล่า หลาม ต้ม ซปุ ออ่ ม อุ เอาะ และหมก เน้นรส อาหารเผด็ เค็ม เปรี้ยว ขม อาหารซึ่งข้ึนชอื่ ของจงั หวดั หนองบวั ลำภู คือ สม้ ไขป่ ลา และปลาสม้ ปลาส้มอาหารขึ้นช่อื การทำปลาส้มเปน็ วธิ กี ารแปรรูปอาหารโดยอาศัยภูมปิ ญั ญาชาวบ้าน ซงึ่ เป็น ทง้ั วธิ ีการเกบ็ ถนอมอาหารไว้เพอื่ การรบั ประทานแล้วยังเป็นการเพม่ิ มลู คา่ ของอาหารอกี ด้วย นางใบแห้ง พรหมราช ประธานกลมุ่ แปรรปู บ้านท่าลาด ตำบลหนองเรอื อำเภอโนนสงั ไดข้ ยายความวา่ กลุ่มแปรรปู ปลาบา้ นท่าลาด อยู่ในสงั กดั สหกรณ์การเกษตรโนนสงั จำกดั ปจั จบุ นั มสี มาชิกในกลมุ่ จำนวน 20 คนซง่ึ สมาชกิ สว่ นใหญ่เป็นแมบ่ า้ นมีสามีทป่ี ระกอบอาชพี ทำประมง โดยการออกเรอื ไปหาปลาในเข่ือนอบุ ลรตั น์ แต่รายได้ก็ยงั ไม่พอกบั รายจ่าย จงึ คดิ ทจ่ี ะหาอาชพี เสรมิ ดว้ ยการรวมกลมุ่ แมบ่ ้าน นำปลาทส่ี ามีจบั ไดจ้ าก เขอื่ นฯ มาแปรรูปเปน็ ผลิตภัณฑต์ ่าง ๆ ออกขายสรา้ งรายไดใ้ หก้ บั ครอบครวั อาศัยภมู ปิ ญั ญาดงั้ เดมิ ท่ไี ดร้ ับ การ ถ่ายทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษ เพราะตั้งแตจ่ ำความได้กไ็ ด้ เห็นคนรนุ่ ปยู่ ่าตายาย นำปลาตะเพียนท่ีจบั ได้จากเขื่อนอบุ ล รตั น์ มาแปรรูปเปน็ ปลาสม้ แลว้ โดยทางกลุ่มได้มกี ารปรบั ปรงุ ดดั แปลงเพม่ิ เตมิ จากสูตร และวธิ กี ารของบรรพบรุ ษุ ด้วยการนำปลาสดมาลา้ ง ขอดเกล็ด ควกั ไส้ ควกั เหงอื ก และทำความสะอาด 3-4 น้ำ จากน้ันก็นำเกลอื น้ำตาล กระเทยี ม ขา้ วสกุ มาคลุกเคลา้ กลุม่ แมบ่ ้านแอบกระซบิ วา่ เคล็ดลับความอรอ่ ย กอ็ ยู่ตรงที่วิธกี ารคลุกเคลา้ นี่แหละ ท่จี ะทำให้ไดป้ ลาส้มท่ีมรี สชาติเขม้ ขน้ และอรอ่ ย ภาพที่ 16 ปลาส้ม ภาพที่ 17 ส้มไข่ปลา

18 ลักษณะการแตง่ กายของชาวจังหวดั หนองบัวลำภูในอดตี ผูห้ ญิง สวมเสือ้ ขาวเปน็ พนื้ ส่วนผ้าถุงจะเปน็ ผ้าไหมหมข่ี ิด มหี วั ซิน่ และตีนซน่ิ ท่ีทอและหูกถึงสาม หกู นำมาเยบ็ ติดปะต่อกนั เรยี กว่า \"สามทรวง\" มกี ารทดั ดอกไม้สำหรบั หญงิ สาวผเู้ ฒ่าผแู้ ก่แลว้ แตจ่ ะใสอ่ ม้ (ตน้ อม้ ใบมกี ล่นิ หอม เมอื่ นำใบมาเผาไฟพอลวก ๆ จะมีกลน่ิ หอม) ไว้ทรงผมดอกทมุ่ ผชู้ ายสวมเสือ้ สดี ำเป็นพน้ื ใสผา้ โสร่งไหม มกี างเกงหวั รดู เปน็ ผา้ ชัน้ ในหรอื ใสน่ งุ่ เลน่ ตามบ้านเรือน ทัว่ ไป ลกั ษณะการแตง่ กายของชาวจงั หวั ดหนองบัวลำภปู ัจจุบัน ผหู้ ญงิ วัยรุ่น แตง่ กายตามสมยั นยิ มใส่ เสอื้ ยดื หรอื เสือ้ เชิรต์ แขนส้ันและแขนยาว กระโปรงหรือ กางเกงขาสัน้ หรอื ขายาว หรอื ชุดแซก มเี ครือ่ งประดบั ต่างๆ เช่น สร้อยคอ แหวน ต่างหู กำไลแขน ฯลฯ นยิ มใสร่ องเท้าหมุ้ สน้ เม่อื ร่วมกจิ กรรมนอกบา้ น ใสร่ องเท้ามสี น้ เมอื่ รว่ มกจิ กรรมร่ืนเรงิ และสงั สรรค์ ผู้หญงิ สงู วัย แต่งกายดว้ ยเส้อื ลายปกั ต่างๆ ทง้ั แขนส้ันและแขนยาว หรอื เสอื้ เชิรต์ แขนส้นั และแขน ยาว ใส่ผา้ ซ่นิ ลายต่างๆ ของทอ้ งถ่ิน หรอื กางเกงขายาวพน้ื สดี ำทง้ั ขาสนั้ และแขนยาว ผู้ชายวยั รนุ่ แตง่ กายด้วยเสอื้ ยดื หรอื เสอื้ เชริ ต์ แขนสนั้ และแขนยาว ใสก่ างเกงขาสน้ั หรือขายาว กางเกงยนื หรือกางเกงสแลค็ ผ้ชู ายสงู วัย แตง่ กายด้วยเสอ้ื ยดื หรอื เสอ้ื เชริ ต์ แขนสน้ั และแขนยาว ใสโ่ สรง่ ผา้ ขาวมา้ ใสก่ างเกง ภาพที่ 18 การแต่งกายของชาวจงั หวัดหนองบัวลำภู

19 การละเลน่ การละเล่นของเด็ก การละเล่นของเด็กในภาคตา่ ง ๆ มคี วามคล้ายคลงึ กนั แตก่ ารเรยี กชอื่ อาจ แตกต่างกนั ไป ตัวอย่างการละเลน่ ของเดก็ ของจงั หวัดหนองบวั ลำภู ได้แก่ การเล่นจำ้ จี้ การเลน่ ขาโถกเถก การเล่นเอาเถดิ ฯลฯ การละเลน่ ของผู้ใหญ่ ในอดีตกฬี าในทอ้ งถ่นิ มกี ารเล่นไม่มากและจะเป็นการเลน่ ของ ผู้ชาย กีฬาดังกล่าวไดแ้ ก่ ตะกร้อวง ไม่ไดเ้ ลน่ เพอื่ การแขง่ ขนั แตเ่ ลน่ เพ่อื ความสนกุ สนานและออกกำลงั กาย และพัฒนาความสามารถ การเลน่ มที งั้ วงเล็ก วงกลาง และวงใหญ่ จงั หวะและการเล่นตะกรอ้ วง จะใช้เกือบ ทกุ สว่ นของร่างกายเชน่ ลกู ศรี ษะ ลกู เข่า ลกู แขน ลูกไหล่ ลกู หนา้ อก ลกู ศอกหน้า ลกู ศอกหลงั ลกู อแี ปะ ลูก หลงั เทา้ ลกู ปลายเทา้ ซา้ ยขวา สันหลัง เปน็ ต้น เปน็ การเล่นดว้ ยลีลาสวยงามนับเปน็ ศลิ ปะอยา่ งหนง่ึ นอกจากนั้นยงั มกี ลองเส็ง ในอดีตเป็นกฬี าที่ใช้เป็นสอ่ื ในการเชื่อมความสามัคคีระหว่างชาวบ้านท่วั ไป เปน็ การร่วมแรงรว่ มใจกันระหว่างผสู้ งู อายหุ รืออาจจะเรียกวา่ เปน็ กีฬาของผสู้ ูงอายุ เปน็ กฬี าที่ไมม่ ีการพนนั ขัน ต่อ กลองประเภทนีเ้ ปน็ ของส่วนรวมรักษาไว้ท่วี ัดนิยมเล่นกนั มากในบญุ เดือนหกหรอื บวชนาคซงึ่ จะใชก้ ลอง เสง็ รว่ มขบวนแห่ตเี ปน็ จังหวะ กลองเส็งจะใช้ประกวดประชันกนั ระหวา่ งหมบู่ า้ นตอ่ หมบู่ ้าน กลองเสง็ เปน็ ทั้ง เครือ่ งกีฬาและเคร่ืองดนตรี การแข่งขันไมไ่ ด้มงุ่ ไปที่ความไพเราะของเสียงกลองแต่มงุ่ ฟงั เสยี งทดี่ งั จากการตี น้นั ว่าใครจะสามารถตกี ลองได้ดีและดงั นาฎศลิ ป์ มหรสพมาจากศพั ทบ์ าลีและสนั สกฤตแปลว่าการร่ืนเริง มหรสพของคนอีสานมีการเล่น การแสดงตามวรรณคดเี ก่า ๆ เชน่ เรื่องท้าวสรุ วิ งศ์ ท้าวการะเกษ ท้าวขนุ ทึง ท้าวก่ำกาดำ นางผมหอม นาง แตงออ่ น ฯลฯ ทเี่ ปน็ วรรณคดพี ้นื เมืองประจำของแตล่ ะทอ้ งถน่ิ แสดงเปน็ ลำกลอน ลำหมู่ ลำเรอื่ งตอ่ กลอน ลำเพลิน ซ่ึงเปน็ มหรสพทอ้ งถนิ่ ของอีสานตามงานประเพณี ในเขตจังหวัดหนองบวั ลำภใู นอดตี นยิ มหมอลำคู่ หรอื หมอลำกลอนเทา่ นัน้ ในงานประเพณีตา่ ง ๆ หรอื งานทำบุญของชาวบ้าน เช่น งานปราสาทผงึ้ งานบุญ กฐิน และงานรื่นเริงประจำปี ดนตรี มาจากตำบาลแี ละสนั สกฤต แปลวา่ ลำดบั เสียงอนั ไพเราะ มีอยเู่ จด็ อย่างดว้ ยกนั คอื กลอง ยาว กลองตะโพน กลองรำมะนา ฉาบ ฉง่ิ ฆ้อง แตร ขลุ่ย แต่ถ้าพูดถึงดนตรขี องภาคอีสานจะมเี คร่อื งดนตรี ชนดิ ต่าง ๆ คอื กลองยาว กลองสัน้ กลองตน้ กลองเพล กลองก่งิ ฆอ้ ง ระนาด ระฆัง โปง แส่ง (ฉาบ) ฉ่งิ แคน ขลยุ่ ซอ ซง ปี่ พณิ หอยสงั ข์ สะนู เครื่องมโหรี สำหรบั ดนตรีในเขตจงั หวดั หนองบวั ลำภใู นงาน ประเพณแี ละพธิ ีกรรมตา่ ง ๆ ของคนในทอ้ งถ่นิ เช่น ประเพณบี ญุ เดอื นส่ี หรอื บญุ ผะเหวด ตอนแหผ่ ะเหวเข้า เมอื งจะใช้กลองยาว แคนเป็นดนตรปี ระกอบขบวนแห่ผะเหวดเขา้ เมืองโดยใชท่ งั้ พิณ แคน และกลองยาว ผสมกันในขณะทข่ี บวนแหม่ ีการฟอ้ นรำประกอบ ตอนกลางคนื มมี หรสพคอื หมอลำกลอน ก็จะตอ้ งใชแ้ คน

20 เป็นดนตรปี ระกอบในการลำหรือแสดงทุกครั้ง ส่วนกลางวันของบุญเดือนส่ีนน้ั นอกจากมีการฟังเทศน์ มหาชาติชาดกตลอดวนั แลว้ ชาวบา้ นจะนำเปน็ กัณฑห์ ลอน มาถวายทางวดั ขบวนแหก่ ณั ฑห์ ลอนจะขาดแคน กับกลองยาวไม่ได้ ภาพท่ี 19 การละเลน่ จ้ำจ้ี ภาพที่ 20 บุญผะเหวด ภาพท่ี 21 คำขวัญประจำจงั หวัดหนองบัวลำภู

21 จงั หวัดเลย ภาพท่ี 22 ตราสญั ลกั ษณ์ประจำจงั หวดั เลย ข้อมลู ทวั่ ไป กอ่ ตั้งโดยชนเผ่าไทยทสี่ ืบเชื้อสายมาจากบรรพบรุ ุษที่ก่อตง้ั อาณาจักรโยนกเชยี งแสน โดยพ่อขนุ บาง กลางหาวและพ่อขุนผาเมอื ง (เช่อื ถือกันวา่ เปน็ เช้อื สายราชวงศส์ ิงหนวตั )ิ ไดม้ ีผูค้ นอพยพจากอาณาจกั รโยนก เชียงแสนทล่ี ่มสลายแลว้ ผา่ นดินแดนลา้ นช้าง ข้ามลำนำ้ เหอื งข้ึนไปทางฝ่ังขวาของลำน้ำหมนั ถึงบริเวณที่ ราบ พอ่ ขุนผาเมอื งไดต้ ้ังบ้านด่านขวา (ปัจจบุ นั อย่ใู นบรเิ วณชายเนนิ นาดา่ นขวา ซึ่งมซี ากวัดเกา่ อยใู่ นแปลง นาของเอกชน ระหวา่ งหมู่บา้ นหวั แหลมกับหมบู่ ้านนาเบีย้ อำเภอด่านซา้ ย) สว่ นพ่อขนุ บางกลางหาวไดแ้ บ่ง ไพรพ่ ลข้ามลำน้ำหมันไปทางฝงั่ ซ้าย สรา้ งบ้านด่านซ้าย (สันนษิ ฐานว่าอยู่ในบรเิ วณหมบู่ า้ นเก่า อำเภอด่าน ซ้ายในปจั จบุ นั ) ต่อมาจงึ ได้อพยพเล่ือนขึน้ ไปตามลำน้ำไปสรา้ งบ้านหนองคู และได้นำนามหมบู่ ้านด่านซ้าย มาขนานนามหมบู่ ้านหนองคูใหม่ เป็น \"เมอื งดา่ นซา้ ย\" อพยพไปอยทู่ ่ีเมอื งบางยางในท่ีสุด โดยมพี อ่ ขนุ ผา เมอื งอพยพผู้คนตดิ ตามไปตงั้ เมืองราด (เชื่อว่าเป็นเมืองศรเี ทพ อย่ใู นท้องทอี่ ำเภอศรเี ทพและอำเภอวิเชียร บุรี จงั หวดั เพชรบรู ณ์) และตง้ั เมืองดา่ นซา้ ย เป็นเมอื งหน้าดา่ นทางตะวนั ออกของเมอื งบางยาง นอกจากน้แี ลว้ ยงั มีชาวโยนกอีกกลุ่มหน่งึ ไดอ้ พยพมาต้งั บ้านเรือนระหว่างชายแดนตอนใต้ของ อาณาเขต ลา้ นนา ต่อแดนล้านช้างอยู่ช่วั ระยะเวลาหนึง่ กอ่ นท่จี ะอพยพหนีภยั สงครามข้ามลำนำ้ เหืองมาตงั้ เมอื งเซไลขนึ้ (สนั นษิ ฐานวา่ อย่ใู นท้องทหี่ ม่บู า้ นทรายขาว ตำบลทรายขาว อำเภอวงั สะพงุ ) จากหลักฐานใน สมุดขอ่ ยทม่ี ีการค้นพบ เมืองเซไลอยดู่ ้วยความสงบรม่ เย็นมาจนกระทั่งถงึ สมยั เจ้าเมืองคนท่ี 5 เกดิ ทพุ ภกิ ขภัย ขา้ วยากหมากแพง ฝนฟ้าไม่ตก จึงไดพ้ าผู้คนอพยพไปตามลำแม่น้ำเซไลถึงบรเิ วณทร่ี าบระหว่าง ปากลำหว้ ยไหลตกแม่เซไล จึงได้ตง้ั บา้ นเรือนขนึ้ ขนานนามวา่ \"บา้ นแห่\" (บา้ นแฮ่) ส่วนลำห้วยใหช้ อ่ื ว่า \"ห้วย หมาน\" ในปี พ.ศ. 2396 พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจา้ อยหู่ ัว ทรงพจิ ารณาเห็นว่า หมบู่ ้านแฮ่ซง่ึ ตั้งอยู่ ริมฝง่ั หว้ ยนำ้ หมาน และอยู่ใกล้กบั แม่นำ้ เลย มผี ้คู นเพิ่มมากขึน้ สมควรจะได้ตัง้ เป็นเมือง เพอื่ ประโยชน์ใน การปกครองอยา่ งใกลช้ ิด จึงไดท้ รงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ ใหจ้ ดั ต้งั เป็นเมอื งเรียกช่อื ตามนามของแมน่ ำ้ เลย

22 ว่า เมืองเลย ข้ึนตือเมอื งเพชรบรู ณอ์ กี ทหี นง่ึ ตอ่ มา พ.ศ. 2440 ไดม้ ีประกาศใชพ้ ระราชบญั ญตั ลิ ักษณะ ปกครองพน้ื ท่ี ร.ศ.116 แบง่ การปกครองเมอื งเลยออกเปน็ 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอกดุ ปอ่ ง อำเภอทา่ ล่ี (เดิม ตำบลอาฮเี ปน็ อำเภอ แตถ่ ูกลดบทบาทลงเปน็ ตำบลเพราะอยู่ใกลก้ ับแม่น้ำเหือง เปน็ ผลมาจากการเสีย ดินแดนให้ลาวโดยประเทศฝรง่ั เศส) อำเภอนากอก (ปจั จบุ นั อยู่ในประเทศลาว) อำเภอท่ีตั้งเมอื งคอื อำเภอ กุดป่อง ตอ่ มา พ.ศ. 2442-2449 ได้เปลีย่ นชอ่ื เมืองเลยเป็น บรเิ วณลำน้ำเลย พ.ศ. 2449-2450 เปลีย่ นช่ือ บริเวณลำนำ้ เลยเปน็ บรเิ วณลำนำ้ เหือง และใน พ.ศ. 2450 ได้มปี ระกาศของกระทรวงมหาดไทยลงวนั ท่ี 4 มกราคม พ.ศ. 2450 ยกเลกิ บริเวณลำน้ำเหือง ให้คงเหลอื ไว้เฉพาะ \"เมอื งเลย\" โดยใหเ้ ปลี่ยนชือ่ อำเภอกุด ปอ่ ง เป็น \"อำเภอเมืองเลย\" จงั หวัดเลย เป็นจงั หวดั หนง่ึ ในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ตอนบนของประเทศไทย ต้ังอยูใ่ นแอ่ง สกลนครและอย่ใู นกลมุ่ จงั หวัดภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือตอนบน 1 ห่างจากกรงุ เทพมหานครประมาณ 540 กโิ ลเมตร มสี ภาพภูมิประเทศทีง่ ดงาม อากาศหนาวเย็น เปน็ แหลง่ เพาะปลกู ไมด้ อกไมป้ ระดบั ทส่ี ำคัญแหง่ หน่ึงของประเทศ และยงั เปน็ เมอื งท่องเทีย่ วทสี่ ำคัญอีกด้วย สภาพภูมศิ าสตร์ของจงั หวัดเลยเปน็ ทร่ี าบสูง มี ภูเขาสงู กระจดั กระจาย โดยเฉพาะทางตะวันตกและทางด้านใตข้ องจงั หวดั ทง้ั นี้ยงั มแี หลง่ นำ้ สำคญั คอื แม่นำ้ โขง ในบริเวณตอนบนของจงั หวัด เลยมีภเู ขาสว่ นใหญ่ทางตะวนั ตกโอบล้อมพื้นที่ อำเภอนาแห้ว อำเภอภู เรอื อำเภอดา่ นซ้าย และอำเภอทา่ ลี่ ประชากรอาศยั อย่นู ้อยในแถบนเ้ี พราะพน้ื ทสี่ ว่ นใหญ่ไมเ่ หมาะสำหรบั การเพาะปลูกและภมู ิประเทศซึ่งมีทิวเขาอยมู่ ากมายนีท้ ำใหก้ ารสอ่ื สารโทรคมนาคมไมส่ ะดวกอกี ด้วย ส่วน บริเวณทรี่ าบต่ำรอบแมน่ ำ้ โขงและแมน่ ้ำเลยซง่ึ อยใู่ นเขตอำเภอเมอื งเลย อำเภอเชียงคาน และอำเภอวงั สะ พุง การกสิกรรมแถบนี้อุดมสมบรู ณ์ และเปน็ พืน้ ทีท่ ม่ี ปี ระชากรอาศัยอยมู่ ากท่สี ุดของจงั หวัดเลย อาณา บริเวณทรี่ าบรอบ ๆ เนินเขาทางตะวนั ออกและภาคใตข้ องเลยใกล้ภูกระดึง ภูหลวง ภูเกา้ นาดว้ งและปาก ชม การเกษตรกรรมสามารถทำไดม้ ากกวา่ พ้นื ที่อ่นื ๆ และมปี ระชากรหนาแน่นในพน้ื ทีน่ ้ี จังหวดั เลยตงั้ อยู่ ในเทอื กเขา อุณหภูมิอย่างมากเมอ่ื เทียบกบั สว่ นทเี่ หลือของประเทศไทยอาจจะร้อนมากในฤดูรอ้ นอุณหภมู ิ สูงถงึ 43.3 องศาเซลเซยี ส (ประมาณเมษายน) ในฤดหู นาว (ประมาณเดือนธันวาคม) อุณหภมู สิ ามารถติด ลบ 1.3 องศาเซลเซียสในเวลากลางคืน จงั หวดั เลยมีอาณาเขตตดิ ตอ่ กับจงั หวัดอ่นื ๆ ดงั นี้

23 ภาพท่ี 23 แผนท่ีจงั หวัดเลย ลักษณะภูมปิ ระเทศ จังหวดั เลยตงั้ อยู่บนพน้ื ท่ีราบสงู โคราช หรือทเี่ รียกกนั วา่ แอ่งสกลนคร ลกั ษณะภมู ิประเทศสว่ น ใหญเ่ ปน็ ทวิ เขาในแนวทางทศิ เหนือใต้ และจะมพี ้นื ทรี่ าบลมุ่ ระหวา่ งหุบเขาที่ไม่ใหญม่ ากนกั สลบั กันอยใู่ น แนวเทือกเขา จงั หวดั เลยมภี ูเขาสงู กระจัดกระจาย โดยเฉพาะทางตะวันตกและทางด้านใต้ของจงั หวัด ท้ังน้ี ยังมแี หล่งนำ้ สำคัญคอื แมน่ ้ำโขงในบรเิ วณตอนบนของจังหวดั ลักษณะภูมิอากาศ จังหวัดเลยเป็นจงั หวดั ท่ีเรยี กไดว้ า่ หนาวทสี่ ุดของประเทศ เคยมอี ุณหภูมิตำ่ สดุ ประมาณ -1.3 องศา เซลเซยี ส (2 มกราคม พ.ศ. 2517) อณุ หภูมิสงู สุดประมาณ 43.5 องศาเซลเซียส (25 เมษายน พ.ศ. 2517) อณุ หภูมเิ ฉลย่ี ตลอดทงั้ ปอี ยูท่ ีป่ ระมาณ 25.5-26.5 องศาเซลเซยี ส จะมีอณุ หภมู ทิ ห่ี นาวจัดในช่วงระหว่าง เดอื นธันวาคม-มกราคม โดยช่วง 10 ปีท่ีผา่ นมา อุณหภูมิตำ่ สุดประมาณ 5.5 องศาเซลเซียส (พ.ศ. 2557) สญั ลักษณ์ประจำจังหวัด ตน้ ไมป้ ระจำจงั หวดั : สนสามใบ (Pinus kesiya) คำขวัญประจำจงั หวดั : เมอื งแห่งทะเลภเู ขา สดุ หนาวในสยาม ดอกไม้งามสามฤดู ถน่ิ ทอ่ี ยอู่ ริยสงฆ์ มัน่ คง ความสะอาด ลักษณะรปู ร่างของจังหวดั เลย ลักษณะรปู ร่างของจงั หวัดเลยมีรปู รา่ งคลา้ ยกบั \"ศีรษะของลกู ไดโนเสารพ์ นั ธุ์ไทรเซอราทอปส์ทไ่ี มม่ ีเขา\"

24 อาหาร การรบั ประทานขา้ วเหนียว สามารถรับประทานกับอาหารไดท้ ุกชนิด แตข่ า้ วเหนียวจะมีรสอรอ่ ยถ้า รบั ประทานกบั อาหารพนื้ บา้ นไทเลย อาหารของแต่ละจงั หวัดจะมีลกั ษณะการปรงุ และรสชาตใิ กลเ้ คยี งกนั เช่น แกงอ่อม ลาบ กอ้ ย แจ่ว ผักนงึ่ ลาบไก่ ยำหน่อไม้ เปน็ ตน้ อาหารดงั กลา่ วเป็นอาหารพนื้ บา้ นเลย แต่ จงั หวดั เลยจะมีอาหารทจ่ี งั หวดั อ่ืนไมม่ ี เช่น เมยี่ งทลู ลาบหวาย แจว่ อด (นำ้ พรกิ จากใบบอน) อาหารเหลา่ น้ี บางอยา่ งมีรสเปรีย้ วนิด ๆ การปรุงรสอาหารของชาวเลยสว่ นใหญจ่ ะมรี สออ่ น หรือรสเผด็ เคม็ เปรย้ี ว แต่ไม่หวานมากไมน่ ิยม ใสน่ ้ำตาล ความหวานส่วนใหญจ่ ะได้มาจากสว่ นผสมที่นำมาประกอบอาหาร เชน่ ความหวานจากผกั ปลา ตา่ ง ๆ เปน็ ต้น การปรงุ อาหารมหี ลายวธิ ี เชน่ การแกง การสา้ การยำ การแจ่ว การหลาม การปิง้ การปา่ ม การคั่ว หรือผัด เป็นตน้ ทง้ั นจ้ี ะปรงุ อาหารทุกอย่างจะปรงุ ให้สุกมาก ๆ อาหารพืน้ เมอื งที่ปรากฏในวิถีชวี ิต ของชาวเลย มเี อกลกั ษณเ์ ฉพาะตน ใชร้ ับประทานกับขา้ วเหนยี ว อาหารส่วนมากจะเป็นพืชผกั พ้นื บา้ น เช่น ผักหวาน ผกั หม (ผกั ขม) เห็ดลม เหด็ โคน เหด็ หน้าไคร ขนนุ มะรมุ มะข้าว หน่อไม้ ผักชะอม ผกั ป๋งั ผกั ตำลงึ เปน็ ตน้ พชื ผกั พืน้ บา้ นดงั กลา่ วจะมีตามฤดูกาลทำให้มอี าหารรับประมาณตลอดปี และอาหารแต่ละ ชนดิ มวี ธิ ปี รุงที่แตกต่างกัน ภาพท่ี 24 ลาบหวาย ภาพท่ี 25 แจ่วอด

25 การแตง่ กาย จงั หวดั เลย มคี นพ้นื เมอื งท่มี เี ชอื้ ชาติไทย ซง่ึ เรียกตวั เองว่า ไทเลย เปน็ กล่มุ คนกลมุ่ ใหญ่ทส่ี ุด นอกจากนก้ี ็มีคนเชื้อชาติจนี ชาวเขา ไทดำ ไทพวน สว่ นการแตง่ กายก็จะต่างกันไป การแต่งกายของกลมุ่ ไทเลย ชุดไทเลยทป่ี ระยกุ ตม์ าจากชุดไทยล้านชา้ ง จะมลี ักษณะเส้อื คอกลมผา่ อกตลอดติดกระดมุ เอว เอวจมั๊ ขอบเอวกว้างหน่งึ น้ิวครง่ึ เอวเส้ืออยู่นอกผา้ ซิน่ ใช้ผ้าฝ้ายสลี ้วนในการตดั เยบ็ ส่วนผา้ ซ่นิ ใชผ้ ้าฝา้ ยที่ ทอในจังหวดั เลยจะนงุ่ เปน็ ผ้าซ่นิ หรอื ตัดเยบ็ สำเรจ็ รปู กไ็ ด้ โอกาสที่ใช้ถ้าเปน็ แบบแขนสามสว่ น เอวจัม๊ ใช้ สำหรบั งานพธิ ีตา่ ง ๆ เขา้ เฝ้าหรอื รบั เสดจ็ ฯ งานราตรสี โมสร งานบุญประเพณี เชน่ ปใี หม่ ลอยกระทง งาน ดอกฝา้ ยฯ แตถ่ ้ามีผ้าแถบคาดอกใช้สำหรบั งานราตรสี โมสร การประกวดเทพี ชุดไทเลยทปี่ ระยกุ ตจ์ ากชดุ ไทเลย จะมลี กั ษณะของเส้อื แขนส้นั สามส่วน สำหรับโอกาสทีใ่ ชเ้ ส้อื แขน สนั้ ใช้ไปทำงานไปวัด ส่วนแขนสามสว่ นใชส้ ำหรับเป็นชดุ ทำงานไปวัด งานบวช งานทำบญุ งานแตง่ งาน แต่ ถ้าใส่ผา้ เบี่ยงจะใช้สำหรบั ไปงานประเพณีตา่ ง ๆ ใชใ้ ส่เป็นพธิ ีกรในงานต่าง ๆ แต่ในอดตี ผู้ชายจะน่งุ โสรง่ ไหมหรอื โสรง่ ฝา้ ยแทนกางเกงขายาว หรอื น่งุ ผ้า กอ่ ม (กระโจงเบน) และจะมีมดี ดา้ มงาซง่ึ ถอื เป็นเคร่ืองประดบั เสียบไว้ท่ีพงุ เวลาไปวัด สว่ นผู้หญงิ จะสวมเสอ้ื มะกะแหร่ง นงุ่ ผา้ ซน่ิ ฝา้ ยทยี่ ้อมด้วยสหี มอ้ นิลมรี อ่ งสขี าวและใชผ้ ้าเบีย่ งตก (สไบเฉยี ง) ชาวไทเลยจะใชผ้ า้ ฝา้ ยและผา้ ไหมพนื้ สใี นการตดั เยบ็ โดยจะนำเส้นด้ายมาทอเป็นผืนและนำมาตดั เย็บเปน็ เสือ้ กางเกง ผ้าซิ่นฯลฯ ลักษณะการแตง่ กายสำหรบั ผ้ชู ายจะมีอยดู่ ว้ ยกัน 4 แบบแล้วแต่ในโอกาส ตา่ ง ๆ ทจี่ ะสวมใส่ ซึ่งประกอบด้วยชุดต่อไปนี้ ชุดแต่งกายสำหรบั ไปวดั ไปงานบญุ งานสงกรานต์ งานบวช งานลอยกระทง จะนยิ ม แต่งกายด้วยชุดไทเลยแบบคอกลมแขนสัน้ นงุ่ กางเกงขายาวธรรมดา ชดุ แตง่ กายสำหรบั ไปทำงาน ไปวดั งานบวช งานแต่งงาน งานข้นึ บ้านใหม่ จะนิยมแตง่ กายดว้ ยชุดไทเลยแบบคอตงั้ แขนสน้ั นงุ่ กางเกงขายาวธรรมดา ชดุ แต่งกายสำหรบั งานพิธกี ารตา่ ง ๆ หรอื งานบญุ ประเพณี เช่น งานดอกฝ้ายบานฯ งานปีใหม่ จะนิยมแตง่ กายด้วยชดุ ไทเลยแบบคอต้งั แขนส้ันหรอื แขนยาว นุ่งกางเกงขายาวธรรมดา ชุดแต่งกายสำหรบั ไปปฏบิ ตั งิ านทางการเกษตรจะนิยมแต่งกายด้วยเสื้อคอกลมผา่ อกตลอด สหี ม้อนลิ (สียอ้ มคราม) กางเกงชาวนาขาส้นั สหี มอ้ นิล มผี ้าขาวม้าคาดเอวและใช้พร้าขดั หลงั สวมกบุ สะพายย่าม สวมรองเท้าแตะหนังสตั วแ์ ห้ง

26 ส่วนผหู้ ญิงเสอ้ื จะเปน็ คอกลมผา่ อกตลอด เอวจม๊ั แขนยาวสามสว่ น ชายเสือ้ คลมุ สะโพก กระดมุ จะ มลี ักษณะสเี ดียวกบั ผา้ ส่วนซิ่น(ผา้ ถุง)เป็นผา้ ฝา้ ยหรือผา้ ไหมท่ที อจะมลี ายเส้นสีต่าง ๆ รวมไปถึงลวดลาย พนื้ เมอื งโบราณของจงั หวัดเลย เมอื่ น่งุ จะเปน็ ทรงยาวลงตามลำตัวหัวตอ่ ชายด้วยผา้ ขิด ภาพที่ 26 การแต่งกายของจงั หวัดเลย การละเล่น การละเลน่ พืน้ บา้ นของจงั หวดั เลย เช่น การละเลน่ ผตี าโขน เปน็ ประเพณีการละเลน่ ทีม่ มี าต้งั แต่โบราณ จะมมี าตง้ั แตเ่ มอ่ื ใดไมป่ รากฏ สนั นิษฐานว่ามีมาตัง้ แตม่ ี “บุญหลวง” เป็นบุญพระเวสสนั ดรและบุญบ้งั ไฟรวมกนั นบั เป็น เวลานานหลายรอ้ ยปี หรืออาจจะมีตัง้ แต่เมื่อครั้งพระพทุ ธศาสนาเขา้ มาเผยแพร่ในประเทศไทย ประเพณีผีตาโขนมีลกั ษณะท่ใี กลเ้ คยี งกบั การบูชาบรรพบุรษุ ของอาณาจกั รล้านชา้ ง หลวงพระบาง ซ่งึ มี อาณาเขตตดิ กบั อำเภอ ด่านซ้าย เชียงคาน และหลม่ เกา่ ในปัจจุบันนอกจากนน้ั ยงั มกี ารกลา่ วกันวา่ ผตี าโขน เกดิ ข้ึนเมอื่ ครง้ั ทีพ่ ระเวสสนั ดรและพระนางมัทรี จะเดินทางออกจากปา่ กลบั สเู่ มอื งบรรดาผีป่าหลายตนและ สัตว์นานาชนดิ อาลัยรกั จงึ พา แหแ่ หนแฝงตวั แฝงตน มากบั ชาวบ้านเพ่ือมาสง่ ทงั้ สองพระองค์กลบั เมอื ง เรยี ก กนั ว่า “ผตี ามคน” หรอื “ผีตาขน” จนกลายมาเปน็ “ผีตาโขน” อย่างในปจั จบุ ัน การละเลน่ ผีขนนำ้ หรือชอ่ื เรยี กอกี แบบหนง่ึ วา่ “แมงหน้างาม” การละเล่นพ้ืนบ้านทส่ี บื สานกนั มา ยาวนานของชาวบ้านนาซา่ ว ต.นาซ่าว อ.เชียงคาน จ.เลย ซง่ึ ผีขนน้ำ เป็นการละเล่นทส่ี บื ทอดกันมายาวนาน ของชาวนาซ่าว ทีจ่ ากเดมิ คือชนกลุ่มนอ้ ยเผ่าไทยพวน ทอ่ี พยพมาจากเมืองหลวงพระบาง ไดม้ าต้ังหลกั แหลง่ กนั ที่บ้านนาซำหว้า และในสมยั นัน้ ชาวบ้านยังไม่มีทย่ี ดึ เหนยี่ วจิตใจ จงึ นบั ถอื ผบี รรพบรุ ษุ และผปี ูย่ า่ และ เชอ่ื กนั ว่าการเล่นผีขนนำ้ คอื พิธีกรรมไหวผ้ บี รรพบรุ ษุ ท่ีชาวบ้านรวมตวั กนั จัดขน้ึ หรอื เรียกวา่ “เลย้ี งบ้าน”

27 เพ่อื แสดงความเคารพและตอบแทนบญุ คุณ “ผเี จ้าป”ู่ ทใ่ี หค้ วามคุม้ ครองใหช้ าวบ้านอยเู่ ย็นเป็นสุข ฝนตก ต้องตามฤดกู าล และมีพืชผลอุดมสมบรู ณ์ ศิลปะการฟอ้ นรำของชาวจังหวดั เลยมที ง้ั ทีเ่ ปน็ แบบด้งั เดิมและมผี ูค้ ิดค้นประดิษฐส์ ร้างสรรค์ข้นึ มา ใหม่ แต่มลี กั ษณะเฉพาะของนาฏศลิ ป์พืน้ บา้ นครบถว้ น การฟ้อนของชาวไทเลยทปี่ รากฏไดแ้ ก่ ฟอ้ นแห่กัน หลอน ฟ้อนเซไล ฟอ้ นผีตาโขน ฟ้อนผขี นุ นำ้ ฟอ้ นบรวงสรวงพระธาตศุ รสี องรัก ฟ้อนทรงเจ้า ส่วนดนตรี เปน็ ดนตรที ่ีมรี ปแบบการเลน่ การประสมวง ตลอดจนความไพเราะของท่วงทำนองความเป็นเอกลกั ษณข์ อง ดนตรพี ้นื บ้านอยา่ งแทจ้ ริง ดนตรพี ืน้ บ้านเลยมกั มลี ักษณะเฉพาะตวั มที ั้งไดร้ ับอิทธพิ ลมาจากล้านชา้ งและ เป็นเครือ่ งดนตรที ปี่ ระดษิ ฐจ์ ากภูมปิ ญั ญาของบรรพบุรุษชาวเลยโดยแท้ โดยใช้วัสดทุ ่ีหาได้ในทอ้ งถิน่ ประดษิ ฐข์ นึ้ เอง มีเพลงพ้นื เมืองทำนองตา่ ง ๆ เชน่ แหผ่ ะเหวด ล่องโขง ลำเตยและเซ้ิง เป็นต้น ภาพที่ 27 การละเลน่ ผีตาโขน ภาพที่ 28 การละเลน่ ผีขนนำ้ ภาพที่ 29 คำขวญั ประจำจังหวดั เลย

28 จงั หวัดหนองคาย ภาพที่ 30 ตราสัญลักษณป์ ระจำจงั หวัดหนองคาย ขอ้ มลู ทั่วไป เมืองหนองคายมีช่ือปรากฏอยใู่ นพงศาวดารล้านช้างตลอดยคุ สมัย ดงั เช่นปรากฏเป็นชอ่ื เมอื งเวยี ง คุก เมอื งปะโค เมืองปากห้วยหลวง (อำเภอโพนพสิ ยั ในปัจจบุ ัน) และนอกจากน้ยี งั ปรากฏในศิลาจารึก จำนวนมากทก่ี ษตั รยิ ์แห่งเวียงจันทนไ์ ด้สร้างไวใ้ นบรเิ วณจงั หวัดหนองคาย โดยเฉพาะเมืองปากห้วยหลวง เปน็ เมืองลูกหลวง นอกจากนี้ในรัชสมัยพระเจ้าวรรัตนธรรมประโชตฯิ พระราชโอรสในพระเจ้าไชยเชษฐาธิ ราช ได้ตั้งสมเดจ็ พระสงั ฆราชวดั มุจลินทรอารามอยทู่ ี่เมอื งหว้ ยหลวง และยงั พบจารกึ ที่วัดจอมมณี ลงศักราช พ.ศ. 2098 จารึกวดั ศรีเมอื ง พ.ศ. 2109 จารึกวัดศรบี ญุ เรอื ง พ.ศ. 2151 เป็นตน้ นอกจากน้ียังพบ โบราณสถานอทิ ธิพลล้านชา้ งจำนวนมาก เชน่ พระธาตตุ า่ ง ๆ โดยเฉพาะพระธาตุบังพวน สรา้ งกอ่ น พ.ศ. 2106 จารึกวัดถำ้ สวุ รรณคูหา (อำเภอสวุ รรณคูหา จงั หวัดหนองบัวลำภู) ลงศักราช พ.ศ. 2106 กลา่ วถึงพระ เจ้าไชยเชษฐาธิราช ไดอ้ ทุ ศิ ขา้ ทาสและทด่ี ินแกว่ ดั ถ้ำสวุ รรณคหู า และได้สรา้ งพระพุทธรปู ไวท้ ี่พระธาตบุ ัง พวนอกี ด้วย เมื่อ พ.ศ. 2322 กองทพั สมเดจ็ พระเจ้ากรงุ ธนบรุ ไี ด้ชยั ชนะกรุงศรสี ัตนาคนหตุ เวียงจนั ทนแ์ ลว้ หวั เมืองหนองคายยงั อยู่ใตค้ วามควบคมุ ของเวยี งจนั ทนเ์ ชน่ เดิมหลงั กรณเี จ้าอนุวงศ์ พ.ศ. 2369 – 2370 ฝา่ ย กรงุ เทพฯ มนี โยบายอพยพผ้คู นมาฝง่ั ภาคอสี านจงึ ยบุ เมอื งเวียงจันทน์ปลอ่ ยให้เปน็ เมอื งรา้ ง ชาวเมือง เวยี งจนั ทนบ์ างส่วนก็อพยพมาภาคกลางและบางส่วนกอ็ ยูท่ บี่ ริเวณเมอื งเวยี งคกุ เมอื งปะโค (อำเภอเมือง หนองคายในปจั จบุ ัน) เมือ่ จดั การบ้านเมอื งเรียบรอ้ ยแลว้ เจา้ พระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) อัครมหา เสนาบดสี มหุ นายก จงึ กราบบงั คมทลู พระกรุณาให้ท้าวสุวอ (บุญมา) เป็นเจา้ เมอื ง ยกบา้ นไผ่ (ละแวก เดียวกับเมอื งปะโคเมอื งเวยี งคกุ ) เป็นเมอื งหนองคาย ทา้ วสวุ อเปน็ \"พระปทมุ เทวาภบิ าล\" เจ้าเมอื งคนแรก มีเจ้าเมอื งต่อมาอกี 2 คน คอื พระปทมุ เทวาภิบาล (เคน ณ หนองคาย) ผเู้ ปน็ บตุ รและพระยาปทมุ เทวาภิ บาล (เสือ ณ หนองคาย) ผเู้ ป็นหลาน

29 เม่ือ พ.ศ. 2428 เกดิ สงครามปราบฮอ่ ครงั้ ทส่ี องในบริเวณทงุ่ ไหหนิ (ทุ่งเชยี งคำ) พวกฮอ่ กำเริบตีมา จนถงึ เวียงจนั ทน์ เม่ือพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อย่หู วั ทรงทราบข่าวศกึ ฮ่อ จึงทรงพระกรุณาโปรด เกล้าฯ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองคเ์ จา้ ทองกองกอ้ นใหญ่ กรมหลวงประจกั ษ์ศลิ ปาคมขณะดำรงพระอสิ ริ ยศเป็น กรมหม่นื ประจกั ษ์ศลิ ปาคม เปน็ แม่ทพั ปราบฮอ่ ครงั้ น้ันจนพวกฮ่อแตกหนี และสรา้ งอนุสาวรียป์ ราบ ฮอ่ ไวท้ ่เี มืองหนองคาย เมื่อ พ.ศ. 2429 ต่อมาใน พ.ศ. 2434 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจา้ อยหู่ วั ทรง พระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหพ้ ระเจา้ น้องยาเธอ กรมหมน่ื ประจกั ษศ์ ลิ ปาคมดำรงตำแหน่งข้าหลวงมณฑลลาว พวน (ภายหลงั เปล่ียนเปน็ มณฑลอดุ ร) ไดต้ ้งั ทที่ ำการทเ่ี มืองหนองคาย คร้นั เกิดวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 ไทย ถูกกำหนดเขตปลอดทหารภายในรศั มี 50 กโิ ลเมตรจากชายแดน จงึ ยา้ ยกองบญั ชาการมลฑลลาวพวนมาตง้ั ที่ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมอื ง จงั หวัดอดุ รธานี ในรัชสมัยพระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว ได้โปรดเกล้าฯ ใหต้ ราพระราชบัญญตั ิปกครอง พนื้ ที่ขึน้ โดยใหย้ กเลกิ ระบอบเจา้ ปกครองท่ัวประเทศ ในวนั ท่ี 1 เมษายน พ.ศ 2458 กระทรวงมหาดไทยจงึ ไดม้ คี ำสง่ั สถาปนาเมอื งข้าหลวงปกครอง ซง่ึ ตอ่ มาเรียกวา่ ผ้วู า่ ราชการจงั หวัด และในปี พ.ศ. 2476 ไดม้ กี าร จดั ระเบียบบรหิ ารราชการสว่ นภูมิภาคเป็นจงั หวัดและอำเภอ หนองคายจงึ ได้รบั การยกฐานะขึน้ เปน็ จงั หวดั ในปี พ.ศ. 2554 รัชสมยั พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภูมพิ ลอดลุ ยเดช ได้มพี ระราชบญั ญตั ติ ั้ง จงั หวดั บึงกาฬ พ.ศ. 2554 มผี ลบังคับตงั้ แต่วนั ท่ี 23 มีนาคม 2554 โดยใหแ้ ยกอำเภอบงึ กาฬ อำเภอปาก คาด อำเภอโซพ่ สิ ยั อำเภอพรเจริญ อำเภอเซกา อำเภอบงึ โขงหลง อำเภอศรีวไิ ล และอำเภอบงุ่ คลา้ ออก จากจงั หวดั หนองคาย ไปต้งั เป็นจงั หวัดบงึ กาฬ หนองคาย เปน็ จังหวดั ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนตงั้ อยูใ่ นแอ่งสกลนครและอยใู่ นกลมุ่ จังหวดั ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือตอนบน 1 เป็นจงั หวดั ชายแดนและเป็นจังหวดั ท่ีเงียบสงบ น่าอยแู่ ละน่า ท่องเทยี่ ว มีพนื้ ทสี่ ว่ นใหญต่ ดิ ฝงั่ แมน่ ้ำโขง ตรงขา้ มกบั ประเทศลาว มีพื้นทีแ่ คบแตย่ าว มชี ่ือเสียงด้านการ ท่องเทีย่ ว โดยเฉพาะการชมบง้ั ไฟพญานาคในวันออกพรรษา สภาพภมู ิประเทศของจงั หวดั หนองคายมลี กั ษณะทอดยาวตามลำน้ำโขง จงั หวัดหนองคายเป็น จงั หวดั ชายแดนทางภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือตอนบน มอี าณาเขตติดกบั กรงุ เวยี งจนั ทน์ ซงึ่ เป็นเมอื งหลวง ของประเทศลาว โดยมแี มน่ ำ้ โขงเป็นเส้นกน้ั เขตแดน จังหวัดหนองคายเป็นจงั หวดั ชายแดนท่ีมเี อกลกั ษณ์ พิเศษโดยมพี น้ื ทที่ อดขนานยาวไปตามลำน้ำโขง ความกว้างของพ้นื ท่ที อดขนานไปตามลำน้ำโขงโดยเฉลย่ี ประมาณ 20 – 25 กิโลเมตร ชว่ งทก่ี ว้างทีส่ ดุ อยทู่ ีอ่ ำเภอเฝา้ ไร่ และชว่ งทีแ่ คบทสี่ ุดอยูท่ ่อี ำเภอทา่ บอ่ จังหวัด หนองคายมอี ำเภอท่ีอยู่ติดกบั ลำน้ำโขง 6 อำเภอ คอื อำเภอสังคม อำเภอทา่ บ่อ อำเภอศรีเชยี งใหม่ อำเภอ

30 เมือง อำเภอโพนพสิ ยั และอำเภอรตั นวาปี และมอี าณาเขตตดิ ต่อกบั ประเทศลาว คือ แขวงเวยี งจันทน์ นคร หลวงเวยี งจนั ทน์ และแขวงบอลคิ ำไซ จงั หวดั หนองคายมจี ดุ ผ่านแดนไป ประเทศลาว รวม 6 จดุ เปน็ จุด ผ่านแดนถาวร 2 จุด และจดุ ผ่อนปรน 4 จุด จุดผ่านแดนท่ีสำคญั และเป็นสากล คือ ด่านสะพานมติ รภาพ ไทย - ลาว ซงึ่ รัฐบาลออสเตรเลยี -ไทย-ประเทศลาว รว่ มมือกันสร้างและเป็นประตไู ปสอู่ ินโดจีน ลกั ษณะภมู ิ ประเทศโดยทวั่ ไปเปน็ ทรี่ าบสูง แยกไดเ้ ป็น 4 บริเวณ คือพื้นที่ค่อนขา้ งราบ ได้แก่ เขตอำเภอเมอื งหนองคาย อำเภอทา่ บอ่ และอำเภอศรเี ชยี งใหม่ ซ่ึงใช้ประโยชน์ในการทำนา และปลูกพืชบรเิ วณรมิ นำ้ โขง พนื้ ทเี่ ป็น คลืน่ ลอนลาด กระจายอยทู่ กุ อำเภอเปน็ หย่อมๆ ซ่ึงสว่ นใหญ่เปน็ ที่ทำนาและปลูกพชื ไร่ พชื สวนและปา่ ธรรมชาติ พ้ืนทีเ่ ปน็ คล่ืนลอนชันและเป็นเขาเปน็ ปา่ ธรรมชาติ เชน่ ป่าไมเ้ ตง็ รงั เบญจพรรณ พบในเขต อำเภอสังคม สภาพพืน้ ทเี่ ป็นภเู ขาทมี่ คี วามสงู ชนั จากระดบั นำ้ ทะเลตัง้ แต่ 200 เมตร เปน็ บรเิ วณเทอื กเขา ต่าง ๆ ทางทิศตะวันตกในเขตอำเภอสังคม เนอ่ื งจากแม่น้ำโขงไหลผา่ นอำเภอตา่ ง ๆ เกือบทกุ อำเภอ จงึ ก่อให้เกิดประโยชนใ์ นการเกษตรกรรม ราษฎรได้อาศยั แมน่ ำ้ โขงเปน็ แหล่งน้ำท่ีใชเ้ พื่อการเกษตรและอปุ โภคบรโิ ภค โดยเฉพาะราษฎรท่ีอาศยั อยู่รมิ แมน่ ำ้ โขง จะไดร้ บั ประโยชนม์ ากกวา่ ราษฎรทอ่ี ยลู่ ึกเข้าไปจากแมน่ ำ้ โขง นอกจากน้สี ำนกั งานพลงั งาน แหง่ ชาตไิ ด้จัดตง้ั สถานสี บู น้ำดว้ ยไฟฟา้ ในพนื้ ที่ 9 อำเภอ รวมท้ังสิน้ 82 สถานี เพ่ือทำการสูบน้ำจากแม่น้ำ โขงและแหลง่ น้ำอื่น ๆ ขึน้ มาใช้เพ่อื การเกษตรกรรม ภาพที่ 31 แผนทจ่ี งั หวดั หนองคาย ภูมิศาสตร์ จังหวดั หนองคาย มเี นอื้ ท่ปี ระมาณ 3,026.534 ตารางกโิ ลเมตร หรอื ประมาณ 1,891,583 ไร่ (นับเป็นจงั หวัดทม่ี ขี นาดเลก็ ท่ีสดุ ของภาคอสี าน โดยพืน้ ทที่ ั้งหมดก่อนท่ีจงั หวดั บงึ กาฬจะแยกตัวไป มี ประมาณ 7,332 ตารางกโิ ลเมตร) ลักษณะเป็นรปู ยาวเรียงทอดไปตามลำนำ้ โขง ซง่ึ เป็นเสน้ ก้ันเขตแดนกับ ประเทศลาว มีความยาวทง้ั สิ้น 195 กิโลเมตร ความกว้างของพ้ืนที่ทท่ี อดขนานไปตาม ลำนำ้ โขงโดยเฉลีย่

31 20 - 25 กิโลเมตร ห่างจากกรงุ เทพมหานครตามทางหลวงแผน่ ดินสาย 2 (มติ รภาพ) ประมาณ 615 กิโลเมตร และมอี าณาเขตตดิ ตอ่ กบั จงั หวัดใกล้เคียงดงั นี้ ทศิ เหนือ ตดิ ตอ่ กบั กำแพงนครเวียงจนั ทน์ เขตเมืองหลวงของประเทศลาว โดยมีแมน่ ำ้ โขงเปน็ แนว พรมแดน ทศิ ตะวันออก ตดิ ตอ่ กบั อำเภอปากคาด และอำเภอโซพ่ สิ ยั จังหวัดบงึ กาฬ ทศิ ใต้ ติดตอ่ กบั อำเภอบา้ นมว่ ง จังหวัดสกลนคร อำเภอเพญ็ อำเภอสรา้ งคอม อำเภอบา้ นดุง อำเภอนายงู และอำเภอบ้านผือ จงั หวัดอุดรธานี ทศิ ตะวนั ตก ติดต่อกบั อำเภอปากชม จังหวดั เลย ภมู ปิ ระเทศและภูมิอากาศ ภาพภูมปิ ระเทศของจังหวดั หนองคายมลี กั ษณะทอดยาวตามลำนำ้ โขง จงั หวัดหนองคายเปน็ จงั หวัด ชายแดนทางภาคตะวันออกเฉยี งเหนือตอนบน มีอาณาเขตตดิ กบั กรงุ เวียงจันทน์ ซง่ึ เปน็ เมอื งหลวงของ ประเทศลาว โดยมีแมน่ ำ้ โขงเป็นเสน้ ก้ันเขตแดน จงั หวดั หนองคายเปน็ จงั หวดั ชายแดนทมี่ ีเอกลกั ษณพ์ เิ ศษ โดยมีพ้ืนทท่ี อดขนานยาวไปตามลำน้ำโขง ความกว้างของพน้ื ทีท่ อดขนานไปตามลำน้ำโขงโดยเฉลยี่ ประมาณ 20 – 25 กิโลเมตร ชว่ งที่กว้างทสี่ ุดอยู่ทอ่ี ำเภอเฝา้ ไร่ และชว่ งทแ่ี คบทส่ี ดุ อยทู่ ่ีอำเภอท่าบอ่ จงั หวัด หนองคายมอี ำเภอทอี่ ย่ตู ิดกบั ลำนำ้ โขง 6 อำเภอ คือ อำเภอสังคม อำเภอทา่ บ่อ อำเภอศรเี ชียงใหม่ อำเภอ เมือง อำเภอโพนพสิ ยั และอำเภอรตั นวาปี และมีอาณาเขตติดต่อกับ ประเทศลาว คือ แขวงเวียงจนั ทน์ นคร หลวงเวียงจนั ทน์ และแขวงบอลิคำไซ จงั หวัดหนองคายมจี ดุ ผา่ นแดนไป ประเทศลาว รวม 6 จดุ เป็นจุด ผ่านแดนถาวร 2 จุด และจดุ ผ่อนปรน 4 จดุ จดุ ผ่านแดนทสี่ ำคัญและเป็นสากล คือ ดา่ นสะพานมิตรภาพ ไทย - ลาว ซึง่ รฐั บาลออสเตรเลยี -ไทย-ประเทศลาว ร่วมมอื กนั สร้างและเป็นประตไู ปสอู่ ินโดจีน ลกั ษณะภมู ิประเทศโดยทัว่ ไปเปน็ ทรี่ าบสงู แยกไดเ้ ปน็ 4 บรเิ วณ คือ พน้ื ทคี่ ่อนขา้ งราบ ไดแ้ ก่ เขตอำเภอเมืองหนองคาย อำเภอทา่ บอ่ และอำเภอศรเี ชยี งใหม่ ซ่งึ ใช้ ประโยชนใ์ นการทำนา และปลกู พืชบรเิ วณริมน้ำโขง พ้ืนที่เปน็ คลืน่ ลอนลาด กระจายอย่ทู กุ อำเภอเป็นหยอ่ มๆ ซงึ่ สว่ นใหญเ่ ปน็ ที่ทำนาและปลูกพชื ไร่ พชื สวนและป่าธรรมชาติ พืน้ ทเ่ี ปน็ คลื่นลอนชนั และเป็นเขาเป็นปา่ ธรรมชาติ เช่น ปา่ ไม้เตง็ รงั เบญจพรรณ พบในเขตอำเภอ สงั คม

32 สภาพพน้ื ทเี่ ป็นภูเขาท่ีมคี วามสงู ชัน จากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 200 เมตร เป็นบริเวณเทอื กเขาตา่ งๆ ทางทศิ ตะวนั ตกในเขตอำเภอสงั คม เน่อื งจากแมน่ ้ำโขงไหลผา่ นอำเภอตา่ งๆ เกอื บทกุ อำเภอ จงึ กอ่ ให้เกิดประโยชนใ์ นการเกษตรกรรม ราษฎรไดอ้ าศยั แม่นำ้ โขงเปน็ แหลง่ นำ้ ท่ีใชเ้ พอื่ การเกษตรและอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะราษฎรทอ่ี าศยั อยู่รมิ แม่น้ำโขง จะไดร้ บั ประโยชน์มากกวา่ ราษฎรที่อยลู่ ึกเข้าไปจากแม่นำ้ โขง นอกจากนสี้ ำนกั งานพลงั งาน แห่งชาตไิ ด้จดั ตั้งสถานสี บู น้ำดว้ ยไฟฟา้ ในพ้ืนที่ 9 อำเภอ รวมท้ังสิน้ 82 สถานี เพือ่ ทำการสบู นำ้ จากแมน่ ้ำ โขงและแหลง่ น้ำอ่ืน ๆ ขนึ้ มาใช้เพ่อื การเกษตรกรรม ลกั ษณะอากาศจัดอย่ใู นจำพวกฝนแถบรอ้ นและแหง้ แลง้ (ธ.ค. - ม.ค.) ในฤดูมรสุม ตะวันออกเฉยี งเหนือ อณุ หภูมจิ ะเรม่ิ ลดในเดือนพฤศจิกายนและตำ่ สดุ ในชว่ งเดอื นธนั วาคมถึงมกราคม ในชว่ งเดอื นมนี าคมถงึ พฤษภาคม เปน็ ชว่ งเปล่ียนฤดู อุณหภมู ิจะสงู ขน้ึ อย่างรวดเร็วในเดอื นมนี าคม และ ร้อนจดั ในเดอื นเมษายน ในฤดมู รสมุ ตะวันออกเฉียงใต้ (ม.ิ ย.- ก.ค.) อณุ หภมู โิ ดยทั่วไปจะลดลง และในเดอื น ตุลาคมอณุ หภูมจิ ะเริ่มลดลงจนอากาศหนาวเย็น อณุ หภมู ิตำ่ สดุ รายปอี ยู่ที่ 9.50 องศาเซลเซยี ส อุณหภมู ิ สูงสุดรายปอี ยู่ท่ี 40.60 องศาเซลเซยี สเฉล่ียรายปอี ยทู่ ี่ 26.46 องศาเซลเซยี ส ปรมิ าณน้ำฝนทงั้ ปีอยทู่ ี่ 1,843.6 มิลลิเมตรต่อปี อาหาร อาหารประจำจงั หวดั หนองคายท่ีขน้ึ ชอ่ื ทสี่ ุดกค็ อื แหนมเนือง ซึง่ เปน็ อาหารเชนดิ หนึง่ ประกอบดว้ ย แผน่ แป้งบาง ๆ หอ่ หมบู ดปรุงรส ป้นั เป็นก้อน เสียบไม้ยา่ ง ใสเ่ ครอื่ งตา่ ง ๆ มกี ลว้ ยดบิ กระเทียม มะเฟือง ดิบ รับประทานกบั น้ำจ้ิม และผักสดหลายชนิดเช่น ผกั แพว สะระแหน่ ผกั กาดหอม เปน็ ต้น เน่ืองจากจงั หวดั หนองคายตดิ กับแม่น้ำโขง อาหารกจ็ ะเป็นอาหารทที่ ำจากปลาน้ำโขง เช่น ลาบ กอ้ ยปลานำ้ โขง ต้มปลาน้ำโขงแบบพน้ื บา้ น และอาหารอสี านทั่วไป เช่น สม้ ตำ ก้อย ลาบ ตม้ แกงออ่ ม เปน็ ต้น อกี ทง้ั จงั หวดั หนองคายมกี ลมุ่ ชาติพนั ธ์ุหลากหลาย หน่งึ ในนัน้ คอื กลมุ่ คนญวนซง่ึ อาหารการกินก็จะ เป็นอาหารเวียดนาม เชน่ ขา้ วเปียก ขา้ วเกรยี บปากหม้อญวน ปอเปยี๊ ะ พันหอม ขนมปงั เวียดนาม เป็นต้น

33 ภาพที่ 32 แหนมเนอื ง ภาพที่ 33 ข้าวเปียก การแตง่ กาย ผ้ชู าย เมื่ออยกู่ บั บ้านจะนงุ่ กางเกงขากว๊ ยส้นั สวมเส้ือมอ่ ฮอ่ ม แขนสน้ั คาดผา้ ขาวม้าตาตาราง เม่ือ ออกไปนอกบ้านเพอื่ ร่วมงานบุญ จะนงุ่ โสร่ง สวมเสือ้ คอกลมแขนส้ัน มผี า้ ขาวมา้ คล้องคอ ส่วนผหู้ ญงิ จะนงุ่ ซ่ิน นิยมนุง่ ซ่ินผ้าฝา้ ยมาแตเ่ ดมิ และพฒั นาผา้ ฝา้ ยเป็นการทอผา้ มดั หมลี่ วดลายตา่ ง ๆ ผา้ ซ่นิ ไมม่ ีเชงิ ทง้ั ที่ เป็นผา้ เข็น(ทอ) และผ้ามัดหมฝ่ี ้าย หรอื ไหม เสอ้ื แบบเสอื้ ของชนเผ่าไทยลาว แม้จะเป็นเสอ้ื ย้อมสนี ำ้ เงินแก่ แบบเสือ้ คลา้ ยกับชนเผ่าอน่ื ๆ แต่เน่ืองจากเปน็ ชนเผา่ ทก่ี ระจายอย่ใู นท่ีตา่ ง ๆ และรับเอาวฒั นธรรมจากภาค กลางไดร้ วดเร็ว จงึ ทำให้เผา่ ไทยลาว มแี บบเสื้อแตกต่างไปจากชนเผ่าอน่ื ๆ เชน่ เสอื้ แขนกระบอก คือ ทอจากผา้ แพรตกแต่งใหม้ จี บี มีระบาย แขนกระบอกผ้าฝ้ายย้อมคราม หรอื มดั หม่ี กลุ่มท่แี ตง่ กายแบบดัง้ เดมิ จริง ๆ นยิ มแตง่ ดว้ ยผา้ ยอ้ มครามทง้ั เส้อื และผ้าซน่ิ ภาพท่ี 34 การแต่งกายของจงั หวัดหนองคาย

34 สตรีชาวหนองคาย จะนุ่งซน่ิ เทคนคิ ยกมกุ เป็นเส้นยืนพเิ ศษตอ่ ตนี ซนิ่ ดว้ ยจก แตเ่ ดิมจะเคร่งครดั เร่อื งแต่งกาย คือ หญงิ สาวโสดจะนงุ่ ซน่ิ ตีนแดง คือ ตีนจกพน้ื แดงเคียนอก (เรยี กวา่ แฮงตู้) ดว้ ยผา้ มสี ีงดงาม หญงิ แตง่ งานแลว้ จะนงุ่ ซ่นิ ตีนดำ คือ ซิ่นตนี จกพน้ื ดำ เคยี นอกด้วยผ้าย้อมมะเกลอื หรือคราม ชายไทยพวน จะน่งุ ชดุ ประจำวนั เป็นเสือ้ ผา้ ฝา้ ยย้อมครามหรอื มะเกลอื คอกลม ผ่าหน้า ผกู เชือกแขนสามส่วน เชน่ เดยี วกบั ชาวไทยยวน นงุ่ กางเกงครงึ่ แขง้ ยอ้ มคราม หรอื มะเกลือ มผี า้ ขาวมา้ คาดเอว สว่ นชดุ ไปงานจะ สวมเสือ้ ผ้าฝ้ายคอตงั้ แขนยาว น่งุ โจงกระเบน แบบทางกรุงเทพฯ ปจั จุบนั ผ้หู ญิงนยิ มสวมเสือ้ ตามสมยั นยิ ม ส่วนคนสูงอายมุ กั สวมเส้ือคอกระเช้า ผู้ชายยังแต่งเหมอื นเดมิ ยังมบี างท้องถ่ินแต่งแบบไทย-ลาว ภาพท่ี 35 การแตง่ กาย การละเลน่ การละเลน่ ในจงั หวดั หนองคาย เป็นการละเล่นพ้นื เมอื งของชาวหนองคาย นยิ มเล่นตามชนบทโดยมหี ลกั ฐานในสมยั กรงุ ศรีอยุธยา รัชสมยั สมเด็จพระเอกาทศรถ การตีคลใี นสมัยโบราณมีด้วยกัน 3 ประเภทคือคลีช้าง ผ้เู ลน่ จะต้องข่ีช้างตี นิยมเลน่ กันเปน็ จำนวนมากในสมัยอยธุ ยาคลมี ้า ผู้เลน่ จะต้องขีม่ ้าตี นิยมเลน่ กันมากในสมัยกรุงรัตนโกสนิ ทร์ คลีคน ผู้เลน่ จะตอ้ งเดินหรือวง่ิ ตี จะมที ้ังแบบตคี ลีธรรมดา และตีคลีไฟ หรือการเอาลูกเผาไฟใหล้ ุกท่วมแลว้ ค่อยนำมาตี นยิ มเลน่ กนั มากในชนบทอสี าน ไม่ว่าจะเปน็ หนองคาย อบุ ลราชธานี ขอนแก่น ร้อยเอ็ด เปน็ ต้น

35 อุปกรณใ์ นการเลน่ จะประกอบด้วยไมค้ ลี (ไมไ้ ผ่ยาวประมาณ 1 เมตร งอนปลายไม)้ ลูกคลี ทำจากไม้ ทองหลางหรอื ขนนุ กลงึ ใหก้ ลมขนาดเท่ามะนาว โดยสว่ นใหญ่แล้วมักจะเลน่ ในช่วงฤดหู นาวเพอ่ื เป็นการออก กำลังกายกอ่ นลงอาบนำ้ การตคี ลจี ะนยิ มเล่นในเวลากลางคนื เพราะเมื่อเราเอาลูกคลเี ผาไฟใหล้ กุ แดง เม่อื ตี ลูกคลกี ็จะเป็นเปลวไฟปลวิ ไปในสนาม สวยงามไปอีกแบบ นาฏศลิ ป์และดนตรใี นจงั หวดั หนองคาย เช่น หมอลำกลอน หมอลำกลอนของจังหวัดหนองคายมีมาตงั้ แตส่ มัยร่นุ ปู่ยา่ ตายายแล้ว โดยมีการร้อง ลำสบื ทอดต่อกนั มาตามประเพณอี สี าน การรอ้ งกลอนลำจะนำเอาขนบธรรมเนยี มประเพณรี วมถงึ ตำนาน และนิทานอสี านโบราณ นำมาแต่งเป็นบทกลอนให้มีความไพเราะเพือ่ เปน็ ข้อคิดเตอื นใจใหก้ ับชมุ ชน โดย แทรกตำนานหรอื คำสอนตา่ ง ๆ เข้าไปในบทกลอน ลกั ษณะของกลอนลำ มลี กั ษณะคล้ายกบั กลอนแปด รา่ ย ยาว ภาพท่ี 36 ตคี ลีไฟ ภาพท่ี 37 หมอลำกลอน ภาพที่ 38 คำขวัญประจำจงั หวดั หนองคาย

36 จังหวัดบึงกาฬ ภาพที่ 39 ตราสัญญาลักษณป์ ระจำจังหวัดบึงกาฬ ขอ้ มูลทว่ั ไป บงึ กาฬ เดมิ เปน็ อำเภอไชยบรุ ี ในเขตการปกครองของ จงั หวัดนครพนม ซึง่ มที ่ีวา่ การอำเภอ ตง้ั อยู่ ท่ีบรเิ วณปากนำ้ สงคราม ไชยบรุ ี เดิมชอื่ \"เมอื งไชยสุทธ์อิ ุตมบุร\"ี อยู่ในเขตการปกครองของเมอื งเวยี งจนั ทน์ ซ่งึ เปน็ เมอื งขน้ึ ของไทยในสมยั น้ัน ตามแผน่ ศิลาจารกึ ที่วดั ไตรภมู ินั้น ประวตั ขิ องเมืองไชยบรุ ี ต้ังข้นึ เมือ่ พ.ศ. 2351 หัวหนา้ ชาวไทยญอ้ ชอื่ ทา้ วหม้อและนางสนุ ันทา ไดพ้ าบุตรและบา่ วไพร่ อพยพโยกย้ายผคู้ นพลเมือง จากเมอื งหงสา (ตง้ั อยรู่ มิ ฝง่ั แม่นำ้ โขง ตอนเหนอื เมอื งหลวงพระบาง) อพยพลงมาตามแม่น้ำโขง ลงมาตง้ั บ้านเรอื นอยู่บรเิ วณปากนำ้ สงครามในสมัยกรงุ รัตนโกสินทรต์ อนต้น ไดร้ วบรวมผู้คนมาสรา้ งเมืองใหมข่ ึน้ และตงั้ ชื่อวา่ “เมืองไชยสทุ ธ์ิอตุ มบรุ ”ี ขึ้นตรงตอ่ เมืองเวียงจนั ทน์ เจา้ ผ้คู รองนครเวยี งจันทน์ ได้ตงั้ ใหท้ า้ ว หม้อเป็นพระยาหงสาวดี และท้าวเลก็ น้องชายท้าวหมอ้ เป็นอปุ ราชวังหนา้ ทา้ วหม้อมบี ุตรชายคนโตชอ่ื ทา้ ว โสม พ.ศ. 2357 ไดส้ รา้ ง\"วัดศรีสุนันทามหาอาราม\"ต่อมาเรยี กวา่ \"วัดไตรภูมิ\" ซง่ึ ไดพ้ บแผ่นศลิ าจารกึ ใน วัดนแี้ ปลออกมาได้ความวา่ \"พระศาสนาพุทธเจ้า ลว่ งลบั ไปแลว้ 2357 พรรษา พระเจ้าหงสาวดที ัง้ สองพ่ี น้องไดม้ าตั้งเมืองใหม่ในท่นี ใี้ ห้ชื่อว่า \"เมืองไชยสทุ ธอ์ิ ตุ มบรุ ี\" ในปจี อ ฉศก ตรงกบั ปกี าบเล็ด ในเดอื น 4 แรม 11 คำ่ วันอังคาร ภายนอกมอี าญาเจ้าวังหน้าเสนาอำมาตยส์ บิ รอ้ ยนอ้ ยใหญ่ ภายในมีเจ้าครูพทุ ธา และเจา้ ชาดวงแกว้ เจ้าชาบา เจ้าสีธมั มา เจา้ สมเดจ็ พุทธา และพระสงฆ์สามเณรทุกพระองค์ พรอ้ มกันมกั ใครต่ งั้ ใจไว้ ยังพทุ ธศาสนา จึงใหน้ ามวัดนีว้ า่ \"วดั ศรีสุนนั ทามหาอาราม\" ตามพุทธบญั ญตั ิสมเดจ็ พระองคเ์ จ้า ซึ่งมจี ิตตงั้ ไว้ในพุทธศาสนาสำเรจ็ ในปีกดสี เดือน 5 เพญ็ วันจันทร์ มอื้ ฮวงมด ขอให้ได้ตามคำมัก คำปรารถนาแหง่ ปวง ข้าท้ังหลาย เทอญ\"

37 ช่อื เดิมตามศลิ าจารกึ วา่ \"เมอื งไชยสทุ ธอิ์ ตุ มบรุ \"ี น้นั หมายถงึ เมอื งที่มชี ยั ชนะและอุดมสมบรู ณ์ ที่ได้ ชื่ออย่างน้ีกเ็ พราะว่า ในสมยั ทต่ี ง้ั เมอื งนัน้ มกี ารทำสงครามระหว่างกรงุ เทพฯ - เมืองเวียงจันทน์ - ญวนอยู่ บอ่ ยๆ สำหรบั เรือ่ งความอดุ มสมบรู ณ์นน้ั เล่ากนั ว่า ไชยบุรีเปน็ เมืองที่ \"ในนำ้ มปี ลา ในนามีข้าว\" อยา่ งอดุ ม สมบรู ณเ์ พราะต้ังอย่รู มิ ฝง่ั แม่นำ้ โขงและแม่น้ำสงครามจึงจบั ปลา ได้อย่างสะดวก และไมไ่ ดพ้ ดู เกนิ ความจรงิ เลยวา่ สมัยเมือ่ 40-50 ปีทผี่ า่ นมา ปลาในแม่นำ้ โขงแมน่ ำ้ สงครามมมี าก ขนาดทีเ่ พยี งแตพ่ ายเรอื เลยี บไป ตาม ริมฝงั่ นำ้ ในเวลา ประมาณ 1 ทมุ่ เป็นตน้ ไปโดยพายไปเบาๆ พอไปถงึ จดุ ใดจดุ หน่ึงแล้วกก็ ระทบึ เรือ หรือ ขยม่ เรือใหม้ เี สียงดงั กม็ ีปลา (ซึ่งส่วนใหญเ่ ปน็ ปลาสรอ้ ย) ตกใจแล้วกระโดดเข้าไปในเรอื เองเป็นจำนวนมาก ทำอยา่ งน้ไี ปประมาณ 1 ชวั่ โมงเท่าน้นั ก็ไดป้ ลาเหลือใช้แล้ว แจกญาตพิ ่ีน้อง แต่ภายหลังมาเปล่ียนเปน็ \"ไชย บุรี\" น้ันกเ็ พราะว่า คา่ นิยมในเร่อื งภาษา หรอื การใช้ภาษาในท้องถิน่ นี้ ไมช่ อบพดุ คำยาวๆ เชน่ \"เมืองไชย สุทธิ์อตุ มบรุ ี\" ก็ใชเ้ พียงคำ หัว กบั ทา้ ย สว่ นกลางตัด ดังน้ันจงึ เหลือเพยี ง \"ไชยบุรี\" เทา่ น้ัน เพราะเรียกง่าย และจำง่าย บึงกาฬ เป็นจังหวดั ท่ีตงั้ อยูใ่ นภาคตะวันออกเฉยี งเหนือตอนบนสุดของประเทศไทย อยหู่ ่างจาก กรุงเทพมหานคร 765 กิโลเมตร จดั ตง้ั ขึ้นตามพระราชบญั ญัติต้ังจงั หวัดบงึ กาฬ พ.ศ. 2554 อนั มผี ลใชบ้ ังคบั ต้ังแต่วนั ท่ี 23 มีนาคม พ.ศ. 2554 เปน็ ตน้ ไป โดยแยกอำเภอบงึ กาฬ อำเภอเซกา อำเภอโซพ่ สิ ัย อำเภอบงุ่ คล้า อำเภอบึงโขงหลง อำเภอปากคาด อำเภอพรเจรญิ และอำเภอศรีวิไล ออกจากการปกครองของจงั หวัด หนองคาย จงั หวดั บงึ กาฬ จัดต้งั เป็นจงั หวดั ลำดบั ที่ 76 ของประเทศไทย เนอ่ื งจาก จงั หวดั หนองคาย เป็นจังหวดั ทม่ี ที ้องทต่ี ิดชายแดน และมลี กั ษณะภูมปิ ระเทศเป็นแนว ยาว ทำใหก้ ารตดิ ต่อระหวา่ งอำเภอทห่ี า่ งไกล และจงั หวดั เปน็ ไปด้วยความยากลำบาก และใช้ระยะเวลาใน การเดินทางมากเกินควร ดงั น้นั เพอ่ื ประโยชน์ในการจัดระเบียบการปกครอง การรกั ษาความม่นั คง และการ อำนวยความสะดวกใหแ้ กป่ ระชาชนในทอ้ งท่ี สมควรแยกอำเภอบงึ กาฬ อำเภอเซกา อำเภอโซ่พสิ ยั อำเภอ บงุ่ คล้า อำเภอบงึ โขงหลง อำเภอปากคาด อำเภอพรเจรญิ และอำเภอศรีวิไล จงั หวดั หนองคาย ออกจากการ ปกครองของจังหวัดหนองคาย รวมตงั้ ข้นึ เปน็ จงั หวัดบึงกาฬ จึงจำเปน็ ตอ้ งตราพระราชบญั ญัติน้ี จงั หวดั บงึ กาฬ เดิมเปน็ อำเภอบึงกาฬ และเปน็ ตำบลหน่ึงในเขตการปกครองของ อำเภอชยั บรุ ี จังหวัดนครพนม ซง่ึ มที ่ีวา่ การอำเภอ ต้งั อยทู่ บ่ี รเิ วณปากน้ำสงคราม ต่อมาไม่ทราบชดั วา่ ปีใด ทางราชการได้ ยา้ ยทีว่ ่าการอำเภอมาตง้ั ท่ี บงึ กาญจน์ ริมฝงั่ ตรงข้ามเมืองปากซนั แขวงบลคิ ำไซ สาธารณรฐั ประชาธปิ ไตย ประชาชนลาว ปี พ.ศ. 2459 ทางราชการ กอ่ สร้าง ท่ีวา่ การอำเภอข้ึนใหม่และโอนการปกครองอำเภอชยั บรุ ี

38 มาขึน้ กับจงั หวัดหนองคาย สว่ นบรเิ วณท่ีตง้ั ท่ีว่าการอำเภอชยั บรุ เี ดมิ นน้ั ทางราชการยุบมาเป็นตำบล อยู่ใน เขตการปกครองของอำเภอทา่ อเุ ทน จังหวัดนครพนม ปี พ.ศ.2475 ข้าราชการกระทรวงมหาดไทยท่านหนึ่งเ ดินทางมาตรวจราชการทอี่ ำเภอชัยบรุ ี พบวา่ หม่บู ้านบงึ กาญจน์ มหี นองนำ้ ใหญ่แหง่ หนงึ่ กวา้ งประมาณ 160 เมตร ยาวประมาณ 3,000 เมตร ชาวบา้ น เรยี ก \"บึงกาญจน์\" เป็นทรี่ ู้จกั โดยท่ัวไป ทางการจึงเปล่ยี นชื่อ อำเภอชยั บุรี เป็น \"อำเภอบงึ กาญจน์\" ต้ังแต่นั้นมา ต่อมาปี พ.ศ.2477 ทางการไดเ้ ปล่ียนช่ือ อำเภอบึงกาญจน์ เปน็ \"อำเภอบงึ กาฬ\" เพอ่ื ความ สะดวกและเขา้ ใจง่าย ตอ่ มาไดแ้ ยกอำเภอเซกา อำเภอพรเจริญ อำเภอศรีวไิ ล และ อำเภอบงุ่ คลา้ ออกจาก อำเภอบงึ กาฬ ตามลำดับ ภมู ิศาสตร์ จงั หวดั บงึ กาฬ เป็นจังหวดั ท่ีมสี ภาพแวดล้อมทส่ี มบรู ณ์ แวดลอ้ มไปดว้ ยภเู ขาและน้ำตกทส่ี วยงาม เช่น นำ้ ตกเจ็ดสี น้ำตกตากชะแนน ทีอ่ ยู่ภายในอุทยานแหง่ ชาติภวู วั พน้ื ที่ส่วนใหญ่ในจงั หวัดเปน็ ทรี่ าบลมุ่ ภูมิอากาศทีจ่ ังหวดั บงึ กาฬค่อนข้าง ทำให้ไมร่ อ้ นมากในชว่ งถดรู อ้ น ฤดูหนาวก็อากาศดเี หมาะแก่การ ท่องเท่ียว และพักผ่อนเป็นอยา่ งยง่ิ สงั เกตได้จากท่พี กั ในจังหวัดบงึ กาฬจะเตม็ อยู่ตลอดเวลาในช่วงเทศกาล สำคัญๆ บงึ กาฬเป็นจังหวัดทีม่ เี ขตพ้นื ท่ีติดตอ่ กบั ประเทศลาว โดยมแี ม่น้ำโขงเป็นแนวพรมแดน ทิศเหนือ ติดต่อกบั แขวงบริคำไชย ประเทศลาว ทศิ ตะวนั ออก ตดิ ตอ่ กับแขวงบริคำไชย ประเทศลาว และจงั หวัดนครพนม ทิศใต้ ติดต่อกับจงั หวัดสกลนคร ทิศตะวนั ตก ติดต่อกับแขวงบรคิ ำไชย ประเทศลาว และจังหวัดหนองคาย ภาพท่ี 40 แผนทจ่ี ังหวัดบึงกาฬ

39 สภาพภมู ปิ ระเทศ จงั หวัดบึงกาฬเปน็ จงั หวดั ทมี่ ีสภาพแวดล้อมทส่ี มบรู ณ์ แวดล้อมไปดว้ ยภเู ขาและน้ำตกทส่ี วยงาม เชน่ นำ้ ตกเจด็ ส,ี น้ำตกตากชะแนน ท่ีอย่ภู ายในเขตรักษาพนั ธ์สตั วป์ า่ ภวู ัว พื้นทีส่ ว่ นใหญ่ในจงั หวัดเปน็ ท่ี ราบลุ่ม สภาพอากาศ ภมู ิอากาศทจ่ี ังหวัดบึงกาฬค่อนข้างดี เพราะไดอ้ ทิ ธพิ ลจากแม่น้ำโขงทำใหอ้ ากาศไมร่ ้อนมาก ในช่วงถดรู อ้ น ในฤดูหนาวอากาศดีเหมาะแกก่ ารทอ่ งเที่ยวและพกั ผ่อนโดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคญั จังหวัดบึงกาฬมกั จะมนี ักทอ่ งเทย่ี วเข้ามาจองหอ้ งพกั ต่อเนอื่ ง อาหาร ก้อยปลาซวิ อาหารท้องถิง่ ของจังหวดั บึงกาฬ ได้รบั ความนยิ มสูง เพราะเป็นอาหารท้องถน่ิ ของชาว อสี านและนิยมทานกันมาต้งั แต่บรรพบรุ ษุ โดยเฉพาะผทู้ ี่อยอู่ าศัยตามลุ่มแมน่ ำ้ เพราะหากินง่าย เปน็ อีกหนึ่ง เมนูทไี่ ดป้ ระโยชนค์ รบครนั แถมแคลเซยี มสูงมาก จงั หวัดบึงกาฬมอี าหารหลากหลายเมนู ทง้ั อาหารไทย อาหารอสี านเหมอื นกบั จงั หวดั อื่น ๆ เชน่ ลาบ ก้อย ต้ม แกงออ่ ม ซุป เป็นต้น เน่ืองจากบึงกาฬอย่ตู ดิ แมน่ ำ้ โขง เมนทู ี่ขน้ึ ชือ่ จึงเป็นเมนูปลาแม่น้ำโขง ทงั้ ลาบ ทอด นงึ่ แกง ผัด ตม้ ยำ ฯลฯ เชน่ เดยี วกบั จงั หวดั หนองคาย และมีข้าวเปยี กเสน้ ทเ่ี ปน็ เสนห่ ์ของ จังหวดั บงึ กาฬทมี่ เี สน้ สดใหม่และนุ่มหอม ภาพท่ี 41 กอ้ ยปลาซิว ภาพท่ี 42 ต้มยำปลานำ้ โขง

40 การแตง่ กาย ผชู้ าย เม่ืออยูก่ บั บา้ นจะนงุ่ กางเกงขากว๊ ยส้นั สวมเส้ือมอ่ ฮ่อม แขนสนั้ คาดผา้ ขาวมา้ ตาตาราง เมื่อ ออกไปนอกบ้านเพอื่ ร่วมงานบญุ จะนุ่งโสรง่ สวมเส้ือคอกลมแขนส้นั มีผ้าขาวม้าคล้องคอ ส่วนผหู้ ญงิ จะนงุ่ ซิน่ นยิ มนุ่งซน่ิ ผา้ ฝา้ ยมาแตเ่ ดิม และพฒั นาผ้าฝ้ายเป็นการทอผา้ มดั หมล่ี วดลายต่าง ๆ ผ้าซ่นิ ไมม่ เี ชงิ ทงั้ ที่ เป็นผา้ เข็น(ทอ) และผา้ มดั หมฝ่ี ้าย หรอื ไหม เสื้อแบบเส้อื ของชนเผา่ ไทยลาว แมจ้ ะเป็นเส้อื ยอ้ มสีนำ้ เงนิ แก่ แบบเสือ้ คล้ายกับชนเผา่ อ่ืน ๆ แต่เนือ่ งจากเป็นชนเผา่ ทกี่ ระจายอยูใ่ นทต่ี า่ ง ๆ และรับเอาวัฒนธรรมจากภาค กลางไดร้ วดเรว็ จึงทำให้เผา่ ไทยลาว มแี บบเส้ือแตกตา่ งไปจากชนเผ่าอืน่ ๆ เช่น เส้อื แขนกระบอก คอื ทอ จากผ้าแพรตกแตง่ ใหม้ จี ีบมรี ะบาย แขนกระบอกผา้ ฝ้ายย้อมคราม หรือมัดหมี่ กลมุ่ ท่แี ตง่ กายแบบดงั้ เดิม จริง ๆ นยิ มแตง่ ดว้ ยผ้าย้อมครามทง้ั เสอื้ และผา้ ซิ่น ผูห้ ญิง จะนงุ่ ซ่ินเทคนคิ ยกมุกเปน็ เสน้ ยืนพเิ ศษตอ่ ตนี ซ่นิ ดว้ ยจก แต่เดิมจะเคร่งครดั เร่อื งแต่งกาย คือ หญิงสาวโสดจะนงุ่ ซ่ินตนี แดง คอื ตีนจกพ้ืนแดงเคียนอก (เรียกวา่ แฮงต)ู้ ด้วยผ้ามสี ีงดงาม หญงิ แต่งงาน แลว้ จะนุ่งซ่นิ ตีนดำ คอื ซน่ิ ตนี จกพน้ื ดำ เคยี นอกดว้ ยผ้ายอ้ มมะเกลือหรอื คราม ชายไทยพวนจะน่งุ ชดุ ประจำวนั เปน็ เสือ้ ผ้าฝ้ายย้อมครามหรอื มะเกลือคอกลม ผ่าหน้า ผกู เชอื กแขนสามส่วน เชน่ เดียวกับชาวไทย ยวน นุ่งกางเกงครง่ึ แขง้ ยอ้ มคราม หรอื มะเกลือ มผี า้ ขาวม้าคาดเอว สว่ นชุดไปงานจะสวมเสอ้ื ผ้าฝ้ายคอตง้ั แขนยาว น่งุ โจงกระเบน แบบทางกรงุ เทพฯ ปจั จุบันผู้หญิงนิยมสวมเสือ้ ตามสมัยนิยม ส่วนคนสงู อายุมักสวม เส้ือคอกระเช้า ผ้ชู ายยงั แตง่ เหมือนเดิม ยังมบี างท้องถน่ิ แต่งแบบไทย-ลาว ภาพท่ี 43 การแตง่ กายของคนจงั หวัดบงึ กาฬ

41 การละเล่น การละเล่นในจังหวดั บึงกาฬมหี ลากหลาย ยกตัวอยา่ งเช่น เลน่ ซอ่ นหา หรอื โปง้ แปะ เป็นหนง่ึ ในการละเล่นพ้ืนบา้ นทมี่ มี าช้านาน และยงั ได้รบั ความนิยมอยู่ ทกุ ยคุ ทกุ สมัย เพราะกติกาง่าย แถมสนุก และตอ้ งมกี ารกำหนดอาณาเขต เพือ่ ไมใ่ ห้กวา้ งจนเกนิ ไป จนถงึ วนั นีก้ ็ยงั มเี ดก็ ๆ จบั กลุ่มกนั เลน่ ซ่อนหาใหเ้ ห็นกันอยู่ โดยกตกิ าก็คือ คนทีเ่ ป็น \"ผหู้ า\" ต้องปดิ ตา และให้ เพ่อื น ๆ ไปหลบหาทซี่ อ่ น โดยอาจจะนบั เลขกไ็ ด้ ส่วน \"ผู้ซ่อน\" ในสมัยกอ่ นจะต้องร้องว่า \"ปดิ ตาไมม่ ดิ สาระ พิษเข้าตา พ่อแม่ทำนาได้ขา้ วเมด็ เดียว\" แลว้ แยกย้ายกนั ไปซอ่ น เมือ่ \"ผหู้ า\" คาดคะเนว่าทกุ คนซ่อนตวั หมดแล้ว จะรอ้ งถามวา่ \"เอาหรอื ยงั \" ซงึ่ เมอ่ื \"ผ้ซู อ่ น\" ตอบวา่ \"เอาล่ะ\" \"ผ้หู า\" กจ็ ะเปิดตาและหาเพอ่ื น ๆ ตามจุดตา่ ง ๆ เมอ่ื หาพบจะพูดวา่ \"โปง้ ..(ตามด้วยชื่อผ้ทู พ่ี บ)\" ซึ่งสามารถ \"โปง้ \" คนทเ่ี หน็ ในระยะไกลได้ จากนนั้ \"ผหู้ า\" จะหาไปเรื่อย ๆ จนครบ ผู้ทถี่ กู หาพบคนแรกจะตอ้ งมาเปลี่ยนมาเป็น \"ผูห้ า\" แทน แต่หาก ใครซ่อนเก่ง \"ผหู้ า\" หาอย่างไรกไ็ มเ่ จอสักที \"ผูซ้ อ่ น\" คนท่ยี งั ไมถ่ ูกพบสามารถเขา้ มาแตะตวั \"ผูห้ า\" พรอ้ มกบั ร้องว่า \"แปะ\" เพอื่ ให้ \"ผหู้ า\" เปน็ ต่ออกี รอบหน่ึงได้ ประโยชนจ์ ากการเลน่ ซ่อนหา ก็คือ ฝึกใหเ้ ป็นคนช่าง สงั เกต สามารถจบั ทศิ ทางของเสยี งได้ รวมทงั้ รจู้ กั ประเมนิ สถานท่ซี อ่ นตวั จงึ ฝกึ ความรอบคอบได้อกี ทาง นอกจากน้ยี งั ทำใหผ้ เู้ ลน่ สนกุ สนาน อารมณ์แจม่ ใจเบิกบานไปด้วย เดินกะลา ดจู ะเป็นการละเลน่ พื้นบา้ นทหี่ าดไู ด้ไม่บอ่ ยนัก แตห่ ากเปน็ สมยั กอ่ นจะเหน็ เดก็ ๆ เดิน กะลา กันทั่วไป โดยผเู้ ลน่ จะต้องนำกะลามะพรา้ ว 2 อนั มาทำความสะอาดแล้วเจาะรตู รงกลาง รอ้ ยเชอื กให้ แนน่ เพื่อปอ้ งกันไมใ่ หเ้ ชอื กหลดุ เวลาเดนิ เวลาเดนิ ใหใ้ ช้นวิ้ หวั แมเ่ ท้ากบั นวิ้ ช้ีคบี เชอื กเอาไวแ้ ลว้ เดิน หากมี เดก็ ๆ หลายคนอาจจดั แขง่ เดินกะลา ไดด้ ้วยการกำหนดเสน้ ชยั ไว้ใครเดินถงึ ก่อนกเ็ ปน็ ผ้ชู นะไป ประโยชน์ ของการ เดนิ กะลา ก็คือช่วยฝึกการทรงตวั ความสมดลุ ของร่างกายเพราะตอ้ งระวงั ไม่ให้ตกกะลา ชว่ งแรก ๆ อาจจะรสู้ กึ เจบ็ เท้า แตถ่ ้าฝกึ บ่อย ๆ จะชนิ และหายเจบ็ ไปเอง แถมยงั ทำใหร้ า่ งกายแขง็ แรง เพลิดเพลนิ อกี นาฏศิลปแ์ ละดนตรีในจงั หวัดบงึ กาฬจะคลา้ ยกบั จังหวดั อนี่ ๆ ในภาคอสี าน ดังน้ี หมอลำ เปน็ วฒั นธรรมดนตรแี ละเพลงพ้ืนบ้านอสี าน ทผ่ี แู้ สดงจะขับรอ้ งและฟอ้ นรำคลอไปกบั เสยี งแคน โดยมหี มอแคนเป็นคนเปา่ หมอลำเกิดขึน้ มารบั ใช้ชีวิตชาวอสี านทั้งยามทกุ ข์และสุข สบื เร่อื งราว ว่า กอ่ นปี พ.ศ.๒๔๐๐ จะมหี มอลำผเี ข้า มีวตั ถุประสงค์เพือ่ รกั ษาโรคภัยไข้เจบ็ ปัจจุบนั หมอลำแยกออกไป หลายแขนง ลำกลอนของบางคณะไดเ้ พิม่ เครื่องดนตรีเขา้ ไปเชน่ กลองชดุ กีตารเ์ บส เรยี กหมอลำประยกุ ต์ แนวน้ีว่าหมอลำซงิ่ หมอลำแบง่ ลกั ษณะการลำ หรือการแสดงได้สี่ประเภทคอื

42 หมอลำกลอน เป็นลกั ษณะลำแบบโต้กลอนสด ผู้ลำตอ้ งมีความรูก้ วา้ งขวางเกี่ยวกับ วัฒนธรรม ประเพณี ศาสนา คติธรรมตา่ ง ๆ ฯลฯ หมอลำเรอื่ ง มกั เปน็ นิทานพ้ืนบา้ นเช่น ผาแดง นางไอ่ นางผมหอม หมอลำเรือ่ ง ยงั แบง่ ออกเปน็ ลำหา้ ชนิดคอื หมอลำพ้นื หมอลำหมหู่ รอื ลเิ กลาว หมอลำเพลนิ หมอลำกิ๊บแกบ๊ และหมอลำแมง ตบั เต่า หมอลำผฟี า้ เปน็ การลำเพ่อื รกั ษาผปู้ ่วย เรมิ่ จากลำสอ่ ง เพอ่ื ตรวจหาสาเหตขุ องการป่วย แล้วจึงลำทรง เพอื่ เชิญเทวดาหรอื สงิ่ ศกั ดิ์สทิ ธิ์ให้ลงมาทรงในตวั หมอลำ รำเซงิ้ เปน็ การรำประกอบการเซง้ิ ในพธิ ที ำบญุ บ้ังไฟ การรำเซ้ิงคดิ ท่ารำจากการทำงาน ทง้ั ส้ิน เชน่ เซงิ้ กระติบข้าว คดิ ทา่ รำจากการท่เี ดก็ หนุม่ สาวสะพายกระตบ๊ิ ขา้ วมาสง่ ญาติพีน่ ้องท่ีนา เซงิ้ สวิง คิดทา่ รำจากท่ชี าวบ้านถอื สวงิ และขอ้ งไปดักปลา เซิ้งกระดง้ คดิ ทา่ รำจากการฝัดข้าว ภาพท่ี 44 การเล่นโปง้ แปะ ภาพท่ี 45 การเล่นเดนิ กะลา ภาพท่ี 46 คำขวญั จังหวัดบึงกาฬ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook