Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกลักษณ์ของสังคมไทย-และวัฒนธรรมไทย (1)

เอกลักษณ์ของสังคมไทย-และวัฒนธรรมไทย (1)

Published by Parelove1996.hotmail, 2017-07-06 02:08:46

Description: เอกลักษณ์ของสังคมไทย-และวัฒนธรรมไทย (1)

Search

Read the Text Version

เร่ืองเอกลกั ษณ์ของสงั คมไทย และวฒั นธรรมไทย นางสาวอารีรตั น์ ใบโพธ์ิ วทิ ยาลยั อาชีวศึกษานครราชสีมา วทิ ยาลยั อาชีวศึกษานครราชสีมา

บทท่ี 1 เรื่องเอกลกั ษณ์ของสังคมไทย และวฒั นธรรมไทยความหมายของเอกลกั ษณ์ไทยเอกลกั ษณ์ คือ ลกั ษณะที่เด่นชดั ชองสงั คมใดสงั คมหน่ึง ซ่ึงมีลกั ษณะเหมือนกนั หรือรวมกนัของสงั คมน้นั ๆ ที่เห็นไดช้ ดั เชนวา่ ตา่ งจากลกั ษณะของสงั คมอื่นเอกลกั ษณ์ไทยจึงหมายถึง ลกั ษณะของความเป็ นไทยที่ดูแลว้ แตกต่างจากลกั ษณะสังคมของชนชาติอ่ืน มีความแตกต่าง ซ่ึงอาจมองไดจ้ ากลกั ษณะ การประพฤติปฏิบตั ิ กิริยาท่าทางการแตง่ กาย วฒั นธรรม จารีตประเพณี ฯลฯ สังเกตไดว้ า่ ลกั ษณะเด่นของความเป็นไทยน้นั ไมว่ า่จะอยทู่ ี่ใด ก็สามารถแยกออกจากชนชาติอื่นได้ นอกจากภาษาพดู แลว้ ความยมิ้ แยม้ แจ่มใสก็เป็นลกั ษณะเด่นอยา่ งหน่ึงของสงั คมไทย จนชาวตะวนั ตกขนานนามวา่ “สยามเมืองยมิ้ ” เอกลกั ษณ์ของความเป็ นไทย เอกลกั ษณ์ของวฒั นธรรมไทยพอสรุปเป็นตารางไดด้ งั น้ี  ภาษาไทย ตวั อกั ษรไทย ซ่ึงนบั วา่ เป็ นอารยธรรม ข้นั สูงจุดเด่นของวฒั นธรรมไทย  อาหารไทย เช่น น้าพริกปลาทู หรือตม้ ยากงุ้ ท่ีเป็นรู้จกั และโด่งดงั ไปทง่ั โลก ลกั ษณะท่ีเด่นชดั ชองสงั คมใดสังคมหน่ึง  สมนุ ไพรไทย แมแ้ ต่ตา่ งชาติก็ใหค้ วามสนใจ เช่น วา่ นหางจระเข้ กระชายดา กวาวเครือเป็ น “วฒั นธรรมเกษตร” เช่น มีการช่วยเหลือกนั  ฉายาสยามเมืองยมิ้ ซ่ึงแสดงถึงความยมิ้ แยม้เรียกวา่ การลงแขกเก่ียวขา้ ว การแห่นาแมวเพอื่ แจ่มใส มีอธั ยาศยั ซ่ึงหายากในชนชาติอื่นขอฝน การทาขวญั ขา้ ว ไหวแ้ ม่โพสพ  มารยาทไทย เช่น การไหว้ เป็ นท่ีรู้จกั ของคน เป็ นสงั คมท่ีมีสนุกสนาน การทางานจะเป็ น ทวั่ โลก การมีสมั มาคารวะ เคารพผอู้ าวโุ สรู้จกั กาลเทศะไปพร้อมกบั ความร่ืนเริง เช่น เม่ือเกี่ยวขา้ วจะ  ประเพณีไทย เช่น ผตี าโขน บญุ บ้งั ไฟ การแห่ร้องเพลงไปดว้ ย “ เก่ียวเถอะนะแม่เก่ียว อยา่ มวั แล ปราสาทผ้ึง แหนางแมวเหลียว เดี๋ยวเคียว จะเกี่ยวกอ้ ยเอย  การแสดงแบบไทย เช่น ลิเก โขน ราวง เป็นสงั คมท่ีเทิดทนู พระมหากษตั ริยด์ ว้ ยความ  ดนตรีไทร เช่น ระนาด ป่ี ขล่ยุ องั กะลุงจงรักภกั ดี  การละเล่นไทย เช่น มอญซ่อนผา้ ลาตดั นบั ถือพระพทุ ธศาสนา เป็ นสงั คมชาวพทุ ธ  ส่ิงก่อสร้าง เช่น เรือนไทยมีพทุ ธศาสนิกชนใหค้ วามสาคญั  เพลงไทย เช่น เพลงไทย (ไทยเดิม) เพลงลูกทุ่ง มีน้าใจของความเป็ นไทย พ่ึงพาอาศยั กนัช่วยเหลือกนั รักความสงบ ชอบเรื่องการทาบุญ สร้างกศุ ล และช่วยงานบุญกศุ ล

เอกลกั ษณ์ทส่ี าคัญของสังคมไทย เอกลกั ษณ์ของสงั คมไทย เป็นสิ่งที่แสดงถึงความเป็นไทยที่บรรพบุรุษไดส้ ั่งสม สืบทอดโดยมอบเป็นมรดกใหแ้ ก่อนุชนรุ่นหลงั ไวไ้ ดเ้ ป็นความภาคภมู ิใจในความเป็ นชาติ เอกลกั ษณ์ท่ีดีและควรสืบสานในสังคมไทย ๑. เป็นสังคมที่มีพระมหากษตั ริยเ์ ป็นประมุข สถาบนั พระมหากษตั ริยน์ บั วา่ เป็ นศูนยร์ วมจิตใจของคนไทยท้งั ชาติ กษตั ริยไ์ ทยแต่โบราณจนถึงปัจจุบนั ทรงเป็นผนู้ าประเทศใหพ้ น้ภยั ทานุบารุงประเทศชาติใหเ้ จริญรุ่งเรือง ๒. สังคมไทยเป็นสังคมเกษตรกรรม ซ่ึงเป็ นอาชีพหลกั มาแต่อดีตจนถึงปัจจุบนั ทาให้ คนไทยมีความผกู พนั กบั ธรรมชาติ มีความอดทน การร่วมมือร่วมใจ รู้จกั บุญของธรรมชาติและบุญคุณของแผน่ ดิน ๓. ครอบครัว เป็ นเอกลกั ษณ์ของสังคมท่ีความสัมพนั ธ์ท่ีแน่นแฟ้ น มีความผกู พนั เคารพในระบบอาวุโส ทาใหค้ นไทยมีความออ่ นนอ้ มถ่อมตน รู้จกั กาลเทศะ ๔. ศาสนา สังคมไทยมีศาสนาพทุ ธเป็นเครื่องยดึ เหน่ียวจิตใจมาแตอ่ ดีต และเป็นศาสนาที่คนไทยนบั ถือมากท่ีสุด หลกั ธรรมคาสอนของพระพุทธศาสนา สอนใหค้ นยดึ ถือทางสายกลางเช่ือในเร่ืองบาป บุญ คุณโทษ หลกั คาสอนของพระพทุ ธศาสนา มีความเป็นวทิ ยาศาสตร์ แมแ้ ต่ชาวตา่ งชาติกห็ นั มานบั ถือและบวชในพระพทุ ธศาสนากนั มาก ๕. ภาษา เร่ิมมาแตส่ มยั สุโขทยั โดยพอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราช ทาใหค้ นไทยมีภาษาไทยเป็นเอกลกั ษณ์ คนไทยจึงควรพดู และเขียนภาษาไทยใหถ้ ูกตอ้ ง เพ่ือสืบทอดใหล้ ูกหลานตอ่ ไป ๖. รักอิสระ หรืออาจใชค้ าวา่ ความเป็นไทย ไมข่ ้ึนกบั ใคร แสดงความเป็นเอกราช ซ่ึงเป็ นส่ิงสาคญั ที่ควรจะดารงไว้ ๗. ศิลปกรรม คือ ผลงานที่ช่างฝีมือไทยหรือศิลปิ นไทยไดส้ ร้างสมไวจ้ ากความรู้สึกนึกคิดหรือจินตนาการ แบ่งออกเป็ น ๕ ประเภท ดงั น้ี ๗.๑ จิตรกรรม (Painting) จิตรกรรมไทย หมายถึง ภาพที่แสดงถึงเร่ืองราว ตลอดไปถึงจนเขียนภาพลวดลายประดบั ตกแตง่ ในงานช่างต่างๆ ซ่ึงเป็นศิลปกรรมช้นั สูง และเพือ่ ใหเ้ กิดความงามในศิลปะตามคติของชาติ๗.๒ ประติมากรรมไทย หมายถึง งานป้ัน และแกะสลกั ที่จะตอ้ งนามาทาการหล่ออีกทีหน่ึง ซ่ึงเป็นงานฝีมือโดยมากมกั จะเป็ นงานป้ันเก่ียวกบั พระพทุ ธรูป มีต้งั แตข่ นาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ เครื่องใชแ้ ละเคร่ืองประดบั ต่างๆ

๗.๓ สถาปัตยกรรม (Architecture) สถาปัตยกรรม คือ อาคารส่ิงก่อสร้างต่างๆ เช่น อาคาร ตึก บา้ นเรือนพระราชวงั ตลอดจนอนุสาวรียใ์ หญๆ่ พรี ามิด สถูป เจดีย์ วหิ าร ปราสาท พระปรางค์ มณฑปอุโบสถ ดงั จะเห็นไดว้ า่ งานสถาปัตยกรรมมกั ควบคู่ไปกบั งานประติมากรรม ๗.๔ วรรณกรรม(Literature) วรรณกรรม คือ ท้งั ประเภทร้อยกลอง (โคลง ฉนั ท์ กาพย์ กลอน) และร้อยแกว้ คือ เรียงความธรรมดา รวมถึงการจดจาเร่ืองราวต่างๆ เช่น นิทาน ตานานดว้ ยวรรณกรรมที่เป็นอมตะ เช่นพระอภยั มณี ขนุ ชา้ งขุนแผน ๗.๕ นาฏศิลป์ และดุริยางดศิตกรรม คือ ดนตรีทุกประเภท รวมท้งั การร่ายรา นาฏศิลป์ และดนตรี หรือคีตกรรม คือ ดนตรีทุกประเภท รวมท้งั การร่ายราระบาต่างๆ เช่น โขน ลิเก ละครรา ราไทย การแสดงต่างๆ เป็ นตน้ ใบความรู้ที่1.1 เรื่อง ความหมายของวฒั นธรรมไทยความหมายและความสาคญั ของวฒั นธรรมไทย ความหมายของวฒั นธรรม การท่ีมนุษยร์ ู้จกั มาอยรู่ ามกนั เป็ นสงั คม และมีขนาดเพิม่ ข้ึนตามระยะเวลาและการเพ่มิ ข้ึนของประชากร จึงเกิดความจาเป็ นที่จะตอ้ งมีการจดั ระเบียบ มีการกาหนดกฎเกณฑข์ อ้ บงั คบั หรือแนวทางปฏิบตั ิตลอดจนขอ้ ตกลงตา่ งๆ ที่เก่ียวกบั การดารงชีวติ ข้ึนมาใชใ้ นแตล่ ะสังคม เพื่อใหเ้ กิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย ซ่ึงส่ิงต่างๆ ที่กาหนดข้ึนน้นั จะปรับเปลี่ยนไปตามสภาพสงั คมในแตล่ ะยคุ สมยั พร้อมกนั น้นั กจ็ ะมีการสืบทอดใหค้ นรุ่นหลงั ได้เรียนรู้และนาไปปฏิบตั ิกนั ต่อๆ มาจนกลายเป็นวฒั นธรรมของสงั คม วฒั นธรรม ตรงกบั ภาษาองั กฤษวา่ culture ที่มาจากรากศพั ทภ์ าษาละตินวา่ cult หรือCultura ที่หมายถึงการเพราะปลูกฝัง เมื่อแยกศพั ทจ์ ะเป็น การเพาะ หมายถึงการประดิษฐห์ รือการสร้างใหม่ และ การปลูก หมายถึง การปรุงแตง่ ใหเ้ จริญงอกงามยง่ิ ข้ึนวฒั นธรรมจึงเป็นผลงาน หรือสิ่งที่มนุษยไ์ ดส้ ร้างสรรคป์ รุงแต่งให้เหมาะสมตอ่ การดาเนินชีวิต จนเกิดเป็นความสุขสมบรู ณ์แห่งวถิ ีของมนุษยชาติ* วฒั นธรรม (culture) ตามความหมายในพจนานุกรม ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถานพทุ ธศกั ราช 2525 ใหไ้ ว้ คือ ลกั ษณ์ที่แสดงถึงความเจริญงอกงามแก่หม่คู ณะ หรือวถิ ีชีวติของหมคู่ ณะ

ส่วนในราชบญั ญตั ิวตั ิวฒั นธรรม พุทธศกั ราช 2485 ไดใ้ หค้ วามหมาย คาวา่วฒั นธรรมไวค้ ือ ลกั ษณ์ที่แสดงถึงความเจริญงอกงาม ความเป็นระเบียบเรียนร้อย ความกลมเกลียวกา้ วหนา้ ของชาติและศิลธรรมอนั ดีของประชาชน แตส่ านกั งานคณะกรรมการวฒั นธรรมแห่งชาติไดใ้ หไ้ ดค้ วามหมายไวว้ า่ วฒั นธรรมเป็นวถิ ีชีวติ ของมนุษย์ ที่เกิดจากระบบความสาคญั ระหวา่ งมนุษยก์ บั มนุษย์ มนุษยก์ บั สงั คม และมนุษยก์ บั ธรรมชาติ วฒั นธรรมมีท้งั สาระ และแบบที่ระบบความคิด วธิ ีการ โครงสร้างทางสงั คม สถาบนั ตลอดจนแบบแผนและทุกส่ิงทุกอยา่ งท่ีมนุษยส์ ร้างข้ึน ในความหมายของวชิ ามานุษยวทิ ยา และสังคมวทิ ยา ใหค้ วามหมายไวก้ วา้ งขวางมากวา่ วฒั นธรรมเป็ นแบบอยา่ งการดาเนินชีวติ ของมนุษยท์ ่ีเป็นกลุ่มสงั คมหรือหม่คู ณะ** สาหรับความหมายท่ีพระเทพเวที (ประยทุ ธ์ ปยตุ โต) ไดใ้ หไ้ ว้ คือ วฒั นธรรมเป็นผลรวมของการสงั่ สม สร้างสรรค์ ภูมิธรรม ภูมิปัญญาท่ีสืบทองต่อกนั มาของสังคมน้นั ๆหรือกล่าวส้นั ๆวา่ วฒั นธรรม คือ ประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถที่สังคมน้นั มีอยู่ หรือเน้ือตวั ท้งั หมดของสงั คมน้นั เอง* สรุปไดว้ า่ วฒั นธรรม คือ ส่ิงของหรือสญั ลกั ษณ์ตา่ งๆ ที่มนุษยส์ ร้างข้ึน เพื่อเป็นส่ิงท่ียดึ ถือปฏิบตั ิสืบทอดกนั มา เป็นส่ิงแสดงใหถ้ ึงความเจริญงอกงามของสังคมมนุษย์ เพราะแต่ละสังคมจะมีลกั ษณ์ของตนเอง และแตกตา่ งกนั ไปตามสภาพแวดลอ้ มของแตล่ ะสงั คม ความสาคญั ของวฒั นธรรม วฒั นธรรมถือเป็นมรดกทางสงั คม เพราะเป็นส่ิงท่ีมนุษยข์ ้ึนจากการเรียนรู้ส่งั สมประสบการณ์ แลว้ มีการถ่ายทอดต่อๆ มา ทาใหว้ ฒั นธรรมกลายเป็นเครื่องช้ีวดั ความเจริญของสังคม เป็นส่ิงท่ีกาหนดชีวิตความเป็นอยขู่ องมนุษยใ์ นสังคมดว้ ย ท้งั น้ีเพราะมนุษยใ์ นแต่ระยคุสมยั จะรู้จกั ปรับปรุง และพฒั นาวฒั นธรรมของตนใหเ้ หมาะสมกบั สภาพเหตุการณ์อยตู่ ลอดเวลาดว้ ยเหตุน้ีเองจึงทาใหม้ นุษยแ์ ตกต่างกนั ไปจากสัตวป์ ระเภทอ่ืน เพราะสามารถพฒั นาสังคม รวมท้งัสภาพความเป็นอยขู่ องตนเองใหก้ า้ วหนา้ ข้ึน จนสามารถมีอานาจเหนือสัตวอ์ ื่น ๆ ตลอดจนเอาชนะธรรมชาติบางอยา่ งได้ นอกจากน้ี วฒั นธรรมยงั เป็นสิ่งท่ีสร้างความเป็ นระเบียบเรียบร้อย ความเป็นหน่ึงอนั เดียวในสังคม เพราะวฒั นธรรมน้นั เป็ นแบบแผนของการดาเนินชีวติ ท่ีทุกคนจะตอ้ งปฏิบตั ิใหถ้ ูกตอ้ ง เพ่ือสร้างสันติสุขใหเ้ กิดข้ึนในสมยั ทาใหว้ ฒั นธรรมกลายเป็นสิ่งสาคญั และจาเป็นตอ่ การดาเนินชีวิตของมนุษยม์ ากมาย ดงั สรุปไดค้ ือ 1. เป็นเคร่ืองกาหนดพฤติกรรมของมนุษยใ์ นสังคม ทาใหว้ ฒั นธรรมกลายเป็นสิ่งสาคญัและ ยา่ งมีความสุข

2. เป็นส่ิงบ่งบอกความความเจริญกา้ วหนา้ และความมนั่ คงของสังคม สามรถแสดงความเป็นเอกลกั ษณ์ของสงั คมน้นั ๆไดช้ ดั เจน สร้างความผกู พนั ในสังคมใหแ้ น่นแฟ้ นไดเ้ ป็นอยา่ งดี 3. เป็นสิ่งท่ีช่วยในการดาเนินชีวิตสะดวกสบายข้ึน ท้งั น้ีเพราะมนุษยไ์ ดส้ ร้างส่ิงต่างๆ ข้ึนมาใชเ้ พ่อื ความเป็ นอยขู่ องตนเองใหด้ ีข้ึน โดยบางอยา่ วสามารถเอกชนะธรรมชาติ เช่น การสร้างเขื่อนเพ่ือกกั เก็บน้าไวใ้ ชใ้ นการขาดแคลนและสามารถผลิตพลงั งานไฟฟ้ า เป็นตน้ สาหรับพระราชบญั ญตั ิธรรม พ.ศ. 2485 แบ่งวฒั นธรรมออกเป็ น 4 ประเภท คือ  คติธรรม คือ วฒั นธรรมที่เก่ียวกบั หลกั ในการดาเนินชีวติ จิตใจ และศาสนา  เนติธรรม คือ วฒั นธรรมทางกฎหมาย และระเบียบประเพณีที่ยอมรับในสังคม  วตั ถุธรรม คือ วฒั นธรรมทางวตั ถุ เช่น โตะ๊ เกา้ อ้ี วทิ ยุ ฯลฯ  สหธรรม คือ วฒั นธรรมทางสงั คมที่ทาใหค้ นในสังคมอยรู่ ่วมกนั อยา่ งมีความสุขเช่น มารยาทในดา้ นตา่ งๆ การแตง่ การตามกาลเทศะ การแสดงความเคารพต่อกนั ในส่วนของนกั สังคมวทิ ยาบางท่านไดแ้ บ่งวฒั นธรรมออกเป็น 3 ประเภท คือ * 1. วฒั นธรรมทางแนวความคิด หมายถึง วฒั นธรรมที่เก่ียวกบั ความคิดเห็น ความเช่ือหรือความรู้สึกนึกคิด ซ่ึงอาจถูกหรือผดิ ก็ได้ เช่น เช่ือวา่ ทาดีไดด้ ี ทาชว่ั ไดช้ ว่ั 2. วฒั นธรรมทางบรรทดั ฐาน หมายถึง ระเบียบแบบแผนหรือประเพณีที่บุคคลในสงั คมยดึ ถือร่วมกนั ไดแ้ ก่ 2.1 วถิ ีชาวบา้ น (mores) คือ ระเบียบแบบแผนที่บุคคลในสังคม ควรจะปฏิบตั ิเช่น การตอ้ นรับแขก การบวชเพอ่ื ทดแทนบุญคุณบิดา มารดา เมื่อถึงวยั เป็นตน้ 2.2 จารีต (mores) คือ ระเบียบแบบแผนท่ีบุคคลในสังคม จะตอ้ งปฏิบตั ิ หากฝ่ าฝืนกจ็ ะถือวา่ ทาผดิ ทางศีลธรรม สังคมอาจรังเกียจหรือถูกปฏิเสธจากสังคม เช่น ทาร้ายหรือทอดทิ้งพอ่ แม่ ฉอ้ โกงหรือหลอกลวงประชาชนนอกจากน้ีลกั ษณะของความผดิ บางอยา่ งยงั ถูกลงโทษในทางกฎหมายดว้ ย 2.3 กฎหมาย (laws) คือ ระเบียบขอ้ บงั คบั ที่ทุกคนในสมยั ตอ้ งปฏิบตั ิหากฝ่ าฝืนจะถูกลงโทษตามขอ้ บงั คบั ของกฎหมายบา้ นเมืองเช่น การฆาตกรรม มีโทษต้งั แตจ่ าคุกถึงประหารชีวติ การทาร้ายร่างกาย มีโทษต้งั แตป่ รับ ถึงจาคุก เป็นตน้ 3. วฒั นธรรมทางวตั ถุ คือ สิ่งตา่ งๆ ที่มนุษยส์ ร้างข้ึนโดยสามารถสมั ผดั ไดจ้ ากการแตะตอ้ งและมองเห็น เพอื่ นามาใชเ้ ป็ นประโยชน์ตอ่ การดาเนินชีวิต 4. เป็นส่ิงท่ีช่วยใหเ้ กิดการพฒั นาความกา้ วหนา้ ทางเทคโนโลยแี ละนารายไดเ้ ขา้ประเทศ เพราะการประดิษฐ์คิดคน้ ส่ิงของบางอยา่ ง สามารผลิตเพื่อการจาหน่ายใหก้ บัประชาชนทว่ั ไปท้งั ภายในและภายนอกประเทศ มีการปรับปรุงสิ่งต่างๆ ใหท้ นั สมยั อยเู่ สมอ จนกลายเป็นเทคโนโลยใี นสงั คมปัจจุบนั ที่พฒั นาข้ึนไปเรื่อย ๆ

5. เป็นสิ่งท่ีทาใหร้ ะเบียบแบบแผน สร้างความสงบสุขใหก้ บั มนุษย์ เพราะ ทุกคนที่จะมีแบบแผนของการอยรู่ ่วมกบั ในสงั คมดว้ ยดีตามกฎเกณฑท์ ี่กาหนดข้ึน ประเภทของวฒั นธรรม วฒั นธรรม คือ ส่ิงท่ีมนุษยส์ ร้างข้ึน ซ่ึงมีอยมู่ ากมาย มีท้งั สิ่งเกี่ยวขอ้ งกบั การดาเนินชีวิตโดยตรงชีวติ โดยตรง และโดยออ้ ม ดงั น้ีจึงแบ่งวฒั นธรรมเป็ น 2 ประเภทใหญ่ๆ ดงั น้ี 1. วฒั นธรรมท่ีเป็ นวตั ถุ (material culture) หรือวฒั นธรรมท่ีเป็ นรูปธรรม ไดแ้ ก่ส่ิงของเคร่ืองใช้ และส่ิงประดิษฐต์ า่ งๆ ที่สามารถมองเห็นและแตะตอ้ งได้ เช่น อาคารบา้ นเรือนสิ่งก่อสร้างเส้ือผา้ อาหาร เครื่องใชไ้ ฟฟ้ า รถยนต์ เครื่อง ฯลฯ ส่ิงท่ีเป็ นวตั ถุเหล่าน้ีบ่อบอกถึงความเป็นวฒั นธรรมของแตล่ ะสงั คมไดเ้ ป็นอยา่ งดี เช่น การสร้างบา้ นเรือนของแต่ละสังคมไดเ้ ป็นอยา่ งดี เช่นการสร้างบา้ นเรือนของแต่ละสงั คมจะมีรูปแบบและใชว้ ตั ถุในการก่อสร้างแตกตา่ งกนั ไปตามลกั ษณะของทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ มที่เป็นอยู่ 2. วฒั นธรรมท่ีไมใ่ ช่วตั ถุส่ิงของ(Non – Material culture) หรือวฒั นธรรมท่ีเป็นนามธรรม คือ ส่ิงท่ีไมม่ ีตวั ตน จบั ตอ้ งไม่ได้เป็นนามธรรม คือ สิ่งท่ีมีตวั ตน จบั ตอ้ งไมไ่ ดส้ ่วนใหญจ่ ะเป็นลกั ษณะพฤติกรรม และแนวคิด อุดมการณ์ของมนุษย์ ไดแ้ ก่ 2.1 คา่ นิยม คือ สิ่งที่สังคมยอมรับวา่ เป็ นส่ิงดีงาม ถูกตอ้ งและเหมาะสม สมควรที่จะยดึ ถือปฏิบตั ิเช่น คา่ นิยมในการยกยอ่ งผมู้ ีความรู้ ค่านิยมในการนบั ถือผอู้ าวุโส เป็นตน้ 2.2 ความเช่ือ คือ ความผดิ ที่มนุษยย์ อมรับและเช่ือถือ อาจเป็นความคิดท่ียอมรับกนั ทวั่ ไปหรือเฉพาะบางกลุ่มบางสังคม ส่วนใหญ่มกั จะเป็นความชื่อถือ เกี่ยวกบั ศาสนาวญิ ญาณ ส่ิงศกั ด์ิสิทธ์ิหรือโชคลาง เป็ นตน้ ลกั ษณะของวฒั นธรรม ทุกสงั คมคมจะมีลกั ษณะของวฒั นธรรมแตกต่างกนั ไปตามสภาพแวดลอ้ ม แตล่ กั ษณะที่ เหมือนกนั ของทุกวฒั นธรรม ไดแ้ ก่ 1. เป็นท่ีเกิดข้ึนจากการเรียนรู้ วฒั นธรรมไมไ่ ดเ้ กิดข้ึนเองตามธรรมชาติ มนุษยจ์ ะตอ้ ง เรียนรู้สิ่งตา่ งๆ ดว้ ยตวั เอง หรือตอ้ งไดร้ ับการส่ังสอน อบรม ถ่ายทอดจากบุคคล สังคมและส่ิงแวดลอ้ ม ซ่ึงการเรียนรู้น้นั อาจจะไดจ้ ากการเรียนรู้ในระบบและนอก ระบบโรงเรียน ต้งั ใจ และ ไม่ต้งั ใจ เช่น มนุษยจ์ ะปลูกขา้ ว เล้ียงสัตว์ ปลูกบา้ น ทอ

ผา้ หรือแสดงพฤติกรรมตา่ ง ๆ ออกมาไดน้ ้นั จะไดเ้ รียนรู้มาก่อน ท้งั จารดกการสอน อบรม กระทาเป็นแบบอยา่ งจาก พอ่ แม่ ญาติ พ่ี นอ้ ง หรือ จากประสบการณ์ท่ีพบ เห็นจากสังคม ส่ิงตา่ งๆ น้ีจากประสบการณ์ท่ีพบเห็นจากสังคม ส่ิงต่าง ๆน้ีเองทาใหม้ นุษยแ์ ตกตา่ งจากสัตวเ์ พราะพฤติกรรมของสัตวน์ ้นั ส่วนใหญ่เกิดจาก สัญชาตญาณ แต่มนุษยม์ ีพฤติกรรมท่ีเกิดจากการเรียนรู้ ท้งั น้ีเพราะ มนุษยม์ ีสมอง จึงรู้จกั คิด รู้จกั ที่จะพฒั นาปรับปรุงสิ่งที่ไดเ้ รียนรู้มาให้เกิดคุณภาพหรือประโยชนแ์ ก่ตนเองและสังคม 2. เป็นส่ิงที่มนุษยส์ ร้างข้ึน เพ่ือใชเ้ ป็นเคร่ืองอานวยประโยชนใ์ นการดาเนินชีวิตและสิ่งท่ีถือเป็นวฒั นธรรมน้ีไมใ่ ช่เป็นของบุคคลใดบุคคลหน่ึง แต่เป็นทุกคนในสงั คมที่จะช่วยกนั สร้างสรรค์ และปรับปรุงใหย้ งั คงมีอยรู่ ่วมกนั ตอ่ ไป หากบุคลใดประดิษฐค์ ิดคน้ สิ่งใดแต่มิได้เปิ ดเผยหรือใหผ้ อู้ ื่นมีสิทธิร่วมใชแ้ ละเรียนรู้ส่ิงน้นั จะไม่จดั เป็นวฒั นธรรม 3. เป็นมรดกของสังคม วฒั นธรรมเป็นส่ิงท่ีบ่งบอกถึงความยงิ่ ใหญ่ และความเจริญกา้ วหนา้ ของสังคม ชาติใดสังคมใดมีวฒั นธรรมเป็ นของตนเองและสืบทอดมาชา้ นาน ยอ่ มสร้างความภาคภูใจใหส้ งั คมในสมยั น้นั ๆ ประเทศไทยก็เป็นชาติหน่ึงที่มีวฒั นธรรมสืบทอดยาวนานเป็นของตนเอง การที่ถือวา่ วฒั นธรรมเป็นมรดกของสงั คม เพราะมีการถ่ายทอดกนั มา ซ่ึงเคร่ืองมือที่มนุษยถ์ ่านทอดความเจริญกา้ วหนา้ สู่รุ่นต่อๆ กนั ไปไดค้ ือ ภาษา และภาษายงั ช่วยให้มนุษยแ์ สดงถึงความรู้สึก รู้จกั และเขา้ ใจบุคคลอื่นได้ ภาษาจึงเป็นส่วนประกอบท่ีสาคญั และใชก้ นัอยใู่ นทุกวฒั นะธรรม หากไม่มีภาษาจะไมม่ ีวฒั นธรรมใหส้ ืบทอดมาจนทุกวนั น้ี 4. เป็นวถิ ีชีวติ หรือแบบแผนการดาเนินชีวติ การดาเนินชีวติ ของบุคคลในแต่ละสังคมจะแตกตา่ งกนั ไปสภาพภมู ิศาสตร์ และทรัพยารกส่ิงแวดลอ้ ม ดงั น้นั วฒั นธรรมที่เกิดข้ึนในแต่ละสังคมจะแตกตา่ งกนั ไป แตล่ ะสังคมก็จะมีวฒั นธรรมเฉพาะของตนเอง ตาละบุคคลกจ็ ะเรียนรู้วฒั นธรรมของตนเอง ซ่ึงจะเปล่ียนแปลงไปตามเวลา และสถานการณ์ของสงั คม เช่น วฒั นธรรมดา้ นการแต่งกาย การประกอบอาหาร การประอาชีพ ฯลฯ ในสมยั กรุงสุโขทยั กจ็ ะแตกตา่ งกนัสมยั อยธุ ยา และกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นตน้ การที่วฒั นธรรมในการดาเนินชีวติ ของแตล่ ะสงั คมแตกต่างกนั กเ็ พราะความเหมาะสมของแต่ละสังคม ไมส่ ามารถนาวฒั นธรรมมาเป็ นเคร่ืองช้ีวดั ไดว้ า่ งวฒั นธรรมของใครดีกวา่ ของใครหรือดูถูกวฒั นธรรมอื่นวา่ ลา้ หลงั กวา่ ของตนได้ นอกจากบุคคลในสงั คมตา่ งยอมรับวา่ น่าจะนาเอาวฒั นธรรมจากสงั คมอ่ืนที่จะเป็นประโยชน์มากข้ึนมาใชก้ บั สงั คมตน เช่น ในสมยั กรุงรัตนโกสินทร์ให้ขนุ นาง ขา้ ราชการ และประชาชนเปล่ียนมาสวมเส้ือเขา้ เฝ้ าได้ เพราะทาใหด้ ูเป็นระเบียบเรียนร้อยมากข้ึน หรือการใหป้ ระชาชนเลิกกินหมา ซ่ึงเป็นผลดีของสุขภาพของประชาชนเองเป็ นตน 5.เป็นส่ิงท่ีมีการเปลี่ยนอยเู่ สมอ การท่ีสภาพสังคมมนุษยเ์ ปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา จึงเป็นส่ิงท่ีมนุษยจ์ ะตอ้ งมีการประดิษฐค์ ิดคน้ ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงและพฒั นา

สิ่งตา่ งๆ ใหท้ นั สมยั หรือเกิดข้ึนมาใหม่ เพอ่ื ความเหมาะสมกบั สภาพความเป็นอยู่ และตอบสนองความตอ้ งการของตนได้ เช่น วธิ ีการเพราะปลูกแบบดงั่ เดิมท่ีใชแ้ รงงานคน และสัตวอ์ ยา่ งเดียวน้นัไมเ่ หมาะสมกบั สภาพปัจจุบนั จึงมีการประดิษฐค์ ิดคน้ เทคโนโนยเี คร่ืองมือใหม่ๆ มาใชใ้ นการเพาะปลูก เพ่ือใหไ้ ดผ้ ลผลิตที่เพ่มิ ข้ึน และประสิทธิภาพสูงข้ึนดว้ ย ดงั น้นั การเปล่ียนแปลงของวฒั นธรรมในสงั คมจึงเกิดข้ึนตลอดเวลา ส่ิงใดไมด่ ี หรือลา้ นสมยั จะถูกทิ้งไป ส่ิงใดดีกย็ งั ควรรักษาไว้ หรือมีการปรับปรุงข้ึนมาใหม่อยเู่ สมอ วฒั นธรรมจึงไม่ใช่ส่ิงที่ตายตวั แตต่ อ้ งเป็ นส่ิงที่มีการเปล่ียนแปลงและปรับตวั อยเู่ สมอ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook