Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิถีประแส

วิถีประแส

Published by Komsan Kongeam, 2021-02-15 03:32:29

Description: รู้จักชุมชนประแส เล่มที่ 1 เรื่อง วิถีประแส

Keywords: ชุมชน , ประแส

Search

Read the Text Version

ก คาํ นาํ เอกสารประกอบการเรยี นรู้ชุมชนปากนา้ ประแส เล่มที่ 1 เร่ือง วถิ ีประแส ฉบับนี ได้จดั ทา้ ขนึ เพื่อเปน็ คู่มือประกอบการเรยี นเกย่ี วกับแหลง่ เรยี นรใู้ นชมุ ชน ( Learning Space) ในเรือ่ งของประวัตศิ าสตร์ชุมชนปากน้า ประแสตงั แต่อดีต ซึ่งประกอบด้วย ร่องรอยทางประวัตศิ าสตร์ อาชีพหลักของชาวปากน้าประแส ความเชื่อ ประเพณีและวัฒนธรรม ความสัมพันธข์ องกลุ่มคนในชุมชน ตังแต่ในสมัยอดีตจนถงึ ปัจจุบนั คณะผู้จดั ท้าได้เล็งเห็นถงึ ความส้าคญั ของการเรียนรเู้ รอื่ ง วิถปี ระแส และหวงั เปน็ อยา่ งยิ่งว่าเอกสาร ประกอบการเรยี นรู้นี จะเปน็ ประโยชน์แกน่ ักเรยี นและผ้ทู ี่สนใจไดใ้ ช้เป็นแหล่งศึกษาคน้ คว้า อ้างองิ ให้เกดิ ประโยชน์ได้ตามความเหมาะสม และให้คนรนุ่ หลงั ไดเ้ รยี นรรู้ ากเหง้าของตนเองต่อไป คณะผู้จดั ท้า คมู่ อื รจู้ ักชมุ ชนประแส เล่มที่ 1 เร่อื ง วถิ ปี ระแส โรงเรียนชมุ ชนวัดตะเคียนงาม

สารบัญ ข หน้า เร่อื ง ก คา้ นา้ ข สารบญั 1 ประแสเม่ืออดีต 3 สยามนิ ทร์ 3 4 ประแส 4 ต้าบลปากนา้ ประแส 5 ลกั ษณะการสร้างบ้านเรอื น 5 สว้ ม 6 นา้ 6 การเลียงสกุ ร 7 โรงมหรศพ 9 นต.สมพงษ์ หิรโิ อตัปปะ 9 สภาพเชอื ชาติ 11 อาชีพ 15 การคมนาคม 15 การแต่งกาย 15 แสงสว่าง 16 นา้ 17 ท่ีมาค้าวา่ ประแส, กระแส 18 บา้ นแหลมเทยี่ งแหลง่ โบราณคดียุคสโุ ขทัย 18 การเดนิ ทางเข้าแหลง่ โบราณคดี 18 สภาพทวั่ ไปของแหลง่ โบราณคดี 20 หลักฐานทางโบราณคดี 20 ขอ้ สันนิษฐาน 21 ความเกา่ แก่ของเมืองแกลง 22 สถานทตี่ งั 22 เศรษฐกิจ 27 อาชีพสา้ คัญในอดตี 34 กวา่ จะเป็นอนุสาวรยี ์สุนทรภู่ 37 เม่ือพระอภัยมณเี ปา่ ป่ี 54 ภาคผนวก 55 เอกสารอา้ งองิ คณะผูจ้ ดั ท้า คู่มอื รู้จักชมุ ชนประแส เล่มท่ี 1 เร่ือง วิถปี ระแส โรงเรียนชุมชนวดั ตะเคยี นงาม

1 ประแสรเ์ มอ่ื อดีต ประแส เปน็ ชุมชนโบราณแหง่ หน่ึงของจังหวัดระยอง ไม่มีหลกั ฐานวา่ ชมุ ชนนก้ี ่อตั้งมาตัง้ แต่เม่อื ใด แต่สันนิษฐานว่า น่าจะมมี าแลว้ ต้ังแต่สมยั กรุงศรีอยธุ ยา ซึ่งจะเหน็ ได้จากหนงั สือตานานพระอาราม และทาเนียบ สมณะศักด์ิทว่ี า่ “เมืองประแสเป็นเมอื งทไี่ ม่มีพระครู ส่วนเมืองแกลงเป็นเมืองท่ีมพี ระครู ถ้าเช่ือตามหลักฐาน ดงั กล่าวก็หมายความว่า ประแสในปจั จุบันนี้ในสมยั กรุงศรีอยุธยาก็มสี ภาพเป็นเมืองมาแลว้ ” ภาพ : ปากแม่นา้ ประแสสมัยอดีต ประแส นับได้ว่าเป็นสถานท่สี าคัญทางประวัตศิ าสตร์อีกแห่งหนงึ่ ของประเทศไทย เพราะในอดตี ประแส ไดม้ ีโอกาสได้รบั เสดจ็ พระมหากษตั ริยผ์ ู้ย่ิงใหญ่หลายพระองค์ กล่าวคอื สมเด็จพระเจา้ ตากสนิ มหาราช พระมหากษัตริย์ผู้ทรงกอบกู้เอกราชของชาติไทยจากการเป็นเมืองขึ้นของพมา่ พระองค์ได้เสดจ็ มาประแส ดังความ ในราชพงศาวดารกรุงธนบรุ ี ฉบบั พันจันทรป์ ทุมมาศ (เจิม) วา่ “ปีจอ อฐั ศก (จ.ศ.1128 พ.ศ.2309) .............” ณ วนั อาทิตย์ แรม 1 คา่ เดือน 4 เมอ่ื เสด็จสถิตอยู่ ณ เมืองระยองนน้ั หมรู่ าชปัจจามติ รซง่ึ แตกไปจาก เมืองระยองลอบเข้ามาลกั โค กระบือ ช้าง มา้ ไปเนือง ๆ จึงตรัสวา่ อ้ายเหลา่ นีเ้ รากรุณามันวา่ เปน็ ขา้ ขอบขัณฑสมี า จะใคร่ทะนบุ ารุง จงึ มิได้กระทาอนั ตราย มันก็มิไดอ้ ่อนนอ้ มยังจะมาคดิ ประทษุ รา้ ยอีกเล่า ทง้ั นีก้ เ็ ป็นผลวบิ ากให้ เกดิ เป็นคนอาสัตย์อาธรรม ฉะนจ้ี ะละไว้มิได้จึงเสด็จกรธี าพลทหารออกจากเมืองระยองไป ณ บ้านประแส บ้านไข้ บ้านคา บา้ นกล่า บ้านแกลง อา้ ยขุนรามหมื่นส้องตั้งอยูน่ นั้ ครน้ั เพลาอุษาโยคจงึ ทรงเคร่ืองราชภษู ติ สาหรับ ราชรณยุทธสงครามเสรจ็ เสดจ็ นาพลทหารเขา้ ไลก่ ระโจมฟันแทง ยิงปืนใหญน่ ้อยให้เหลา่ ร้ายแตกตื่นหนีไป และ อา้ ยขนุ รามหม่ืนสอ้ งหนีไปอยู่ด้วยพระยาจันทบรู ณ์ จบั ได้แต่ทหารหมนื่ ส้อง นายบุญมี บางเห้ีย นายแทน นายเมือง พม่า นายสน หมอ นายบญุ มีบุตร นายสน และครอบครัว ชา้ ง มา้ โค กระบือ ลอ้ เกวยี น ซง่ึ อา้ ยเหล่ารา้ ยลักไปไว้ แตก่ อ่ นเปน็ อันมาก แล้วเสดจ็ ยกพลนกิ ายกลับมาเมอื งระยอง บารงุ ทแกว้ ทหารรวบรวมเครือ่ งสรรพาวุธปนื ใหญ่ นอ้ ย เกลี้ยกล่อมอาณาประชาราษฎรอันแตกตนื่ ออกไปอยู่ ณ ปา่ ดงไดเ้ ปน็ อันมาก.... คู่มือรูจ้ กั ชมุ ชนประแส เลม่ ท่ี 1 เรอ่ื ง วิถปี ระแส โรงเรยี นชมุ ชนวัดตะเคยี นงาม

2 ครัน้ ณ วันพฤหัสบดี เพลาเช้าอุษาโยค ยามพฤหสั บดี ตรสั ให้ยกพลนิกายสรรพด้วยเครื่องสาตราวธุ ออก จากเมืองระยอง พระสงฆ์ 4 รปู นาเสดจ็ มาประทบั รอนแรมโดยระยะทาง 5 วนั ถงึ บา้ นพลอยแหวน ครัน้ ณ วันจันทร์ จงึ ยกเขา้ มาใกล้เมืองจนั ทบรู ” พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั พระองคไ์ ด้ เคยเสดจ็ ประพาสประแสเมือ่ ปี พ.ศ.2427 ดงั ความในพระราชหัตถเลขา ดังนี้ ทลู สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอเจา้ ฟา้ กรมพระบาราบปรปักษ์ ถงึ ท่านกลาง ถึงคุณสุรวงศวัยวัฒน์ และพระ บรมวงศานุวงศ์ ขา้ ราชการผู้อยู่รกั ษาพระนครให้ทราบดว้ ยตง้ั แต่ฉนั ออกจากกรุงเทพฯ มาพกั นอนทีป่ ากอ่าว คืนหน่งึ ครั้นรงุ่ ขึ้นออกเรือมา เวลาบ่ายหยุดนอนท่ชี อ่ งแสมสารคนื หนงึ่ ภาพ : พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อย่หู วั เสดจ็ ประพาสประแสเม่ือปี พ.ศ.2427 รุ่งขน้ึ ออกเรือมาหยุดท่ปี ากแกลง เวลากลางวนั ลงเรือเลก็ ไปขนึ้ ทปี่ ลายแหลมตรงปากคลองแกลง ซึ่งเขา ทาปราใบไมไ้ วร้ ับ ไดเ้ หน็ ตัวอยา่ งเสาโทรเลขซงึ่ เขาลงมอื ปักบา้ งแล้ว เวลาเย็นเดนิ ตามหาด ซึ่งเป็นหาดกว้างใหญ่ แลว้ กลับมาเรอื พกั นอนอยู่ทน่ี ่ันคนื หนึง่ รุ่งขนึ้ 1 ฯ 10 3 ค่า ออกเรือมาทอดทีต่ รงปากนา้ พแส ซ่งึ เปน็ ทพี่ ระแกลงแกล้วเกล้าอยู่ ลงเรือเล็ก เรอื กลไฟ ลากเขา้ ไปดูลานา้ พแสจนตลอดพ้นหมบู่ า้ น คนมบี า้ นเรือนติดๆ กันประมาณร้อยหลังเรอื น ต่อเขา้ ไปข้างในเขาวา่ ยงั มี บา้ นเรอื นอีกมาก แต่เป็นหนทางไกลหาได้ไปไม่ กลบั ออกมาพักท่หี ัวแหลมซง่ึ เมอื งแกลงทาค้างไว้ พ้นปราใบไม้ทีเ่ ขา ทาไว้รบั ท่นี น้ั เหน็ วา่ ภมู ฐิ านงาม จงึ ได้สัง่ ให้สร้างทาขึ้นประกอบกบั พระเจดยี ์เดิมให้ชื่อไว้วา่ วดั สมมตเิ ทพฐาปนาราม ที่ต่อขน้ึ ไปข้างเหนือจะทาเปน็ ทีโ่ รงทหารสาหรบั ได้รักษาสลัดโจรผู้รา้ ย ด้วยในระยะนเี้ ป็นท่ีเปล่ยี วยา่ นห่าง แตก่ ่อนเคย มสี ลัดทารา้ ยเรืออยบู่ ้าง ซง่ึ ได้จัดการรกั ษาให้แขง็ แรง เวลาบ่ายออกจากปากนา้ พแส...... เขยี นในเรอื พระทนี่ ั่งเวสาตรีท่ีแหลมสงิ หป์ ากนา้ จันทบุรี วัน 2 ฯ 11 3 คา่ ปวี อก ฉศก 17 ศกั ราช 1246 คมู่ อื รู้จกั ชุมชนประแส เลม่ ท่ี 1 เรื่อง วิถปี ระแส โรงเรยี นชุมชนวัดตะเคยี นงาม

3 สยามนิ ทร์ (1) สมเดจ็ พระเจ้าน้องยาเธอเจา้ ฟ้าจาตรุ นตรัศมี กรมหลวงจักรพรรดิพงศ์” วนั อาทิตย์ ขนึ้ 10 ค่า เดือน 3 ตรงกับวนั ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2427 แสดงว่าเสดจ็ ปากคลองแกลง ปจั จบุ นั เป็นทอ้ งที่ หมู่ 6 ตาบลแกลง อาเภอเมืองระยอง เม่ือวนั เสาร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2427 สว่ นหาดทีเ่ สดจ็ พระราชดาเนินในตอนเย็น น่าจะคือหาดสวนสนในปัจจุบัน และเสด็จปากน้าประแสเม่ือวันอาทิตยท์ ่ี 25 มกราคม 2427 นอกจากโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ร้างวัดสมมติเทพฐาปนารามทปี่ ากน้าประแสแล้ว ตอ่ มาภายหลังยงั ได้พระราชทาน สิ่งของตา่ ง ๆ แกว่ ัดสมมติเทพฯ ดว้ ย กล่าวคอื ตู้พระไตรปิฎก พรอ้ มดว้ ยหนังสอื พระไตรปฎิ ก 1 ชุด ธรรมาสนล์ าย รดน้า 1 ธรรมาสน์ โต๊ะหมู่บชู าลายทอง 1 ชดุ พระบรมรปู พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั หล่อดว้ ยสาริด 1 องค์ ถุงย่ามเสดจ็ ประพาสยุโยป 1 ใบ (ปจั จบุ ันสูญหาย) และตะเกยี งโคมแขวน 1 ดวง พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยูห่ ัวองคป์ ัจจบุ ัน เคยเสด็จปากน้าประแสเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ.2512 เพื่อทรงประกอบพิธีเปดิ ศาลกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักด์ิพระบดิ าแหง่ ราชนาวไี ทย ภาพ : เสดจ็ ปากนา้ ประแสเม่ือวนั ท่ี 19 ธนั วาคม พ.ศ.2512 ประแส จึงเป็นสถานท่ีท่ีเก่าแก่ท่มี ปี ระวัตศิ าสตร์อันเก่ยี วเนื่องกับพระมหากษตั ริย์ไทยหลายพระองค์ สมควร แลว้ ทชี่ าวประแสทกุ ๆ คน น่าทีจ่ ะภาคภมู ใิ จ สภาพของปากน้าประแสในอดตี จะมีสภาพอยา่ งไร ท่านผู้อ่านคงจะได้อ่านพระราชหัตถเลขาของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจา้ อยหู่ วั จะเห็นไดว้ ่าในปี พ.ศ. 2427 หรอื เมื่อรอ้ ยกวา่ ปมี าแลว้ ชุมชนปากนา้ ประแสนัน้ เป็นชุมชนขนาดใหญ่แลว้ มบี า้ นเรือนหลายร้อยหลังคาเรือน แตเ่ พื่อให้ทา่ นผู้อ่านไดเ้ ห็นสภาพของชมุ ชน ปากน้าประแสใหม้ ากกว่านี้ ผู้เขียนขอยกเอารายงานการตรวจราชการของสาธารณสขุ มณฑลจนั ทบุรี ลงวันท่ี 3 กรกฎาคม พ.ศ.2473 ซง่ึ การตรวจราชการดงั กลา่ ว ได้ให้ขอ้ มูลเก่ียวกับสภาพความเป็นอยู่ของชาวปากนา้ ประแส เมื่อ 73 ปี มาแล้ว ได้เปน็ อย่างดี ดงั ต่อไปนี้ คู่มอื รูจ้ ักชุมชนประแส เล่มที่ 1 เรอ่ื ง วิถปี ระแส โรงเรยี นชมุ ชนวัดตะเคียนงาม

4 ภาพ : ลกั ษณะการปลกู สร้างบา้ นเรอื นในสมัยอดตี ตา้ บลปากนา้ ประแส ตง้ั อย่ใู นคลองประแส ฟากทางทิศเหนือหา่ งฝั่งทะเลประมาณ 10 เส้น ลักษณะการปลกู สรา้ งบ้านเรือน ตาบลนเ้ี ปน็ ตลาดประชมุ การคา้ ขายหนาแนน่ บา้ นราษฎรต้งั อยสู่ องฟาก สะพานแลถนน เปน็ ตอนๆ ยางประมาณ 12 เส้น ตาบลนอ้ี ยูช่ ายนา้ จงึ ตอ้ งอาศัยสะพานเป็นส่วนมาก นบั ว่าจงั หวัด ระยองนอกจากตาบลท่าประด่ทู ีต่ ั้งจงั หวัดแลว้ ตาบลปากนา้ ประแสเปน็ ท่ปี ระชุมการค้าขายและบ้านเรอื นราษฎร มากกวา่ ทใี่ ด ๆ ท้ังหมด ตามสามะโนครัวทสี่ ารวจเมอื่ ปี 2472 มพี ลเมอื งชาย 899 คน หญิง 777 คน รวม 1,776 คน มีบา้ น 257 บา้ น แตห่ นา้ เสยี ดายการปลูกสร้างบา้ นเรอื นไม่ได้ลักษณะสุขาภบิ าลเสยี เลย บางตอน ปลูกชดิ ถนนเหลือทวี่ ่างบนถนนเพียง 1 เมตรเศษ ๆ มดื ทบึ อับมาก และทั้งสะพานที่ผคู้ นสัญจรไปมาต่างทางเดนิ ก็ชารุดทรดุ โทรมมากน่าเกรงอนั ตรายในการเดนิ มาก เพราะอาจตกสะพานด้วยสะพานไม่เรยี บร้อยและไม่แขง็ แรงพอ ทง้ั มรี ะยะยาวผู้คนสญั จรไปมามาก นอกจากน้ีมีถนนตัดใหม่อกี สายหนง่ึ ซ่ึงบุคคลได้ทาข้ึนไปทางโรงสีพระแกลงแกล้ว กล้า มรี ะยะยาวไมน่ ้อยกว่า 10 เส้น กว้าง 2 ศอกเศษ ถนนนพี้ ง่ึ มบี ้านเรือนปลูกสร้างเพียง 2 – 3 บ้าน เช่น บ้านนายถุงใหญ่ พูนศิลป์ กาลงั ปลกู รกุ ล้าเข้ามา ข้าพเจ้าไดแ้ จ้งแตน่ ายจัน ฉายารักษ์ ปลัดซ้ายอาเภอแกลงให้วา่ กล่าว เจ้าของบ้านให้รน่ ถอยขยบั นอกชานเข้าไป ถนนสายนี้นับว่ายังพอจะแกไ้ ขใหด้ ีได้ เพราะยังมเี นื้อที่ข้าง ๆ ถนนอีกมาก หนา้ ท่ีผู้ปกครองท้องทจี่ ะต้องวางหลักแนวขยายเขตถนนให้กว้างอย่างน้อย ๔ วาขึ้นไปกับอย่าให้ผใู้ ดปลูกรกุ ลา้ หลวงแกลงแก้วกล้า ผวู้ ่าราชการเมืองแกลง คมู่ อื ร้จู ักชุมชนประแส เล่มท่ี 1 เรอ่ื ง วิถปี ระแส โรงเรยี นชมุ ชนวัดตะเคยี นงาม

5 สว้ ม ราษฎรโดยมากถา่ ยลงคลองเพราะนา้ เคม็ นา้ อัตคัดมากอย่างทส่ี ุดเพราะพลเมืองก็มากและพนื้ ท่ีขุดน้าก็ไม่ได้น้าจืดรับประทานเพราะพ้ืนทน่ี า้ ทะเล ขน้ึ ถึง นา้ รับประทานต้องไปตัก ตาบลคลองปูนห่างไกลตัง้ ๒ ชั่วโมง มีผู้อาชพี ในทางบรรทกุ น้าขายหาบละ ๑๐ สตางค์ นา้ ทีบ่ รรทุกมาน้ไี ดม้ าจากบ่อ ตาบลคลองปนู ข้าพเจ้าได้พจิ ารณานา้ ท่ีขายใสจืดดี ถามผตู้ ักนา้ วา่ บ่อเปน็ อยา่ งไร ได้รบั ตอบว่าเปน็ บอ่ ดินปนหิน ลกั ษณะของบ่อกเ็ ป็นบ่อธรรมดาตามชาวบา้ น ใชไ้ ม่ถูกต้องลักษณะสขุ าภบิ าล นอกจากนยี้ งั มบี ้านนายสาเภา วานชิ รัตน์ พอ่ คา้ ไดจ้ ัดทาถงั ซีเมนต์ เกบ็ นา้ ฝนไวใ้ ชข้ นาดถังกวา้ ง 3 เมตร ๕๐ เซน็ ต์ ยาว 6 เมตร เป็นถังหลอ่ คอนกรีต มีก๊อกเปดิ ปิดนา้ ใชน้ ับว่าเรยี บรอ้ ยดี นายสาเภา วานิชรัตน์ ชี้แจงวา่ ถงึ นา่ ฤดูแลง้ นา้ ท่นี ข่ี ายได้หาบละ ๒๐ - ๒๕ สตางค์ กบั มที ี่เก็บนา้ ท่วี ัดตะเคยี นงามอีกแห่งหน่ึง หลอ่ คอนกรีตหนา ๑๗ เซน็ ต์ กว้าง ๓ เม็ตร์ ๓๘ เซ็นต์ สงู ๓ เมต็ ร์ ๒0 เซน็ ต์ นบั ว่าทาถูกแบบดี และพระครูพิพัฒธรรมขันธ์ เจ้าอาวาสวัดแหลมสน ตาบลประแส ไดป้ รารภต่อใต้เท้ากรณุ าขอใหช้ ่วยจดั การ เร่ียไรเงนิ จัดทาถงั นา้ สาหรับใชใ้ นวัด ใต้เทา้ กรณุ าได้ส่ังให้ ขุนการญุ ประศาสน์ ปลดั ขวาอาเภอแกลง ให้เรีย่ ไรเงินจัดทาถังน้าน้ี เมอื่ ได้เงินพอสมควรใหบ้ อกไปมณฑลจะได้ส่ง แผนผงั ไปให้ เรอ่ื งราษฎรตาบลประแสอตั คัตนา้ นายสาเภา วานิชรัตน์ ได้กราบเรียนหารือใต้เท้ากรุณาแลว้ ว่า ควรจะคิด ทาประปา เอาน้าจากบอ่ ปากดง ตาบลคลองปูน ซ่ึงเป็นบอ่ ที่สะอาดและมนี า้ มาก ระยะทางจากประแสถงึ บ่อราว ๑๕๐ เสน้ เศษ นายสาเภา วานชิ รัตน์ เคยคิดจะลงมือทาแต่กาลงั ทรัพย์ไม่พอ ข้าพเจา้ คิดเห็นวา่ สาหรับตาบลประแส ในเร่อื งน้าเปน็ สาคญั ทีส่ ดุ หน้าที่จะคิดหานา้ ท่ีบรสิ ุทธิ์ไว้ใหร้ าษฎรใชใ้ ห้พอเพยี ง และตามความคดิ ทจ่ี ะทาประปาน้ัน ข้าพเจ้าเหน็ ว่าเป็นการจาเป็นอย่างยิ่ง ถ้ารฐั บาลจะส่งผ้ชู านาญไปตรวจ เมื่อเห็นความจาเป็นและทง้ั นา้ ท่ีจะส่งมาใช้ ดีแลบรบิ ูรณ์แลว้ ก็ควรจดั ทาขึ้น ราษฎรจะปลอดภยั อันเปน็ ลาภอยา่ งประเสรฐิ และทงั้ เงินรัฐบาลทีล่ งไปก็ไม่สญู ภาพ : บอ่ ดา่ น เปน็ บอ่ น้าใชส้ าธารณะของชาวปากนา้ ประแสจากอดีตถึงปจั จุบัน คู่มอื รูจ้ ักชมุ ชนประแส เลม่ ท่ี 1 เรอื่ ง วิถปี ระแส โรงเรียนชุมชนวัดตะเคียนงาม

6 การเลยี งสกุ ร ราษฎรมักปลอ่ ยสุกรตามถนนหนทาง ถา่ ยมูลออกมาเปน็ ทน่ี ่ารงั เกียจ ชาวตลาดไดร้ ้องทกุ ข์ ขอให้จดั การห้ามปราม ภาพ : การเลีย้ งสกุ ร โรงมหรศพ มโี รงมหรศพ ๑ โรง เปน็ ของหมนื่ พรเจรญิ พงษ์ แตเ่ ช่าท่ี นายสาเภา วานชิ รัตน์ ลักษณะโรงมหรศพ ยาว ๑๑ วา กวา้ ง ๗ ศอกเศษ สูง ๘ ศอก หลงั คาจาก ไม่ได้ลกั ษณะสุขาภิบาล และไมถ่ ูกตอ้ งตามพระราชบัญญัติ ป้องกนั ภยันตรายอนั เกิดแก่มหรศพ พ.ศ. ๒๕๖๔ ข้าพเจา้ เห็นว่าโรงมหรศพนไ้ี ม่ควรมีภาพยนตร์ ขา้ พเจา้ ได้แนะนา เจา้ ของโรงมหรศพวา่ ควรรือ้ ครัน้ นายสาเภา วานชิ รตั น์ รบั รองว่าจะจดั การซื้อและขออนุญาตปลกู สรา้ งตามแบบแปลน ของกรมนคราทร แพทย์ประจา้ ตา้ บล แพทย์ประจาตาบลน้ี รายงานวา่ นายกรีบ แพทย์เชลยศกั ดิ์ เจาะท้องมาน นายสาย ท่ีบ้านชากตาด้วง ตาบลเนินฆ้อ อาเภอแกลง เจาะด้วยมีดพับแล้วเอาหลอดคาไว้ ผู้ถกู เจาะอยู่ได้ ๓ วัน ถึงแก่กรรม เร่ืองน้ขี า้ พเจา้ ได้แจง้ ความไว้กับ นายจนั ฉายารกั ษ์ ปลัดซ้ายอาเภอแกลง ณ ทว่ี า่ การอาเภอแกลง แตว่ นั ที่ ๑๑ เดอื นธนั วาคม พ.ศ. นแี้ ล้ว เพ่ือขอให้อาเภอแกลงเรยี กตัวนายกรบี มาไต่สวน ภาพ : บคุ คลสาคญั ในอดตี ของบ้านปากนา้ ประแส คู่มือรูจ้ กั ชุมชนประแส เล่มท่ี 1 เรอ่ื ง วิถปี ระแส โรงเรยี นชมุ ชนวัดตะเคียนงาม

7 น.ต. สมพงษ์ หิรโิ อตัปปะ รน. ในฐานะทท่ี ่านเป็นชาวปากน้าประแสโดยกาเนิด ทา่ นได้บนั ทึกสภาพวิถชี วี ติ ความเป็นอยู่ของชาวปากนา้ ประแสในชว่ งปี พ.ศ. ๒๔๗๐ - ๒48๐ ซง่ึ ผู้เขียนเห็นว่า บันทกึ ดงั กล่าวเป็นบันทึกที่ให้ ขอ้ มูลใน ทกุ ๆ ด้านของชาวปากนา้ ประแสในยคุ ๗๐ ปีมาแล้วตัง้ ความบางตอนวา่ สภาพสถานท่ีตัง้ ของชมุ ชนปากนา้ ประแสท้งั หมดส่วนใหญต่ ้ังอย่ฝู ่งั ซา้ ยของแม่นา้ ประแส (หนั หน้าออกทะเล) ทางฝ่ังขวามือเป็นเขตพน้ื ท่ีของตาบลเนินฆอ้ ไม่มีบา้ นคน สภาพการต้ังบ้านเรือนเปน็ การตั้งบา้ นเรือนเรียงรายไป ตามแนวรมิ นา้ จากเหนือบริเวณปากคลองหนองโพง เรียบริมแมน่ ้าเรื่อยไปตลอดจนถึงปากแม่นา้ แล้วก็ข้ามไปท่ี ฝั่งแหลมสน การปลกู บา้ น ปลกู หนั หน้าเขา้ หากนั มีทางเดินหรือสะพานไม้คน่ั กลางตลอดทัว่ จนทา้ ย ในสภาพเมื่อ ประมาณ พ.ศ. ๒477 น้ัน จากสะพานข้ามคลองหนองโพง ซึ่งก็เปน็ สะพานไม้ปะกระดานตามยาว ๒ แผ่นเหมือนท่ี อืน่ เปน็ ทางดินลงมาทางใต้ ทางปากนา้ ยาวประมาณ ๓00 เมตรเศษ ตอนนใ้ี นขณะน้นั บ้านเรอื นยงั มหี า่ ง ๆ ที่วา่ ง มาก สดุ ทางเดนิ ข้ึนสะพานมีคลองเลก็ ๆ เป็นสะพานทอดยาวไปประมาณ 200 เมตรเศษ จากระยะนี้จะถงึ ถิ่นชาวจีน เป็นยา่ นการค้าสภาพบา้ นเรอื นจะมีหลงั คาคลุมออกมาถึงสะพานและทางเปน็ การเดนิ ในบรเิ วณนี้จงึ ไม่ต้องกลวั แดด แตไ่ ม่คุ้มฝน ถา้ เดินตอนกลาง ทางเดินพอพน้ บ้านคนจนี ซ่ึงเป็นทางดินบางส่วนแลว้ จะถึงปานกลาง เปน็ ทางดนิ มบี า้ น สองฟากเช่นเดิม อีกประมาณ 100 เมตรเศษ มที างแยกไปวัดตะเคยี นงาม ในทางนน้ั มีบ้านคนบา้ งประปราย เขา้ ทาง ไปประมาณ 100 เมตร ทางขวามือตดิ ริมคลองเลก็ ๆ มีแหล่งขดุ แตง่ เรือมาอยู่ด้วย สว่ นทางตลาดเม่ือตรงไปทางใต้ ตามบา้ นคนเปน็ สะพานไม้ แล้วไปลงทางดิน เดนิ ไปประมาณ ๕๐ เมตร ทางซ้ายมือจะมีทางกว้างเป็นทางเข้าไปตาม วกิ ซึง่ ใชไ้ ดท้ งั้ เล่นลเิ ก ฉายภาพยนตร์ ตรงต่อไปกเ็ ปน็ สะพานไม้กระดาน ๒ แผน่ ปตู ามยาวสลบั กับทางเดินส้ัน ๆ จน ไปสดุ ทางท่เี รียกวา่ หวั โขด ในตอนล่างน้ี บ้านคนค่อนข้างหนาแนน่ บา้ งบางทีป่ ลกู ซ้อนกันก็มสี ว่ นทบี่ ริเวณแหลมเมือง ยงั มีบา้ นเรือนต้ังอยปู่ ระมาณ 10 หลงั คาเรือน ตรงบรเิ วณปากคลองหนองโพง สว่ นเลยไปทางทิศตะวันตกมโี รงสีขา้ ว ต้งั อยู่ 1 โรง ภาพ : สภาพบา้ นเรอื นชุมชนปากนา้ ประแสในอดีต คมู่ ือรู้จักชมุ ชนประแส เลม่ ท่ี 1 เรอ่ื ง วิถปี ระแส โรงเรยี นชมุ ชนวดั ตะเคียนงาม

8 ตลาดปากน้าประแสเปน็ ตลาดใหญ่ท่สี ุดในเวลาน้ัน การค้าเปน็ การค้าทั้งการขายและรบั ซ้ือ การขายเปน็ การขายสนิ คา้ เคร่ืองอปุ โภคบริโภค เครอื่ งมือเครื่องใช้ เป็นการคา้ ทั้งขายปลีกและส่ง ตลอดจนการรบั ซ้ือสินคา้ พ้นื เมืองและของป่า เพื่อนามาส่งขายโดยเฉพาะ เช่น กรงุ เทพฯ เป็นตลาดจาหน่ายอาหารสด เพราะเป็นแหล่งผลติ ดว้ ย เช่น กุง้ หอย ปู ปลา เนื้อหมู ขนมของคนจีน เนอื้ หมูนัน้ ท่ีตลาดปากน้าประแสมจี าหนา่ ยทุกวนั เพราะมีคนจีน ทาการฆ่าหมจู าหน่ายเน้ือถงึ ๒ เจา้ โดยเสียคา่ ธรรมขออาชญาบตั รไดท้ ่ีบา้ นกานันไม่ต้องไปขอถึงทว่ี า่ การอาเภอ มโี รงงานทาขนมคนจนี มโี รงงานผลิต นา้ ลมี อเนต ชนิดจกุ แก้ว โรงงานผลติ นา้ ลีมอเนต น้ีตอ่ มามีผูต้ ้ังขึ้นอีก ๑ โรง เป็น ๒ โรง แต่อยไู่ ด้ไมน่ านก็หยุดกจิ การ แต่การผลิตต่อมาก็ตอ้ งเลิกเพราะมีการผลติ นา้ อัดลมดว้ ยขวดชนิดมฝี าจีบ ซ่ึงสะดวกกวา่ เรว็ กว่า แต่ต้องลงทุนมาก ตลอดจนทุนจดั ซื้อขวดใหมต่ ลาดก็ไมใ่ หญ่พอกิจการจงึ ตอ้ งเลกิ ไป ในตลาดมรี า้ นขายอาหาร ก๋วยเต๋ียว รา้ นกาแฟ รา้ ยขายนา้ แข็งใส่นา้ หวาน หาบขายไอศครีม ซึ่งเรียกกนั ว่า ไอติม มีแมค่ า้ ในขายขนมไทย เช่น ลอดช่อง ขายขา้ วแกง กลว้ ย ออ้ ย ถึงหนา้ มะมว่ งมหี าบแม่คา้ ขา้ วเหนยี วมะม่วง หน้าทเุ รียน มีหาบแม่ค้าข้าวเหนียวน้ากะททิ ุเรยี น หน้าหอยปากเปด็ มหี าบแม่ค้ายาหอยปากเป็ด ซ่งึ ไม่เคยพบ ทไ่ี หนทาได้เหมือน มีเต่าทะเลตดิ อวน มคี นทาแกงเต่าขาย สว่ นอาหารพเิ ศษ เช่น ห่อหมก และทอดมันปลา น้นั มแี ม่ค้าทาออกขายเปน็ ประจา ภาพ : การค้าขายในอดดีต ส่วนอปุ โภคมีโรงจนี ตีเหล็กอยู่ในซอยวดั ตะเคยี นและในตลาดมีร้านตดั เยบ็ เสอื้ ผา้ ทัง้ ของชายและหญงิ มรี ้านตดั ผมหญงิ มีรา้ นตัดผมชาย มรี ้านคา้ ทาเครอื่ งทองรูปพรรณ มีวิก มีโรงยาฝน่ิ การคา้ ในสมยั น้ัน ผคู้ ้าถ้าจะใหส้ ะดวกจะต้องมีชื่อยห่ี อ้ การค้า และเพอื่ สะดวกแล้วจะต้องเป็นชอ่ื ที่เปน็ ภาษาจีน ซ่ึงในสมัยนน้ั ถือว่าเป็นภาษาการค้า ทัง้ นเ้ี พราะคนไทยไม่ใคร่มีใครค้า เฉพาะท่ีตลาดปากน้าประแส มีองคก์ รกงสีของคนจีน ดาเนินการผูกขาดรบั - ส่งสนิ ค้าระหวา่ งร้านคา้ กบั เรือสนิ คา้ ทว่ี ิ่งรับสง่ สนิ ค้าประจา มศี าลเจา้ โรงเจ การเรย่ี ราย ทงั้ ตอ่ มามีการตั้งโรงเรียนสอนภาษาจนี แตต่ ้ังอยู่ไม่นานกเ็ ลกิ ล้มไป คู่มือรูจ้ ักชมุ ชนประแส เล่มท่ี 1 เร่อื ง วถิ ปี ระแส โรงเรยี นชุมชนวัดตะเคยี นงาม

9 แตอ่ ย่างไรก็ตาม ลกู ของพ่อค้าคนจนี ทีม่ แี มเ่ ปน็ คนไทยหรือคอ่ นไทย ซ่ึงถือวา่ เปน็ คนไทยโดยสญั ชาติ ตามกฎหมาย และ ก็คงมคี วามคดิ เปน็ คนไทยทแ่ี ทจ้ ริง ที่ประสบความสาเร็จในอาชีพรบั ราชการเทา่ ทท่ี ราบ มคี น หนึ่งเป็นขาย เป็นถึงระดบั อธิบดีกรม อีกคนหน่ึงเปน็ หญงิ ปัจจบุ นั เปน็ ผวู้ า่ ราชการจังหวดั อยใู่ นภาคกลาง เปน็ ต้น และหรืออ่นื ๆ ก็มี สภาพเชือชาติของประชากร ประชาชนเป็นพวกท่ีมีเช้ือชาตเิ ป็นคนจีนเกือบร้อยละหา้ สิบ เป็นลกู คนจีน หลานจีน แตส่ ่วนใหญ่จะมีความรู้สกึ ว่าตนเองเปน็ คนไทย ส่วนมากตอนลา่ ง คือบริเวณใกล้ปากแมน่ า้ จะมีเชอ้ื จนี ไหหลา ตอนกลาง ท่ีเปน็ ยา่ นการคา้ เปน็ พวกจีนแต้จวิ๋ มีแคะยกเกย้ี นปก กวางตงุ้ ดูเหมือนจะไมม่ ี สว่ นเลอื ดไทย ค่อนข้างมากหรอื ไทยแท้มีปนอยทู่ ัว่ ไป และมีอยู่มากท่บี ริเวณรอบ ๆ ตลาด เชน่ แสมผู้ นาซา คอนกอก เปน็ ตน้ ทีเ่ ปน็ คนจีนต้องมใี บต่างด้าวก็มี อยู่อาจจะถึง ๑๐๐ คน คนพวกนตี้ ้องเสียภาษตี ่างด้าว สว่ นคนไทยถา้ ไม่ไดบ้ วช พระ เป็นกานนั ผใู้ หญบ่ ้านหรือเป็นทหารกองหนนุ ต้องเสียเงนิ รัชชูปการใหแ้ กท่ างราชการเป็นรายปี เปน็ เงินปลี ะ ๔ บาท สาหรับเมืองรอบนอก ถ้ามณฑลกรุงเทพ หรืออกี บางมณฑลต้องเสยี ปีละ 6 บาท เมอ่ื ถึงกาหนดเวลา เสียภาษจี ะมีเจา้ หนา้ ทต่ี ารวจคอยทาการตรวจท้งั คา่ ภาษีใบตา่ งดา้ ว คา่ ภาษีรชั ชปู การ สาหรับภาษีรชั ชูปการน้ัน ถา้ ไม่มเี งินเสยี ต้องไปทางานโยธาชดใช้ โดยหักคา่ แรงใหว้ นั ละ ๕๐ สตางค์จนครบ ภาพ : คนไทยเชอื้ สายจนี อาชีพ ประชากรสว่ นหน่งึ เกือบครึง่ มีอาชพี ประมง ท่ีเปน็ การประมงหลกั คอื ทาโปะ๊ ซ่ึงบางปีมีทาถึง 10 เจา้ แต่เปน็ โป๊ะขนาดนา้ กลาง ๆ กับนา้ ตน้ื ท้ังนนั้ คือ นา้ ลึก ไมเ่ กิน ๓ วา ๒ ศอก มีผ้ทู าอวนลอ้ มอยู่ ๒ เจ้า แต่บางปไี มไ่ ด้ทาอวนล้อม คือ มเี รอื ไปดว้ ยกนั ๒ ลา วิ่งหาฝูงปลา เมือ่ พบเรือหลักจะทาการวางอวนและเรืออีกลา จะตั้งหลักคอยรับ เรือท่ีวางอวนวนอวนมาบนั จบและรวบตีนอวนขนึ้ ส่วนการบรรทกุ ปลาทไ่ี ด้ก็บรรทุกทเี่ รือรบั ก่อน การทาต้องใชค้ นมาก การหาปลาตอ้ งแจวหาทาใหห้ าคนงานยาก ส่วนการหาปลาแบบเรือตงั เก คือ มีเรือยนต์ ลากเรอื โล้ ๒ ลา บรรทุกอวนว่ิง ออกหาปลา เมอื่ พบฝูงปลาก็ปล่อยเรือโล้ออกไปวางอวน เม่อื วางอวนบันจบแล้ว เรือยนต์จึงเขา้ ไปชว่ ยกู้อวนตลอด จนปัจจบุ นั น้ีใชเ้ รือยนตว์ างอวนทีเ่ ดียวนน้ั ในขณะนน้ั ยงั ไมม่ ีความรู้หรือ เทคโนโลยีถึงขนาดน้ัน นอกจากโป๊ะก็มโี พงพาง อยู่ ๒ - ๓ เจา้ ทีเ่ หลือเปน็ การตกเบ็ด ทอดแห วางลอบ วางจั่น ตกปู แทงแรว้ ดกั ปู กรีดหอยขาว (หอยตลบั ) ขดุ หอยปากเป็ด หาหอยแทงปู เป็นแรงงานทาปลาเค็มและอืน่ ๆ คู่มือรูจ้ กั ชมุ ชนประแส เล่มท่ี 1 เรอ่ื ง วิถปี ระแส โรงเรียนชมุ ชนวดั ตะเคียนงาม

10 ภาพ : อาชพี หลกั ของชาวตาบลปากนา้ ประแสจากอดีตถึงปจั จบุ ัน กับบางพวกมีอาชีพตัดฟืนเปน็ พน้ื โกงกาง หาหวาย คอื หวายลิง กบั เถาวัลย์เขียว ตดั ไม้ค้าง เผาถา่ น กับ อีกสว่ นหนงึ่ อยตู่ อนใน มีการทาสวนเปน็ สวนมะมว่ งเปน็ สว่ นใหญ่ มปี ระมาณ 6 – 7 เจา้ กบั มกี ารทานาต้ังแต่ บริเวณหนา้ วดั ตะเคยี นงามไปถึงนาซาจดทุ่งคลองปูน กบั ทางด้านแหลมเมืองเข้าไปจดบ้านแหลมยาง เปน็ นาขา้ ว นานา้ ฝน ปากน้าประแสจงึ มีโรงสีขนาดใหญต่ ัง้ อยู่ที่แหลมเมือง 1 โรง สว่ นคนจีนกบั คนไทย บางส่วนซงึ่ นอ้ ยมาก ค้าขาย โดยเปดิ รา้ นค้าขายบา้ น คา้ เรอื ใบ คือ ซ้ือสนิ ค้าพ้นื เมืองบรรทุกเรอื ใบไปส่งขายกรุงเทพฯ ขากลบั ก็บรรทุก สินค้าบางอยา่ งกลับมาขายทางประแสหรอื บรเิ วณใกล้เคียงกบั เปน็ ผูร้ ับประมูล เป็นผจู้ าหน่ายยาฝิน่ ซึ่งต้องต้ังโรง ยาฝ่ินดว้ ยเปน็ ผูจ้ าหนา่ ยสรุ าของรฐั บาล คอื เหล้าโรง ๒๘-๓๐ ดกี รีเทา่ นั้นกับบุหรี่ ต่อมาก็มกี ารรบั เปน็ เอเยน่ ต์ จาหนา่ ยสินค้าที่แขง่ กนั มาก เชน่ เป็นเอเย่นตจ์ าหน่ายจักรเย็บผา้ ยห่ี ้อซงิ เกอรก์ บั พาล์ฟ เป็นตวั แทนไปรษณีย์ทา การ จาหน่ายดวงตราไปรษณีย์ รบั สง่ ไปรษณีย์ รบั สง่ โทรเลข การเดนิ เรือรบั ส่งคนโดยสารระหว่างปากนา้ ประแส กับตลาดสามย่าน (ที่ว่าการอาเภอแกลง) การรบั ส่งผู้โดยสารไปเที่ยวงานวัดต่าง ๆ ทางด้านเนนิ ฆ้อ บา้ นกร่า ชาก โดน เปน็ ตน้ ภาพ : โรงเผาถ่านในอดีต คูม่ ือรูจ้ กั ชุมชนประแส เล่มที่ 1 เรอื่ ง วิถปี ระแส โรงเรียนชมุ ชนวัดตะเคยี นงาม

11 โรงทาขนมของคนจนี น้นั มิได้ทาขนมเพยี งอยา่ งสองอย่าง แตท่ าขนมเครอื่ งจันอันครบชดุ เท่าท่ีจาไดม้ ี ถ่ัวตัด งาตดั ถั่วเคลือบหวาน ตังกวยแฉะ (ฟัก) ถ่ัวทุบฯ แลว้ มีขนมโก๋ ขนมเป๊ีย โดยเฉพาะขนมอีกอย่างหนึ่งเป็น ขนมทาดว้ ยแป้ง หวานกรอบ เรียก ขนมขีแมว พอดีเข้าคู่กับขนมไทย ขนมขีหนู แต่คนไทยกก็ นิ กนั หน้าตาเฉย การรบั จา้ งทางานอีกอยา่ งท่เี ด็กชอบเพราะสนุกไม่เหน่ือยมากและได้สตางค์กินขนมนั้นคือ การไส้ขีป้ ลา คอื การล้วง เอาเหงอื กและเครื่องในของปลาทอู อกมาเพ่ือจะไดน้ าปลาทนู ้ันไปดองทาปลาเค็ม ในขณะเวลานัน้ เมอ่ื ถึงฤดูปลาทูเข้าโป๊ะ เกอื บทุกเจ้าจะจบั ปลาทไู ดม้ าก เมื่อไดป้ ลาทมู ามาก เรือทอ่ี อกไปจับปลาที่โป๊ะจะเป่า อูดเขาควายดงั เข้ามาในฝ่ัง พวกเดก็ วัยรนุ่ โตสกั เลก็ น้อยก็จะพากันไปท่ีโรงร้าน อันเป็นที่จอดเรอื ของโป๊ะเจ้าน้ัน เมือ่ ขนปลาขนึ้ กองตามสถานทท่ี ีจ่ ัดไว้ พวกเดก็ และผ้หู ญงิ ก็จะจดั การดึงเหงือกและเคร่ืองในปลาออกมาทางแกม้ ปลาโดยมใิ ห้แก้มขาด โยนปลาที่ดงึ เคร่ืองในออก แล้วรวมกันไว้ตรงกลาง การคิดค่าจ้าง ผู้จ้างจะคานวณราคาให้ ตามขนาดจานวนของเคร่ืองในปลาที่ดงึ ออกมากองไว้ ๒ สตางค์ ๓ สตางค์ สาหรบั เด็กและเมอ่ื เสรจ็ แล้วจะหยบิ ปลาทูสด ๆ นน้ั ตดิ มอื ไปย่างกินสักคนละ ๔ - ๕ ตวั กไ็ ด้ไม่มใี ครวา่ เสรจ็ แลว้ ก็เลน่ น้าในแมน่ ้าตอ่ กันเป็นการ สนุกสนาน แล้วกย็ งั มกี ารรับจ้างทบุ เปลือกพ้นื ไม้โกงกาง รบั จ้างคดั เลือกถ่วั ลิสง ทีไ่ มก่ ะเทาะเปลือก แล้วรบั จา้ ง หาตักลกู น้าให้พวกเล้ียงปลาเขม็ ปลาหัวเงนิ เอาไว้กัดพนนั เปน็ ต้น การคมนาคม การคมนาคมในตลาดปากนา้ ประแส ด้านในเดนิ ด้านแมน่ ้าใช้เรือ เป็นเรอื แจวพาย เรือยนต์มีบ้าง ทางเดินกลางตลาดตลอดหวั จดท้ายตลาดตกทะเลน้นั เป็นทางดนิ สลับสะพานเป็นระยะ ๆ สะพานเป็นสะพานไม้กระดาน 2 แผ่น พาดตามยาวต่อเน่ืองกันไปโดยตลอด การคมนาคมของคนต่าง ตาบลทางดา้ นเหนือและตะวันตก ส่วนมากจะมา เรือแจว มเี ดนิ บ้าง มาด้วยเกวียนจอดทว่ี ัดแหลมสน บ้านทางตะวันออก เดนิ เกวยี น ม้า เวน้ พวกพังราดใช้เรอื ออกทะเล เลียบชายฝ่ังมา การคมนาคมระหว่างปากน้าประแสกับสามย่านท่ตี งั้ ทีว่ า่ การ อาเภอ มเี รือยนตร์ บั - สง่ ผโู้ ดยสาร ไป – กลับ เป็นประจา และ มเี ดนิ ผ่านทางปากคลองหนองโพง ดอนกอกล่าง ขา้ มแม่นา้ ไป ทะเลนอ้ ยเข้าทุ่งพลง วดั พลงช้างเผือก เขา้ ตลาดสามย่าน สาหรับผ้ไู มท่ นั เทย่ี วเรือไปในเวลาอื่น นักเรียนชั้นมัธยมซงึ่ ไปเรยี น ที่โรงเรียนประจาอาเภอ ที่วดั พลงฯ และสาหรับคนจีนซึง่ รับปลาสดจากปากนา้ ประแส หาบไปขายที่ตลาดสามย่าน เปน็ ประจา เรอื ยนต์ที่วิ่งรบั -ส่ง คนโดยสารระหวา่ งปากนา้ ประแสกบั สามยา่ นน้ันเป็นเรือยนต์ขนาดเล็กว่งิ ออก ทะเลไปไกลไม่ได้ แต่บางทกี ็ใชว้ ่ิงรบั - ส่ง ไปเท่ียวงานวดั ต่าง ๆ เมื่อมีงานวัด โดยวง่ิ รับกลบั จนถึงเวลาดกึ ๆ เกือบ สว่างกม็ ี ส่วนวดั ทางดา้ นตะวันออก เช่น วดั พงั ราดไทย วัดเกาะลอย วัดคลองปนู ตา่ ง ๆ เหล่าน้ี การไป คอื การ เดนิ สถานทเ่ี ดียวเท่านั้นแตก่ ็ไปกันมากมาย งานของวัดไหนไม่มีคนจากตลาดปากน้าประแสไปเทย่ี วแล้วงานนัน้ จะ กรอ่ ยคนน้อยไม่มผี ูห้ ญงิ แต่งตัวทนั สมัยให้ดู ผชู้ ายกเ็ หมือนกนั กับท้งั ไม่มคี นกินงา่ ยใชเ้ ติบอีกประการหน่ึง คมู่ อื รจู้ กั ชุมชนประแส เลม่ ท่ี 1 เรื่อง วถิ ปี ระแส โรงเรียนชมุ ชนวัดตะเคียนงาม

12 การเดินทางมี ๒ ระดบั คือ เรือยนต์กับเรือฉลอมใบเดินทะเลนั้นสว่ นมากใชข้ นส่งสินค้า เช่น พ้นื ไมค้ า้ ง ถ่าน นา้ มนั ยาง ชัน หวายตา่ ง ๆ เรอื มาดทั้งโกลน (คือ ยังกลมอย่แู ต่ขดุ แล้ว ยงั ไม่ได้เบิกขยายกราบให้กว้างออก และตบแตง่ พื้นผิว ใหเ้ รียบรอ้ ยเท่านั้น) เรอื เหล่าน้เี ปน็ เรือค้าส่วนใหญเ่ ข้ากรงุ เทพฯ ก็ไปจากท่ที า่ เรือตลาดน้อย แตก่ ็มีท่ีเข้าจอดคา้ ขายท่ี อนื่ เช่น บางประกง ชลบรุ ี สมทุ รปราการ สมทุ รสาคร สมุทรสงคราม เป็นต้น ขนาดของ เรอื เหล่าน้ีจะมีขนาดยาวประมาณ 6 วา ๘ วา ๘ วา ๒ ศอก เกนิ ไปกว่าน้ันไมม่ เี นื่องจากเรือใหญก่ ินน้าลกึ เขา้ ออก ปากแม่นา้ ลาบากอาจจะติดต้ืนเสยี หายได้ หรือมิฉะนน้ั กต็ ้องเสยี เวลารอเข้าออก เฉพาะเวลาทมี่ นี า้ มากและน้าขึน้ เต็มท่เี ท่านนั้ จงึ ไม่มใี ครใชเ้ รือใหญ่มากกว่านี้ สว่ นคนโดยสารน้ันไม่มี เวน้ แต่พวกท่เี ปน็ ญาติคุน้ เคยกันเปน็ ท่ีพเิ ศษ อาศัยไปเท่ยี ว ไปธรุ ะทกี่ รุงเทพฯ แต่น้อยคนเพราะ เสยี เวลาเรอื ยนตเ์ ดินทะเล ชาวบ้านเรียกว่า เรอื เมล์ มี ๒ ขนาด ขนาดเล็ก มีระวาง บรรทกุ ประมาณ 100 ตน้ ตัวเรือเปน็ เหล็ก มี ๒ ลา ไม้ มี ๓ - ๔ ลา เครอ่ื งยนต์ ดเี ซล เรือเหล่านี้จะเดินรับสง่ สินคา้ และคนโดยสารเฉพาะฤดไู ม่มีมรสุม ฝ่ังตะวนั ออก คอื ประมาณเดือน ๑๑ เดอื น ๑๒ และเดอื นอา้ ยของไทยประมาณ ๓ - ๔ เดือนเทา่ นั้น เรอื เหล่านี้เข้าจอดใน แมน่ า้ ประแส บรเิ วณ ตอนกลางของตลาดและสว่ นมากเดินถงึ จังหวัดตราดแล้วกลับกรุงเทพฯ แวะรายทางขากลบั เข้าอีก ส่วนอกี ขนาด คอื ขนาดตั้งแต่ประมาณ 200 ตนั ข้นึ ไป เรอื พวกนเ้ี ป็นของบริษัทอิสต์เอเชียติก ตวั เรือเป็นเหลก็ เคร่ืองยนตด์ เี ซล มีเรอื ทเี่ คยว่ิงประจาโดยผลดั เปลี่ยนกัน คอื เรือรีดงั ปากพนัง นภิ า ภานุรังสี วลัย เปน็ ตน้ (เรือวลัยกบั ภา นรุ ังสี ภายหลงั ไปว่งิ ประจา) สายกรุงเทพฯ สิงคโปร์ เรือเหล่านี้จอดรบั ส่งสนิ ค้าและคนโดยสารในทะเลปากอา่ วหา่ งฝัง่ ประมาณ 1 ก.ม. เศษ เพราะกินน้าลกึ ผ่านสนั ดอนเข้าแม่น้าไม่ได้ สว่ นเรือเอกชนอีกลาหน่งึ เป็นเรือไม้ ขนาดเกอื บ ๓๐๐ ตนั ชอื่ เรือ \"สาปะไตย” คนไทยชอบล้อวา่ สามวันตาย เรอื เหลา่ นี้อย่างน้อยต้องมวี ่ิงประจา 1 ลา เสมอ เพราะต้อง ทาการรับสง่ ไปรษณีย์ เรียกวา่ ถุงเมล์ ของทางราชการ คือ การรบั สง่ จดหมาย พัสดุ น่ันเอง สาหรับ เรอื นิภา ซ่ึงเปน็ เรอื คูก่ ับเรือภานรุ งั สนี น้ั เป็นเรอื ท่ีสร้างเปน็ เรอื โดยสาร มดี าดฟ้ายาวตลอดลา ทางดา้ นหัวเรอื มี หอ้ งเคบนิ รับคนโดยสาร ช้ันท่ี ๑ หลายหอ้ ง มีห้องอาหาร มีกุ๊ก มบี ่อยประจารบั ใช้ สว่ นคนโดยสารช้นั ดาดฟ้า อย่ตู อนกลางลา เครนยกสินค้าเตย้ี อยใู่ ตด้ าดฟา้ ผูโ้ ดยสาร เรอื คู่น้โี ดยเฉพาะเรือนภิ า เคยเดินประจาเข้าไปถงึ ใน อินโดจนี ด้วย แตต่ อ่ มาภายหลงั เดินประจา ถงึ อาเภอคลองใหญ่ จงั หวัดตราด สุดแทนไทยเท่านน้ั เรอื ลาน้ีแม้ถงึ พ.ศ. ๒484 ยังใชก้ ัปตนั ฝรัง่ อยู่ มขี อ้ นา่ สังเกตเพอ่ื ความรสู้ าหรับคนรุ่นใหม่ ประมาณในปี พ.ศ. ๒๔๗๗ - พ.ศ. ๒๔๗๙ นนั้ ผูโ้ ดยสารทีไ่ ป กับเรอื เมล์นัน้ ต้องถูกตรวจจับผ้ทู ม่ี ีจดหมายใสซ่ อง จ่าหนา้ ซองแต่ไม่ติดตราไปรษณยี ย์ ากร (ไม่ตดิ แสตมป์) ดว้ ย ถ้าพบจะถูกจับปรบั ภาพ : การเดินทางโดยเรือยนต์ คมู่ อื รูจ้ กั ชมุ ชนประแส เลม่ ท่ี 1 เร่ือง วิถปี ระแส โรงเรียนชมุ ชนวัดตะเคยี นงาม

13 การรน่ื เริง การมหรสพ ปากน้าประแส มโี รงวกิ ค่อนขา้ งทนั สมยั ในสมยั นั้นเปน็ โรงใหญฝ่ าไมด้ า้ นชนั้ เดยี ว ดา้ นหน้า 2 ช้นั หลังคาสังกะสี มหี อ้ งขายตั๋ว มหี ้องฉายภาพยนตร์มหรสพท่ีมีมาแสดง ส่วนหลืบสองขา้ งมหี ้องโถง กวา้ งหลงั เวที ใช้ไดท้ ัง้ เลน่ ละคร เล่นลิเก ลาตดั ฉายภาพยนตร์ มหรสพท่ีมีมาแสดงสว่ นมากลิเก และจะเป็นลเิ ก ของแม่ส้มจีนจากทาง ท่าใหม่ จันทบรุ ี นาน ๆ ครัง้ จะต้องเป็นลาตัดแมจ่ รญู ส่วนภาพยนตร์นาน ๆ ครั้ง เพราะท่ี ปากน้าประแสยังไมม่ ีไฟฟา้ เมอื่ มาฉายภาพยนตร์ต้องมีเคร่ืองทาไฟมาด้วย ส่วนแสงสวา่ งในการแสดงลิเกหรอื ลาตดั ใช้ตะเกียง เรยี กว่า ตะเกียงวอชงิ ตัน ใชห้ ลกั การเดียวกบั ตะเกียงเจ้าพายุ แต่ตวั โคมไฟ โคมแก้วควา่ เอาหวั ลง สว่ นท่บี รรจนุ า้ มนั และลมอยขู่ ้างบน เวลาจุดแลว้ แขวนจะไมม่ วี นั ตะเกียงบงั ส่วนลเิ กอ่นื ๆ เช่น สีเกกานันช่ิว บ้านนาน้ัน ไดเ้ พียงแสดงในงานแก้บน งานกุศล เทา่ นั้น รวมท้ังหนงั สด ละครชาตรขี องซาห้นั สว่ นการรื่นเริงอืน่ ๆ ก็มใี นโอกาสตรุษ เชน่ ตรุษจีน ตรุษไทย ตรุษสงกรานต์ ซงึ่ จะได้เล่าต่อไป การรื่นเริงอีกอย่างหนึง่ ของผ้ชู ายเป็น สว่ นใหญ่ คือ การเลน่ ชนไก่ กัดปลา ทั้งปลาเขม็ และปลาหวั เงนิ (กรงุ เทพฯ เรยี ก ปลาหวั ตะกัว่ ) รวมท้งั การไป เท่ียวตามงานวัดตา่ ง ๆ ในตา่ งตาบล บางทีก็ไปเท่ียวกันไกล ๆ เช่น วดั จารุง ดา้ นตะวนั ตกและวัดชา้ งข้ามทางทศิ ตะวนั ออก หรือพวกนักเลงไก่ เช่าเรือยนตเ์ หมาลา นาไก่ไปชนพนันถงึ ตัวจงั หวดั จนั ทบุรี เปน็ ตน้ วฒั นธรรมประเพณใี นการทาบญุ เลน่ นักขัตฤกษ์ ขอเริม่ ต้นที่ตรุษจนี ก่อนเพราะทุกบ้านเกย่ี วขอ้ งหมด แต่มิได้ไหวเ้ จ้าทุกบ้านทุกครอบครัวมีแต่ทาขนมเทียน ขนมมัดไต้ได้ไปด้วย ขนมนนั้ เอาไว้แจกเปล่ยี นกัน เอาไป ทาบุญท่ีวดั แล้วกไ็ ป กนิ เล้ียงทบ่ี า้ นคนจนี ครึ่งจีน เข้าทานองตรุษใครกเ็ มาเชน่ นัน้ สาหรับปากน้าประแสทเ่ี พิ่มก็มี การเชิดสงิ โตไปตามบ้าน ต่าง ๆ ในตลาดไมเ่ ว้นไทยจีน สงิ โตต้องไดร้ บั เงินทนุ ทุกบ้าน ส่วนการจุดประทัดใหน้ น้ั ไม่ทุกบ้านกบั การเชิดสงิ โตเชิดมา เจอกนั ก็ต้องมีการเชดิ สิงโตวดั กันบางท่กี ็ชกตอ่ ยกัน ถา้ เปน็ ส่งิ ต่างถน่ิ หรือพวกที่ ไมค่ ่อยจะลงลอยกนั มาก่อน นอกจากน้นั กม็ ีเงินแต๊ะเอีย เมือ่ มีเงนิ ก็ต้องมีการเล่นการพนนั เปน็ ธรรมดา เรือ่ งการ พนนั จะเอาไว้วา่ ในอกี สว่ น สว่ นตรุษแขก ตรษุ ฝร่งั ยงั ไมม่ ี ตลอดจนวันวาเลนไทน์ วันคริสต์มาส กย็ งั ไม่มี กจิ กรรมของคนไทย วนั สารท มีการกวนกระยาสารท และไปทาบุญเท่าน้นั ไม่มีกิจการรื่นเริงฉลองอะไร เปน็ พเิ ศษ ตรุษไทยกเ็ ชน่ เดียวกนั คงมแี ต่การไปทาบุญถวายอาหารพระทีว่ ดั ในตอนเชา้ เท่านนั้ การฉลองอาจจะมี การต้งั วงไพ่ วงโปกันบ้างแต่ไม่เอกิ เกรกิ นัก ตอ่ มาตรุษสงกรานต์มีการทาบญุ ท่ีวัด ทาวัน 2 หรอื 3 วนั แลว้ กม็ ีการทาบุญสง่ กนั เปน็ ระยะ สุดทา้ ยไป ทาบุญส่งที่ สันทรายปากแม่น้าประแส เรียกหัวโขด ทาบุญแล้วก็มีการลอยเรือใบเลก็ ๆ ออกทะเลไปเปน็ การสง่ ฝี กลับบา้ นหรอื อย่างไรไมร่ ู้ แล้วก็เปน็ อนั จบการทาบุญ การรดน้า สาดน้าน้ัน เป็นทีท่ ราบแลว้ วา่ ปากนา้ ประแสเป็น หมบู่ า้ นกนั ดารนา้ จึงไมม่ ีการสาดนา้ กนั ท่วั ไป คงจะมีการสาดกนั บ้างท่ีวัดเทา่ นน้ั ในวันสงกรานตท์ ีบ่ รเิ วณลานวัด ตอนบา่ ยจะมกี ารเล่นสนุกสนาน ช่วงรา มอญซ่อนผา้ สะบ้า ทั้งสะบา้ ทอยและสะบ้าล้อ เด็ก ๆ กต็ ้องเลน่ ต้องต่ีจบั วง่ิ แข่ง วงิ่ สามขา วิง่ ไถนา แย้ลงรู เป็นต้น ที่ขาดไม่ได้คอื เหล้า แต่สมภารเห็นกไ็ ม่ใครไ่ ด้ถกู ต่อว่าดดุ ่าอยูเ่ สมอแตม่ ี อยเู่ ป็นประจา สว่ นสะบ้านน้ั มีการจัดเลน่ บริเวณทมี่ ีลานท่ีอ่นื ด้วย เฉพาะสะบ้าล้อนั้นเด็ก ๆ กับสาว ๆ บางทีก็เลน่ กันบริเวณถนนทางเดนิ หน้าบ้านนั้นเอง ส่วนท่ี ขาดไม่ไดเ้ ป็นอันขาด ทั้งตรษุ จีน ตรษุ ไทย ตรษุ สงกรานต์ คือ การพนัน การพนนั ท่ีเล่นกนั ส่วนมาก ไพต่ อง ไทย ย่ีอดิ ผสมสบิ ต่อแต้ม โปป่นั โปกาหรือกาถ่ัวยังไมน่ ิยมกัน เตา๋ ทอดพอมี แตเ่ ต๋าเขยา่ เป็นไฮโลว์ ยังไม่มี แต่การเลน่ ที่เหมือนกนั เรยี กน้าเต้าปูปลา คือ มีลูก 6 หน้าเหมือน ลกู เตา๋ แต่ใหญ่กว่าขนาดประมาณ 2 ช.ม.คร่ึง เปน็ ไม้ทาสีมรี ูปปู ปลา กงุ้ กวาง นา้ เตา้ เสือเหลอื ง การแทงเหมอื น ไฮโลวต์ ามหนา้ ที่ทใี่ สม่ ิใชถ่ ้วยแตใ่ ชก้ ระดาษอย่างน้อยเสน้ ผ่าศูนยก์ ลาง ๔๐ ซม. ฝาครอบ ใช้ฝาชี การออกไม่เรียก เขยา่ แตเ่ รียกว่า ผัดปูปลา นอกจากนก้ี ็มบี ่อหุน้ ซึง่ เล่นท้ังเดก็ และผู้ใหญ่ อันเป็นท่ีมาของคาว่า อู้ไว้กินบ้อ กบั คมู่ อื รจู้ กั ชมุ ชนประแส เลม่ ที่ 1 เร่ือง วิถปี ระแส โรงเรยี นชมุ ชนวดั ตะเคียนงาม

14 หยอดหลุมดว้ ยสตางคว์ งคแ์ ดง ราคา 1 สตางคใ์ นสมยั น้ัน เล่นทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ของผใู้ หญ่น้ันหลุมเป็น หลมุ เลก็ ๆ ฝังด้วยสตางค์ห้า กลบรมจะมีขนาดเหลอื ประมาณ 1 ชม. เท่านั้น ระยะยืนโยนประมาณ 3 เมตร สตางค์ที่โยน เคยเห็นตั้งยาวเกือบศอก คือ ถือไมไ่ ด้ต้องวางเรียงไว้บนไม้ฝาซีกเปน็ ทร่ี อง แลว้ จัดโยนสตางคน์ น้ั จากรางไมไ้ ผไ่ ปที่ หลมุ สตางค์จะจับกันเป็นแถวมแี ตกแถวออกไปน้อยท่สี ุด ถ้าลงตรงหลมุ ก็จะลงและเป็นแถวตดิ กันยาวน่าดู กบั การเลน่ ไพ่โดยใชไ้ พป่ ๊อกอีกอยา่ งหนึ่งท่เี รียกว่า อดั เต เป็นการแจกไฟคนละ 6 ตัว ไพ่ ๔ ตวั เปน็ ไพท่ ่จี ะใช้ทง้ิ ชิงอานาจทจี่ ะออกไพ่ 2 สดุ ท้าย การชนะดนิ น้นั มีชนะ 1 ตอ่ ๒ และ ๔ ตอ่ ส่วนโป๊กเกอรไ์ ม่นิยม เผกับหมาเกา๊ (คลา้ ยเกา้ เก คือ กนิ กนั ทแี่ ต้มแต่ 9 เทา่ น้ัน) ก็ไมค่ ่อยนิยมกัน เด็ก ๆ ส่วนมากกเ็ ลน่ ปู ปลา ยี่อิด บอ้ หุน้ หยอด หลมุ กนั เปน็ พื้น และเลน่ เปน็ กนั ต้งั แตเ่ ดินวง่ิ แข็งโดยไม่ต้องมโี รงเรียนสอน สาหรบั เซยี นหรอื ทีเ่ รยี กวา่ ทา่ นผู้มี อาชพี เล่นการพนนั นน้ั ทป่ี ระแสมอี ยู่ 2 - ๓ คน เล่นการพนันเลย้ี งชพี อยา่ งเดียวไม่เคยประกอบอาชีพอย่างอืน่ เลย ผ้าปา่ กลางน้า ประเพณผี า้ ป่ากลางน้ามีมานานแล้ว ดูตามพฤตกิ ารณ์ที่พบเหน็ เม่ือ พ.ศ. ๒๔๗๕ เปน็ ต้น ในขณะน้นั เรือพายท่ีมารว่ มงานร่วมแข่งเรือมาจากเรอื ต่าง ๆ ท่ีห่างไกล เชน่ จากบ้านแหลมยาง ทะเลน้อย ดอนกอกล่าง ทา่ กง พงั ราดไทย ปากนา้ พังราด เนนิ ฆ้อ เป็นต้น ชาวบา้ นและเรอื พายเหล่าน้ีมาร่วมเพ่ือการกุศล เป็นหลกั และสนุกด้วย สุดท้ายตอนเย็นไดร้ างวลั เปน็ ผ้าขาวม้าสักผนื ๒ ผืน ถ้าผูกหวั เรอื สักผนื น้ามนั กา๊ ดสกั ปีบ 2๐ ปบี ก็เปน็ ท่พี อใจอย่างย่ิง เป็นทสี่ นกสนาน เพราะขา้ วปลาอาหารนัน้ มเี ล้ียงดูกนั ทั้งข้าวท้ังผลไมต้ ามฤดู พออมิ่ สบาย ส่วนเรอื องคผ์ ้าป่านน้ั ในสมัยนนั้ บางครั้งก็มเี ลน่ พายชิงลากเรือองคผ์ ้าปา่ ขนึ้ ไปต้นน้า ลากลงมาตามนา้ ส่วนผา้ ปา่ นั้นมิไดจ้ ดั ถวายวัดใดโดยเฉพาะ สว่ นมากก็ถวายแจกจา่ ยกันไปท่วั ๆ สาหรับหมู่บา้ นท่มี าร่วมงาน พอเยน็ ก็เลิกเรือทุกลากลับบ้านไปบาเพ็ญบุญเอาของรางวัล ไปถวายวดั และลอยกระทงกันตอ่ ไป ทาติดต่อกันมา สอบถามทา่ นผูม้ ีอายุในสมยั นั้น ทา่ นก็ว่าทากันมาก่อนแล้ว คงจะเปน็ พธิ กี ารทางศาสนาเพ่ือรวมคนใหม้ ีความ สามคั คีมาตง้ั แต่สมัยเปน็ ทต่ี ้ังเมอื งแกลง ประกอบกบั สภาพแม่นา้ เป็นส่วนประกอบ ท่เี หมาะในการจดั งานด้วยการ แข่งเรอื ก็เปน็ การแข่งขนั กนั เพ่ือสนุกสนานเทา่ นนั้ มิไดถ้ ือเอาเปน็ เคร่งครัดจรงิ จงั มากนัก รางวลั ก็มใิ ช่รางวัลพิเศษ เป็นถ้วยเงนิ ขนั น้าพานรองอะไร รางวัลสว่ นมากจะเป็นผา้ ขาวม้าบา้ ง ผา้ ขาวบางบา้ ง ผา้ แพร ผูกหัวเรอื บ้าง น้ามนั ก๊าด ตะเกียงบา้ งสงิ่ ของเทา่ นนั้ โดยเฉพาะนา้ มนั ก๊าดน้นั เปน็ ท่ีต้องการมาก เพราะตามวดั เวลามีงานต้องใช้ ตะเกยี งเจา้ พายุท่สี ว่างมากและไดบ้ รเิ วณกวา้ ง กบั แม้ตะเกยี งโคมร้วั ซ่ึงจุดกนั ลมไดก้ ็ตอ้ งใช้กับตะเกยี งลาน ซึ่งใช้ได้ ทง้ั ให้แสงสว่างและเปน็ ท่ตี ้มน้ารอ้ นกาเล็ก ๆ สาหรบั ชงน้าชาจนี ของทา่ นสมภารเจา้ วดั ก็ต้องใช้นา้ มนั ก๊าด ภาพ : ประเพณีทอดผ้าป่ากลางน้า คูม่ อื รู้จกั ชุมชนประแส เล่มท่ี 1 เร่ือง วถิ ปี ระแส โรงเรยี นชมุ ชนวัดตะเคียนงาม

15 การแต่งกาย ผชู้ ายน่งุ โสรง่ ผา้ ขาวม้าพาดบา่ หรือเส้ือแขนส้นั ผา่ อกตลอด ชาวโป๊ะชาวอวน นุ่งกางเกงจีน ทาด้วยผ้าย้อมด้วยเปลือกไม้ เรยี ก เซ้ยี บ ใช้ย้อมแห อวน ดว้ ย เส้ือเป็นเสอ้ื แขนกระบอกผ่าอกตลอดแต่ปา้ ยทบั กัน มกี ระเป๋าผ่าดา้ นขา้ ง หนุ่มสาอางค์นุ่งกางเกงแพรดาบา้ งสีบ้าง ผหู้ ญงิ น่งุ โจงกระเบนเปน็ สีพืน้ ต้งั แต่เรมิ่ สาว เพราะ สะดวกในวนั เบา ๆ ด้วย ส่วนเข็มขดั นนั้ เป็นทอง นาค เงิน แลว้ แต่ฐานะส่วนมากจะมเี ข็มกลดั ซ่อนปลายขนาด ใหญ่ ยาวประมาณ ๓ - ๔ ซม. รอ้ ยสตางคห์ ้าสตางคส์ ิบชนิดมรี ูร้อยดว้ ยเข็มขดั ไวด้ ้วยรวมทง้ั พวงกญุ แจ ส่วนเส้ือ มใิ สเ่ สือ้ นอกเฉพาะโอกาสพิเศษเทา่ นนั้ แต่ปกตโิ อโนบราฯ เดย๋ี วน้ตี อ้ งได้อายเพราะสว่ นมากสวมเส้อื ตดั ด้วยผา้ ขาว เปน็ ผา้ รมิ เขยี ว ผ้าลินนิ ไมห่ นา มหี ูหวิ้ สองขา้ งเล็ก ๆ สูงเสมอรกั แร้ ซึ่งสว่ นนั้นจะมีลกู ไมถ้ ักประกอบอยู่ สวมเทา่ นั้นไปได้ทว่ั ตลาด บางเจา้ มองเหน็ เป็น เงา ๆ ด้วยซา้ และผูห้ ญิงสมยั น้นั ส่วนใหญ่กินหมาก สว่ นเด็ก นักเรียนตามอัธยาศัย กางเกงขาสั้นจะเป็นชนิดพิเศษ คอื นุ่งเอาข้างในไว้ขา้ งหน้าก็ได้ กระเป๋าทางขาวมือจะล้วง ไดเ้ สมอ มีสายรดั ขา้ งสะเอว ๒ ข้าง แตก่ ็จะแพ้เชือกรดั รองเอา เอาไม่ได้ รองเทา้ มันเปน็ อย่างไรไมร่ ู้ รูจ้ ักแตเ่ กยี๊ ะ เวลาไปสอบไลช่ ัน้ ป.๔ ซ่ึงต้องไปสอบรวมกันท่ีอาเภอ ผูช้ ายต้องนุง่ กางเกงขาสน้ั สดี า เส้ือสีขาว ถ้าแต่งลกู เสอื ก็เสอื้ เชิ้ตสกี ากี ผ้าผูกคอสเี หลอื ง หมวกสามหยบิ สีดา มดี อกจนั ทรส์ เี หลืองตดิ ทีข่ อบหมวกด้านขวาที่พับข้ึน ถงุ เทา้ รองเทา้ ไม่บงั คับ ส่วนผู้หญิงผา้ ถุงหรือผา้ นุ่งสีน้าเงนิ เสอ้ื สีขาว เวลาน้นั นกั เรยี น ป.4 ค่อนจะโต การพักจึงต้องแยก หญงิ กบั ชายไวค้ นละแหง่ เพราะเริ่มเข้าเรียนก็อายุ 9 ขวบแล้ว แสงสวา่ ง ในการเดินทางใช้ไต้ส่วนมากจะเปน็ ไต้ห่อใบตองกระพ้อ แสงสวา่ งในบ้านเรอื นใช้ตะเกยี ง มตี ะเกียงกระป๋อง ตะเกยี งแตะ ตะเกยี งแขวน ตะเกยี งรัว้ ใชน้ า้ มนั ก๊าดเป็นส่วนใหญ่ การซื้อน้ามนั ซ้ือกนั ทลี ะขวด ครึง่ ขวด ส่วนตะเกยี งเจา้ พายุตามรา้ นขายอาหาร รา้ นกาแฟ หรอื บ้านเรือนท่านผมู้ ีเงนิ เป็นเถ้าแก่ไม่ก่ีบ้านเท่านั้น การประกอบอาหารขณะน้ันยังใช้ฟืนนกันเป็นส่วนมาก การหงุ ขา้ วใช้หมอ้ ดนิ กน้ พอง คอคอด ปากมาย มี ฝาระมี เวลาจะรนิ นา้ ข้าวหรอื วางมีสงิ่ เหวยี นซ่ึงส่วนลา่ งใชร้ องกัน ส่วนสายใชช้ ัดบังคับฝาระมีทีป่ ิดปากหม้อ กระทะเหลก็ กระทะทองเหลอื งมใี ชก้ นั แลว้ การตกั ขา้ วใส่หม้อดนิ ต้องใช้กระจา่ ใช้ทัพพโี ลหะไม่ได้หม้อจะทะลุ ขณะนัน้ หม้อท่ี เป็นอลมู ิเนยี มก็มใี ช้กนั แลว้ การกนิ อาหารประชาชนส่วนใหญใ่ ช้มอื เปบิ อยู่ การใช้ชอ้ นสอ้ มคงจะมีเฉพาะวัดแต่ก็ยัง น้อยแต่ชอ้ นสังกะสเี คลอื บมีใชก้ ันแล้ว แตก่ ารกนิ อาหารขณะนนั้ บางคนใช้วิธหี ยบิ ชามแกงข้ึนชดอยู่บ้างเทา่ ท่รี ู้จกั ก็ มีอยทู่ ่ีปากน้าประแสหม่ทู ี่ ๒ นา้ ปากนา้ ประแสเปน็ หม่บู ้านชายทะเลจึงค่อนข้างจะกันดารนา้ น้ากนิ อาศัยนา้ ฝน แตก่ ็ต้องมีตุ่มมาก ๆ หรอื มนี า้ ขังน้าฝนไว้กิน ใช้ เมอื่ ขาดกต็ ้องอาศัยซ้ือจากผ้ทู ่ีมีถงั ซีเมนตข์ นาดใหญ่หรือซื้อจากเรอื บรรทุกนา้ ขายซง่ึ ไปบรรทกุ น้าจืด มาจากบ้านเนนิ ฆอ้ สว่ นนา้ ใชอ้ าศยั นา้ บอ่ ซ่งึ นา้ กร่อยและไมม่ ีมาก ตอนล่างขดุ บอ่ น้าไม่ได้ ตอนกลางกม็ ีไมก่ ็บ่อ บ่อสาธารณะ มีเพยี งบ่อเดียวนอกนั้นเป็นบ่อมเี จ้าของ จะตกั เอาใช้หรือเอาไปต้องขอหรอื ถ้า จะขนไปกต็ ้องซ้ือ คนซื้อตอนบนสว่ นมากหาบ ตอนล่างหาบเดนิ ลาบากใชบ้ รรทุกใสเ่ รือไป และมคี นนาน้าใชม้ า จาหนา่ ยอกี เช่นกนั เพราะเหตุที่กนั ดารนา้ ดื่มนเี้ ปน็ เหตใุ หท้ ่านเจ้าคณุ พระราชมงคลมุนี (เทศนิทเทสกเถระ) ซ่งึ ต่อมาเล่ือนเปน็ พระมหารชั มังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ ผู้สร้างวัดสารนาถธรรมาราม ซ่งึ มี ภมู ิกาเนดิ ทีบ่ ้านนาซา ปากน้าประแส จงึ ได้มาสร้างถงั น้าฝนและข้างบนใช้เปน็ หอไตรใหไ้ ว้ทว่ี ัดตะเคียนงาม และ วัดสมมติเทพฐาปนาราม วัดละ ๑ หอ ปัจจบุ นั กย็ งั คงอยเู่ ป็นทไ่ี ด้อาศัย สาหรบั ตะเคยี นงามในสมยั น้ันมีตุ่มหรอื โอ่ง ใสน่ ้าหลายสิบใบ คงจะเกอื บร้อยใบสว่ นน้าใชไ้ ม่ขาดแคลน เพราะมีบ่อนา้ อาศัยใช้ได้ดี ส่วนวัดสมมติเทพฯ ก็ เชน่ กนั น้าใช้มีบ่อพออาศยั ใชไ้ ด้ คู่มือรจู้ ักชมุ ชนประแส เลม่ ที่ 1 เร่ือง วถิ ปี ระแส โรงเรยี นชมุ ชนวดั ตะเคียนงาม

16 ทม่ี าค้าวา่ ประแส, กระแส ประแส นอกจากจะเป็นช่ือของชุมชนโบราณชุมขนหนึง่ แล้วประแสยังเป็นชือ่ แม่น้าสายสาคัญสายหนง่ึ ของ ชาวระยอง อีกดว้ ย หลกั ฐานเกา่ แก่ท่สี ดุ เกี่ยวกับคาวา่ ประแสนั้น ผเู้ ขียนได้อ่านพบในจดหมายเหตพุ ระอุบาลไี ป ลงั กาทวปี เมอ่ื พ.ศ. ๒๒๙5 ในสมัยรชั กาลพระเจา้ อยู่หวั บรมโกศ แหง่ กรุงศรีอยธุ ยาความบางตอนวา่ \"ครนั้ เวลา 3 โมงเชา้ ยาตรา กําปั่น ทรงพระราชสาส์นไปทศิ บูรพา ข้ามอ่าวไปตรงชลบุรแี ละใช้ใบไปนอกเกาะสีชัง เกาะ ไผ่ เกาะความ ช่องแสมสาร ตรงปากน้ําระยอง ปากนํ้าประแส ปากนํ้าจันทบรุ \"ี และค่าวา่ ประแส คา ๆ นก้ี ็ใช้ มาตลอดในเอกสารทางราชการ ตลอดเวลา เกอื บ ๒๐๐ ปี จนมาถงึ ปี พ.ศ. ๒๔8๖ ผเู้ ขียนได้เหน็ เอกสารช้ันหนงึ่ ก็ พบวา่ มีการใชค้ าว่า กระแสเพิ่มข้ึนมา ดังรายละเอยี ด ตามเอกสารดังต่อไปนี้ (พิมพ์ตามต้นฉบับเดิม) ท่ี ๒๖/๔/๒๕๕๖ แผนกสึกษาธกิ ารอาเพอแกลง ๘ สิงหาคม ๒๕๕๖ เรื่อง อนโุ มทนาเกื้อกลู การสึกสาประชาบาล จาก คณะกรรมการอาเพอแกลง ถึง เจา้ คณะอาเพอแกลง ตามท่ไี ด้มหี นงั สือแจง้ ไปทางอาเพอเรื่องได้ขอรอ้ งเจา้ อาวาส กานัน และราสดร ได้ช่วยกนั ถมดินท่ลี ุ่มน้าท่วม ไมล่ ด วกแกน่ ักเรียนในบรเิ วนสนามหน้าโรงเรียนประชาบาล ตาบนปากน้ากะแส ๑ ใหเ้ ปน็ ทีเ่ รียบรอ้ ยนัน้ ได้แจ้ง อนุโมทนาโป จงั หวัดแลว้ เวลาน้ที างจงั หวดั ได้ประกาศแจ้งอนุโมทนาในส่วนกุศลอันน้ีได้แนบสาเนามาพร้อม หนังสอื นี้ ขอได้โปรดแจง้ ใหเ้ จา้ อาวาส กานัน และราสดร ผมู้ สี ว่ นร่วมในการกศุ ลคร้ังน้ีซาบทั่วกันด้วย นมัสการมาด้วยความเคารพ (นายฉลอม บนั ดิต) ศึกษาธิการอาเภอ ค่มู ือร้จู ักชุมชนประแส เล่มท่ี 1 เรอื่ ง วถิ ปี ระแส โรงเรียนชุมชนวัดตะเคยี นงาม

17 เอกสารดังกลา่ ว ผู้เขียนถือว่าเป็นเอกสารที่เกา่ แก่ท่สี ุดเท่าที่ผู้เขียนจะหาได้ในขณะนี้ ถ้าทา่ นผู้อา่ นทา่ นใด มเี อกสารทเี่ ก่าแก่กวา่ น้ีกรณุ าบอกผู้เขียนต้องจักขอบคุณมาก สาหรบั เหตผุ ลท่ีมีการเปลีย่ นจากคาวา่ ประแส เปน็ กระแสนนั้ มสี าเหตุมาจากการทไ่ี มม่ ีคาแปลของคาวา่ ประแส จึงทาให้ทางราชการในสมัยนัน้ ได้เปลย่ี นช่ือตาบล ปากนา้ ประแส เป็น ตาบลปากน้ากระแสตง้ั แต่นนั้ มา หลงั จากน้ันอีกไม่นานคาว่า ประแส ทไ่ี ม่มี ร์ ก็เรมิ่ มี ร์ เกิดขึน้ มาอีก จงึ ทาให้การเขียนชอื่ สถานทรี่ าชการในพ้ืนที่ตาบลกระแสหลายหน่วยงานเขยี นชือ่ หนว่ ยงานของ ตนเองมี ร์ การนั ต์ บา้ งไมม่ ีการันต์ บ้าง อาทิ เช่น สถานท่ีตารวจภูธรตาบลปากน้าประแส การประปาปากนา้ ประแส ทที่ าการไปรษณยี ป์ ากนา้ ประแส เรือ รบหลวงประแส เทศบาลตาบลปากนา้ ประแส เปน็ ต้น สําหรับความหมายคําว่า \"ประแสน้นั ในพจนานุกรมไม่ไดใ้ ห้ความหมายว่าไว้ จึงไม่สามารถที่จะหาคาํ แปล ได้ว่า คาํ น้หี มาย) ความว่าอะไร จึงทาํ ให้ผทู้ ่ีอาวุโสสองท่าน ซงึ่ ประกอบดว้ ย พระครูประภทั รวิรยิ คณุ และนายระวี ปัญญายิ่ง ไดว้ ิเคราะหว์ ่าคาํ ว่า ประแส นา่ จะมาจากภาษาชอง คาํ วา่ ฟรีแซร์ หรือ ปรแี ซร์ หมายถึง ปา่ ทงุ่ นา คอื ป่าทีถ่ างแล้ว และใชป้ ลูกข้าว ถา้ เปน็ ท่ดี อนก็ทําไร่ปลูกข้าว ถา้ เปน็ ท่ีลุ่มก็ทาํ นาปลูกข้าว\" ทีก่ ลา่ วมานัน้ เป็นการสันนิษฐานเท่านนั้ อาจจะผดิ พลาดได้ผู้เขียนขอเชญิ ชวนทกุ ๆ ทา่ นว่า ถ้าจะเขยี น ถงึ ประแสกใ็ ห้ ใช้คาวา่ ประแสโดยไม่ต้องมีร์ เน่ืองจากคา ๆ นใ้ี ช้มานานเป็นรอ้ ย ๆ ปี มาแล้ว ไม่น่าจะมกี าร เปลย่ี นแปลงอกี แลว้ บ้านแหลมเหี่ยงแหล่งโบราณคดียคุ กรงุ สุโขทยั จากการท่ีพระจาปี แหง่ วดั พลงช้างเผือก ไดม้ าบอกกับผู้เขียนว่า นายบรรเจิด ทรพั ย์แกว้ อยบู่ า้ นเลขท่ี 11๘/๑๒ หมู่ ๑๒ ตาบลบา้ นนา ไดส้ ารวจพบโบราณวัตถจุ ากผิวดินทีถ่ ูกไถพรวนบรเิ วณทนี่ า และพน้ื ทเ่ี นินซงึ่ ปัจจุบนั เป็นปา่ ยคู าลปิ ตสั ใกล้บ้าน จงึ เก็บรักษาโบราณวัตถุและเคร่ืองมือเหลก็ ตา่ ง ๆ เอาไว้ ผ้เู ขยี นไดไ้ ปพบ นายบรรเจดิ ทรัพยแ์ ก้ว ทีบ่ า้ นและได้พบกับโบราณวัตถุดังกล่าว จึงไดแ้ จ้งไปยงั สานกั งานโบราณคดีและพิพธิ ภัณฑ์ สถานแหง่ ชาติที่ ๔ ปราจีนบุรี เม่อื วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๕ เพื่อทาการสารวจโดยมเี จา้ หน้าทีด่ ังต่อไปนี้ ได้มาสารวจ เม่ือวนั ท่ี ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕4๕ ๑. นายอศั วี ศรจิตติ ผู้อานวยการสานักงานโบราณคดฯี ที่ ๔ ปราจีนบรุ ี ๒. นางสาวสรัญญา สุรยิ รัตนากร ภณั ฑารักษ์ ๗ ๓. นายอาณัติ บารงุ วงศ์ นกั โบราณคดี 7 ว ๔. นางสาวปณติ า สายนุช นกั วิชาการวฒั นธรรม ๕. นายเกียรตินิยม นกน้อย พนกั งานขบั รถยนต์ นอกจากน้ันแลว้ ยงั มผี ูเ้ ขยี น พระจาปี และนายบรรเจดิ ทรัพย์แกว้ ได้ร่วมกันสารวจด้วย หลังจากไดม้ ีการ สารวจดังกลา่ ว เสร็จเรียบรอ้ ยแลว้ สานักงานโบราณคดีฯ ท่ี ๔ ปราจนี บุรี ได้จัดทาเอกสารผลการสารวจในคร้ังน้ี รายละเอียดมดี งั ต่อไปน้ี คูม่ อื รู้จกั ชุมชนประแส เลม่ ที่ 1 เรอื่ ง วถิ ปี ระแส โรงเรียนชมุ ชนวดั ตะเคียนงาม

18 การเดนิ ทางเข้าสูแ่ หล่งโบราณคดี เริ่มจากตวั อาเภอแกลง ไปทางทศิ ตะวันออกเฉยี งเหนอื ตามทางหลวงสาย ๓๓๗๗ มุ่งสวู่ ดั บา้ นนา ผา่ นวัด บา้ นนาไป ประมาณ 0.๕ กิโลเมตร จะมีทางแยกเล้ยี วขวาก็จะถึงแหลง่ โบราณคดีซง่ึ อยู่ห่างจากถนนใหญ่ประมาณ 200 เศษ สภาพทว่ั ไปของแหล่งโบราณคดี ตวั แหลง่ โบราณคดีอย่หู ่างจากตัวอาเภอแกลงในปจั จบุ ันไปทางทิศตะวนั ออกเฉียงเหนือเป็นระยะทาง ตดั ตรงประมาน ๔ กโิ ลเมตร บรเิ วณใกลเ้ คยี งทว่ี ัดโพธ์ทิ องซึง่ เป็นตวั เมอื งเก่านั้น อยหู่ า่ งจากแหล่งโบราณคดี บ้านแหลมเหยี งไปทางทิศใต้ เป็นระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร มคี ลองมะกอกซ่ึงไปสู่ปากน้าประแส อยู่ห่างจาก แหลง่ โบราณคดไี ปทางทิศตะวันออก ราว 2 กิโลเมตร ส่วนทางทศิ ตะวนั ตกห่างออกไปราว 2 กโิ ลเมตร มีแมน่ า้ ประแสไหลผา่ น บริเวณแหลง่ โบราณคดี มีลักษณะเป็นเนินดินสลบั กบั ท่นี า ตัวเนินเป็นที่สาหรับปลูกไม้ยูคาลปิ ตสั มี ๒ เนนิ มีท่นี าค่นั อยู่ระหวา่ งกลาง ตัวเกนิ กวา้ งราว 60 เมตร อยหู่ ่างกนั ราว 100 เมตรเศษ ยอดเนนิ อยู่สูงจาก พน้ื นาประมาณ 1 เมตร สภาพดินโดยทั่วเป็นนดินเหนียว มคี วามอุดมสมบูรณ์ตา่ ดนิ มสี ีเทาปนเหลอื ง ซึง่ ในอดีต นา่ จะมกี ารแช่ขังของน้าเป็นเวลานาน ลึกจากผิวดนิ บนพ้นื นาราว 1 เมตร ดินมจี ุดประสีเหลือง ภาพ : จาน เขียนลายปลา ผลติ จากเตาเมืองสุโขทัย อายุราวกลาง พุทธศตวรรษท่ี ๒๐ – ตน้ พทุ ธศตวรรษที่ ๒๑ หลักฐานทางโบราณคดี จากการสารวจ พบหลักฐานทางโบราณคดีจาพวกเศษภาชนะดนิ เผาจานวนเล็กน้อย โบราณวตั ถสุ ่วนใหญ่ ที่ปรากฏในรายงาน พบอยู่บนผิวดนิ บริเวณท่ีถกู ไถพรวน ซึ่งนายบรรเจิด ทรัพย์แกว้ ได้รวบรวมไว้โดยเกบ็ จาก หนา้ ดนิ ที่ถกู ไถพรวน หลายครัง้ ช้นั ดินท่ีอยอู่ าศัยในสมัยก่อนนา่ จะอยตู่ า่ จากผิวดินปัจจุบันราว 1 ฟุต จากการ สารวจสามารถแยกโบราณวัตถุ ออกเปน็ ประเภทต่าง ๆ ได้ดงั นคี้ ือ คมู่ อื ร้จู กั ชมุ ชนประแส เล่มที่ 1 เร่อื ง วิถปี ระแส โรงเรยี นชมุ ชนวดั ตะเคยี นงาม

19 ๑. โบราณวตั ถปุ ระเภทดินเผา พบเศษภาชนะทง้ั ชนิดเน้ือไม่แกร่ง เผาอุณหภูมิต่า และเน้ือแกรง่ เผาอุณหภูมิสูง มีทั้งเคลอื บและไมเ่ คลือบ ชนิ้ สว่ นตุ๊กตารปู สัตวไ์ ด้แก่ 1.1 เศษภาชนะดนิ เผาชนิดเนื้อไม่แกรง่ เปน็ เศษภาชนะเผาอุณหภูมติ า่ ราว ๘00 องศา ผวิ สสี ม้ อมเทา หนาราว 0.3 - 0.๕ เซนตเิ มตร มลี ายประทบั รปู ฟันปลาขนาดใหญ่ หูภาชนะแบบไห ๔ หู จากแหล่งเตาแม่น้าน้อย อายุราวพทุ ธ ศตวรรษที่ ๒๑ - ๒๓ (พ.ศ. 2001 - พ.ศ. 2300) นอกจากนี้ยังพบที่จับฝาภาชนะแบบฝาละมี มีปุ่ม จับทง้ั แบบส่วนบนเรยี บและนุ่มคล้ายลกู จันทน์ ชน้ิ สว่ นต๊กุ ตารูปสัตว์ขนาดเลก็ ๑.๒ เศษภาชนะดินเผาชนดิ เนื้อแกร่ง เผาอุณหภูมสิ งู ภายในเตาเผาอณุ หภมู ิราว 1,200 องศา มีทง้ั ชนิด ไม่เคลือบ ประเภทกระปุกและชนดิ เคลอื บ แบง่ เป็น ๑.๒.๑ เศษภาชนะดนิ เผา เครอื่ งเคลือบผลติ ในประเทศ พบกน้ ภาชนะแบบชามลายปลาแบบเตาทเุ รยี ง เมอื งเก่าสโุ ขทยั และกน้ ชามเคลือบเขียวไขก่ าแบบเตาเกาะนอ้ ย - ปา่ ยางสโุ ขทัย อายรุ าวพทุ ธศตวรรษที่ ๑๙ - ๒๒ (พ.ศ. ๑๘01 - 22oo) ๑.๒.๒ เศษภาชนะดินเผา เคร่ืองเคลือบต่างประเทศ พบชิ้นสว่ นชาม ชอ้ น มที ้งั เขียนสีน้าเงินอมเทาบนพ้นื ขาวนวลแบบสมัยราชวงศช์ งิ เขยี นสีเทาบนพื้นขาวนวลทกี่ ้นชามด้านในมีส่วนไม่เคลือบเปน็ รปู วงแหวน แบบเครอื่ ง ถว้ ยญวน ฝาภาชนะแบบเบญจรงค์ร่นุ หลงั อายรุ าวพุทธศตวรรษท่ี ๒4 - ๒๕ (พ.ศ. ๒๓๐๑ - พ.ศ. ๒๕๐๐) และ ลายพิมพส์ นี า้ เงินบนพนื้ ขาวแบบเครอื่ งถ้วยจีน ซ่งึ ทาเปน็ อุตสาหกรรมจานวนมากในพุทธศตวรรษที่ ๒๕ (พ.ศ. ๒๔๐๑ - พ.ศ. ๒๕00) ๒. เคร่ืองมอื เหล็ก มหี ลายชนิดเช่น มีด หลาว สว่ิ หัวธนู กรรไกรหนบี หมาก ใบหอกมบี ้อง ทวน เปน็ ตน้ ๓. พลอยดิบ มีทงั้ ก้อนพลอยดบิ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.๓ - 0.๕ ซ.ม. บางชิ้นยงั มกี ้านตดิ พลอยสาหรบั เป็นด้านจับ เพ่ือเจียระไนติดอยู่ ๔. ฟนั สัตว์ กระดกู สตั ว์ พบฟนั สัตว์กินเน้ือและช้นิ สว่ นกระดูกสตั ว์กินพืชตวั ใหญ่ จาพวกวัว ควาย ฯลฯ คมู่ อื รู้จกั ชมุ ชนประแส เล่มที่ 1 เร่อื ง วิถปี ระแส โรงเรียนชมุ ชนวัดตะเคียนงาม

20 ขอ้ สันนษิ ฐาน อนึง่ หลกั ฐานทางโบราณคดีที่มีอายุเก่าแกท่ ี่สดุ ที่พบบรเิ วณบ้านแหลมเหียง ได้แก่ เคร่ืองถว้ ยชาม แบบสงั คโลก ซ่ึงทากนั ตัง้ แตส่ มัยสโุ ขทัยจนถงึ พทุ ธศตวรรษท่ี 22 (ราว พ.ศ. ๑๘01 - พ.ศ. ๒2oo) ในกรณนี ี้ อาจเป็นมรดกตกทอดที่ คนรุ่นหลงั นามาใช้ต่อเน่ืองในสมัยหลงั สว่ นภาชนะดนิ เผาทพ่ี บมาก ได้แก่ ชิ้นส่วนภาชนะ เครอื่ งถ้วยจนี ในสมัยราชวงศ์ชิง รนุ่ หลงั ราวสมยั รัชกาลท่ี 3 - รัชกาลท่ี 6 แหง่ กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ แตเ่ ม่ือยอ้ นมาดู เหตกุ ารณ์ในประวตั ศิ าสตร์พบวา่ ในชว่ ง รชั กาลที่ ๒ - ๓ มีการค้าสาเภามาก โดยเฉพาะอย่างยิง่ การคา้ ทางทะเล กับจนี มาเจรญิ รงุ่ เรืองมากในรัชสมัยพระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลิศหลา้ นภาลยั รชั กาลท่ี 2 และพระบาทสมเด็จ พระนัง่ เกล้าเจ้าอยูห่ ัว รัชกาลที่ ๓ ดังปรากฏในเอกสาร ของชาวต่างชาตทิ ่ีเดินทางเข้ามาในกรุงเทพมหานคร ในขณะนน้ั กล่าวถงึ การคา้ สาเภาระหว่างไทยกบั จีนว่ามีจานวนมาก ถงึ 90% ของจานวนการคา้ ทั้งหมดของ ประเทศ จากเอกสารการรายงานของสานกั งานโบราณคดีฯ ท่ี ๔ ปราจีนบรุ ี ทาให้ผูเ้ ขยี นมปี ระเด็นทจ่ี ะวิเคราะห์ หลายประเดน็ อาทิเชน่ 1. ความเก่าแก่ของเมอื งแกลง จากการที่มีการพบโบราณวัตถเุ ป็นจานวนมากท่บี ้านแหลมเหยี ง เชน่ เครื่องถว้ ยชามแบบสังคโลก ซึ่งทา กนั ในสมัยกรงุ สุโขทัยจนถงึ พุทธศตวรรษท่ี ๒๒ (ราว พ.ศ. ๑๘๐๑ - พ.ศ. ๒๒๐๐) จึงสนั นิษฐานว่า เมอื งแกลง นา่ จะมกี ารตัง้ เมือง มาแลว้ ตั้งแต่สมยั กรงุ สโุ ขทยั หรืออย่างน้อยนา่ จะเปน็ สมยั กรุงศรีอยุธยาตอนต้นก็เปน็ ได้ เน่อื งจากลาลูแบร์ ชาวฝรง่ั เศส ทีไ่ ด้เดินทางเข้ามาในสมัยกรุงศรอี ยุธยาได้บนั ทกึ ไว้วา่ \"เมอื งจันทบรุ ี เป็นเมือง ขนาดใหญ่ท่ีมอี ํานาจในการควบคมุ ดแู ล เมืองชน้ั จัตวา ๗ เมอื ง ท่ีอยูใ่ กล้เคยี งอาทเิ ช่น ชลบรุ ี บางละมุง บางพระ แกลง ระยอง ขลงุ ทุ่งใหญ่\" จากหลกั ฐานดงั กล่าวแสดงวา่ ในสมยั สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช เมอื งแกลงมีอยแู่ ลว้ ดังนี้ ภาพ : เครอ่ื งถว้ ยพ้ืนเมืองมลายประทบั สมัยอยุธยาตอนปลายถึงตน้ กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ คูม่ อื รู้จกั ชมุ ชนประแส เลม่ ท่ี 1 เรื่อง วถิ ปี ระแส โรงเรียนชุมชนวดั ตะเคยี นงาม

21 2. สถานทต่ี งั ศรีศักร วัลลิโภคม ได้กลา่ วถงึ การต้ังเมืองในบริเวณหัวเมืองตะวันออกในสมัยกรุงศรีอยธุ ยาไว้ดงั น้ี หลกั ฐานทางประวัติศาสตร์สมยั กรงุ ศรีอยุธยาทั้งที่เป็นหลักฐานภายในและหลักฐานภายนอก มักกลา่ วถงึ ช่ือเมือง เช่น ชลบุรี ระยอง จนั ทบุรี ตราด กนั บ่อย ๆ แต่ไม่พบอะไรท่ีแสดงตาแหน่งที่ถาวร หัวเมืองเหล่านั้นเลย คงมีแต่ เพยี งเมืองจันทบุรเี พียงแหง่ เดียวเทา่ น้ันท่ีมรี องรอยของเนินดนิ กาแพงเมือง คูเมือง และโบราณสถานวัตถุ แสดงให้ เห็นว่าเป็นเมอื งท่ีถาวรและสาคญั ในขณะเดียวกนั กค็ งเป็นเมืองที่มอี านาจพอสมควรในการปกครองบรรดาหัวเมือง ชายทะเลเหลา่ น้ี ความไม่แน่นอนในตาแหนง่ ท่ีตั้งของเมือง อนั เนื่องมาจากการไม่อยคู่ งที่ถาวร เชน่ เมืองทางเกษตรกรรม ในที่ราบลุ่ม ดังกล่าวนี้ ได้สะท้อนให้เหน็ สิ่งที่น่าเป็นไปได้อย่างหนึ่งว่าผคู้ นทเ่ี ขา้ มาตั้งหลักแหลง่ นน้ั อาจมีการ เคล่ือนยา้ ยโยกยา้ ยบ่อยครงั้ แล้วยงั เปน็ พวกที่มีหลายพ่อพันแมท่ ม่ี าจากถ่ินตา่ ง ๆ เผ่าพันธุต์ ่าง ๆ หรือบ้านเมือง ตา่ ง ๆ ทาใหเ้ กิดความหลากหลายทางวัฒนธรรมขึน้ ไม่อาจรวมกนั เปน็ กล่มุ กอ้ นเป็นพวกเดยี วกนั ในทางวฒั นธรรม ท่ีจะมผี ลให้เกิดบรู ณาการทางการเมืองข้ึนได้ ท้งั น้ีกเ็ พราะศูนย์กลางอานาจท่สี าคัญ เช่น อยุธยา ไม่เห็นความ จาเป็นนนั่ เอง สภาพและฐานะของเมืองชายทะเลเหล่านี้จงึ อยู่ในลักษณะทเี่ ปน็ บริเวณชายขอบตลอดมา ความเปล่ียนแปลงในเร่ืองตาแหนง่ ทต่ี งั้ และฐานะของบรรดาหัวเมอื งชายทะเลดา้ นตะวันออก นา่ จะ เกิดขึ้นอยา่ งมากตัง้ แตร่ ัชกาลสมเดจ็ พระนเรศวรเปน็ ตน้ มา อนั เนอ่ื งมาจากการสงครามกับทางเขมร เพราะพวก เขมรแอบเข้ามาโจมตกี วาดต้อนผูค้ นอย่เู นือง ๆ ภาพ : ลกู ปัดแกว้ และหินที่นามาทาเคร่ืองประดับ พอมาถงึ รัชกาลของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง กจิ กรรมการคา้ ทางทะเลก็เจริญมากขน้ึ มีพวกพอ่ คา้ ทางตะวนั ตกเข้ามาตั้งสถานีการคา้ และสนับสนนุ ใหเ้ กดิ ชุมชนหวั เมอื งชายทะเลเพิม่ ขึน้ ซ่ึงทางรัฐบาลไทยจาเปน็ ทตี่ อ้ งใหค้ วามสนใจ จัดระบบในการควบคุมและปกครองบ้านเมืองที่เกดิ ขนึ้ เหลา่ นี้ ทั้งในเรอื่ งป้องกนั การรุกราน จากศตั รูและการรักษาผลประโยชน์ ทางการค้าและเกบ็ ภาษอี ากร แต่กระน้ันกด็ ีเรื่องราวเก่ียวกบั บ้านเมืองทาง ภูมภิ าคตะวันออกทงั้ ในเขตชายทะเลภายใน กย็ ังไม่มอี ะไรทโ่ี ดดเดน่ จากเอกสารดงั กล่าว เป็นไปได้ไหมวา่ เมืองแกลงในอดตี ตั้งอยทู่ ี่บ้านแหลมเหียงแลว้ ภายหลงั ไดย้ ้ายไปอยู่ บริเวณ ใกล้ ๆ วัดโพธ์ทิ องในปัจจุบนั น้ี คูม่ ือรูจ้ ักชมุ ชนประแส เลม่ ที่ 1 เร่อื ง วถิ ปี ระแส โรงเรยี นชุมชนวัดตะเคียนงาม

22 ๓.เศรษฐกิจ จากการท่ีได้มีการคน้ พบโบราณวัตถจุ าพวกเครอื่ งถว้ ยชามสังคโลก และเครื่องถว้ ยชามจนี เป็นจานวนมาก ทบี่ า้ นแหลมเหยี งนน้ั แสดงให้เหน็ วา่ เมอื งแกลงในอดีตนน้ั ไดม้ ีการตดิ ต่อค้าขายกบั ชุมชนอนื่ ภายนอกมาตั้งแต่สมัย กรงุ ศรีอยธุ ยาตอนต้นหรือตัง้ แตส่ มยั สุโขทัยมาแลว้ ก็เปน็ ไปได้ โดยใช้แม่น้าประแสเปน็ แมน่ า้ หลกั ในการขนสง่ สินคา้ ซึ่งเรื่องนี้ศรีศักร วิลลิโภดม ได้วิเคราะหส์ ภาพของหัวเมอื งชายฝั่งตะวันออกในสมัยโบราณไวด้ งั น้ี จาก “หลกั ฐานทางโบราณคดีที่ค้นพบในซากเรือท่ีจมทะเล หรือตามชายฝงั่ ตัง้ แตเ่ ขตจงั หวดั ชลบรุ เี รื่อยไปจนถึงจังหวัด ตราดน้ัน นบั เป้นสงิ่ ที่เพยี งพอทก่ี าหนดได้ว่ามีการสัญจรไปมาของการคา้ ทางทะเลอย่ตู ลอดเวลาตั้งแต่สมยั พทุ ธ ศตวรรษที่ ๒๐ - ๒๑ ลงมาจนถงึ ปลายกรงุ ศรอี ยุธยาทเี ดยี ว” จากการที่ได้มีการติดต่อค้าขายกบั ชมุ ชนอ่นื นนั้ สนั นษิ ฐานวา่ เมืองแกลงในอดตี นั้นน่าจะมีเศรษฐกิจทด่ี ี โดยสงั เกตจกาวตั ถุท่ีใชใ้ นชวี ิตประจาวัน เช่อื เคร่อื งถว้ ยชามสงั คโลกและเคร่ืองถ้วยจีน เนอ่ื กจากสินค้าพวกนเ้ี ปน็ สินคา้ ท่มี คี ุณภาพจะต้องสังซื้อมาจากตา่ งประเทศ หรอื มาจากเมืองหลวง ซึ่งในสมัยโบราณอาชีพท่ที ารายไดท้ ี่ สาคญั ของเมืองแกลงน้นั ก็คอื อาชพี ขายของปา่ อาชพี ท่ีส้าคญั ในอดตี ๑. การท้าไตเ้ มืองแกลง สมยั โบราณเมือ่ ยังไม่มตี ะเกยี งหรือไฟฟ้าใช้ สิง่ ท่ีใหแ้ สงสวา่ งทีส่ าคญั ในยุคน้นั ก็คือ ไต้ ซึ่งเป็นสิง่ สาคัญท่ี ทกุ ครวั เรอื นจะต้องมีใช้ ซึ่งหลักฐานที่สาคญั ท่ีทาให้รู้ถึงวถิ ีชวี ติ ของชาวระยองและเมือง แกลงท่ยี งั คงใชไ้ ตเ้ พ่ือเปน็ อปุ กรณส์ าคัญในการให้แสงสวา่ งในครวั เรือนก็คอื นิราศเมืองแกลง การทาไต้ มี ๒ อย่าง อยา่ งหนึ่งทาด้วยเปลอื กเสมด็ มาทอนใหเ้ ทา่ กับไต้ เมื่อเหน็ น้ามนั ออกสีแล้วจงึ เอาใบ สดฟาดปากหลุมใหไ้ ฟดับ แล้วเอาเปลือกเสม็ดอัดไวใ้ นหลุมพอสมควรแล้วทง้ิ ไว้สามคนื แล้วจงึ ไปคัดเอามาแบ่ง ออก ไต้อีกอย่างหนงึ่ นัน้ เอาไม้ยางผุๆ มาถากให้ลาไตแ้ ล้วแชน่ า้ มันยาง บางทีก็ก่อใบกะพ้อ บางทีกไ็ มห่ ่อ เรียกวา่ ไต้คบ สาหรับแหลง่ ผลิตไตท้ ส่ี าคญั ของเมืองแกลง ในอดีตนั้นจะอยู่บริเวณป่ายุบใน คลองเขต ชากนา คลองพลุ เพราะบรเิ วณน้ีเปน็ แหล่งที่มีต้นยางมากและน้ามันยางกเ็ ปน็ วสั ดทุ ีส่ าคัญในการทาไต้ จากหลักฐานดงั กลา่ วทาให้เราทราบว่า ไตน้ ั้นเป็นสินคา้ สาคญั และทารายได้ให้แก่ประชาชนในภาค ตะวนั ออกเป็นจานวนไมน่ อ้ ย นอกจากนน้ั ยงั เป็นสินค้าทส่ี ามารถสง่ ไปขายยงั ต่างประเทศไดอ้ ีกด้วย คู่มือรู้จักชมุ ชนประแส เลม่ ที่ 1 เรือ่ ง วิถปี ระแส โรงเรยี นชมุ ชนวดั ตะเคียนงาม

23 ๒. การท้าเส่อื เมอื งแกลง เสื่อเมอื งแกลง นบั วา่ เป็นสนิ ค้าท่ีมชี ่อื เสียงของเมืองแกลงต้ังแตอ่ ดีตจนถึงปจั จุบัน คาวา่ เส่ือเมืองแกลง นั้นปรากฏหลักฐานเปน็ คร้ังแรกในหนังสอื คาให้การชาวกรุงเกา่ ว่า “เมืองมะแสง (เมืองพะแส ก็คือเมืองแกลง) สิ่งของทจี่ ะเป็นสว่ ย คือ ศิลาปากนกและส่งิ ของตา่ งๆ เช่น งาช้าง ฝาง กามะถัน ดนิ ประสิว ผ้าขาว ผ้าแดง เสื่อตา่ ง ๆ ไม้แดง ไมด้ า” จากหลักฐานทีป่ รากฏในสมยั กรงุ ศรีอยธุ ยาตอนปลาย นิราศเมอื งแกลงไดก้ ล่าวไวน้ ้ันแสดงให้เห็นว่า ใน สมยั อดีตคนเมอื งแกลงมีความขานาญในการสานเส่อื มาก ไม่ว่าจะเปน็ เดก็ เลก็ หรือผ้ใู หญ่ก็สามารถสานเสื่อไดท้ กุ คน ซ่งึ เสื่อที่ชาวบา้ นทาน้ันก็คือเสอ่ื กก วิธีการท้าเส่อื กกหรือเส่ือกระจูดทา้ ได้ดังนี ตน้ กกหรือต้นกระจดู มลี กั ษณะเป็นต้นกลมโต ขนาดเท่าหลอดกาแฟยาวประมาณเมตรคร่งึ ถงึ ๒ เมตร ขึน้ อยูต่ าม หนองตามบึง เชน่ สานกั ใหญ่ใกล้บ้านแกลง อย่ใู นตาบลชากพงกับหนองยายแระอยู่ในเขตตาบลบา้ นกร่าเป็นหนอง สาธารณะ พอชาวนาเก็บเก่ยี วขา้ วเสรจ็ แล้ว ใครทมี่ คี วามชานาญในการสานเส่ือก็จะชกั ชวนเพื่อนบ้านไปถอนกก กันแลว้ นาเอาเกวยี นโดยมีวัว ควายลากเป็นพาหนะไปใส่ แล้วมกี ารตากย้อมด้วยแป้ง แล้วทาให้แบนมาสานเปน็ เส่ือไว้ใช้ปูนอน ในปจั จบุ นั เสอ่ื กกของเมืองแกลงได้รบั ความสนใจจากหน่วยงานราชการโดยเฉพาะกระทรวงอุตสาหกรรม ทไี่ ดช้ ่วยเหลือชาวบา้ นในเร่ืองเทคนคิ และวธิ ีการ จนทาให้สามารถจดั ตง้ั เปน็ กลมุ่ จักสานกระจูดของตาบลชากพง และได้รับการคัดเลือกเป็นผลิตภัณฑด์ ีเดน่ หนึง่ ตาบลหนง่ึ ผลิตภัณฑ์ ภาพ : การทาเสอื่ เมืองแกลง ๓. การปลกู ยางพาราในอ้าเภอแกลง ยางพารา นับไดว้ า่ เป็นพชื เศรษฐกิจที่สาคญั ของอาเภอแกลงอีกชนิดหนึ่งที่ทารายไดใ้ ห้กับชาวอาเภอแกลง ต้งั แตอ่ ดีตจนถงึ ปัจจุบัน ภาพ : การปลกู ยางพาราในอาเภอแกลง ค่มู อื รจู้ กั ชมุ ชนประแส เลม่ ที่ 1 เรื่อง วถิ ปี ระแส โรงเรียนชุมชนวดั ตะเคยี นงาม

24 การปลูกยางพาราในประเทศเร่ิมปรากฏหลักฐานคร้ังแรกในปี พ.ศ. ๒๔๔๓ ท่อี าเภอเมืองและอาเภอ กันตงั จงั หวัดตรัง โดยขุนนางไทยเช้อื สายจีน คือ พระยารษั ฎานปุ ระดษิ ไดน้ าเมลด็ ยางพารามา ทดลองปลกู เปน็ คร้งั แรก ตอ่ มาในปพี .ศ. ๒๕๕๑ หลวงราชไมตรี(ปูม ปุณศร)ี ในฐานะกรมการพิเศษไดร้ เิ ริ่มนา ยางพารามาทดลองปลกู ในจนั ทบุรีเปน็ คนแรก เนือ่ งจากเห็นว่าจันทบุรมี ลี ักษณะภูมิอากาศชุม่ ชืน้ คล้ายคลึงกนั กบั ในคาบสมทุ รมลายแู ละภาคใตข้ องประเทศ ภาพ : การปลกู ยางพาราในอาเภอแกลง ๔. การปลกู พรกิ ไทย พรกิ ไทย นับวา่ เปน็ พืชเศรษฐกิจท่สี าคญั อีกตวั หน่ึงของชาวอาเภอแกลงในอดตี โดยมปี ระวตั คิ วามเปน็ มา ดงั ตอ่ ไปนี้ พรกิ ไทยในสมยั รตั นโกสนิ ทร์ตอนตน้ จังหวัดจันทบุรีและทุ่งใหญ่ เป็นแหล่งผลิดพริกไทยทีใ่ หฐท่ ่สี ุดของ ประเทศสยามซึง่ คดิ เปน็ ปริมาณ ๒ ใน ๓ ของจานวนพริกไทยท้ังหมดทส่ี ามารถผลติ ได้ภายในประเทศ โดยแบ่งเปน็ พรกิ ไทยดา ๗๐,๐๐๐ หาบ พริกไทยขาว ๒๕๐ หาบตอ่ ปี นอกจากนี้พริกไทยท่ีผลิตได้ในเมืองจันทบรุ ียงั เป็นพริกไทยคณุ ภาพดี มีกลน่ิ หอมฉนุ และเปน็ ท่ีตอ้ งการ ของพอ่ ค้าท่ัวไป ในระหว่างปี พ.ศ.๒๓๖๔ - พ.ศ.๒๓๖๕ ภาพ : การปลกู พริกไทย คมู่ ือรจู้ กั ชุมชนประแส เลม่ ที่ 1 เรอ่ื ง วถิ ปี ระแส โรงเรียนชมุ ชนวดั ตะเคยี นงาม

25 ๕. โรงสีไฟแห่งแรก ประเทศไทยนบั วา่ เปน็ ประเทศหน่ึงท่ีสามารถปลกู ข้าวไดเ้ ป็นจานวนมาก จนสามารถส่งไปขายยงั ต่างประเทศมาตั้งแตส่ มัยอยธุ ยาจวบจนปัจจบุ นั ซง่ึ การสขี ้าวในอดตี นนั้ เป็นการใช้แรงงานคนและเครอ่ื งจักรกลท่ี เรยี กว่า โรงสไี ฟ โรงสีไฟ เรม่ิ มีเปน็ ครงั้ แรกในสมัยพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั รชั กาลท่ี ๔ ประมาณ พ.ศ. ๒๔๐๐ - พ.ศ.๒๔๐๒ โรงสแี รกเป็นของชาวอเมริกา ช่อื วา่ “โรงสจี ักรอเมริกา” โรงสีไฟที่ตง้ั เปน็ โรงท่ีสองช่ือวา่ “โรงสจี ักรบางกอกกาปะนี” ซง่ึ เป็นโรงสที ที่ ากันเฉพาะในกรุงเทพมหานคร บรเิ วณชายฝง่ั แมน่ ้าเจ้าพระยา ก่อนท่ี จะขยายไปยังต่างจังหวัดทว่ั ประเทศ สาหรบั กิจการโรงสใี นอาเภอแกลง ปรากฏหลงั จากการทต่ี ง้ั โรงสีขน้ึ ในอาเภอเพยี งปสี องปี โดยมพี ระแกลง แกลว้ กลา้ และหนุ้ ส่วนเปน็ ผกู้ ่อต้งั เม่ือปีพ.ศ. ๒๔๖๙ และใหช้ ่ือวา่ บุญศริ ิอปุ กรณ์ ตง้ั อยปู่ ากน้าประแส เป็นโรงสีท่ี ใช้กลไฟขนาด ๒๕ แรงมา้ สขี ้าวได้ ๘ หาบตอ่ ๑ ชัว่ โมง หลังจากนน้ั ในปพี .ศ. ๒๔๗๐ ได้มีโรงสีเพิ่มข้ึนอกี ๓ โรงดงั รายช่อื ๑. ราษฎรเจรญิ สาลีกิจ ที่ต้ังตาบลปากนา้ ประแส เจา้ ของคือ นายฮอกกี้และห้นุ ส่วน มีขนาดเคร่ืองกลไฟ ขนาด ๓๐ แรงม้า ๒. บญุ ศิรพิ ลัง ทีต่ งั้ ตาบลทางเกวียน เจ้าของคือ นายอาพร บุญศริ ิ มีขนาดเครอ่ื งกลไฟขนาด ๒๕ แรงม้า ๓. กมิ ฮวด ท่ีตง้ั ตาบลพงั ราด เจ้าของคือ นายเฮงฉวนและหุ้นส่วน ชนดิ เครื่องกลไฟขนาด ๒๘ แรงม้าและ ในพ.ศ. ๒๔๗๒ ไดม้ ีโรงสเี พ่ิมข้นึ มาอีก ๑ โรง คือ เจรญิ สุขยตุ ิธรรม ทีต่ ้งั ตาบลกรา่ ช่ือเจ้าของ นางผาด ชนิด เคร่ืองกลไฟขนาด ๒๐ แรงม้า จากข้อมลู ดังกล่าวจะเห็นว่าอาเภอแกลงในอดีต การทานานา่ จะเปน็ อาชีพหลกั เพราะมีการตงั้ โรงสขี ้นึ มาถงึ ๕ โรง ถ้าเทียบกบั อาเภอเมือง ซ่ึงในระยะเวลาเดยี วกันมโี รงสีเพยี ง ๒ โรงเท่านัน้ ชนิดของโรงสีท่ีต้ังใน อาเภอแกลง มี ๒ ชนิด คอื โรงสที ใี่ ชเ้ ครอ่ื งจักรไอนา้ ท่เี รียกว่ากลไฟและชนิดท่ใี ชเ้ คร่อื งยนต์ นอกจากนใี้ นอาเภอ แกลงยังมีการปลูกขา้ วในพ้ืนที่ ๑๘,๒๖๙ ไร่ ภาพ : โรงสีไฟ คูม่ อื รจู้ ักชมุ ชนประแส เลม่ ท่ี 1 เรอ่ื ง วถิ ปี ระแส โรงเรียนชมุ ชนวดั ตะเคียนงาม

26 ๖. การท้าสาธารณูปโภค กอ่ นนา้ ประปาจะเขา้ มา ชาวชุมชนปากน้าประแสพ่ึงพาแหล่งนา้ จาก ๒ แหล่ง คอื บ่อน้าและเรือขนนา้ บ่อนา้ บรเิ วณชุมชนปากน้าประแสเปน็ บอ่ น้าบาดาลและสว่ นมากเปน็ น้ากรอ่ ยไมเ่ หมาะสาหรบั การดืม่ แต่สามารถ นามาใชใ้ นการอาบ การล้างหนา้ ได้โดยชาวบ้านจะต้องนาปี๊บไปหาบนา้ จากบอ่ นา้ มาใชท้ ี่บ้าน เวลาทนี่ ิยมไปหาบ น้าคือ ช่วงเช้า บอ่ นา้ ท่ีชาวบ้านนยิ มไปหาบ คือ บ่อป้าแจม่ และบอ่ ป้าทว้ิ คดิ ราคาท่ี ๒ หาบ ๑ สลงึ ส่วนบอ่ อน่ื ๆ เช่น บ่อเจ๊ตุ๊ (บอ่ ในตลาด) ไมไ่ ด้เปดิ บ่อขายนา้ บ่อสาธารณะ (ไม่ต้องเสียค่าใชจ้ า่ ย) บริเวณคิวรถคนในชุมชนไมน่ ิยมไปหาบเน่ืองจากนา้ ไม่ค่อยสะอาดและไกล ส่วนนา้ จากเรือขนนา้ จะเปน็ นา้ จดื ท่สี ามารถดื่มได้ ซึ่งน้าจะมาจากสระน้าจดื ใน ตาบลหนองโพง ตาบลเนนิ ฆ้อและตาบลคลองปูน โดยเรือน้าจะ เข้ามาในประแส วนั ละ ๒ – ๓ รอบ คดิ ราคาตุ่มละ ๑ บาท บางครัวเรือนมีการนาตุ่มใส่เรือแจวไปขนน้าจากหนอง โพงเพ่ือนากลับมาใช้ทบ่ี ้านประแสจนถึงปจั จบุ นั ภาพ : การทาสาธารณปู โภค ๗. วิถีชาวเล ในปัจจบุ ันจงั หวัดระยอง เป็นจังหวดั ท่มี ีการขับเคลอ่ื นเศรษฐกจิ อันดับตน้ ๆของประเทศได้เป็นอยา่ งดี เนื่องจากเปน็ เมือง อตุ สาหกรรม เมืองเกษตรกรรมทางอาหารทะเล การเกษตรท่ีมผี ลไม้มากมาย หลายชนดิ ที่ สาคัญยังมสี ถานท่ีท่องเท่ยี ว ซ่ึงไดร้ ับการชนื่ ชม มีแหลง่ ทอ่ งเที่ยวทางธรรมชาติรวมถึงมีศักยภาพรองรับการ ทอ่ งเทย่ี วหลากหลายประเภท เช่น การทอ่ งเท่ียวเชงิ นิเวศ การท่องเทีย่ วเชิงนิเวศทางทะเล การท่องเทย่ี วเชิงกีฬา การท่องเทีย่ วเชิงประวัติศาสตรแ์ ละการท่องเทย่ี วเชิงอนรุ ักษว์ ถิ ชี ุมชน เปน็ ตน้ ทั้งยงั มีทรัพยากรท่ีหลากหลายทาง ธรรมชาติ ไม่วา่ จะเปน็ ทะเล ปา่ เขา น้าตก ฯลฯ นอกจากน้ียังมีวฒั นธรรมประเพณี วถิ ชี วี ติ ของผู้คน ตลอดจนภมู ิ ปญั ญาท้องถน่ิ เหล่านลี้ ้วนเป็นทรพั ยากรทรงคุณคา่ นอกจากการทาอาชีพต่างๆแลว้ ในชมุ ชนปากน้าประแสท่ีเปน็ ชมุ ชนโบราณตง้ั แต่สมยั อยุธยา มีความอดุ ม สมบรู ณด์ ว้ ยทรพั ยากรทางธรรมชาติ และมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ประชากรที่อาศยั มที ง้ั ชาวไทยและชาว จีน พ้นื ทีช่ มุ ชนประแสมีทัง้ ส่วนทตี่ ิดริมน้าและดา้ นในทไ่ี ม่ติดรมิ น้า ประชากรเกือบครึง่ ที่ตง้ั บา้ นเรอื นอยู่รมิ น้า ประกอบอาชีพประมง ขณะที่ประชากรท่ีต้ังรกรากอยูใ่ นพื้นท่ีด้านในไมต่ ิดริมน้าตั้งแตห่ น้าวัดตะเคยี นงามไปจรด ทุ่งคลองปูนประกอบอาชีพทานา ทาสวน เชน่ สวนมะมว่ ง เป็นหลกั คมู่ อื รูจ้ กั ชุมชนประแส เลม่ ที่ 1 เรอ่ื ง วถิ ปี ระแส โรงเรียนชมุ ชนวัดตะเคยี นงาม

27 กวา่ จะเป็นอนสุ าวรีย์สนุ ทรภู่ อนสุ าวรยี ์ คือ สิ่งก่อสรา้ งท่สี ร้างขน้ึ เพื่อระลึกถึงคณุ งามความดีของบุคคลผูท้ าคุณประโยชน์ต่อประเทศ ชาติด้วยการสละกาลงั กาย กาลงั ความดี หรอื แมแ้ ตช่ วี ิตเพื่อปกปอ้ งประเทศชาติ หรืออนสุ าวรียอ์ าจจะสร้างข้ึน เพอื่ ระลึกถึงเหตุการณใ์ ดเหตุการณห์ น่งึ เปน็ พิเศษก็ได้อนสุ าวรีย์จึงถูกสรา้ งข้นึ อยา่ งมจี ดุ ประสงค์ ซ่งึ อาจจะเป็น การเชดิ ชบู ุคคลหรือยา้ เตือนถึงเหตกุ ารณ์ในอดตี ทผี่ สู้ รา้ งใหค้ วามสาคญั การสรา้ งอนุสาวรีย์ในประเทศไทย ด้วยการจาลองภาพบุคคลสาคัญไวต้ ามที่ตา่ ง ๆ เรมิ่ มีในสมัยพระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั อนสุ าวรยี แ์ หง่ แรก คือ พระบรมราชานุสาวรยี ์พระบาทสมเดจ็ พระ จุลจอมเกลา้ เจ้าอยู่หวั (พระบรมรูปทรงม้า) สร้างเสร็จและทาพิธีเปิดเม่ือวนั ที่ ๑๑ พฤศจกิ ายน พ.ศ.๒๔๕๑ ๑ สาหรับในจังหวัดระยองก็มีแนวในการสรา้ งอนสุ าวรยี ส์ นุ ทรภู่ ทบี่ ้านกรา่ อาเภอแกลง ตง้ั แต่ พ.ศ.๒๔๘๐ แล้วรายละเอียดตามเอกสารดงั ต่อไปน้ี ๒ ท่ี ๑๕๖๑/๒๔๘๐ แผนกมหาดไทย จงั หวดั ระยอง ๑๓ กรกฎาคม ๒๔๘๐ เรอื่ งการสรา้ งอนุสาวรีย์ “สุนทรภู่” จากข้าหลวงประจาจังหวัดระยอง ถึงปลดั กระทรวงมหาดไทย ดว้ ยทางจังหวดั ไดร้ บั คาปรารภจากราษฎรในอาเภอแกลง โดยเฉพาะส่วนมากทตี่ าบลกรา่ ใคร่ที่จะสร้าง อนุสาวรยี ์ “สุนทรภู่” ทอ้ งที่อาเภอแกลงจังหวัดระยองและ ขอให้ทางราชการได้รว่ มมือช่วยเหลอื การนีเ้ พ่ือ ความสาเร็จดว้ ย ขา้ พเจา้ เห็นเป็นการสมควรที่จะชว่ ยเหลอื ตามความประสงคข์ องราษฎร เพื่อเปน็ การสง่ เสรมิ เชิดชูเกยี รติ คณุ อันดีของท้องถน่ิ นน้ั ที่ได้รบั ส่วนความภมู ใิ จในชือ่ เสยี งทางจติ รกวีของสนุ ทรภู่ และในการสร้างน้จี าตอ้ งใช้ จา่ ยเงินเปน็ จานวนกว่ากาลงั ของราษฎรจะจดั ทาได้ ฉะน้ันจงึ เรยี นมาเพ่ือพิจารณา ถา้ ชอบด้วยดารแิ ลว้ ขอได้ โปรดรบั ดาเนินงานสรา้ งอนสุ าวรยี ์ “สนุ ทรภู่” เปน็ ทางการในโอกาสอันควรตอ่ ไป หลังจากนัน้ อีก ๒๓ วันตอ่ มา ทางจงั หวดั กไ็ ด้รบั หนังสอื จากกระทรวงมหาดไทย รายละเอยี ดดงั ต่อไปนี้ ๑ สายพณิ แกว้ งามประเสรฐิ การเมืองในอนสุ าวรีย์ท้าวสรุ นารี ศิลปะวัฒนธรรมฉบบั พเิ ศษ พฤศจกิ ายน ๒๕๓๘ ๒ ก.จ.ช. มท. ๕/๕๓ เอกสารกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ราษฎรอาเภอแกลง ปรารถนาจะสร้างอนสุ าวรีย์ สุนทรภูท่ ่ีบ้านกร่า ๒๔๘๐ คมู่ อื ร้จู ักชมุ ชนประแส เลม่ ที่ 1 เรอ่ื ง วถิ ปี ระแส โรงเรยี นชมุ ชนวดั ตะเคยี นงาม

28 ท่ี ๙๒๔๘ / ๒๔๘๐ กระทรวงมหาดไทย เร่ือง การสรา้ งอนุสาวรยี ์ “สนุ ทรภู่” ๖ สงิ หาคม ๒๔๘๐ จาก ปลัดกระทรวงมหาดไทย ถงึ ข้าหลวงประจาจังหวัดระยอง ๑ หนังสือท่ี ๑๕๖๑/๒๔๘๐ ลงวันท่ี ๑๓ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๘๑ ว่าราษฎรในอาเภอแกลงได้ปรารภที่ จะสร้างอนุสาวรยี ส์ นุ ทรภ่ขู ึน้ ท่ีตาบลบ้านกร่า แต่ทา่ นเหน็ ว่าเป็นการใหญ่ต้องใช้จา่ ยเงนิ เปน็ การเกินกาลังของ ราษฎร ขอใหท้ างราชการดาเนินการนนั้ กระทรวงมหาดไทย ได้พิจารณาแลว้ เห็นวา่ การสรา้ งอนสุ าวรยี ์สุนทรภู่ ยังไมอ่ ยใู่ นขา่ ยที่ กระทรวงมหาดไทยจะรับพิจารณา แตเ่ มือ่ จังหวัดเห็นวา่ ควรจะจดั ทาข้นึ ก็ให้พจิ ารณาจัดทาเป็นงานของจังหวดั เองต่อไป ฉะนน้ั จงึ แจ้งมาให้ทราบ จากการที่ไม่ได้รับการสนบั สนนุ จากกระทรวงมหาดไทย ทาใหก้ ารก่อสร้างอนุสาวรยี ส์ นุ ทรภูต่ ้องหยุด ชะงกั เป็นเวลานาน การดาเนินงานการก่อสรา้ งก็ได้มกี ารรื้อฟน้ื ขนึ้ มาใหมอ่ ีกครั้งหน่ึง โดยการนาของ นายเสวตร เปย่ี มพงศส์ านต์ ส.ส.จังหวดั ระยองในสมยั นั้น ทา่ นไดบ้ นั ทึกเรอื่ งน้ีไว้ดังต่อไปนี้ ๒ ข้าพเจ้าศรัทธาท่านสนุ ทรภู่ มหากวขี องไทยมาตั้งแต่อยู่ในวยั ร่นุ และเมื่อมาหาเสียงเลอื กต้ัง ผ้แู ทนราษฎร ในปี ๒๔๘๙ ขา้ พเจา้ ไดบ้ อกราษฎรตาบลบ้านกร่าและตาบลใกลเ้ คยี งวา่ มีอยสู่ งิ่ หนง่ึ ท่ีข้าพเจ้า ตอ้ งทา คือ สรา้ งอนุสาวรีย์สุนทรภู่ขน้ึ ท่บี า้ นกรา่ ที่วัดป่าเดิม ซง่ึ ยงั มีที่ดนิ เหลืออยู่บา้ งประมาณ ๒ ไรเ่ ศษ ภาพ : ศาลาสนุ ทรภู่ เมือ่ ยงั มไิ ดม้ กี ารกอ่ สร้าง ราษฎรในบริเวณนัน้ รจู้ ักท่านสนุ ทรภ่วู า่ เปน็ กวเี อกกนั แทบทุกคน และมีผู้สูงอายุบางคนถอื วา่ เขาเปน็ ผู้ สืบเชื้อสายเดยี วกบั ท่านสุนทรภู่ เมอ่ื ทราบว่าขา้ พเจา้ จะสร้างอนสุ าวรีย์ทา่ นสนุ ทรภ่ดู ใี จกันท่ัวหนา้ และทุกครั้งท่ี มีการเลือกตัง้ ผู้แทนราษฎร พวกเขามาลงคะแนนให้ข้าพเจ้าอยา่ งทว่ มทน้ คู่มอื รู้จกั ชุมชนประแส เล่มที่ 1 เรอ่ื ง วิถปี ระแส โรงเรียนชมุ ชนวัดตะเคยี นงาม

29 ในตอนต้นปี พ.ศ.๒๔๙๘ ข้าพเจ้าได้ทาเรือ่ งเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมขอใหพ้ จิ ารณา สร้างอนุสาวรียก์ วเี อกของชาติ ซึ่งคนไทยรูจ้ ักมากท่ีสุดขน้ึ เพื่อให้เป็นศรสี ง่าแก่บ้านเมือง เช่นเดยี วกบั กวีเอกของ อารยะประเทศซึ่งไดจ้ ัดทากนั มาแล้ว กระทรวงวัฒนธรรมเห็นชอบดว้ ยและได้เสนอให้คณะรฐั มนตรีพิจารณา ซึง่ คณะรฐั มนตรีมีมตเิ หน็ ชอบด้วยและไดต้ ง้ั คณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง เพือ่ ดาเนนิ การสร้างอนุสาวรยี ข์ องท่าน สนุ ทรภู่ ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงวฒั นธรรม พระยาอนมุ านราชธน พระราชธรรมนิเทศ หลวงบรุ กรรม โกวทิ หลวงรณสทิ ธพิ ิชยั ขุนวิจติ รมาตรา นายเปล้ือง ณ นคร นายธนิต อยู่โพธ์ิ ผวู้ ่าราชการจังหวัด ระยอง และตัวขา้ พเจ้าเอง คณะกรรมการคณะน้ีได้มีมตใิ ห้ดาเนินงานสรา้ งอนสุ าวรียท์ ่านสนุ ทรภู่ ณ บริเวณวดั ป่าเดิม ตาบลบ้านกร่า อาเภอแกลง จงั หวัดระยอง ซ่งึ เป็นสถานทที่ างประวตั ศิ าสตรเ์ ก่ียวกับทา่ นสนุ ทรภู่ โดย ท่านได้ไปหาบดิ าของท่านซง่ึ บวชอยูท่ วี่ ดั น้ีในคราวทีท่ า่ นไปเย่ียมบิดาเมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๐ ๑ ข้าหลวงประจาจังหวดั ในขณะน้ัน คอื นายอุดม บุญประกอบ ตาแหน่งข้าหลวงประจาจงั หวัด ปจั จุบัน เรยี กว่า ผู้วา่ ราชการจังหวดั ภาพ : เมื่อไดส้ รา้ งสถานท่ีต้ังอนุสาวรียข์ ึ้นไดย้ า้ ยศาลาเดิมมาไวใ้ ตต้ น้ ไม้ใหญด่ ้านหลงั บรเิ วณ ๒ เสวตร เป่ียมพงศส์ านต์ ชวี ติ การเมือง พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๖ พิมพ์ที่เบียร์บุคพับลชิ ชงิ และโดยท่ีปี ๒๔๙๘ เป็นปคี รบรอบ ๑๐๐ ปี นับแตท่ า่ นสนุ ทรภู่ได้ล่วงลับไปแล้ว คณะกรรมการจึง เห็นควรใหม้ รการประกอบพิธีวางศลิ าฤกษอ์ นุสาวรยี ์ทา่ นสุนทรภ่เู ป็นประเดมิ ไวก้ ่อน โดยเชิญ จอมพล ป. พิบูล สงคราม นายกรัฐมนตรีไปเป็นประธานประกอบพธิ ีวางศลิ าฤกษ์ ในเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๔๙๘ ข้าพเจ้าจึงได้มี จดหมายไปเรยี น จอมพล ป. พบิ ลู สงคราม เปน็ ส่วนตวั วา่ คณะกรรมการจะเรยี นเชญิ ทา่ นไปประกอบพธิ ีซึ่งจะ เปน็ วันใดจะเรียนทา่ น ให้ทราบล่วงหน้า เพราะต้องขยายและบรู ณะเส้นทางจากถนนสุขุมวทิ เข้าไปยงั สถานที่ทจ่ี ะ สรา้ งอนุสาวรยี ์ เพื่อความสะดวกในการเดินทางก่อน ขา้ พเจ้าได้รับคาตอบจากท่านว่า ไปได้ในวันท่ี ๓๐ กรกฎาคม ซง่ึ ทา่ นจะไปเปิดหนว่ ยนาวกิ โยธินทส่ี ัตหบี ด้วย ข้าพเจา้ ได้เรียนท่านว่าเราต้องบูรณะเสน้ ทางเขา้ ไปสู่ ที่ตั้งของอนุสาวรยี ์ ระยะทางประมาณ ๑๐ กโิ ลเมตร จากถนนสุขุมวิท ซึง่ ต้องขยายและบูรณะใหไ้ ด้มาตรฐาน ทางหลวงจังหวดั ซึ่งใชเ้ ป็นเสน้ ทางเศรษฐกิจได้ดว้ ย และไดป้ รกึ ษากับหลวงบุรกรรมโกวิทแลว้ ว่า คงใช้เวลา ประมาณ ๓ เดือน จงึ ขอเล่ือนไปทาพธิ ีเปิดใน เดือนธันวาคม พ.ศ.๒๔๙๘ ซึ่งจะเปน็ วนั ใดก็สุดแตท่ า่ นจะ สะดวก ซงึ่ ท่านกเ็ ห็นดว้ ย เราจึงมเี วลาขยายและบูรณะถนนซึง่ เป็นเส้นทางเข้าสูต่ าบลกร่าท่ตี งั้ อนสุ าวรยี ์ คมู่ ือร้จู ักชมุ ชนประแส เลม่ ที่ 1 เรือ่ ง วถิ ปี ระแส โรงเรยี นชมุ ชนวดั ตะเคียนงาม

30 และได้ใหช้ อ่ื ถนนน้ีวา่ ถนนสุนทรภู่ ซงึ่ หลวงบรุ กรรมโกวทิ ได้อานวยการขยายและบรู ณะเสรจ็ ภายใน ๓ เดือนก่อนวันวางศลิ าฤกษ์อนุสาวรียไ์ ม่ก่วี ัน ในวนั ที่ ๓๐ ธันวาคม ปี ๒๔๙๘ จอมพล ป. พบิ ลู สงคราม พรอ้ มดว้ ยท่านผู้หญงิ ละเอยี ด พิบลู สงคราม และคณะผู้ติดตามไดเ้ ดินทางไปบ้านกร่า ข้าพเจ้าและโสภาไดไ้ ปรบั ท่ตี วั จังหวดั ระยองและนง่ั รถมากบั ท่าน โดยหยดุ ทาพิธเี ปดิ ถนนสขุ ุมวทิ ทปี่ ากทางถนนสขุ มุ วิท แลว้ ตรงไปยงั ทีต่ ้ังอนสุ าวรีย์ ซงึ่ มีประชาชนไป ต้อนรบั และร่วมพิธี วางศิลาฤกษ์อย่างลน้ หลาม หลงั จากทาพิธีเสรจ็ แลว้ ท่านจอมพลและท่านผู้หญงิ ไดเ้ ดิน ทกั ทายประชาชนที่มาร่วมงาน แล้วเดินทางไปทาพธิ ีเปดิ หนว่ ยนาวกิ โยธินทีก่ องทัพเรือสัตหบี ซง่ึ ขา้ พเจ้าตดิ ตาม ไปดว้ ยเพื่อร่วมสง่ ทา่ นกลับกรุงเทพฯ แลว้ ข้าพเจ้าจึงกลบั มารว่ มงานฉลองท่บี ริเวณวางศิลาฤกษ์อนุสาวรีย์สุนทรภู่ ดว้ ยความหวังว่าในไมช่ ้าเราจะมีอนสุ าวรยี ์ของทา่ นสนุ ทรภู่ เช่นเดียวกับเชค็ สเปยี ร์กวเี อกของอังกฤษ ในงานวางศิลาฤกษ์อนสุ าวรีย์ของท่านสุนทรภคู่ รง้ั นน้ั นายฉันท์ ขาวไิ ล ผู้ชนะในการประกวดแตง่ เพลง ชาติ (ซ่ึงเปน็ เพลงชาตบิ ทที่ ๒ ทใี่ ชต้ อ่ เพลงชาตบิ ทแรกของขนุ วจิ ติ รมาตรา) ได้เขียนหนงั สือ“๑๐๐ ปี” คากลอน เป็นท่รี ะลึก ส่วนขา้ พเจา้ ไดเ้ ขียน “การมาเมอื งแกลงของสุนทรภู่” ประกอบกบั นริ าศเมืองแกลงกับไดน้ า “ประวตั ิ สุนทรภู่” พระนพิ นธ์ของสมเดจ็ ประบรมวงศเ์ ธอกรมพระยาดารงราชานภุ าพ พร้อมดว้ ยบันทึกของนายธนิต อยู่ โพธิ์ มาพิมพ์ไวด้ ว้ ยเพ่ือเป็นอนุสรณใ์ นการวางศลิ าฤกษอ์ นุสาวรียส์ นุ ทรภูใ่ นครั้งนี้ สาหรบั เงินสร้างอนสุ าวรยี น์ ้ัน ทางคณะรัฐมนตรีได้กาหนดงบประมาณไว้ ๓๐๐,๐๐๐ บาท จากเงนิ สานกั งานสลากกินแบง่ ของรฐั บาล เมอื่ ไดว้ างศลิ าฤกษ์อนุสาวรีย์แลว้ ข้าพเจ้าไดจ้ ัดการหาทด่ี ินเพมิ่ ข้นึ เพราะที่ดนิ ทเี่ ปน็ ของวดั ปา่ เดมิ ท่ี เหลอื มอี ยู่เพียง ๒ ไรเ่ ศษเท่านั้น ข้าพเจา้ จงึ เจรจาขอทด่ี ินจากเจ้าของข้างเคยี ง ๔ ราย ๆ ละ ๑ ไร่ โดยให้ เหตผุ ลวา่ ทีด่ นิ ในบริเวณอนสุ าวรีย์นัน้ เป็นท่ดี ินของวัดป่าเดิม ต่อมาได้มีการรุกลา้ ที่ดินกันจึงเหลือเพยี ง ๒ ไรเ่ ศษ นบั ว่าคบั แคบมากในการที่จะสรา้ งอนสุ าวรยี ใ์ ห้สงา่ งาม เจ้าของทด่ี ินทง้ั สองรายยนิ ดบี ริจาคใหด้ ้วยความศรัทธา และเต็มใจ ส่วนอีก ๒ ราย มีฐานะค่อนข้างยากจน ขา้ พเจ้าจงึ ให้เงินทดแทนไปจานวนหนง่ึ ต่อมา ภายหลงั เม่อื จะลงมือสรา้ งอนุสาวรีย์ นายวทิ ยา เกษรเสาวภาค ผู้วา่ ราชการจงั หวัดระยอง ผ้เู ปน็ หัวเรยี่ วหัวแรง ในการสร้างอนสุ าวรีย์ ได้ซื้อเพิม่ เติมอีก ๒ ไร่ จากเงินบริจาคจึงรวมเปน็ เนื้อท่ี ๘.๕ ไร่ จอมพล ป.พิบูลสงคราม วางศิลาฤกษอ์ นสุ าวรีย์ เม่ือ พ.ศ.2498 คูม่ ือรู้จกั ชุมชนประแส เลม่ ท่ี 1 เรอ่ื ง วถิ ปี ระแส โรงเรยี นชมุ ชนวัดตะเคียนงาม

31 หลังจากจดั การเรื่องท่ดี นิ แลว้ ข้าพเจา้ ไดไ้ ปพบอาจารยศ์ ิลป์ พีระศรี ผู้เป็นปรมาจารย์ของกรมศลิ ปกร ในด้านประติมากรรม ขอให้ท่านชว่ ยทาหนุ่ จาลองอนสุ าวรยี ์สนุ ทรภขู่ ้นึ โดยมรี ูปปั้นทา่ นสุนทรภูเ่ ป็นหลกั มีรปู ปน้ั พระอภยั มณี นางมัจฉา และผีเสื้อสมทุ รเป็นสว่ นประกอบ อาจารย์ศลิ ป์ พรี ะศรี ยินดีให้ความรว่ มมือ ทา่ นเขียนแบบเป็นลายเสน้ ให้ดูกอ่ น เปน็ ภาพท่านสุนทรภูน่ ั่งทาทา่ เขียนหนงั สืออยูบ่ นแท่นสเ่ี หลี่ยม และมภี าพ พระอภยั มณีนง่ั เปา่ ปีภ่ าพนางมจั ฉา นงั่ ทอดตวั อ่อนชอ้ ย และภาพผีเส้ือสมุทรอยู่ใตภ้ าพท่านสนุ ทรภู่ ตา่ ลงมาก็ เป็นเสาสีเ่ หลี่ยมรองรบั ทา่ นและถัดมากเ็ ป็นฐานอนุสาวรีย์ เม่อื ขา้ พเจ้าเห็นดว้ ยกบั โครงร่างของทา่ น อาจารย์ศลิ ป์ พรี ะศรี ไดป้ ัน้ อนสุ าวรีย์จาลองขนึ้ มาสูงประมาณ ๔๐ เซนตเิ มตร ตวั คนเปน็ ปนู ปน้ั ส่วนตัวแทน่ เข้าใจว่าเป็นไม้ เมื่อข้าพเจา้ เหน็ ดว้ ย อาจารย์ศลิ ป์ พรี ะศรี หล่อรปู ปัน้ เปน็ โลหะและมอบใหข้ า้ พเจ้า ข้าพเจ้าจึงเอารูปปนั้ น้ีไป มอบไว้แก่ กานนั ตาบลบ้านกร่าในเวลาน้นั สาหรบั ผ้ทู ีส่ นใจไดช้ มเพื่อทราบว่ารูปร่างอนุสาวรีย์สุนทรภูเ่ ป็น อยา่ งไร ปรากฏวา่ มี ผไู้ ปชมรปู ปน้ั ช้ินเลก็ ๆ นี้ ซึง่ มีท้งั ชาวระยองและชาวเมอื งอืน่ และมกั ถามกนั ว่าสักเม่ือใด จึงจะได้เห็นอนุสาวรยี ์ สนุ ทรภทู่ แ่ี ท้จริง ๑ ตอ่ มาไดม้ ีการสับสนกันในทางการเมืองและมีการเปล่ยี นแปลงรัฐบาลอยูบ่ ่อยคร้ัง เงินค่ากอ่ สรา้ งทไ่ี ด้รบั อนุมตั ิก็หยดุ ชะงักตามไปดว้ ย ผูว้ ่าราชการจังหวัดระยองในสมยั ต่อมาทุกคนไดเ้ พียรพยายามท่ีจะดาเนินการใน เรื่องน้ีให้สาเรจ็ ลลุ ว่ งไป จนกระทัง่ ถึงสมยั ผวู้ ่าฯ วิทยา เกสรเสาวภาค ได้จดั ใหม้ กี ารประชมุ ปรึกษาหารือผนู้ าใน ระดบั จังหวดั เช่น หวั หน้าสว่ น นายอาเภอ นายกเทศมนตรี สมาชกิ สภาจังหวัด คหบดี ที่ประชมุ เหน็ ชอบให้ นาเรอื่ งนี้ขึ้นเสนอไปยังกระทรวงมหาดไทยอกี คร้ังหน่งึ ในปี ๒๕๑๑ เปน็ เวลา ๑๓ ปลี ว่ งมาแล้ว และก่อนหนา้ นน้ั ในปี ๒๕๐๙ ทางจงั หวดั กไ็ ด้ทาหนงั สอื ร้องเรยี นไปยังผอู้ านวยการกองสลากกินแบง่ เพอื่ ขอใหจ้ า่ ยเงินตามมติคณะรฐั มนตรี แต่กไ็ ด้รบั แจง้ ว่าเรอ่ื งนไี้ ดร้ ับคาสัง่ ให้ล้มเลิกการจา่ ยไปแลว้ ต้งั แตป่ ี ๒๕๐๒ เมอื่ เปน็ ดังน้ี คณะผูน้ าของจังหวดั ระยองกม็ ิได้หยุดย้ังหรือทอ้ ถอยเลิกราไป หากแต่ได้เร่ิมดาเนนิ การหา ทุนกันเองในหลาย ๆ วิธดี ว้ ยกัน โดยการขอความรว่ มมือจากพ่ีน้องประชาชนชาวระยองและประชาชนท่ัว ประเทศ ขอความรว่ มมือจากขา้ ราชการ ส่วนราชการ สถาบนั การศกึ ษา และคณะสงฆอ์ กี ทางหน่งึ คณะกรรมการไดจ้ ดั งานประจาปีสนุ ทรภขู่ ึ้นทบ่ี ้านกรา่ ในระหวา่ งเทศกาลสงกรานตเ์ ป็นประจาทุกปี และได้รับเงนิ บริจาคจากงานประจาปีนน้ั คมู่ ือรูจ้ ักชุมชนประแส เลม่ ที่ 1 เร่อื ง วิถปี ระแส โรงเรยี นชมุ ชนวัดตะเคียนงาม

32 เมอื่ ท่านผู้วา่ ฯ ได้ติดต่อไปยงั รัฐมนตรมี หาดไทยในสมัยน้ัน ดงั ไดก้ ลา่ วมาแลว้ คณะรฐั มนตรี รัฐบาล จอมพลถนอม กิตติขจร จงึ ได้อนมุ ัติเงินจากสานกั งานสลากกินแบง่ รฐั บาล บรจิ าคเป็นเงนิ สมทบเปน็ เงนิ ๒๕๐,๐๐๐ บาท รวมยอดเงินทุนท่ีมีอย่ทู ัง้ สิ้น ๑,๐๗๑,๒๒๔.๐๗ บาท อนสุ าวรียส์ นุ ทรภู่จึงได้เรม่ิ เหน็ เค้าของ ความจรงิ ขน้ึ โดยกรมศิลปกรรับเป็นผู้ออกแบบป้ันหล่ออนสุ าวรยี ์ อนสุ าวรีย์สนุ ทรภู่ จ.ระยอง ๑ พิษณุ ศก อนุสรณห์ ลวงพรหมทตั ตเวที พิมพใ์ นงานพระราชทานเพลงิ ศพ ศ.นายแพทยห์ ลวงพรหมทัตตเวที ๒๕๓๙ ในเรื่องของการเลอื กสถานที่ต้ังอนุสาวรียน์ น้ั เป็นเรือ่ งท่ถี กเถยี งกันมาก เพราะมีอย่หู ลายสถานท่ที ่นี ่าจะ พจิ ารณาตงั้ อนุสาวรีย์ บางเสยี งอยากใหน้ าไปต้ังที่ตัวจงั หวดั ระยอง บางเสยี งอยากให้นาไปต้ังตามส่ีแยก และ บางเสยี งต้องการให้นาไปตั้งท่ีหาดแมพ่ ิมพ์ สาหรบั ในทศั นะของฝา่ ยศลิ ปะผู้ออกแบบและปนั้ มีความเห็นกับการท่จี ะนาอนสุ าวรีย์ไปไวท้ รี่ ิมทะเล หาดแม่พิมพ์ ทง้ั นี้เพื่อใหส้ อดคลอ้ งกับวรรณคดีเร่ืองพระอภยั มณี โดยอนุสาวรยี ท์ ่ีออกแบบไวน้ น้ั นอกจากจะมี รูปทา่ นสนุ ทรภู่ นัง่ อย่แู ลว้ ตัวประกอบอันได้แก่ พระอภัยมณี ผเี ส้ือสมุทร และนางเงือก เป็นตัวเอกในวรรณคดี ของทา่ น ซงึ่ เหมาะสมกบั สภาพแวดลอ้ มทีเ่ ป็นทะเล ตัวทา่ นสุนทรภ่เู องนน้ั กาหนดให้ท่านน่ังอยู่บนโขดหนิ หนั หน้าไปทางเกาะเสมด็ ตน้ แบบของจินตนาการที่กลายมาเป็นเกาะแกว้ พสิ ดาร คมู่ อื รจู้ กั ชมุ ชนประแส เล่มท่ี 1 เรอื่ ง วถิ ปี ระแส โรงเรยี นชมุ ชนวดั ตะเคยี นงาม

33 เมอื่ มีความคดิ เหน็ แตกต่างกันไปมากมาย ทางจังหวัดจงึ ได้ตัดสนิ ใจเลอื กเอาทีว่ ดั ปา่ กร่า อาเภอแกลง วัดท่ีบิดาสนุ ทรภู่เคยมาบวชจาพรรษาอยู่ และเปน็ ทที่ ่ีอดตี นายกรฐั มนตรไี ดเ้ คยมาวางศิลาฤกษ์ไว้แลว้ เรือ่ งจงึ เป็นอันยตุ ไิ ป สาหรับวัดป่ากรา่ นั้นแต่เดมิ เป็นวดั ร้างมอี าณาบริเวณกว้างขวางมากเป็นท่ีดนิ วา่ งเปลา่ ต่อมาได้ถูกจบั จอง กนั มากจนเหลือเพียง ๖ ไรค่ รง่ึ ผูว้ ่าราชการไดต้ ดิ ต่อขอซ้อื ทจ่ี ากเจา้ ของท่ีดินไดเ้ พ่มิ ข้ึนเพียง ๒ ไร่ เท่านนั้ แต่ เดิมสถานทแ่ี ห่งนี้ไม่มีวัตถุก่อสรา้ งใด ๆ อยู่นอกจากศาลสุนทรภู่ มีรูปป้นั ท่านกวตี ง้ั อยู่ เม่อื ได้ตกลงท่จี ะสร้าง อนสุ าวรีย์ที่นนั้ จงึ ไดย้ า้ ยศาลมาไว้ใตต้ น้ ไม้หลังบรเิ วณนน้ั สาหรับที่ดนิ น้นั มหี น้าระดบั เอียงลาดจากถนนต่าลง มาถึง ๑๕๐ เมตร จึงต้องดาเนินการถมใหไ้ ดร้ ะดับอยหู่ ลายเดอื น การออกแบบและการปัน้ หลอ่ ตา่ ง ๆ กรมศิลปากรไดม้ อบหมายให้ นายดาเนนิ ระตานนท์ หัวหน้า กองหัตถศิลป์ในสมัยนัน้ เปน็ ผ้คู วบคุมรับผดิ ชอบโดยเริ่มดาเนนิ งานหลังจากท่ีคณะรฐั มนตรีมมี ติเม่ือวนั ที่ ๕ มนี าคม พ.ศ. ๒๕๑๑ พล.ต.อ.ประเสริฐ รุจิรวงศ์ รฐั มนตรชี ่วยมหาดไทย ได้ประกอบพธิ เี ททองหลงั จากปนั้ เสร็จแล้วเมื่อวนั ที่ ๒ มนี าคม พ.ศ. ๒๕๑๒ และสาเรจ็ เรียบร้อยนาไปติดตัง้ ท่บี ้านกร่า อาเภอแกลง ในวนั ที่ ๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๓ รวมเวลาแล้วเสรจ็ ในการสร้างอนุสาวรยี น์ ้ี ๒ ปีเต็ม สาหรับทมี งานสร้างอนสุ าวรีย์ ประกอบดว้ ยนายสนั่น ศลิ ากร ชา่ งศิลปะเอกของกองหัตถศิลปเป็น ผู้ออกแบบอนุสาวรียแ์ ละควบคุมการป้ันหล่อ เปน็ ประติมากรเอกท่ีมีชอื่ เสียงมาก โดยเปน็ ศิษยร์ ่นุ แรกของ ศาสตราจารย์ ศลิ ป์ พีระศรี มผี ลงานร่วมกบั ศาสตราจารย์ศิลป์มากมายและเคยเปน็ อาจารย์สอนศิลปะใน มหาวิทยาลัยศิลปากร ๑ อนสุ รณ์ในวนั พธิ ีเปิดอนุสาวรยี ์สนุ ทรภู่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๑๓ ทีมงานที่เปน็ ชา่ งป้นั หรอื ประติมากรนน้ั มี ๔ คน ได้แก่ นายสกุ ิจ สายเดช ผ้ปู ั้นรูป “สนุ ทรภู่” เป็นประติมากรท่ีมีผลงานมากมายเชน่ กนั นายสาโรช จารักษ์ เปน็ ผ้ปู ้นั “นางเงือก” จบการศกึ ษาปรญิ ญาตรี สาขาประติมากรรมจากคณะจติ รกรรม ประตมิ ากรรมและภาพพิมพ์มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร เขา้ รับราชการใน กองหตั ถศลิ ป กรมศลิ ปากร ปัจจุบนั เป็นหัวหนา้ ชา่ งปั้น และรกั ษาการตาแหนง่ ผู้อานวยการกองหัตถศิลป นายไกรสรุ ศรีสุวรรณ เปน็ ผปู้ ้ัน “พระอภัยมณ”ี จบการศึกษาปริญญาตรี สาขาประตมิ ากรรมจากคณะ จติ รกรรม ประตมิ ากรรมและภาพพิมพ์ มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร มผี ลงานทสี่ รา้ งชอ่ื เสยี งเป็นทร่ี ้จู ักกนั ทีเ่ มือง โบราณ นายธนะ เลาหกยั กุล (เป็นคนอาเภอแกลง) เปน็ ผ้ปู นั้ “ผเี ส้อื สมทุ ร” จบการศึกษาปรญิ ญาตรี สาขา ประติมากรรมจากคณะจติ รกรรม ประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศลิ ปากร ปัจจบุ ันเปน็ อาจารย์สอน คมู่ ือรู้จกั ชุมชนประแส เลม่ ท่ี 1 เรื่อง วถิ ปี ระแส โรงเรยี นชมุ ชนวัดตะเคยี นงาม

34 ศิลปะอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งหนงึ่ ของอเมริกา และเคยได้รบั รางวัลยอดเยี่ยมจากผลงานประตมิ ากรรมจาก อเมริกา นอกจากนัน้ กม็ ีทีมงานอื่น ๆ อกี ท่ีร่วมมือกนั ให้อนสุ าวรยี ์สาเรจ็ โดยสมบูรณ์ เช่น นางจนั ทรล์ ัดดา น้าทิพย์ สถาปนิกเอก กองสถาปัตยกรรม ผู้ออกแบบผงั บรเิ วณ นายสมควร จริ วัฒน์ ชา่ งศลิ ปะตรี แผนกช่างเขียน นายวิลาศ สงรตั น์ ช่างสว่ นโยธาจงั หวัด ควบคมุ งานการก่อ นายคลา้ ย สธุ รรมโน สร้าง คอนกรีตในบริเวณอนุสาวรยี ์ นายจนั ทร์ หอมประเสรฐิ ผูส้ รา้ งจตุรมุข และร้ัวดา้ นข้าง นายมานติ พงศ์พิชญ์ พัฒนา ผู้สรา้ งสระน้า และ นายปรีชา พลายเวช ผู้สรา้ งกาแพงด้านข้างและดา้ นหลงั เบ็ดเสร็จค่าใชจ้ า่ ยในการก่อสรา้ ง และการดาเนินงานสร้างอนสุ าวรยี ์สนุ ทรภูน่ ้ี รวมเป็นเงินทง้ั สิ้น ๑,๐๓๓,๕๓๕.๔๒ บาท และได้ทาพิธเี ปดิ เมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๑๓ โดยมีรัฐมนตรีช่วยวา่ การ กระทรวงมหาดไทยเปน็ ประธานในพิธีเปิด ๑ อนุสาวรีย์สนุ ทรภู่แห่งน้ี เป็นอนุสาวรยี ข์ องบุคคลธรรมดาท่มี ีผลงานสร้างสรรค์เก่ยี วกับงานกวี การสรา้ ง อนสุ าวรีย์แห่งน้ขี ึน้ เพือ่ ระลึกถงึ คณุ ความดีของท่าน ไดด้ าเนนิ งานมาในช่วงเวลาทคี่ ่อนข้างจะยาวนาน และมีใน บางชว่ งที่ทาทา่ จะต้องเลกิ ลม้ โครงการไป ทาใหม้ องเห็นปัญหาของการดาเนินงานนอ้ี ยู่ กค็ งด้วยทา่ นสุนทรภเู่ ป็น กวธี รรมดานน่ั เอง ทา่ นไม่ไดเ้ ปน็ ผู้มีอานาจราชศักดใ์ิ นการปกครอง แม้แตเ่ ม่ือท่านมชี วี ติ อยู่ ทา่ นเองก็ต้อง ประสบกบั ชะตากรรมอยา่ งหนัก แตผ่ ลงานของท่านน้ันเป็นเคร่อื งเตือนใจและมีคณุ ธรรมท่ีจะสงั่ สอนคนไทยไปอีก นานแสนนาน อนสุ าวรยี ์แหง่ น้ีซง่ึ เปน็ สงิ่ ทชี่ าวจังหวดั ระยองและคนไทยทุกคนภาคภมู ใิ จ และตอ้ งรักษาหวงแหน ไว้ใหน้ านแสนนานเช่นกนั ในขณะนอ้ี นุสาวรยี ส์ ุนทรภูไ่ ด้อยู่ระหวา่ งการปรบั ปรุงโดยไดร้ บั งบประมาณจากกระทรวงการท่องเท่ยี วและ การกีฬาเป็นเงนิ จานวนเกือบ ๑๐ ลา้ นบาท \"ห้องสนุ ทรภ\"ู่ เชื่อวา่ สนุ ทรภพู่ านกั อยทู่ ่นี ี่ตราบจนถงึ แก่อนจิ กรรม เมื่อ ปี พ.ศ. 2398 สริ ิรวมอายไุ ด้ 69 ปี เมอื่ พระอภยั มณีเปา่ ป่ี พระอภยั มณี ตวั ละครตัวเอกของนิทานคากลอนเรื่อง พระอภัยมณี เป็นตวั ละครท่ีแปลกจากตวั ละครเอก ในวรรณคดไี ทยเร่อื งอื่น ๆ หลายประการ ทั้งในดา้ นบุคลกิ ภาพ บทบาทและพฤติกรรม พระอภัยมณเี ป็นตวั ละคร เอกของเร่ืองท่ีมบี ทบาทไมเ่ ด่นอย่างตัวละครเอกของวรรณคดเี ร่ืองอื่น ๆ กลา่ วคอื พระอภัยมณีมไิ ด้เปน็ ท่ีพง่ึ พา อาศัยของตวั ละครอ่นื คู่มอื รู้จักชมุ ชนประแส เลม่ ท่ี 1 เร่อื ง วิถปี ระแส โรงเรยี นชมุ ชนวัดตะเคียนงาม

35 พระอภัยมณี มิใชเ่ ป็นนกั รบทีร่ กั การต่อสู้ผจญภัย แต่พระอภัยมณีเปน็ กษัตริย์ศลิ ปนิ ท่ีมคี วามสามารถใน การบรรเลงเพลงป่ีอยา่ งล้าเลิศ ใครไดย้ ินได้ฟังกใ็ ห้รู้สกึ เพราะจับใจ ปลอ่ ยอารมณ์ให้เคลิบเคลิม้ ไปกบั ทว่ งทานอง และกระแสเสียงที่วิเวกหวานจนหลบั ไปในท่ีสุด ในฐานะที่อาเภอแกลงเป็นอาเภอทีเ่ ป็นท่ีตง้ั ของอนสุ าวรยี ส์ ุนทรภู่ และมีรูปปนั้ ของพระอภยั มณใี นลักษณะ ท่ีกาลังเปา่ ปี่อยู่ดว้ ย ก็เลยมีคาถามจากหลายทา่ นว่าในเรื่องพระอภยั มณนี น้ั ตวั เอก คอื พระอภัยมณีนั้นเปา่ ปกี่ ่ีครั้ง กนั แน่ ซง่ึ คาถามนเี้ ปน็ คาถามทน่ี า่ คิด ผเู้ ขียนคดิ ว่าน้อยคนนาที่สามารถจะตอบได้ ซ่งึ เรอ่ื งน้ที า่ นอาจารย์เสรี หวงั ในธรรม ทา่ นมีคาตอบให้ได้ คือ เปา่ ท้ังหมด ๑๑ ครง้ั ดังตอ่ ไปน้ี ๑ ๑. เป่าเมือ่ เรมิ่ หดั กับครูพนิ ทพราหมณร์ ามราช ท่ีหมู่บ้านประจันตคาม ซง่ึ นับเปน็ การเรียน “กลเพลงป่ี” ครงั แรก เพลงปที่ ค่ี รูทิศาปาโมกข์สอนใหน้ ้ัน ความว่า“เอาป่ีเปา่ เลา้ โลมนา้ ใจคน ดว้ ยเลห์กลโลกา หาประการ คือ รูปรสกลน่ิ เสยี งสมั ผสั เกิดกาหนัดลุม่ หลงในสงสาร ให้ใจอ่อนนอนหลับดังวายปราณ จึงคดิ อ่าน เอาชัยเหมอื นใจจง” ๒. เป่าปใ่ี หพ้ ราหมณ์ทงั ๓ ฟงั เมอ่ื คราวพบกนั ริมชายหาด และเป็นสาเหตุใหถ้ ูกนางผเี สือลักพา เนื้อ เพลงป่ีว่า “ในเพลงปีว่ า่ สามพพ่ี ราหมณเ์ อย๋ ยงั ไมเ่ คยเชยชิดพสิ มยั ถงึ ร้อยรสบุปผาสุมาลยั จะชน่ื ใจเหมอื นสตรี ไมม่ ีเลย พระจนั ทรจรสวา่ งกลางโพยม ไมเ่ ทียบโฉมนางงามเจา้ พราหมณเ์ อ๋ย แม้นได้แกว้ แลว้ คอ่ ยประคองเคย ถนอมเชย ชมโฉมประโลมลาน” ๓. เป่าป่ฆี ่านางผเี สอื สมทุ ร เน้ือเพลงปี่ว่า “แล้วทรงเปา่ ปี่แก้วใหแ้ จว้ เสยี ง สอดสาเนียงนว้ิ เอกวิเวกหวาน พวกโยธีผสี างทั้งนางมาร ใหเ้ สยี วซา่ นซบั ซาบ วาบหัวใจ แตเ่ พลินฟงั น่ังโยกจนโงกหงบุ ลงหมอบชบุ ซวนซบสลบไสล พอเสยี งปท่ี ่ีแหบหายลงไป ก็ขาดใจยกั ษ์ รา้ ย วายชีวา” ๔. เปา่ ปเ่ี รียกสนิ สมุทร เน้ือเพลงปี่ความว่า “พระเปา่ ป่เี ปิดเสียงสาเนยี งเอก เสนาะดังฟังวิเวกกังวานหวาน ละห้อยหวนครวญเพลงบรรเลงลาน โอส้ งสาร สรุ ีย์ฉายจะบา่ ยคล้อย พีค่ ลาดแคล้วแก้วตามาว้าเหว่ ท้องทะเลแลเปล่าให้เศรา้ สร้อย ป่านนีน้ ้องสองคนกบั ลูก นอ้ ยจะล่องลอยไปอย่หู นตาบลใด เรือ่ ยเรือ่ ยเฉื่อยวายพุ ัดแผ้ว เหมอื นเสยี งแกว้ กลอยจติ พิสมัย หอมรวยรวยสวย ชืน่ รืน่ ฤทยั เหมือนใกล้ใกลเ้ ข้ามาแล้วแกว้ พีเ่ อย เขาบอกว่ามาในลาเรือกาปนั่ หรอื สุวรรณมาลพี เ่ี จา้ เอย๋ สนิ สมทุ รไม่มาหาบดิ าเลย พ่อจะเชยใครเลา่ เจา้ พ่ออา แม้อยู่ลากาปน่ั เหมือนมั่นหมาย จงแหวกว่ายสายสมทุ รผดุ มา หาแล้วแหบหวนชวนโหยโรยชวา พระแกล้งว่าไปในเพลงวังเวงใจ” ๑ วนิ ยั ภรู่ ะหง์ พระอภยั มณพี ระเอกศิลปิน ศลิ ปวฒั นธรรม ปที ี่ ๗ ฉบับท่ี ๘ มิ.ย. ๒๕๒๙ ๒ เสรี หวังในธรรม นกั ดนตรี ในวรรณคดไี ทย ศลิ ปวัฒนธรรม ปที ่ี ๗ ฉบับที่ ๘ ๒๕๒๙ ๕. เป่าป่ีจบั เจ้าสมาน เนอ้ื เพลงปีว่ ่า “เปดิ สาเนียงเสียงลิ่วขึน้ น้วิ เอก หวานวเิ วกวงั เวงดงั เพลงสวรรค์ ใหช้ ่นื เฉือ่ ยเจื้อยแจว้ เหมือนแก้วกรรณ เหล่าพวก ฟันเสย้ี มฟังส้นิ ทง้ั ทัพ ยืนไม่ตรงลงน่งั ยงั วังเวก เอกเขนกนอนเคียงเรียงลาดับ เจา้ สมานหวานทรวงงว่ งระงบั ลง ลม้ หลบั ลมื กายดังวายปราณ” ๖. เป่าปหี่ า้ มทพั เข้าตีเมืองลงั กาครงั แรก เนอื้ เพลงปีว่ า่ “วเิ วกหวดี กรีดเสียงสาเนียงสนัน่ คนขยน้ั ยนื ขงึ ตลงึ หลง ให้หววิ วาบทราบทรวง ลงว่วงงง ลมื ณรงคร์ บส้เู งี่ยหูฟงั พระโหยหวนครวญเพลงวงั เวงจิต ใหค้ นคดิ ถึงถิ่นถวิลหวงั ว่าจากเรือนเหมือนนกมาจากรัง อยขู่ า้ งหลังกจ็ ะแล คมู่ ือรจู้ ักชุมชนประแส เล่มที่ 1 เรอ่ื ง วิถปี ระแส โรงเรยี นชมุ ชนวัดตะเคยี นงาม

36 ชะแงค้ อย ถงึ ยามคา่ ย่าฆอ้ งจะรอ้ งไห้ ร่าพี่ไรรญั จวนหวนละหอ้ ย โอย้ ามดึกดาวเคลื่อนเดือนก็คลอ้ ย นา้ ค้างเย็น ฉา่ ทอี่ ัมพร หนาวอารมณ์ลมเรือ่ ยเฉื่อยชนื่ ระรวยรนิ รินกลิ่นเกสร แสนสงสารบา้ นเรอื นเพอื่ นท่ีนอน จะอาวรณ์ อา้ งว้างอยู่วังเวง วิเวกแว่วแจว้ เสยี งสาเนยี งป่ี พวกโยธที ง้ิ ทวนชนวนเขนง ลงน่ังโยกโงกหงบั ทับกันเอง เสนาะเพลง เพลนิ หลบั ระงับไป จังหรดี หรงิ่ สิงหส์ ตั วส์ งดั เงยี บ เยน็ ระเบียบหยอ่ มหญา้ พฤกษาไสว น้าคา้ งพรม ลมสงดั ไม่กวัดไกว ท้ังเพลงิ ไฟโซมซาบไม่วาบวูบ” ๗. เปา่ ปเ่ี รียกนางละเวง เน้ือเพลงป่วี ่า “ตอ้ ยตะรดิ ติดตี่เจา้ พเ่ี อ๋ย จะละเลยเรร่ ่อนไปนอนไหน แอ้ออี่ ๋อยสร้อยฟ้าสุมาลัย แมน้ เดด็ ไดแ้ ล้วไมร่ า้ ง ให้ห่างเชย ฉุยฉายช่ืนร่ืนรวยระทวยทอด จะกล่อมกอดกวา่ จะหลับกบั เขนย หนาวนา้ ค้างพรา่ งพรมลมราเพย ใครจะเชยโฉมน้องประคองนวล เสนาะดงั วงั เวงเปน็ เพลงพรอด เสยี งฉอดฉอดชดช้อยละหอ้ ยหวน วเิ วกแว่ว แจ้งในใจรญั จวน เปน็ ความชวนประโลมโฉมวฒั ฬา ๘. เปา่ ปปี่ ลุกกองทัพนางละเวง เน้อื เพลงปี่ว่า “ดาริพลางทางลงแล้วทรงป่ี เรยี กโยธไี พร่นายท้ังซา้ ยขวา ใหว้ ามแวว่ แกว้ หูรู้วิญญา ตา่ งลืมตาตกใจทั้งไพรน่ าย” ๙. เปา่ ป่เี มือ่ ต้องมนต์ ถูกนางยุพาผกาลวงใหเ้ ป่า เนื้อเพลงป่ีความวา่ “เสียงแจว้ แจว้ แวว่ โหวยโหยละหอ้ ย โอห้ อมสรอ้ ยเสาวรสแป้งสดใส เสาวคนธ์มณฑาสุมาลัย สกั เมื่อไรสาวน้อย จะลอยมา แล้วเปา่ เหเ่ รไรจบั ใจแจว้ คา่ ลงแล้วเจ้าจะคอยละหอ้ ยหา ระหวยหิวหววิ วับจบั วญิ ญา พวกลังกา กองทพั ต่างหลับไป” ๑๐.เป่าปี่เรยี กนางละเวงและกองทพั เน้ือเพลงป่ีความว่า “คิดราพงึ ถงึ ลูกสาวเจา้ ลงั กา หยบิ ปมี่ าเปา่ ดงั เป็นกงั วาน แตไ่ ม่ให้ไพร่พลผคู้ นหลับ ให้วาบวบั แว่วเพลง วังเวงหวาน วเิ วกโหวยโหยให้อาลยั ลาญ โอด้ กึ ปา่ นนี้แล้วแกว้ วกลอยใจ แม่วัณฬานารีศรสี วสั ด์ิ จะพรากพลดั ไพร่พลไปหนไหน นา้ ค้างย้อยพลอยพรมพนมไพร จะหนาวใจทรวงน้องจนหมองนวล โอ้ยามสามยามน้ีเจา้ พเ่ี อ๋ย พีเ่ คยเกยกอดนอ้ งประคองสงวน แมย่ อดหญิงมิ่งขวญั จะรัญจวน เสียดายนวลเนอ้ื อุน่ ลมลุ ทรวง เคยไสยาสน์ อาสน์อ่อนบรรจฐรณ์แทน่ มาเดินแดนดงรังใช่วังหลวง ขอเชิญแกว้ แววตาสุดาดวง มาชมพวงมาลดี ว้ ยพ่ยี า ล้วน ชน่ื แชม่ แยม้ บานทุกก้านกิง่ ยง่ิ คดิ ย่ิงหวนหอมบนจอมผา พ่ีอยเู่ ดยี วเปล่ียวใจนยั นา แมว่ ณั ฬาหลบแฝงอย่แู ห่ง ไร จนดาวเดือนเคล่ือนดับยงิ่ ลับนอ้ ง เหน็ แตห่ อ้ งหิมวาพฤกษาไสว มาหาพ่ีหน่อยเถิดกลอยใจ จะกล่อมให้ บรรทมได้ชมเชย ถงึ ยากไร้ไม่มีท่ีพระแท่น จะกางกอดทอดแขนแทนเขนย หนาวนา้ คา้ งพรา่ งพรมลมราเพย ใคร จะเชยโฉมน้องประคองเคยี ง เคยอยวู่ ังฟังนาง สรุ างค์เห่ มาหังเรไรเพราะเสนาะเสยี ง วเิ วกแว่วแจว้ เจื้อยเร่อื ย สาเนยี ง เสนาะเพยี งพณิ เพลงบรรเลงลาญ” ๑๑.เปา่ ปจ่ี ับวลายดุ า วายุพัฒน์ และหัสกนั เน้อื เพลงปค่ี วามวา่ “ฝ่ายองค์พระอภัยเห็นใกล้คา่ จงึ วักนา้ ลูบปอ่ี ธิษฐาน เป่าเสียงสูงฝูงคนเหลอื ทนทาน ก้องกังวานวาบวับเสยี วจบั ใจ ใหป้ ลาบปลม้ื ลืมอ่ืนบ้างยืนน่ัง โยธาทงั้ สามทพั ยนื หลับใหล แต่งองค์พระมังคลาคาดตราไว้ ตกพระทัยวิง่ มา เขา้ หาครู บาทหลวงยงั นัง่ กนิ เหล้าเสยี งเป่าป่ี ฉวยทองหยิบบบี ขยีเ้ ข้าทห่ี ู ฉดุ มงั คลาว่าไวไวไปกับกู คู่มอื รจู้ ักชุมชนประแส เลม่ ที่ 1 เรอ่ื ง วิถปี ระแส โรงเรยี นชมุ ชนวัดตะเคียนงาม

37 ภาคผนวก ...วนั วาน ประแส... คูม่ อื รูจ้ ักชมุ ชนประแส เลม่ ที่ 1 เร่อื ง วิถปี ระแส โรงเรียนชุมชนวัดตะเคยี นงาม

38 สมเดจ็ พระเจ้าอยูห่ วั มหาวชริ าลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เมื่อครง้ั ดาารงพระอสิ รยิ ยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธริ าชฯ สยามมกฎุ ราชกุมาร ทรงรบั การถวายรายงานจากนายชยั วัฒน์ หุตะเจรญิ ผวู้ ่าราชการจังหวัดระยอง ในคราวเสด็จพระราชดาาเนนิ แทนพระองค์ไปประกอบพระราชกรณียกจิ ณ วดั สมมตเิ ทพฐาปนาราม (วดั แหลมสน) ตาบลปากน้ากระแส อาเภอแกลง จังหวดั ระยอง เมอื่ วนั ที่ ๙ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๗ (ภาพจากพระมหาพภิ พ ภสิ าสมโณ วดั สมมตเิ ทพฐาปนาราม (วดั แหลมสน)) สมเด็จพระเจา้ อยหู่ ัวมหาวชริ าลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เมอื่ คร้ังดาารงพระอสิ รยิ ยศ สมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าชฯ สยามมกฎุ ราชกุมาร ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับราษฎรในคราวเสดจ็ พระราชดาาเนนิ แทนพระองค์ ไปยังวัดสมมตเิ ทพฐาปนาราม (วัดแหลมสน) ตาาบลปากน้ากระแส อาาเภอแกลง จังหวัดระยอง เมอ่ื วันที่ ๙ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๗ (ภาพจากพระมหาพิภพ ภสิ าสมโณ วัดสมมตเิ ทพฐาปนาราม (วดั แหลมสน) คมู่ อื รจู้ กั ชมุ ชนประแส เลม่ ที่ 1 เร่ือง วิถปี ระแส โรงเรยี นชุมชนวดั ตะเคียนงาม

39 สมเด็จพระเจา้ อยู่หัวมหาวชริ าลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เมื่อครัง้ ดาารงพระอสิ รยิ ยศสมเดจ็ พระบรมโอรสาธิราชฯ สยามกฎุ ราชกุมาร ทรงมพี ระราชปฏสิ นั ถารกบั ราษฎร ในคราวเสด็จพระราชดาาเนนิ แทนพระองคไ์ ปยังวดั สมมตเิ ทพฐาปนาราม (วัดแหลมสน) ตาบลปากน้ากระแส อาเภอแกลง จังหวัดระยองเมอ่ื วันท่ี ๙ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๗ (ภาพจากพระมหาพภิ พ ภสิ าสมโณ วัดสมมตเิ ทพฐาปนาราม (วดั แหลมสน)) สมเด็จพระเจา้ อย่หู ัวมหาวชริ าลงกรณ บดนิ ทรเทพยวรางกรู เมื่อคร้งั ดารงพระอสิ รยิ ยศ สมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าชฯ สยามมกฎุ ราชกุมาร เสดจ็ พระราชดาาเนินแทนพระองค์ไปยงั วัดสมมตเิ ทพฐาปนาราม (วดั แหลม สน) ตาบลปากนา้ กระแส อาเภอแกลง จงั หวดั ระยอง ประกอบพธิ ีตดั หวายลูกนมิ ติ พระอโุ บสถ เม่อื วนั ที่ ๙ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๗ (ภาพจากพระมหาพิภพ ภสิ าสมโณ วัดสมมตเิ ทพฐาปนาราม (วัดแหลมสน)) คู่มือรู้จกั ชุมชนประแส เล่มที่ 1 เรื่อง วิถปี ระแส โรงเรยี นชมุ ชนวดั ตะเคยี นงาม

40 สมศรี ยอดบริบรู ณ์ (ลาดับท่ี ๓ จากซา้ ย) และเพอ่ื นๆ นางม่วยเหลง็ รตั ตานนท์ เม่อื อายุ ๑๙ ปี พ.ศ. ๒๔๙๔ เทย่ี วชายหาดบริเวณปากนา้ ประแส ราว พ.ศ ๒๕๑๐ ถา่ ยท่ีคลองประแส อาเภอแกลง (ภาพจากนายธรี วุฒิ รตั ตานนท)์ (ภาพจากคณุ ภาวณิ ี ยอดบรบิ รู ณ์) รา้ นขายยาโค้วเอยี๊ ะรัก ปากน้าประแส ถัดไป ทางขวาคือโรงแรมแสงมุกดา ราว พ.ศ. ๒๔๙๕ (ภาพจากนางมะยม (มกุ ดาสนทิ ) รอบร)ู้ คมู่ อื รจู้ ักชุมชนประแส เล่มที่ 1 เรื่อง วถิ ปี ระแส โรงเรยี นชุมชนวดั ตะเคียนงาม

41 คณะครโู รงเรียนชุมชนวัดตะเคยี นงาม หน้าอาคารไกรแก้วราษฎรร์ ังสรรค์ ปากนา้ ประแส อาเภอแกลง ราว พ.ศ. ๒๔๘๐ (ภาพจากคุณภาวณิ ี ยอดบรบิ รู ณ์) คณะครูและนกั เรยี นโรงเรยี นจนี ทป่ี ากน้าประแส มีขอ้ ความอักษรจนี ว่า “สมาคมหวั เฉยี ว คณะผูก้ ่อต้งั โรงเรยี นประถมกงล่เี ผยเฉยี วและนักเรยี นถ่ายภาพรว่ มกนั เป็นทรี่ ะลึก เมอ่ื วันท่ี ๑๘ พฤศจกิ ายน ปหี มนิ ก่วั ท่ี ๓๕ (ค.ศ. ๑๙๔๖ ตรงกบั พ.ศ. ๒๔๘๙)” คู่มือรู้จักชมุ ชนประแส เล่มที่ 1 เรือ่ ง วิถปี ระแส โรงเรยี นชุมชนวดั ตะเคียนงาม

42 ถ่ายทีว่ ดั ตะเคียนงาม ตาบลปากนา้ กระแส อาเภอแกลง มนี ายชม แซต่ ๋นั (วิเศษศิลปานนท์ - เจ้าของภาพ) เมื่ออายุ ๑๕ ปี รว่ มคณะถา่ ยภาพ คณะนักศกึ ษาอาชีวศึกษาผูใ้ หญ่เคล่อื นที่ ปากนา้ ประแส อาเภอแกลง จังหวัดระยอง รุ่นที่ ๑ ถา่ ยรว่ มกับคณะครูและอาจารย์ เมอื่ วนั ท่ี ๒๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๖ ถ่ายโดยห้องภาพศยิ ากร แกลง (ภาพจากนายธรรมชาติ แกว้ ถาวร) คณะกรรมการวัดตะเคยี นงาม ตาบลปากนา้ กระแส มีพระครโู ฆษติ วิริยะคณุ (แหวน) เจ้าอาวาสเป็นประธาน รว่ มถา่ ยภาพเม่อื คราวอุโบสถหลงั ใหมแ่ ลว้ เสร็จ ราว พ.ศ ๒๕๑๐ (ภาพจากนายธรรมชาติ แกว้ ถาวร) คูม่ ือรูจ้ ักชมุ ชนประแส เลม่ ท่ี 1 เรอ่ื ง วถิ ปี ระแส โรงเรียนชมุ ชนวัดตะเคียนงาม

43 คณะสงฆ์ทร่ี ว่ มจาพรรษา ณ วัดสมมติเทพฐาปนาราม มีพระครไู พบลู วิรยิ คณุ (ไพฑรู ย์ - นั่งเก้าอก้ี ลาง) เจ้าอาวาสเป็นประธาน (ต่อมาคอื พระพพิ ฒั น์ปรยิ ตั ยานกุ ลู ) มองเหน็ เจดยี ป์ ระธานของวดั ถา่ ยราว พ.ศ. ๒๕๑๐) (ภาพจากนาย ธรรมชาติ แก้ว ถาวร) คณะสงฆท์ ร่ี ว่ มจาพรรษา ณ วัดสารนาถธรรมาราม อาเภอแกลง ราว พ.ศ. ๒๕๑๕ มพี ระเทพวสิ ทุ ธิญาณ (ไฉน ฐติ าภญิ ฺโญ - นั่งเกา้ อ้หี น้าสดุ ) เจา้ อาวาสเป็นประธาน (นายสมชาย จรยิ เจรญิ อดตี นายกเทศมนตรตี าบลเมอื งแกลง เอ้ือเฟอื้ ภาพ) คมู่ อื รจู้ กั ชมุ ชนประแส เล่มที่ 1 เร่อื ง วถิ ปี ระแส โรงเรียนชมุ ชนวัดตะเคียนงาม

44 กลุ่มหญิงสาวบนเรือท่ีปากนา้ ประแส อาเภอแกลง แลเหน็ ชุมชนอยู่เบื้องหลัง ไม่ทราบรายละเอียด ภาพยุค ๒๕๑๐ (นายสมชาย จริยเจรญิ อดตี นายกเทศมนตรตี าบลเมอื งแกลง เออ้ื เฟื้อภาพ) ขบวนเรอื และชาวบ้านปากนา้ ประแส รว่ มกันฉลองพระไตรปฎิ กและแหไ่ ปถวายวดั พงั ราด อาเภอแกลง โดนมหี มอเคา้ และนางเหรยี ญ มณีการ เป็นเจา้ ภาพ เม่อื วนั ที่ ๒๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ (ภาพจากนางสาวภาวณิ ี ยอดบริบรู ณ)์ คู่มอื รู้จกั ชมุ ชนประแส เล่มที่ 1 เรอ่ื ง วถิ ปี ระแส โรงเรียนชมุ ชนวัดตะเคียนงาม

45 ขบวนเรือแห่ผ้าปา่ กลางน้าท่ีปากน้าประแส อาเภอแกลง แลเห็นด่านตรวจคนและสินค้าอยเู่ บ้ืองหลัง ราว พ.ศ. ๒๔๙๕ (ภาพจากนางมะยม รอบร)ู้ ขบวนเรอื แหน่ าคจากตลาดปากนา้ ประแส อาเภอแกลง เดินทางไปทาาพิธีอุปสมบทยังวัดแหลมสน (วดั สมมติเทพฐาปนาราม) ราว พ.ศ. ๒๔๙๕ (ภาพจากนางมะยม รอบรู้) คมู่ อื รจู้ กั ชมุ ชนประแส เล่มที่ 1 เรอื่ ง วถิ ปี ระแส โรงเรยี นชมุ ชนวดั ตะเคียนงาม

46 ประเพณีทอดผ้าปา่ กลางน้าของชาวปากนา้ ประแส อาเภอแกลง เป็นประเพณที ่มี แี ห่งเดยี วในประเทศไทย มีข้ึนในวันเพญ็ เดอื น ๑๒ โดยชาวบา้ นจะใช้กงิ่ ไมจ้ ากตน้ ฝาดหรอื ตน้ โปรงประดับตกแตง่ เปน็ พมุ่ ผ้าปา่ ให้สวยงาม จากนัน้ จึงจะนิมนต์พระสงฆล์ งเรือมาชกั ผา้ ป่าตามพธิ ีกรรมทางพระพทุ ธศาสนา ผ้คู นที่มาร่วมพธี ีจะพายเรือของตน เขา้ รว่ มพิธกี ลางลาน้าน้นั หลังจากประกบิ พธิ ที อดผ้าปา่ กลางน้าแลว้ กจ็ ะมกี ารละเลน่ และกิจกรรมสนุกสนานรนื่ เริง ในตอนกลางคืนจะมกี ารลอยกระทง (ภาพจากนางสาวภาวินี ยอดบรบิ ูรณ์ รา้ นสมบูรณ์โอสถ) ขบวนเรอื ทมี่ าร่วมในงานประเพณที อดผา้ ป่ากลางน้า ท่ีปากนา้ ประแส อาเภอแกลง ภาพยุค ๒๕๐๐ (นายสมชาย จรยิ เจริญ อดีตนายกเทศมนตรตี าบลเมอื งแกลง เอือ้ เฟอื้ ภาพ) คมู่ ือรจู้ กั ชุมชนประแส เลม่ ที่ 1 เรอ่ื ง วถิ ปี ระแส โรงเรยี นชมุ ชนวดั ตะเคยี นงาม

47 เรอื นาวาพรรนา ทปี่ ระดบั ประดาเรอื มาร่วมงาน (ภาพจากนางสาวภาวินี ยอดบริบรู ณ์ รา้ นสมบรู ณโ์ อสถ) เรือในชุมชนปากนา้ ประแส ทีม่ ารว่ มพธิ ที อดผ้าป่ากลางนา้ ทอดผา้ ปา่ กลางน้า ภาพยคุ ๒๕๐๐ (นายสมชาย จรยิ เจรญิ อดีตนายกเทศมนตรตี าบลเมอื งแกลง เอื้อเฟือ้ ภาพ) คูม่ ือรู้จกั ชุมชนประแส เล่มท่ี 1 เรอื่ ง วิถปี ระแส โรงเรยี นชมุ ชนวัดตะเคยี นงาม


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook