ก คำนำ การท่องเทย่ี วพน้ื ท่ตี าบลปากน้าประแส อาเภอแกลง จงั หวดั ระยอง ของคนในชุมชนเกย่ี วกบั ประวตั คิ วามเป็นมาของชมุ ชนบา้ นเก่ารมิ น้าประแส ตลอดจนวถิ ชี วี ติ ของชาวบา้ น รวมถงึ การพฒั นามาส่กู าร ท่องเทย่ี วภายในชุมชน และผลจากการเปลย่ี นแปลงในชมุ ชนตงั้ แตอ่ ดตี ดาเนินมาจนถงึ ปัจจบุ นั จากนนั้ การ ท่องเท่ยี วจงึ เรมิ่ เข้ามาโดยผ่านโครงการต่าง ๆ ท่ไี ด้รบั การสนับสนุนทงั้ จากภาครฐั และภาคเอกชน ซ่ึง โครงการเหล่าน้แี ม้จะเป็นการนาเสนอ อตั ลกั ษณ์ วถิ ี สภาพแวดล้อมของชุมชน แต่ทา้ ยท่สี ุดสงิ่ ทจ่ี ะทาให้ ชุมชนบา้ นเก่ารมิ น้าประแสกลายเป็นแหล่งท่องเท่ยี วได้อย่างยงั่ ยนื คอื ความเช่อื มโยงการท่องเท่ียวท่ี เกย่ี วขอ้ งกบั ชมุ ชน 4 ชุมชน คอื ชุมชนบา้ นทะเลนอ้ ย ชุมชนบา้ นเนนิ ฆอ้ ชมุ ชนบา้ นจารงุ และ ชุมชนบา้ นถนนกระเพรา ซงึ่ มกี ารทา MOU ร่วมกนั เพ่อื เช่อื มโยงการท่องเท่ยี วทงั้ ทางบกและทางน้า เพราะเน่อื งจากเสน้ ทางการทอ่ งเทย่ี วมกี ารใชร้ ถรางนาเทย่ี วและใช้เรอื พานักทอ่ งเทย่ี วชมความหลายทาง วฒั นธรรมอนั เป็นเสน่หท์ ส่ี าคญั อย่างหน่งึ ทส่ี ามารถนาไปพฒั นาและตอ่ ยอดการทอ่ งเทย่ี ว และเพ่อื ฟ้ืนฟูให้ ประแสกลบั กลายเป็นเมอื งท่องเทย่ี วอนั เจรญิ รุ่งเร่อื งดงั่ ในอดตี อกี ครงั้ คณะผู้จดั ทาหวงั เป็นอยา่ งยงิ่ ว่า เอกสารประกอบการเรยี นรเู้ รอ่ื ง ความสมั พนั ธช์ ุมชนเมอื ง ท่องเทย่ี ว เล่มน้ี จะเป็นประโยชน์แก่นักเรยี นและผูใ้ หค้ วามสนใจใชเ้ ป็นแหล่งคน้ ควา้ และ อ้างอิง อนั จะ เกิดประโยชน์ต่อการเรียนรู้ และเพ่ือให้ชนรุ่นหลังได้รู้เกี่ยวกับภูมิหลังของถิ่นชุมชนท่ีตนอาศัยอยู่ ในการเก็บรวบรวมข้อมูลครงั้ น้ี คณะผู้จดั ทาขอขอบ คุณปรีชา สรรเสริญ คุณภัทรวดี นะวะนิน คุณชาตชิ าย เหลอื งเจรญิ คุณกาจดั ผุดผ่องใส และคุณภาคภูมิ สพแก้ว บุคคลสาคญั ทใ่ี หข้ อ้ มูลเพ่อื นามาประกอบเอกสารเล่มน้ี ขอขอบคุณมา ณ โอกาสน้ี คณะผจู้ ดั ทา
สำรบญั ข เรื่อง หน้ำ ความสมั พนั ธช์ มุ ชนการท่องเทย่ี วประแส 1-6 สะพานป่าชายเลนพน้ื บา้ นหวั โขด 7 อนุสรณ์เรอื รบหลวงประแส 7 ศาลกรมหลวงชุมพร 8 สะพานประแสสนิ จุดชมววิ 8 วดั สมมตุ เิ ทพฐานปนาราม 8-9 ถนนสายวฒั นธรรม 10-11 ความสมั พนั ธข์ องชมุ ชนทอ่ งเทย่ี วบา้ นจารงุ 11-12 ความสมั พนั ธข์ องชมุ ชนทอ่ งเทย่ี วบา้ นทะเลน้อย 12 ความสมั พนั ธข์ องชมุ ชนทอ่ งเทย่ี วบา้ นเนินฆอ้ 12-13 ภาคผนวก ภาพถา่ ย อา้ งองิ
1 ความสมั พนั ธก์ ารท่องเท่ียวชุมชนปากน้าประแส ปัจจุบนั การท่องเท่ยี วเข้ามาเป็นสิ่งเช่อื มโยงคนจากหลาย ๆ สถานทใ่ี หเ้ ดนิ ทางไปอีกสถานท่ี หนึ่ง เชอ่ื มโยงคนจากอกี สงั คมหรอื วฒั นธรรมหน่งึ ใหไ้ ดเ้ ขา้ ไปเรยี นรอู้ กี วฒั นธรรมหน่ึงทต่ี า่ งออกไป โดย มสี งิ่ ดงึ ดดู คอื สถานทท่ี อ่ งเทย่ี วทน่ี ่าสนใจธรรมชาตอิ นั งดงาม วฒั นธรรมหรอื ประวตั ศิ าสตรเ์ กา่ แก่ จะเหน็ ไดว้ ่าหลายชุมชนถูกปรบั เปลย่ี นหรอื พฒั นาให้กลายเป็นเมอื งท่องเทย่ี วข้นึ มาหลายต่อหลายแหล่ง บาง แห่งเป็นสถานทท่ี ่องเท่ยี วซงึ่ เกย่ี วขอ้ งกบั ระบบนิเวศ ธรรมชาติ หรอื เชงิ อนุรกั ษ์สง่ิ แวดลอ้ มบางแห่งเป็น สถานทท่ี อ่ งเทย่ี วทเ่ี ก่ียวเน่ืองกบั วฒั นธรรมประเพณี แตส่ าหรบั ประแสทงั้ สถานทท่ี ่องเทย่ี วทางธรรมชาติ ประวตั ิศาสตร์ และวฒั นธรรม เน่ืองจากประแสเป็นเมอื งท่าสาคญั ในประวตั ิศาสตร์ การเป็นเมืองท่า สะทอ้ น อตั ลกั ษณ์มากมายในชุมชนสะท้อนถงึ ระบบนิเวศท่สี มบูรณ์ของการเป็นเมอื งท่า และเป็นพน้ื ท่ี ปากแม่น้า สะทอ้ นอาชพี ประมงท่หี ลอ่ เล้ยี งคนทงั้ ประแส เป็นอาชพี ท่ที าใหเ้ ศรษฐกจิ ของประแสมงั่ คงั่ สะทอ้ นภาพผคู้ นมากมายหลากหลาย เชอ้ื ชาตทิ เ่ี ดนิ ทางเขา้ มาในประแสตงั้ แตค่ รงั้ อดตี รวมถึงผคู้ นทเ่ี ขา้ มาตัง้ รกรากถาวรอย่างชาวจีน ส่งผลให้ ประแสมีความเช่ือ ประเพณีต่าง ๆ ท่ีสาคญั เช่นกัน เพราะฉะนั้นประแสจึงเป็ นเมืองท่ีน่าสนใจในแง่ของประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ระบบนิเวศ วฒั นธรรมต่าง ๆ ซง่ึ สง่ิ เหลา่ น้เี ป็นปัจจยั สาคญั ทจ่ี ะทาใหป้ ระแส กลายเป็นเมอื งทอ่ งเทย่ี ว เน่ืองจากพ้นื ท่ปี ระแสมคี วามหลากหลายสงู มาก การท่องเท่ยี วถนนสายวฒั นธรรม ซ่ึงเป็น พน้ื ทบ่ี รเิ วณตลาดเก่าประแสตดิ รมิ น้าทแ่ี สดงถงึ เสน่ห์ของประแสไดม้ ากทส่ี ุด เพราะอยูใ่ จกลางชมุ ชน คู่มอื รูจ้ กั ชุมชนประแส เลม่ ท่ี 8 เร่อื ง ความสมั พนั ธ์ชมุ ชนทอ่ งเทย่ี วประแส
2 ตงั้ แต่อดตี จนถงึ ปัจจุบนั เป็นตลาดเก่าแก่ท่รี วบรวมผูค้ นใหเ้ ขา้ มาจบั จ่ายใชส้ อย รา้ นรวงต่าง ๆ ท่ยี งั เปิดให้บรกิ ารอยู่จนถึงปัจจุบนั เป็นส่อื กลางชนั้ ดที ่จี ะทาหน้าท่ถี ่ายทอดเสน่ห์ของประแสให้คนทม่ี า เยอื นได้สมั ผสั ตลอดความยาวของเส้นทางถนนคอนกรตี ท่เี ม่อื ครงั้ อดีตเป็นเพียงสะพานไม้เท่านัน้ ถนนสายวฒั นธรรมไดบ้ อกเล่าประวตั ศิ าสตร์ วฒั นธรรม วถิ ีชวี ติ อนั เป็นเคร่อื งสะท้อนเสน่ห์ของประ แสได้เป็นอยา่ งดี โดยงานศกึ ษาน้ี จะกล่าวถงึ ประแสกบั การพฒั นาส่กู ารท่องเทย่ี ว ประแสในฐานะ เมอื งท่า ช่วงเวลาของการเปลย่ี นแปลง พฒั นาสง่ิ ต่าง ๆ ในประแส ซงึ่ เช่อื มโยงกบั รา้ นค้าต่าง ๆ บน เส้นทางถนนสายวฒั นธรรมอันเป็นหัวใจหลักท่ีแสดงถึงเสน่ห์ของประแสในแง่ของประวตั ิศาสตร์ท่ี น่าสนใจของกาท่องเทย่ี ว สามารถเช่อื มโยงกบั ชุมชนในพน้ื ทใ่ี กลเ้ คยี งคอื การทาMOU การท่องเทย่ี วใน ชุมชนปากน้าประแส และชุมชนบ้านทะเลน้อย ชุมชนบ้านเนินฆ้อ และชุมชนบ้านจารุง โดยมี ความสมั พนั ธก์ นั ทางน้า ทม่ี แี ม่น้าประแสไหลผ่าน อาศยั การทอ่ งเทย่ี วในแหล่งธรรมชาติ (natural based tourism) ประกอบดว้ ยการทอ่ งเทย่ี วเชงิ นิเวศ (ecotourism) การทอ่ งเทย่ี วเชงิ นิเวศทางทะเล (marineecotourism) การทอ่ งเทย่ี วเชงิ ธรณีวทิ ยา (geo tourism) การท่องเท่ียวเชิงเกษตร (agro tourism) และการท่องเท่ียวเชิงดาราศาสตร์ (astrological tourism) บนพ้ืนฐานการท่องเท่ียวอย่างมีความรับผิดชอบมีจิตสานึกต่อการรกั ษา สภาพแวดล้อมและวัฒนธรรมท้องถ่ินการท่องเท่ียวในแหล่งวัฒนธรรม (cultural based tourism) ประกอบดว้ ยการท่องเทย่ี วเชงิ ประวตั ศิ าสตร์ (historical tourism) การท่องเทย่ี วงานชมวฒั นธรรมและ ประเพณี (cultural and traditional tourism) การท่องเทย่ี วชมวถิ ีชวี ติ ในชนบท (rural tourism / village tourism) คูม่ อื รูจ้ กั ชมุ ชนประแส เลม่ ท่ี 8 เรอ่ื ง ความสมั พนั ธ์ชมุ ชนทอ่ งเทย่ี วประแส
3 บนพน้ื ฐานของความรบั ผดิ ชอบและมจี ติ สานึกต่อการรกั ษามรดกทางวฒั นธรรมและคุณคา่ ของ สภาพแวดลอ้ ม โดยประชาชนในท้องถ่นิ มสี ว่ นร่วมต่อการจดั การการทอ่ งเทย่ี วรปู แบบการทอ่ งเทย่ี วใน ความสนใจพิเศษ (special interest tourism) เช่นการท่องเท่ยี วเชิงสุขภาพ (health tourism) การ ท่องเท่ยี วเชิงทศั นศึกษาและศาสนา (Edu-meditation tourism) และ การท่องเท่ยี วอ่ืน ๆ ตามความ สนใจ (องคก์ ารกรท่องเทย่ี วโลก World Tourism Organization, ออนไลน์) โดยรวมแล้วการทอ่ งเท่ยี ว คอื การเดนิ ทางออกไปเพ่ือผ่อนคลาย ปลดแอกตนเองจากกิจวตั รเดมิ ๆ ในชวี ติ ประจาวนั ไดเ้ รมิ่ ต้น ลองทาอะไรใหมๆ่ ไดค้ น้ หาและคน้ พบสง่ิ ต่างๆ ทไ่ี ม่เคยสมั ผสั มากอ่ น รวมถึงการออกไปทากจิ กรรมอ่นื ๆ ตามความสนใจส่วนตัว การท่องเท่ยี วในบรบิ ทของประแส เป็นการท่องเท่ยี วท่ไี ดท้ งั้ การเรยี นรแู้ ละ พกั ผ่อนหย่อนใจ การจดั แบ่งประเภทของการท่องเท่ยี วทงั้ หลายขา้ งต้น ได้ปรากฏอยู่ในประแสด้วย เช่นกนั นัน่ เท่ากบั ว่าประแสเป็นพ้นื ท่ที ่นี ่าสนใจ ครบครนั ทงั้ การท่องเทย่ี วในแหล่งธรรมชาติ แหล่ง วฒั นธรรม ทาใหผ้ ูค้ นทจ่ี ะเขา้ มาท่องเท่ยี วมาตวั เลอื กมากยงิ่ ขน้ึ และไม่ไดเ้ จาะจงว่าการมาประแส ตอ้ งมกี จิ กรรมเพยี งแค่อย่างเดยี วทาใหก้ ารทอ่ งเทย่ี วประแสนนั้ ไม่น่าเบ่อื หรอื จาเจ และนักท่องเทย่ี ว สามารถเดนิ ทางกลบั มาเทย่ี วไดอ้ กี หลายครงั้ โดยเปลย่ี นวตั ถุประสงคใ์ นการมาประแสไดใ้ นครงั้ ต่อไป คมู่ อื รูจ้ กั ชมุ ชนประแส เล่มท่ี 8 เรอ่ื ง ความสมั พนั ธช์ มุ ชนทอ่ งเทยี่ วประแส
4 ประแสมสี ถานทท่ี ่องเทย่ี วทงั้ เชงิ นิเวศหรอื ธรรมชาติ ประวตั ศิ าสตร์ และวฒั นธรรม สาหรบั การ ทอ่ งเทย่ี วเชงิ นิเวศ เป็นการท่องเท่ยี วท่สี ามารถดงึ ดูดใหป้ ระแสมคี นเขา้ มาเยย่ี มเยอื นคนจกทุกสารทศิ เขา้ มาทอ่ งเท่ยี วทป่ี ระแสได้อย่างล้นหลาม ตงั้ แต่ในสมยั อดตี มสี ถานท่ที ่องเท่ียวอย่าง แหลมสน เป็น ชายหาดทส่ี งบ เหมาะแกก่ ารพกั ผ่อนอย่างแทจ้ รงิ มที งุ่ โปรงทอง ท่เี ป็นแหล่งท่องเท่ยี วเชงิ อนุรกั ษ์ เป็นพน้ื ทข่ี อง ป่าชายเลน และตน้ โปรงเป็นทุ่งท่ที อดยาวตลอดความยาวของสะพานไมก้ ว่า 2 กโิ ลเมตร ทุ่งโปรงทองยงั เป็นตน้ แบบของการปลกู ป่ าชายเลนในหลาย ๆ พ้นื ท่ี ของประเทศไทยเพ่อื รกั ษาระบบนเิ วศ และสภาพแวดลอ้ มใหเ้ กดิ ความยงั่ ยนื ป่าชายเลนถอื ว่ามคี วามสาคญั กบั ระบบนเิ วศ มาก ซึง่ ประแสเองกเ็ ป็นพ้นื ท่ปี ากแม่น้า ทาใหเ้ กดิ การผสมระหว่างน้าจดื กบั น้าเคม็ จนเกดิ เป็นน้า กร่อย เป็นแหลง่ ทท่ี าใหเ้ กดิ ระบบนิเวศป่าชายเลน นอกจากสถานทท่ี ่องเทย่ี วเชงิ นิเวศแลว้ ประแสยงั มสี ถานท่ที ่องเทย่ี วเชงิ ประวตั ศิ าสตร์ ทโ่ี ด่งดงั ไดแ้ ก่ อนุสรณส์ ถานเรอื รบหลวงประแส ซงึ่ มี บทบาทการรบในสงครามเกาหลี ทป่ี ลดระวางแลว้ จงึ นามาจดั ตงั้ อนุสรณส์ ถานขน้ึ ทป่ี ระแส ซงึ่ เป็นช่อื เดยี วกบั เรอื นนั่ เอง และศาลเสดจ็ กรมหลวงชมุ พร ซง่ึ ชาวประแสเรยี กกนั ว่า เสดจ็ เตย่ี ใน ฐานะท่ีชาวประแสประกอบอาชีพประมงเป็นหลัก จึงมีท่ีพ่ึงพิงทางจติ ใจคือกรมหลวงชุมพร ท่ี เชย่ี วชาญดา้ นการเดนิ เรอื และชาวประแสยงั ใหค้ วามเคารพอย่างสงู มากเสมอมา การทาความรจู้ กั กบั เมอื งไดด้ ที ่สี ุด ตอ้ งเขา้ ไปเดนิ ในตลาดของเมอื งนนั้ ประแสมตี ลาดทเ่ี ป็นสถานทส่ี าคญั ของชาวประแส ตงั้ แต่สมยั อดตี ตลาดประแสถือเป็นสถานท่สี าคญั ในการท่องเท่ียวเพ่อื เรียนรูว้ ฒั นธรรม ซ่ึงการ ท่องเท่ียวถนนสายวฒั นธรรม หรือชุมชนตลาดเก่าริมน้าประแส ก็เป็นอีกตัวเลือกหน่ึงท่ีทาให้ นกั ทอ่ งเทย่ี วไดเ้ ขา้ มาสมั ผสั กบั เสน่หท์ แ่ี ท้จรงิ ของประแส ถนนสายวฒั นธรรมแห่งน้ีคอื ตลาดทม่ี ีรา้ นรวง มากมาย มที า่ เรอื สาหรบั สนิ คา้ ทางทะเล เป็นแหลง่ ทอ่ งเทย่ี ว เชงิ วฒั นธรรมทค่ี วรคา่ แก่การมาสมั ผสั เพราะจะไดเ้ หน็ และ เขา้ ใจวถิ ชี วี ติ ของคนประแสมากยงิ่ ขน้ึ ประแสกบั พฒั นาดงั คาขวญั ของจงั หวดั ระยองทว่ี า่ \"ผลไมร้ สล้า อุตสาหกรรมกา้ วหน้า น้าปลารสเดด็ เกาะเสมด็ สวยหรู สนุ ทรภู่กวเี อก\" แสดงใหเ้ หน็ อย่างชดั เจน ว่าพน้ื ทจ่ี งั หวดั ระยองมดี ที งั้ ทางดา้ นทรพั ยากรสง่ิ แวดลอ้ ม อาหาร เศรษฐกจิ และรอ่ งรอยประวตั ศิ าสตรอ์ นุสรณ์สถาน หน่ึงในจงั หวดั ระยองอย่างตาบลปากน้าประแสกป็ รากฏ ทรพั ยากรอนั ล้าคา่ ทส่ี ามารถพลกิ ใหช้ ุมชนของตนเป็นแหลง่ ท่องเทย่ี วในปัจจบุ นั โดยในส่วนน้จี ะนาเสนอภาพการทอ่ งเทย่ี วของปากน้าประแสผา่ นสถานทท่ี อ่ งเทย่ี ว ต่าง ๆ ทข่ี น้ึ ชอ่ื ในปัจจบุ นั และแสดงใหเ้ หน็ ววิ ฒั นาการสกู่ รเป็นเมอื งท่องเทย่ี วของปากน้า ประแส และ จะกล่าวถงึ มรดกทางวฒั นธรรมอนั ลา้ ค่าทค่ี วรค่าแกก่ ารรกั ษาและอนุรกั ษผ์ า่ นระบบการท่องเทย่ี วอย่าง ถนนสายวฒั นธรรมบรเิ วณชมุ ชนบา้ นเกา่ ปากน้าประแสเป็นลาดบั ทา้ ยทส่ี ดุ คูม่ อื รูจ้ กั ชมุ ชนประแส เล่มท่ี 8 เร่อื ง ความสมั พนั ธช์ ุมชนท่องเทยี่ วประแส
5 ประแสกบั กระแสการท่องเท่ยี วปากน้าประแส คอื ตาบลหน่ึง มที าเลท่ตี งั้ อยใู่ นอาเภอแกลง เป็นสถานทท่ี ่องเทย่ี วระยองทม่ี แี หล่งป่ าไม้ แม่น้าลาธาร การเช่อื มต่อกนั ระหว่างกระแสน้าจดื ไหลมา ปะทะกับน้าทะเล จนกลายเป็นแม่น้าสายใหญ่ท่ตี ดิ กับทิศตะวนั ออกของอ่าว ไทย ปากน้าประแสคือ สถานทท่ี อ่ งเทย่ี วของจงั หวดั ระยองทส่ี ามารถดงึ ดูดนักท่องเทย่ี วมาสมั ผสั วถิ ชี วี ติ พน้ื ถน่ิ เชงิ อนุรกั ษ์ ซงึ่ มี แหล่งชมุ ชนรมิ แม่น้าดงั้ เดมิ ตงั้ แต่สมยั อยธุ ยา โดยสภาพบา้ นเรอื นอนั เกา่ แก่นนั้ ยงั คงมเี หลอื ใหไ้ ดค้ ดิ ถึง วนั คนื ในอดตี อยู่พอสมควร นับไดว้ ่าเป็นทเ่ี ทย่ี วทน่ี ่าสนใจอกี หนง่ึ แห่งของระยอง ตาบลปากน้าประแส เป็นสถานทท่ี ่องเทย่ี วระยองทม่ี ีบรเิ วณท่มี จี ุดท่องเทย่ี วท่นี ่าสนใจอย่างมาก อาทิ ศาลสมเด็จกรม หลวงชมุ พรเขตอดุ มศกั ดิ์ เป็นศาลทต่ี งั้ อยบู่ รเิ วณรมิ ปากแม่น้าประแสและเป็นทเ่ี คารพสกั การะของชาว ระยอง อนุสรณเ์ รอื รบหลวงประแสตงั้ อยบู่ รเิ วณหวั โขด ชายหาดประแส สถานทท่ี ่องเทย่ี วระยองแห่ง น้ยี งั เป็นเกยี รตปิ ระวตั ิ เป็นแหล่งศกึ ษาและเป็นสถานทท่ี ่องเทย่ี วของตาบลทใ่ี นปัจจุบนั บรเิ วณรอบตวั เรือถูกปรบั เปลย่ี นภูมทิ ศั น์แปรสภาพให้กลายเป็นแหล่งท่องเท่ยี วจนไดร้ บั ความนิยมอีกแห่หนึ่งของ จงั หวดั ระยอง สถานท่ีท่องเท่ียวบริเวณปากน้าประแสมจี ุดน่าสนใจท่ีเป็นแหล่งสาคญั และทาให้มี นักท่องเท่ียวต่างพากนั เดินทางมาเท่ียวชมกนั แบบไม่ขาดสายนัน้ ก็คือ ทุ่งโปรงทอง ซึ่งเป็นแหล่ง ท่องเท่ยี วเชงิ อนุรกั ษ์ ทเ่ี ต็มไปด้วยธรรมชาตขิ องป่ าชายเลน มสี ะพานไม้ทอดแนวยาวลดั เลาะไปตาม แนวตน้ โกงกางเพ่อื ไปบรรจบกบั ปลายสะพานทุ่งโปรงทอง โดยสะพานแห่งน้ีทอดยาวไปสน้ิ สุดท่ที ะเล ประแสโดยจะมจี ุดชมวทิ ท่ี าใหเ้ ราไดเ้ หน็ ยอดตน้ โปรงสเี ขยี วตองอร่ามตา เมอ่ื แสงแดดส่องกระทบตดั กบั ทอ้ งฟ้าสคี ราม คู่มอื รูจ้ กั ชุมชนประแส เลม่ ท่ี 8 เรอ่ื ง ความสมั พนั ธช์ ุมชนทอ่ งเทย่ี วประแส
6 นอกจากน้ียงั มสี ะพานประแสสนิ สะพานขา้ มแม่น้าประแสทใ่ี ชเ้ ป็นถนนสายรองเสยี บชายฝัง่ ทะเลตะวนั ออกสายเฉลมิ บูรพาชลทศิ ท่จี ะเช่อื มโยงแหล่งทอ่ งเทย่ี ววฒั นธรรม วถิ ชี วี ติ จากจงั หวดั ระยอง สจู่ นั ทบุรแี ละตราดไดอ้ ย่างต่อเน่ือง โดยสามารถมองเหน็ ทศั นยี ภาพ 2 ฝัง่ ทงั้ ฝัง่ ทะเลกบั ฝัง่ ชุมชนประ แส แตถ่ า้ นักท่องเทย่ี วผใู้ ดสนใจอยากจะมาสมั ผสั วถิ ชี วี ติ ชาวบา้ นทป่ี ระแสมชี มุ ชนโบราณทอ่ี นุรกั ษ์บา้ น เก่าท่อี ยู่บนถนนเลยี บแม่น้า เป็นแหล่ท่องเท่ยี วเชงิ อนุรกั ษ์ทางประวตั ิศาสตร์วฒั นธรรมโบราณ ของ เมอื งท่าสาคญั ฝัง่ ทะเลตะวนั ออก และยงั เปิดใหน้ ักท่องเทย่ี วมาพกั ค้างแรมในแบบโฮมสเตย์ ซงึ่ มกี าร รบั รองมาตรฐานโฮมสเตยไ์ ทยจากสานักงานพฒั นาการทอ่ งเทย่ี วกระทรวงการท่องเทย่ี วและกีฬา โดย นกั ท่องเทย่ี วจะไดพ้ บกบั เจา้ ของบา้ นทส่ี วมบทบาทเป็นมคั คุเทศก์นาเท่ยี วตามทต่ี ่าง ๆ ในปากน้าประ แส ซง่ึ มโี ฮมสเตยอ์ ยมู่ ากมายหลายหลงั และหลากหลายรปู แบบใหเ้ ลอื กสรร ถงึ แมว้ ่าปากน้าประแสจะ ไม่ได้มีหาดทอดยาวเหมือนหาดอ่ืน ๆ แต่ถ้าอยากมาสมั ผสั วถิ ชี วี ติ แบบชาวบา้ น ขจี่ กั รยานสมั ผสั วถิ ี ชมุ ชน อมิ่ หนาสาราญกบั อาหารทะเลและอาหารพน้ื บา้ น ปากน้าประแสถอื วา่ เป็นจดุ น่าสนใจทค่ี วรมาใช้ ชวี ติ แบบเนิบนาบ สมั ผสั ความสงบ ผ่อนคลายไดอ้ ย่างอบอุน่ ใจแหลง่ ท่องเทย่ี วบรเิ วณปากน้าประแสถูก พดู ถึงเป็นวงกวา้ งในปัจจุบนั มผี ู้คนรู้จกั มากข้นึ และเขา้ มาทอ่ งเทย่ี วมากขน้ึ มากกวา่ แต่กอ่ น แตเ่ ดมิ นัน้ ปากน้าประแสมสี ถานท่ที เ่ี ป็นทงั้ ประวตั ศิ าสตร์ ธรรมชาติทน่ี ่าหลงใหลอยู่จานวนหน่งึ แต่ประแสยงั เหตุ น้ีองสถานท่ที ่มี อี ยู่ก่อนแล้วอย่างเรอื รบประแส ศาลกรมหลวงชุมพร ฯลๆทม่ี มี าอยู่เคยี งคู่กบั ชุมชนอยู่ กอ่ นแลว้ กเ็ กดิ การนาเสนอเป็นสถานทท่ี อ่ งเทย่ี วร่วมดว้ ยกบั ทุ่งโปรงทอ อีกทงั้ ยงั พบว่าในปี พ.ศ.2552 มกี ารเกดิ ขน้ึ ของโฮมสเตยแ์ หง่ แรกบนถนนสายวฒั นธรรมทอ่ี าจสะทอ้ นใหเ้ หน็ ถึงโครงการการทอ่ งเทย่ี ว ทล่ี งมาสชู่ มุ ชนขนาดเลก็ บา้ นเก่าปากน้าประแส ทป่ี ัจจบุ นั นนั้ เป็นอกี หนึง่ สถานทท่ี อ่ งเทย่ี วสาหรบั ผทู้ ่ี หลงใหลดา้ นวฒั นธรรมและวถิ ชี ุมชน เชญิ ชวนรอใหผ้ ทู้ ส่ี นใจเขา้ มาทอ่ งเทย่ี วทร่ี บั ประกนั ไดว้ า่ ทกุ ทา่ น จะตอ้ งหลงเสน่หช์ มุ ชนประแสแน่นอน ค่มู อื รูจ้ กั ชมุ ชนประแส เล่มที่ 8 เรอ่ื ง ความสมั พนั ธช์ มุ ชนท่องเทย่ี วประแส
7 จุดท่องเท่ยี วน่าสนใจของปากน้าประแสปัจจุบัน ประแสถูกกล่าวถึงในบรบิ ทเมืองท่องเท่ยี ว มากมาย ประกอบไปดว้ ยสถานทท่ี อ่ งเทย่ี วหลากหลายรปู แบบ ประกอบไปดว้ ยการท่องเทย่ี วเชงิ อนุรกั ษ์ การท่องเท่ียวเชิงวัฒนธรรม การท่องเท่ียวเชิงนิเวศธรรมชาติ ส่ิงแวดล้อม และการท่องเท่ียวเชิง ประวตั ิศาสตร์ ให้นักท่องเท่ยี วหรอื ผูท้ ่แี วะเวยี นมาให้เลอื กสรรก่องเทย่ี วและเชยชมตาความสนใจ โดย สถานทท่ี อ่ งเทย่ี วทถ่ี ูกพดู ถงึ ว่าเป็นจุดหา้ มพลาดเม่อื มาตาบลประแส จงั หวดั ระยอง มดี งั น้หี าดแหลมสน พน้ื ทพ่ี กั ผอ่ นหย่อนไของชาวปากน้าประแสตงั้ แต่อดตี ถึงปัจจุบนั บรเิ วณท่ตี งั้ ของหาดแหลมสนนัน้ เป็น ชายหาดขนาดเล็กทท่ี อดยาวไปจนถงึ ชายหาดแหลมแม่พมิ พเ์ ป็นหาดทรายท่ยี น่ื ออกไปคลา้ ยแหลม มปี ่าสนทะเลขน้ึ อย่เู หนือชายหาด บรรยากาศเงยี บสงบหามมุ ส่วนตวั ไดง้ า่ ย ชายหาดสามารถลงเล่นน้า ไดเ้ ป็นท่ตี งั้ ของวดั แหลมสนซึ่งมีรูปหล่อและสิ่งของพระราชทานของพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้า เจา้ อยู่หวั และสมารถองเหน็ เรอื รบหลวงประแสทต่ี งั้ อยูฝ่ ัง่ ตรงขา้ มได้จุดชมววิ บรเิ วณหาดแหลมสนแห่น้ี สรา้ งเสรจ็ เม่อื เดอื นมนี าคม พ.ศ. 2553 สนับสนุนงบประมาณในการจดั สรา้ ง โดยกรมทางหลวงชนบท ตามโครงการกอ่ สรา้ งถนนเลยี บชายฝัง่ ตะวนั ออก (เฉลมิ บูรพาชลทศิ ) เพ่อื ใชเ้ ป็นสถานทพ่ี กั ผอ่ นหยอ่ นใจของคนในพน้ื ทแ่ี ละบริเวณใกลเ้ คยี งรว่ มถงึ นกั ทอ่ งเทย่ี วทเ่ี ขา้ มาเท่ยี วชม ทุ่งโปรงทอง พ้นื ท่ที ุ่งโปรงทองตงั้ อยู่หมู่ท่ี 7 ตาบลปากน้ากระแส อาเภอแกลง จงั หวดั ระยอง จากพน้ื ทซ่ี ง่ึ ในอดตี เคยเป็นแหล่งทาการเกษตรและประมงของชาวบา้ นในเขตชุมชนบา้ นแสมภู่ ปากน้า และปากน้าประแส ซงึ่ มสี ภาพเส่อื มโทรมค่อย ๆ ได้รบั การฟ้ืนฟูโดยเทศบาลตาบลปากน้า กระแส ร่วมมือกบั ชาวบ้านในพ้ืนท่ปี รบั สมดุลให้กับผนื ป่ าชายเลนท่ใี หญ่ท่สี ุดของจงั หวดั ระยอง ให้ กลบั มาสมบูรณ์อีกครงั้ พร้อมกับพฒั นาเป็นแหล่งท่องเท่ยี วเชงิ อนุรกั ษ์ ควบคู่ไปกบั เป็นแหล่งศึกษา ธรรมชาตไิ ปพรอ้ มกนั เพ่อื สรา้ งความตระหนักใหเ้ หน็ ถงึ ความสาคญั ของธรรมชาติทอ่ี ุดมสมบูรณ์ในเขต ชายฝัง่ คูม่ อื รูจ้ กั ชมุ ชนประแส เล่มท่ี 8 เร่อื ง ความสมั พนั ธช์ ุมชนท่องเทย่ี วประแส
8 ปัจจุบันเป็นแหล่ท่องเท่ียวเชิงอนุรักษ์ ท่ีเต็มไปด้วยธรรมชาติของป่ าชายเลนและต้นโปรง ทข่ี ้นึ เรยี งรายกนั นับพนั นับหม่นื ต้น มองไปได้ไกลสุดลูกหูลูกตาเพยี งเดนิ ลดั เลาะไปตามสะพานไม้ใน ระยะทางกว่า 2 กิโลเมตร จะพบกบั ความอุดม-สมบูรณ์ของผนื ป่ าชายเลนท่หี นาแน่นไปด้วยพนั ธุ์ไม้ หลายชนิด เช่น แสม ตะบูนดา ลาพนู โกงกาง โปรงแค โดยเฉพาะไฮไลทส์ าคญั คอื ทงุ่ โปรงทอง ทเ่ี กดิ จากการเบยี ดเสยี ดกนั อย่างหนาแน่นของตน้ โปรงใบสเี หลอื งอร่าม ซง่ึ ยามทแ่ี สงแดดส่องปะทะลงมา จะ เกดิ เป็นภาพทุ่งต้นโปรงสที องท่ามกลางความเขยี วขจขี องแนวโกงกางท่โี อบลอ้ มรอบทศิ สวยงามจน กลายเป็นทต่ี งั้ ของแหล่งท่องเท่ยี วเชงิ อนุรกั ษ์พกิ ดั สาคญั ของจงั หวดั ระยองไปในท่ีสดุ (ชโลม วงศ์กมิ , สมั ภาษณ์: 20 พฤษภาคม 2562) ภาพท่ี 5:2 บรรยกาศจากจดุ ชมววิ ทมุ่ โปรงทองทร่ี ายล้อมไปดว้ ย ตนั โปรงสเี หลอื งอรา่ ม (ภาพถา่ ยโดย ณวรา สุวรรณภงิ คาร เมอ่ื วนั ท่ี 22 พฤษภาคม 2562 ) คมู่ อื รูจ้ กั ชุมชนประแส เล่มท่ี 8 เร่อื ง ความสมั พนั ธช์ ุมชนท่องเทยี่ วประแส
9 สะพานป่ าชายเลนบ้านหวั โขด สาหรบั สะพานเดนิ ชมธรรมชาติป่ าชายเลน หมู่ท่ี 1 เช่อื มต่อหมู่ท่ี 7 ตาบลปากน้าประแส ถอื ได้ ว่ามคี วามยาวมากระยะทางรวมทงั้ หมดกวา่ 2.5 กิโลเมตร โดยสะพานจะไปเช่อื มต่อทศ่ี าลาป่าชายเลน หมู่ท่ี 7 เป็นระยะทาง 1.5 กิโลเมตร และมสี ะพานเดนิ ชมธรรมชาตปิ ่ าชายเลน หมู่ท่ี 7 ซึง่ มอี ยู่ก่อน แลว้ เป็นระยะทางอกี 1 กโิ ลเมตร สามารถดนิ ไปชมทุ่งโปร่งทองไดด้ ้วยสะพานไมท้ อดยาวเป็นแนวโคง้ เมอ่ื น้าขน้ึ จะไดช้ มธรรมชาตไิ ปตามผนื น้าและเมอ่ื น้าลงจะมองเหน็ สตั วน์ ้าอย่าง ปแู สม ปู คมู่ อื รูจ้ กั ชุมชนประแส เลม่ ท่ี 8 เร่อื ง ความสมั พนั ธ์ชุมชนท่องเทย่ี วประแส
10 อนุสรณ์เรือรบหลวงประแส อนุสรณ์สถานของเรอื มที ม่ี คี วามสาคญั ต่อประวตั ศิ าสตร์ราชนาวไี ทย เรอื หลวงประแสทต่ี งั้ อยู่ ทป่ี ากน้าประแสน้ี เป็นเรอื หลวงประแสลาท่ี 2 นาเขา้ มาแทนเรอื หลวงประแสลาท่ี 1 ซึ่งเกยต่นื ไปใน สงครามเกาหลี ตลอดเวลาประจาการ เร่อื รบหลวงประแสลาท่ี 2 น้ไี ดป้ ฏบิ ตั ภิ ารกจิ มากมาย ทงั้ สงั กดั กองเรือสหประชาชาติในสงครามเกาหลี ทาหน้าท่ลี าดตะเวนปิดอ่าวคุ้มกันเรอื ลาเลยี ง เรอื บรรทุก น้ามนั เรอื กวาดทุ่นระเบดิ และระดมยิงฝัง่ เป็นครงั้ คราว ในพ้นื ท่ยี ุทธบรเิ วณตงั้ แต่ท่าเรือปูซานฝัง่ ตะวนั ออก เรอ่ื ยไปจนถงึ วอนซาน ในเกาหลี รวมภารกนิ ับตงั้ แต่วนั ท่ี 11 มกราคมพ.ศ. 2495 แลว้ เรอื หลวงประแสปฏบิ ตั ภิ ารกจิ ทางยทุ ธการรวม 32 ครงั้ นาน 2 ปีเศษกอ่ นเดนิ ทางกลบั สไู่ ทย และเป็นกาลงั หลกั ของกองเรอื ปราบเรอื ดาน้า กองเรอื ยทุ ธการกองทพั เรอื ในกรตอ่ ตา้ นภยั คกุ คามทางทะเลในชว่ งการ รกุ คบื ของลทั ธคิ อมมวิ นสิ ต์ในคาบสมทุ รอนิ โดจนี จนกระทงั่ ปลดระวางเม่อื วนั ท่ี 22 มถิ ุนายน พ.ศ. 2543 ภายหลงั ปลดระวาง เทศบาลตาบลปากน้า ประแสไดป้ ระสานกบั กองทพั เรอื เพ่อื จดั สรา้ งอนุสรณ์เรอื หลวงประแสขน้ึ ทป่ี ากน้าประแส จนแลว้ เสรจ็ เมอ่ื วนั ท่ี 26 ธนั วาคม พ.ศ. 2546 ปัจจุบนั อนุสรณเ์ รอื รบ หลวงประแสตงั้ อยู่บรเิ วณหวั โขด ชายหาดประแสสถานท่ที ่องเทย่ี วระยอง แห่งน้ียงั เป็นเกยี รติประวตั ิ และเป็นท่ีศกึ ษาและท่องเท่ยี วของตาบล ท่ใี นปัจจุบันบริเวณรอบตัวเรือถูกปรบั เปล่ยี นภูมทิ ศั น์แปร สภาพให้กลายเป็นแหล่งท่องเทย่ี วจนได้รบั ความนิยมอกี แห่งหน่ึงของจงั หวดั ระยอง (อนุสรณ์เรอื รบ หลวงประแส, ออนไลน์ : 2555) สะพานป่าชายเลนบ้านหวั โขดสาหรบั สะพานเดนิ ชมธรรมชาติป่ าชาย เลน หมู่ท่ี 1 เช่อื มต่อหม่ทู ่ี 7 ตาบลปากน้าประแส ถอื ไดว้ า่ มคี วามยาวมากระยะทางรวมทงั้ หมดกว่า 2.5 กิโลเมตร โดยสะพานจะไปเช่อื มต่อท่ศี าลาป่ าชายเลนหมู่ท่ี 7 เป็นระยะทาง 1.5 กิโลเมตร และมี สะพานเดนิ ชมธรรมชาตปิ ่าชายเลน หมทู่ ่ี 7 ซง่ึ มอี ยกู่ ่อนแลว้ เป็นระยะทางอกี 1 กโิ ลเมตร สามารถเดิน ไปช มทุ่ งโปร่งทองได้ด้วยสะ พ าน ไม้ท อดยาวเป็ น แนวโค้งเม่ือน้ าข้ึน จะได้ช ม ธรรมชาตไิ ปตามผนื น้าและเม่อื น้าลงจะมองเหน็ สตั วน์ ้าอย่าง ปแู สม ปูกา้ มดาบพรอ้ มกบั เสยี งดดี ตวั ของ สตั วน์ ้าในป่าชายเลนทส่ี อดผสานรบั กนั เป็นจงั หวะคลา้ ยเสยี งดนตรตี ลอดทาง มศี าลาไหค้ ุณไดน้ งั่ พกั พงิ แอบองิ ธรรมชาตเิ พอ่ื การผ่อนคลายท่ดี ยี งิ่ ขน้ึ (ชโลม วงศ์ทมิ , สมั ภาษณ์:20พฤษภาคม2562)ภาพท่ี 5.4 สะพานไมเ้ สน้ ทางชมป่าชายเลนบา้ นหวั โขด(ภาพโดย นันทติ เส็งมา เม่อื วนั ท่ี 22 พฤษภาคม 2562 ) คู่มอื รูจ้ กั ชมุ ชนประแส เล่มที่ 8 เร่อื ง ความสมั พนั ธช์ มุ ชนท่องเทยี่ วประแส
11 วดั ตะเคียนงาม ตะเคียนใหญ่ 500 ปีวดั ตะเคียนงามกิ่งตะเคียนขนาดใหญ่อายุราว 500 ปี ตงั้ อยู่ภายในวดั ตะเคยี นงาม หมู่ 2 ตาบลปากน้ากระแส อาเภอแกลง จงั หวดั ระยอง เป็นตน้ ไมท้ ม่ี ลี าตน้ ขนาดใหญแ่ ผ่กงิ่ กา้ นตระหง่านอยู่บรเิ วณหน้าวดั ตะเคยี นงาม อายุราว 500 ในอดีต ปากน้าประแสนนั้ เป็นป้าทบึ มดี งตะเคยี นขน้ึ หนาแน่น ซึ่งมปี ระชากร ตะเคยี นถอื เป็นรุ่นปู่รุ่นย่าอายุราว ๆ500 ปีอยู่ 2 ต้น ทงั้ สองตนั นัน้ ชาวบ้านจะเรียกเป็นต้นเจ้าแม่และตันเจ้าพ่อ ตันแม่ปัจจุบันวัด โดยรอบได้ 740 เมตร สว่ นต้นพ่อนัน้ วดั รอบวงได้ 5.60 เมตร แต่สูง และแผ่ก่งิ ก้านไปเป็นวงราว 20 เมตร ชาวบ้านมกั มากราบไหว้ ขอ โชคลาภบนบานศาลกลา่ วตน้ เจา้ แม่มากกว่าตน้ อ่นื ๆ โดยเฉพาะกงิ่ ท่ี หกั จากตน้ แม่กไ็ ดร้ บั แรงศรทั ธาไมน่ อ้ ย ศาลกรมหลวงชมุ พรเขตอดุ มศกั ด์ิ ปากน้าประแส จ.ระยองนนั้ เป็นตาบลเลก็ ๆ อยู่ตดิ ทงั้ แม่น้า และทะเล ซงึ่ ทท่ี อ่ งเทย่ี วนัน้ ไม่เพยี ง แค่เรอื รบหลวงประแสเท่า นนั้ ท่เี ป็นจุดถงึ ดูดผคู้ นเพยี งอย่างเดยี วแต่ยงั มสี ถานท่ศี กั ดสิ์ ทิ ธยิ์ ่างศาลกรม หลวงชมุ พรฯ ท่ตี งั้ อยรู่ มิ ปากแม่น้าประแสภายในศาลประดษิ ฐานรูปหลอ่ เทา่ องคจ์ รงิ ของพลเรอื เอกพระ เจา้ บรมวงศ์เธอกรมหลวงชมุ พเขตอุดมศกั ดิ์ พระบดิ าแห่งกองทพั เรอื ไทย ไว้ใหไ้ ดส้ กั การะขอพรกนั อีก ดว้ ย ซง่ึ ศาลแห่งน้ีเป็นหนึ่งใน 217 แห่งทวั่ ประเทศ ซง่ึ จานวนท่มี ากมายขนาดน้ี เป็นการสะทอ้ นความ ศรทั ธาต่อพระองคท์ ่ไี ด้ทาไว้ ทงั้ เร่อื งของการวางรากฐานให้กบั กองเรอื ราชนาวไี ทย จนสามารถรกั ษา ผปู้ ่วยด้วยพระองคเ์ องอกี ดว้ ย ศาลกรมหลวงชุมพรจงึ เป็นท่เี คารพบูชาของคนในชุมชน อกี ทงั้ หากผใู้ ด หวงั ท่ใี นเร่อื งการทหารก็นิยมมากราบไหวแ้ ละขอพรเพ่อื ความเป็นสริ มิ งคลต่อตนเองอีกดว้ ย (วาสนา วงศ์ไตรรตั น์, สมั ภาษณ:์ 18 พฤษภาคม 2562) คูม่ อื รูจ้ กั ชุมชนประแส เลม่ ท่ี 8 เรอ่ื ง ความสมั พนั ธ์ชุมชนทอ่ งเทยี่ วประแส
12 สะพานประแสสิน มองเหน็ ทศั นียภาพ 2 ฝัง่ ทงั้ ฝัง่ ทะเลและฝัง่ ชุมชนประแส เป็นสะพานข้ามแม่น้าประแส ท่มี ี ความยาวทงั้ หมด 2,090 เมตรหรอื 2.09 กิโลเมตร โดยสะพานหลักช่วงขา้ มแม่น้ามคี วามยาว 889.6 เมตร ทางยกระดับเชิงสะพาน (เทศบาลปากน้าประแส) 620 เมตร ทางยกระดับเชิงสะพาน (ตาบลเนินข้อ) 580 เมตร น่ีคือเปล่ียนแปลงการสัญจรทางน้าระหว่างบ้านแหลมเนินฆ้อและ ตาบลปากน้าประแส อ.แกลง จ.ระยอง ส่กู ารสญั จรทางบกเพ่อื ย่นระยะเวลาของทงั้ สองฝัง่ ให้สนั่ ลง และ เป็นถนนสายรองเลียบชายฝัง่ ทะเลตะวนั ออกท่จี ะเช่อื มโยงแหล่งท่องเท่ยี ว วฒั นธรรม วถิ ีชีวติ จาก จ.ระยอง ส่จู นั ทบุรแี ละตราดไดอ้ ยา่ งตอ่ เน่อื ง (สาเนา ศรสาราญ, สมั ภาษณ:์ 21 พฤษภาคม 2562) คู่มอื รูจ้ กั ชมุ ชนประแส เลม่ ที่ 8 เร่อื ง ความสมั พนั ธ์ชุมชนท่องเทย่ี วประแส
13 วดั สมมติเทพฐาปนารามหรอื วดั แหลมสน ตงั้ อยู่รมิ ฝัง่ แม่น้าประแส\"วดั สมมตเิ ทพฐาปนาราม\"เป็นชอ่ื โดยทางการของวดั ซ่ึงไดร้ บั พระบรม ราชโองการจากพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั (รชั กาลท่ี 5) โปรดเกลา้ ใหส้ ร้างวดั เม่อื วนั ท่ี 25 มกราคมพ.ศ. 2427 และไดจ้ ดั ตงั้ วดั เม่อื พ.ศ. 2429 สงั กดั มหานิกายอยใู่ นเขตการปกครองของคณะ สงฆ์ ตาบลปากน้ากระแส อาเภอแกลง จงั หวดั ระยอง ภาค 13 ซงึ่ ชาวบา้ นในหมบู่ า้ นและทวั่ ไปทร่ี จู้ กั วดั สมมตเิ ทพฐาปนารามจะนยิ มเรยี กสนั้ ๆ วา่ \"วดั หลวงหรอื วดั แหลมสน\" เป็นทน่ี ับถอื และกราบไหวข้ อง คนในชุมชน อกี ทงั้ นักท่องเทย่ี วยงั สามารถเขา้ มาสกั กาบูชาเพอ่ื ความเป็นสริ มิ งคล และซมึ ซบั ร่องรอย ประวตั ิศาสตร์ในอดีตได้อีกด้วย (วัดแหลมสนสมมุติเทพฐาปนารามระยอง, ออนไลน์ : 2558) นอกเหนือจากสถานทท่ี ่องเทย่ี วอนั เป็นทน่ี ิยมของนักท่องเทย่ี วในปัจจุบนั ตามท่ไี ด้กล่าวไปขา้ งต้นนั้น ปัจจุบนั มกี ารจดั โปรแกรมเพอ่ื รองรบั นกั ทอ่ งเทย่ี วอกี มากมาย ไมว่ ่าจะเป็นรายการทอ่ งเทย่ี วล่องเรอื ชม หง่ิ หอ้ ย ล่องเรอื เพลดิ เพลนิ บนแมน่ ้า ประแสเพ่อื สมั ผสั การท่องเทย่ี วเชงิ อนุรกั ษ์แม่น้า ประแสอนั เป็นสายน้าสาคญั ของจงั หวดั ระยอง ชาวบ้าน ในชุมชนรวมกลุ่มกนั อนุรกั ษ์วถิ ีชวี ติ ดงั้ เดมิ ยอ้ นกลบั ส่วู ถิ ี ชวี ติ คนชาวคลองรมิ น้าในพน้ื ทม่ี บี า้ นพกั และโฮมสเตยข์ อง เอกชนไว้รองรับนักท่องเท่ียว อีกทัง้ ยังมีโปรแกรม ท่องเท่ยี วเขตอนุรกั ษ์ป่ าชายเลน ลุ่มแม่น้าประแสและ เกาะนก โดยเทศบาลตาบลเมอื งแกลงเป็นบรเิ วณพ้นื ท่ี รมิ ฝัง่ แม่น้า ประแสและเกาะนก เทศบาลเมอื งแกลงได้ เรมิ่ เสรมิ ระบบนิเวศชายฝัง่ ด้วยการปลูกต้นโกงกางและ ประสกั นับแต่ปี พ.ศ. 2545 เป็นตน้ มา หรอื หากใครอยากมขี องฝากสขุ ภาพทด่ี กี ลบั ไปกส็ ามารถเขา้ เยย่ี มชมกลมุ่ ชุมชนวสิ าหกิจชาใบขลู่เพ่อื เรยี นรกู้ ารทาชาใบขลูท่ ่มี สี รรพคุณอนั เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย มากมายสถานท่ที ่องเท่ยี วต่าง ๆ เกิดจากการนาร่องโดยสถานท่ที ่องเท่ยี วหลักโดยทุ่งโปรงทอง ท่ี แปรเปลย่ี นประแสจากชุมชนประมงทวั่ ไปส่กู ารพลกิ ฟ้ืนเศรษฐกจิ ใหด้ ียงิ่ ขน้ึ ในฐานะการท่องเท่ยี ว ประ แสกาลงั ถูกรจู้ กั ในฐานะเมอื งทอ่ งเทย่ี วเร่อื ยมา และเมอ่ื ไมน่ านมาน้โี ครงการการทอ่ งเทย่ี วถกู พฒั นาลงสู่ คูม่ อื รูจ้ กั ชุมชนประแส เล่มท่ี 8 เรอ่ื ง ความสมั พนั ธช์ ุมชนทอ่ งเทยี่ วประแส
14 พน้ื ท่ชี ุมชนขนาดเลก็ แตล่ น้ ไปดว้ ยเสน่หอ์ ย่างชมุ ชนบา้ นเกา่ ปากน้าประแส เกดิ เป็นถนนสายวฒั นธรรม ทส่ี ามารถสะทอ้ นและดงึ ดูดนักท่องเทย่ี วผ่านวฒั นธรรมชุมชนทห่ี ลงเหลอื ตงั้ แต่อดตี จวบจนถงึ ปัจจุบนั ถนนสายวฒั นธรรมเป็นอกี หนึ่งแหลง่ ทอ่ งเทย่ี วเกดิ ใหมเ่ อาใหผ้ ทู้ ส่ี นใจและกาลงั มองหาเชญิ ชวนผทู้ ส่ี นใจ และกาลงั มองหาบรรยากาศเกา่ ๆ ทผ่ี คู้ นเป่ียมด้วยมติ รไมตรี สมั ผสั วถิ ชี วี ติ อนั เรยี บง่าย ธรรมชาตอิ นั งดงาม ช่นื ชมมรดกภูมปิ ัญญาศลิ ปวฒั นธรรมทอ้ งถน่ิ ตอ้ งการซมึ ซบั การท่องเทย่ี วรูปแบบวฒั นธรรมและ วถิ ีชวี ติ ชุมชน ถนนสายวฒั นธรรมชุมชนบา้ นเกรมิ น้าประแสจึงเป็นอกี ทางเลอื กหนึ่งในการท่องเท่ยี ว ถนนเสน้ น้ยี งั คง ปรากฏบา้ นไมโ้ บราณทย่ี งั คงมรี ้นคา้ จาหน่ายสนิ ค้าต่าง ๆ ตามวถิ ีชวี ติ ชุมชนโบราณ อนั ประกอบไปดว้ ย รา้ นคา้ ขายของชา รา้ นตดั ผม รา้ นอาหาร รา้ นจาหน่ายของฝากรา้ นยาโบราณ โฮมส เตย์ ตลาดเชา้ ฯลฯ และเป็นทต่ี งั้ ของบา้ นพพิ ธิ ภณั ฑป์ ากน้าประแสซ่ึงเคยเป็นบา้ นของคณุ วเิ ชยี ร ทรพั ย์ เจรญิ พพิ ธิ ภณั ฑแ์ ห่งน้เี ป็นทจ่ี ดั แสดงประวตั คิ วามเป็นมาของชุมชนประแสโดยมที งั้ รปู ภาพและเคร่อื งใช้ ตา่ ง ๆ ในอดตี นอกจากน้บี รเิ วณชุมชนบา้ นการมิ น้าประแสยงั รวบรวมอาหารและของดเี มอื งประแสให้ นักท่องเทย่ี วได้ซ้อื กลบั ไปฝากญาตมิ ติ รใหป้ ระทบั ใจอีกดว้ ย ดงั จะเหน็ ไดว้ า่ มรดกทางวฒั นธรรมอนั ล้า ค่าของชุมชนถูกผนวกไว้อยู่บนถนนสายน้ีถนนสายวฒั นธรรมเส้นน้ีจึงเป็นส่งิ ล้าค่าท่จี ะสามารถคง วฒั นธรรมของชุมชนบา้ นเก่ารมิ น้าประแสน้ีไว้ ผ่านการอนุรกั ษ์โดยการท่องเท่ยี ว เพ่อื ใหป้ ระแสเป็นท่ี รู้จกั คกึ คกั และรุ่งเรอื งอีกครงั้ ดงั ทเ่ี คยเป็นมาในอดตี อนุสรณ์ต่าง ๆ แล้วนัน้ ยงั ถือไดว้ ่าเมอื งประแส หรอื ตาบลปากน้าประแสน้ี มคี วามสาคญั ในฐานะของการเป็นเมอื งกหลายประการเลยทเี ดยี ว ทงั้ ด้าน ประวตั ศิ าสตรเ์ ทย่ี วนาน ภูมศิ าสตรท์ เ่ี หมาะสม นิเวศวทิ ยาทส่ี มบูรณ์ และเศรษฐกจิ ท่รี ุง่ เรอื ง คู่มอื รูจ้ กั ชุมชนประแส เล่มท่ี 8 เรอ่ื ง ความสมั พนั ธช์ มุ ชนท่องเทย่ี วประแส
15 ถนนสายวฒั นธรรม ปากน้าประแส จงั หวดั ระยอง เป็นสถานท่ที ่นี ่าท่องเท่ยี วมากท่สี ุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย เพราะดว้ ยความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ วถิ ชี วี ติ ของผู้คน ท่ไี ด้นาเสนอรงั สรรคใ์ หผ้ ู้ท่มี าเยย่ี มเยยี น หรือนักท่องเท่ียวได้หลงใหลถึงเสน่ห์ของปากน้าประแสแห่งน้ี หากแต่กว่าจะมาเป็น \"ถนนสาย วฒั นธรรม\" ทเ่ี กดิ ขน้ึ ดงั ในปัจจุบนั นัน้ ปากน้าประแสก็มเี ร่อื งราวต่าง ๆ มากมาย ตงั้ แต่ในอดตี จนถึง ปัจจุบนั ท่กี ล่าวถงึ ความพยายามของกลุ่มคน หรอื การสรา้ งสถานทต่ี ่าง ๆ เพ่อื ทาให้ชุมชนกลายเป็นท่ี รูจ้ กั ต่อสาธารณชนทวั่ ไปและตระหนักท่จี ะใหช้ ุมชนเกิดความพฒั นาทงั้ ทางดา้ นเศรษฐกจิ กด็ แี ละการ ท่องเทย่ี วกด็ ี โดยต่อไปน้ีจะกล่าวถงึ เหตุการณ์ในช่วงเวลาต่าง ๆ ท่เี กิดขน้ึ ก่อนท่จี ะมาเป็น \"ถนนสาย วฒั นธรรม\" ทท่ี ุกคนรู้จกั ดงั ในปัจจุบนั พุทธศกั ราช 2546: เรอื รบหลวงประแสเรม่ิ ตน้ ดว้ ยอนุสรณ์สถาน ของเรอื ทม่ี คี วามสาคญั ต่อประวตั ิศาสตรร์ าชนาวไี ทยเรอื หลวงประแสทต่ี งั้ อยู่ท่ปี ากน้าประแส เป็นเรอื หลวงประแสลาท่ี 2 นาเข้ามาแทนเรอื หลวงประแสลา 1 ซ่ึงเกยต้ืนไปในสงครามเกาหลี ตลอดเวลา ประจาการ เรือรบหลวงประแสลาท่ี 2 น้ีได้ ปฏิบัติภารกิจมากมาย ทัง้ สังกัดกองเรือ สหประชาชาติในสงครามเกาหลี ทาหน้าท่ี ลาดตะเวนปิดอ่าวคุ้มกันเรือลาเลียง เรือ บรรทุกน้ามนั เรือกวาดทุ่นระเบิด และ ระดมยิงฝั่งเป็ นครงั้ คราว ในพ้ืนท่ียุทธ บริเวณ ตั้งแต่ท่าเรือปูซานฝั่งตะวันออก เร่อื ยไปจนถงึ วอนซาน ในเกาหลี รวมภารกจิ นับตัง้ แต่วนั ท่ี 11 มกราคมพ.ศ. 2495 แล้ว เรือหลวงประแสปฏิบัติภารกิจทางยุทธการ รวม 32 ครงั้ นาน 2 ปีเศษก่อนเดินทาง กลับสู้ไทย และเป็นกาลังหลักของกองเรือ คู่มอื รูจ้ กั ชมุ ชนประแส เล่มที่ 8 เร่อื ง ความสมั พนั ธช์ มุ ชนท่องเทย่ี วประแส
16 ปราบเรอื ดาน้า กองเรอื ยุทธการกองทพั เรอื ในกรต่อตา้ นภยั คุกคามทางทะเลในชว่ งการรุกคบื ของลทั ธิ คอมมวิ นิสต์ในคาบสมทุ รอนิ โดจนี จนกระทงั่ ปลดระวางเม่อื วนั ท่ี 22 มถิ ุนายน 2543 ภายหลัง ปลดระวาง เทศบาลตาบลปากน้าประแสได้ประสานกับกองทพั เรือ เพ่ือจดั สร้าง อนุสรณ์เรอื หลวงประแสขน้ึ ทป่ี ากน้าประแส จนแล้วเสรจ็ เม่อื วนั ท่ี 26 ธนั วาคม 2546 และอนุสรณ์เรอื หลวงประแส กลายเป็นสญั ลกั ษณ์สาคญั ทผ่ี มู้ าเยอื นชุมชนปากน้าประแสตอ้ งมาชมความยงิ่ ใหญ่ของเรอื หลวงประแสแห่งน้ีอย่างใกล้ชิดและเป็นแหล่งท่องเท่ยี วท่สี าคญั อีกแห่งหนึ่งในปัจจุบันนับได้ว่าเป็น สถานทส่ี าคญั มากทส่ี ุดแห่หนึ่งของจงั หวดั ระยอง โดยผบู้ กุ เบกิ \"ทุ่งโปรงทอง\" แห่งน้คี อื นายชโลม วงศ์ ทมิ อายุ 75 ปี โดยในช่วงแรกกอ่ นทค่ี ุณลุงเรมิ่ บารุงทุ่งโปรงทองนนั้ เน่อื งจากมนี ายทนุ กลมุ่ หน่ึงปล่อย น้าเสยี ลงในแม่น้า จงึ ทาใหท้ รพั ยากรธรรมชาตใิ นบรเิ วณน้ถี กู ทาลาย และส่ิงแวดลอ้ มป่าชายเลนเส่อื ม โทรมลง จากนัน้ คุณลุงกเ็ ป็นผู้นาในการคดั ค้านนายทุนกลุ่มน้ีและรวบรวมชาวบ้านทงั้ หมดประมาณ 1,000 คน มาคดั คา้ น จงึ ทาใหส้ มั ฤทธผิ์ ลในการอนุรกั ษ์ทงุ่ โปรงทองโดยทาให้ธรรมชาตใิ นบรเิ วณน้เี กดิ ความอุดมสมบูรณ์มากข้นึ จึงทาให้เกดิ การนาร่องการสรา้ งทุ่งโปรงทองในปี พ.ศ. 2550 และช่อื \"ทุ่ง โปรงทอง\" ทไ่ี ดม้ าน้ี เกดิ จากชาวบา้ นทงั้ หมด 5 คน ช่วยกนั ตงั้ ชอ่ื หลงั จากทน่ี ายชโลม ค่มู อื รูจ้ กั ชุมชนประแส เลม่ ที่ 8 เร่อื ง ความสมั พนั ธช์ ุมชนทอ่ งเทยี่ วประแส
17 ความสมั พนั ธข์ องชมุ ชนการทอ่ งเทยี่ วหมบู่ า้ นจำรงุ บา้ นจำรงุ มคี วามเชอ่ื มโยงกบั ประแสไดอ้ ยา่ งไร ในเชงิ พนื้ ที่ บ้านจํารุงอย่ใู นตำบลเนินฆอ้ ซ่ึงติดกบั ตำบลปากนำ้ ประแสทมี่ ีเพยี งแม่น้ำประแสกั้นไว้ ในช่วงฝั่งขวาของแหลมสนท่เี ปน็ ส่วนหนง่ึ ของประแสเกย่ี วขอ้ งกบั คน คนทำงานกันเปน็ องค์กรชุมชนหรอื องคก์ รชาวบ้านทเี่ รียกว่าสภาองคก์ รชมุ ชนทจ่ี ะมีชุมชนแตล่ ะชมุ ชนเข้ามารว่ มงานกนั ทไ่ี ม่ใชเ่ พยี งแคก่ าร ท่องเทยี่ วอยา่ งเดียว จงึ มีการโยงคนสองกลุ่มของจำรงุ และประแสทำเรอื่ งท่องเทีย่ วรว่ มกันร่วมกนั ในสว่ นของ แมน่ ำ้ ประแสเรือ่ งของทอ้ งถน่ิ ท่มี ีการเชอื่ มโยงกับหนว่ ยงานท้องถ่นิ หรอื เทศบาลไดเ้ ชญิ ทางหมบู่ า้ นจำรงุ ไปคุย กนั ใหก้ ับคนทอี่ ยู่ภายใตก้ ารสนบั สนนุ ของเทศบาล ค่มู อื รูจ้ กั ชุมชนประแส เลม่ ที่ 8 เรอ่ื ง ความสมั พนั ธช์ ุมชนท่องเทย่ี วประแส
18 กระบวนการทอ่ งเทยี่ วของจำรงุ เปน็ อยา่ งไร ถา้ พดู โดยรวมบ้านจำรงุ เปน็ สภาองค์กรชมุ ชน คือการเคลื่อนทข่ี องชาวบ้านทีอ่ ยากจะทำอะไรก็ได้ อยา่ งอิสระ โดยเริ่มแรกคดิ ที่จะทำในเรอ่ื งของเกษตรอินทรีย์ เพราะคนท่จี ำรุงใช้สารเคมีเยอะมีการใช้น้ำใต้ดิน เยอะ แล้วเวลาท่ีใช้สารเคมใี นการพ่นก็จะทำให้อากาศเสียทำใหส้ ภาพดินและนำ้ เสยี จึงคิดทำการฟื้นฟูสภาพ ดินน้ำและอากาศโดยใช้เกษตรอนิ ทรยี เ์ ป็นหลัก เม่ือทำเกษตรอนิ ทรีย์ไปซกั ระยะกไ็ ปไม่รอดเพราะมนั ดแี ตไ่ มม่ ี คนซือ้ ผลผลิต จึงเร่ิมคิดใหมโ่ ดยการทำเกษตรอินทรยี ์โดยดึงการท่องเท่ยี วเขา้ มาเก่ยี วขอ้ งเพอ่ื ให้นกั ท่องเทีย่ ว มากนิ ผลผลิตทางเกษตรอนิ ทรีย์ จงึ มกี ารเชอื่ มโยงในดา้ นเกษตรข้ึนมากบั การท่องเทย่ี วหลงั ปี 47 กเ็ ปลีย่ นมา ตั้งเปน็ การทอ่ งเทีย่ วเชงิ ความร้ทู างธรรมชาติ จนเริ่มมีคนรู้จักมากข้ึนและใหค้ วามสนใจมาเรียนรู้แบบชาวบา้ น โดยไม่เก่ียวข้องกับภาครฐั โดยเร่มิ การก่อต้งั มาและประสบความสำเรจ็ ได้ประมาณ 15 ปีได้ โดยการริเร่มิ กอ่ น หนา้ ประมาณ 5 ปรี วมๆแลว้ ประมาณ 20 กว่าปีจนเป็นรปู เปน็ ร่างมากข้นึ คู่มอื รูจ้ กั ชมุ ชนประแส เล่มที่ 8 เรอ่ื ง ความสมั พนั ธช์ ุมชนท่องเทยี่ วประแส
19 โปรแกรมการทอ่ งเทย่ี วของจำรงุ เปน็ อยา่ งไร จดั การท่องเทย่ี วโดยขึ้นอยู่กับนักทอ่ งเทยี่ ว โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มนักท่องเทย่ี ว กลุม่ ท่ี 1 คือหนว่ ยงานรัฐซ่ึงเป็นกลุม่ หลัก โดยองค์การปกครองสว่ นท้องถิ่นมาเพื่อเรียนรู้วา่ ทำไม องค์กรณช์ มุ ชนน้ถี ึงอย่กู นั ได้โดยทไ่ี ม่มีการเก่ียวข้องกับภาครฐั ทำไมรวมกนั แล้วถึงแขง็ แรง ซง่ึ จะมเี ครอื ข่ายอยู่ ประมาณ 8000 แห่งท่วั ประเทศ กลุ่มท่ี 2 คอื กลุ่มนักทอ่ งเทยี่ วทั่วไป หมายถงึ อยากมาเที่ยวแบบชาวบา้ นไม่ได้ตอ้ งการความร้มู ากมาย นกั ท่องเทีย่ วประเภทน้จี ะมีเรือ่ ยๆจนพฒั นาไปเป็นมปี ระจำ กลุ่มที่ 3 เปน็ กลุ่มนกั ท่องเทยี่ วเฉพาะเจาะจง ท่ีถูกบังคบั ใหม้ าเรียนรู้ ซง่ึ มีโจทยม์ าวา่ จะต้องมาเรยี นรู้ จรงิ จงั ซ่งึ ก็มตี ลอดทัง้ ปี คู่มอื รูจ้ กั ชมุ ชนประแส เล่มท่ี 8 เร่อื ง ความสมั พนั ธ์ชมุ ชนทอ่ งเทย่ี วประแส
20 ยานพาหนะในการท่องเทย่ี ว คือ รถราง เกิดข้ึนจากการวิจัยของนักศึกษาปริญญาโทเมื่อปี47 ที่ได้ขอให้นักศึกษาวิจัยพฤติกรรมการท่องเที่ยวของ นักท่องเที่ยวว่ามีพฤติกรรมการท่องเท่ียวอย่างไร โดยให้โจทย์ว่า การท่องเท่ียวในชุมชน สรุปว่าคนไทยรัก สบายไม่ชอบเดิน เมอื่ นักศึกษาได้ผลสรุปออกมา ทางผูใ้ หญ่บ้านก็ไดถ้ ามนักศกึ ษาวา่ แล้วจะทำอยา่ งไรให้คนมา เท่ียว นักศึกษาจึงเสนอว่าให้มีรถรางพาท่องเท่ียว จึงได้ริเร่ิมการต่อรถรางขึ้นมาเพื่อเป็นยานพาหนะในการ ท่องเที่ยวจนรถรางของหมู่บ้านจำรุงจึงกลายเป็นต้นแบบรถรางในการท่องเท่ียวของอำเภอแกลง เมื่อคน มาแล้วได้นั่งรถรางก็รู้สึกชอบ สนุก เพลิดเพลิน ทางหมู่บ้านก็เลยได้พาออกเท่ียวไปถึงประแสช่วงแหลมสน เพราะตรงแหลมสนจะมที า่ เรือ จนเมื่อมกี ารทำสะพานประแสสิน จงึ ได้เพิ่มเส้นทางไปเรือรบหลวงประแส และ ทุ่งโปรงทอง คู่มอื รูจ้ กั ชมุ ชนประแส เล่มที่ 8 เรอ่ื ง ความสมั พนั ธ์ชมุ ชนท่องเทยี่ วประแส
21 ความสมั พนั ธ์ของชุมชนปากนา้ ประแสและชุมชนบา้ นทะเลน้อย หมู่บา้ นทะเลน้อยมคี วามเชื่อมโยงกบั ประแสได้อย่างไร การทอ่ งเทย่ี วทเ่ี ช่อื มโยงชุมชนบา้ นทะเลนอ้ ยกบั ชุมชนปากน้าประแสนนั้ เป็นการจดั ทอ่ งเทย่ี วท่ี ตอ้ งนานกั ท่องเทย่ี วไปเทย่ี วเชงิ อนุรกั ษธ์ รรมชาติ การ ไปชมทะเลนก ชมเหยย่ี วแดง ซงึ่ การเดนิ ทาง ทอ่ งเทย่ี วตอ้ งอาศยั การนงั่ เรอื ผ่านแมน่ ้าหม่บู า้ นทะเลน้อยไปแมน่ ้าประแส นอกจากน้ยี งั มรี ถรางของ หมู่บา้ นพานกั ทอ่ งเทย่ี วไปจุดท่องเทย่ี วเช่น ชมวดั ทะเลน้อย และตอ่ ทศ่ี าลกรมหลวงชุมพร ทุ่ง โปรงทอง และอนุสรณ์เรอื รบหลวงประแส คมู่ อื รูจ้ กั ชมุ ชนประแส เลม่ ท่ี 8 เรอ่ื ง ความสมั พนั ธ์ชุมชนทอ่ งเทย่ี วประแส
22 กระบวนการท่องเท่ียวหมบู ้านทะเลน้อยเป็นอย่างไร กระบวนการทอ่ งเทย่ี วหมบู่ า้ นทะเลนอ้ ย เป็นลกั ษณะการขายการทอ่ งเทย่ี วของชมุ ชน นักทอ่ งเทย่ี วทเ่ี ขา้ มาทอ่ งเทย่ี วจะไดร้ ทู้ ม่ี าของหมบู่ า้ น ประวตั วิ ดั ทะเลนอ้ ยทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ประวตั ศิ าสตร์ สมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ มหาราช โปรแกรมการท่องเท่ียว การทอ่ งเทย่ี ว 1 วนั และ 2 วนั 1 คนื (ตวั อย่าง 1 วนั ) ประกอบดว้ ยกจิ กรรมช่วงเชา้ ฟัง บรรยายหมู่บา้ น ตอ่ ดว้ ยพานกั ทอ่ งเทย่ี วไปไหวพ้ ระวกั ราชบลั ลงั ดกู ารทาหมวกจากใบจาก ชว่ ง เยน็ พาลอ่ งแพดูเหยย่ี วแดง คูม่ อื รูจ้ กั ชุมชนประแส เลม่ ท่ี 8 เรอ่ื ง ความสมั พนั ธ์ชมุ ชนทอ่ งเทย่ี วประแส
23 ความสมั พนั ธร์ ะหว่างชมุ ชนปากนำ้ ประแส กบั ชมุ ชนเนนิ ฆอ้ หมบู่ ้านเนินฆ้อมีความเชื่อมโยงกบั ประแสได้อยา่ งไร พน้ื ทท่ี งั้ 2 ตาบล มกี ารเช่อื มโยงการ ความสมั พนั ธร์ ะหว่าง 2 ตาบล ทงั้ อาชพี ของคนในชมุ ชน วถิ ชี วี ติ ความเป็นอยู่ ของเสน้ ทางลมุ่ แม่น้าประแส โดยตงั้ ตงั้ เป็น กลมุ่ D-Hope มกี ารทา MOU ขน้ึ ระหว่าง เทศบาลตาบลปากน้าประแสและ เทศบาลตาบลเนินฆ้อ การแลกเปล่ียน ยืม พาหนะนาเท่ียว เช่น รถราง เรอื ประมงพน้ื บ้านรบั จ้าง นานักท่องเท่ยี วล่องเรอื ของทงั้ 2 เทศบาล มกี ารแลกเปล่ยี นเรยี นรู้ ของคนในองค์กร เร่อื งการท่องเท่ยี ว การประชุมแลกเปล่ยี นเรยี นรู้ การทาแหล่งท่องเทย่ี วเชงิ อนุรกั ษ์ เหมอื นกนั ชนุ ชมบา้ นเนินฆอ้ การท่องเทย่ี วเชงิ นิเวศ ป่าชายเลน การสรา้ งจติ สานึกในการอนุรกั ษ์ ทรพั ยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อม ต.เนินฆ้อ เป็นพ้ืนท่ี 3 น้า คือ ทะเล น้าจดื พ้ืนท่ีบก พ้ืนท่ี หมู่บ้านติดทะเล ได้แก่ ม.2 ม.4 ม.8 และม.9 มีอาชพี ทาการประมงน้าต้ืนพ้นื บ้าน การจดั การ ท่องเทย่ี วก็ไดจ้ ดั การทอ่ งเทย่ี วเชงิ อนุรกั ษ์ วถิ ีชาวบ้านประมง ไดแ้ ก่ การทาซงั เชอื กบา้ นปลา การปลูก ป่าโกงกาง พ้นื ท่ี ม.2 เป็นพน้ื ท่หี มู่บ้านก่ึงบก กึ่งทะเล มกี ารทาสวนผลไม้ การทาการเกษตรและการมี อาชพี ทาการประมงน้าต้นื แหล่งท่องเท่ยี วทส่ี าคญั ไดแ้ ก่ สะพานรกั ษแ์ สม การแปรรปู ผลติ ภณั ฑท์ าง การเกษตร เช่น ทุเรยี นทอด และการทาสวนยาง สวนผลไม้ คู่มอื รูจ้ กั ชมุ ชนประแส เลม่ ท่ี 8 เร่อื ง ความสมั พนั ธ์ชมุ ชนทอ่ งเทยี่ วประแส
24 กระบวนการท่องเที่ยวหมบู ้านเนินฆ้อเป็นอยา่ งไร การทอ่ งเทย่ี วของตาบลเนินฆอ้ จดั การทอ่ งเทย่ี ว เชงิ นิเวศ มกี ารจดั กจิ กรรม ดงั น้ี 1.การปลกู ป่าชายเลน (ตน้ โกงกาง) มกี ารทางานรว่ มกบั สถานีพฒั นาป่าชายเลนท่ี 1 ระยอง โดย ร่วมสรา้ งจติ สานึกใหก้ บั คนในชุมชน เร่อื งของป่าชายเลน กบั ทรพั ยากรทางทะเล (สตั ว์ทะเล) ป่าชาย เลนจะเป็นแหล่งอนุบาลสตั ว์น้าขนาดเลก็ เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา และมกี จิ กรรมปลูกป่าชายเลน ซงึ่ จะมคี ่าใชจ้ า่ ยในการดูแลตน้ โกงกางจนเตบิ โตจนสามารถเป็นแหล่งทอ่ี ยขู่ องสตั วท์ ะเลได้ 2.การปล่อยปูแสม เน่อื งจากมนี ายทนุ มากวา้ นซ้อื ทด่ี นิ เพ่อื ทาบ่อกงุ้ ในพน้ื ตาบลเนินฆอ้ และมี การปล่อยสารเคมี ลงในแหลง่ น้าธรรมชาติ ทาใหด้ นิ ขาดความอุดมสมบูรณ์ จงึ ไดม้ กี ารรวมกลุ่มกนั ของ คนในชุมชนร่วมกนั ทาน้าหมกั จุลนิ ทรยี ์ เพ่อื ชว่ ยฟ้ืนฟสู ภาพดนิ /น้าให้สะอาด เหมาะกบั การเป็นแหล่ง อาศยั ของสตั วน์ ้า และเพอ่ื ใหเ้ ป็นแหล่งทอ่ี ย่อู าศยั ของปูแสม โดยจดั ทาเป็นเขตพน้ื ทห่ี า้ มล่าปูแสม โปรแกรมการท่องเที่ยว การทอ่ งเทย่ี วเชงิ นเิ วศแบบไปชา้ เยน็ กลบั คู่มอื รูจ้ กั ชมุ ชนประแส เล่มท่ี 8 เรอ่ื ง ความสมั พนั ธช์ ุมชนทอ่ งเทยี่ วประแส
25 ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งชุมชนปากน้าประแส กบั ชุมชนถนนกะเพรา ผใู้ หญ่กาจดั ผุดผ่องใส ใหข้ อ้ มูลว่า เมอ่ื กอ่ นน้ี ชาวบา้ นทาอาชพี ประมงและทานาไปดว้ ย เม่อื ราวๆปี 2540 ชาวเนินฆ้อประสบปัญหาจาก นายทุนเขา้ มาทานากุ้ง ทาให้น้าเสยี ดนิ เคม็ พอหันมาทาทาประมงเต็มตัว ก็มีเรือประมง พ าณิ ชย์เข้าม าจับสัตว์น้ าใน พ้ืน ท่ี ท าให้ เคร่อื งมอื ของชาวบ้านสญู หาย อวนทล่ี อยท้งิ ไว้ เรอื ใหญ่กม็ าลากเอาไปหมด สตั ว์น้าก็ลดน้อยลง ทาให้ชาวประมงประสบปัญหากนั ถว้ นหน้า จาก ปัญหาดงั กลา่ ว นายสาออย รตั นวจิ ติ ร ประธานกลุ่มประมงพน้ื บา้ นตาบลเนินฆ้อ ไดร้ วมกลุ่มชาวบา้ น ลุกขน้ึ มาพดู คุยถึงปัญหา เพ่อื หาแนวทงการบรหิ ารจดั การทางทรพั ยากรบรเิ วณของชุมชนของเขา ปี 2545 จงึ ไดจ้ ดั ตงั้ กลุ่มประมงขน้ึ มาเพ่อื พูดคยุ กนั ถงึ การแกป้ ัญหาในวนั ท่ี 14 บา่ ยโมงตรงของทกุ ๆเดอื น แต่ลุงออยเองก็บอกว่าถ้าคุยเฉพาะแต่ชาวบ้านคงไม่เกิดประโยชน์อะไร จงึ ทาหนังสอื เชญิ หน่วยงาน ราชการทเ่ี กี่ยวข้องเขา้ มาร่วมรบั ฟังปัญหาในแต่ละครงั้ ดว้ ย จนกระทงั่ ปี 2549 เทศบาลตาบลเนินฆ้อ มองเหน็ ความสาคญั ของกลุ่ม เลยคดิ วา่ ควรมกี ารจดั การทาใหเ้ ป็นรูปธรรมชดั เจน จงึ มกี ารจดั ตงั้ \"กลุ่ม ประมงพ้นื บ้านเนินฆ้อ โครงการฟ้ืนฟูทรพั ยากรทางทะเลและชายฝัง่ \" โดยมีการทางานร่วมกบั กรม ทรพั ยากรทางทะเลและชายฝัง่ เทศบาลตาบลเนนิ ฆอ้ กลุ่มวจิ ยั ทรพั ยากรทางทะเลและชายฝัง่ ทะเลภาค ตะวนั ออก จนกระทงั่ ปี 2549 เทศบาลตาบลเนินฆอ้ เรมิ่ มองเหน็ ความสาคญั เลยคดิ ว่าควรมกี ารจดั การทา ใหเ้ ป็นรูปธรรมชดั เจน จงึ มกี ารจดั ตงั้ \"กลุ่มประมงพน้ื บา้ นเนินฆอ้ โครงการฟ้ืนฟูทรพั ยากรทางทะเลและ ชายฝัง่ \" จนมี \"โครงการบา้ นปลา ธนาคารปู\" เกิดขน้ึ เป็นการทาปะการงั เทยี มในรูปแบบต่างๆเพ่อื เป็นแหล่งอนุบาลสตั วน์ ้าไดห้ ลบซ่อนตวั เช่น เต๋ายางรถยนต์ ซงั จากเชอื ก และแท่งปูนรูปสเ่ี หลย่ี ม โดยไดร้ บั การสนับสนุนงบประมาณจากเทศบาลตาบลเนินฆอ้ จานวนหน่ึง หลงั จากนัน้ จงึ เรม่ิ นาไปวาง ตามท่กี าหนดไว้ และโดม้ ีสานักงานบรหิ ารทรพั ยากรทางทะเลและช่ายฝัง่ ท่ี 1 เป็นผู้สนับสนุในเร่อื ง ก า ร ว า ง บ้ า น ป ล า ซึ่ ง จ ะ ต้ อ ง ตั้ ง ห่ า ง จ า ก ช า ย ฝั่ ง อ อ ก ไ ป 1.5 กิ โ ล เ ม ต ร คูม่ อื รูจ้ กั ชุมชนประแส เลม่ ท่ี 8 เร่อื ง ความสมั พนั ธ์ชมุ ชนท่องเทย่ี วประแส
26 สะพานรกั ษแ์ สม สะพานแขวนทางเดินไม้แห่งเดียวของอาเภอแกลง จงั หวดั ระยอง สะพานรกั ษแ์ สม ทน่ี ่เี ป็นมากกว่าสะพานไมท้ รงสวยทวั่ ๆ ไป แตย่ งั เป็นเหมอื นทางเช่อื มทช่ี วน สะกิดใหน้ กั ทอ่ งเทย่ี วไดห้ วนกลบั มาโดยทางเทศบาลตาบลเนนิ ฆอ้ จะจดั รถรางเพ่อื บรกิ ารนักท่องเท่ยี ว เดนิ ทางไปเทย่ี วชมในจดุ ต่างๆท่เี ป็นศูนย์การเรยี นรู้ และสถานทท่ี ่องเทย่ี วตา่ งๆ ระวงั พน้ื ทป่ี ระแสเชอ่ื ง โยมเขตพน้ื ทก่ี ารท่องเท่ยี วไปยงั ตาบลเนินฆอ้ ป่าชายเลน สะพานรกั ษ์แสม บ้านปลาธนาคารปู และ สถานท่ที อ่ งเทย่ี วอน่ื ๆอกี มากมายตะหนักให้คนในชมุ ชนและนักท่องเทย่ี วใสใ่ จถงึ ความสาคญั ของระบบ นิเวศน์ บรรยากาศของแนวผนื ป่าชายเลน กบั ต้นโกงกางน้อยใหญ่ท่ไี ม่เพยี งใหค้ วามรม่ ร่นื กบั สถานท่ี แหง่ น้เี ทา่ นัน้ แต่จรงิ ๆ แลว้ หน้าทห่ี ลกั อกี อย่างหน่ึงกค็ อื การช่วยปกป้องชายฝัง่ จากการถกู กดั เซาะของ คล่นื ลม และน้าทะเล พรอ้ มกนั นนั้ ป่าชายเลนยงั เป็นแหลง่ อนุบาลทส่ี าคญั ของสตั วต์ า่ งๆ ค่มู อื รูจ้ กั ชมุ ชนประแส เลม่ ที่ 8 เรอ่ื ง ความสมั พนั ธช์ ุมชนทอ่ งเทย่ี วประแส
27 สะพานรกั ษ์แสม นอกจากจะเป็นสถานทท่ี ่องเทย่ี วทน่ี ่าสนใจแล้ว ในช่วงหลงั สะพานแหง่ น้ยี งั เป็นสถานทท่ี ท่ี ม่ี กี ารจดั พธิ แี ตง่ งานทแ่ี หวกแนวไมน่ ้อยนัน่ กค็ อื “พธิ แี ต่งงานป”ู ทจ่ี ดั ขน้ึ เพ่อื ส่งเสรมิ การ ท่องเท่ยี วและปลูกจติ สานึกดา้ นการอนุรกั ษ์สง่ิ แวดลอ้ มขบวนแห่ในพิธแี ต่งงานปูกาหนดจดั ข้นึ ในช่วง คาบเกี่ยวกับวันแห่งความรักหรือวนั วาเลนไทน์ คือในระหว่างวันท่ี 14-16 กุมภาพันธ์ของทุกปี งานน้ีมไี ฮไลทอ์ ยู่ในวนั ท่ี 15 กุมภาพนั ธ์ 62 ซึง่ เป็นพธิ แี ต่งงานปู โดยมกี ารนา“ปูเจ้าบ่าว” จากป่าชาย เลนภาคใต้เดินทางมาสู่ขอ “ปูเจ้าสาว” ท่ีบริเวณสะพานรกั ษ์แสม ท่ามกลางบรรยากาศวฒั นธรรม ประเพณีพธิ แี ต่งงานแบบท้องถ่ิน มีขบวนขนั หมาก ขบวนกลองยาว รวมทงั้ การแห่ขนั หมากทางน้า นับเป็นไฮไลทเ์ ดด็ ของทน่ี ่ี คูม่ อื รูจ้ กั ชุมชนประแส เล่มท่ี 8 เรอ่ื ง ความสมั พนั ธ์ชุมชนท่องเทย่ี วประแส
28 อาหารทข่ี ้นึ ช่อื จ๊อปู กบั น้าปลา เป็นสนิ ค้าทไ่ี ดร้ บั ความนิยมจากนักท่องเท่ยี ว เป็นการแปรรู ของวตั ถุดบิ ในพ้นื ท่จี ากแหล่งต่างๆในชุมชน มีกลุ่มแม่บ้านหมู่ 2 ในการผลติ จาหน่ายส่งออก และมี ศูนยก์ ารคา้ ของชมุ ชน กลุ่มประมง อยู่หมู่ 8 เป็นกลุ่มประมงเรือเล็ก หรอื เรอื ท้องแบน ออกเรือไปหาหอยนางรม และปูดา ในการออกเรอื แตล่ ะครงั้ จะไม่เกนิ เขตน่านน้าประแส ดว้ ยเหตทุ เ่ี รอื เลก็ ไม่สามารถออกทะเลได้ จะนิยมหา กุ้ง หอย ปู ปลา ตามบรเิ วณลาคลอง แม่น้า ส่วนมากจะออกทางคลองท่าครกไปทะเลน้อย ไปประแส มคี ลองเชอ่ื มตอ่ กนั เชน่ คลองทราย คลองฆอ้ คลองกอก และคลองทะเลน้อย ค่มู อื รูจ้ กั ชุมชนประแส เล่มที่ 8 เรอ่ื ง ความสมั พนั ธ์ชุมชนท่องเทยี่ วประแส
29 จุดชมวิว หอปูก้ามดาบ นอกจากน้ีในเส้นทางท่องเท่ยี วของบ้านเนินทรายยงั มไี ฮไลท์ไม่ควร พลาด นนั่ กค็ อื “สะพานรกั ษ์แสม” สะพานแขวนไม้อนั สวยงามทส่ี รา้ งทอดขา้ มคลองทา่ ตาโบ๊ยส่ปู ่าชาย เลนผนื ใหญ่อนั อุดมสมบูรณ์เดมิ สะพานรกั ษ์แสมเป็นเพียงสะพานไม้เล็ก ๆ ต่อมาทางชุมชนได้มกี าร พฒั นาต่อยอดสร้างเป็นสะพานแขวนใหน้ ักท่องเท่ยี วไดม้ าเย่ยี มชม พรอ้ มทงั้ มเี ส้นทางศกึ ษาธรรมชาติ ระบบนิเวศรอบป่าชายเลน มคี วามยาวประมาณ 1 กโิ ลเมตร กระบวนการท่องเทย่ี ว โดยมปี ระธานกลมุ่ หอยนางรมนานกั ท่องเทย่ี วลงพน้ื ทไ่ี ปยงั คลอง ธรรมชาติ นาไปดแู พหอยนางรม การเล้ยี งหอยนางรม มกี ารสาทดิ การเปะลูกหอยนางรมเอามาเลย้ี ง ตงั้ แตข่ นั้ ตอนผสมปูน จนถงึ ขนั้ ตอนจาลองโชวใ์ หน้ ักทอ่ งเทย่ี วไดร้ ถู้ งึ ขนั้ ตอนตา่ งๆ และมกี ารจดั บธู ไป ตามงานจงั หวดั ตา่ งๆ โดยมงี านพฒั นาชมุ ชนนาไปจดั บูธนาเสนอ เผยแพร่เป็นผลงานของชมุ ชน ค่มู อื รูจ้ กั ชมุ ชนประแส เลม่ ที่ 8 เรอ่ื ง ความสมั พนั ธ์ชมุ ชนท่องเทย่ี วประแส
30 เอกสารอ้างอิง ความหมายการทอ่ งเทย่ี ว องคก์ ารทอ่ งเทย่ี วโลก. (ออนไลน์). เขา้ ถงึ เมอ่ื 1มถิ นุ ายน 2562. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก https://tourismatbuu. wordpress.com ส่อื อเิ ลก็ ทรอนกิ สป์ ากน้าประแส. (ออนไลน์). เขา้ ถงึ เม่อื 14 มถิ นุ ายน 2562. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก https://www.rayonghip.com วดั แหลมสน,สมมตเิ ทพฐาปนาราม ระยอง. (ออนไลน์). เขา้ ถงึ เมอ่ื 14 มถิ ุนายน 2562. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก http://www.tha imaptravel .com/a rticles-inner/location-tour/62.htm ศาลกรมหลวงชมุ พร ในวนั ทค่ี วนั รูปและเปลวเทยี นไม่เคยดบั . (ออนไลน์) เขา้ ถงึ เม่อื 14 มถิ นุ ายน 2562. เขา้ ถงึ ไดจ้ ากhttps://www.thetrippacker.com/th/review/ สะพานประแสสนิ . (ออนไลน์). เขา้ ถงึ เมอ่ื 14 มถิ นุ ายน 2562. เขา้ ถงึ ไดจ้ าhttps://www.rayonghip.com อทิ ธพิ ลงั ตะเคยี น 500 ปี มปี าฏหิ ารยิ บ์ นั ดาลโชค. (ออนไลน์). เขา้ ถงึ เมอ่ื 14มถิ นุ ายน 2562. เขา้ ถงึ ได้ จากhttps://www.thairath.co.th/content/475320 อนุสรณ์เรอื รบหลวงประแส. (ออนไลน์). เขา้ ถงึ เม่อื 14 มถิ นุ ายน 2562. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก https://www.chillpainai.com/traveV/ คมู่ อื รูจ้ กั ชุมชนประแส เลม่ ที่ 8 เร่อื ง ความสมั พนั ธช์ ุมชนท่องเทยี่ วประแส
31 คณะผ้จู ดั ทา นางอญั ชลี สารสุวรรณ์ ผอู้ านวยการโรงเรยี นชุมชนวดั ตะเคยี นงาม นางสาวเสาวลกั ญ์ ธรรมเกสร รองผอู้ านวยการโรงเรยี นชุมชนวดั ตะเคยี นงาม นางสาวณชิ ากร สมบูรณน์ ิลโพธิ์ ครชู านาญการ โรงเรยี นชมุ ชนวดั ตะเคยี นงาม นางสาวศริ ยิ พุ า พงษ์ผง้ึ ครูโรงเรยี นชุมชนวดั ตะเคยี นงาม นายกฤตครุ ชั ญ์ ฉัตรถี ครโู รงเรยี นชุมชนวดั ตะเคยี นงาม (ออกแบบปก) นางสาวชรนิ ทรท์ พิ ย์ สขุ อาภรณ์ ครูจา้ งสอนโรงเรยี นชุมชนวดั ตะเคยี นงาม นายธนดล ฉมิ๋ จวิ๋ ครจู า้ งสอนโรงเรยี นชมุ ชนวดั ตะเคยี นงาม คูม่ อื รูจ้ กั ชุมชนประแส เล่มท่ี 8 เรอ่ื ง ความสมั พนั ธ์ชมุ ชนท่องเทย่ี วประแส
Search
Read the Text Version
- 1 - 35
Pages: