คำนำ เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้เล่มน้ี จัดทำขึ้นเพื่อใช้ประกอบการจดั การเรียนรู้กลุ่มสาระการ เรยี นรู้ศิลปะ (สาระนาฏศลิ ป)์ ม่งุ เนน้ ให้ผเู้ รียนได้เรียนรเู้ กี่ยวกบั โขนทเ่ี ป็นจุดศูนยร์ วมของศาสตร์และศิลป์ หลากหลายแขนง เชน่ วรรณกรรม วรรณศิลป์ นาฏศลิ ป์ คีตศิลป์ หตั ถศิลป์และเปน็ ศลิ ปะการแสดงช้ันสูง ของไทยที่มีความสง่างาม อลังการและอ่อนช้อย โดยเนื้อหาจะประกอบไปด้วย ความหมาย วิวัฒนาการ ประเภท การแต่งกาย และเครื่องดนตรีในการแสดงโขน การจัดทำนวัตกรรมเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นการ ส่งเสริมพัฒนาผู้เรียนได้ ศึกษาและฝึกปฏิบัติด้วยตนเอง สามารถนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ใน ชีวติ ประจำวนั ได้อีกด้วย นางสาวธาราทิพย์ มณีอรา่ ม
สารบญั บทนำ ๑ ประวตั ิความเป็นมา ๓ วิวฒั นาการของโขน ๕ ประเภทของโขน ๙ เครอ่ื งแต่งกายสำหรบั การแสดงโขน ๑๕ ลกั ษณะศรี ษะการแสดงโขน ๒๕ เคร่ืองดนตรีสำหรับการแสดงโขน ๓๒
๑
๒ โขน เป็นศิลปะการแสดงชั้นสูงของไทยที่มีความสง่างาม อลังการและอ่อนช้อย การแสดงประเภท หนึง่ ที่ใช้ท่ารำตามแบบละครใน แตกต่างเพียงท่ารำที่มีการเพ่ิมตัวแสดง เปลย่ี นทำนองเพลงที่ใช้ในการดำเนิน เร่อื งไมใ่ หเ้ หมือนกับละคร แสดงเปน็ เรื่องราวโดยลำดับก่อนหลังเหมือนละครทุกประการ ซงึ่ ไม่เรียกการแสดง เหล่านี้ว่าละครแต่เรียกว่าโขนแทน มีประวัติยาวนานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา จากหลักฐานจดหมายเหตุลาลู แบร์ เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้มีการกล่าวถึงการแสดงโขนว่า เป็นการ เต้นออกท่าทาง ประกอบกับเสียงซอและเครื่องดนตรีประเภทต่าง ๆ ผู้แสดงจะสวมหน้ากากปิดบังใบหน้า ตนเองและถืออาวุธ โขนเป็นจุดศูนย์รวมของศาสตร์และศิลป์หลากหลายแขนง เช่น วรรณกรรม วรรณศิลป์ นาฏศิลป์ คีตศิลป์ หัตถศิลป์ โดยนำเอาวิธีเล่นและการแต่งตัวบางชนิดมาจากการเล่นชักนาคดึกดำบรรพ์ มีท่าทางการ ต่อสู้ที่โลดโผน ท่ารำ ท่าเต้นเช่น ท่าปฐมในการไหว้ครูของกระบี่กระบอง รวมทั้งการนำศิลปะการพากย์ การ เจรจา หน้าพาทย์และเพลงดนตรีเข้ามาประกอบการแสดง ในการแสดงโขน ลักษณะสำคัญอยู่ที่ผู้แสดงต้อง สวมหัวโขน ซึ่งเป็นเครื่องสวมครอบหุ้มตั้งแต่ศีรษะถึงคอ เจาะรูสองรูบริเวณดวงตาให้สามารถมองเห็น แสดง อารมณ์ผ่านทางการร่ายรำ สร้างตามลักษณะของตัวละครนั้น ๆ เช่น ตัวยักษ์ ตัวลิง ตัวเทวดา ฯลฯ ตกแต่ง ดว้ ยสี ลงรกั ปิดทอง ประดับกระจก บา้ งกเ็ รียกว่าหนา้ โขน ในสมัยโบราณ ตัวพระและตวั เทวดาตา่ งสวมหวั โขนในการแสดง ตอ่ มาภายหลงั มีการเปลย่ี นแปลงไม่ ต้องสวมหัวโขน คงใช้ใบหน้าจริงเช่นเดียวกับละคร แต่งกายแบบเดียวกับละครใน เครื่องแต่งกายของตัวพระ และตัวยักษ์ในสมัยโบราณมักมีสองสีคือ สีหนึ่งเป็นสีเสื้อ อีกสีหนึ่งเป็นสีแขนโดยสมมุติแทนเกราะ เป็นลาย หนุนประเภทลายพุ่ม หรือลายกระจังตาอ้อย ส่วนเครื่องแต่งกายตัวลิงจะเป็นลายวงทักษิณาวรรตโดยสมมุติ เปน็ ขนของลิงหรอื หมดี ำเนินเรื่องดว้ ยการกลา่ วคำนำเลา่ เร่ืองเป็นทำนองเรียกว่าพากย์อย่างหนง่ึ กบั เจรจาเป็น ทำนองอย่างหนงึ่ ใชก้ าพย์ยานีและกาพยฉ์ บัง โดยมีผูใ้ หเ้ สียงแทนเรยี กว่าผพู้ ากย์และเจรจา มตี ้นเสียงและลูกคู่ ร้องบทให้ใช้วงปี่พาทย์เครื่องห้าประกอบการแสดง นิยมแสดงเรื่องรามเกียรติ์และอุณรุท ปัจจุบันสถาบัน บณั ฑติ พฒั นศลิ ป์มีหนา้ ที่หลักในการสืบทอดการฝกึ หัดโขน และกรมศลิ ปากร มหี นา้ ที่ในการจดั การแสดง
๓
๔ โขนจัดเป็นนาฏกรรมทีม่ ีความเป็นศิลปะเฉพาะของตนเอง ไม่ปรากฏชดั แน่นอนว่าคำว่า \"โขน\" ปรากฏขน้ึ ในสมัยใด แต่มีการเอ่ยถึงในวรรณคดไี ทยเร่ืองลลิ ติ พระลอที่กล่าวถึงโขนในงานแสดงมหรสพ ระหว่างงานพระ ศพของพระลอ พระเพื่อนและพระแพงว่า \"ขยายโรงโขนโรงรำ ทำระทาราวเทียนโดยมีข้อสันนิษฐานว่าคำว่า โขนนนั้ มีทมี่ าจากคำและความหมายในภาษาต่าง ๆ ดงั นี้ คำว่าโขนในภาษาเบงคาลี ซ่ึงปรากฏคำว่า \"โขละ\" หรือ \"โขล\" (บางครั้งสะกดด้วย ฬ เป็นคำว่า\" โขฬะ\" หรือ \"โขฬ\") ที่เป็นชื่อเรียกของเครื่องดนตรีประเภทหนังชนิดหนึ่งของฮินดู ลักษณะและรูปร่าง คล้ายคลึงกับตะโพนของไทย ไม่มีขาตั้ง ทำด้วยดิน ไม่มีสายสำหรับถ่วงเสียง มีเสียงดังค่อนข้างมาก จัดเป็น เครอ่ื งดนตรที ไ่ี ด้รับความนยิ มในแควน้ เบงกอล ประเทศอินเดยี ใชส้ ำหรบั ประกอบการละเลน่ ชนิดหนงึ่ เรยี กวา่ ยาตราหรือละครเร่ที่คล้ายคลึงกบั ละครชาตรี โดยสันนิษฐานว่าเครอ่ื งดนตรชี นดิ น้ี เคยถกู นำมาใช้ประกอบการ เล่นนาฏกรรมชนิดหนง่ึ จงึ เรียกว่าโขลตามช่อื ของเคร่ืองดนตรี คำว่าโขนในภาษาอิหร่าน มีที่มาจากคำว่าษูรัต ควาน (อังกฤษ: Surat khwan) หมายความถึงตุ๊กตา หรอื หนุ่ ซงึ่ ใชส้ ำหรับประกอบการแสดง โดยมผี ู้ขับร้องและใหเ้ สียงแทนตวั หุน่ เรยี กวา่ ควานหรือโขน (อังกฤษ: Khon) มคี วามคลา้ ยคลงึ กบั ผพู้ ากย์และผ้เู จรจาของการแสดงโขนในปจั จุบนั คำว่าโขนในภาษาเขมร เป็นการกล่าวถึงโขนในพจนานุกรมภาษาเขมร ซึ่งหมายความถึงละคร แต่ เขยี นแทนวา่ ละโขน ทห่ี มายความถึงการแสดงมหรสพอย่างหนึง่
๕
๖ 1. การชักนาคดกึ ดำบรรพ์ ในราชพิธีอินทราภิเษกในสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งมีตำนานว่า สมัยโบราณมีการกวนน้ำอมฤต เพ่ือ เทวดาต้องการอยู่คงกะพัน โดยการกวนกระเศียรสมุทร เพื่อให้ได้น้ำอัมฤตเพื่อความอยู่คงกระพัน โดยการ นำเขามนเทียรคีลีเป็นไม้กวน และกระเศียรสมุทรเป็นกระทะ และนำพระญานาคหรือพระญาวาสุกรีมา พัน โดยอศูรชักทางด้านหัว เทวดาวานรชักทางด้านหาง ต่อมาพระยานาคคายพิษออกมา แล้วพระอิศวร เห็น แล้วดื่มน้ำทำให้พระอิศวรคอดำ หลังจากน้ำมีการกวนน้ำต่อไป ต่อมาใช้ไม้กวนคือเขามนเทียรคีลีหรือ เขาไกรราษณ์ เขาพระสเุ มรทุ ะลุไปใต้โลก พระนารายณ์ต้องรามาวตารเป็นเตา่ มารองรับ ในพระนารายณ์สิบ ปางเรียกว่า “กุละมาวตาร” สรุปว่าเทวดาวานรมีความว่องไวที่ได้ดื่มน้ำอมฤต แล้วมียักษ์อีกตัวได้ดื่มแล้ว พระจันทรม์ องได้บอกพระนารายณจ์ ึงใช้จักรตัดตวั ยักษข์ าดครงึ่ ตัว มีชื่อเรยี กวา่ “ราหู” ราหูจะมีความโกรธ แคน้ พระจนั ทรจ์ งึ เรียกเรียกว่า “ราหอู มจันทร”์ สมัยกรุงศรีอยุธยา การทำพิธีอินทราภิเษกโดยการนำการกวนน้ำอมฤตมีแสดงเรียกว่า การชักนาค ดึกดำบรรพ์ โดยการแสดงมีการสร้างภูเขาในสนาม แล้วนำพญานาคมาพันภูเขาโดยให้คนแต่งตัว เป็น เทวดา อศูร พารี สุครีพ สมัยก่อนไม่มีการสวดหัวโขน แต่จะมีการแต่งหน้าหรือสวมหน้ากากแค่ครงึ่ เดียว ตอ่ ยอดแหลมที่ใชเ้ ปน็ เทวดา หรอื วานร พธิ อี ินทราภิเษก ตั้งแตส่ มยั อยุธยา มีการแสดงแคส่ องคร้งั โขนจะได้กระบวนการแต่งกายจากการแสดงการชักนาคดึกดำบรรพ์ ในสมัยที่ได้แบบอย่าง เครื่องแต่งตัว มาจากการเล่นชักนาคดึกบรรพ์ คงจะไม่ใช่ เป็นแบบหัวโขน ที่สวมปิดหน้าทั้งหมด เช่นใน ปัจจุบันนี้ ในสมัยนั้น คงจะเป็นแบบหน้ากากสวมปิดเพียง ใบหน้า ให้เห็นเปน็ รูปยักษ์ ลิง หรือเทวดามากกวา่ ส่วนศีรษะก็คงจะสวม เครื่องสวมหวั แบบเดียวกัน ทุกคน บางท่านสันนิษฐานวา่ อาจจะสวมลอมพอก แบบผู้ ที่แต่งกายเป็นเทวดา เข้ากระบวนแห่ก็เป็นได้ ครั้นต่อมา จึงปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ทำเป็นหัวโขนครอบท้ัง ศีรษะ เช่นในปัจจุบันนี้ และเข้าใจว่าหัวโขน ที่สวมครอบทั้งศีรษะ คงจะมีมาตั้งแต่ในสมัยกรุงธนบุรี หรือไม่ก็ ต้นกรงุ รัตนโกสนิ ทร์
๗ 2. การแสดงหนงั ใหญ่ การเล่นหนังใหญ่ เป็นมหรสพขึ้นชื่อลือชา มีมาตั้งแต่ ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นราชธานี ดังท่ี กล่าวไว้ในหนังสือ บุณโณวาทคำฉันท์ของพระมหานาค วัดท่าทราย ซึ่งแต่งขึ้นในราว พ.ศ. 2294 - 2301 เป็นระยะเวลา 7 ปี ปลายรัชสมัย สมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ในหนังสือเล่มนี้ กล่าวถึงมหรสพ ที่แสดง ฉลองพระพุทธบาท ในตอนกลางคืนว่า มกี ารละเล่นหนังใหญ่อยูด่ ้วย การละเลน่ หนังใหญน่ ้ัน เขานำแผ่นหนัง วัว (บางท่านกว็ ่ามหี นังควายด้วย) มาฉลสุ ลัก เป็นรปู ตัวยกั ษ์ ลิง พระ นาง ตามเร่อื ง รามเกียรต์ิ การเล่นหนังใหญ่ นอกจากจะมีตัวหนังแล้ว ยังต้องมีคนเชิดหนัง คนเชิดหนัง คือคนที่นำตัวหนัง ออกมาเชดิ และยกขาเต้นเป็นจังหวะ นอกจากน้ี ยังตอ้ งมผี ู้พากย์ - เจรจา ทำหนา้ ที่ พดู แทนตัวหนัง และมีวง ปี่พาทย์ ประกอบการแสดงด้วย สำหรับสถานท่ี แสดงหนังใหญ่ นิยมแสดงบน สนามหญ้าหรือบนพื้นดิน มีจอ ผ้าขาว ราว ๆ 16 เมตร ขงึ โดยมีไม้ไผ่ หรือไมก้ ลม ๆ ปกั เปน็ เสา 4 เสา รอบ ๆ จอผ้าขาว ขลิบริมด้วยผ้าแดง ด้านหลังจอจุดไต้ ให้มีแสงสว่าง เพื่อเวลา ที่ผู้เชิดหนัง เอาตัวหนัง ทาบจอทางด้านใน ผู้ชมจะได้แลเห็น ลวดลาย ของตัวหนังได้ชัดเจนสวยงาม เมื่อแสดงหนงั ใหญน่ าน ๆ เข้า ทั้งผู้ชมและผู้เชดิ หนัง ก็คงจะเกิดความ เบื่อหนา่ ยผชู้ ม คงจะเบื่อที่ตัวหนังใหญ่ เคลอ่ื นไหวอริ ิยาบถ ไม่ได้ฉลุสลัก เป็นรูปรา่ งอยา่ งไร ก็เป็นอยู่อย่างนั้น ส่วนผู้เชิดหนัง ก็อาจจะเบื่อหน่าย ที่จะนำตัวหนัง ออก ไปเชิด เนื่องจาก ตัวหนังบางตัว มีน้ำหนักมาก การท่ี ต้อง จับยกข้นึ เชิดชอู ยเู่ ป็น เวลานาน ๆ กท็ ำให้ เมอื่ ยแขน ตัวหนังท่มี นี ำ้ หนกั มาก ๆ บางตัวมีขนาดใหญ่ และ สูงขึ้นถึง 2 เมตร เช่น หนังเมอื ง หรอื หนงั ปราสาท จงึ คิดจะออกไปแสดงแทน ตัวหนงั ใหญ่ แต่ก็ยังหา เคร่ือง แตง่ กายให้ เหมาะสม กับตวั ละครใน เรื่องรามเกียรต์ิ ท่แี บง่ เปน็ พระ นาง ยักษ์ และลงิ ไมไ่ ด้ โขนจึงนำการเต้นยกขาขึ้นลง ตามแบบ ท่าเชิดหนังใหญ่ มาเป็นท่าเต้น ของการ แสดง ที่คิดข้ึนใหม่ และนำเรอ่ื งรามเกียรติ์ ที่เคยแสดงหนังใหญ่ มาเป็นเร่ืองสำหรับแสดง โดยมีการพากย์ เจรจาตามแบบ ทเ่ี คยแสดงหนังใหญ่
๘ 3. กระบ่ีกระบอง สมัยโบราณมีการรบ ต่อมาเว้นจากการรบจะมีการประลองเพลงจะมีกระบวนการต่อสู้มีการซ้อม เพลงดาบ เพลงทวน ตอ่ มามีการพฒั นาเปน็ การเล่นของกระบ่ีกระบอง โขนจะได้รับกระบวนการต่อสู้ นำมาใช้ในท่ารบ ท่าตรวจพลของโขน ยกตัวอย่าง ท่ากระบ่ี กระบองท่ากราย โขนจะนำมาใชใ้ นการฉายพระขัณฐ์ ท่าเลื้อ จะไดท้ กี ารตอ่ สขู้ องกระบกี่ ระบองมาใช้ใน การแสดงโขน กระบวนการตรวจพล
๙
๑๐ โขนกลางแปลงเป็นการเลน่ โขนกลางแจ้ง ไม่มกี ารสร้างโรงแสดง ใชภ้ ูมิประเทศและธรรมชาติเป็นฉาก ในการแสดง ผู้แสดงทัง้ หมดรวมท้งั ตัวพระตอ้ งสวมหัวโขน นิยมแสดงตอนยกทัพรบ วิวัฒนาการมาจากการเล่น ชกั นาคดึกดำบรรพ์เร่ืองกวนน้ำอมฤตท่ีใช้เลน่ ในพธิ ีอินทราภเิ ษก ปรากฏในกฎมณเฑียรบาลสมยั กรุงศรีอยุธยา โดยนำวิธีการแสดงคือการจัดกระบวนทัพและการเต้นประกอบหน้าพาทย์มาใช้ แต่เปลี่ยนมาเล่นเรื่อง รามเกยี รติ์แทน มกี ารเต้นประกอบหน้าพาทย์และอาจมบี ทพาทย์และเจรจาบา้ ง แตไ่ ม่มีบทร้อง เมื่อ พ.ศ. 2339 ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 มีการเล่น โขนในงานฉลองอัฐิสมเด็จพระปฐมบรมชนกาธิราช โดยโขนวังหน้าเป็นทัพ ทศกัณฐ์ฝ่ายลงกา และโขนวังหลัง เป็นทัพพระรามฝ่ายพลับพลา แลัวยกทัพมาเล่นรบกันในท้องสนามหน้าพลับพลา ดังปรากฏในพระราช พงศาวดารความว่า \"ในการมหรสพสมโภชพระบรมอัฐิครัง้ นั้น มีโขนชักรอกโรงใหญ่ ทั้งโขนวังหลังและวัง หน้า แล้วประสมโรงเล่นกันกลางแปลง เล่นเมื่อศึกทศกัณฐ์ยกทัพกับสิบขุนสิบรถ โขนวังหลังเป็นทัพ พระราม ยกไปแต่ทางพระบรมมหาราชวัง โขนวังหน้าเป็นทัพทศกัณฐ์ ยกออกจากพระราชวังบวรฯ มา เล่นรบกันในท้องสนามหนา้ พลบั พลา ถงึ มีปนื บาเหร่ยี มรางเกวียนลากออกมายิงกนั ดังสน่ันไป\" ซึ่งการแสดงโขนในครั้งนั้น เกิดการรบกันจริงระหว่างผู้แสดงทั้งสองฝ่าย จนเกิดการบาดหมางระหว่าง วังหน้าและวังหลัง จนกระทั่งสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี และสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ สมเด็จพระพี่นางทั้งสองพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และสมเด็จพระบวร ราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ต้องเสด็จมาเป็นผูไ้ กล่เกลี่ยใหแ้ ก่วงั หนา้ และวังหลัง ทั้งสองฝ่ายจึงยอมเลกิ บาดหมาง ซึ่งกันและกนั ทำให้เป็นข้อสันนิษฐานวา่ เหตใุ ดการแสดงโขนกลางแปลงจึงนิยมแสดงตอนยกทัพรบและการรบ บนพืน้ มีเครอ่ื งดนตรีวงปพ่ี าทย์ไม่ตำ่ กว่าสองวงในการบรรเลง
๑๑ โขนโรงนอกหรอื เรียกอีกอย่างวา่ โขนนั่งราว ววิ ัฒนาการมาจากโขนกลางแปลง เป็นโขนทีแ่ สดงบนโรง ที่ปลูกสร้างขึ้นสำหรับแสดง ตัวโรงมักมีหลังคาคุ้มกันแสงแดดและสายฝน ไม่มีเตียงสำหรับผู้แสดงนั่ง มีเพียง ราวทำจากไม้ไผว่ างพาดตามส่วนยาวของโรงเทา่ นนั้ มีชอ่ งให้ผู้แสดงในบทของตวั พระหรือตวั ยักษ์ ท่ีมีตำแหน่ง และยศถาบรรดาศักด์ิ สามารถเดนิ วนได้รอบราวซึ่งสมมุติใหเ้ ปน็ เตียง ในส่วนผูแ้ สดงท่ีรับบทเป็นเสนายักษ์ เข นยกั ษ์ เสนาลิงหรือเขนลิง คงนัง่ พนื้ แสดงตามปกติ มีการพากย์และเจรจา ไม่มีบทขับร้อง วงปี่พาทย์บรรเลงเพลงหน้าพาทย์เช่น กราวใน กราวนอก ฯลฯ ในการแสดงใชป้ ่ีพาทย์สำหรับบรรเลงเพลงถงึ สองวง เนื่องจากต้องบรรเลงเป็นจำนวนมาก โดยตำแหน่งของป่ี พาทย์ตัวแรกจะตั้งอยู่บริเวณหัวโรง ตำแหน่งของปี่พาทย์ตัวที่สองจะตั้งอยู่บริเวณท้ายโรง และกลายเป็นที่มา ของการเรยี กวา่ \"วงหัวและวงทา้ ยหรือวงซ้ายและวงขวา\"
๑๒ โขนโรงในเปน็ โขนทน่ี ำศิลปะการแสดงของละครใน เขา้ มาผสมผสานระหวา่ งโขนกับละครใน ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 และพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 รวมทั้งมีราชกวีภายในราชสำนัก ช่วยปรับปรุงขัดเกลาและประพันธ์บทพากย์ บทเจรจาให้มีความ คล้องจอง ไพเราะสละสลวยมากย่งิ ขน้ึ โดยนำท่ารำทา่ เต้น และบทพากย์เจรจาตามแบบโขนมาผสมกับการขับ รอ้ ง เปน็ การปรับปรงุ ววิ ัฒนาการของโขน ในการแสดงโขนโรงใน ผู้แสดงเปน็ ตัวพระ ตัวนางและเทวดา เริ่มที่จะไม่ต้องสวมหัวโขนในการแสดง มี การพากย์และเจรจาตามแบบฉบับของการแสดงโขน นำเพลงขับร้องประกอบอากัปกิริยาอาการของตัวละคร และเปลี่ยนมาแสดงภายในโรงแบบละครในจึงเรียกว่าโขนโรงใน มีปี่พาทย์บรรเลงสองวง ปัจจุบันโขนที่กรม ศิลปากรนำออกแสดงนั้น ใช้ศิลปะการแสดงแบบโขนโรงในซึ่งเป็นการแสดงระหว่างโขนกลางแปลงและโขน หน้าจอ
๑๓ โขนหน้าจอเป็นโขนที่แสดงหน้าจอหนังใหญ่ ซึ่งใช้สำหรับแสดงหนังใหญ่หรือหนังตะลุง โดยผู้แสดง โขนออกมาแสดง สลับกับการเชิดตัวหนัง ที่ฉลุแกะสลักเป็นตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์อย่างสวยงามวิจิตร บรรจง เรียกว่า \"หนังติดตัวโขน\" ซึ่งในการเล่นหนังใหญ่ จะมีการเชิดหนังใหญ่อยู่หน้าจอผ้าขาวแบบจอหนัง ใหญ่ ยาว 7 วา 2 ศอก ริมขอบจอใช้ผ้าสีแดงและสีน้ำเงนิ เยบ็ ติดกัน ใช้เสาจำนวน 4 ต้นสำหรับขึงจอ ปลาย เสาแต่ละด้านประดับด้วยหางนกยูงหรือธงแดง มีศิลปะสำคัญในการแสดงคือการพากย์และเจรจา ใช้เครื่อง ดนตรปี พี่ าทยป์ ระกอบการแสดง ผเู้ ชิดตัวหนงั จะตอ้ งเต้นตามจังหวะดนตรแี ละลีลาท่าทางของตัวหนงั นิยมแสดงเรือ่ งรามเกียรติ์ ภายหลังยกเลกิ การแสดงหนังใหญ่คงเหลือเฉพาะโขน โดยคงจอหนังไว้พอ เป็นพิธี เนือ่ งจากผดู้ ูนิยมการแสดงทใี่ ช้คนแสดงจริงมากกว่าตวั หนัง จึงเปน็ ทีม่ าของการเรยี กโขนที่เล่นหน้าจอ หนังว่าโขนหน้าจอ มีการพัฒนาจอหนังที่ใช้แสดงโขน ให้มีช่องประตูสำหรับเข้าออก โดยวาดเป็นซุ้มประตู เรยี กวา่ จอแขวะ โดยท่ปี ระตูทางดา้ นซ้ายวาดเปน็ รูปค่ายพลับพลาของพระราม ส่วนประตูดา้ นขวาวาดเปน็ กรุง ลงกาของทศกัณฐ์ ต่อมาภายหลังจึงมีการยกพื้นหน้าจอขึ้นเพื่อกันคนดูไม่ให้เกะกะตัวแสดงเวลาแสดงโข น สำหรับโขนหน้าจอ กรมศลิ ปากรเคยจัดแสดงใหป้ ระชาชนทั่วไปได้รับชมในงานฉลองวันสหประชาชาติที่สนาม เสือป่า เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2491 และงานฟื้นฟูประเพณีสงกรานต์ ณ ท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 13 เมษายน - 15 เมษายนพ.ศ. 2492
๑๔ โขนฉากเปน็ การแสดงโขนท่ถี อื กำเนิดขน้ึ ครั้งแรก ในสมัยของพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจา้ อยู่หัว รัชกาลที่ 5 โปรดให้มีการจัดฉากในการแสดงแบบละครดึกดำบรรพ์ประกอบตามท้องเรื่อง แบ่งเป็นฉากเป็น องก์ เข้ากับเหตุการณ์และสถานที่ จึงเรียกว่าโขนฉาก ปัจจุบันการแสดงโขนของกรมศิลปากร นอกจากจะ แสดงโขนโรงในแล้ว ยังจัดแสดงโขนฉากควบคู่กันอีกด้วยเช่น ชุดปราบกากนาสูร ชุดมัยราพณ์สะกดทั พ ชุด นางลอย ชดุ นาคบาศ ชดุ พรหมาสตร์ ชุดศึกวริ ุญจำบงั ชดุ ทำลายพธิ หี งุ นำ้ ทิพย์ ชดุ สีดาลยุ ไฟและปราบบรรลัย กลั ป์ ชดุ หนมุ านอาสา ชดุ พระรามเดินดงและชุดพระรามครองเมือง ซึ่งในการแสดงโขนทุกประเภท มีวิวัฒนาการมายาวนานตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงปัจจุบัน รูปแบบและ วิธีการแสดงของโขนไดม้ ีการปรับเปลี่ยนไปตามยุคตามสมัย แต่คงรูปแบบและเอกลักษณ์เฉพาะของการแสดง เอาไว้
๑๕
๑๖ เคร่อื งแต่งกายสำหรับใชใ้ นการแสดงโขน เครื่องแต่งกายสำหรับใช้ในการแสดงโขน ใช้การแต่งกายแบบยืนเครื่อง ซึ่งเป็นการแต่งกายจำลอง เลียนแบบจากเครื่องทรงต้นของพระมหากษัตริย์แบบโบราณที่มีความสวยงามวิจิตรตระการตา แบ่งเป็น 3 ฝ่ายคือ ฝ่ายมนุษย์ เทวดา พระ นาง ฝ่ายยักษ์และฝ่ายลิง สำหรับบ่งบอกถึงยศถาบรรดาศักดิ์และตำแหน่ง นอกจากน้ันตวั ละครอ่ืน ๆ จะแต่งกายตามแต่ลักษณะของตัวละครน้ัน ๆ เชน่ ฤๅษี กา ชา้ ง มา้ วัว ควาย ฯลฯ สวมหัวโขนซึ่งมกี ารกำหนดลักษณะและสีไว้อย่างเป็นระบบและแบบแผน ใช้สำหรับกำหนดให้ใช้เฉพาะกับตวั ละคร สขี องเสื้อเป็นการบง่ บอกถึงสผี วิ กายของตัวละครนั้น ๆ เชน่ พระรามกายสีเขยี วมรกต พระลักษมณ์กาย สีเหลืองบุษราคัม ทศกัณฐ์กายสีเขียวมรกต หนุมานกายสีขาวมุกดา สุครีพกายสีแดงโกเมน เป็นต้น แบ่งได้ 3 ประเภท ดังนี้
๑๗ ศิราภรณ์ ศริ าภรณ์หรอื เคร่ืองประดับ มาจากคำว่า \"ศรี ษะ\" และ \"อาภรณ\"์ หมายความถงึ เครื่องประดับสำหรับใช้ สวมใสศ่ รี ษะเช่น ชฎามงกุฎ ซง่ึ เปน็ ชอ่ื เรยี กเคร่ืองประดับศีรษะละครตัวพระ ทมี่ ีววิ ฒั นาการมาจากการโพกผ้า ของพวกชฏิล ชฏาที่ใชใ้ นการแสดงโขนละครในปัจจุบัน ช่างผู้ชำนาญงานมกั จะนิยมทำเป็นแบบมีเกีย้ ว 2 ช้นั มีกรอบหน้า กรรเจียกจร ติดดอกไม้ทัด ดอกไม้ร้าน ประดับตามชั้นเชิงบาตร ซึ่งลักษณะของชฏานี้ เป็นการ จำลองรูปแบบมาจากพระชฏาของพระมหากษตั รยิ ์ในสมยั รตั นโกสนิ ทร์ นอกจากชฏามงกุฏแล้ว ยังมีชฎายอดชัยที่เป็นชฏามียอดแหลมตรง มีลูกแก้ว 2 ชั้นประดับ เป็นชฏาท่ี นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในการแสดงโขนและละคร ซึ่งที่มาของชฏายอดชัยนั้น สันนิษฐานว่าเป็นการสร้าง เลียนแบบพระชฏายอดชัยที่เป็นเครื่องทรงต้น ในรูปแบบและทรวดทรง มีความแตกต่างกันที่วัสดุและ รายละเอียดในการตกแต่งเท่านั้น รัดเกล้ายอด รัดเกล้าเปลว กรอบพักตร์หรือกระบังหน้า ปันจุเหร็จ หรือ แม้แตห่ ัวโขน ก็จดั อยู่ในประเภทเคร่อื งศิราภรณเ์ ชน่ กัน
๑๘ พสั ตราภรณ์ พัสตราภรณ์หรอื เสอ้ื ผ้าเคร่ืองนุง่ ห่มเช่น เสือ้ หรือฉลององค์ ในสมยั โบราณการแสดงโขนจะใชเ้ ส้ือคอกลม ผ่าด้านหน้าตลอด มีการต่อแขนเสื้อแบบต่อตรงและเสริมเป้าสี่เหลี่ยมตรงบริเวณใต้รักแร้ แต่ปัจจุบันได้มีการ ปรับเปลี่ยนให้ทนั ตามยุคสมยั เป็นเสอ้ื คอกลมสำเร็จรูป มี 2 แบบคือแบบเสอื้ แขนสั้นและแขนยาว เว้าวงแขน สีเสื้อและสีแขนเส้ือแตกต่างกัน ปักลวดลาย สำหรับตัวนางจะมีผ้าหม่ นางโดยเฉพาะ ลักษณะเป็นผ้าสไบแถบ ปักลวดลายตามความยาวของสไบเช่น ลายพุ่ม ลายกรวยเชิง ฯลฯ ห่มโอบจากทางด้านหลงั ให้ชายสไบทัง้ สอง ขา้ งเสมอกนั การหม่ ผ้าในการแสดงโขนมีวธิ ีการห่มที่แตกต่างกัน สำหรบั ตวั นางท่ีเป็นนางกษัตริย์และตัวนางที่ เปน็ ยักษ์ ตวั นางทีเ่ ป็นนางกษัตรยิ ์ จะหม่ ผ้าแบบเพลาะไขวต้ ดิ กันไว้ท่ดี า้ นหลัง ทิง้ ช่วงบรเิ วณหน้าอก คว้านบริเวณ ช่วงลำคอเหมือนกับการห่มแบบสองชาย และสำหรับตัวนางที่เป็นนางยักษ์ จะห่มแบบผ้าห่มผืนใหญ่ ปักลาย พุ่มข้าวบิณฑ์ที่มีลักษณะลวดลายเป็นสัตว์ต่าง ๆ เช่นหน้าสิงห์ ตัวเสื้อกางเกงหรือสนับเพลา ผ้านุ่งหรือพระ ภูษา กรองคอหรือนวมคอ ใช้แบบ 8 กลีบ ปักลายหนุนรูปกระจัง ชายไหวหรือห้อยหน้า ชายแครงหรือห้อย ขา้ ง ปกั ลวดลายแบบหนุนดว้ ยด้นิ แบบโปร่งและปักเล่ือมเช่นกนั ลอ้ มรอบตวั ลายดว้ ยดิ้นข้อ ชายผืนติดดิ้นครุย สีเงนิ รดั เอว ผา้ ทพิ ย์ เจยี ระบาด สไบ เปน็ ตน้
๑๙ ถนิมพิมพาภรณ์หรือเครื่องประดับต่าง ๆ ตามแต่ฐานะของตัวละคร คำว่าถนิมพิมพาภรณ์ มาจากคำว่า \"พิมพา\" และ \"อาภรณ์\" หมายถึงเคร่ืองประดับตกแต่งตามร่างกาย ส่วนใหญ่เป็นเครื่องประดับที่ถมและลงยา เช่น ทับทรวง ซึ่งเป็นโลหะประกอบกัน 3 ชิ้น ชุบเงิน ประดับเพชรตรงกลาง ฝังพลอยสีแดง ลักษณะของสาย เปน็ เพชรจำนวน 2 แถว มคี วามยาวประมาณ 28 น้วิ เข็มขดั หรือปน้ั เหนง่ สังวาล ตาบหนา้ ตาบทิศ ตาบหลัง อนิ ธนู ธำมรงค์ แหวนรอบ ปะวะหลำ่ ทองกร กรองคอ สะอิง้ พาหรุ ัด กำไลเท้า เปน็ ตน้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเล่าไว้ในละครพม่าเมื่อครั้งที่พระองค์เคย เสด็จไปทอดพระเนตรที่เมืองย่างกุ้งว่า การแต่งกายของผู้แสดงโขนนั้น ใช้การแต่งกายแบบสามัญชนคน ธรรมดา ไม่ได้มีการแต่งตัวที่ผิดแปลกกว่าปกตินอกจากบทผู้หญิง ที่มีการห่มสไบเฉียงหรือบทเป็นยักษ์เป็นลิง ที่มีการเขียนหน้าเขียนตาหรือสวมหน้ากาก ใช้เครื่องแต่งกายของละครแบบยืนเครื่องเช่น สนับเพลา ผ้านุ่ง กรองคอ ทับทรวง สังวาล เป็นต้น แต่เดิมการแต่งกายของตัวพระหรือนายโรงจะไม่สวมเสื้อ ภายหลังมีการ ประดษิ ฐ์เคร่อื งแตง่ กายสำหรับตัวพระขึน้ จงึ เปน็ ทม่ี าของการแต่งกายแบบยืนเครื่องในปจั จุบนั ต่อมาได้มีการประดิษฐ์เครื่องแต่งกายสำหรับโขนขึ้นโดยเฉพาะ และแก้ไขเครื่องแต่งกายให้แตกต่างไป จากเดิมเล็กน้อยคือ แต่เดิมตัวพระนั้นจะสวมสนับเพลายาวกรอมข้อเท้า ก็ให้เปลี่ยนมานุ่งให้เชิงแค่เพียงน่อง นุ่งผ้าแบบยกรั้งลดเชิงถึงหัวเข่าและสวมเสื้อแขนยาว ตัวนางนุ่งผ้าจีบกรอมถึงน่อง ห่มผ้าแถบลายทอง พาด ชายไว้ข้างหลังให้ชายผ้าห้อยเสมอน่อง ซึ่งการแต่งกายของตัวพระ ตัวนาง เทวดา ตัวยักษ์และตัวลิง ไม่ว่าจะ แสดงในตำแหน่งตัวละครใด ล้วนแต่แต่งกายแบบยืนเครื่องทั้งหมด ต่างกันตรงมงกุฎที่สวมใส่ประดับศีรษะ เท่านนั้ คือ กษตั รยิ ์จะสวมมงกุฎ ชฎา เสนาอำมาตย์จะใชผ้ ้าโพกศีรษะแทน ตัวนางที่เปน็ นางกษัตริย์จะสวมรัด เกลา้ ยอด ยศศกั ดริ์ องลงมาสวมรดั เกล้าเปลว สำหรับนางสนมกำนัลสวมกระบังหน้า ในสมยั พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ได้มีการประดิษฐ์เครื่องประดับสำหรับสวม ใสศ่ รี ษะแทนผ้าโพกและกระบังหน้าข้นึ ตอ่ มาในสมัยพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอยู่หัว รชั กาลท่ี 4 ได้มี การประดิษฐ์รัดเกล้ายอดขึ้นสำหรับใช้เฉพาะละครหลวงเท่านั้น จนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงยกเลิกการห้ามนำรัดยอดเกลา้ ไปใช้สำหรับตัวละครอื่นที่ไม่ใช่ละครหลวง และมี การแก้ไขเปลี่ยนแปลงเครื่องแต่งกายของโขนเรื่อยมา ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้ทรงปรับปรงุ เสือ้ ของตัวยักษใ์ ห้แตกต่างไปจากเดิมคือ ลำตวั สีหนึง่ และแขนอีกสีหนึ่ง นยั วา่ สีของ แขนเสื้อคือสีผิวของตัวละคร สีของลำตัวคือสีเกราะที่สำหรับใช้สวมใส่ในยามออกศึกสงครามซึ่งมักเป็นสีที่ตดั กบั สแี ขนเสอ้ื เชน่ เสือ้ สเี ขยี ว เกราะสีแดง เปน็ ต้น นอกจากนี้ยังมีเกราะอีกหนึ่งประเภทคือ เกราะที่เป็นสายคาดรอบอกเช่น ตอนทศกัณฐ์เกี้ยวนางสีดาใน สวน ทศกัณฐ์แต่งกายสวยงาม มีผ้าห้อยไหล่และถือพัดจันทน์ขนาดเล็ก คล้องพวงมาลัยที่ข้อมือด้านขวา มี เกราะสายคาดรอบอก ดังกาพย์ในบทละครเรื่องรามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศลา้ นภาลัย ดังน้ี
๒๐ สถิตแท่นแผ่นผาศิลาทอง อาบละอองสหุ รา่ ยสายสนิ ธ์ุ ขัดสวี ารีรดหมดมลทิน ทรงสุคนธุ์ธารประทิน่ กลิ่นเกลา นำ้ ดอกไม้เทศทาอ่าองค์ พระฉายตั้งคนั ฉ่องส่องเงา บรรจงทรงพระสางเศรียรเกล้า ทรงภษู าผา้ ต้นพ้นื ตอง เวยี นแต่เฝ้ากรดี พระหตั ถ์ผัดพกั ตรา คาดเข็ดขดั รดั องคอ์ งคการ์ คลอ้ งพระศอสดี อกคำรำ่ อบ เขยี นทองเรืองอร่ามงามนกั หนา ใสแ่ หวนเพชรเม็ดแตงแต่งเต็มท่ี ประดบั พลอยถมยาราชาวดี ถือพดั ด้ามจิ้วจนั ทน์บรรจง หอมตลบอบองคย์ ักษี แล้วลงจากปราสาทยาตรา จะไปอวดมงั่ มนี างสดี าฯ บทพระราชนพิ นธ์เร่อื งรามเกยี รต์ิ รัชกาลที่ 2 พวงมาลัยใส่ทรงพระกรขวา ข้ึนทรงรถั าคลาไคลฯ\" ซึ่งในการแต่งกายของทศกัณฐ์นั้น ปกติจะมีเกราะสายคาดรอบอกเป็นประจำ ตามบทพระราชนิพนธ์ เรอ่ื งรามเกียรติ์ ทศกัณฐม์ ีกเุ รปันเป็นพี่ชายต่างมารดา แตด่ ้วยนสิ ยั สันดาลพาลของทศกัณฐ์ ทำให้เกิดการแย่ง ชิงบุษบกแก้วของกุเรปันบริเวณเชิงเขาไกรลาส กุเรปันสู้ไม่ได้ก็หนีไปขอความช่วยเหลือจากพระอิศวรซึ่ง ประทับอยู่บนหลังช้าง พระอิศวรจึงทรงถอดงาจากช้างทรงขว้างใส่ทศกัณฐ์พร้อมกับสาปให้งานั้นติดอยู่ จนกระท่งั ทศกณั ฐ์ตาย ทศกณั ฐต์ ้องคำสาปพระอิศวร จึงไปขอให้พระวิศวกรรมเล่ือยงาช้างส่วนที่ย่ืนออกมาให้ ขาดเสมออก และเนรมิตเกราะสายคาดรอบอกขึ้นเพื่อปกปิดร่องรอยของงานช้าง ดังนั้นการแต่งกายของ ทศกณั ฐต์ ามบทพระราชนพิ นธ์ ตงั้ แตท่ ศกัณฐ์เกดิ จนถงึ ถกู พระอศิ วรสาป จะไมม่ เี กราะสายคาดรอบอก
๒๑ เคร่ืองแต่งกายสำหรับใช้ในการแสดงโขน (ตวั พระ)
๒๒ เคร่อื งแต่งกายสำหรับใช้ในการแสดงโขน (ตวั นาง)
๒๓ เคร่ืองแต่งกายสำหรับใช้ในการแสดงโขน (ตวั ยกั ษ์)
๒๔ เครอื่ งแตง่ กายสำหรับใช้ในการแสดงโขน (ตวั ลงิ )
๒๕
๒๖
๒๗
๒๘
๒๙
๓๐
๓๑
๓๒
๓๓ เครอ่ื งดนตรีปรกอบการการแสดง การแสดงโขนนัน้ เครื่องดนตรีทีใ่ ช้ประกอบการแสดงโขน ต้องใชว้ งปพ่ี าทย์ ซึ่งเป็นวงดนตรที ีใ่ ช้ ประกอบการเล่นมหรสพไทยหลายประเภท เชน่ หนังใหญ่ หุน่ ละคร เป็นต้น ซง่ึ ขนาดของวงก็แลว้ แต่ อาจจะ เป็นวงปี่พาทยเ์ ครื่องห้า เครอ่ื งคู่ หรือเคร่ืองใหญ่ คำว่า “ปี่พาทย”์ (หรือ “พณิ พาทย์”) หมายถึง เคร่ือง ประโคมอยา่ งหนัก อนั มเี ครือ่ งตแี ละเคร่ืองเปา่ คอื ป่ี-ฆ้อง-กลอง เปน็ หลกั (ไม่มีเคร่ืองสาย) ที่เรยี กวา่ ปี่พาทย์ เพราะใชป้ ี่เปน็ ตัวนำวง วงปพ่ี าทย์เครื่องหา้ เป็นวงหลกั ท่เี กดิ ข้นึ กอ่ นวงปี่พาทย์ประเภทอน่ื ประกอบ ไปด้วยเครอื่ งดนตรี ดงั นี้ – ปี่ใน 1 เลา – ตะโพน 1 ลูก – ระนาดเอก 1 ราง – ฉิ่ง 1 คู่ – ฆ้องวงใหญ่ 1 วง – กลองทดั 2 ลกู
๓๔ วงป่ีพาทย์เคร่อื งคู่ เกดิ ขึ้นในสมัยพระบาทสมเดจ็ พระนั่งเกล้าเจา้ อยู่หัวฯ รชั การท่ี 3 ได้ มีผู้คดิ ประดิษฐ์ ระนาดท้มุ และ ฆ้องวงเล็ก ขนึ้ จงึ เกดิ การประสมวงใหมโ่ ดยนำระนาดทมุ้ และฆอ้ งวงเลก็ รวมเขา้ กบั วงป่ีพาทย์เคร่อื งหา้ เดมิ และ เพ่มิ เติม ปน่ี อก ซ่ึงใชใ้ นการบรรเลง วงปี่พาทย์สำหรบั การแสดง หนังใหญ่ เพื่อให้เครื่องดนตรีดำเนินทำนอง ทุกชนิดในวงมีจำ นวนเปน็ คจู่ ึงประกอบไปดว้ ยเคร่ืองดนตรีดังนี้ – ปใี่ น 1 เลา – ปนี่ อก 1 เลา – ระนาดเอก 1 ราง – ระนาดทมุ้ 1 ราง – ฆอ้ งวงใหญ่ 1 วง – ฆอ้ งวงเลก็ 1 วง – กลองทดั 1 คู่ – ตะโพน 1 ลูก – ฉิ่ง 1 คู่ – ฉาบเลก็ 1 คู่ – โหมง่ 1 ใบ – กลองสองหน้า 1 ลูก หรือ กลองแขก 1 คู่
๓๕ วงปพ่ี าทย์เครื่องใหญ่ เกิดข้ึนในสมัยรัชการที่ 3 และ 4 โดยเพม่ิ ระนาดเอกเหลก็ และ ระนาดทุ้มเหล็ก เขา้ ไว้กับวงป่พี าทย์ เครอื่ งคู่โดยต้งั ระนาดเอกเหลก็ ไว้ทางรมิ ดา้ นขวามือและระนาดทุ้มเหลก็ ไว้ทรี่ ิมด้านซา้ ยมือซึง่ นักดนตรีทวั่ ไป นยิ มเรียก วา่ “เพ่ิมหวั ท้าย”
๓๖
Search
Read the Text Version
- 1 - 39
Pages: