Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คุณลักษณะครูที่ดีตามหลักคำสอน (1)

คุณลักษณะครูที่ดีตามหลักคำสอน (1)

Published by boonyaporn71202128, 2021-02-03 14:21:02

Description: คุณลักษณะครูที่ดีตามหลักคำสอน (1)

Search

Read the Text Version

คุ ณ ลั ก ษ ณ ะ ค รู ที่ ดี ต า ม ห ลั ก คา ส อ น ใ น พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า

ค รู ห ม า ย ถึ ง … … … . ผู้ มี ค ว า ม ห นั ก แ น่ น ผู้ ค ว ร แ ก่ ก า ร เ ค า ร พ ข อ ง ศิ ษ ย์ ผู้ ท่ี ใ ห้ ค ว า ม รู้ ไ ม่ จา กั ด ทุ ก ท่ี ทุ ก เ ว ล า คุ ณ ลั ก ษ ณ ะ ห ม า ย ถึ ง … … … เ ค รื่ อ ง ห ม า ย ห รื อ สิ่ ง ที่ ช้ี ใ ห้ เ ห็ น ค ว า ม ดี ห รื อ ลั ก ษ ณ ะ ป ร ะ จา

ค รู ที่ ดี ต า ม ห ลั ก พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า คื อ … … … . . คุ ณ ลั ก ษ ณ ะ ข อ ง ค รู ท่ี ดี ต า ม ห ลั ก คา ส อ น ใ น พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า คุ ณ ลั ก ษ ณ ะ ข อ ง ค รู ที่ ดี ต า ม ห ลั ก คา ส อ น ข อ ง อ ง ค์ ส ม เ ด็ จ พ ร ะ สั ม ม า สั ม พุ ท ธ เ จ้ า ค ว า ม จ ริ ง ห ลั ก คา ส อ น ใ น พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า ทุ ก ห ม ว ด ห มู่ ค รู อ า จ า ร ย์ ห รื อ บุ ค ค ล ท่ั ว ไ ป ส า ม า ร ถ นา ม า ยึ ด ถื อ ป ฏิ บั ติ ใ ห้ เ กิ ด ป ร ะ โ ย ช น์ ท้ั ง ต น เ อ ง แ ล ะ ผู้ อื่ น ไ ด้ ต ล อ ด ชี วิ ต

ลักษณะของครูดีตามคาสอนในพระพุทธศาสนา หลักคาสอนหรือหลักธรรมในพุทธศาสนาท่ีเก่ียวกับความเป็ นครู ประกอบด้ว ย หลักธรรม 7 ประการ คือ 1.1 ปิ โย – น่ารัก หมายความว่า บุคคลท่ีเป็ นครูนั้นจะต้องเป็ นผู้ท่ีน่ ารัก ศิษย์ได้พบเห็น แล้วรู้สึกทาให้อยากเข้าไปพบหาปรึกษาไต่ถาม สบายใจเม่ือได้พบปะพูดคุ ยกับครู อาจารย์ผู้นั้น การกระทาตนให้เป็ นท่ีน่ารักของศิษย์นั้นมิใช่การท่ี ครูไม่ยอมว่ากล่าว ตักเตือนเม่ือศิษย์ทาสิ่งใดผิดพลาด ตรงกันข้าม จะต้องกระทาหน้าท่ี ของครูให้สมบูรณ์ ตลอดเวลานั้น คือหากศิษย์คนใดกระทาไม่ถูกต้อง ครูจะต้องคอยชี้นา ตั กเตือน ห้าม ป ร า ม มิ ใ ห้ศิ ษ ย์ก ร ะ ทา ส่ิ ง นั้น ๆ 1.2 ครุ – น่าเคารพ หมายความว่า บุคคลท่ีเป็ นครูนั้นต้องเป็ นผู้ท่ีประ พฤติตนเหมาะสม แก่ฐานะของความเป็ นครู กระทาตนให้เป็ นแบบอย่างท่ีดีแก่ศิษย์ท้ังพฤติ กรรมทางกาย และทางวาจา จิตใจสงบ เยือกเย็น มีเหตุมีผล ไม่เป็ นคนเจ้าอารมณ์ เป็ นคนเสมอต้น เสมอปลายทุกๆ กรณี บุคลิกลักษณะประดุจดังผู้ทรงศีล ทาให้เป็ นท่ีน่า เคารพศรัทธา เล่ือมใสของศิษย์

1.3 ภาวนีโย – น่าเจริญใจหรือน่ายกย่อง หมายความว่า บุคคลท่ีเ ป็ นครู นั้น จะต้องกระทาตนให้เป็ นท่ีน่าเจริญใจหรือน่ายกย่องของศิ ษย์และบุคคล ท่ัวไปมีความรู้และภูมิปัญญาอย่างแท้จริง มีคุณธรรมความดี ควรแก่การ กราบไหว้บูชาของศิษย์เสมอสิ่งต่างๆ เหล่านี้จะบังเกิดมีในตัวครูได้ ผู้ท่ีเป็ น ครูจะต้องหม่ันฝึกอบรมตนให้เจริญงอกงาม ศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ เป็ น ผู้มีวิสัยทัศน์ เปิ ดใจรับความรู้ใหม่ๆ ไม่กระทาตนย่าอยู่กับท่ี เป็ นครูเวลาทา การสอน เป็ นนักเรียนเม่ือมีเวลาว่าง เป็ นนักสากลนิยม ถือศาสน าเป็ น หลักใจ ไม่เป็ นคนมีมิจฉาทิฎฐิ เช่ือกฎแห่งกรรม เป็ นผู้รักษา กายด้วยศีล ควบคุมจิตด้วยสมาธิ และควบคุมความเห็นด้วยปัญญา หากครูคนใ ดมี คุณลักษณะดังกล่าว ย่อมเป็ นท่ีน่าเจริญใจเม่ือศิษย์ได้พบ เห็น หรือเป็ นท่ี น่ายกย่องของศิษย์และบุคคลท่ัวไป นอกจากนี้ผู้เป็ นครูจะต้องพยายาม พัฒนาชีวิตความเป็ นอยู่ในด้านอ่ืนๆ ให้เจริญก้าวหน้า ไม่ป ล่อยชีวิตให้ ซอมซ่อ น่าหดหู่แก่ผู้พบเห็นท่ัวไป

1.4 วัตตา – มีระเบียบแบบแผน หมายความว่า บุคคลท่ีเป็ นครูนั้นจะต้องกระทา ตนให้เป็ นบุคคลท่ีเคารพระเบียบแบบแผน ขณะเดียวกันก็คอยอบรมตักเตื อนให้ ศิษย์เป็ นผู้มีระเบียบแบบแผน ว่ากล่าวตักเตือนในส่ิงท่ีควรกระทา เป็ นท่ีปรึกษาท่ีดี ของศิษย์ด้วย กล่าวโดยรวม คุณลักษณะของครูในข้อนี้ คือ ความเป็ นผู้มีระเบียบ แ บ บ แ ผ น ข อ ง ค รู แ ล ะ ค อ ย อ บ ร ม ตัก เ ตื อ น ศิ ษ ย์ใ ห้อ ยู่ใ น ร ะ เ บี ย บ ก ฎ เ ก ณ ฑ์ ด้ว ย 1.5 วจนักขโม – อดทนต่อถ้อยคา หมายความว่า บุคคลท่ีเป็ นครูนั้นจะ ต้องเป็ นผู้ท่ี มีความอดทนต่อคาพูดของศิษย์ท่ีมากระทบต่อความรู้สึก เพราะบางครั้งคาพูดของ ศิษย์ท่ีกล่าวออกมานั้นอาจจะทาให้ครูรู้สึกไม่พอใจหรือไม่สบายใ จ ครูก็ต้องอดทน และพร้อมท่ีจะรับฟังข้อซักถามและให้ปรึกษาหารือ แนะนา ไม่เบ่ือ ไ ม่ฉุนเฉียว

1.6 คัมภีรัญจะ กถัง กัตตา – แถลงเร่ืองได้อย่างลึกลา้ หมายความว่า บุคคลท่ี เป็ นครูนั้นจะต้องมีความสามารถในการสอน มีความสามารถในการใช้คาพู ด อธิบายเร่ืองราวต่างๆ ให้ศิษย์ฟั งได้อย่างแจ่มแจ้ง การท่ีครูคนใดจ ะกระทาได้ ดังกล่าว ก็ต้องพยายามหาวิธีการท่ีสามารถทาให้ศิษย์เข้าใจได้ง่าย ท่ีสุด ครูท่ีมี คุณลักษณะในด้านนี้จะสามารถอธิบายเร่ืองท่ียุ่งยากซับซ้อนให้เข้าใจได้ง่าย หรือ กล่าวอีกนัยหน่ึงว่า สามารถทาเร่ืองยากให้เป็ นเร่ืองง่าย ทาเร่ือ งซับซ้อนให้เป็ น เร่ืองธรรมดา 1.7 โน จัฏฐาเน นิโยชเย – ไม่ชักนาศิษย์ไปในทางท่ีเส่ือม หมายความว่า บุคคล ท่ีเป็ นครูนั้นจะต้องไม่นาศิษย์ไปในท่ีต่าทรามใดๆ ส่ิงใดเป็ นค วามเส่ือมโทรมทาง จิตใจ จะไม่ชักนาศิษย์ไปทางนั้น ในขณะเดียวกัน ผู้ท่ีเป็ นครู ก็ จะต้องไม่ประพฤติ ส่ิงท่ีเส่ือมทรามทั้งหลายทั้งปวงให้ศิษย์เห็น ครูจะต้องหลีกเล่ี ยงส่ิงท่ีเป็ นอบายมุข ทั้งปวง คุณลักษณะของครูตามหลักกัลยาณมิตตธรรมทั้ง 7 ประการ ดังกล่าวนี้ หากบังเกิดมีกับ ผู้ท่ีเป็ นครูคนใดแล้ว บุคคลนั้นย่อมได้ช่ือว่ าเป็ นครูท่ีมีคุณลักษณะ ท่ี พึ ง ป ร ะ ส ง ค์ข อ ง สั ง ค ม อ ย่ า ง แ น่ น อ น

คุณ ธ ร ร ม ส า ห รับ ค รู ต า ม แ น ว พ ร ะ พุท ธ ศ า ส น า ท่านพุทธทาสภิกขุได้มีทัศนะเก่ียวกับคุณธรรมครู ว่า ครูควรจะต้องมีคุณธรรม 4 ประการ ตามพระพุทธองค์ดังนี้ 1. พระวิสุทธิคุณ คือ ครู จะต้องมีจิตใจบริสุทธิ์ปราศจากกิเลส ปราศจากโลภะ โทสะ โมหะ ไม่อาฆาตพยาบาท รู้จักการให้อภัย และมีมุทิตาจิตต่อศิษย์ 2. พระปัญญาคุณ คือ ครู จะต้องมีปัญญาท่ีเฉียบแหลม สามารถช่วยแก้ปัญหาให้ ศิษย์ได้ 3. พระกรุณาธิคุณ คือ ครูจะต้องมีความเมตตากรุณาต่อศิษย์ 4. ขันติ คือ ครู จะต้องมีความอดทนต่อความเหน็ดเหน่ือยทั้งร่างกายและจิตใจ พระวรธัมโม ภิกขุ ได้กล่าวว่า คุณธรรมท่ีทาให้คนเป็ นครูท่ีสมบูรณ์ได้มีดังนี้คือ - ครูต้องเป็ นผู้ท่ีม่ันใจในเร่ืองทางวิญญาณ เพราะครูมีหน้าท่ีเป็ นผู้นาทาง วิญญาณและมีหน้าท่ี ยกระดับจิตใจของเยาวชนให้สูงขึ้น โดยครูจะต้องถือ ว่าเป็ นความ รับผิดชอบของครูโดยตรง 2. -- ครูต้องมีธรรมะ คือ ต้องใช้ธรรมะ หล่อเลี้ยงชีวิตให้ชุ่มช่ืน ให้มีความอ่ิมใจ มีปราติปราโมทย์มิฉะนั้น ชีวิตครูจะน่า เบือหน่าย ไม่ร่ืนรมย์

- . ค รู ต้ อ ง เ ป็ น เ ส มื อ น พ ร ะ โ พ ธิ สั ต ว์ คื อ บุ ค ค ล ผู้ อุ ทิ ศ ต น เ พ่ื อ ช่ ว ย เ ห ลื อ ผู้ อื่ น มี ค ติ ป ร ะ จ า ใ จ ท่ี ว่ า ย อ ม ล า บ า ก เ พ่ื อ ใ ห้ ค น อ่ื น สุ ข ส บ า ย เ พ ร า ะ ค รู ค ว ร ยึ ด ถื อ คุ ณ ธ ร ร ม ข อ ง พ ร ะ โ พ ธิ สั ต ว์ เ ป็ น ห ลั ก ป ฏิ บั ติ ส า ห รั บ คุ ณ ธ ร ร ม ห รื อ ห ลั ก ธ ร ร ม ที่ ค รู ค ว ร ยึ ด ถื อ แ ล ะ ป ฏิ บั ติ ตั ว เ ป็ น ตั ว อ ย่ า ง ที่ ดี แ ก่ ลู ก ศิ ษ ย์ โ ด ย อ า ศั ย ห ลั ก ธ ร ร ม ที่ เ ป็ น ค า ส อ น ข อ ง พ ร ะ พุ ท ธ เ จ้ า โ ด ย เ ลื อ ก ธ ร ร ม ที่ เ ห ม า ะ แ ก่ ห น้ า ที่ ก า ร ง า น ข อ ง ค รู เ ช่ น ขั น ติ ( ค ว า ม อ ด ท น ) สั ม ป ชั ญ ญ ะ ( ค ว า ม รู้ สึ ก ตั ว ) พ ร ห ม วิ ห า ร 4 อ ค ติ 4 เ ป็ น ต้ น

หลักธรรมสาหรับครู 1. อิทธิบาท 4 คือ คุณธรรมท่ีนาไปสู่ความสาเร็จ หมายถึง การทางานท่ี บรรลุ ตามวัตถุประสงค์ซ่ึงอาจเป็ นเร่ืออง หน้าท่ีการศึกษา รวมทั้งชีวิต ส่วนตัว มีอยู่ 4 อย่าง คือ -ฉันทะ -วิริยะ -จิตตะ -วิมังสา 2. โลกปาลธรรม ธรรมคุ้มครองโลก คือ ธรรมท่ีช่วยให้โลกมีความเป็ น ระเบียบ เรียบร้อย ไม่เดือดร้อนและวุ่นวาย มี 2 อย่าง คือ -หิริ -โอตตัปปะ

3. ธรรมอันทาให้งาม 2 ประการ คือ 1) ขันติ คือ ความอดทน อดกลั้น ความหนักแน่นของจิตใจ เพ่ือบรรลุ ความดีและความมุ่งหมายอันชอบ ความอดทน แบ่งได้ 3 ชนิด คือ - อดทนต่อความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน อันเกิดจากการเจ็บไข้ได้ป่ วย - อดทนต่อความลาบากเหน่ือยยาก อันเน่ืองจากความไม่ราบร่ืนในการ ทางาน - อดทนต่อความเจ็บใจท่ีได้รับจากคาพูดท่ีไม่ดี 2) โสรัจจะ คือ ความสงบเสง่ียม อัธยาศัยงาม มีวาจาสุภาพเรียบร้อย ซ่ึง เป็ นธรรมท่ีคู่กับความอดทน คือ เม่ือมีความอดทนแล้ว ต้อง แสดงออกให้ เป็ นปกติทั้งกาย วาจา ธรรมทั้งสองประการนี้ เรียกว่าเป็ น “ธรรมท่ีทาให้ งาม”

4.พรหมวิหาร 4 หรือ พรหมวิหารธรรม เป็ นหลักธรรมประจาใจ เพ่ือให้ตนดารงชีวิตได้อย่างประเสริฐและบริสุทธิ์เฉกเช่นพรหม เป็ น แนวธรรมปฏิบัติของผู้ท่ีผู้ปกครอง และการอยู่ร่วมกับ ผู้อ่ืน ประกอบด้วยหลักปฏิบัติ 4 ประการ ได้แก่ เมตตา คือ ความรักใคร่ ปรารถนาดีอยากให้เขามีความสุข มีจิ ตอัน แผ่ไมตรีและคิดทาประโยชน์แก่มนุษย์สัตว์ท่ัวหน้า กรุณา คือ ความสงสาร คิดช่วยให้พ้นทุกข์ ใฝ่ ใจในอันจะป ลด เปลือ้ งบาบัดความทุกข์ยากเดือดร้อนของปวงสัตว์

มุทิตา คือ ความยินดี ในเม่ือผู้อ่ืนอยู่ดีมีสุข มีจิตผ่องใส บันเทิง ประกอบด้วยอาการแช่มชื่นเบิกบานอยู่เสมอ ต่อ สัตว์ทั้งหลายผู้ดารงในปกติสุข พลอยยินดีด้วยเมื่อเขาได้ดีมี สุข เจริญงอกงามย่ิงขึน้ ไป อุเบกขา คือ ความวางใจเป็นกลาง อันจะให้ดารงอยู่ใน ธรรมตามที่พิจารณาเห็นด้วยปัญญา คือมีจิตเรียบตรงเที่ยง ธรรมดุจตาช่ัง ไม่เอนเอียงด้วยรักและชัง พิจารณาเห็นกรรม ท่ีสัตว์ทั้งหลายกระทาแล้ว อันควรได้รับผลดีหรือช่ัว สมควร แก่เหตุอันตนประกอบ พร้อมท่ีจะวินิจฉัยและปฏิบัติไปตาม

5. อคติ 4 คือ ความไม่เท่ียงตรง ความลาเอียง ผู้ท่ีเป็ นครูอาจารย์และคน ท่ัวไป ควรเว้นอคติ 4 อย่างนี้ 1) ฉันทาคติ - ลาเอียงเพราะรัก, ชอบ คือ การช่วยเหลือเข้าข้างคนท่ีตนรัก ทา ให้เสียความเทียงธรรม 2) โทสาคติ - ลาเอียงเพราะความไม่ชอบ คือ การกล่ันแกล้งให้โทษคนท่ี เรา เกลียดชัง 3) โมหาคติ - ลาเอียงเพราะความหลง ความเขลา คือ การ ก ล่ ัน แ ก ล้ง ใ ห้ค น ท่ี เ ร า เ ก ลี ย ด ชัง 4) ภยาคติ - ลาเอียงเพราะความกลัว คือ การกระทาอย่างใดอย่างหน่ึง เพ่ือ ช่วยเหลือคนท่ีมีอานาจหรืออิทธิพลเหนือเรา ทาให้เสียความ ยุติธรรม

6. สัปปุริสธรรม7คือ ธรรมของสัตบุรุษ หรือ ธรรมของคนดีมี 7 ประการ คือ 1) ธัมมัญญุตา ความเป็ นผู้รู้จักหลักและรู้จักเหตุ คือ รู้หลักการและ กฎเกณฑ์ของส่ิงทั้งหลายท่ีตนเข้าไปเก่ียวข้องในการดาเนินชีวิต ในการ ปฏิบัติต่อหน้าท่ี และดาเนินกิจการต่างๆ รู้เข้าใจสิ่งท่ีตนจะต้องประพฤติ ปฏิบัติตามเหตุผล 2) อัตถัญญุตา ความเป็ นผู้รู้จักผลและความมุ่งหมาย คือ รู้ความหมาย ค ว า ม มุ่ง ห ม า ย ข อ ง ห ลัก ก า ร ท่ี ต น ป ฏิ บัติ เ ข้า ใ จ วัต ถุ ป ร ะ ส ง ค์ ข อ ง กิ จ ก า ร ท่ี ต น กระทา

4) มัตตัญญุตา ความเป็ นผู้รู้จักประมาณ คือ รู้จักพอดีเช่น รู้จักประมาณ ในการใช้จ่ายการบริโภค ในการใช้จ่ายทรัพย์หรือในการพูด เป็ นต้น 5) กาลัญญุตา ความเป็ นผู้รู้จักเวลา คือ รู้เวลาอันเหมาะสม แ ละ ระยะเวลา ท่ีพึงใช้ในการประกอบกิจ หน้าท่ีการงาน ปฏิบัติการต่ าง ๆ และ เก่ียวข้องกับผู้อ่ืน 6) ปริสัญญุตา ความเป็ นผู้รู้จักชุมชน คือ รู้จักการอันควรประพฤติปฏิบัติ ในถ่ินชุมชน รู้จักระเบียบวินัยวัฒนธรรมประเพณีของชุมชนท่ีเข้าไป เก่ียวข้อง 7) ปุคลัญญุตา ความเป็ นผู้รู้จักบุคคล คือ รู้จักและเข้าใจความแตกต่าง แห่งบุคคล รู้จักท่ีจะปฏิบัติต่อบุคคลอ่ืน ๆ ด้วยดี

7. มรรค 8 หมายถึง ทางปฏิบัติเพ่ือความพ้นทุกข์เพื่อ แก้ปัญหาชีวิตและปัญหา สังคม หรือ เป็นทางปฏิบัติสาย กลาง 8 อย่าง คือ -สัมมาทิฏฐิ -สัมมาสังกัปปะ -สัมมาวาจา -สัมมากัมมันตะ -สัมมาอาชีวะ -สัมมายาวามะ -สัมมาสติ

8. ทศพิธราชธรรมหรือ ราชธรรม 10 หมายถึง หลักธรรมสาหรับพระราชา นักบริหาร และผู้ทาหน้าท่ีปกครองคนอ่ืน เช่น ครูอาจารย์เป็ นต้น ทศพิธราชธรรม มี 10 อย่าง คือ -ทาน คือ การให้การสละทรัพย์ส่ิงของ การช่วยเหลือ -ศีล คือ ความประพฤติเรียบร้อยทางกาย วาจา -บริจาคะ คือ การเสียสละความสุขของตน เพ่ือประโยชน์สุขของผู้อ่ืน -อาชวะ คือ ความซ่ือตรง มีความจริงใจ ปฏิบัติงานด้วยความสุจริต -มัททวะ คือ ความสุภาพอ่อนโยน มีอัธยาศัยงดงาม -ตบะ คือ การระงับยับย้ังมิให้กิเลสเข้าครอบงา มีความเป็ นอยู่ธรรมดา -อักโกธะ คือ ความไม่โกรธไม่ลุแก่อานาจความโกรธ มีเมตตา ประจาใจ -อวิหิงสา คือ ความไม่เบียดเบียน ไม่บีบบังคับกดข่ีไม่หลงระเริงอานาจ -ขันติ คือ ความอดทน อดทนต่อความยากลาบาก ต่อคาย่ัวยุและเยาะเย้ยต่าง ๆ -อวิโรธนะ คือ ความไม่ประพฤติผิดธรรม ไม่หว่ันไหวต่อลาภ ยึดม่ันอยู่ในธรรม


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook