ช่อื หน่วยการเรยี นรู้ ตัวชว้ี ดั จานวน น้าหนกั (ชัว่ โมง) คะแนน รู้ไวไ้ ด้ประโยชน์ ท ๑.๑ ป ๕/๑/8 ท ๒.๑ ป.๕/๑/3 แรงกระทบ ท ๓.๑ ป.๕/๑/3/4 ท ๔.๑ ป.๕/๒ ท ๕.๑ ป.๕/๒ 10 10 วิถีชวี ติ ไทย ท ๑.๑ ป ๕/๑/8 ท ๒.๑ ป.๕/๑ ท ๓.๑ ป.๕/๑/4 ท ๔.๑ ป.๕/๒/7 10 10 รวม ท 2.1 ป.5/4/9 ท 3.1 ป.5/3/5 ท 4.1 ป.5/1 ท 5.1 ป.5/1/2/4/8 10 10 33 160 100 หลกั สูตรโรงเรียนวัดพชื นมิ ติ (คำสวัสดริ์ ำษฎร์บำรงุ ) ตำมหลกั สูตรแกนกลำงกำรศกึ ษำขนั้ พ้นื ฐำนพทุ ธศักรำช ๒๕๕๑ หนำ้ 51
กลมุ่ สาระการเรียนร้ภู าษาไทย ระดับชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 หลกั สูตรโรงเรยี นวดั พชื นมิ ิต (คำสวสั ดิ์รำษฎรบ์ ำรุง) ตำมหลกั สูตรแกนกลำงกำรศกึ ษำขั้นพืน้ ฐำนพุทธศักรำช ๒๕๕๑ หนำ้ 52
ตวั ชวี้ ัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง สาระที่ 1 การอ่าน มาตรฐาน ท 1.1 ใช้กระบวนกำรอำ่ นสรำ้ งควำมรู้และควำมคดิ เพอื่ นำไปใชต้ ัดสนิ ใจ แก้ปญั หำในกำรดำเนิน ชวี ิต และมนี ิสยั รกั กำรอ่ำน ชัน้ ตวั ชีว้ ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ป.๖ ๑. อ่ำนออกเสยี งบทรอ้ ยแกว้ และ กำรอำ่ นออกเสียงและกำรบอกควำมหมำยของ บทรอ้ ยกรองได้ถกู ตอ้ ง บทรอ้ ยแก้ว และบทรอ้ ยกรอง ประกอบด้วย ๒. อธบิ ำยควำมหมำยของคำ ประโยค - คำท่มี ีพยญั ชนะควบกล้ำ และข้อควำมที่เปน็ โวหำร - คำที่มีอักษรนำ - คำทม่ี ีตัวกำรนั ต์ - คำที่มำจำกภำษำตำ่ งประเทศ - อักษรยอ่ และเคร่อื งหมำยวรรคตอน - วัน เดือน ปีแบบไทย - ขอ้ ควำมทเ่ี ปน็ โวหำรตำ่ งๆ - สำนวนเปรยี บเทยี บ กำรอ่ำนบทร้อยกรองเปน็ ทำนองเสนำะ ๓. อ่ำนเรือ่ งสั้นๆ อยำ่ งหลำกหลำย โดย กำรอำ่ นจับใจควำมจำกสอื่ ตำ่ งๆ เช่น จับเวลำแลว้ ถำมเกย่ี วกับเรอ่ื งท่ีอ่ำน - เรื่องสน้ั ๆ ๔. แยกขอ้ เทจ็ จรงิ และขอ้ คิดเห็นจำก - นทิ ำนและเพลงพ้นื บ้ำน เร่อื งทอ่ี ่ำน - บทควำม ๕. อธบิ ำยกำรนำควำมรู้และควำมคดิ - พระบรมรำโชวำท จำกเรอ่ื งทีอ่ ำ่ นไปตัดสนิ ใจแกป้ ญั หำ - สำรคดี ในกำรดำเนนิ ชวี ิต - เร่อื งสั้น - งำนเขียนประเภทโน้มน้ำว - บทโฆษณำ - ข่ำว และเหตุกำรณ์สำคัญ กำรอ่ำนเรว็ ๖. อ่ำนงำนเขียนเชงิ อธบิ ำย คำสง่ั กำรอ่ำนงำนเขียนเชงิ อธิบำย คำสงั่ ข้อแนะนำ ขอ้ แนะนำ และปฏบิ ัตติ ำม และปฏิบตั ติ ำม - กำรใชพ้ จนำนุกรม - กำรปฏบิ ตั ิตนในกำรอย่รู ่วมกนั ในสงั คม - ขอ้ ตกลงในกำรอยรู่ ่วมกันในโรงเรียน และกำร ใชส้ ถำนท่สี ำธำรณะในชมุ ชนและทอ้ งถิน่ ๗. อธิบำยควำมหมำยของข้อมูล จำก กำรอ่ำนข้อมูลจำกแผนผงั แผนที่ แผนภมู ิ และ กำรอ่ำนแผนผัง แผนท่ี แผนภูมิ และ กรำฟ กรำฟ หลกั สตู รโรงเรียนวัดพชื นมิ ิต (คำสวสั ดร์ิ ำษฎร์บำรุง) ตำมหลกั สตู รแกนกลำงกำรศึกษำขน้ั พื้นฐำนพทุ ธศกั รำช ๒๕๕๑ หนำ้ 53
ช้ัน ตัวช้ีวัด สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ๘. อำ่ นหนงั สอื ตำมควำมสนใจ และ อธิบำยคณุ คำ่ ทไี่ ดร้ บั กำรอ่ำนหนังสอื ตำมควำมสนใจ เชน่ - หนงั สอื ที่นกั เรยี นสนใจและเหมำะสมกับวยั ๙. มมี ำรยำทในกำรอำ่ น - หนังสืออ่ำนทค่ี รูและนักเรยี นกำหนดร่วมกัน มำรยำทในกำรอำ่ น สาระที่ 2 การเขยี น มาตรฐาน ท 2.1 ใช้กระบวนกำรเขียนเขียนส่ือสำร เขียนเรียงควำม ย่อควำม และเขียนเรื่องรำวในรูปแบบ ตำ่ งๆ เขียนรำยงำนข้อมูลสำรสนเทศและรำยงำนกำรศึกษำค้นควำ้ อย่ำงมีประสทิ ธภิ ำพ ชั้น ตัวชวี้ ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.๖ ๑. คัดลำยมือตวั บรรจงเตม็ บรรทดั และ กำรคัดลำยมอื ตวั บรรจงเตม็ บรรทดั และ ครง่ึ บรรทดั คร่ึงบรรทดั ตำมรูปแบบกำรเขียนตวั อกั ษรไทย ๒. เขยี นส่ือสำรโดยใช้คำได้ถกู ต้อง กำรเขียนส่ือสำร เชน่ ชดั เจน และเหมำะสม - คำขวัญ - คำอวยพร - ประกำศ ๓. เขยี นแผนภำพโครงเร่ืองและแผนภำพ กำรเขยี นแผนภำพโครงเรอ่ื งและแผนภำพ ควำมคิดเพ่ือใช้พัฒนำงำนเขียน ควำมคดิ ๔. เขียนเรยี งควำม กำรเขียนเรียงควำม ๕. เขยี นยอ่ ควำมจำกเร่อื งท่อี ่ำน กำรเขียนยอ่ ควำมจำกส่ือตำ่ งๆ เชน่ นทิ ำน ควำมเรยี งประเภทตำ่ งๆ ประกำศ แจง้ ควำม แถลงกำรณ์ จดหมำย คำสอน โอวำท คำปรำศรยั สนุ ทรพจน์ รำยงำน ระเบยี บ คำส่งั ๖. เขยี นจดหมำยส่วนตัว กำรเขยี นจดหมำยสว่ นตวั - จดหมำยขอโทษ - จดหมำยแสดงควำมขอบคณุ - จดหมำยแสดงควำมเหน็ ใจ - จดหมำยแสดงควำมยินดี ๗. กรอกแบบรำยกำรต่ำงๆ กำรกรอกแบบรำยกำร - แบบคำรอ้ งตำ่ งๆ - ใบสมัครศึกษำตอ่ - แบบฝำกส่งพสั ดุและไปรษณยี ภณั ฑ์ ๘. เขยี นเรอื่ งตำมจินตนำกำรและ กำรเขียนเรอ่ื งตำมจินตนำกำรและสรำ้ งสรรค์ สร้ำงสรรค์ ๙. มีมำรยำทในกำรเขยี น มำรยำทในกำรเขยี น หลกั สูตรโรงเรียนวัดพชื นิมติ (คำสวัสดิร์ ำษฎรบ์ ำรงุ ) ตำมหลกั สตู รแกนกลำงกำรศึกษำข้นั พืน้ ฐำนพทุ ธศกั รำช ๒๕๕๑ หน้ำ 54
สาระที่ 3 การฟัง การดู และการพูด มาตรฐาน ท 3.1 สำมำรถเลอื กฟังและดอู ย่ำงมีวจิ ำรณญำณ และพดู แสดงควำมรู้ ควำมคดิ และควำมรสู้ กึ ใน โอกำสตำ่ งๆ อยำ่ งมีวจิ ำรณญำณและสร้ำงสรรค์ ช้นั ตัวชี้วดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.๖ ๑. พูดแสดงควำมรู้ ควำมเขำ้ ใจ กำรพดู แสดงควำมรู้ ควำมเขำ้ ใจในจุดประสงค์ จุดประสงคข์ องเรอ่ื งที่ฟงั และดู ของเรอื่ งท่ฟี งั และดจู ำกส่อื ตำ่ งๆ ไดแ้ ก่ ๒. ต้งั คำถำมและตอบคำถำมเชงิ เหตผุ ล - ส่ือสิ่งพิมพ์ จำกเร่ืองท่ีฟังและดู - ส่อื อิเลก็ ทรอนกิ ส์ ๓. วิเครำะหค์ วำมนำ่ เช่ือถอื จำกกำรฟงั กำรวเิ ครำะหค์ วำมนำ่ เช่อื ถอื จำกกำรฟังและดสู ่อื และดสู ่ือโฆษณำอย่ำงมีเหตุผล โฆษณำ ๔. พูดรำยงำนเรื่องหรือประเด็นทศ่ี กึ ษำ กำรรำยงำน เชน่ ค้นควำ้ จำกกำรฟัง กำรดู และกำร - กำรพูดลำดบั ขั้นตอนกำรปฏบิ ตั งิ ำน สนทนำ - กำรพูดลำดบั เหตกุ ำรณ์ ๕. พดู โน้มนำ้ วอย่ำงมีเหตุผล และ กำรพดู โนม้ นำ้ วในสถำนกำรณ์ต่ำงๆ เช่น น่ำเชือ่ ถือ - กำรเลือกตั้งกรรมกำรนักเรียน - กำรรณรงค์ดำ้ นตำ่ งๆ - กำรโตว้ ำที ๖. มมี ำรยำทในกำรฟงั กำรดู และกำรพูด มำรยำทในกำรฟัง กำรดู และกำรพดู สาระท่ี 4 หลักการใชภ้ าษาไทย มาตรฐาน ท 4.1 เข้ำใจธรรมชำติของภำษำและหลักภำษำไทย กำรเปล่ียนแปลงของภำษำและพลังของภำษำ ภมู ปิ ัญญำทำงภำษำ และรกั ษำภำษำไทยไว้เปน็ สมบตั ขิ องชำติ ชัน้ ตัวชีว้ ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ป.๖ ๑. วิเครำะห์ชนดิ และหนำ้ ท่ขี องคำใน ชนิดของคำ ประโยค - คำนำม - คำสรรพนำม - คำกริยำ - คำวิเศษณ์ - คำบุพบท - คำเชอ่ื ม - คำอุทำน ๒. ใชค้ ำไดเ้ หมำะสมกบั กำลเทศะและ คำรำชำศพั ท์ บุคคล ระดบั ภำษำ หลกั สูตรโรงเรียนวดั พชื นิมิต (คำสวัสดิ์รำษฎรบ์ ำรุง) ตำมหลกั สูตรแกนกลำงกำรศึกษำขัน้ พนื้ ฐำนพทุ ธศกั รำช ๒๕๕๑ หนำ้ 55
ชน้ั ตวั ช้วี ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ๓. รวบรวมและบอกควำมหมำยของ ภำษำถ่ิน คำภำษำต่ำงประเทศทใ่ี ช้ในภำษำไทย คำทีม่ ำจำกภำษำตำ่ งประเทศ ๔. ระบลุ ักษณะของประโยค กลุ่มคำหรอื วลี ประโยคสำมญั ๕. แตง่ บทร้อยกรอง ประโยครวม ประโยคซอ้ น กลอนสภุ ำพ ๖. วิเครำะห์และเปรยี บเทยี บสำนวนทเี่ ปน็ สำนวนทีเ่ ป็นคำพงั เพย และสภุ ำษิต คำพงั เพย และสภุ ำษติ สาระท่ี 5 วรรณคดีและวรรณกรรม มาตรฐาน ท 5.1 เข้ำใจและแสดงควำมคดิ เหน็ วิจำรณ์วรรณคดแี ละวรรณกรรมไทยอยำ่ งเหน็ คุณค่ำและ นำมำประยุกตใ์ ชใ้ นชวี ติ จรงิ ชนั้ ตัวชว้ี ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ป.๖ ๑. แสดงควำมคดิ เห็นจำกวรรณคดี วรรณคดีและวรรณกรรม เช่น หรอื วรรณกรรมทอ่ี ำ่ น - นทิ ำนพน้ื บ้ำนท้องถน่ิ ตนเองและท้องถิ่นอนื่ ๒. เล่ำนทิ ำนพน้ื บ้ำนท้องถิ่นตนเอง - นทิ ำนคตธิ รรม และนทิ ำนพนื้ บำ้ นของท้องถนิ่ อน่ื - เพลงพ้ืนบำ้ น ๓. อธบิ ำยคุณคำ่ ของวรรณคดี และ - วรรณคดีและวรรณกรรมในบทเรยี นและตำม วรรณกรรมทีอ่ ่ำนและนำไป ควำมสนใจ ประยกุ ตใ์ ช้ในชวี ติ จรงิ ๔. ทอ่ งจำบทอำขยำนตำมที่กำหนด และ บทอำขยำนและบทรอ้ ยกรองท่ีมคี ณุ ค่ำ บทร้อยกรองทมี่ ีคุณคำ่ ตำมควำมสนใจ - บทอำขยำนตำมทกี่ ำหนด - บทรอ้ ยกรองตำมควำมสนใจ หลกั สตู รโรงเรียนวดั พชื นิมิต (คำสวสั ดร์ิ ำษฎร์บำรุง) ตำมหลกั สูตรแกนกลำงกำรศึกษำข้นั พ้ืนฐำนพทุ ธศกั รำช ๒๕๕๑ หนำ้ 56
คาอธิบายรายวิชาพ้นื ฐาน ท๑๖๑๐๑ ภาษาไทย กลุ่มสาระการเรยี นรูภ้ าษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ เวลาเรียน ๑๖๐ ช่ัวโมง ศกึ ษำ ฝึกทักษะกำรอ่ำน กำรเขยี น กำรฟัง กำรดูและกำรพูด หลักกำรใชภ้ ำษำไทย และวรรณคดแี ละ วรรณกรรมในสำระต่อไปนี้ กำรอ่ำนออกเสียงและกำรบอกควำมหมำยของบทร้อยแกว้ และบทร้อยกรอง กำร อำ่ นบทร้อยกรองเปน็ ทำนองเสนำะ กำรอำ่ นจับใจควำมจำกสอื่ ต่ำง ๆ กำรอ่ำนเร็ว กำรอำ่ นงำนเขยี นเชิง อธิบำย คำสั่ง ข้อแนะนำและปฏิบตั ติ ำม กำรอำ่ นข้อมลู จำกแผนผัง แผนท่ี แผนภูมิ และกรำฟ กำรอ่ำน หนังสือตำมควำมสนใจ มำรยำทในกำรอ่ำน กำรเขยี น กำรคัดลำยมือตวั บรรจงเต็มบรรทัดและคร่ึงบรรทัด ตำมรูปแบบกำรเขียนตวั อักษรไทยกำรเขียนสอื่ สำร กำรนำแผนภำพโครงเรือ่ งและแผนภำพควำมคดิ กำร เขียนเรียงควำม กำรเขยี นยอ่ ควำมจำกส่ือต่ำง ๆ กำรเขยี นจดหมำยส่วนตัว กำรกรอกแบบรำยกำร กำร เขยี นเรือ่ งตำมจนิ ตนำกำรมำรยำทในกำรเขียน กำรฟัง กำรดูและกำรพดู กำรพูดแสดงควำมรู้ ควำมเข้ำใจใน จดุ ประสงค์ของเรื่องท่ีฟงั และดจู ำกสอ่ื ต่ำง ๆ กำรวิเครำะหค์ วำมน่ำเชื่อถือจำกกำรฟงั และดสู ื่อโฆษณำ กำร พูดรำยงำน กำรพูด โนม้ นำ้ ว ในสถำนกำรณต์ ่ำง ๆ มำรยำทในกำรฟัง กำรดแู ละกำรพดู หลักกำรใช้ ภำษำไทย ชนิดและหน้ำท่ีของคำในประโยค กำรใชค้ ำรำชำศพั ท์ ระดบั ภำษำกำรใช้ภำษำถน่ิ คำทีม่ ำจำก ภำษำตำ่ งประเทศ ลักษณะประโยค กลมุ่ คำหรือวลี ประโยคสำมัญ ประโยครวม ประโยคซอ้ น กำรแต่ง กลอนสภุ ำพ กำรวิเครำะห์เปรยี บเทยี บสำนวนท่ีเปน็ คำพังเพยและสุภำษิต วรรณคดแี ละวรรณกรรม กำรแสดง ควำมคิดเห็นจำกวรรณคดหี รือวรรณกรรมนิทำนพ้ืนบ้ำน กำรนำควำมรู้และข้อคดิ ท่ีได้จำกกำรอำ่ นไป ประยุกต์ใชใ้ นชีวิตจริง กำรอธิบำยคณุ คำ่ ของวรรณคดแี ละวรรณกรรม กำรท่องจำบทอำขยำนและบทร้อย กรองทม่ี คี ุณค่ำตำมท่ีกำหนดและควำมสนใจ โดยใชก้ ระบวนกำรอ่ำน กำรเขยี น กำรฟัง กำรดู กำรพดู และกำรวเิ ครำะห์ เพ่ือใหเ้ กิดควำมรู้ ควำมคดิ ควำมเข้ำใจ สำมำรถส่ือสำรสง่ิ ทีเ่ รียนรู้ มีควำมสำมำรถในกำรสื่อสำร คิดวิเครำะห์ และ วิจำรณ์ อย่ำงสรำ้ งสรรค์ เห็นคณุ คำ่ ของกำรนำควำมรไู้ ปใชป้ ระโยชนใ์ นชวี ิตประจำวนั มเี จตคติทด่ี ตี ่อภำษำไทย มีมำรยำทใน กำรอ่ำน กำรเขยี น กำรฟัง กำรดแู ละกำรพูด มีควำมซำบซ้งึ ภำคภูมิใจในภำษำไทย รักควำมเป็นไทย ใฝ่ เรียนร้แู ละมคี ำ่ นิยมทเ่ี หมำะสม รหสั ตัวชี้วดั ท ๑.๑ ป.๖/๑,ป.๖/๒,ป.๖/๓,ป.๖/๔,ป.๖/๕,ป.๖/๖,ป.๖/๗,ป.๖/๘,ป.๖/๙ ท ๒.๑ ป.๖/๑,ป.๖/๒,ป.๖/๓,ป.๖/๔,ป.๖/๕,ป.๖/๖,ป.๖/๗,ป.๖/๘,ป.๖/๙ ท ๓.๑ ป.๖/๑,ป.๖/๒,ป.๖/๓,ป.๖/๔,ป.๖/๕,ป.๖/๖ ท ๔.๑ ป.๖/๑,ป.๖/๒,ป.๖/๓,ป.๖/๔,ป.๖/๕,ป.๖/๖ ท ๕.๑ ป.๖/๑,ป.๖/๒,ป.๖/๓,ป.๖/๔ รวมทั้งหมด ๓๔ ตัวช้ีวัด หลกั สตู รโรงเรียนวดั พชื นิมิต (คำสวสั ดิร์ ำษฎร์บำรุง) ตำมหลกั สูตรแกนกลำงกำรศกึ ษำข้ันพ้ืนฐำนพุทธศกั รำช ๒๕๕๑ หน้ำ 57
โครงสรา้ งรายวชิ า กลุม่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย รหัสวิชา ท๑๖๑๐๑ รายวชิ า ภาษาไทย ชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ ๖ เวลา ๑๖๐ ชว่ั โมง ชอ่ื หน่วยการเรยี นรู้ ตัวชีว้ ัด จานวน นา้ หนกั คะแนน ละครย้อนคดิ (ชัว่ โมง) - เศรษฐีเฒำ่ เจำ้ ปัญญำ ท ๑.๑ป.๖/๑/7/8/9 ท ๒.๑ ป.๖/๑/2/3/6 15 10 10 อ่ำนปำ้ ยไดส้ ำระ ท ๓.๑ ป.๖/๑/3 ท ๔.๑ ป.๖/๒ ท ๕.๑ ป.๖/๔ 10 10 เร่อื งกล้วย ๆ ท ๑.๑ป ๖/๑/3/5 ท ๒.๑ ป.๖/๑/2/3/5 15 10 10 เสวนำพำทีเพ่ือนสี่ ท ๓.๑ ป.๖/๓/4/6 ท๔.๑ป.๖/๑/2/5 ท๕.๑ป.๖/๑-4 10 10 ภำษำทนั สมยั ใน ท ๑.๑ป.๖/๑/4/5/8/ ท ๒.๑ ป.๖/๑/2/3/8/9 15 10 เทคโนโลยี 10 ท๓.๑ ป.๖/๑/3/5/6 ท๔.๑ ป.๖/๑-4 ท๕.๑ ป.๖/๒-4 กลอนกำนทจ์ ำกบ้ำน 100 สวน ท ๑.๑ ป.๖/๑/4 ท ๓.๑ ป.๖/๓/5 15 ควำมฝันของขวัญ ท ๔.๑ ป.๖/๒-4 ท ๕.๑ ป.๖/๒-4 ชมรมคนรกั วรรณคดี ท ๑.๑ป ๖/๑-3/8 ท ๒.๑ ป.๖/๑/4/8 15 นักสืบทองอิน ท ๓.๑ ป.๖/๓/4 ท๔.๑ป.๖/๒/3/5 ท ๕.๑ ป.๖/๓ กำรเดนิ ทำงของพลำย ท ๑.๑ป ๖/๑/2/7 ท ๒.๑ ป.๖/๑/2 15 นอ้ ย รวม ท ๓.๑ ป.๖/๕/6 ท๔.๑ ป.๖/๑-4 ท๕.๑ ป.๖/๒ ท ๑.๑ ป ๖/๑/2/5/7/8 ท ๒.๑ ป.๖/๑/2/3/5/8 15 ท๓.๑ป.๖/๑/4 ท๔.๑ป.๖/๑/2/4/5 ท๕.๑ป.๖/1/3 ท ๑.๑ป ๖/๑/2/4/8 ท ๒.๑ ป.๖/๒/8 15 ท ๓.๑ ป.๖/๔/5 ท๔.๑ ป.๖/๒/6 ท๕.๑ ป.๖/๒ ท ๑.๑ ป. ๖/๑/4 ท ๒.๑ ป.๖/๑-3 15 ท ๓.๑ ป.๖/๑ ท๔.๑ ป.๖/๑/5 ท๕.๑ป.๖/๑/3 ท ๑.๑ป ๖/๑/2/8 ท ๒.๑ ป.๖/๑-3 15 ท ๓.๑ ป.๖/๑ ท๔.๑ป.๖/๑/2/5 ท๕.๑ป.๖/๑/3 ท ๑.๑ป ๖/๑/2/7 ท ๒.๑ ป.๖/๑-3/6 10 ท ๓.๑ ป.๖/๔, ท๔.๑ ป.๖/๑/2/5, ท๕.๑ ป.๖/๑ 34 160 หลกั สูตรโรงเรียนวดั พชื นิมติ (คำสวสั ดร์ิ ำษฎรบ์ ำรงุ ) ตำมหลกั สตู รแกนกลำงกำรศกึ ษำขนั้ พื้นฐำนพทุ ธศักรำช ๒๕๕๑ หน้ำ 58
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ เกณฑ์การวัดและประเมนิ ผลการเรียน ๑. การตัดสิน การให้ระดบั และการรายงานผลการเรยี น ๑.๑ การตัดสินผลการเรยี น ในกำรตัดสินผลกำรเรียนของกลุ่มสำระกำรเรียนรู้ กำรอ่ำน คิดวิเครำะห์และเขียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และกิจกรรมพัฒนำผู้เรียนนั้น ผู้สอนต้องคำนึงถึงกำรพัฒนำผู้เรียนแต่ละคนเป็น หลัก และต้องเก็บข้อมูลของผู้เรียนทุกด้ำนอย่ำงสม่ำเสมอและต่อเน่ืองในแต่ละภำคเรียน รวมทั้งสอนซ่อมเสริม ผเู้ รียนให้พัฒนำจนเต็มตำมศกั ยภำพ ระดับประถมศกึ ษา (๑) ผเู้ รยี นต้องมีเวลำเรียนไม่นอ้ ยกว่ำร้อยละ ๘๐ ของเวลำเรยี นทัง้ หมด (๒) ผู้เรียนต้องไดร้ ับกำรประเมินทกุ ตวั ช้ีวดั และผำ่ นตำมเกณฑ์ที่สถำนศกึ ษำกำหนด (๓) ผู้เรียนตอ้ งไดร้ ับกำรตัดสินผลกำรเรียนทกุ รำยวิชำ (๔) ผเู้ รียนต้องได้รบั กำรประเมนิ และมีผลกำรประเมนิ ผ่ำนตำมเกณฑท์ ี่สถำนศึกษำกำหนด ในกำรอ่ำน คดิ วเิ ครำะห์ และเขยี น คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ และกจิ กรรมพฒั นำผเู้ รียน กำรพิจำรณำเลื่อนช้ัน ถ้ำผู้เรียนมีข้อบกพร่องเพียงเล็กน้อย และสถำนศึกษำพิจำรณำเห็นว่ำ สำมำรถพัฒนำและสอนซ่อมเสริมได้ ให้อยู่ในดลุ พินิจของสถำนศึกษำท่ีจะผ่อนผันให้เล่ือนชนั้ ได้ แตห่ ำกผูเ้ รียน ไม่ผ่ำนรำยวิชำจำนวนมำก และมีแนวโน้มว่ำจะเป็นปัญหำต่อกำรเรียนในระดับชั้นท่ีสูงขึ้น สถำนศึกษำอำจต้ัง คณะกรรมกำรพิจำรณำให้เรียนซ้ำช้ันได้ ท้ังน้ีให้คำนึงถึงวุฒิภำวะและควำมรู้ควำมสำมำรถของผู้เรียนเป็น สำคญั ๒. การให้ระดับผลการเรยี น ๑. กำรตัดสนิ ผลกำรเรยี นรำยวิชำของกลุม่ สำระกำรเรียนรู้ ใหใ้ ชร้ ะบบตัวเลข แสดงระดบั กำรเรียนในแต่ละกลมุ่ สำระ ดงั นี้ ระดับผลการเรียน ความหมาย ชว่ งคะแนนร้อยละ ๔ ผลกำรเรียนดเี ยย่ี ม ๘๐ - ๑๐๐ ๓.๕ ผลกำรเรียนดีเยีย่ ม ๗๕ - ๗๙ ๓ ผลกำรเรียนดี ๗๐ - ๗๔ ๒.๕ ผลกำรเรยี นคอ่ นขำ้ งดี ๖๕ - ๖๙ ๒ ผลกำรเรียนน่ำพอใจ ๖๐ - ๖๔ ๑.๕ ผลกำรเรียนพอใช้ ๕๕ - ๕๙ ๑ ผลกำรเรยี นผำ่ นเกณฑ์ขัน้ ตำ่ ๕๐ - ๕๔ ๐ ผลกำรเรยี นต่ำกว่ำเกณฑ์ ๐ - ๔๙ หลกั สูตรโรงเรียนวดั พชื นมิ ิต (คำสวสั ดร์ิ ำษฎร์บำรุง) ตำมหลกั สูตรแกนกลำงกำรศกึ ษำข้ันพน้ื ฐำนพทุ ธศกั รำช ๒๕๕๑ หน้ำ 59
๒. กำรประเมนิ กำรอ่ำน คดิ วิเครำะห์ และเขียน เปน็ ผ่ำนและไม่ผำ่ น ถ้ำกรณีท่ผี ่ำน กำหนดเกณฑ์กำรตัดสิน เป็นดีเย่ยี ม ดี และผ่ำน ดีเย่ียม หมำยถึง มีผลงำนที่แสดงถึงควำมสำมำรถในกำรอ่ำน คิดวิเครำะห์ และเขียน ที่มี คณุ ภำพดีเลิศอยเู่ สมอ ดี หมำยถึง มผี ลงำนที่แสดงถงึ ควำมสำมำรถในกำรอ่ำน คดิ วเิ ครำะห์ และเขยี น ท่มี ีคุณภำพเปน็ ทีย่ อมรับ ผ่ำน หมำยถึง มีผลงำนที่แสดงถึงควำมสำมำรถในกำรอ่ำน คิดวิเครำะห์ และเขียน ที่มี คณุ ภำพเป็นทีย่ อมรับ แตย่ งั มขี ้อบกพรอ่ งบำงประกำร ไมผ่ ่ำน หมำยถึง ไม่มีผลงำนท่ีแสดงถึงควำมสำมำรถในกำรอ่ำน คิดวิเครำะห์ และเขียน หรือ ถำ้ มผี ลงำน ผลงำนนน้ั ยงั มีข้อบกพร่องที่ต้องไดร้ บั กำรปรบั ปรงุ แก้ไขหลำยประกำร ๓. กำรประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ รวมทุกคุณลักษณะเพื่อกำรเลื่อนช้ัน และจบกำรศกึ ษำ เป็นผ่ำน และไม่ผ่ำน ในกำรผ่ำน กำหนดเกณฑ์กำรตัดสินเป็นดีเยี่ยม ดี และผ่ำน และควำมหมำยของแต่ละระดับ ดังนี้ ดีเยี่ยม หมำยถึง ผู้เรียนปฏิบัติตนตำมคุณลักษณะจนเป็นนิสัย และนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน เพ่ือประโยชน์สุขของตนเองและสังคม โดยพิจำรณำจำกผลกำรประเมินระดับดีเยี่ยม จำนวน ๕ - ๘ คุณลักษณะ และไมม่ คี ณุ ลักษณะใดได้ผลกำรประเมินต่ำกว่ำระดบั ดี ดี หมำยถึง ผู้เรียนมีคุณลักษณะในกำรปฏิบัติตำมกฎเกณฑ์ เพื่อให้เป็นกำรยอมรับของสังคม โดยพจิ ำรณำจำก ๑) ได้ผลกำรประเมินระดับดีเย่ียมจำนวน ๑ - ๔ คุณลักษณะ และไม่มีคุณลักษณะใดได้ผล กำรประเมนิ ตำ่ กวำ่ ระดับดี ๒) ได้ผลกำรประเมินระดับดี เยี่ยมจำนวน ๔ คุณลักษณะ และไม่มีคุณลักษณะใดได้ผลกำร ประเมินต่ำกวำ่ ระดบั ผ่ำน ๓) ได้ผลกำรประเมินระดับดี จำนวน ๕ - ๘ คุณลักษณะ และไม่มีคุณลักษณะใดได้ผลกำร ประเมนิ ต่ำกวำ่ ระดบั ผ่ำน ผ่ำน หมำยถึง ผู้เรียนรับรู้และปฏิบัติตำมกฎเกณฑ์และเง่ือนไขที่สถำนศึกษำกำหนด โดย พจิ ำรณำจำก ๑) ได้ผลกำรประเมินระดับผ่ำน จำนวน ๕ - ๘ คุณลักษณะ และไม่มีคุณลักษณะใดได้ผลกำร ประเมินต่ำกวำ่ ระดบั ผ่ำน ๒) ได้ผลกำรประเมินระดับดี จำนวน ๔ คุณลักษณะ และไมม่ คี ณุ ลักษณะใดได้ผลกำรประเมิน ตำ่ กว่ำระดับผำ่ น ไม่ผ่ำน หมำยถึง ผเู้ รียนรับรู้และปฏิบัติไดไ้ ม่ครบตำมกฎเกณฑ์และเง่ือนไขทส่ี ถำนศึกษำกำหนด โดยพจิ ำรณำจำกผลกำรประเมินระดบั ไมผ่ ่ำนต้งั แต่ ๑ คณุ ลกั ษณะ ๔. กำรประเมินกิจกรรมพัฒนำผู้เรียน จะต้องพิจำรณำท้ังเวลำกำรเข้ำร่วมกิจกรรมกำรปฏิบัติ กิจกรรมและผลงำนของผู้เรียนตำมเกณฑ์ท่ีโรงเรียนกำหนดและให้ผลกำรประเมินเป็นผ่ำน และไม่ผ่ำนให้ใช้ ตวั อักษรแสดงผลกำรประเมนิ ดังน้ี “ผ” หมำยถึง ผู้เรียนมีเวลำเข้ำร่วมกิจกรรมพัฒนำผู้เรียน ไม่น้อยกว่ำร้อยละ ๘๐ ปฏิบัติ กจิ กรรมและมีผลงำนเปน็ ท่ปี ระจักษ์ หลกั สตู รโรงเรยี นวดั พชื นมิ ิต (คำสวัสดริ์ ำษฎร์บำรุง) ตำมหลกั สูตรแกนกลำงกำรศกึ ษำข้นั พ้ืนฐำนพทุ ธศกั รำช ๒๕๕๑ หน้ำ 60
“มผ” หมำยถึง ผู้เรียนมีเวลำเข้ำร่วมกิจกรรมพัฒนำผู้เรียน ปฏิบัติกิจกรรมและมีผลงำน ไม่ เปน็ ไปตำมเกณฑท์ ส่ี ถำนศกึ ษำกำหนด ในกรณีที่ผู้เรียนได้ “มผ” ครูผู้ดูแลกิจกรรมต้องจัดซ่อมเสริมให้ผู้เรียนทำกิจกรรมในส่วนที่ ผู้เรียนไม่ได้เข้ำร่วมหรือไม่ได้ทำจนครบถ้วน แล้วจึงเปลี่ยนผลกำรเรียนจำก “มผ” เป็น “ผ” ได้ ทั้งน้ี ต้อง ดำเนินกำรให้เสร็จส้ินภำยในปีกำรศึกษำนั้น ยกเว้นมีเหตุสุดวิสัยให้อยู่ในดุลยพินิจของผู้บริหำรสถำนศึกษำ หรือผู้ท่ีไดร้ ับมอบหมำย ๓. การเลือ่ นชนั้ เมอื่ ส้นิ ปีกำรศึกษำ ผ้เู รียนจะไดร้ บั กำรเล่ือนชัน้ เม่อื มคี ุณสมบตั ติ ำมเกณฑด์ ังต่อไปน้ี (๑) ผเู้ รยี นตอ้ งมเี วลำเรยี นไมน่ ้อยกว่ำร้อยละ ๘๐ ของเวลำเรียนท้ังหมด (๒) ผู้เรียนต้องได้รับกำรประเมินทุกตัวช้ีวัด และผ่ำนเกณฑ์ไม่น้อยกว่ำร้อยละ 7๐ ของจำนวน ตวั ชวี้ ดั (๓) ผ้เู รียนตอ้ งได้รบั กำรตัดสนิ ผลกำรเรยี นทกุ รำยวิชำ ไม่น้อยกวำ่ ระดับ “ ๑ ” จึงจะถือวำ่ ผำ่ น เกณฑ์ตำมทีส่ ถำนศกึ ษำกำหนด (๔) นักเรียนต้องได้รับกำรประเมิน และมีผลกำรประเมิน กำรอ่ำน คิดวิเครำะห์และเขียน ใน ระดับ “ ผ่ำน ” ขึ้นไป มีผลกำรประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ในระดับ“ ผ่ำน ” ขึ้นไป และมีผลกำร ประเมินกจิ กรรมพัฒนำนักเรียน ในระดบั “ ผำ่ น ” ทัง้ น้ี ถ้ำผู้เรียนมขี ้อบกพร่องเพียงเลก็ น้อย และพิจำรณำเห็นว่ำสำมำรถพฒั นำและสอน ซ่อม เสริมได้ให้อย่ใู นดุลยพินิจของสถำนศึกษำที่จะผ่อนผันใหเ้ ลอ่ื นช้นั ได้ อน่ึง ในกรณีท่ีผู้เรียนมีหลักฐำนกำรเรียนรู้ที่แสดงว่ำมีควำมสำมำรถดีเลิศ สถำนศึกษำอำจให้ โอกำสผู้เรียนเลื่อนช้ันกลำงปีกำรศึกษำ โดยสถำนศึกษำแต่งต้ังคณะกรรมกำรประกอบด้วยฝ่ำยวิชำกำรของ สถำนศึกษำและผู้แทนของเขตพ้ืนทก่ี ำรศึกษำหรือต้นสังกัดประเมินผู้เรียนและตรวจสอบคุณสมบัติให้ครบถ้วน ตำมเงือ่ นไขทัง้ ๓ ประกำรต่อไปนี้ ๑. มีผลกำรเรียนในปีกำรศึกษำที่ผ่ำนมำและมีผลกำรเรียนระหว่ำงปีที่กำลังศึกษำอยู่ใน เกณฑ์ดเี ยยี่ ม ๒. มวี ุฒิภำวะเหมำะสมทจี่ ะเรียนในชน้ั ทสี่ ูงข้นึ ๓. ผ่ำนกำรประเมินผลควำมรู้ควำมสำมำรถทุกรำยวชิ ำของช้ันปที ่ีเรียนปัจจุบัน และควำมรู้ ควำมสำมำรถทกุ รำยวิชำในภำคเรียนแรกของชน้ั ปที ่ีจะเลอ่ื นขึ้น กำรอนุมตั ิใหเ้ ล่อื นชั้นกลำงปีกำรศกึ ษำไปเรียนช้ันสงู ขนึ้ ได้ ๑ ระดบั ชนั้ นี้ ต้องได้รับกำรยินยอม จำกผู้เรียนและผู้ปกครองและต้องดำเนินกำรให้เสร็จสิ้นก่อนเปิดภำคเรียนที่ ๒ ของปีกำรศึกษำน้ัน สำหรับ ในกรณีท่ีพบว่ำมีผู้เรียนกลุ่มพิเศษประเภทต่ำงๆ มีปัญหำในกำรเรียนรู้ให้สถำนศึกษำดำเนินงำนร่วมกับ สำนกั งำนเขตพืน้ ท่ีกำรศึกษำเฉพำะควำมพิกำรหำแนวทำงกำรแก้ไขและพฒั นำ หลกั สตู รโรงเรียนวัดพชื นิมติ (คำสวัสดิร์ ำษฎรบ์ ำรงุ ) ตำมหลกั สตู รแกนกลำงกำรศึกษำขนั้ พืน้ ฐำนพทุ ธศักรำช ๒๕๕๑ หนำ้ 61
๔. การสอนซ่อมเสรมิ กำรสอนซ่อมเสริม เป็นกำรสอนเพื่อแก้ไขข้อบกพร่อง กรณีท่ีผู้เรียนมีควำมรู้ ทักษะ กระบวนกำร หรือ คุณลักษณะไม่เป็นไปตำมเกณฑ์ที่กำหนด จะต้องจัดสอนซ่อมเสริมเพื่อพัฒนำกำรเรียนรู้ของผู้เรียนเต็มตำม ศักยภำพ กำรสอนซ่อมเสริมเป็นกำรสอนเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องกรณีที่ผู้เรียนมีควำมรู้ ทักษะ กระบวนกำร หรือเจตคต/ิ คุณลักษณะไม่เป็นไปตำมเกณฑ์ที่สถำนศึกษำกำหนด สถำนศึกษำต้องจัดสอนซ่อมเสริมเป็นกรณี พเิ ศษนอกเหนือไปจำกกำรสอนตำมปกติเพ่ือพฒั นำให้ผู้เรียนสำมำรถบรรลุตำมมำตรฐำนกำรเรียนรู้/ตัวชี้วัดท่ี กำหนดไว้เป็นกำรให้โอกำสแก่ผู้เรียนได้เรียนรู้และพัฒนำ โดยจัดกิจกรรมกำรเรียนรู้ท่ีหลำกหลำยและ ตอบสนองควำมแตกต่ำงระหว่ำงบคุ คล ๙. การเรยี นซ้าช้นั ผู้เรียนที่ไม่ผ่ำนรำยวิชำจำนวนมำกและมีแนวโน้มว่ำจะเป็นปัญหำต่อกำรเรียนในระดับชั้นท่ีสูงขึ้นสถำนศึกษำ ต้องต้ังคณะกรรมกำรพิจำรณำให้เรียนซ้ำช้ันได้ ท้ังน้ีให้คำนึงถึงวุฒิภำวะและควำมรู้ควำมสำมำรถของผู้เรียน เปน็ สำคญั ผู้เรียนที่ไม่มีคุณสมบัติตำมเกณฑ์กำรเล่ือนชั้น สถำนศึกษำควรให้เรียนซ้ำช้ัน ท้ังน้ี สถำนศึกษำอำจใช้ดุลย พินิจใหเ้ ลื่อนชน้ั ได้ หำกพิจำรณำว่ำผู้เรยี นมีคุณสมบตั ขิ ้อใดข้อหนง่ึ ดังตอ่ ไปนี้ ๑) มีเวลำเรียนไม่ถึงร้อยละ ๘๐ อันเน่ืองจำกสำเหตุจำเป็นหรือเหตุสุดวิสัย แต่มี คุณสมบตั ติ ำมเกณฑก์ ำรเล่อื นชนั้ ในขอ้ อ่นื ๆ ครบถ้วน ๒) ผู้เรียนมีผลกำรประเมินผ่ำนมำตรฐำนกำรเรยี นรแู้ ละตัวชี้วัดไม่ถงึ เกณฑ์ตำมท่ีสถำนศึกษำ กำหนดในแต่ละรำยวิชำ แต่เห็นวำ่ สำมำรถสอนซอ่ มเสรมิ ไดใ้ นปกี ำรศกึ ษำน้ัน และมคี ุณสมบัตติ ำมเกณฑ์กำร เล่ือนช้ันในข้ออน่ื ๆ ครบถว้ น ๓) ผู้เรียนมีผลกำรประเมินรำยวิชำในกลุ่มสำระภำษำไทย คณิตศำสตร์ วิทยำศำสตร์ สงั คมศึกษำศำสนำและวฒั นธรรมอย่ใู นระดบั ผำ่ น ก่อนทจ่ี ะใหผ้ เู้ รียนเรยี นซ้ำชั้น สถำนศึกษำต้องแจง้ ใหผ้ ูป้ กครองและผ้เู รยี นทรำบเหตุผลของกำรเรยี นซ้ำชัน้ ๑๐.เอกสารหลกั ฐานการศกึ ษา เอกสำรหลักฐำนกำรศึกษำ เป็นเอกสำรสำคัญที่บันทึกผลกำรเรียน ข้อมูลและสำรสนเทศท่ีเกี่ยวข้องกับ พัฒนำกำรของผู้เรียนในด้ำนตำ่ ง ๆ แบง่ ออกเปน็ ๒ ประเภท ดงั น้ี ๑. เอกสำรหลกั ฐำนกำรศกึ ษำทีก่ ระทรวงศึกษำธกิ ำรกำหนด ๑.๑ ระเบยี นแสดงผลกำรเรียน เป็นเอกสำรแสดงผลกำรเรียนและรับรองผลกำรเรียนของผู้เรียน ตำมรำยวิชำ ผลกำรประเมินกำรอ่ำน คิดวิเครำะห์และเขียน ผลกำรประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของ สถำนศึกษำ และผลกำรประเมินกิจกรรมพัฒนำผู้เรียน สถำนศึกษำจะต้องบันทึกข้อมูลและออกเอกสำรน้ีให้ ผเู้ รยี นเป็นรำยบุคคล เมื่อผูเ้ รยี นจบกำรศกึ ษำระดบั ประถมศกึ ษำ ๑.๓ แบบรำยงำนผู้สำเร็จกำรศึกษำ เป็นเอกสำรอนุมัติกำรจบหลักสูตรโดยบันทึกรำยชื่อและ ข้อมูลของผ้จู บกำรศึกษำระดบั ประถมศกึ ษำ หลกั สูตรโรงเรียนวดั พชื นมิ ิต (คำสวสั ด์ริ ำษฎรบ์ ำรงุ ) ตำมหลกั สูตรแกนกลำงกำรศึกษำขั้นพืน้ ฐำนพทุ ธศักรำช ๒๕๕๑ หนำ้ 62
๒. เอกสำรหลักฐำนกำรศกึ ษำท่ีสถำนศกึ ษำกำหนด เป็นเอกสำรท่ีสถำนศึกษำจัดทำขึ้นเพื่อบันทึกพัฒนำกำร ผลกำรเรียนรู้ และข้อมูลสำคัญ เก่ียวกับผู้เรียน เช่น แบบรำยงำนประจำตัวนักเรียน แบบบันทึกผลกำรเรียนประจำรำยวิชำ ระเบียนสะสม ใบรับรองผลกำรเรียน และ เอกสำรอน่ื ๆ ตำมวตั ถปุ ระสงค์ของกำรนำเอกสำรไปใช้ การบรหิ ารจดั การหลกั สตู ร ในระบบกำรศกึ ษำท่ีมีกำรกระจำยอำนำจให้ท้องถ่ินและสถำนศึกษำมีบทบำทในกำรพัฒนำหลักสูตร นั้น หน่วยงำนต่ำงๆ ที่เก่ียวข้องในแต่ละระดับ ต้ังแต่ระดับชำติ ระดับท้องถ่ิน จนถึงระดับสถำนศึกษำ มี บทบำทหน้ำท่ี และควำมรับผิดชอบในกำรพัฒนำ สนับสนุน ส่งเสริม กำรใช้และพัฒนำหลักสูตรให้เปน็ ไปอย่ำง มปี ระสทิ ธิภำพ เพื่อให้กำรดำเนินกำรจัดทำหลักสูตรสถำนศึกษำและกำรจัดกำรเรยี นกำรสอนของสถำนศึกษำ มีประสิทธิภำพสูงสุด อันจะส่งผลให้กำรพัฒนำคุณภำพผู้เรียนบรรลุตำมมำตรฐำนกำรเรียนรู้ที่กำหนดไว้ใน ระดบั ชำติคุณภำพของของผูเ้ รียนทีส่ ำคัญ และคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ ระดับท้องถิ่น ได้แก่ สำนักงำนเขตพ้ืนที่กำรศึกษำ หน่วยงำนต้นสังกัดอ่ืน ๆ เป็นหน่วยงำนที่มี บทบำทในกำรขับเคล่ือนคุณภำพกำรจัดกำรศกึ ษำ เป็นตัวกลำงที่จะเช่ือมโยงหลักสูตรแกนกลำงกำรศึกษำขั้น พื้นฐำนที่กำหนดในระดับชำติให้สอดคล้องกับสภำพและควำมต้องกำรของท้องถ่ิน เพ่ือนำไปสู่กำรจัดทำ หลกั สูตรของสถำนศกึ ษำ ส่งเสริมกำรใช้และพัฒนำหลักสตู รในระดบั สถำนศึกษำ ให้ประสบควำมสำเรจ็ โดยมี ภำรกิจสำคัญ คือ กำหนดเป้ำหมำยและจุดเน้นกำรพัฒนำคุณภำพผู้เรียน ในระดับท้องถ่ินโดยพิจำรณำให้ สอดคลอ้ งกับส่งิ ที่เป็นควำมตอ้ งกำรในระดับชำติ พฒั นำสำระ กำรเรยี นรู้ทอ้ งถ่ิน ประเมนิ คณุ ภำพกำรศึกษำใน ระดับท้องถ่ิน รวมท้ังเพ่ิมพูนคุณภำพกำรใช้หลักสูตรด้วยกำรวิจัยและพัฒนำ กำรพัฒนำบุคลำกร สนับสนุน ส่งเสริม ติดตำมผล ประเมนิ ผล วิเครำะห์ และรำยงำนผลคุณภำพของผเู้ รยี น สถำนศึกษำมีหน้ำท่ีสำคัญในกำรพัฒนำหลักสูตรสถำนศึกษำ กำรวำงแผนและดำเนินกำรใช้หลักสูตร กำร เพิ่มพนู คุณภำพกำรใช้หลักสูตรด้วยกำรวิจัยและพฒั นำ กำรปรับปรุงและพฒั นำหลักสูตรจดั ทำระเบยี บกำรวัด และประเมนิ ผล ในกำรพัฒนำหลักสตู รสถำนศกึ ษำต้องพิจำรณำใหส้ อดคลอ้ ง กับหลักสูตรแกนกลำงกำรศกึ ษำ ข้ันพื้นฐำน และรำยละเอียดที่เขตพื้นท่ีกำรศึกษำ หรือหน่วยงำน สงั กัดอน่ื ๆ ในระดับท้องถิ่นได้จัดทำเพิ่มเติม รวมทั้ง สถำนศึกษำสำมำรถเพิ่มเติมในส่วนที่เกี่ยวกับสภำพปัญหำในชุมชนและสังคม ภูมิปัญญำท้องถ่ิน และ ควำมต้องกำรของผู้เรียน โดยทุกภำคส่วนเขำ้ มำมีส่วนรว่ มในกำรพัฒนำหลักสตู รสถำนศกึ ษำ หลกั สตู รโรงเรยี นวดั พชื นิมติ (คำสวัสดริ์ ำษฎร์บำรงุ ) ตำมหลกั สตู รแกนกลำงกำรศึกษำขน้ั พืน้ ฐำนพทุ ธศกั รำช ๒๕๕๑ หน้ำ 63
อภธิ านศัพท์ กระบวนการเขียน กระบวนกำรเขียนเป็นกำรคิดเร่ืองท่ีจะเขยี นและรวบรวมควำมรู้ในกำรเขียน กระบวนกำรเขยี น มี ๕ ขนั้ ดงั น้ี ๑. การเตรียมการเขียน เป็นข้ันเตรียมพร้อมที่จะเขียนโดยเลือกหัวข้อเร่ืองท่ีจะเขียน บนพื้นฐำน ของประสบกำรณ์ กำหนดรูปแบบกำรเขียน รวบรวมควำมคิดในกำรเขียน อำจใช้วิธีกำรอ่ำนหนังสือ สนทนำ จัดหมวดหมู่ควำมคิด โดยเขียนเป็นแผนภำพควำมคิด จดบันทึกควำมคิดท่ีจะเขียนเป็นรูปหัวข้อ เรือ่ งใหญ่ หวั ขอ้ ย่อย และรำยละเอยี ดครำ่ วๆ ๒. การยกร่างข้อเขียน เม่ือเตรียมหัวข้อเร่ืองและควำมคิดรูปแบบกำรเขียนแล้ว ให้นำควำมคิดมำ เขียนตำมรูปแบบที่กำหนดเป็นกำรยกร่ำงข้อเขียน โดยคำนึงถึงว่ำจะเขียนให้ใครอ่ำน จะใช้ภำษำอย่ำงไรให้ เหมำะสมกับเรื่องและเหมำะกับผู้อ่ืน จะเร่ิมต้นเขียนอย่ำงไร มีหัวข้อเร่ืองอย่ำงไร ลำดับควำมคิดอย่ำงไร เชื่อมโยงควำมคดิ อย่ำงไร ๓. การปรบั ปรงุ ขอ้ เขยี น เมอื่ เขียนยกร่ำงแลว้ อ่ำนทบทวนเร่ืองทเี่ ขียน ปรับปรุงเรอ่ื งท่ีเขียนเพิ่มเติม ควำมคดิ ให้สมบูรณ์ แก้ไขภำษำ สำนวนโวหำร นำไปใหเ้ พื่อนหรือผู้อน่ื อ่ำน นำขอ้ เสนอแนะมำปรับปรงุ อกี คร้งั ๔. การบรรณาธิการกิจ นำข้อเขียนท่ีปรับปรุงแล้วมำตรวจทำนคำผิด แก้ไขให้ถูกต้อง แล้วอ่ำน ตรวจทำนแกไ้ ขขอ้ เขียนอกี ครง้ั แกไ้ ขขอ้ ผิดพลำดท้งั ภำษำ ควำมคดิ และกำรเวน้ วรรคตอน ๕. การเขียนให้สมบูรณ์ นำเรื่องท่ีแก้ไขปรับปรุงแล้วมำเขียนเร่ืองให้สมบูรณ์ จัดพมิ พ์ วำดรูป ประกอบ เขียนให้สมบูรณ์ด้วยลำยมือท่ีสวยงำมเป็นระเบียบ เม่ือพิมพ์หรือเขียนแล้วตรวจทำนอีกครั้งให้ สมบรู ณ์ก่อนจัดทำรปู เลม่ กระบวนการคดิ กำรฟัง กำรพูด กำรอ่ำน และกำรเขียน เป็นกระบวนกำรคิด คนท่ีจะคิดได้ดีต้องเป็นผู้ฟัง ผู้พูด ผู้อ่ำน และ ผู้เขียนที่ดี บุคคลท่ีจะคิดได้ดีจะต้องมีควำมรู้และประสบกำรณ์พ้ืนฐำนในกำรคิด บุคคลจะมีควำมสำมำรถใน กำรรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง วิเครำะห์ สังเครำะห์ และประเมินค่ำ จะต้องมีควำมรู้และประส บกำรณ์ พ้ืนฐำนทีน่ ำมำช่วยในกำรคดิ ทง้ั สิ้น กำรสอนใหค้ ิดควรใหผ้ ้เู รียนรู้จกั คัดเลือกข้อมลู ถ่ำยทอด รวบรวม และจำ ข้อมลู ต่ำงๆ สมองของมนษุ ย์จะเป็นผูบ้ ริโภคข้อมูลข่ำวสำร และสำมำรถแปลควำมข้อมูลข่ำวสำร และสำมำรถ นำมำใช้อ้ำงอิง กำรเป็นผู้ฟัง ผู้พูด ผู้อ่ำน และผู้เขียนท่ีดี จะต้องสอนให้เป็นผู้บริโภคข้อมูลข่ำวสำรท่ีดีและ เป็นนักคิดทีด่ ีด้วย กระบวนกำรสอนภำษำจึงต้องสอนให้ผู้เรียนเป็นผู้รับร้ขู ้อมูลขำ่ วสำรและมีทกั ษะกำรคิด นำ ข้อมูลข่ำวสำรที่ได้จำกกำรฟังและกำรอ่ำนนำมำสู่กำรฝึกทักษะกำรคิด นำกำรฟัง กำรพูด กำรอ่ำน และกำร เขียน มำสอนในรูปแบบ บูรณำกำรทักษะ ตัวอย่ำง เช่น กำรเขียนเป็นกระบวนกำรคิดในกำรวิเครำะห์ กำร แยกแยะ กำรสังเครำะห์ กำรประเมินค่ำ กำรสร้ำงสรรค์ ผู้เขียนจะนำควำมรู้และประสบกำรณ์สู่กำรคิดและ แสดงออกตำมควำมคิดของตนเสมอ ต้องเป็นผู้อ่ำนและผู้ฟังเพื่อรับรู้ข่ำวสำรท่ีจะนำมำวิเครำะห์และสำมำรถ แสดงทรรศนะได้ หลกั สตู รโรงเรยี นวัดพชื นิมิต (คำสวัสดิ์รำษฎรบ์ ำรุง) ตำมหลกั สตู รแกนกลำงกำรศกึ ษำขนั้ พน้ื ฐำนพทุ ธศักรำช ๒๕๕๑ หน้ำ 64
กระบวนการอ่าน กำรอ่ำนเปน็ กระบวนกำรซ่ึงผู้อ่ำนสร้ำงควำมหมำยหรอื พัฒนำ กำรตคี วำมระหว่ำงกำรอ่ำนผูอ้ ำ่ นจะตอ้ งรู้หัวข้อ เรื่อง รู้จุดประสงค์ของกำรอ่ำน มีควำมรู้ทำงภำษำที่ใกล้เคียงกับภำษำที่ใช้ในหนังสือท่ีอ่ำน โดยใช้ ประสบกำรณเ์ ดมิ เปน็ ประสบกำรณ์ทำควำมเขำ้ ใจกับเร่ืองท่ีอ่ำน กระบวนกำรอำ่ นมดี งั นี้ ๑. การเตรียมการอ่าน ผู้อ่ำนจะต้องอ่ำนชื่อเรื่อง หัวข้อย่อยจำกสำรบัญเรื่อง อ่ำนคำนำ ให้ ทรำบจุดมุ่งหมำยของหนังสือ ตั้งจุดประสงค์ของกำรอ่ำนจะอ่ำนเพื่อควำมเพลิดเพลินหรืออ่ำนเพื่อ หำ ควำมรู้ วำงแผนกำรอ่ำนโดยอ่ำนหนังสือตอนใดตอนหนึ่งว่ำควำมยำกง่ำยอย่ำงไร หนังสือมีควำมยำกมำกน้อย เพียงใด รูปแบบของหนังสือเป็นอย่ำงไร เหมำะกับผู้อ่ำนประเภทใด เดำควำมว่ำเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร เตรยี มสมุด ดนิ สอ สำหรบั จดบันทึกข้อควำมหรอื เนอ้ื เรือ่ งที่สำคญั ขณะอ่ำน ๒. การอ่าน ผู้อ่ำนจะอ่ำนหนังสือให้ตลอดเล่มหรือเฉพำะตอนที่ต้องกำรอ่ำน ขณะอ่ำนผู้อ่ำนจะใช้ ควำมรู้จำกกำรอ่ำนคำ ควำมหมำยของคำมำใช้ในกำรอ่ำน รวมท้ังกำรรู้จักแบ่งวรรคตอนด้วย กำรอ่ำนเร็ว จะมีส่วนช่วยให้ผู้อ่ำนเข้ำใจเรื่องได้ดีกว่ำผู้อ่ำนช้ำ ซึ่งจะสะกดคำอ่ำนหรืออ่ำนย้อนไปย้อนมำ ผู้อ่ำนจะใช้ บรบิ ทหรอื คำแวดล้อมชว่ ยในกำรตีควำมหมำยของคำเพ่อื ทำควำมเข้ำใจเร่ืองท่ีอำ่ น ๓. การแสดงความคิดเห็น ผู้อ่ำนจะจดบันทึกข้อควำมท่ีมีควำมสำคัญ หรือเขียนแสดง ควำม คดิ เห็น ตีควำมข้อควำมท่ีอ่ำน อ่ำนซำ้ ในตอนที่ไม่เขำ้ ใจเพื่อทำควำมเขำ้ ใจให้ถูกต้อง ขยำยควำมคิด จำกกำรอ่ำน จับคู่กับเพ่ือนสนทนำแลกเปลี่ยนควำมคิดเห็น ตั้งข้อสังเกตจำกเร่ืองที่อ่ำน ถ้ำเป็นกำรอ่ำน บทกลอนจะตอ้ งอำ่ นทำนองเสนำะดังๆ เพ่ือฟงั เสยี งกำรอ่ำนและเกิดจนิ ตนำกำร ๔. การอ่านสารวจ ผู้อ่ำนจะอ่ำนซ้ำโดยเลือกอ่ำนตอนใดตอนหน่ึง ตรวจสอบคำและภำษำ ที่ใช้ สำรวจโครงเรื่องของหนังสือเปรียบเทียบหนังสือท่ีอ่ำนกับหนังสือท่ีเคยอ่ำน สำรวจและเชื่อมโยงเหตุกำรณ์ใน เรือ่ งและกำรลำดบั เร่ือง และสำรวจคำสำคญั ท่ใี ชใ้ นหนงั สอื ๕. การขยายความคิด ผู้อ่ำนจะสะท้อนควำมเข้ำใจในกำรอ่ำน บันทึกขอ้ คิดเห็น คุณค่ำของเรื่อง เช่ือมโยงเร่ืองรำวในเร่ืองกับชีวิตจริง ควำมรู้สึกจำกกำรอ่ำน จัดทำโครงงำนหลักกำรอ่ำน เช่น วำดภำพ เขยี นบทละคร เขียนบนั ทึกรำยงำนกำรอ่ำน อำ่ นเร่ืองอื่นๆ ทผ่ี ู้เขียนคนเดียวกันแต่ง อ่ำนเร่ืองเพมิ่ เติม เร่ือง ทเ่ี กีย่ วโยงกับเรอ่ื งทีอ่ ่ำน เพ่อื ให้ไดค้ วำมร้ทู ่ชี ัดเจนและกว้ำงขวำงขึน้ การเขียนเชงิ สร้างสรรค์ กำรเขียนเชิงสรำ้ งสรรค์เปน็ กำรเขยี นโดยใช้ควำมรู้ ประสบกำรณ์ และจินตนำกำรในกำรเขยี น เช่น กำรเขยี น เรียงควำม นทิ ำน เรือ่ งสนั้ นวนยิ ำย และบทรอ้ ยกรอง กำรเขยี นเชิงสร้ำงสรรค์ผู้เขียนจะต้องมีควำมคิด ดี มีจินตนำกำรดี มีคลังคำอย่ำงหลำกหลำย สำมำรถนำคำมำใช้ ในกำรเขยี น ต้องใช้เทคนิค กำรเขียน และใชถ้ อ้ ยคำอยำ่ งสละสลวย หลกั สูตรโรงเรียนวัดพชื นิมติ (คำสวสั ดริ์ ำษฎรบ์ ำรุง) ตำมหลกั สตู รแกนกลำงกำรศึกษำขั้นพน้ื ฐำนพทุ ธศักรำช ๒๕๕๑ หน้ำ 65
การดู กำรดเู ปน็ กำรรับสำรจำกสื่อภำพและเสียง และแสดงทรรศนะไดจ้ ำกกำรรับรู้สำร ตีควำม แปลควำม วิเครำะห์ และประเมินคุณค่ำสำรจำกส่ือ เช่น กำรดูโทรทัศน์ กำรดูคอมพิวเตอร์ กำรดูละคร กำรดูภำพยนตร์ กำรดูหนังสือกำร์ตูน (แม้ไม่มีเสียงแต่มีถ้อยคำอ่ำนแทนเสียงพูด) ผู้ดูจะต้องรับรู้สำร จำกกำรดูและนำมำ วิเครำะห์ ตีควำม และประเมินคุณค่ำของสำรที่เป็นเนื้อเรื่องโดยใช้หลักกำรพิจำรณำวรรณคดีหรือกำร วิเครำะห์วรรณคดีเบื้องต้น เช่น แนวคิดของเร่ือง ฉำกที่ประกอบเร่ืองสมเหตุสมผล กิริยำท่ำทำง และกำร แสดงออกของตัวละครมีควำมสมจริงกับบทบำท โครงเรื่อง เพลง แสง สี เสียง ท่ีใช้ประกอบกำรแสดงให้ อำรมณ์แก่ผู้ดูสมจริงและสอดคล้องกับยุคสมัยของเหตุกำรณ์ท่ีจำลองสู่บทละคร คุณค่ำทำงจริยธรรม คณุ ธรรม และคุณค่ำทำงสังคมที่มีอิทธิพลต่อผู้ดหู รือผู้ชม ถ้ำเป็นกำรดูข่ำวและเหตุกำรณ์ หรือกำรอภิปรำย กำรใช้ควำมรู้หรือเรื่องทีเ่ ป็นสำรคดี กำรโฆษณำทำงส่อื จะต้องพจิ ำรณำเนอื้ หำสำระว่ำสมควรเช่ือถอื ไดห้ รอื ไม่ เป็นกำรโฆษณำชวนเช่ือหรือไม่ ควำมคิดสำคัญและมีอิทธิพลต่อกำรเรียนรู้มำก และกำรดูละครเวที ละคร โทรทัศน์ ดูข่ำวทำงโทรทัศน์จะเป็นประโยชน์ได้รับควำมสนุกสนำน ต้องดูและวิเครำะห์ ประเมินค่ำ สำมำรถ แสดงทรรศนะของตนไดอ้ ย่ำงมเี หตผุ ล การตคี วาม กำรตีควำมเป็นกำรใช้ควำมรู้และประสบกำรณ์ของผู้อ่ำนและกำรใช้บริบท ได้แก่ คำท่ีแวดล้อม ขอ้ ควำม ทำควำมเข้ำใจข้อควำมหรอื กำหนดควำมหมำยของคำให้ถูกต้อง พจนำนุกรมฉบับรำชบัณฑิตยสถำน พ.ศ. ๒๕๒๕ ให้ควำมหมำยว่ำ กำรตีควำมหมำย ช้ีหรือกำหนด ควำมหมำย ให้ควำมหมำยหรอื อธบิ ำย ใช้หรือปรบั ใหเ้ ขำ้ ใจเจตนำ และควำมม่งุ หมำยเพอ่ื ควำมถูกต้อง การเปล่ียนแปลงของภาษา ภำษำย่อมมีกำรเปลี่ยนแปลงไปตำมกำลเวลำ คำคำหนึง่ ในสมัยหน่ึงเขียนอย่ำงหนึ่ง อีกสมัยหนึง่ เขียนอีก อย่ำงหน่ึง คำว่ำ ประเทศ แต่เดิมเขียน ประเทษ คำวำ่ ปักษ์ใต้ แตเ่ ดิมเขียน ปกั ใต้ ในปัจจุบัน เขียน ปักษ์ใต้ คำว่ำ ลุ่มลึก แต่ก่อนเขียน ลุ่มฦก ภำษำจึงมีกำรเปล่ียนแปลง ท้ังควำมหมำยและกำรเขียน บำงครง้ั คำบำงคำ เช่น คำว่ำ หล่อน เป็นคำสรรพนำมแสดงถึงคำพูด สรรพนำมบุรุษท่ี ๓ ท่ีเป็นคำสุภำพ แต่ เดีย๋ วนีค้ ำวำ่ หล่อน มคี วำมหมำยในเชงิ ดูแคลน เป็นตน้ การสรา้ งสรรค์ กำรสร้ำงสรรค์ คือ กำรรู้จักเลือกควำมรู้ ประสบกำรณ์ที่มีอยู่เดิมมำเป็นพื้นฐำนในกำรสร้ำงควำมรู้ ควำมคิดใหม่ หรือสิ่งแปลกใหม่ท่ีมีคุณภำพและมีประสิทธิภำพสูงกว่ำเดิม บุคคลที่จะมีควำมสำมำรถในกำร สร้ำงสรรค์จะต้องเป็นบุคคลท่ีมีควำมคิดอิสระอยู่เสมอ มีควำมเชื่อมั่นในตนเอง มองโลกในแง่ดี คิดไตร่ตรอง ไม่ตัดสินใจส่ิงใดง่ำยๆ กำรสร้ำงสรรค์ของมนุษย์จะเก่ียวเนื่องกันกับควำมคิด กำรพูด กำรเขียน และกำร กระทำเชิงสร้ำงสรรค์ ซ่ึงจะต้องมีกำรคิดเชิงสร้ำงสรรค์เป็นพ้ืนฐำนควำมคิดเชิงสร้ำงสรรค์เ ป็นควำมคิดท่ี พัฒนำมำจำกควำมรู้และประสบกำรณ์เดิม ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐำนของกำรพูด กำรเขียน และกำรกระทำเชิง สรำ้ งสรรค์ กำรพูดและกำรเขยี นเชิงสร้ำงสรรค์เป็นกำรแสดงออกทำงภำษำทใ่ี ชภ้ ำษำขัดเกลำให้ไพเรำะ งดงำม เหมำะสม ถูกต้องตำมเน้ือหำที่พูดและเขียนกำรกระทำเชิงสร้ำงสรรค์เป็นกำรกระทำที่ไม่ซ้ำแบบเดิมและ คิดคน้ ใหม่แปลกไปจำกเดมิ และเป็นประโยชน์ทส่ี งู ข้ึน หลกั สตู รโรงเรยี นวดั พชื นมิ ติ (คำสวัสดริ์ ำษฎรบ์ ำรงุ ) ตำมหลกั สตู รแกนกลำงกำรศกึ ษำขนั้ พน้ื ฐำนพุทธศักรำช ๒๕๕๑ หนำ้ 66
ข้อมลู สารสนเทศ ข้อมูลสำรสนเทศ หมำยถึง เรื่องรำว ข้อเท็จจริง ข้อมูล หรือส่ิงใดส่ิงหน่ึงที่สำมำรถ ส่ือควำมหมำย ดว้ ยกำรพูดบอกเลำ่ บนั ทกึ เป็นเอกสำร รำยงำน หนังสือ แผนที่ แผนภำพ ภำพถ่ำย บนั ทกึ ด้วยเสียงและ ภำพ บนั ทึกด้วยเครือ่ งคอมพิวเตอร์ เป็นกำรเก็บเรือ่ งรำวต่ำงๆ บนั ทกึ ไว้เป็นหลักฐำนดว้ ยวิธตี ่ำงๆ ความหมายของคา คำที่ใชใ้ นกำรติดต่อส่อื สำรมีควำมหมำยแบ่งได้เปน็ ๓ ลกั ษณะ คือ ๑. ควำมหมำยโดยตรง เป็นควำมหมำยที่ใช้พูดจำกันตรงตำมควำมหมำย คำหนึ่งๆ นั้น อำจมี ควำมหมำยไดห้ ลำยควำมหมำย เช่น คำวำ่ กำ อำจมีควำมหมำยถึง ภำชนะใส่น้ำ หรืออำจหมำยถงึ นกชนิด หน่ึง ตัวสีดำ ร้อง กำ กำ เป็นควำมหมำยโดยตรง ๒. ควำมหมำยแฝง คำอำจมีควำมหมำยแฝงเพิ่มจำกควำมหมำยโดยตรง มักเป็นควำมหมำย เกี่ยวกบั ควำมรสู้ กึ เชน่ คำว่ำ ขีเ้ หนยี ว กบั ประหยดั หมำยถึง ไม่ใชจ้ ่ำยอย่ำงสรุ ยุ่ สุร่ำย เป็นควำมหมำยตรง แตค่ วำมร้สู ึกต่ำงกัน ประหยัดเป็นสงิ่ ดี แตข่ ้เี หนยี วเป็นสิ่งไมด่ ี ๓. ควำมหมำยในบริบท คำบำงคำมีควำมหมำยตรง เมื่อร่วมกับคำอ่ืนจะมีควำมหมำยเพ่ิมเติมกว้ำง ขึ้น หรือแคบลงได้ เช่น คำว่ำ ดี เด็กดี หมำยถึง ว่ำนอนสอนง่ำย เสียงดี หมำยถึง ไพเรำะ ดินสอดี หมำยถึง เขียนได้ดี สุขภำพดี หมำยถึง ไม่มีโรค ควำมหมำยบริบทเป็นควำมหมำยเช่นเดียวกับควำมหมำย แฝง คุณคา่ ของงานประพันธ์ เมื่อผู้อ่ำนอ่ำนวรรณคดีหรือวรรณกรรมแล้วจะต้องประเมินงำนประพันธ์ ให้เห็นคุณค่ำของงำน ประพันธ์ ทำให้ผู้อ่ำนอ่ำนอย่ำงสนุก และได้รับประโยชน์จำกำรอ่ำนงำนประพันธ์ คุณค่ำของงำนประพันธ์ แบง่ ไดเ้ ปน็ ๒ ประกำร คือ ๑. คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ถ้ำอ่ำนบทร้อยกรองก็จะพิจำรณำกลวิธีกำรแต่ง กำรเลือกเฟ้นถ้อยคำมำ ใช้ได้ไพเรำะ มีควำมคิดสร้ำงสรรค์ และให้ควำมสะเทือนอำรมณ์ ถ้ำเป็นบทร้อยแก้วประเภทสำรคดี รูปแบบกำรเขียนจะเหมำะสมกับเนื้อเร่ือง วิธีกำรนำเสนอน่ำสนใจ เน้ือหำมีควำมถูกต้อง ใช้ภำษำ สละสลวยชดั เจน กำรนำเสนอมคี วำมคดิ สร้ำงสรรค์ ถำ้ เปน็ ร้อยแกว้ ประเภทบันเทิงคดี องคป์ ระกอบของเร่ือง ไม่ว่ำเรื่องสั้น นวนิยำย นิทำน จะมีแก่นเร่ือง โครงเรื่อง ตัวละครมีควำมสัมพันธ์กัน กลวิธีกำรแต่งแปลก ใหม่ น่ำสนใจ ปมขัดแย้งในกำรแต่งสร้ำงควำมสะเทือนอำรมณ์ กำรใช้ถ้อยคำสร้ำงภำพได้ชดั เจน คำพดู ใน เรอื่ งเหมำะสมกบั บคุ ลิกของ ตวั ละครมีควำมคดิ สร้ำงสรรค์เก่ียวกบั ชีวิตและสงั คม ๒. คุณค่าด้านสังคม เป็นคุณค่ำทำงด้ำนวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ศิลปะ ชีวิตควำม เปน็ อยขู่ องมนุษย์ และคณุ คำ่ ทำงจริยธรรม คุณค่ำด้ำนสงั คม เปน็ คณุ คำ่ ท่ีผ้อู ่ำนจะ เข้ำใจชวี ิตทัง้ ในโลกทศั น์ และชีวทัศน์ เข้ำใจกำรดำเนินชีวิตและเข้ำใจเพ่ือนมนุษย์ดีขึ้น เนื้อหำย่อมเก่ียวข้องกับกำรช่วยจรรโลงใจแก่ ผ้อู ่ำน ช่วยพัฒนำสงั คม ชว่ ยอนรุ กั ษ์ส่ิงมีคณุ คำ่ ของชำตบิ ำ้ นเมือง และสนับสนุนค่ำนิยมอนั ดงี ำม หลกั สตู รโรงเรยี นวดั พชื นิมติ (คำสวัสดิร์ ำษฎร์บำรงุ ) ตำมหลกั สตู รแกนกลำงกำรศึกษำข้นั พ้ืนฐำนพุทธศกั รำช ๒๕๕๑ หน้ำ 67
โครงงาน โครงงำนเป็นกำรจัดกำรเรียนรู้วิธีหน่ึงท่ีส่งเสริมให้ผู้เรียนเรียนด้วยกำรค้นคว้ำ ลงมือปฏิบัติจริง ใน ลกั ษณะของกำรสำรวจ ค้นคว้ำ ทดลอง ประดิษฐ์คดิ คน้ ผู้เรียนจะรวบรวมข้อมูล นำมำวิเครำะห์ ทดสอบ เพ่ือแก้ปัญหำข้องใจ ผู้เรียนจะนำควำมรู้จำกช้ันเรียนมำบูรณำกำรในกำรแก้ปัญหำ ค้นหำคำตอบ เป็น กระบวนกำรคน้ พบนำไปสกู่ ำรเรยี นรู้ ผ้เู รียนจะเกิดทักษะกำรทำงำนรว่ มกบั ผู้อ่ืน ทักษะกำรจัดกำร ผ้สู อน จะเข้ำใจผเู้ รียน เห็นรปู แบบกำรเรียนรู้ กำรคดิ วิธีกำรทำงำนของผเู้ รียน จำกกำรสังเกตกำรทำงำนของผู้เรยี น กำรเรียนแบบโครงงำนเป็นกำรเรียนแบบศึกษำค้นคว้ำวิธีกำรหนึ่ง แต่เป็นกำรศึกษำค้นคว้ำท่ีใช้ กระบวนกำรทำงวิทยำศำสตร์มำใช้ในกำรแก้ปัญหำ เป็นกำรพัฒนำผู้เรียนให้เป็นคนมีเหตุผล สรุปเร่ืองรำว อย่ำงมีกฎเกณฑ์ ทำงำนอย่ำงมีระบบ กำรเรียนแบบโครงงำนไมใ่ ช่กำรศึกษำค้นคว้ำจัดทำรำยงำนเพียงอย่ำง เดยี ว ต้องมกี ำรวเิ ครำะหข์ ้อมูลและมกี ำรสรุปผล ทักษะการสื่อสาร ทักษะกำรส่อื สำร ได้แก่ ทกั ษะกำรพูด กำรฟงั กำรอำ่ น และกำรเขียน ซ่งึ เป็นเครื่องมอื ของกำรส่ง สำรและกำรรับสำร กำรส่งสำร ได้แก่ กำรส่งควำมรู้ ควำมเช่ือ ควำมคิด ควำมรู้สึกด้วยกำรพูด และกำร เขียน ส่วนกำรรับสำร ได้แก่ กำรรับควำมรู้ ควำมเช่ือ ควำมคิด ด้วยกำรอ่ำนและกำรฟัง กำรฝึกทักษะ กำรสือ่ สำรจึงเปน็ กำรฝึกทกั ษะกำรพูด กำรฟัง กำรอำ่ น และกำรเขียน ให้สำมำรถรบั สำรและส่งสำรอย่ำงมี ประสทิ ธิภำพ ธรรมชาติของภาษา ธรรมชำติของภำษำเป็นคุณสมบตั ขิ องภำษำทสี่ ำคญั มีคณุ สมบตั ิพอสรุปได้ คือ ประการ ทีห่ นึ่ง ทุกภำษำจะประกอบด้วยเสียงและควำมหมำย โดยมีระเบียบแบบแผนหรือกฎเกณฑ์ในกำรใช้ อย่ำงเป็นระบบ ประการท่ีสอง ภำษำมีพลังในกำรงอกงำมมิรู้ส้ินสุด หมำยถึง มนุษย์สำมำรถใช้ภำษำ สื่อควำมหมำยได้โดยไม่ สิ้นสุด ประการท่ีสาม ภำษำเปน็ เรื่องของกำรใชส้ ัญลักษณ์รว่ มกันหรือสมมติร่วมกนั และมกี ำรรับรูส้ ัญลักษณ์ หรือสมมติร่วมกนั เพอ่ื สรำ้ งควำมเขำ้ ใจตรงกนั ประการทส่ี ่ี ภำษำสำมำรถใช้ภำษำพูดในกำรติดต่อสือ่ สำร ไมจ่ ำกดั เพศของผสู้ ง่ สำร ไม่วำ่ หญิง ชำย เด็ก ผใู้ หญ่ สำมำรถผลดั กนั ในกำรส่งสำรและรบั สำรได้ ประการท่ี ห้า ภำษำพูดย่อมใช้ได้ทั้งในปัจจุบัน อดีต และอนำคต ไม่จำกัดเวลำและสถำนท่ี ประการที่หก ภำษำเป็น เครอ่ื งมือกำรถ่ำยทอดวัฒนธรรม และวชิ ำควำมรู้นำนำประกำร ทำให้เกดิ กำรเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและกำร สรำ้ งสรรค์สิ่งใหม่ แนวคดิ ในวรรณกรรม แนวคิดในวรรณกรรมหรือแนวเรอื่ งในวรรณกรรมเป็นควำมคิดสำคัญในกำรผูกเร่ืองให้ ดำเนนิ เรอ่ื งไป ตำมแนวคิด หรือเป็นควำมคิดท่ีสอดแทรกในเร่ืองใหญ่ แนวคิดย่อมเกี่ยวข้องกับมนุษย์และสังคม เป็นสำรที่ ผู้เขียนส่งให้ผู้อ่ำน เช่น ควำมดีย่อมชนะควำมช่ัว ทำดีได้ดีทำช่ัวได้ช่ัว ควำมยุติธรรมทำให้โลกสันติสุข คนเรำพ้นควำมตำยไปไม่ได้ เป็นต้น ฉะนั้นแนวคิดเป็นสำรท่ีผู้เขียนต้องกำรส่งให้ผู้อ่ืนทรำบ เช่น ควำมดี ควำมยุตธิ รรม ควำมรกั เป็นต้น หลกั สูตรโรงเรยี นวัดพชื นมิ ิต (คำสวัสดิร์ ำษฎรบ์ ำรงุ ) ตำมหลกั สูตรแกนกลำงกำรศกึ ษำข้ันพ้ืนฐำนพทุ ธศกั รำช ๒๕๕๑ หนำ้ 68
บรบิ ท บริบทเป็นคำที่แวดล้อมข้อควำมท่ีอ่ำน ผู้อ่ำนจะใช้ควำมรู้สึกและประสบกำรณ์มำกำหนดควำมหมำย หรือควำมเข้ำใจ โดยนำคำแวดล้อมมำช่วยประกอบควำมรู้และประสบกำรณ์ เพ่ือทำ ควำมเข้ำใจหรือ ควำมหมำยของคำ พลังของภาษา ภำษำเป็นเครื่องมือในกำรดำรงชีวิตของมนุษย์ มนุษย์จึงสำมำรถเรียนรู้ภำษำเพื่อกำรดำรงชีวิต เป็น เครื่องมือของกำรสื่อสำรและสำมำรถพัฒนำภำษำของตนได้ ภำษำช่วยให้คนรู้จักคิดและแสดงออกของ ควำมคิดดว้ ยกำรพูด กำรเขียน และกำรกระทำซง่ึ เป็นผลจำกกำรคิด ถ้ำไม่มภี ำษำ คนจะคิดไมไ่ ด้ ถ้ำคน มีภำษำนอ้ ย มคี ำศัพท์น้อย ควำมคิดของคนก็จะแคบไม่กวำ้ งไกล คนที่ใช้ภำษำได้ดีจะมีควำมคิดดดี ้วย คน จะใช้ควำมคิดและแสดงออกทำงควำมคิดเป็นภำษำ ซ่ึงส่งผลไปสู่กำรกระทำ ผลของกำรกระทำส่งผลไปสู่ ควำมคิด ซึ่งเป็นพลังของภำษำ ภำษำจงึ มีบทบำทสำคัญต่อมนษุ ย์ ช่วยใหม้ นุษย์พัฒนำควำมคิด ช่วยดำรง สังคมให้มนุษย์อยู่ร่วมกันในสังคมอย่ำงสงบสุข มีไมตรีต่อกัน ช่วยเหลือกันด้วยกำรใช้ภำษำติดต่อสื่อสำรกัน ช่วยให้คนปฏิบัติตนตำมกฎเกณฑ์ของสังคม ภำษำช่วยให้มนุษย์เกิดกำรพัฒนำ ใช้ภำษำในกำรแลกเปลี่ยน ควำมคิดเห็น กำรอภิปรำยโต้แย้ง เพื่อนำไปสู่ผลสรุป มนุษย์ใช้ภำษำในกำรเรียนรู้ จดบันทึกควำมรู้ แสวงหำ ควำมรู้ และช่วยจรรโลงใจ ด้วยกำรอ่ำนบทกลอน ร้องเพลง ภำษำยังมีพลงั ในตัวของมันเอง เพรำะภำพย่อม ประกอบด้วยเสียงและควำมหมำย กำรใช้ภำษำใช้ถ้อยคำทำให้เกดิ ควำมรูส้ ึกต่อผ้รู ับสำร ให้เกิดควำมจงเกลยี ด จงชงั หรือเกิด ควำมชื่นชอบ ควำมรักย่อมเกิดจำกภำษำทั้งสน้ิ ท่นี ำไปสูผ่ ลสรปุ ที่มีประสิทธิภำพ ภาษาถน่ิ ภำษำถิ่นเปน็ ภำษำพน้ื เมืองหรือภำษำท่ใี ชใ้ นท้องถิ่น ซงึ่ เป็นภำษำด้ังเดมิ ของชำวพ้ืนบ้ำนที่ใช้พูดจำกัน ในหมู่เหล่ำของตน บำงครั้งจะใช้คำที่มีควำมหมำยต่ำงกันไปเฉพำะถ่ิน บำงครั้งคำท่ีใช้พูดจำกันเป็นคำเดียว ควำมหมำยต่ำงกันแล้วยังใช้สำเนียงท่ีต่ำงกันจึงมีคำกล่ำวท่ีว่ำ “สำเนียงบอกภำษำ” สำเนียงจะบอกว่ำเป็น ภำษำอะไร และผูพ้ ูดเป็นคนถิ่นใด อย่ำงไรก็ตำมภำษำถ่ินในประเทศไทยไม่ว่ำจะเป็นภำษำถ่ินเหนือ ถนิ่ อีสำน ถิน่ ใต้ สำมำรถสื่อสำรเข้ำใจกนั ได้เพยี งแต่สำเนยี งแตกตำ่ งกนั ไปเท่ำน้นั ภาษาไทยมาตรฐาน ภำษำไทยมำตรฐำนหรือบำงทีเรียกว่ำ ภำษำไทยกลำงหรือภำษำรำชกำรเป็นภำษำท่ีใช้ ส่ือสำรกันท่ัว ประเทศและเป็นภำษำท่ีใช้ในกำรเรียนกำรสอน เพ่ือให้คนไทยสำมำรถใช้ภำษำรำชกำรในกำรติดต่อสื่อสำรสร้ำง ควำมเป็นชำติไทย ภำษำไทยมำตรฐำนก็คือภำษำที่ใช้กันในเมืองหลวง ท่ีใช้ติดต่อกันท้ังประเทศ มีคำและ สำเนยี งภำษำที่เป็นมำตรฐำน ต้องพดู ให้ชดั ถอ้ ยชัดคำไดต้ ำมมำตรฐำนของภำษำไทย ภำษำกลำงหรือภำษำไทย มำตรฐำนมีควำมสำคัญในกำรสร้ำงควำมเป็นปกึ แผ่น วรรณคดีมกี ำรถ่ำยทอดกันมำเป็นวรรณคดีประจำชำตจิ ะ ใช้ภำษำท่ีเป็นภำษำไทยมำตรฐำนในกำรสร้ำงสรรค์งำนประพันธ์ ทำให้วรรณคดีเป็นเคร่ืองมือในกำรศึกษำ ภำษำไทยมำตรฐำนได้ หลกั สูตรโรงเรียนวัดพชื นิมติ (คำสวสั ดร์ิ ำษฎร์บำรงุ ) ตำมหลกั สูตรแกนกลำงกำรศกึ ษำขัน้ พ้ืนฐำนพทุ ธศกั รำช ๒๕๕๑ หน้ำ 69
ภาษาพูดกับภาษาเขียน ภำษำพูดเป็นภำษำที่ใช้พูดจำกัน ไม่เป็นแบบแผนภำษำ ไม่พิถีพิถันในกำรใช้แต่ใช้ส่ือสำรกันได้ดี สรำ้ งควำมรู้สกึ ที่เปน็ กนั เอง ใชใ้ นหมู่เพอ่ื นฝูง ในครอบครัว และตดิ ต่อสื่อสำรกันอยำ่ งไมเ่ ปน็ ทำงกำร กำรใช้ ภำษำพูดจะใช้ภำษำที่เป็นกันเองและสุภำพ ขณะเดียวกันก็คำนึงว่ำพูดกับบุคคลที่มีฐำนะต่ำงกัน กำ รใช้ ถ้อยคำก็ตำ่ งกนั ไปด้วย ไมค่ ำนึงถึงหลักภำษำหรอื ระเบยี บแบบแผนกำรใชภ้ ำษำมำกนัก ส่วนภำษำเขียนเป็นภำษำที่ใช้เคร่งครัดต่อกำรใช้ถ้อยคำ และคำนึงถึงหลักภำษำ เพ่ือใช้ในกำร สอ่ื สำรใหถ้ ูกต้องและใช้ในกำรเขียนมำกกว่ำพูด ต้องใช้ถ้อยคำที่สุภำพ เขียนให้เป็นประโยค เลือกใช้ถ้อยคำ ท่ีเหมำะสมกับสถำนกำรณ์ในกำรส่ือสำร เป็นภำษำท่ีใช้ในพิธีกำรต่ำงๆ เช่น กำรกล่ำวรำยงำน กล่ำว ปรำศรัย กล่ำวสดุดี กำรประชุมอภิปรำย กำรปำฐกถำ จะระมัดระวังกำรใช้คำท่ีไม่จำเป็นหรือ คำฟุ่มเฟือย หรือกำรเลน่ คำจนกลำยเปน็ กำรพดู หรือเขียนเลน่ ๆ ภมู ิปัญญาท้องถน่ิ ภูมปิ ัญญำท้องถ่ิน (Local Wisdom) บำงครง้ั เรยี กว่ำ ภมู ิปญั ญำชำวบ้ำน เปน็ กระบวนทัศน์ (Paradigm) ของ คนในท้องถ่ินท่ีมีควำมสัมพันธ์ระหว่ำงคนกับคน คนกับธรรมชำติ เพ่ือควำมอยู่รอด แต่คนในท้องถิ่นจะสร้ำง ควำมรู้จำกประสบกำรณ์และจำกกำรปฏิบัติ เป็นควำมรู้ ควำมคิด ท่ีนำมำใช้ในท้องถิ่นของตนเพื่อกำร ดำรงชีวิตที่เหมำะสมและสอดคล้องกับธรรมชำติ ผู้รู้จึงกลำยเป็น ปรำชญ์ชำวบ้ำนท่ีมีควำมรู้เกี่ยวกับภำษำ ยำรกั ษำโรคและกำรดำเนินชีวิตในหมบู่ ้ำนอย่ำงสงบสุข ภูมิปัญญาทางภาษา ภูมิปัญญำทำงภำษำเป็นควำมรู้ทำงภำษำ วรรณกรรมท้องถิ่น บทเพลง สุภำษิต คำพังเพยในแต่ละ ท้องถิ่น ที่ได้ใช้ภำษำในกำรสร้ำงสรรค์ผลงำนต่ำงๆ เพื่อใช้ประโยชน์ในกิจกรรมทำงสังคมที่ต่ำงกัน โดยนำ ภูมิปัญญำทำงภำษำในกำรส่ังสอนอบรมพิธีกำรต่ำงๆ กำรบันเทิงหรือกำรละเล่น มีกำรแต่งเป็นคำ ประพันธ์ในรูปแบบต่ำงๆ ท้ังนิทำน นิทำนปรัมปรำ ตำนำน บทเพลง บทร้องเล่น บทเห่กล่อม บทสวด ต่ำงๆ บททำขวัญ เพอื่ ประโยชนท์ ำงสังคมและเป็นส่วนหนง่ึ ของวฒั นธรรมประจำถนิ่ ระดบั ภาษา ภำษำเป็นวัฒนธรรมที่คนในสังคมจะต้องใช้ภำษำให้ถูกต้องกับสถำนกำรณ์และโอกำสที่ใช้ภำษำ บุคคลและ ประชมุ ชน กำรใชภ้ ำษำจึงแบ่งออกเป็นระดับของกำรใชภ้ ำษำได้หลำยรูปแบบ ตำรำแต่ละเลม่ จะแบ่งระดับ ภำษำแตกต่ำงกนั ตำมลกั ษณะของสัมพนั ธภำพของบุคคลและสถำนกำรณ์ กำรแบ่งระดับภำษำประมวลไดด้ ังนี้ ๑. กำรแบง่ ระดับภำษำที่เป็นทำงกำรและไม่เป็นทำงกำร ๑.๑ ภำษำท่ีไม่เป็นทำงกำรหรือภำษำท่ีเป็นแบบแผน เช่น กำรใช้ภำษำในกำรประชุม ในกำรกล่ำว สนุ ทรพจน์ เปน็ ต้น ๑.๒ ภำษำที่ไม่เป็นทำงกำรหรือภำษำที่ไม่เป็นแบบแผน เช่น กำรใช้ภำษำในกำรสนทนำ กำรใช้ ภำษำในกำรเขยี นจดหมำยถงึ ผู้ค้นุ เคย กำรใชภ้ ำษำในกำรเล่ำเรือ่ งหรอื ประสบกำรณ์ เป็นต้น หลกั สูตรโรงเรียนวดั พชื นิมิต (คำสวัสดิร์ ำษฎรบ์ ำรงุ ) ตำมหลกั สตู รแกนกลำงกำรศกึ ษำขั้นพื้นฐำนพุทธศกั รำช ๒๕๕๑ หน้ำ 70
๒. กำรแบ่งระดับภำษำท่ีเป็นพิธีกำรกับระดับภำษำท่ีไม่เป็นพิธีกำร กำรแบง่ ภำษำแบบน้ีเป็นกำรแบ่ง ภำษำตำมควำมสมั พนั ธร์ ะหวำ่ งบุคคลเปน็ ระดับ ดังน้ี ๒.๑ ภำษำระดบั พธิ กี ำร เป็นภำษำแบบแผน ๒.๒ ภำษำระดบั กึ่งพธิ กี ำร เปน็ ภำษำกงึ่ แบบแผน ๒.๓ ภำษำระดับทไี่ มเ่ ป็นพิธีกำร เปน็ ภำษำไม่เป็นแบบแผน ๓. กำรแบ่งระดบั ภำษำตำมสภำพแวดลอ้ ม โดยแบ่งระดับภำษำในระดับย่อยเป็น ๕ ระดับ คอื ๓.๑ ภำษำระดบั พธิ กี ำร เช่น กำรกลำ่ วปรำศรัย กำรกลำ่ วเปดิ งำน ๓.๒ ภำษำระดับทำงกำร เช่น กำรรำยงำน กำรอภปิ รำย ๓.๓ ภำษำระดบั กงึ่ ทำงกำร เช่น กำรประชุมอภิปรำย กำรปำฐกถำ ๓.๔ ภำษำระดบั กำรสนทนำ เชน่ กำรสนทนำกับบุคคลอย่ำงเปน็ ทำงกำร ๓.๕ ภำษำระดบั กนั เอง เช่น กำรสนทนำพูดคยุ ในหมู่เพอ่ื นฝูงในครอบครัว วจิ ารณญาณ วจิ ำรณญำณ หมำยถงึ กำรใช้ควำมรู้ ควำมคิด ทำควำมเข้ำใจเรอื่ งใดเรื่องหนึ่งอยำ่ งมีเหตผุ ล กำรมวี ิจำรณญำณ ตอ้ งอำศัยประสบกำรณ์ในกำรพิจำรณำตัดสินสำรด้วยควำมรอบคอบ และอยำ่ งชำญฉลำดเปน็ เหตุเป็นผล หลกั สตู รโรงเรียนวดั พชื นิมิต (คำสวัสดร์ิ ำษฎรบ์ ำรงุ ) ตำมหลกั สูตรแกนกลำงกำรศึกษำข้นั พนื้ ฐำนพุทธศกั รำช ๒๕๕๑ หน้ำ 71
ภาคผนวก หลกั สตู รโรงเรยี นวดั พชื นิมติ (คำสวสั ด์ริ ำษฎรบ์ ำรงุ ) ตำมหลกั สตู รแกนกลำงกำรศึกษำขั้นพื้นฐำนพทุ ธศักรำช ๒๕๕๑ หนำ้ 72
หลกั สูตรโรงเรยี นวดั พชื นมิ ิต (คำสวัสด์ริ ำษฎรบ์ ำรุง) ตำมหลกั สตู รแกนกลำงกำรศกึ ษำข้นั พื้นฐำนพุทธศกั รำช ๒๕๕๑ หนำ้ 73
Search