Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หน่วยที่ 4 การคัดเลือกวัถุดิบ

หน่วยที่ 4 การคัดเลือกวัถุดิบ

Published by renu chanapol, 2019-06-13 23:01:26

Description: กลุ่มที่ 5 ผลิตภัณฑ์สมุนไพร

Search

Read the Text Version

หน่วยที่ 4 การคัดเลือกวัตถุดบิ เรณู ชนะผล

หนวยท่ี 4 การคดั เลือกวตั ถดุ ิบในการผลิตผลติ ภณั ฑส มุนไพร สาระสําคญั วัตถุดบิ ที่ใชในการแปรรูปเปนผลติ ภัณฑสมนุ ไพร เปน วัตถดุ ิบทตี่ อ งคดั สรรเปน พิเศษ เพราะนอกจากใชเ ปน อาหารในการบริโภคแลว สมนุ ไพรในบางประเภทยังใชใ นการรักษาผทู ่มี ี อาการปวย ซงึ่ วัตถุดิบท่ีใชจะตอ งมคี วามจาํ เพาะเจาะจง เพือ่ ใหมสี ารสาํ คัญที่ออกฤทธ์ิในการรักษา ท่ีมีประสทิ ธภิ าพ ไมก อ ใหเกิดผลขา งเคียงและอาการดื้อยาในการรักษาดวยสมนุ ไพร ซึ่งการคัดเลือก จะตอ งเรียนรลู ักษณะสว นประกอบของพืชสมุนไพร การเกบ็ เกย่ี วสมุนไพรและการจดั การหลงั การ เกบ็ เกย่ี วพืชสมุนไพร การคัดเลือกสมนุ ไพรให ถกู ชนิด ถกู ตน ถูกสวนของสมุนไพรที่ตองการ เพือ่ ใหไดวัตถดุ บิ ท่มี คี ุณภาพ เหมาะสมสําหรบั การใชเปนวัตถุดบิ ในการแปรรปู เปน ผลิตภัณฑ สมุนไพรตอไป หวั ขอ เรอ่ื ง 1. สว นประกอบของพืชสมุนไพร 2. การเก็บเก่ยี วและการจัดการหลงั การเก็บเกย่ี วสมนุ ไพร 3. การคดั เลือกวัตถดุ บิ ในการผลิตผลิตภัณฑสมุนไพร จุดประสงคทั่วไป เพอ่ื ใหน กั เรียนเรยี นรูเรือ่ ง 1. สวนประกอบของพชื สมนุ ไพร 2. การเก็บเกยี่ วและการจัดการหลงั การเก็บเกีย่ วสมนุ ไพร 3. การคดั เลือกวัตถดุ ิบในการผลิตผลติ ภัณฑส มุนไพร จุดประสงคเ ชงิ พฤตกิ รรม นักเรียนสามารถ 1. บอกสวนประกอบของพืชสมุนไพรไดอยางถูกตอ ง 2. อธิบายการเกบ็ เกี่ยวและการจดั การหลังการเก็บเก่ยี วสมุนไพรไดอ ยางถกู ตอง 3. คัดเลือกวัตถุดิบทใ่ี ชใ นการผลิตผลิตภัณฑสมนุ ไพรไดอยางถกู ตอง 4. บรู ณาการคณุ ธรรม จริยธรรม คุณลกั ษณะอันพึงประสงคไ ด

144 เนอ้ื หาสาระ การคดั เลือกวตั ถุดิบใหไดวัตถุดบิ ท่ีมีคุณภาพ มีความสําคญั มากในการผลติ ผลติ ภัณฑ สมุนไพร เพราะวัตถดุ บิ ที่ใชใ นการผลิตมีความเฉพาะเจาะจงเปนพเิ ศษไมเ พียงเฉพาะการสรา งความ พึงพอใจแกผูบ ริโภคในดา น สี กล่ิน รส เนอ้ื สมั ผัส อันเปนคุณลกั ษณะของผลิตภัณฑท ่วั ๆ ไป แต ผลติ ภณั ฑส มนุ ไพรจะตองตอบสนองผบู ริโภคในดา นคุณลกั ษณะภายในตัวผลิตภัณฑท เ่ี ก่ยี วเนอื่ งกับ สขุ ภาพ หรอื ผลทีเ่ กิดขึ้นจากการใชผ ลติ ภัณฑด ังกลา ว ทําใหใ นการผลิตผลิตภัณฑส มนุ ไพรจะตองมี ความพิถีพถิ ันในการคัดเลอื กวัตถุดิบทนี่ าํ มาใชเปนพิเศษ ส่งิ ทจี่ ะตองศึกษาเพือ่ ใหไดมาซ่ึงวตั ถุดบิ ใน การผลิตผลิตภณั ฑส มุนไพรทม่ี คี ุณภาพ มดี ังนี้ 1. สว นประกอบของพชื สมุนไพร พชื สมุนไพรแตล ะชนิด มีลักษณะสว นประกอบของลําตน ใบ ดอก ราก ผล ท่ีแตกตางกัน ไปตามสายพันธุ ซ่ึงแตละสวนตางกท็ าํ หนา ท่ใี นลกั ษณะเดียวกนั เชน รากทําหนาท่ดี ูดอาหาร มาเลี้ยง ลําตนกิ่งกาน และสวนตา ง ๆ ใบทาํ หนาทปี่ รุงอาหาร ดูด คายคารบอนไดออกไซด และกาซ ออกซเิ จนในชวงเวลาตาง ๆ ดอก ผล เมล็ด กท็ ําหนา ทีส่ บื พนั ธุ เพอื่ ทาํ ใหพ ืชพนั ธุชนิดนน้ั แพรกระจายออกไปเรอ่ื ย ๆ ไมมที ่สี นิ้ สดุ สวนตาง ๆ ของพชื ที่ใชเ ปนพืชสมุนไพรโดยท่วั ไป แบง สวนประกอบตามสว นตา ง ๆ ของพืชได 5 สว นสําคัญดว ยกนั ไดแก ราก ลําตน ใบ ดอก ผล ซึ่งมี รายละเอยี ด ดังนี้ 1.1 ราก คือสวนท่ีทาํ หนา ท่ีดูดน้าํ และอาหาร มาเลีย้ งสวนตาง ๆ ของพืช รากของพืช สมุนไพรมีหลายชนิด นาํ มาปรงุ เปนยาสมุนไพรไดอ ยางดี สามารถแบงรากพืชสมนุ ไพร ตามรปู รา ง ลกั ษณะของราก และการเจริญเติบและการใชป ระโยชน แบง ได 4 ชนดิ คือ 1) รากแกว คือรากเจริญเติบโตออกจากเมล็ด รากแกว มลี ักษณะของโคนราก มี ขนาดใหญอวน และเรียวเลก็ ลงทางปลายราก ดังน้ันปลายรากและโคนราก มีขนาด แตกตา ง กนั อยาง ชดั เจน รากแกว เปนรากที่เจริญเติบโตหยงั่ ลึกลงไปดนิ ในลกั ษณะตง้ั ฉากกับพื้นดิน รากแกวมีในพืช ลมลุกและพืชยนื ตนท่เี ปนพืชใบเล้ียงคู พชื สมนุ ไพรท่ีมรี ากแกว ไดแก ฟก ฟก ทอง คะนา ตนยอ สะเดา ฝรั่ง ทับทมิ ขีเ้ หล็ก คนู เปน ตน 2) รากแขนง เปนรากท่เี จรญิ เตบิ โตออกจากรากแกว มักงอกเอยี งลงไปในดนิ จน เกือบขนาน หรือขนานไปกบั พน้ื ดนิ รากชนดิ นี้อาจแตกแขนงออกเปน ทอด ๆไดอกี เร่ือย ๆ เพอ่ื ยึด เกาะกับดิน และหาอาหาร เปน รากทมี่ โี ครงสรา งภายในรากเหมือนกับรากแกว ทกุ ประการ ขนาด ของรากแขนงจะมีขนาดท่ีเทา ๆ กนั จากโคนจนถึงปลายสดุ รากแขนงของพชื ทม่ี สี าร สาํ คญั ทมี่ ี สรรพคุณทางสมนุ ไพร ไดแก ทับทิม ขอ ย ฝร่ัง ขี้เหลก็ เจตมลู เพลงิ แดง เปน ตน

145 3) รากฝอย เปน รากสว นทงี่ อกมาจากลําตน ของพชื มีลักษณะเสน เล็ก ๆ มากมาย ขนาดโตสมาํ่ เสมอกนั ไมเ รยี วลงท่ีปลายอยา งรากแกว งอกออกจากรอบโคนตนแทนรากแรกท่ฝี อ เสยี ไป หรือทห่ี ยดุ เติบโต พบในพืชใบเล้ียงเด่ยี วเปน สว นใหญ เชน หญาคา ตะไคร เปนตน 4) รากสะสมอาหาร เปน รากที่ทาํ หนาทใ่ี นการสะสมอาหาร ประเภทแปง นํา้ ตาล หรอื อาหารอื่น ๆ เอาไว ทําใหม ีลักษณะอวบอว นเรามกั เรียกวา หวั เชน หวั แครอท ผกั กาดหวั มนั เทศ มนั แกว มนั สาํ ปะหลัง กระชาย ขม้นิ ชนั ขงิ ขา เรว ขม้นิ ออย เปน ตน รากแกว ของผักชี รากแขนงของเจตมูลเพลิง รากฝอยของหญา คา รากกระชายสะสมอาหาร ภาพที่ 4.1 แสดงชนิดของรากพืชทีใ่ ชเ ปน สมุนไพร ถายภาพโดย : สุวฒั นา, 2554. 1.2 ลาํ ตน เปนโครงสรา งท่ีสาํ คญั ของพชื ทกุ ชนดิ โดยปกตแิ ลว ลาํ ตน จะอยู บนดินแตบ าง ชนดิ จะอยใู ตดนิ รูปรางของลําตนนนั้ แบงออกไดเปน 3 สว นดว ยกัน คอื ตา ขอ ปลอง บริเวณเหลาน้ี จะมี ก่ิงกาน ใบ ดอก เกดิ ข้ึนซึง่ จะทําใหพ ชื มีลักษณะทแี่ ตกตางกันออกไป ชนิดของลําตนพืช แบง ตามลกั ษณะภายนอกของลาํ ตนไดเ ปน

146 1) ตนไมย ืนตน คอื ตน ไมทม่ี ีขนาดใหญหรือไมย ืนตน ไมประเภทนมี้ ลี าํ ตนเปน ไม เนอื้ แขง็ ขนาดใหญ มลี าํ ตน หลัก ต้งั ตรง ตนเดียวแลว จึงแตกกิง่ กา นบริเวณยอด โตเต็มท่ีสงู เกิน 5 เมตร มีอายยุ ืนยาวหลายป เชน มะมว ง มะขาม ขนุน ชมพู ยอปา สะเดา มะเกลอื เปนตน 2) ไมพมุ คอื ไมท่มี ลี ําตน ทม่ี ีเนอื้ ไมแข็ง แตข นาดเลก็ กวาไมย นื ตน และ มีลาํ ตน หลักหลายตน มกี ่ิงกา นสาขาแยกไปมากบริเวณใกลโ คนตน ลักษณะเปน พุมสงู ไมเกนิ 5 เมตร มีอายุหลายป เชน ชบา แกว เข็ม พดุ ตาน กระถนิ ชุมเหด็ เทศ ขลู เปน ตน ตนสะเดาไมยนื ตน ตน ขอ ยไมพุม ภาพท่ี 4.2 แสดงชนิดของตนพชื ท่ใี ชเ ปน สมนุ ไพร ถา ยภาพโดย : สวุ ฒั นา, 2554. 3) ไมลมลุก คอื ไมท มี่ ลี าํ ตนเปน ไมเ นื้อออน ไมมีเนอ้ื ไม หรือมีเนื้อไมเ ลก็ นอย บรเิ วณโคนตน แบง ออกไดเ ปน 3 ประเภท คือ (1) ไมล ม ลุกปเ ดยี ว เปนพืชอายุ เพยี ง 1 ฤดู ไมเกิน 1 ป เมอ่ื ออกดอกออกผล แลว จะตาย เชน ฟก ทอง แตงกวา กะหลาํ่ ปลี ดาวเรือง บานชนื่ ทานตะวัน เปนตน (2) ไมลมลุกขา มป เปนพชื ที่มีอายุ 2 ป โดยปแรกจะเจริญเติบโต ทางลําตน และ ใบ แลวออกดอกออกผลในปท่ี 2 จงึ จะตาย เชน กลว ยประดับ สับปะรด เปน ตน (3) ไมล ม ลุกหลายป เปน พืชลมลุกท่ีมอี ายุมากกวา 2 ป และออกดอกออกผลทุก ป เชน บัว พลบั พลงึ มะเขือเปราะ มะเขอื พวง มะแวง กลวยนาํ้ หวา กลว ยหอม เปน ตน

147 4) ไมเถาหรือไมเลื้อย เปนพืชท่ีลําตน มเี น้ือไมหรือไมม เี นื้อไม อายุปเดียว หรือ หลายป ลาํ ตนเลื้อยไปตามดินหรือพนั ส่งิ ท่ีอยใู กลเ คยี ง โดยอาจมอี วยั วะพเิ ศษชวยในการเกย่ี วยึด เชน ราก มือเกาะ ไมเ ลอื้ ยไดแก มะระขนี้ ก ตําลึง กระทกรก กระเทียมเถา เปน ตน ทานตะวนั ไมลมลกุ ปเ ดยี ว สับปะรดไมลมลุกขา มป บวั หลวงไมลมลกุ หลายป มะระขี้นกไมเ ถาเลื้อย ภาพที่ 4.3 แสดงตน พืชทีเ่ ปนไมล มลุกและไมเถาวเลื้อย ถา ยภาพโดย : สุวฒั นา, 2554. 5) ไมร อเล้อื ย ไมร อเลือ้ ยหรือไมพ ุมกึ่งไมเถา เมอ่ื ข้ึนอยูตามลาํ พงั จะทรงตวั อยไู ด โดยกิ่งกานไมเล้อื ยทอดลงดิน ตอ เมอ่ื อยใู กลต น ไมอ ่นื หรือสงิ่ อน่ื ก่ิงกานกจ็ ะทอดเล้ือยพันส่ิงน้นั ๆ เชน การเวก นมแมว กระดังงา เฟอ งฟา บานบุรี พญายอ เปนตน ( ทม่ี า: สมบุญ, 2554.) 6) ไมตระกูลหญา คือ พชื ขนาดเลก็ เตย้ี เล็ก ๆ จดั เปน พืชลมลกุ สว นใหญเปน พชื ใบแคบ พบเห็นไดทั่วไปบนพน้ื ดินรกรางวา งเปลา มกั จะขนึ้ กันเปนหยอ ม ๆ และกระจายตวั เพ่ิม จํานวนไดค อนขา งเร็ว ขนึ้ อยกู ับสภาพแวดลอ ม ภมู อิ ากาศ และความช้ืนในดนิ เชน หญา แฝก หญา คา แหว หมู ออยแดง ตะไคร ตะไครห อม เปนตน

148 การเวกไมรอเลอื้ ย ออ ยแดงพชื ตระกูลหญา ภาพท่ี 4.4 แสดงชนิดของตนพืชท่ีใชเปน สมนุ ไพร ถายภาพโดย : สวุ ัฒนา, 2554. 7) สมุนไพรท่มี ีลาํ ตนใตดิน คือพชื ที่มีลาํ ตน พิเศษสะสมอาหาร ซง่ึ สว นที่สะสม อาหาร นจี้ ะมีสารสาํ คัญที่เรานํามาเปนสมนุ ไพร เชน ขม้ิน ขงิ ขา หัวมนั ฝรั่ง หัวหอม กระเทียม เผอื ก แหว เปนตน ขา กระเทยี ม ภาพท่ี 4.5 แสดงสมุนไพรที่มลี ําตนใตดินสะสมอาหาร ถา ยภาพโดย : สวุ ฒั นา, 2554.

149 1.3 ใบ ใบเปนสว นประกอบทส่ี าํ คัญของตนพชื ทวั่ ไป มีหนาท่ที ําการสงั เคราะหแ สง ผลติ อาหารและ เปนสว นที่แลกเปลยี่ นนาํ้ และอากาศใหต น พชื ใบเกดิ จากการงอกของกิ่งและตา ใบไมโ ดยทว่ั ไปจะมีสเี ขียว (สเี ขยี วเกิดจากสารที่มชี ่ือวา \"คลอโรฟล ล\"อยใู นใบของพืช) ใบของพืช หลายชนิดใชเปน ยาสมุนไพรไดดีมาก ใบของพชื แบง ออกเปน 2 ชนดิ ดงั น้ี 1) ใบเดีย่ ว หมายถงึ กานใบอันหนึ่ง มีเพยี งใบเดยี ว เชน กานพลู ขลู ยอ กระวาน หมอ น 2) ใบประกอบ คือ มีใบยอ ยต้งั แต 2 ใบ ขึน้ ไปทเี่ กดิ ขนึ้ กานใบอันเดียว การดูความ ออนแกข องใบ ถา เปนใบประกอบจะแกพ รอม ๆ กัน แตถา เปน กงิ่ ของใบเด่ยี ว ใบตอนโคนจะแกก วา ใบตอนปลายก่ิง ไดแกม ะขามปอ ม แคบาน ข้ีเหลก็ ใบเดยี่ ว ใบประกอบขนนก ภาพที่ 4.6 แสดงชนดิ ของใบ ถายภาพโดย : สุวัฒนา, 2554. 1.4 ดอก เปน อวัยวะเพอื่ การแพรพ ันธุของพชื เปน ลกั ษณะเดนพเิ ศษของตนไมแตล ะชนดิ สวนประกอบของดอก มีความแตกตา งกันตามชนดิ ของพันธไุ ม ดอกมสี ว นประกอบที่สาํ คัญ 6 สวน ดังน้ี 1) กา นดอก ทาํ หนาท่ชี ดู อก ทําใหด อกยื่นออกจากตนทาํ ใหเดน เปน ท่สี ะดุดตา เพอ่ื ลอแมลงใหม าผสมเกสร และทําใหด อกตดิ กบั ก่ิงหรือลาํ ตน 2) ฐานรองดอก เปน สวนประกอบทท่ี าํ หนา ที่รองรับสวนอนื่ ๆ ของดอก ฐานรอง ดอก คือสว นท่ีเจรญิ เตบิ โตแผขยายตอ จากปลายกานดอก มกั จะมีกลีบเลยี้ งหมุ ไวอกี ชั้นหนงึ่

150 ฐานรองดอกของพืชบางชนิดอาจจะหุมรังไขไ วทัง้ หมด เม่ือรงั ไขเจริญขึน้ ฐานรองดอกก็เจริญดวย และฐานรองดอกของพืชบางชนิด กลายเปนเนื้อของผลท่ใี ชรับทานได เชน ชมพู ฝรั่ง แอปเปล สาล่ี ทอ เปนตน 3) กลีบเลีย้ ง เปน กลีบเล็ก ๆ สีเขียว อยลู างสุดของดอก ในระยะทีด่ อก เริม่ ผลิดอก ออกมาใหมๆ เราจะเห็นดอกตมู สีเขียว เมือ่ ดอกตูมขยายโตข้นึ สเี ขียวท่ีหุมดอกจะแยกออกมารองรบั กลีบดอกกลีบสีเขยี วน้นั คือกลีบเล้ยี งนัน่ เอง กลบี เลี้ยงจะทําหนาท่ีหอหมุ ดอกตมู และปอ งกัน อันตรายใหกลีบดอกในขณะที่ยังออนอยู 4) กลีบดอก เปน สวนท่ีอยูเหนอื ขึ้นมาจากกลีบเลย้ี ง กลบี ดอกสวนใหญ จะมสี สี วย สะดดุ ตา หลายชนดิ มกี ล่ินหอม ความสวยงามของดอกจะข้ึนอยูกบั สี ลกั ษณะและจาํ นวนของกลบี ดอกเปน สําคัญ กลบี ดอกเปนสวนทบี่ อบช้าํ งา ย และรว งโรยเรว็ กวา สวนประกอบอื่น 5) เกสรตัวผู มลี กั ษณะคลายหลอดอันเล็ก ๆ มักมีสขี าว ปลายหลอดจะมีอับใส ละอองเกสร รปู รางคอนขางกลม เกสรตัวผูจะอยถู ดั จากกลบี ดอกเขา มาขางในดอก กานของเกสร ตัวผูอาจจะติดกบั กลีบดอก หรือแยกออกมาตางหากกไ็ ด แลวแตชนิดของพชื ดอกไมดอกหนึ่ง ๆ อาจมีเกสรตวั ผูตง้ั แตหน่ึงอันไปจนถงึ หลาย ๆ อัน 6) เกสรตัวเมยี เปน สวนทอ่ี ยูตรงกลางของดอก อาจจะมีอันเดียวหรือ หลายอัน เกสรตวั เมียโดยทว่ั ไป จะประกอบดวย รังไขท่อี ยูลางสดุ บรเิ วณฐานรองดอก ภายในรังไขจ ะบรรจุ ไขออ นเลก็ ๆไว เหนือรงั ไขจะเปนทอยาวข้ึนมา เรียกวา กา นชูเกสร ในทอของกานชูเกสรจะมีน้าํ เหนยี ว ๆ อยเู พื่อนาํ เชื้อตัวผู ลงมาผสมกบั เชอ้ื ตัวเมียในรังไข และบนสดุ เปนยอดเกสรตัวเมีย ซึง่ มนี า้ํ เหนยี ว ๆ อยูเชนกนั น้ําเหนียว ๆ น้จี ะชวยยึดเกาะเกสรตัวผู ใหเขา มาผสมกับเกสร ตัวเมยี ไดด ขี ึ้น ภาพที่ 4.7 แสดงสว นประกอบของดอก ทีม่ า : http://www. myfirstbrain.com /, 2554.

151 1.5 ผลและเมล็ด คอื สวนหนึง่ ของพชื ท่ีเกิดจากการผสมเกสรตวั ผูกับเกสรตวั เมียในดอก เดียวกันหรือคนละดอกกไ็ ด ผลคือสว นของรังไขท ี่พฒั นาเมอ่ื ไดรับการผสมแลว สวนเมลด็ คอื ไข ออนท่ไี ดรบั การผสมแลว มีลกั ษณะรูปรางทีแ่ ตกตางกนั ออกไป ประเภทของผลมี 2 ลกั ษณะ ดงั น้ี 1.5.1 แบงตามลักษณะของการเกดิ แบง ออกได 3 แบบ 1) ผลเด่ยี ว หมายถงึ เปนผลท่ีเกดิ จากดอกเพยี งดอกเดยี ว ดอกอาจจะอยู เดยี่ วๆ หรืออยูเปนดอกชอ ตัวอยา งผลเดีย่ วทีเ่ กดิ จากดอกเพียงดอกเดยี ว คือ ตําลงึ มะเขือ แตงกวา สม ฟกทอง สว นผลเด่ยี วที่เกดิ จากดอกชอ เชน ชมพู มะมวง มะกอก มะปราง มะนาว ลักษณะเดน ของ ผลเด่ยี ว คือ จะมีรงั ไขเ พยี ง 1 อัน ใน 1 ดอก ซ่งึ จะเปน ดอกเดี่ยวหรือดอกชอก็ได สําหรับดอกชอรงั ไข ของแตล ะดอกตองไมม กี ารหลอมรวมกัน 2) ผลกลมุ หมายถึง ผลท่ีเกดิ จากกลมุ ของรังไขท ี่อยูภายในดอกเดยี วกัน และ อยูบนฐานรองดอกเดยี วกัน โดยที่รังไขแ ตละอันจะเปน ผลยอ ยหน่งึ ผลแตเมอื่ ผลเหลานั้นอยอู ดั กัน แนน ทาํ ใหดคู ลายเปนผลเด่ียว เชน ลกู หวาย นอยหนา สตรอเบอรี่ ลกั ษณะสําคญั ของดอกทีจ่ ะ กลายเปนผลกลุม คอื ใน 1 ดอกของดอกเดย่ี วมีรงั ไขอ ยหู ลายอันซงึ่ อาจจะเช่ือมรวมกนั หรือไมเช่ือม รวมกันกไ็ ด มะมวงผลเด่ยี ว นอ ยหนาผลกลุม ภาพท่ี 4.8 แสดงลกั ษณะของผลประเภทผลเดีย่ ว และผลกลมุ ถายภาพโดย : สุวัฒนา, 2554. 3) ผลรวม คอื ผลทเ่ี กิดจากดอกชอ ท่มี ีรงั ไขข องดอกแตละดอก รังไขเ หลา น้ี กลายเปน ผลยอยท่ีเชือ่ มตอ แลว รวมกันแนน เหมือนเปนผลเดีย่ ว ตัวอยา งของผลชนิดนี้ ไดแ ก ขนุน สาเก สบั ปะรด มะเด่ือ หมอน สน ลูกยอ

152 ขนุน หมอ น ภาพที่ 4.9 แสดงลกั ษณะของผลชนิดผลรวม ถายภาพโดย : สวุ ัฒนา, 2554. 1.5.2 แบง ตามลักษณะของเนื้อภายในผล แบงออกได 3 แบบดังนคี้ ือ 1) ผลสด คอื ผลท่แี กแ ลว มีผนังผลท่เี ปยก สด ไมแ หง เชนพทุ รา มะมว ง มะละกอ มะเขอื เทศ สม มะนาว นา้ํ เตา เปนตน 2) ผลแหง คอื ผลท่แี กแลวผนงั ผลแขง็ และแหง เชน ขา ว มะพรา ว ผลของ พืชตระกลู ถ่ัว ผักกาด จาํ ปา เปนตน สมมลี ักษณะเปน ผลสด ถัว่ ฝกยาวมลี ักษณะเปนผลแหง ภาพท่ี 4.10 แสดงลักษณะของผลสดและผลแหง ถายภาพโดย : สุวฒั นา, 2554.

153 2. การเก็บเกยี่ วและการจัดการหลงั การเกบ็ เกยี่ วพืชสมุนไพร 2.1 หลกั การโดยทั่วไปในการเก็บเก่ยี วพืชสมุนไพร พืชสมุนไพรท่ีนาํ มาใชเปนวตั ถุดิบในการผลิตผลิตภัณฑส มุนไพรนั้น เราจะเก็บ เกี่ยวเอาเฉพาะสวนทีใ่ ชเปนยา เพ่ือนาํ มาทําเปนผลิตภัณฑตามตํารับยา หรือตามสูตรท่ีเราใชในการ ผลิต เพราะพืชสมุนไพรบางชนิดใชเฉพาะเปลือกของลําตน บางชนิดใชเฉพาะเปลือกราก บาง ชนิดใชดอก บางชนิดใชผล แตบางชนิดอาจใชใบหรือสวนของรากมาทาํ เปนผลิตภัณฑ ดังนั้น เรา ตองปฏิบัติในการเก็บสวนตา ง ๆ ของพืชสมุนไพร เพื่อนาํ มาใชทาํ เปนวัตถุดิบใหถูกตอง หลักสําคัญในการเก็บเกี่ยวพชื สมุนไพร เพื่อใหไดคุณภาพที่ดีตามตองการ มี สารสาํ คัญซึ่งมฤี ทธใิ์ นการรักษาในปริมาณทส่ี ูงท่สี ุดของพืชสมุนไพรน้ัน ๆ ปจจัยท่ีมีผลตอคุณภาพ ของสมุนไพร มีดังน้ี 1) เก็บเกี่ยวสมุนไพรใหถูกตน เปนการเก็บเก่ียวสมุนไพรใหถูกกับชนิดของพืช นั้น ๆ เพราะพืชบางชนิดมีลักษณะคลายคลึงกันมาก ผูเกบ็ เก่ียวจะตองมีความชาํ นาญในการจําแนก ชนิดของสมุนไพร บัวบก แวนแกว ภาพท่ี 4.11 แสดงลกั ษณะพชื ท่ีมลี กั ษณะคลา ยคลึงกนั ถา ยภาพโดย : สุวฒั นา, 2554. 2) เก็บเกี่ยวสมุนไพรใหถูกสวน โดยตองดูใหชัดเจนวาในสวนผสมผลิตภัณฑ นั้น ๆ ใชสวน ราก ลําตน ใบ ดอก ผล หรือใชท้ังตนของพืชสมุนไพรในการผลิต แลวเก็บเกี่ยวให ถูกตอง

154 3) เก็บเก่ียวใหถูกอายุ จะตองมีการศึกษาวาสมุนไพรชนิดนั้น ๆ ในสวนท่ีเราจะ เก็บเก่ียวนั้น จะตองมีอายุมากนอยเพียงใด จึงจะใหสาระสําคัญหรือสารออกฤทธิ์มากที่สุด และ เก็บเก่ียวได 4) เก็บเกี่ยวใหถูกเวลา ในการเก็บเกี่ยวสมุนไพรใหมีคุณภาพที่ดีท่ีสุดนั้น จําเปนจะตองเก็บเกี่ยวในเวลาที่เหมาะสม จึงจะไดสารสาํ คัญมากที่สุด เชน การเก็บเกี่ยวขมิ้นใน ชวงเวลาหลังจากการเจริญเติบโตเต็มที่ สารสําคัญจะสะสมในหัวขม้ินมากท่สี ุด เปนตน ดังนั้น ในการเก็บเก่ียวพืชสมุนไพร เพ่ือใชเปนวัตถุดิบจําเปนตองปฏิบัติให ครบถวน ตามหลักการเบ้ืองตนดังกลาว เพราะส่ิงเหลาน้ีจะมีผลตอปริมาณของตัวยา หรือ สารสําคัญท่ีมีในสมุนไพรท่ีเปนวัตถุดิบสาํ คัญในการผลิตผลิตภัณฑสมุนไพร และเกี่ยวโยงถึง ประสิทธิภาพของการใชผลิตภัณฑเพ่ือดูแลสุขภาพ หรือรักษาโรคภัยตามวัตถุประสงคของการใช ผลิตภัณฑนั้น ๆ ตารางท่ี 4.1 แสดงเกณฑท ่ีใชใ นการเก็บเกีย่ วสมุนไพรเพื่อใหไ ด สารสาํ คัญในปริมาณสูงสดุ สวนของพืช ชวงการเก็บเกี่ยวท่ีเหมาะสม ใบ หรือท้ังตน เชา หรือเย็น ในระยะที่พืชโตเต็มท่ีคือชวงออกดอกจนถึง กอนผลโตเต็มที่ ดอก เชา ในระยะดอกตูมถึงชวงดอกเริ่มบานขณะยังอยูบนตน ผล โตเต็มที่, แกจัดยกเวนบางชนิดเก็บผลดิบ เมล็ด ชวงผลแกจัด หรือสุกงอม แกนหรือเปลือกของราก และลําตน ชวงปลายฝน ตนหนาว ราก และลาํ ตนใตดิน หลังปลกู แลว 8-10 เดือน ชวงหนาวถึงรอนซึ่งเปนชวงที่พืช พักตัว หรือใบรวงหมด และลําตนเหนือดินโทรมแลว ที่มา: ดัดแปลงจาก มณฑา, 2545. คณุ ภาพของสมุนไพรท่ีจะใชรักษาโรคไดด หี รอื ไมนั้น นอกจากขึ้นกับหลกั การท่กี ลาวถึง ไปแลว ยงั มปี จจัยอนื่ ๆ ที่จะตองคํานึงถงึ อีกดวย ไดแ ก ปจจัยดา นพื้นดนิ ทปี่ ลกู พืชสมนุ ไพร เชน ลําโพง ควรปลูกในพน้ื ดินทเ่ี ปน ดา ง จะมีปริมาณตัวยาสงู สะระแหน หากปลกู ในทีด่ นิ ทราย ปริมาณ น้ํามันหอมระเหยสงู ปจจัยดานสภาพแวดลอมในการเจริญเติบโต และปจ จยั ดา นภูมิอากาศ เปนตน

155 สง่ิ เหลาน้ตี างกม็ ผี ลตอพืชสมุนไพรดวยกนั ทัง้ สน้ิ จงึ ควรพิจารณาใหด ีในเรื่องน้ีดว ย จะทําใหไ ดพชื สมุนไพรทีด่ ีมคี ณุ ภาพ ใชเปนวัตถุดบิ ในการผลติ ผลิตภณั ฑสมนุ ไพรทมี่ คี ุณภาพตอไป ตารางท่ี 4.2 แสดงการเกบ็ เกี่ยวพืชสมนุ ไพรบางชนดิ การเกบ็ เก่ียวเพ่ือใหไ ดสารสาํ คัญสูงสุด พืช สวนทเ่ี ก็บเกี่ยว อายกุ ารใหผลผลติ สภาพตนพืช ขมนิ้ ชัน เหงา 9-10 เดือน เหงา แกรง ตนแหง ฟบุ ขเ้ี หลก็ ใบ 1-10 ปข ึ้นไป เก็บใบออน 5 ใบโดยนบั จากยอด คําฝอย เกสร เมลด็ 90-100 วนั ลําตน ใบ ชอดอก แหง ไมมีชอ ดอก 120 -150 วัน ตะไครหอม ใบ 8 เดอื น -3 ป ตนมีขอ เดน ชัด ระยะกอ นออกดอก บกุ หวั ใตด ิน 2-3 ป ตนแหง ไมมใี บสด หวั บนใบ 1 ป ประมาณเดือน ส.ค-ก.ย. ไพล เหงา 1-3 ป อายุ 2 ปข้นึ ไป ตนฟุบ ไมเก็บชวงฝน หรือเมือ่ แตกหนอใหม ฟา ทะลายโจร ใบ 110-120 วัน เรมิ่ ออกดอกไมควรใหเรม่ิ ตดิ เมล็ด มะขามแขก ใบ 50-90 วัน เม่อื เริม่ ออกดอก ฝก 80-120 วนั เกบ็ ฝกอายุ 20-23 วัน เทานั้น ฝก ไมแก เริม่ มีเมล็ดใส ๆ มะแวง เครือ ผล 8 เดอื น ผลแกแตยังไมสุก เร่ิมเปลย่ี นเปน สเี หลืองอมสม สมแขก ผล 8-10 ป ผลสกุ แกขนาดโตเตม็ ท่ี ดปี ลี ผล 1-5 ปขนึ้ ไป แกจ ดั แตไ มสุก สเี หลืองอมสม ท่ีมา: ดัดแปลงจาก มณฑา, 2545. 2.2 วิธกี ารเกบ็ เกี่ยวสวนตาง ๆ ของพชื สมนุ ไพร แบง ออกไดดังนี้ 1) สมุนไพรท่ีเกบ็ สว นยอดหรอื ใบท้ังตน สมนุ ไพรทีเ่ กบ็ ยอดหรือใบ ควรเลือก เกบ็ ใบที่เจริญเตบิ โตมากทสี่ ดุ หรือพชื บางอยางอาจระบุชวงเวลาเก็บอยา งชดั เจน เชน เก็บไมออน หรือไมแกเ กินไป หรอื เก็บใบแก หรือเกบ็ ใบลา งสดุ เปนตน การกาํ หนดชวงเวลาที่เก็บใบ เพราะ ชวงเวลานน้ั ในใบมีตวั ยามากทีส่ ุด

156 วธิ กี ารเกบ็ ใชวิธีเด็ด ตัด สวนของใบหรอื ยอดออน ใชวิธเี ด็ด สว นทเ่ี ปนใบแก มกี า น เหนยี วควรใชก รรไกร หรือ มีดคม ๆ ตัด ขอควรระวัง คือ อยา ใหใ บหรือกา นใบชํ้า จะทําใหเกิดการ เนา และลามไปยังสว นดที าํ ใหส ารสําคญั ในสมนุ ไพรถูกทําลาย เชน ใบวา นหางจระเข ใบกระเพรา ใบฝรง่ั ใบฟาทะลายโจร เปน ตน 2) สมนุ ไพรท่ีเก็บสวนเปลือกตนหรือเปลือกราก เปลอื กตน โดยมากเก็บชวงฤดู รอนตอ กบั ชวงฤดูฝน ปริมาณยาในพชื สมนุ ไพรมีสูง และลอกออกไดง าย สะดวกในการลอกเปลือก ตน นนั้ อยาลอกเปลือกออกท้ังรอบตน เพราจะกระทบกระเทอื นในการสงลาํ เลียงอาหารของพืช จะทาํ ใหตายได ทางทดี่ ีควรลอกเปลือกก่งิ หรือสวนท่ีเปน แขนงยอ ย ไมควรลอกออกจากลําตนใหญข อง ตน ไม หรอื จะใชวิธีลอกออกในลกั ษณะครงึ่ วงกลมก็ได สว นเปลือกราก เกบ็ ในชวงฤดฝู นเหมาะ ทสี่ ดุ เนือ่ งจากการลอกเปลือกรากเปนผลเสียตอการเจริญเตบิ โตของพชื ควรใสใ จวธิ ีการเกบ็ ท่ี เหมาะสม วิธีการเก็บ ใชมือลอกในกรณีท่ีลอกงาย หากเปลือกติดจะใชมีด สับ ถาก เปลือกออก ขอควรระวงั คืออยาใหเ ปลือกหรอื เนื้อไมช า้ํ มาก จะทําใหเ กดิ การเนา ได ยอดหรือใบ ใชว ิธีเดด็ ภาพที่ 4.12 แสดงการเกบ็ สมนุ ไพรในสว นของ ยอด หรือใบ ถายภาพโดย : สวุ ัฒนา, 2554.

157 เปลือกตนใชว ธิ ลี อกครึ่งวงกลม เปลอื กที่ลอกได ภาพท่ี 4.13 แสดงการเกบ็ สมุนไพรในสว นของเปลอื กไม ถา ยภาพโดย : สวุ ฒั นา, 2554. 3) สมนุ ไพรท่เี ก็บสวนหัว หรือราก สมควรเกบ็ ในชว งเวลาท่พี ืชหยุดการ เจริญเตบิ โต ใบ ดอก รวงหมดแลว หรือในชว งตน ฤดหู นาวถึงปลายฤดรู อน เพราะเหตุวาในชว งเวลา น้ีรากและหัวมีการสะสมปริมาณตัวยาเอาไวค อนขางสูง วธิ ีการเก็บ ใชว ธิ ีขดุ ดวยความระมดั ระวงั ใหมาก อยา ใหรากหรอื หัวเกดิ การเสียหาย แตกชํา้ หกั ขาดได รากหรือหวั ของพชื สมนุ ไพรก็มี ขม้นิ ขา กระชาย กระทือ ขิง เปนตน หัวขม้ินชันที่ขุดได ผงึ่ ใหดินรวงกอนนาํ ไปลา ง ภาพท่ี 4.14 แสดงการเก็บสมนุ ไพรในสวนของหวั หรือรากใชว ธิ ขี ุด ถา ยภาพโดย : สวุ ัฒนา, 2554.

158 4) สมุนไพรทีเ่ กบ็ สวนดอก โดยท่วั ไปเก็บในชว งดอกเร่ิมบาน เชน ดอกคาํ ฝอย ดอกเบญจมาศแตบ างชนิดเก็บในชวงดอกตมู เชน กานพลู พชื ทใ่ี หนา้ํ มนั ระเหย ควรเกบ็ ขณะดอก กาํ ลงั บานและสมุนไพรที่มีกลิน่ หอมควรจะเกบ็ ในเวลาเชา มดื เพื่อใหส ารที่เปน ยาซ่งึ อยูในนํ้ามนั หอม ระเหยนน้ั ไมระเหยหายไปกับแสงแดดเชน กะเพรา เปนตน วิธีการเก็บ ใชวิธีเด็ด หรือตัด หากเปน สวนของดอกตมู หรอื ดอกออ น จะใชวิธเี ดด็ สว นทเ่ี ปน ดอกบานมกี า นเหนยี ว ควรใชก รรไกรตดั กิง่ ตัด ขอ ควรระวังคืออยา ใหดอกหรอื กา นคอก ชา้ํ จะทาํ ใหเกิดการเนา และลามไปยงั สว นดีทําใหส ารสําคญั ในสมุนไพรถูกทาํ ลาย 5) สมนุ ไพรทเ่ี กบ็ สว นผลและเมลด็ พืชสมุนไพรบางอยา ง อาจจะเกบ็ ในชว งที่ ผลยังไมสมบูรณ หรือยงั ไมสกุ ก็มี เชน ฝร่ังเก็บเอาผลออนมาเปน ยาแกท องรวง แตโดยทวั่ ไปมัก เกบ็ เม่ือผลแกเ ตม็ ท่แี ลว ตัวอยาง เชน มะแวง ดีปลี เมลด็ ฟก ทอง เมล็ดชุมเห็ด เมลด็ สะแก เปน ตน วิธีการเก็บ ใชวิธีเด็ด หรือวิธีตัด ในสวนของผล สวนเมล็ดจะใชวิธีแกะหรือควักเอา เมล็ดออกมาลางใหส ะอาด แลวผ่ึงใหแหง นอกจากวิธีการเก็บท่กี ลาวมาแลว ตามการถายทอดประสบการณของแพทยไทยโบราณ นั้น ยังมีการเก็บยาตามฤดูกาล วัน โมงยาม และทศิ อีกดวย เชน ใบควรเก็บในตอนเชาวันอังคาร ฤดู ฝนทางทิศตะวันออก เปนตน อยางไรก็ตามในที่นี้ขอแนะนําใหใชหลักการเก็บสวนที่ใชเปนยา สมุนไพรขางตน นอกจากนท้ี านผูศึกษาการเก็บและการใชสมุนไพร สามารถเรียนรูไดจากหมอ พ้ืนบานที่อยูในหมูบาน ซ่ึงมีประสบการณเก็บยาและการใชยามาเปนเวลาชานาน ดอกใชวิธเี ดด็ เมลด็ ใชว ธิ แี กะฝก ภาพที่ 4.15 แสดงการเกบ็ สมนุ ไพรในสว นของ ดอกและแกะเมล็ด ถา ยภาพโดย : สุวฒั นา, 2554.

159 2.3 การจดั การหลังการเก็บเกี่ยวสมนุ ไพร หลังจากการเกบ็ เกีย่ วสมุนไพรแลว จะตองมสี ่งิ ทต่ี องปฏบิ ัตใิ นการทจ่ี ะดูแลให วตั ถดุ บิ ทไี่ ดย ังคงคณุ ภาพและพรอ มทจี่ ะเขาสูก ระบวนการแปรรูปอน่ื ๆ ตอไปอกี ดงั น้ี 1) การคัดเลือกสิง่ แปลกปลอม คือ การคัดวัสดปุ ลอมปน ไดแ ก ส่ิงอนื่ ๆ ที่ ไมใชสวนของพชื สมนุ ไพรท่ีใช หรอื เปนพืชชนิดอ่นื ท่ีมคี วามคลายคลึงกนั และรวมถึงการปนเปอน ท่มี องเห็นไดด วยตาเปลาอืน่ ๆ เชน เปลือกเมลด็ เศษหญา เศษไม หนิ ดนิ ฝนุ ละออง เปนตน การฝด เอาส่ิงแปลกปลอมออก การเลือกเกบ็ ออก ภาพท่ี 4.16 แสดงการคัดเลอื กสงิ่ แปลกปลอมท่ีไมต อ งการ ถา ยภาพโดย : สุวัฒนา, 2554. 2) การคดั ทิ้งสวนที่เนา เสยี ออก เปน การตัดสวนทไี่ มตองการออก โดยสวนน้ัน ๆ อาจเปนโรคหรอื แมลงกัดแทะ หรอื อาจคัดท้งิ ท้ัง ช้ินสวน ผล เมล็ด เพ่ือไมใ หสวนเสียแพรกระจาย ไปยังสวนดี 3) การตัดแตง คือการยอยขนาดของสมุนไพรใหม ขี นาดเลก็ เหมาะสมในการ แปรรปู และเก็บรักษา หรือเปน การตัดเอาสว นท่ี เนา เสยี สว นเกนิ ทไี่ มตองการทิ้ง เชน การตัดราก ฝอยท่ตี ิดมา การปอกเปลือก การหน่ั เปนช้นิ ขนาดเลก็ ลง เปน ตน 4) การทําความสะอาด นอกจากส่ิงแปลกปลอมทคี่ ัดออกแลว ยังมสี ง่ิ ปนเปอ น อื่น ๆ ทีต่ องกาํ จัดออกไปเพื่อความปลอดภยั เชน ฝุนละออง เชอื้ จลุ นิ ทรีย สารเคมีตกคางท่ีติดมา ซึ่ง วธิ กี ารทําความสะอาดขึน้ อยกู ับความเหมาะสมของพชื สมุนไพรแตล ะชนดิ ดังนี้

160 การตัดสว นทไี่ มตอ งการออก การลางใบหมอ นดวยนํา้ สะอาด ภาพที่ 4.17 แสดงการตัดแตงสมนุ ไพรดวยการตัด และการลา งดวยน้าํ สะอาด ถา ยภาพโดย : สุวัฒนา, 2554. (1) การแชน้าํ ใชก บั พชื สมุนไพรทม่ี ผี ิวบางบอบชํา้ งา ย แตไมค วรแชน าน ๆ เพราะอาจทาํ ใหสารสําคัญท่ีละลายนา้ํ ไดง ายในพชื สมนุ ไพรบางชนิดละลายออกไป (2) การลา งดวยนํา้ สะอาด ควรใชตะแกรงรองรับเพื่อปองกันสวนของพชื สมนุ ไพรหลดุ ลอยไปตามนํ้า เพราะสมนุ ไพรบางชนิดอาจเปราะหกั หรือหลดุ รว งงา ย (3) การใชผ า สะอาดเชด็ แทนการลา ง พืชสมุนไพรบางชนิดไมสามารถลางนํา้ ได เชน ดอกท่ีหลุดรว งงาย ผล หรือเมลด็ พืชบางชนดิ (4) การนง่ึ หรือลวกน้ํารอนกอนทําใหแ หง ใชก บั สวนของรากหรือลําตนใน พืชสมนุ ไพรบางชนิดทจ่ี ะตองตากใหแหง สนิทกอนจึงจะเกบ็ รกั ษาไดน านโดยไมเ กิดเช้ือรา ซึ่งความ รอนจากการน่งึ หรือลวกนน้ั จะไปทําลายเอน็ ไซมที่เปน ตัวเรงใหเกดิ การยอ ยสลายสารประกอบใน สมนุ ไพร 5) การทําสมุนไพรแหง การนาํ พชื สมุนไพรมาใชม ีทงั้ ใชส ดและแหง การทําใหแ หง นับวา เปนกระบวนการทส่ี าํ คัญ เพราะจะตองทําใหแหงสนทิ จรงิ ๆ ไมเ ชนนัน้ จะทาํ ใหเกดิ เชื้อราขณะ เก็บรักษาได โดยทั่วไปสมนุ ไพรแหงจะใหมคี วามช้ืนไดไ มเ กินรอยละ 13 การทาํ ใหสมุนไพรแหงมี 3 วธิ ี ดังนี้

161 (1) การตากแดด โดยนําสมุนไพรใสในภาชนะโปรง เชน ตะแกรง กระจาด หรือกระดง การตากแดดเปนท่ีนยิ มในการใชตากพืชสมุนไพรเกอื บทุกชนิด โดยเฉพาะ แกน เปลอื ก ราก ผล และใบ (2) การผึ่งในที่รม มีพชื สมนุ ไพรบางชนดิ ทไ่ี มควรตากแดดโดยตรง เพราะ อาจมีสารออกฤทธ์ทิ ีร่ ะเหยไดง า ยเมือ่ ถกู ความรอนจากแสงแดด เชน สารกลมุ นํ้ามันหอมระเหย พชื สมนุ ไพรกลมุ น้ี ไดแ ก ผวิ มะกรดู ใบมะกรดู กะเพรา หอม กระเทียม ยาสบู เปน ตน การตากแดด การผ่งึ ในท่ีรม ภาพท่ี 4.18 แสดงการทําสมุนไพรแหง ดวยการตากแดด และผึง่ ในทีร่ ม ถา ยภาพโดย : สุวฒั นา, 2554. (3) การอบแหง เปนการทาํ ใหพืชสมุนไพรแหงอยางรวดเร็ว และสมํ่าเสมอ ท้ังยงั สะดวกในการควบคมุ ระดับอุณหภมู ทิ ใ่ี ชในการอบแหง การอบแหงจะตองกําหนดระดบั อณุ หภูมิใหเหมาะสมกบั พชื แตล ะชนดิ แตละสว นของพืช เพราะพืชแตละชนิด เชน พืชประเภทท่มี ี นาํ้ มันหอมระเหย จะใชระดับอุณหภูมิที่ตา่ํ กวา พชื ท่ีไมม ีน้าํ มนั หอมระเหย หรือสวนดอกและใบ ของพชื จะตองใชระดับอุณหภมู ติ ํา่ กวาสว นรากและก่ิงของพืช ซ่ึงอุณหภูมิทีเ่ หมาะสม ดังแสดงใน ตาราง

162 ตารางที่ 4.3 แสดงอณุ หภมู ิท่ีใชในการอบแหง สว นของพืชสมนุ ไพร ชนดิ ของสวนพืชสมุนไพร อุณหภมู ิท่ีใชใ นการอบแหง ( oC ) 1. ดอก ใบ ทั้งตน 20 – 30 2. ราก ก่งิ ราก ผวิ 30 – 65 3. ผล 75 – 95 4. สมุนไพรท่ีมีน้ํามันหอมระเหย 25 – 30 5. สมุนไพรทมี่ ไี กลโคไซด และอลั คาลอยด 50 – 60 ที่มา: ดัดแปลงจาก มณฑา, 2545. การอบดวยตูควบคมุ อณุ หภูมิ การอบดวยตูพ ลงั แสงอาทิตย ภาพท่ี 4.19 แสดงการทําสมนุ ไพรแหง ดว ยการอบ ถา ยภาพโดย : สวุ ัฒนา, 2554. 6) การเกบ็ รกั ษาสมุนไพร เมอื่ พืชสมุนไพรแหง สนิทแลว จะเปนข้นั ตอนการเก็บรักษา ซงึ่ จะตอ งมีการปองกนั ความช้นื ท่ีเกดิ กับพชื ปอ งกนั การเขาทําลายของแมลง เช้ือราและแบคทีเรีย ซึ่งเปน องคประกอบสาํ คัญทเี่ รงใหสมุนไพรเสื่อมคณุ ภาพเร็ว หลกั การเกบ็ รักษาพชื สมนุ ไพรแหง ควรปฏบิ ตั ดิ งั นี้ (1) ควรเก็บรกั ษาในที่สะอาด เย็น ไมอบั ช้ืน มอี ากาศถา ยเทไดด ีและไมถกู แสงแดด

163 (2) เก็บในภาชนะที่ปดมดิ ชิด ปอ งกนั การปนเปอน และแมลงเขาทาํ ลาย (3) ควรแยกเก็บสมุนไพรแตละชนดิ ใหเ ปน สดั สวน เปนหมวดหมู (4) สมุนไพรท่ีมกี ลิ่นหอมหรอื ท่ีมีสารระเหย ตอ งบรรจใุ นภาชนะท่ไี มดดู กลิ่น (5) ถา เปน สมนุ ไพรที่ชื้นงา ยตอ งหมั่นนาํ ออกผึ่งแดด หรืออบแหง ทกุ 2-3 เดอื น (6) ควรปดฉลากแสดงรายละเอียดไวท ่ีภาชนะเชน ชอื่ สมุนไพร วันเดือนป ทเ่ี ก็บ มหี องเก็บท่คี วบคมุ อุณหภูมิได เกบ็ ในภาชนะทีป่ ด มดิ ชิด เกบ็ ให เปนหมวดหมู สารระเหยเกบ็ ในภาชนะทไ่ี มด ดู กลิ่น ภาพที่ 4.20 แสดงการเก็บรักษาสมุนไพร ถา ยภาพโดย : สวุ ฒั นา, 2554.

164 ตอ งมีการตรวจสอบความช้ืน ควรปดฉลากแสดงรายละเอียด มีเอกสารบอกอายุการเก็บรกั ษา มบี นั ทกึ การทาํ ความสะอาดหอ งเก็บ ภาพท่ี 4.20 แสดงการเกบ็ รักษาสมุนไพร (ตอ) ถา ยภาพโดย : สุวัฒนา, 2554. (7) ไมค วรเกบ็ นานเกนิ กวา 3 ป เพราะสาระสาํ คญั ในสมุนไพรจะสูญเสยี ไปมาก แลว (8) ควรมกี ารทําความสะอาดหองเก็บสมนุ ไพรเปนประจํา การเก็บรกั ษาพชื สมุนไพรไวในทแ่ี หง และเย็น จะมีระยะเวลาการเกบ็ รกั ษาแตกตางตาม ประเภทของพืชสมุนไพร ดังแสดงในตาราง

165 ตารางท่ี 4.4 แสดงอายกุ ารเกบ็ รกั ษาพืชสมนุ ไพร ประเภทตา ง ๆ ประเภทพืชสมนุ ไพร อายุการเก็บรักษาโดยเฉลย่ี 1. พชื สมนุ ไพรแหง โดยทวั่ ไป 5 ป 2. พชื สมนุ ไพรรสขม 3. พืชสมุนไพรท่มี นี าํ้ มันหอมระเหย 1.5 – 5 ป 1.5 – 3 ป ที่มา: ดัดแปลงจาก มณฑา, 2545. 3. การคดั เลอื กวตั ถดุ ิบในการผลิตผลติ ภณั ฑส มุนไพร วตั ถดุ ิบ คือ สมุนไพรท่จี ะนํามาใชใ นการผลิตผลติ ภัณฑสมุนไพรนั้น ๆ จะตองผา น การคัดเลือกเปนอยา งดีเพอื่ ใหไดวัตถุดิบท่ีดี มีคุณภาพสงู ทีส่ ดุ เมอื่ นาํ มาผลิตผลติ ภณั ฑจ ะทําใหไ ด ผลติ ภัณฑสมุนไพรท่ีดีมีคุณภาพ หากการคัดเลือกวัตถดุ ิบไมด ี วัตถุดิบสมุนไพรไมม ีคุณภาพ เมอื่ นาํ มาผลิตจะไดผ ลิตภัณฑส มนุ ไพรท่ีไมมีคุณภาพ สงผลทําใหผูบ ริโภคขาดความเชอ่ื ถือในผลิตภณั ฑ สมนุ ไพรชนิดน้ัน ๆ ในการคดั เลอื กใหไดวัตถุดิบทดี่ ีมีคุณภาพ มีหลกั ในการพจิ ารณาดงั นี้ 1) อายสุ มุนไพร ในการคัดเลือกสมุนไพรเพ่ือการทาํ ผลิตภัณฑส มุนไพรทด่ี ี ควรเลือกจากสมนุ ไพรท่ีโตเต็มที่ หรือมอี ายุที่เหมาะสมในการเกบ็ จะทําใหไดปริมาณของสารสําคญั หรอื มีตัวยาสงู มีสรรพคุณทางยาดีมาก อายทุ ี่เหมาะสมในการเก็บและคัดเลอื ก ของสมุนไพรแตล ะ ชนิดมีความแตกตา งกนั ขนึ้ อยูกับสวนทีเ่ ก็บ และอายกุ ารเกบ็ เก่ยี วของสมุนไพรแตล ะชนดิ เชน ตะไครหอม จะเก็บสวนของใบ มีอายุในการใหผลผลติ หรือสารสําคัญ จะเกบ็ ไดเมื่อมีอายุ 8 เดือน ขึ้นไป ฟาทะลายโจร จะเก็บสวนของใบ จะเก็บไดเม่ือมีอายุ 110-120 วนั หรือเร่มิ ออกดอก ไมควร ใหเ ริ่มติดเมล็ด ซง่ึ รายละเอียดในการเกบ็ สมุนไพรชนดิ อ่ืน ๆ ไดแสดงไวในตารางท่ี 4.2 2) การคัดเลือกจากตัววตั ถดุ ิบสมนุ ไพร คอื การพิจารณาคัดเลอื กทีต่ ัวสมนุ ไพร เอง โดยวัตถุดิบสมนุ ไพรนั้น ๆ ตองเปนสมนุ ไพรท่ีไดจากการเก็บใหถ กู สว นของสมุนไพรทใี่ ช เปน สมุนไพรทเ่ี กบ็ เกย่ี วถูกชวงเวลา มวี ิธกี ารเกบ็ ทเ่ี หมาะสม เปน สมนุ ไพรทีม่ ีสภาพสมบรู ณ สะอาด ปราศจากสง่ิ เจือปน โรค และแมลงกดั แทะ 3) แหลง ปลกู การคัดเลือกวัตถุดบิ เพือ่ ใหไดสมนุ ไพรที่ดี มีคณุ ภาพ จะตอง เลอื กซอ้ื จากแหลงปลกู หรือแหลงกําเนดิ ของสมนุ ไพรชนดิ นั้นๆ ในอดตี สมนุ ไพรสวนมากจะเกิดใน ปา ผทู ่ที ําหนา ท่คี ัดเลอื กสมุนไพร คือหมอสมนุ ไพร หรือพรานปาท่มี ีความรู ความชํานาญในเร่ือง สมนุ ไพร แตใ นปจจุบนั จํานวนสมุนไพรในปา ลดปรมิ าณลงอยา งมาก ทาํ ใหมกี ารปลูกสมุนไพร ข้นึ มาทดแทนมากขนึ้ เชน ขงิ ขา ขมิ้นชัน พรกิ กระเจีย๊ บ ฟาทะลายโจร ไพล เจตมลู เพลงิ แดง เปน ตน และมบี างสวนท่ีเปน สมนุ ไพรตางประเทศ ซึง่ ปลกู ในประเทศไดปริมาณไมเ พียงพอ หรือ

166 ปลูกไดแ ตคุณภาพไมค อ ยดี เชน โสม ชะเอมเทศ จันทรเทศ อบเชย เปน ตน การคัดเลอื กวตั ถดุ ิบ สมุนไพรจากแหลงปลกู จึงตองเลือกสมนุ ไพรจากแหลง ที่ปลูกสมนุ ไพรไดคณุ ภาพดี มีสารสําคญั ใน สมุนไพรมากเปน ทีย่ อมรับของผูบริโภคผลิตภัณฑสมุนไพร เชน ในการทาํ ผลิตภณั ฑจ ากโสม ควร เลือกใชโสมจากเกาหลี จะไดโสมทด่ี ีมีสรรพคุณทางยามากกวา โสมจากจีน และสหรัฐอเมริกา หรือ ในการทาํ ผลิตภัณฑส มนุ ไพรจากกระชายดาํ แหลง ปลูกทีม่ ี ชื่อเสียงและเปนท่ียอมรับโดยทัว่ ไปคอื กระชายดําในเขตอําเภอนาแหว อําเภอดานซาย และภูเรือ จังหวัดเลย 4) พนั ธุทีป่ ลูก สมนุ ไพรพนั ธดุ มี คี ุณภาพจะมสี ารสําคญั อยูในสมนุ ไพรสงู เม่อื นําไปทําผลิตภัณฑ จะไดผ ลิตภณั ฑสมุนไพรทดี่ ีมีคุณภาพ เชน กระเทียมหัว หากจะนาํ มาทํา ผลติ ภัณฑส มนุ ไพร ควรเลอื กใชกระเทียมพันธุไทยกลบี เล็ก จะมสี ารสาํ คญั มากกวา กระเทียมพนั ธุ เวยี ดนามทม่ี ีกลีบใหญ หรือกระชายดําสายพนั ธุจากอําเภอนาแหว จะมีนา้ํ มนั หอมระเหยมากกวา กระชายดาํ สายพันธุอ ืน่ ๆ ดว ยเหตุน้ีในการคัดเลือกวัตถุดิบสมนุ ไพรท่จี ะนํามาทาํ ผลิตภัณฑส มุนไพร ควรจะพิจารณาเลือกพันธุสมนุ ไพรที่ดีมีคุณภาพสูง 5) ดินท่ปี ลูกสมนุ ไพร ในการคัดเลือกสมุนไพรทจ่ี ะใชร ักษาโรคไดดีหรือไมน ัน้ นอกจากจะคํานึงถงึ พันธสุ มุนไพร วิธกี ารเก็บ สวนท่ีเก็บ แลว ยงั มปี จ จยั อ่ืน ๆ ทจี่ ะตอ งคํานึงถึงอกี อยา งก็คอื พ้นื ดินที่ปลูกพืชสมุนไพร เชน ลาํ โพง ควรปลกู ในพ้ืนดนิ ทเ่ี ปนดาง จะมปี ริมาณตัวยาสงู สะระแหน หากปลกู ในทด่ี นิ ทราย ปริมาณน้าํ มันหอมระเหยสูง หรือสมุนไพรท่ีใชป ระโยชนจ ากหัว และผล ทปี่ ลูกในพื้นทด่ี ินเหนยี วท่มี ีธาตโุ ปแตสเซยี มสูง จะมีการสะสมของแปง, น้าํ ตาล และ สารสําคัญอืน่ ๆ มากกวาสมุนไพรท่ีปลูกในพืน้ ท่ดี นิ รว นและดนิ ทราย 6) สภาพอากาศทปี่ ลูกสมุนไพร ภูมิอากาศเปนอกี ปจจัยหนงึ่ มผี ลตอการ เจริญเติบโตพืชสมนุ ไพร จงึ ควรพิจารณาในการเลือกซอ้ื สมุนไพร จากแหลง ปลูกทีม่ สี ภาพภมู อิ ากาศ เหมาะสมกับการเจรญิ เตบิ โตของสมุนไพรชนิดนั้น ๆ เชน โสมตา ง ๆ จะมีคณุ ภาพดีตอ งเปนโสมใน เขตหนาว กวาวเครือขาวจะเจริญเตบิ โตและมีคุณภาพดเี มื่อปลกู ในพ้ืนทท่ี มี่ อี ากาศหนาว ขมนิ้ ขา ไพล ชอบอากาศรอ นชื้น กระชายดํา ขงิ ชอบอากาศหนาว เปน ตน ( ทมี่ า: ภาวนา, 2554. ) 7) แหลง ผลติ และจําหนา ย แหลงผลิตและจําหนายสมุนไพรเปนสถานท่ีที่มีการ รวบรวม ทําความสะอาด คดั เกรด แยกชนิด และแยกสวน ตลอดจนแปรรูป วัตถุดิบสมุนไพรให อยูในสภาพพรอมที่จะนาํ ไปทําผลิตภัณฑสมุนไพร ในการคัดเลือกซื้อวัตถุดิบสมุนไพรจากแหลง ผลิตและจาํ หนา ย จะทาํ ใหผูผลิตไดวัตถุดิบในการผลิตทถ่ี ูกตอง มีคุณภาพตามความตองการแตมี ขอจาํ กัดคือ ตองคัดเลือกจากแหลงผลติ และจําหนา ยทีเ่ ชื่อถือได แหลงผลติ สมนุ ไพรท่มี คี ุณภาพใน ภาคอสี าน ไดแ กก ลุมผูผลิตและแปรรูปสมุนไพร บานหนองแซง อําเภอกุดชุมและบานหวยลิงโจน ในจังหวัด ยโสธร ในจังหวัดกาฬสินธุจะมีกลุมผูผลิตและแปรรูปสมุนไพร บานโนนแต สวนใน ภาคอืน่ ไดแกกลุมผูผลิตและแปรรูปสมุนไพร บานดงบัง ในจังหวัดปราจีนบุรี เปนตน

167 โสมเกาหลี กระชายดําจากอําเภอนาแหว ภาพที่ 4.21 แสดงการเลอื กใชวัตถดุ บิ สมนุ ไพรจากแหลงทม่ี ีคุณภาพดี ถา ยภาพโดย : สวุ ัฒนา, 2554. ผลติ ภัณฑท ีท่ ําจากสมุนไพรบานหนองแซง กลุมผูผลิตสมุนไพรบานดงบัง ภาพท่ี 4.22 แสดงแหลงผูผลิตและแปรรูปสมุนไพรท่มี คี ุณภาพดี ถา ยภาพโดย : สวุ ฒั นา, 2554. ปจ จยั และขอ พจิ ารณาตา ง ๆ ดงั กลาวจะมผี ลอยางมาก ตอ ประสิทธภิ าพของผลติ ภัณฑ สมนุ ไพรทจี่ ะนํามารกั ษาโรค หากปจ จัยและขอ พจิ ารณาดังกลา ว เปลีย่ นแปลงไป ปรมิ าณสารสาํ คัญ หรอื ตวั ยาทมี่ อี ยูในวัตถุดิบสมุนไพรนน้ั ๆ ก็จะเปลยี่ นแปลงตามไปดวย ทําใหผ ลิตภัณฑส มุนไพร ทผ่ี ลติ ไดนน้ั ไมเกิดผลดีในการบาํ รงุ หรือรักษาโรคในผูบริโภคไดเทาท่คี วร

168 แบบทดสอบทา ยหนว ยที่ 4 เรอ่ื ง การคัดเลอื กวตั ถุดบิ ในการผลิตผลิตภณั ฑส มุนไพร จํานวน 5 ขอ ( 5 คะแนน ) คาํ ช้แี จง ใหเ ลอื กคําตอบท่ถี ูกที่สุดเพียงขอเดียว 1. ในการเก็บสมนุ ไพรทใี่ ชสวนหัว หรือราก 4. กระชายคณุ ภาพดี ท่ีมีนา้ํ มันหอมระเหย และ ชว งท่ี หวั หรอื ราก มสี ารสําคัญมากท่ีสดุ คอื มีสารสําคญั มากที่สุด ควรเลือกจากท่ใี ด ชวงใด ก. อาํ เภอนาสาร ก. ชวงพืชเจริญเติบโตเต็มที่ ใบสเี ขยี วเข็ม ข. อําเภอนาหม่ืน ข. ชวงพืชแตกใบออน ค. อาํ เภอนาแหว ค. ชวงพชื เร่มิ ออกดอก ง. อําเภอภูเรือ ง. ชวงพชื หยุดเจริญเติบโต ใบ ดอก รวงหมด 5. หลักการเก็บรักษาพืชสมนุ ไพรแหง ควร 2. หัวหรือเงาไพล ท่เี หมาะสมทจี่ ะใชทาํ ปฏบิ ัติอยางไร ผลติ ภณั ฑสมุนไพร ควรอยใู นชว งอายเุ ทา ไร ก. ภาชนะกน ต้นื ไมค วรปด ฝา มีฉลากกํากับ ก. 2 – 5 ป ข. ภาชนะโปรง ฝาปด มิดชดิ มีฉลากกํากบั ข. 2 – 5 เดอื น ค. ภาชนะกระสอบ เปดปาก มีฉลากกาํ กับ ค. 1 – 3 ป ง. ภาชนะสะอาด ฝาปดมิดชิด มฉี ลากกาํ กับ ง. 1 – 3 เดอื น 3. สมนุ ไพรไมเถา หรือไมเ ลื้อย ทใี่ ชใ นการทาํ อาหาร และยารักษาโรค คือขอใด ก. มะระขน้ี ก ตาํ ลงึ ไพล ผกั กระเฉด ข. หญาคา ไพล ฟก ทอง ผกั กระเฉด ค. มะระข้นี ก ตําลึง ผักชี ตะไคร ง. มะระขีน้ ก ตําลงึ เพชรสงั ฆาต

169 ใบงานหนวยท่ี 4 เรื่อง การคดั เลือกวัตถุดบิ ในการผลิตผลติ ภัณฑสมนุ ไพร จุดประสงคเชงิ พฤตกิ รรม 1. บอกสวนประกอบของพืชสมุนไพรไดอยางถูกตอ ง 2. อธบิ ายการเกบ็ เก่ยี วและการจัดการหลงั การเก็บเกีย่ วสมุนไพรไดอ ยางถกู ตอง 3. ปฏิบตั ิในการคดั เลือกวตั ถุดบิ ในการผลติ ไดอยา งถกู ตอ ง 1. การเตรยี มวสั ดอุ ุปกรณ วัสดุ อปุ กรณท ใ่ี ชใ นการเรียนรู 1.1 ตวั อยางสว นประกอบของพชื สมุนไพร และวิธเี ก็บเกีย่ วพชื สมนุ ไพร แตละประเภท 1.2 กระดาษ A4 1.3 ปากกาเคมี 1.4 ใบมอบหมายงานท่ี 4 2. ขั้นตอนการปฏิบัติ 2.1 แบง นกั เรียนออกเปน กลมุ ๆละ 3-5 คน ตามความเหมาะสม 2.2 นักเรียนชวยกนั ศึกษาเนอ้ื หา เรอ่ื ง การคัดเลือกวัตถดุ บิ ในการผลิตผลิตภณั ฑสมนุ ไพร 2.3 นักเรยี นชว ยกัน สรุปเนื้อหา เกย่ี วกับการคัดเลอื กวัตถุดิบในการผลติ ผลติ ภัณฑสมนุ ไพร 2.4 บนั ทกึ ผลลงใบมอบหมายงานท่ี 4 ที่ครแู จกให 3. กจิ กรรมเสนอแนะ 3.1 ครทู บทวนเน้ือหาที่สาํ คัญ โดยใชส อื่ ประกอบ เชน แผนโปรงใส แผน ภาพ 3.2 ช้แี จงการปฏิบตั งิ านและการบรู ณาการเศรษฐกจิ พอเพียงเขา กบั เน้ือหาการเรยี นรู 3.3 แบง หนาทใี่ หทุกคนในกลุมมหี นา ท่รี ับผดิ ชอบอยา งชัดเจน 4. เคร่ืองมือการวัดประเมนิ ผล 4.1 แบบประเมนิ พฤติกรรมกลุม 4.2 แบบประเมินผลการปฏบิ ัตงิ านที่ 4 5. เกณฑการวดั ประเมินผล 5.1 ประเมินพฤติกรรมกลมุ 5.2 ประเมินขั้นตอนการปฏิบตั งิ านและผลงานในแบบมอบหมายงานที่ 4 5.3 คะแนนผา นเกณฑป ระเมนิ ต่าํ สุด 50 เปอรเซน็ ต

170 ใบมอบหมายงานที่ 4 การคัดเลอื กวัตถุดบิ ในการผลิตผลิตภัณฑส มนุ ไพร (คะแนนเตม็ 5 คะแนน) 1. ใหนักเรียนยกตัวอยางพชื สมนุ ไพรทมี่ ักใชสวนประกอบตอไปน้ี ในการทําเปน วัตถุดิบแปรรปู ผลิตภัณฑส มุนไพร ดังนี้ ( 1 คะแนน ) 1.1 พชื สมุนไพรท่มี กั ใชราก (อยา งนอ ย 3 ตัวอยาง) ไดแก............................................................... …………………………………………………………………………………………………………. 1.2 พืชสมนุ ไพรทีม่ ักใชลาํ ตน (อยางนอย 3 ตัวอยาง) ไดแก............................................................ …………………………………………………………………………………………………………. 1.3 พืชสมุนไพรทมี่ ักใชใบ (อยา งนอย 3 ตวั อยาง) ไดแก................................................................. …………………………………………………………………………………………………………. 1.4 พืชสมุนไพรท่มี ักใชด อก (อยางนอย 3 ตัวอยา ง) ไดแก. ............................................................. …………………………………………………………………………………………………………. 1.5 พชื สมุนไพรทีม่ ักใชผ ลหรือเมล็ด (อยางนอ ย 3 ตัวอยาง) ไดแก................................................. …………………………………………………………………………………………………………. 2. ใหน ักเรยี นบอกวิธีการเก็บสวนที่ใชเปน ยา จากสมุนไพรดังตอไปน้ี ( 1 คะแนน ) 2.1 สมนุ ไพรทใ่ี ชสว นของยอด และใบ วธิ ีการเก็บคอื ............................………………………… …………………………………………………………………………………………………………. 2.2 สมุนไพรทใ่ี ชสวนของเปลอื กตนหรือเปลือกราก วิธีการเกบ็ คอื .................................................. …………………………………………………………………………………………………………. 2.3 สมนุ ไพรทีน่ ยิ มใชสว นของหวั หรือราก วิธีการเก็บ คือ……………………………………… …………………………………………………………………………………………………………. 2.4 สมนุ ไพรทใ่ี ชส วนของดอก วิธีการเก็บ คือ………………………….………………………… …………………………………………………………………………………………………………. 2.5 สมนุ ไพรท่ีนิยมใชส ว นของผลและเมลด็ วิธีการเก็บ คือ…………….………………………… ………………………………………………………………………………………………………….

171 3. ใหนักเรียนบอก วธิ ีการจัดการหลงั การเก็บเกี่ยวสมนุ ไพร วามีข้นั ตอนการทาํ อยางไรบา ง ( 1 คะแนน ) 3.1 ……………………………….……………………………………..………………………… 3.2 …………….………………………………………..………………………………………… 3.3 ……………………………….……………………………………..………………………… 3.4 …………….………………………………………..………………………………………… 3.5 ……………………………….……………………………………..………………………… 3.6 …………….………………………………………..………………………………………… 4. ใหน ักเรียนบอกปจจัยทีค่ วรพจิ ารณาในการคัดเลือกวัตถดุ บิ ในการผลิตผลิตภัณฑส มนุ ไพร วามี อะไรบา ง ( 2 คะแนน ) 4.1 ……………………………….……………………………………..………………………… 4.2 …………….………………………………………..………………………………………… 4.3 ……………………………….……………………………………..………………………… 4.4 …………….………………………………………..………………………………………… 4.5 ……………………………….……………………………………..………………………… 4.6 …………….………………………………………..…………………………………………


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook