ผลการส่งเสริมการเรียนรแู้ บบเชิงรุก (Active Learning) โดยใชก้ ระบวนการ ชมุ ชนการเรยี นรวู้ ชิ าชพี (PLC)เพือ่ พัฒนาทกั ษะทางปญั ญาและทกั ษะทางสังคม ของผู้เรียน โรงเรยี นบา้ นหนองเตา อำเภอเถิน จังหวัดลำปาง โดย นางเยาวลกั ษณ์ เกษรเกศรา โรงเรียนบ้านหนองเตา อำเภอเถนิ จังหวดั ลำปาง สงั กัดสำนกั งานเขตพืน้ ที่การศกึ ษาประถมศึกษาลำปางเขต 2
หัวข้อวจิ ัย ผลการส่งเสริมการเรยี นรแู้ บบเชงิ รุก (Active Learning) โดยใชก้ ระบวนการชมุ ชน การเรยี นรวู้ ชิ าชพี (PLC) เพ่ือพัฒนาทกั ษะทางปัญญาและทักษะสังคมของผู้เรียน โรงเรยี นบา้ นหนองเตา อำเภอเถิน จังหวัดลำปาง ผ้ดู ำเนนิ การวจิ ัย นางเยาวลักษณ์ เกษรเกศรา หนว่ ยงาน โรงเรยี นบ้านหนองเตา อำเภอเถนิ จงั หวดั ลำปาง ปี พ.ศ. 2561 งานวิจัยน้ีมีวตั ถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาคณะครขู องโรงเรียนบ้านหนองเตาให้มีความรู้ความสามารถใน การจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) โดยใช้กระบวนการ PLC 2) เพื่อพัฒนาคุณภาพนักเรียน โรงเรียนบ้านห นองเตาให้มีทักษะทางปัญ ญ าและทักษะทางสังคม 3) เพื่อพัฒ นาโรงเรียนบ้าน หนองเตาให้เป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ ประชากรได้แก่ คณะครูของโรงเรียน บ้านหนองเตาจำนวน 7 คน และนักเรียนโรงเรียนบ้านหนองเตา จำนวน 51 คน ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2560 เคร่ืองมือท่ีใช้ใน การวิจัย คือ แบบสังเกตกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) แบบประเมินทักษะทาง ปัญญาและแบบประเมินทักษะทางสังคม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าเฉล่ีย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ การทดสอบคา่ ที (t-test Dependent) ผลการวิจัย พบวา่ 1. คณะครูโรงเรียนมีความรู้ ความสามารถในการจัดการเรียนการรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) ในระดบั คุณภาพมาก 2. ทกั ษะทางปญั ญาและทักษะทางสงั คมนกั เรียนโรงเรียนบ้านหนองเตาท่ีได้รบั การจัดการเรียนรู้แบบ เชิงรกุ (Active Learning) หลังเรียนสูงกว่ากอ่ นเรียนอยา่ งมนี ัยสำคัญทางสถิตทิ ร่ี ะดับ .01 3. โรงเรียนบ้านหนองเตา ได้มีการแลกเปล่ียนเรียนรู้เพ่ือพัฒนาคุณภาพผู้เรียนอย่างต่อเน่ือง ท้ัง ผูบ้ รหิ าร ครู ผู้ปกครอง และนกั เรยี น โรงเรยี นบา้ นหนองเตาจึงเปน็ โรงเรียนชมุ ชนแหง่ การเรยี นรู้ คำสำคัญ:การเรยี นการสอนแบบ Active Learning,กระบวนการ PLC,ทักษะทางปัญญา,ทกั ษะทางสังคม
Research Title : The Effects of Organizing Active Learning by using Community Learning Process (PLC) Processes to develop Cognitive Skills and Social Skills of student at Ban Nong Tao School,Thoen District, Lampang Province Research : Yaowaluck Gasongetsara Years : 2017 Abstract The objectives of this research are1) develop school team to be able to manage Active learning activities 2) develop the capability of cognitive and social skills of the students at Ban Nong Tao School, and 3) develop Ban Nong Tao School to be the center of Professional Learning Community (PLC). The sample (pilot) group is 7 teachers and 51 students of Ban Nong Tao School in the Second semester of academic year 2017. The tools of this research are record and report of classroom research, Observation process of Active Learning management , Evaluation form Cognitive Skills , Evaluation form Social Skills. Data and content analysis by using Mean Standard Deviation and t-test Dependent. . The results found that: 1. Teachers are able to manage Active Learning Activities at the high level of quality. 2. After using Active Learning Activities, the cognitive and social skills of the students are higher than before at the significance level of .01 . 3. Ban Nong Tao School is the center of Professional Learning Center (PLC) after meeting and sharing ideas with the executives, teachers, parents and students to develop students’ learning continually. Keywords: Active Learning Activities, PLC Process, Cognitive Skills, and Social Skills.
กิตตกิ รรมประกาศ การทำวิจยั เร่อื งผลการสง่ เสรมิ การเรียนรู้แบบเชงิ รุก (Active Learning) โดยใช้กระบวนการชมุ ชน การเรียนรวู้ ิชาชพี (PLC) เพื่อพัฒนาทกั ษะทางปญั ญาและทักษะสังคมของผู้เรยี น โรงเรียนบ้านหนองเตา อำเภอเถิน จงั หวดั ลำปาง สำเรจ็ ลุล่วงไปด้วยดี ผู้ทำวจิ ัยขอขอบพระคุณคุณครูทกุ ทา่ นที่ให้ความร่วมแรง ร่วมใจ ในการพฒั นา คณุ ภาพของนักเรียนในครั้งน้ี ขอขอบพระคุณผปู้ กครองของนักเรยี น ที่ให้ความร่วมมือในการตอบแบบสอบถามความพึงพอใจและขอบใจ นักเรยี นทกุ คนในโรงเรียนบา้ นหนองเตา ท่ีได้ให้ความร่วมมือในการทำวิจัยในคร้ังน้ี นางเยาวลักษณ์ เกษรเกศรา
สารบัญ หน้า บทท่ี 1 ที่มาและความสำคัญ 1 ความเปน็ มาและความสำคัญของปัญหา..........................................................................1 วตั ถปุ ระสงค์ของการศึกษา .............................................................................................3 ขอบเขตของการศึกษา .................................................................................................... 3 นยิ ามศัพทเ์ ฉพาะ............................................................................................................4 กรอบแนวคิดการวจิ ยั .....................................................................................................4 บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจัยทีเ่ กย่ี วข้อง 5 ชมุ ชนแหง่ การเรียนรทู้ างวชิ าชีพ (PLC)……………………………………………………………………5 การจดั กระบวนการเรยี นการสอนแบบ Active Learning….............................................7 เอกสารและงานวจิ ัยทเ่ี ก่ยี วข้อง ....................................................................................11 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวจิ ยั 13 การกำหนดประชากร....................................................................................................13 เคร่อื งมือในการวิจัย......................................................................................................13 การเกบ็ รวบรวมข้อมลู .. ................................................................................................13 การสรา้ งและพัฒนาเครื่องมอื .......................................................................................14 การวเิ คราะห์ข้อมูลและการแปลผลข้อมลู .....................................................................15 บทที่ 4 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล 16 ผลการวิเคราะหข์ ้อมลู ..................................................................................................16 บทท5ี่ สรุปผลและอภิปรายผล 19 สรปุ ผล .........................................................................................................................19 อภปิ รายผล...................................................................................................................19 ข้อเสนอแนะจากการวิจยั ..............................................................................................20 บรรณานุกรม...............................................................................................................................21 ภาคผนวก....................................................................................................................................23 ประวัติผวู้ จิ ัย................................................................................................................................27
บญั ชีตาราง ตาราง หนา้ ที่ 16 1 แสดงค่าเฉลย่ี สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน และระดับคณุ ภาพของระดับคุณภาพของแบบ 17 สังเกตกระบวนการจดั การเรียนรแู้ บบ Active Learning โดยใช้กระบวนการชมุ ชุมชนการเรยี นรวู้ ชิ าชีพ (PLC) 2 แสดงการเปรียบเทยี บค่าเฉล่ยี คะแนนทกั ษะทางปัญญาและทกั ษะทางสังคมก่อนเรยี น และหลังเรียนของนกั เรยี น .
บญั ชีภาพประกอบ ภาพ หน้า 1 กรอบแนวคิด 4
1 บทท่ี 1 บทนำ ความเปน็ มาและความสำคัญของปญั หา ปัจจุบันเป็นยุคท่ีโลกเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว อันเกิดจากความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสารสนเทศ สิ่งดังกลา่ วเป็นปัจจัยสำคญั ท่ีทำให้โลกอยู่ในโลกยุคการส่ือสารไร้พรมแดน กระแสการปรับเปลี่ยน ทางสังคมท่ีเกิดข้ึนในศตวรรษที่ 21 ส่งผลต่อวิถีการดำรงชีพของสังคมอย่างทั่วถึง ฉะน้ันการพัฒนาคุณภาพ การศึกษาจึงมีความสำคัญเป็นอย่างย่ิง ในการสร้างและพัฒนาคนให้พร้อมและ ก้าวทันต่อการเปล่ียนแปลงและ การพัฒนาของโลก ดังวิสัยทัศน์แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 -2579 (สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ,2560) “คนไทยทุกคนได้รับการศึกษาและเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ ดำรงชีวิตอย่างมีความสุข สอดคล้อง กับหลักปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียง และการเปล่ียนแปลงของโลกศตวรรษท่ี 21” และสอดคล้องกับพระราชบัญญัติ การศึกษาแห่งชาติพุทธศักราช 2542 แก้ไขเพิ่มเติมฉบับท่ี 3 (พ.ศ.2553) (กระทรวงศึกษาธิการ,2553) มุ่งให้ ความสำคัญต่อแนวทางจัดการศึกษา โดยต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนา ตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญท่ีสุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติ และเต็มตามศักยภาพ โดยมีการฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ ความรูม้ า ใชเ้ พ่ือป้องกันและแก้ไขปัญหา การจัดกิจกรรมให้ผเู้ รียนไดเ้ รียนรูจ้ ากประสบการณจ์ ริง ฝึกการปฏบิ ัติให้ ทำได้ คิดเป็น ทำเป็น รักการอ่านและเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเน่ือง นอกจากนั้นนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ ด้านการพัฒนาเยาวชนของชาติเข้าสู่ยุคศตวรรษท่ี 21 โดยมุ่งส่งเสริมผู้เรียนให้มีคุณธรรม รักความเป็นไทย ให้มี ทักษะการคิดวิเคราะห์ การคิดสร้างสรรค์ มีทักษะด้านเทคโนโลยี สามารถทำงานร่วมกับผู้อ่ืน และสามารถอยู่ ร่วมกับผู้อื่นในสังคมโลกได้อย่างสันติ (กระทรวงศึกษาธิการ,2551) ได้ให้แนวทางในการจัดการศึกษามุ่งเน้น ความสำคัญทง้ั ด้านความรู้ ความคิด ความสามารถ คุณธรรมกระบวนการเรียนรู้ และความรับผิดชอบต่อสังคมเพื่อ พัฒนาคนให้เกิดความสมดุล โดยยึดหลักผู้เรียนสำคัญท่ีสุดทุกคน มีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และ สถานศึกษาเองต้องจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นการฝึกทักษะกระบวนการคิด เพื่อให้ผู้เรียนสามารถจัดการ เผชิญสถานการณ์และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพ่ือป้องกันและแก้ไขปัญหา ดังนั้นในการจัดการเรียนรู้ในสาระ การเรียนรู้ต่างๆ จึงต้องมุ่งส่งเสริมกระบวนการคิดและวิธีการคิดที่หลากหลายเพ่ือให้นักเรียนได้คิด ทำ ทบทวน พิสูจน์ผล และนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง (สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา,2549) ดังน้ันการจัดการเรียน การสอน เพ่ือพัฒ นาด้านการคิดจึงนับเป็นเร่ืองสำคัญที่จำเป็นต้องเร่งปรับปรุ งและพัฒ นากัน อย่างจริงจังและ ต้องการสง่ เสรมิ ให้มกี ารจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนท่สี ง่ เสรมิ ทักษะการคิดในทุกกลมุ่ สาระการเรียนรู้
2 การจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) เป็นกระบวนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด การสร้างสรรค์ทางปัญญา (Constructivism) ที่เน้นกระบวนการเรียนรู้มากกว่าเนื้อหาวิชา เพื่อช่วยให้ผู้เรียน สามารถเชื่อมโยงความรู้ หรือสร้างความรู้ให้เกิดขึ้นในตนเอง ด้วยการลงมือปฏิบัติจริงผ่านสื่อหรือกิจกรรม การเรียนรู้ ท่ีมีครูผู้สอนเป็นผู้แนะนำ กระตุ้น หรืออำนวยความสะดวก ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ขึ้น โดย กระบวนการคิดข้ันสูง กล่าวคือ ผู้เรียนมีการวิเคราะห์ สังเคราะห์ และการประเมินค่าจากสิ่งท่ีได้รับจากกิจกรรม การเรียนรู้ ทำให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างมีความหมายและนำไปใช้ในสถานการณ์ อื่นๆได้อย่างมี ประสิทธิภาพ (สถาพร พฤฑฒิกลุ ,2555) ฉะน้ันการจดั การเรียนรู้แบบเชงิ รุก (Active Learning) จึงเป็นเทคนิคการ จดั การเรียนรู้เพ่ือให้ผู้เรยี นเกิดทักษะในศตวรรษที่ 21 ปจั จุบันการเรียนรู้เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาการจดั การศกึ ษาต้องเปล่ียนไปจากเดมิ ครูตอ้ งเปล่ยี นบทบาทจาก ครูผู้สอนมาเป็นครูฝึกหรือครูผู้อำนวยความสะดวก ในการเรียน ห้องเรียนต้องเปล่ียนจากห้องสอนมาเป็นห้อง ทำงาน เปลีย่ นจากเน้นการสอนของครูมาเน้นการเรียนของนกั เรยี น ครูเป็นผู้สร้างแรงบนั ดาลใจสรา้ งความทา้ ทาย ความสนุกให้แก่ศิษย์ (วิจารณ์ พานิช, 2554) การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในศตวรรษท่ี 21 ทฤษฎีการเรียนรู้ ที่ครูได้รับจากการอบรมนอกช้ันเรียนอาจไม่สามารถใช้กับนักเรียนได้ในบรบิ ท ของโรงเรียนน้ัน หรืออาจเป็นองค์ ความรู้ท่ีล้าสมัย ครูต้องมีการปรับเปล่ียนพร้อมที่จะรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงให้ทันกับนักเรียนยุคใหม่ ซึ่งเป็น สัญญาณให้ครูและโรงเรียนรู้ว่าโลกได้เปลี่ยนแปลงไปและต้องเตรียมรับกับสิ่งที่เปล่ียนให้ทันและไวกับผู้เรียน (วรลักษณ์ ชูกำเนิด และเอกรินทร์ สังข์ทอง, 2557) ครูจึงต้องเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ และโรงเรียนต้องมี การปรับเปล่ียนกระบวนทัศน์ในการบริหารสถานศึกษาจากแบบเดิมไปสู่การพัฒนาสถานศึกษา ให้มีความเป็น โรงเรียนแหง่ การเรียนรู้ โดยจดั ใหม้ ชี ุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชพี ขึ้นภายในโรงเรยี นเกิดเป็นวฒั นธรรมองค์การท่ถี ือ ปฏิบัติ ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพหรือ PLC (Professional leaning community) คือการร่วมมือ ร่วมใจ ร่วมพลัง ของทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นครู ผู้บริหารและผู้ท่ีมีส่วนเกี่ยวข้องในโรงเรียนต่างช่วยกันเพ่ือพัฒนาการเรียนรู้ ของนักเรียนเป็นสำคัญโรงเรียนจึงจำเป็นต้องสร้างความเป็น PLC เพ่ือรวมตัว ร่วมใจ ร่วมพลัง ร่วมทำ และร่วม เรียนรู้ร่วมกันของคนในองค์การ บนพ้ืนฐานวัฒนธรรมความสัมพันธ์แบบกัลยาณมิตรที่มีวิสัยทัศน์ คุณค่า เป้าหมาย และภารกิจรวมกันโดยทำงานร่วมกันเป็นทีม ดังนั้นจะเกิดเป็นชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพได้โรงเรียน ต้องมีการสร้างวัฒนธรรมองค์การท่ีเข้มแข็งเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ สรุปได้ว่า PLC มุ่งเน้นให้องค์กรมีการปรับตัว ต่อกระแสการเปลย่ี นแปลง ของสังคมที่เกิดข้ึนอย่างรวดเร็ว โดยเรมิ่ พัฒนาจากแนวคิดองค์กร แห่งการเรียนรู้ และ ปรับประยุกต์ให้มีความสอดคล้องกับบริบท ของโรงเรียนและการเรียนรู้ร่วมกันในทางวิชาชีพที่มีหน้างาน สำคัญ คอื ความรับผิดชอบการเรียนรู้ของผู้เรียนร่วมกันเป็นสำคัญ จากการศกึ ษาหลายโรงเรียนในประเทศสหรัฐอเมริกา ดำเนินการ ในรูปแบบการเรียนรู้วิชาชีพ (PLC) พบว่าเกิดผลดีท้ังวิชาชีพครูและผู้เรียน ที่มุ่งพัฒนาการของผู้เรียน เปน็ สำคญั โรงเรียนบ้านหนองเตา สังกัดสำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาลำปางเขต 2 จัดการเรียน การสอนอยู่ 2 ระดับคือ ระดับอนุบาลและระดับประถมศึกษา โรงเรียนบ้านหนองเตาเป็นโรงเรียนขนาดเล็กท่ีมี เป้าหมายสำคัญที่สุดคือมุ่งเน้นพัฒนานักเรียนอย่างเต็มศักยภาพให้เป็นคนดี คนเก่ง และมีความสุข มีความ ต้องการให้นักเรียนอ่านคล่อง เขียนคลอ่ ง คิดวิเคราะห์ คิดสังเคราะห์ได้ และสามารถดำรงชวี ิตอยู่ในสังคมได้อยา่ ง
3 มีความสุข ตลอดจนชุมชนผู้ปกครองมีความศรัทธาและเชื่อมั่น มีความพึงพอใจในการจัดการศึกษาของโรงเรียน แต่ในปัจจุบันพบว่า โรงเรียนมีงบประมาณสนับสนุนยังไม่เพียงพอ มีบุคลากรครูไม่ครบช้ัน และขาดแคลนสื่อ เทคโนโลยีและนวตั กรรมทางการศึกษา ตลอดจนห้องปฏบิ ตั ิการต่างๆ ส่งผลตอ่ คุณภาพของนักเรยี น จงึ ต้องเรง่ รัด พฒั นาคณุ ภาพทางการศึกษา โดยเฉพาะในด้านการอา่ น การคิดวเิ คราะห์ และพบวา่ นักเรยี นอ่านเขียนไมค่ ล่อง ทำ ให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในภาพรวมของโรงเรียนค่อนข้างต่ำ นอกจากนั้นผลการสอบ O-NET ในปีการศึกษา 2559 พบว่า ผลการสอบทั้ง 5 กลุ่มสาระมีผลการสอบต่ำกว่าคะแนนเฉล่ียในระดับเขต ผลการสอบ NT พบว่า คะแนนผลการทดสอบทุกรายวิชาต่ำกวา่ ระดับประเทศ และจากการทำการ PLC (ชุมชนแห่งการเรียนรู้) กับคณะ ครูและผู้ปกครองมีความคิดเห็นตรงกันว่า นักเรียนโรงเรียนบ้านหนองเตายังขาดทักษะการคิดวิเคราะห์ คิดสังเคราะห์ ขาดความมีวินัย ขาดความรับผิดชอบ คณะครูในโรงเรียนใช้วิธีการจัดการเรียนการสอนแบบ บรรยาย ไม่สอนให้นักเรียนได้เรียนรู้จากการปฏิบัติจริง ซึ่งสอดคล้องกับรายงานประจำปีของโรงเรียนบ้านหนอง เตาประจำปี 2559 (รายงานประจำปโี รงเรียนบ้านหนองเตา ,2559) โครงการพัฒนาคุณภาพการศึกษาในกิจกรรม นิเทศการเรียนการสอน พบว่า ครูในโรงเรียนขาดประสบการณ์ในการจัดการเรียนการสอนแบบคละชั้น ไม่มี เทคนิคการสอน ไม่มีการใช้ส่ือการเรียนการสอนเพ่ือกระตุ้นความสนใจของนักเรียน ซึ่งปัญหาดังกล่าว ส่งผล กระทบต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียน ผู้บริหารและคณะครูจึงสนใจท่ีจะศึกษาการจัดการเรียนรู้ใน รูปแบบเชิงรุก (Active Learning) โดยใช้กระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้วิชาชีพ (PLC) เพ่ือที่จะเป็นแนวทาง ในการพัฒนาองค์การให้มีประสิทธิภาพ สามารถพัฒนาการดำเนินงานให้ก้าวไปสู่การเป็นชุมชนการเรียนรู้ทาง วิชาชีพทย่ี งั่ ยืน วัตถุประสงค์ของการวจิ ยั 1. เพ่ือพัฒนาคณะครขู องโรงเรยี นบา้ นหนองเตาให้มีความรู้ ความสามารถในการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) โดยใช้กระบวนการชมุ ชนการเรยี นร้วู ิชาชีพ (PLC) 2. เพ่ือพฒั นาคุณภาพนักเรียนโรงเรียนบ้านหนองเตาใหม้ ีทักษะทางปัญญาและทกั ษะทางสงั คม 3. เพื่อพฒั นาโรงเรยี นบา้ นหนองเตาให้เป็นชมุ ชนแห่งการเรียนรู้ ขอบเขตของการศึกษา ประชากรในการวจิ ัย 1) คณะครขู องโรงเรยี นบ้านหนองเตาจำนวน 7 คน 2) นักเรียนโรงเรียนบ้านหนองเตาในระดับช้ันอนุบาลปีที่ 1 ถึงประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 51 คน ในภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2560 สงั กัดสำนักงานเขตพน้ื ทก่ี ารศึกษาประถมศึกษาลำปาง เขต 2
4 ตัวแปรทใี่ ชใ้ นการศึกษา ตัวแปรต้น : รูปแบบการเรียนรู้แบบเชงิ รกุ Active Learning โดยใช้กระบวนการ PLC ตัวแปรตาม : ทกั ษะทางปัญญา ทกั ษะทางสงั คมของนกั เรียนและชุมชนแห่งการเรยี นรู้วชิ าชพี เคร่อื งมือในการวิจัย 1. แบบสงั เกตกระบวนการจดั การเรยี นรู้แบบเชิงรุก Active Learning 2. แบบประเมินทกั ษะทางปัญญา 3. แบบประเมนิ ทักษะทางสังคม นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ 1. ทักษะทางปัญญา หมายถึง ความสามารถในการใช้สมองดำเนินการคิดให้บรรลุวัตถุประสงค์ ซึ่งเป็นกระบวนการภายในสมองของบุคคลที่มองไม่เห็น ผู้อื่นจะทราบได้ก็ต่อเม่ือ ผู้คิดแสดงออกโดยการบอกเล่า หรอื อนุมานอา้ งอิงจากผลงานทท่ี ำ โดยในงานวิจยั นี้จะศึกษาทักษะการคิดวเิ คราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดแบบ วิจารณญาณ การคิดในการแก้ปัญหา โดยวดั จากแบบทดสอบผลสมั ฤทธิ์กระบวนการคดิ 2. ทักษะทางสังคม หมายถึง ความสามารถในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อ่ืน เป็นทักษะท่ีจำเป็นต่อการอยู่ ร่วมกับผู้อ่ืน ได้แก่ ทักษะการทำงานร่วมกับผู้อ่ืน ทักษะการเป็นผู้นำและผู้ตาม โดยวัดจากแบบประเมินทักษะ การทำงานรว่ มกบั ผอู้ ืน่ กรอบแนวคิดการวจิ ยั ตัวแปรตาม - ทกั ษะทางปัญญาของผู้เรียน ตวั แปรตน้ - ทักษะทางสังคมของผู้เรียน รูปแบบการจัดการเรียนรแู้ บบเชิงรุก - ชมุ ชนแหง่ การเรียนรู้ (Active Learning) โดยใช้กระบวนการ PLC แผนภาพท่ี 1 กรอบแนวคดิ การวิจยั
5 บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ัยท่ีเกี่ยวข้อง ในงานวิจยั ครง้ั น้ี ผู้วิจัยไดท้ ำการศกึ ษาเอกสารงานวจิ ยั ท่เี กยี่ วขอ้ งโดยครอบคลมุ เน้ือหา ดงั ตอ่ ไปน้ี 1.ชมุ ชนแห่งการเรียนรทู้ างวิชาชีพ (PLC) 1.1 แนวคดิ เกยี่ วกับชุมชนแห่งการเรียนรู้ 1.2 ความหมายของชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวชิ าชีพ (PLC) 1.3 แนวคิดเกย่ี วกับองคป์ ระกอบและคุณลักษณะของชมุ ชนแห่งการเรยี นรู้ทางวชิ าชพี (PLC) 2. การจดั กระบวนการสอนแบบ Active Learning 2.1 ความหมายการจดั การเรียนการสอนแบบ Active Learning 2.2 กระบวนการจดั การเรยี นการสอนแบบให้ผูเ้ รยี นไดป้ ฏิบตั ิ 2.3 บทบาทครูผสู้ อน 3. งานวจิ ัยทเี่ กยี่ วข้อง 1. ชมุ ชนแห่งการเรยี นรูท้ างวชิ าชพี (PLC) 1.1 แนวคิดเกีย่ วกับชุมชนแหง่ การเรียนรทู้ างวิชาชีพ (PLC) ชุมชนแหง่ การเรียนรู้ทางวิชาชพี ( Professional Learning Community) หรือท่ีเรียกโดยทั่วไปว่า PLC ได้รบั การยอมรบั วา่ เป็นยทุ ธศาสตรท์ ่สี ามารถสร้างความยั่งยนื ในการเปลย่ี นแปลงคุณภาพตามบริบทของพื้นที่หรอื จดุ มุ่งหมายของชมุ ชนที่กา้ วไปสู่ PLC ดงั นี้ DuFour (2006) ไดย้ ้ำในบทบาทของ PLC ต่อความกา้ วหน้าของ ทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ว่า วฒั นธรรมนี้ ภาคที ั้งหลายตระหนกั ดีวา่ หากเป้าหมายของตน คือการสรา้ งโอกาสท่ีจะ ประสบความสำเรจ็ ให้แกน่ ักเรยี น นักการศึกษาจะตอ้ งปรับเปลีย่ นโรงเรียนและเขตการศึกษาของตนใหก้ ลายเป็น PLC ซ่งึ หลายภาคส่วนสนับสนุนประเด็นนี้อย่างแข็งขัน และระบุชัดเจนว่าสภาพแวดล้อมทีเ่ หมาะสมท่สี ุดในการ จัดการเรยี นรูแ้ หง่ ศตวรรษที่ 21 จะต้องสนับสนนุ PLC เพื่อใหน้ ักการศึกษาได้ร่วมมือกันทำงานแบ่งปนั แนวปฏบิ ัติ ที่ดี และผสมผสานทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 เข้ารบั การปฏิบตั ิในห้องเรยี น Fullan (2005) ได้กล่าวถงึ งานวิจยั ทั้งหลาย ทว่ี จิ ัยเกยี่ วกับประสิทธิภาพของ PLC มองวา่ PLC เป็น กลยุทธใ์ นการเพ่มิ ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนรู้ของนักเรยี น และพบว่า PLC ทำให้เกดิ สภาพแวดล้อมแหง่ การเรียนรู้ ในโรงเรยี น ทสี่ นับสนุนใหเ้ กดิ การพัฒนาภาวะผนู้ ำและความสามารถของครู โดยการพฒั นาความสามารถในการ ทำหน้าทรี่ ว่ มกนั จนนำมาสู่การเปลย่ี นแปลง ซึง่ PLC ได้ พิสูจน์แลว้ วา่ เป็นแนวทางทชี่ ่วยให้ผบู้ ริหารนำไปใช้ ปรบั ปรุงพฒั นาสถานศกึ ษา เมอื่ ผบู้ ริหาร และครูทำงานรว่ มกัน เพ่ือสร้าง PLC ภายในโรงเรยี น และทำข้อตกลง รว่ มกนั ในการพฒั นาขีดความสามารถ โดยการทำงานรว่ มกัน การร่วมกันพฒั นาทกั ษะใหม่ๆ การคน้ หาและใช้
6 ประโยชนด์ ้านทรัพยากรการจัดการเรียนรู้ และการรว่ มยดึ ข้อตกลงรว่ มกันและแรงจูงใจในการพฒั นาผลสัมฤทธิ์ ของผู้เรยี น รวมถึงผลการวิจยั ของ Hord (1997) ท่ียืนยันว่า การดำเนินการในรูปแบบ PLC นำไปสู่การเปลย่ี นแปลง เชิงคณุ ภาพทั้งด้านวชิ าชพี และผลสัมฤทธิข์ องนกั เรยี น นอกจากน้ี Hord (1997) ทำการสังเคราะหร์ ายงาน การวจิ ัยเกย่ี วกับโรงเรยี นท่มี ีการจัดตั้ง PLC โดยใชค้ ำถามวา่ โรงเรยี นดงั กลา่ ว มผี ลลพั ธ์อะไรบา้ งที่แตกต่างไปจาก โรงเรยี นทั่วไปทไ่ี ม่มี PLC และถ้าแตกตา่ งแล้วจะมีผลดตี ่อครผู ู้สอนและต่อนกั เรยี นอยา่ งไรบา้ ง ได้ผลสรปุ เปน็ ประเดน็ ดงั นี้ ผลดตี ่อครูผูส้ อน : สงิ่ ท่ีเกิดข้ึนกบั ผู้สอนส่วนใหญ่ พบวา่ 1. ลดความรู้สกึ โดดเดย่ี วงานสอนของครูลง 2. เพม่ิ ความร้สู กึ ผูกพนั ต่อพนั ธกิจและเปา้ หมายของโรงเรียนเพิ่มขึน้ โดยเพิ่มความกระตือรอื รน้ ท่ีจะ ปฏิบตั ใิ ห้บรรลพุ ันธกิจอยา่ งแข็งขนั 3. ทำให้เกดิ ความรู้สกึ ต้องการร่วมกนั รับผดิ ชอบต่อพัฒนาการโดยรวมของนักเรยี นและร่วมกันรบั ผิดชอบ เปน็ กลมุ่ ตอ่ ผลสำเรจ็ ของนักเรียน 4. ทำใหเ้ กดิ สงิ่ ท่เี รยี กว่า “พลังการเรยี นรู้ (Powerful learning)” ซึ่งสง่ ผลให้การปฏบิ ัติการสอนในชั้น เรยี นของตนมผี ลดียิ่งข้นึ กล่าวคอื มีการค้นพบความรู้และความเช่อื ใหญๆ่ ท่ีเก่ียวกบั วิธีการสอน และตัวผเู้ รียนซ่งึ ตนเคยสังเกตหรือสนใจมากอ่ น 5. เข้าในเน้อหาสาระที่ต้องการจัดการเรียนรูโ้ ดยแตกฉานยิ่งขึน้ และให้ครูรู้ว่าตนเองควรแสดงบทบาท และพฤตกิ รรมการสอนอยา่ งไร จึงจะช่วยให้นักเรยี นเกดิ การเรียนรู้ได้ดที ่สี ุดตามเกณฑท์ ่ีคาดหมาย 6. รบั ทราบข้อมูลสารสนเทศตา่ งๆ ท่ีจำเปน็ ต่อวิชาชพี อย่างกวา้ งขวาง และรวดเรว็ ขน้ึ ส่งผลดตี ่อการ ปรับปรงุ พฒั นางานวิชาชีพของตนไดต้ ลอดเวลา ทำให้ครูเกิดแรงบันดาลใจท่จี ะสรา้ งแรงบันดาลใจต่อการเรยี นรู้ ให้แกน่ ักเรียนต่อไป 7. เพิ่มความพึงพอใจ เพ่ิมขวัญกำลังใจต่อการปฏิบตั ิงานสูงข้นึ และลดอัตราการหยุดงานน้อยลง 8. มีความก้าวหนา้ ในการปรบั เปลยี่ นวธิ ีการจดั การเรียนรู้ ใหส้ อดคลอ้ งกบั ลักษณะผู้เรียนไดอ้ ย่างชดั เจน และรวดเร็วกว่าที่พบในโรงเรียนแบบเก่า 9. มีความผกู พนั ท่ีจะสรา้ งการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นระบบ ต่อปัจจยั พื้นฐานต่างๆ 10. มคี วามมงุ่ หมายท่จี ะทำให้เกิดการเปลย่ี นแปลงอยา่ งเปน็ ระบบตอ่ ปจั จยั พืน้ ฐานตา่ งๆ ผลดตี อ่ นกั เรียน : สิง่ ทเ่ี กดิ ขนึ้ กับนกั เรยี นสว่ นใหญ่พบว่า 1. ลดอัตราการตกช้นั และจำนวนช้ันเรยี นท่ตี ้องการเลื่อนหรอื ชะลอการจดั การเรียนรู้ให้น้อยลง 2. อตั ราการขาดเรียนลดลง 3. มผี ลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนในสาขา วทิ ยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ประวตั ศิ าสตร์ และวิชาการอ่านท่ีสงู ข้ึน อยา่ งเด่นชดั เม่ือเทยี บกบั โรงเรียนแบบเก่า 4. มีความแตกต่างด้านผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น ระหว่ากลุ่มนักเรียนทม่ี ภี ูมหิ ลงั ไมเ่ หมอื นกัน ลดลง ชดั เจน
7 PLC จึงเป็นแนวคิดที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในช่วงเปล่ียนแปลงการศึกษาในศตวรรษท่ี 21 ท่ี นักการศึกษากำลังเผชิญหน้ากับความท้าทาย วัฒนธรรมในโรงเรียนแบบเดิมท่ีไม่ได้ออกแบบมาเพื่อสร้างผลลัพธ์ เหล่าน้ัน หากเป้าหมายของนักการศึกษา จะต้องสร้างโอกาสที่จะประสบความสำเร็จให้แก่นักเรียน นักการศึกษา ตอ้ งปรับเปลยี่ นโรงเรียนและเขตการศกึ ษาของตนให้กลายเปน็ PLC เพ่ือให้เป็นสถานที่ในการปฏิสมั พันธ์ ของมวล สมาชิกผู้ประกอบวิชาชีพครูของโรงเรียน เกี่ยวกับเรื่องการให้ความดูแลและพูดถึงเรื่องการปรับปรุงผลการเรียน ของนักเรียน ตลอดจนงานทางวิชาการของโรงเรียน และเนื่องจากครูส่วนใหญ่ในแทบทุกประเทศเกิดความรู้สึก โดดเดยี่ วในการปฏบิ ัติงานสอนของตน ดังน้นั การมี “ชุมชนแหง่ วิชาชีพ” เกิดขน้ึ ในดรงเรียนจึงชว่ ยคลี่คลายปัญหา ดงั กล่าว เพราะทำให้ครูมีโอกาสพูดคยุ กบั บุคคลทีส่ ว่ นได้เสียกับงานของครู เช่น ผปู้ กครอง สมาชิกอ่ืนๆ ของชุมชน เป็นตน้ 1.2 ความหมายของชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพครูในโรงเรียนได้ถูกกล่าวถึงมุมมองของการรวมตัว รวมใจ รวมพลัง ร่วมมือกันของครู ผู้บริหาร และนักการศึกษา ในโรงเรียนเพ่ือพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน ดังที่ Sergiovanni (1994) ได้กล่าวว่า PLC เป็นสถานท่ีสำหรับ “ปฏิสัมพันธ์” ลด “ความโดดเดี่ยว” ของมวลสมาชิกวิชาชีพครูของ โรงเรียนในการทำงาน เพื่อปรับปรุงผลการเรียนรู้ของนักเรียนหรืองานวิชาการโรงเรียน ซ่ึง Hord (1997) มองใน มุมมองไปในทางเดียวกัน โดยมองการรวมกันดังกล่าว มีนัยยะแสดงถึงการเป็นผู้นำร่วมกันของครู หรือคนเป็น “ประธาน” ในการเปล่ียนแปลง (วิจารณ์ พาณิช,2555) คุณค่าร่วม และวิสัยทัศน์ร่วม การเรียนรู้ร่วมกันและ การนำส่ิงท่ีเรียนรู้ไปประยุกต์ใช้อย่างสร้างสรรค์ร่วมกัน การรวมตัวในรูปแบบน้ีเป็นเหมือนแรงผลักดัน โดยความ ต้องการและความสนใจของสมาชิกใน PLC เพ่ือการเรียนรู้และพัฒนาวิชาชีพ สู่มาตรฐานการเรียนรู้ของนักเรียน เป็นหลัก(Senge ,1990 และ Knapp ,2003) หรือเรียกอย่างมีคุณค่า คือพัฒนาคุณภาพชีวิตให้เป็น “ครูเพื่อ ศิษย์” (วิจารณ์ พาณิช, 2555) และเป็น “กลุ่มครูเพื่อศิษย์ร่วมกันเพ่ือการพัฒนาศิษย์ร่วมกัน โดยมองว่าเป็น “ศิษย์ของเรา” มากกวา่ มองวา่ “ศิษย์ของฉัน” การเปล่ียนแปลงคุณภาพการจัดการเรียนรู้ท่ีเริ่มจาก “การเรียนรู้ ของครู” เป็นตัวตั้งตน เรียนรู้ที่จะมองการปรับปรุงเปล่ียนแปลง พัฒนาการจัดการเรียนรู้ของตน เพื่อผู้เรียนเป็น สำคัญ การรวมตัวการเรียนรู้ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ เป็นไปได้ยากท่ีจะทำตามลำพัง แต่ หวังผลให้เกิด การขับเคล่ือนท้ังระบบโรงเรียน จำเป็นต้องสร้างความเป็นชุมชน เพ่ือการเรียนรู้ทางวิชาชีพ ซง่ึ ความเป็นโรงเรียน ย่อมมีความเป็นชุมชนที่สัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้น Senge ,1990 ชุมชนท่ีสามารถขับเคล่ือนให้เกิดการ เปล่ยี นแปลงทางวชิ าชีพได้น้ัน จำเป็นต้องมีอยรู่ ่วมกันอยา่ งมีความสุข มีฉนั ทะ และศรัทธาในการทำงาน “ครูศษิ ย์ ทำงานร่วมกัน” บรรยากาศการอยู่ร่วมกันจึงเป็นบรรยากาศ “ชุมชนกัลยาณมิตรทางวิชาการ” (สุรพล ธรรมร่มดี และคณะ ,2553) ที่มีลักษระความเป็นชุมชนแห่งความเอื้ออาทร (Sergiovanni ,1994) อย่บนพ้ืนฐาน “อำนาจ แห่งวิชาชีพ (Professional power)” และ “อำนาจเชิงคุณธรรม (Moral power)” (Sergiovanni ,1994) เป็น อำนาจที่การสร้างพลังมวลชนเริ่มจากภาวะผู้นำร่วมของครู เพ่ือขับเคล่ือนการปรับปรุงและพัฒนาการศึกษา (Fullan ,2005)
8 นอกจากรูปแบบการรวมตัวกัน กระบวนการในการเรยี นรู้และพัฒนาชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพยังมี ความหลากหลาย โดยแต่ละวิธีการ มุ่งการเรียนรู้และพัฒนาวิชาชีพร่วมกันของครู ผู้บริหารและนักการศึกษา สู่การพัฒนาผู้เรียนเป็นหัวใจสำคัญหลากหลายวิธีการจากการนำเสนอของนักการศึกษาต่างๆ เช่น ทีมเรียนรู้ (Team learning) Dufour และคณะ (2013) Thompson (2002) การแลกเปลี่ยนและสะท้อนการเรียนรู้ (Reflection) (Hord,1997) การเรียนรู้แบบเสาะหา (Inquiry learning) (วิจารณ์ พานิช,2555) สิ่งแวดล้อมที่ ส่งเสริมสนับสนุนทั้งทางอารมณ์ การเติบโตของแต่ละคน (Thomas, Gregg,Nisk,2002) เรียนรู้และลงมือทำ การสนทนาแลกเปลย่ี นเรยี นรหู้ รอื เสวนาอยา่ งใครค่ รวญ เป็นตน้ กล่าวโดยสรุป ชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพครูในโรงเรียน หมายถึง การรวมตัว รวมใจ รวมพลัง ร่วมมือกันของครู ผู้บริหาร และนักการภารโรงภายในโรงเรียน บนพ้ืนฐานวัฒนธรรม ความสัมพันธ์แบบ กัลยาณมิตร มีวิสัยทัศน์ คุณค่า เป้าหมาย และภารกิจร่วมกันแบบทีมเรียนรู้ โดยครูเป็นผู้นำ เพ่ือร่วมเรียนรู้และ พัฒนาวิชาชีพเปล่ียนแปลงคุณภาพตนเองจากภายในสู่คุณภาพการจัดการเรียนรู้ ที่เน้นความสำเร็จหรือ ประสิทธิผลของผ้เู รียนเปน็ สำคญั และความสขุ ของการทำงานร่วมกันของสมาชิกในชุมชน 1.3 แนวคิดเก่ยี วกบั องคป์ ระกอบและคณุ ลักษณะของชุมชนแหง่ การเรยี นรูท้ างวิชาชีพ (PLC) ชุมชนแห่งเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) เป็นแนวคิดที่มีที่มา และได้รับการพัฒนามาตั้งต้นจาก “องค์กรแห่ง การเรียนร”ู้ มาเปน็ บริบท “โรงเรยี นแห่งการเรยี นร้”ู และพัฒนาจนกลายเป็น “ชุมชนแห่งการเรียนรู้” ด้วยบรบิ ท ของโรงเรียนที่มีความแตกต่างจากรูปแบบองค์กรความเป็น PLC จึงมีลักษณะของ PLC ว่าไม่ใช่รูปแบบหรือแบบ แผน แต่ค่อนข้างจะเป็นวิธีการหรือกระบวนการ ซ่ึงมีการดำเนินการปฏิบัติร่วมกันในชุมชน จนสะท้อนเป็น คณุ ลักษณะ PLC จะสะท้อนให้เห็นถึงธรรมชาติ ความเป็นจริงของ PLC นั้นๆ ความเข้าใจน้ีจะชว่ ยเหมือนใช้เลนส์ ส่องตรวจสอบ PLC ของตวั เอง ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ สังเคราะห์ เอกสารและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับ PLC สู่การเรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21 สรุป เป็น คุณลักษณะร่วมในองค์ประกอบของ PLC ของมุมมองต่างๆของนักการศึกษาหลายท่าน พบว่า PLC มี องค์ประกอบและลักษณะของ PLC อยู่ 7 องค์ประกอบ คือ วิสัยทัศน์ร่วม (Shared vision) การเรียนรู้และการ พัฒนาวิชาชีพ (Learning and professional developement) ชุมชนกัลยาณมิตร (Caring communities) ทีม ร่วมแรงร่วมใจ (Collaborative teamwork) ภาวะผู้นำและสนับสนุน (Supportive & Shared leadership) การเรียนรขู้ องผเู้ รยี น (Student Learning) และการสร้างสนบั สนุนชุมชน (Supportive structure) 2. การจัดกระบวนการเรียนการสอน Active Learning 2.1 ความหมายของการจัดการเรียนแบบ Active Learning เป็นกระบวนการเรยี นรูแ้ บบเนน้ ให้ผเู้ รียนไดป้ ฏิบัติ หรอื ลงมอื ทำและด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศในยุคศตวรรษที่ 21 การเข้าถึงองค์ความรใู้ หมๆ่ การ เขา้ ถึงแหลง่ ขอ้ มูล และการติดต่อสื่อสาสารแบบไรพ้ รมแดนสามารถทำไดท้ ุกทท่ี ุกเวลา ทำให้ผเู้ รียนสามารถเรียนรู้ ได้ด้วยตนเองอยา่ งต่อเนื่องผู้สอนจึงตอ้ งมีการปรับเปลี่ยนวิธกี ารสอนในรูปแบบเดิมให้สอดคลอ้ งกับการเรียนรู้ของ ผ้เู รยี น สังคม และเทคโนโลยี โดยปรับเปลย่ี นบทบาทจากผู้ถา่ ยทอดเป็นผู้ชแ้ี นะวิธกี ารคน้ คว้าหาความรู้เพอ่ื พัฒนา ผู้เรียนให้สามารถแสวงหาความรู้และประยุกต์ใช้ทักษะต่างๆ สร้างความเข้าใจด้วยตนเอง จนเกิดเป็นการเรียนรู้
9 อย่างมีความหมาย (ศริ ิพร ปาณาวงษ์ , 2557) โดยรปู แบบการจัดการเรียนการสอนรูปแบบน้ีจะใหค้ วามสำคัญกับ การมีส่วนรว่ มและบทบาทในการเรียนรู้ของผู้เรยี น ครอบคลุมวิธีการเรียนการสอนหลากหลายวิธี เช่น การเรียนรู้ จากกรณีศึกษา (Problem-Based Learning) การเรียนรู้จากการสืบค้น (Inquiry-Based Learning) การเรียนรู้ จากการทำกิจกรรม (Activity -Based Learning) การสอนแบบโครงงาน (Project -Based Learning) การสอน แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Proble-Based Learning) และการสอนท่ีเน้นทักษะกระบวนการคิด (Thinking -Based Learning) เป็นต้น และส่งเสริมหรือกระตุ้นให้ผู้เรียนเป็นผู้มีบทบาทหลักในการเรียนรู้ของตนเอง การส่งเสริมการ มีส่วนร่วมในชั้นเรียน มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน ด้วยเทคนิคหรือกิจกรรมต่างๆ ซ่ึงผู้สอนมีบทบาทใน การอำนวยความสะดวกและจัดสภาพแวดล้อมท่ีเอ้ือให้ผู้เรียนสร้างความรู้ดว้ ยตนเอง จนเกดิ เป็นการเรยี นรู้อย่างมี ความหมาย (Mainingful learning) สรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก Active learning หมายถึง การเรียนรู้ที่ผู้เรียนมีบทบาทในการ แสวงหาความรูแ้ ละทำความเข้าใจดว้ ยตนเอง หรือร่วมกันค้นหาคำตอบจากเพือ่ น จนเกดิ ความรู้ ความเข้าใจ นำไป ประยุกต์ใช้ สามารถวิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินคา่ หรือ สร้างสรรค์สิ่งต่างๆและพัฒนาตนเองเต็มความสามารถ รวมถึงการจัดประสบการณ์เรียนรู้ให้ได้ร่วมอภิปรายให้ฝึกทักษะการส่ือสาร การนำเสนอผลงานทางการเรียนรู้ใน สถานการณจ์ ำลอง มกี ารเชอ่ื มโยงกับสถานการณต์ ่างๆ และมกี ารฝกึ ปฏิบตั ใิ นสภาพจรงิ 2.2 กระบวนการจัดการเรยี นการสอนแบบใหผ้ ูเ้ รยี นได้ปฏบิ ัติ การจัดการเรียนการสอนแบบเน้นให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติ สามารถเกิดขึ้นได้ท้ังในห้องเรียนและนอกห้องเรียน Mckinney (2008) ได้เสนอรปู แบบกระบวนการจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนแบบให้ผเู้ รยี นไดป้ ฏบิ ตั ดิ ังน้ี 1. การเรียนรู้แบบแลกเปลี่ยนความคิด (Think-Pair-Share) คือ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนคิด เกี่ยวกับประเด็นที่กำหนดคนเดียว 2-3 นาที(Think) จากน้ันให้แลกเปลี่ยนความคิดกับเพื่อนอีกคน 3-5 นาที (Pair) และนำเสนอความคิดเห็นต่อผูเ้ รียนทงั้ หมด (Share) 2. การเรยี นรู้แบบร่วมมือ (Collaborative learning group) คือ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้ ทำงานรว่ มกับผ้อู ื่น โดยจัดกลุ่มละ 3-6 คน 3. การเรียนรู้แบบทบทวนโดยผู้เรียน (Student-led review sesions) คือ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ทบทวนความรู้ พิจารณาข้อสงสัยต่างๆ ในการปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ โดยครูจะคอย ชว่ ยเหลอื กรณีทมี่ ปี ญั หา 4. การเรียนรู้แบบใช้เกมส์ (Games) คือ การจัดการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีผู้สอนนำเกมส์เข้าบูรณาการ ในการเรยี นการสอน ซึง่ ใชไ้ ดท้ ั้งในขั้นการนำเขา้ สูบ่ ทเรียน การสอน การมอบหมาย และหรือข้ันการประเมินผล 5. การเรียนร้แู บบวิเคราะห์วดิ โี อ (Analysis or reactions to videos) 6. การเรียนรู้แบบโต้วาที (Student debates) คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีจัดให้ผู้เรียนได้นำเสนอ ข้อมลู ทไ่ี ดจ้ าก ประสบการณแ์ ละการเรยี นรู้ เพอ่ื ยืนยันแนวคิดของตนเองหรอื กล่มุ 7. การเรียนรู้แบบผู้เรียนสร้างแบบทดสอบ (Student generated Exam questions) คือ การจัด กจิ กรรมการเรียนรทู้ ่ีให้ผ้เู รยี นสร้างแบบทดสอบจากสิง่ ที่ไดเ้ รยี นร้มู าแลว้ 8. การเรียนรู้แบบกระบวนการวิจัย (Mini-research proposals or project) คือ การจัดกิจกรรม การเรียนรู้ท่ีอิงกระบวนการวิจัย โดยให้ผู้เรียนกำหนดหัวข้อที่ต้องการเรียนรู้ วางแผนการเรียน เรียนรู้ตามแผน
10 สรุปความรู้หรือสร้างผลงาน และสะท้อนความคิดในสิ่งที่ได้เรียนรู้ หรืออาจเรียกว่าการสอนแบบโครงงาน (Project – base learning) หรือ การสอนแบบใช้ปัญหาเปน็ ฐาน (proble – base learning) 9. การเรียนรู้แบบกรณีศึกษา (Analyze case studies) คือ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้อ่าน กรณีตัวอย่างท่ีต้องการ ศึกษา จากนั้นให้ผู้เรียนวิเคราะห์และแลกเปล่ียนความคิดเห็นหรือแนวทางแก้ปัญหา ภายในกลมุ่ แล้วนำเสนอความคิดเห็นต่อผู้เรียนทง้ั หมด 10. การเรยี นรู้แบบการเขียนบันทึก (Keeping journals or logs) คือ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผเู้ รียน จดบันทึกเรื่องราวต่างๆท่ีได้พบเห็น หรือเหตุการณ์ที่เกิดข้ึน ในแต่ละวัน รวมท้ังเสนอความคิดเพิ่มเติมเก่ียวกับ บันทกึ ทเี่ ขยี น 11. การเรียนรู้แบบการเขียนจดหมายข่าว (Write and produce a newsletter) คือ การจัดกิจกรรม การเรียนรู้ท่ีให้ผู้เรียนร่วมกันผลิตจดหมายข่าว อันประกอบด้วย บทความ ข้อมูลสารสนเทศ ข่าวสาร และ เหตุการณท์ ่เี กดิ ขึ้น แลว้ แจกจ่ายไปยังบคุ คลอ่ืนๆ 12. การเรียนรู้แบบแผนผังความคิด (Concept mapping) คือ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียน ออกแบบแผนผังความคดิ เพื่อนำเสนอความคิดรวบยอด และความเชื่อมโยงกันของกรอบความคิด โดยการใช้เส้น เป็นตัวเช่ือมโยง อาจจัดทำเป็นรายบุคคลหรืองานกลุ่มแล้วนำเสนอผลงานต่อผู้เรียนอื่นๆจากนั้นเปิดโอกาสให้ ผู้เรียนคนอื่นไดซ้ ักถามและแสดงความคิดเห็นเพมิ่ เติม กระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติ สามารถใช้ได้กับผู้เรียนทุกระดับ โดย ผู้เรียนสามารถเรียนรู้เป็นรายบุคคล เรียนรู้แบบกลุ่มเล็ก และเรียนรู้แบบกลุ่มใหญ่ โดยกระบวนการจัดการเรียน การสอนในรปู แบบนีจ้ ะเปิดโอกาสให้ผเู้ รียนมีสว่ นร่วมในการปฏิบัติ และการเรียนรูส้ ูงสุด ผู้เรียนมีความรับผิดชอบ ร่วมกัน การมีวินัยในการทำงาน การแบ่งหน้าท่ีความรับผิดชอบและส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้เทคโนโลยีสารสนเทศใน การบูรณาการข้อมูลข่าวสารซ่ึงผู้สอนจะเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้ เพ่ือให้ผู้เรียนเป็นผู้ปฏิบัติ ดว้ ยตนเอง ความรู้เกิดจากประสบการณ์ การสร้างองค์ความรู้ และการสรปุ ทบทวนของผเู้ รยี น 2.3 บทบาทของผ้สู อน กระบวนการจัดการเรียนแบบเน้นให้ผู้เรียนโดยปฏิบตั ิ ผู้สอนเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคญั โดยทัว่ ไป ผู้สอนจะมี คุณสมบัติ และมีสมรรถนะในด้านต่างๆ ท่ีสำคัญหลายประการ ซึ่งสมรรถนะเหล่าน้ี จะช่วยให้เกิดกิจกรรม การเรียนการสอนแบบเน้นให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติ ได้เป็นอย่างดี โดยทวีวัฒน์ วัฒนกุลเจริญ (2547) ได้กล่าวว่าผู้สอน ควรมีบทบาท ดังนี้ 1. จดั ให้ผู้สอนเป็นศนู ย์กลางของการเรียน กิจกรรม หรอื เป้าหมายที่ต้องการสะท้อนความต้องการที่จะ พัฒนาผู้เรียน และเนน้ การนำไปใช้ประโยชนใ์ นชีวิตจริงของผู้เรยี น 2. สร้างบรรยากาศ ของการมีส่วนร่วม และการเจรจาโต้ตอบที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับ ผสู้ อน และเพ่อื นในชนั้ เรยี น 3. จดั กจิ กรรมการเรียนการสอนให้เป็นพลวัต ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในทุกกิจกรรมท่ีสนใจ รวมทั้ง กระตุ้นผู้เรียนประสบความสำเร็จในการเรียน กิจกรรมท่ีเป็นพลวัติ ได้แก่ การฝึกแก้ปัญหา การศึกษาด้วยตนเอง เปน็ ตน้
11 4. จัดสภาพการเรยี นรู้แบบรว่ มมือ สง่ เสรมิ ใหเ้ กดิ การร่วมมอื ในกลุ่มผเู้ รยี น 5. จัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบท้าทาย และให้โอกาสผู้เรียนได้รับวิธีการสอนท่ีหลากหลาย มากกว่าการบรรยายเพียงอย่างเดียว แม้รายวิชาท่ีเน้นทางก้านการบรรยาย หลักการ และทฤษฎีเป็นหลักก็ สามารถจดั กจิ กรรมเสรมิ อาทิ การอภปิ ราย การแกไ้ ขสถานการณ์ทกี ำหนด เสรมิ เข้ากบั กิจกรรมการบรรยาย 6. วางแผนในเรือ่ งของเวลาการสอนอย่างชดั เจน ทง้ั ในเรื่องของเนื้อกา และกจิ กรรมในการเรยี น 7. ใจกวา้ ง ยอมรับในความสามารถในการแสดงออก และความคิดเหน็ ท่ผี ู้เรยี นนำเสนอ ผู้สอนเป็นผู้ท่ีจะช้ีแนะแนวทางการในการเรียนรู้จากกระบวนการจัดการเรียนการสอนแบบเน้นให้ผู้เรยี น ไดป้ ฏิบตั ิ ดังนั้นผู้สอนจึงต้องมีความรู้ความเข้าใจดา้ นเนื้อหา การออกแบบและพัฒนากระบวนการเรียนของผู้เรียน รวมทั้งจะต้องมีการจูงใจ การวางแผนบูรณาการ และการติดต่อส่ือสารกับผู้เรียน เพ่ือให้ผู้เรียนสามารถ ปฏิสัมพันธ์ กับผู้สอนได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้ผู้เรียนสนุกกับการเรียน ลดความกังวลในการเรียน มีความ กระตอื รอื ร้น และอาจจะทำใหผ้ ลการเรียนดีขน้ึ 3. เอกสารงานวจิ ัยที่เกีย่ วขอ้ ง ผวู้ จิ ัยไดศ้ กึ ษาเอกสารงานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ งดงั รายการต่อไปนี้ ณรงค์ฤทธ์ิ อินทนาม ( 2523 ) ศึกษาเร่ืองการพัฒนาหลักเทียบสำหรับการสร้างชุมชนการเรียนรู้ทาง วิชาชีพในโรงเรียน เพื่อสร้างและประยุกต์ใช้หลักเทียบสำหรับการสร้างชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพในโรงเรียน ผลการวิจัยพบว่า องค์ประกอบ 9 ตัวบ่งชี้ ได้แก่ 1) องค์ประกอบด้านปัจจัย คือ 1.1 ทักษะทางวิชาการ และ กลไก การเรียนรู้และ 1.2) โครงสร้าง สิ่งสนับสนุน 2) องค์มีเป้าหมายร่วมกันเพ่ือการเรียนรู้ระกอบด้าน กระบวนการ 2.1) การสร้างบรรทัดฐานและค่านิยมร่วมกัน 2.2) การปฏบิ ัตทิ ี่มเี ป้าหมายรว่ มกนั เพ่อื การเรยี นรู้ของ นักเรียน 2.3 การร่วมมือรวมพลังกัน 2.4) การเปิดรับการชี้แนะในการปฏิบัติงาน และ 2.5) การสนทนาที่มุ่ง สะท้อนผลการปฏิบัติงาน และ 3) องค์ประกอบด้านผลลัพท์ คือ 3.1) ผลการปฏิบัติงานตามหน้าท่ีคาดหวัง และ 3.2) การเปน็ สมาชิกและเครือขา่ ยด้านหลักเทียบและคุณภาพ ของหลักเทียบ พบวา่ 2.1) หลักเทียบ ประกอบด้วย 5 ตัวบ่งชี้หลัก ได้แก่ 1 การสร้างบรรทัดฐานและค่านิยมร่วมกัน 2 การปฎิบัติที่มีเป้าหมายร่วมกันเพื่อการเรียนรู้ ของนักเรียน 3 การร่วมมือรวมพลังกัน 4 การเปิดรับการช้ีแนะในการปฏิบัติงาน และ 5 การสนทนาที่มุ่งสะท้อน ผลการปฏิบัติงาน และแนวทาง การสร้างชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพในโรงเรียน เป็นการบูรณาการ แนวคิด กระบวนการทำหลักเทียบกับ กับกลยุทธ์ บลโู อเซียน แบ่งออกเป็น 4 ระยะ ได้แก่ ระยะท่ี 1 การวางแผน ระยะที่ 2 การวิเคราะห์ข้อมูล ระยะท่ี 3 การบูรณาการ และระยะท่ี 4 การปฏิบัติ โดยม่ีคู่มือประกอบการดำเนินการที่มี รายละเอยี ด เกยี่ วกับแนวคิด วตั ถุประสงค์ วธิ ดี ำเนินการ และการรายงานผล Little Brown and Earl ( 2007)ศึกษาเร่ืองการเรียนรู้จากสภาพจริง สำหรับการเรยี นรู้ในศตวรรณท่ี 21 พบว่า การเรียนรู้โดยการทำโดยท่ังไปถือว่าเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ มากท่ีสุดในการเรียนรู้อินเทอร์เน็ตและ ความหลากหลายของการสื่อสารที่เกดิ ข้ึนใหม่ ภาพและเทคโนโลยี การจำลองในขณะนี้ทำใหเ้ ป็นไปได้ท่ีจะนำเสนอ ประสบการณ์ การเรียนรู้ของนักเรียนที่แท้จริง ตั้งแต่การทดลองกับปัญหาจริงของโลก ในการแก้ปัญหางานนี้จะ
12 สำรวจเรียนรู้ท่ีทำให้เกิดการเรียนรู้ได้โดยท่ีเทคโนโลยีสนับสนุน ส่ิงท่ีทำให้มีประสิทธิภาพและเหตุผลที่สำคัญคือ การเรียนรปู้ ระสบการณจ์ ริง Sargent and Hannu ( 2009) ศกึ ษาเร่ืองการทำได้ดีกว่าภายใต้ทรพั ยากรท่ีจำหัด ของชุมชน การเรียนรู้ ทางสิชาชีพในโรงเรียนประถมศึกษาประเทศจีน พบว่าชุมชนการเรียนรู้ทั้งวิชาชีพ ทำให้เกิดสภาพแวดล้อมท่ี ครูผู้สอนใส่วนร่วมกันในการวิจัยเพื่อพัฒนา ครูค้นพบวิธีท่ีมีประสิทธิภาพ สำหรับการเช่ือมต่อ การเรียนรู้อย่างมี อาชีพในทุกๆวนั ในขณะที่โรงเรียนมีทรัพยากรท่ีจำจดั แต่ด้วยธรรมชาติ และการพัฒนาของพวกเขา การสนับสนุน ของสถายนั อย่างจรงิ จัง ผ้นู ำโรงเรยี นเป็นผูน้ ำหลกั และครเู ปน็ ตัวของตัวทจ่ี ะรเิ ร่มิ พัฒนา Cormier ( 2009) ศึกษาเร่ืองคุณลักษณะของผู้อำนวยการและครูในชุมชน การเรียนรู้ทางวิชาชีพ ซึ่ง พบว่า ผู้อำนวยการโรงเรียน ท่ีมีลักษณะชุมชน การเรียนรู้ทางวิชาชีพ มีองค์ประกอบคือ วิสัยทัศน์ร่วมและ ขอ้ ตกลงรว่ มผ้นู ำรว่ ม และผู้นำสนับสนุน การรว่ มเรียนรู้การเสริมสร้างศักยภาพร่วมหันการวัดและประเมนิ ผล ดว้ ย ความรับผิดชอบ ครูของนักเรียนท่ีมีลักษณะชุมชนการเรยี นรู้ ทางวิชาชีพ คือนกั สอื่ สาร นักสร้างความรว่ มมือ โค้ช ผู้ฝกึ สอน ผูน้ ำการเปล่ยี นแปลง ผ้เู สรมิ ศักยภาพ และผ้ปู ระสานงาน จากเอกสาร และงานวิจัย ท่ีเก่ียวข้อง พบว่าชุมชนแห่งการเรียน แห่งวิชาชีพ (PLC) สามารถช่วยพัฒนา คุณภาพของผู้เรียน และช่วยพัฒนาวิชาชีพ ครูสู่การจัดการเรียนรู้ ในศวรรษที่ 21 ผู้วิจัยจึงมีความสนใจ ทำงาน วิจัยในเรื่อง ผลการส่งเสริมการเรียนรู้แบบเชิงรุก ( Active Learning) โดยใช้กระบวนการชุมชนการเรียนรู้ วชิ าชีพ (PLC)และกระบวนการวิจัย ในชั้นเรยี น สำหรบั ครู เพื่อพฒั นาทักษะทางปัญญา และทักษะทางสังคม ของ ผเู้ รียน โรงเรยี นบ้านหนองเตา อำเภอเถิน จังหวดั ลำปาง
13 บทที่ 3 วิธีการดำเนนิ งาน ในการวิจัยครั้งน้ี ผู้วิจัยได้ดำเนนิ การวิจัยตามขน้ั ตอนดังนี้ 1. การกำหนดประชากร 2. เครอื่ งมอื ท่ีใช้ในการวิจยั 3. การเก็บรวบรวมข้อมลู 4. การสร้างและพัฒนาเคร่ืองมือ 5. การวเิ คราะหข์ ้อมลู และการแปลผลข้อมลู วธิ ีดำเนนิ การวิจัย ประชากรในการวิจัย 1) คณะครูของโรงเรยี นบา้ นหนองเตาจำนวน 7 คน 2) นักเรียนโรงเรียนบ้านหนองเตาในระดับชั้นอนุบาลปีที่ 1 ถึงประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 51 คน ในภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2560 สังกดั สำนกั งานเขตพื้นทกี่ ารศกึ ษาประถมศึกษาลำปาง เขต 2 เคร่อื งมอื ในการวิจัย 1. แบบสงั เกตกระบวนการจดั การเรยี นรู้แบบเชิงรกุ Active Learning 2. แบบประเมนิ ทักษะทางปัญญา 3. แบบประเมินทักษะทางสงั คม การเก็บรวบรวมขอ้ มลู 1. ครูประเมินทักษะทางปัญญาและทักษะทางของสังคมของนักเรียนแต่ละระดับช้ัน ก่อนที่จะ จดั การเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) 2. ครูจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) โดยคณะครูและผู้บริหารจะมีการแลกเปลี่ยน เรยี นรเู้ ร่อื งปัญหาการจัดการสอนกนั อย่างสม่ำเสมอ 3. เก็บข้อมูลจากคณะครู โดยเข้าไปนิเทศติดตามการจัดกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ เชงิ รกุ (Active Learning) ในระดบั ช้นั เรียน โดยผบู้ ริหารและครูหัวหน้าวชิ าการ
14 4. ครูประเมินทักษะทางปัญญาและทักษะทางของสังคมของนักเรียนแต่ละระดับชั้น หลังการจัด การเรยี นรูแ้ บบเชงิ รกุ (Active Learning) ฉบบั เดียวกับก่อนเรียน 5. นำข้อมลู มาวเิ คราะหท์ างสถติ ิ การสร้างและพฒั นาเคร่ืองมือ 1.แบบสังเกตกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างและ พัฒนาเคร่อื งมือ มีรายละเอียดดังน้ี 1.1 ผู้วิจัยนำข้อมูลท่ีได้จากการศึกษาเอกสาร งานวิจัย และวรรณกรรมท่ีเก่ียวข้อง นำมาเป็นร่าง กรอบแบบประเมิน ซ่ึงสร้างตามวิธีของ Likert โดยกำหนดค่าน้ำหนักของคะแนนเป็นมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) 5 ระดบั ดังนี้ ระดบั 5 หมายถึง มคี วามเหมาะสมในระดบั มากทีส่ ดุ ระดับ 4 หมายถึง มีความเหมาะสมในระดับมาก ระดบั 3 หมายถงึ มีความเหมาะสมในระดับปานกลาง ระดับ 2 หมายถงึ มคี วามเหมาะสมในระดบั นอ้ ย ระดับ 1 หมายถึง มคี วามเหมาะสมในระดับนอ้ ยทสี่ ดุ 1.2 นำผลทไี่ ด้มาพัฒนาเป็นแบบสงั เกตกระบวนการจัดการเรียนรูแ้ บบเชิงรกุ Active Learning 1.3 นำเครื่องมือที่ได้ไปให้ผู้เช่ียวชาญ ตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเน้ือหา โดยการวัดการพิจารณา ความตรงตามเน้ือหาของแบบประเมิน โดยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 5 ท่าน ได้ค่าเฉล่ียเท่ากับ 4.72 จากน้ันนำ เคร่ืองมือที่ผ่านการตรวจสอบจากผทู้ รงคุณวุฒิมาแก้ไข ปรับปรุง แก้ไขภาษาท่ีใช้ตลอดจนเน้ือหาให้สอดคล้องกับ วัตถุประสงค์ 1.4 ปรับปรงุ เคร่ืองมอื การวิจยั เปน็ แบบประเมนิ ฉบบั สมบูรณ์ นำไปใช้กับกลุ่มประชากรตอ่ ไป 2. แบบประเมินทักษะทางปญั ญา ผ้วู ิจยั ได้ดำเนินการพฒั นาเครื่องมอื มีรายละเอียดดงั นี้ 2.1 ให้คณะครูทุกคนในโรงเรียนได้ร่วมกันศึกษาเทคนิควิธีการสร้างข้อสอบทักษะกระบวนการคิด และวิธกี ารวิเคราะหข์ อ้ สอบ 2.2 ครูแต่ละคนศึกษาหลักสูตร ในกลุ่มสาระท่ีจะจัดกิจกรรมการเรียนเรียนรู้แบบเชิงรุก Active Learning 2.3 กำหนดจุดประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม และสรา้ งตารางวเิ คราะห์ข้อสอบ 2.4 ครูแต่ละคน สร้างแบบทดสอบวัดทักษะทางปัญญาตามระดับช้ันท่ีรับผิดชอบ จำนวนข้อของ แบบทดสอบใหค้ ำนงึ ถึงความเหมาะสมกับนักเรียนแต่ละชว่ งวยั
15 2.5 นำแบบทดสอบที่ทั้งหมดที่ครูสร้าง ให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความเท่ียงตรง โดยให้ประเมินความ สอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม โดยใช้สูตร IOC คัดเลือกข้อท่ีผ่านเกณฑ์ต้ังแต่ 0.60 ขึ้น ไป 2.6 ผลการประเมินดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อสอบและจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมในแต่ละ ระดับชั้น ของผู้เช่ียวชาญทั้ง 5 ท่าน มีคะแนนเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 0.80 – 1.00 หมายความว่า แบบทดสอบของครู ทกุ ระดับชัน้ มีความเท่ียงตรงในการวดั ผลตรงกับจุดประสงค์เชงิ พฤติกรรม 2.7 ทำการแก้ไขแบบทดสอบ ตามข้อเสนอแนะของผู้เช่ียวชาญ และจัดทำแบบทดสอบวัดทักษะทาง ปญั ญาฉบบั สมบรู ณ์ 3. แบบประเมินทกั ษะทางสังคม ผู้วจิ ัยได้ดำเนินการพฒั นาเครอื่ งมอื มีรายละเอยี ดดงั นี้ การประเมินทักษะทางสังคม ผู้วิจัยประเมินจากแบบประเมินความสามารถในการทำงานร่วมกันกับ ผู้อ่ืน เป็นแบบมาตราส่วนประเมินค่าชนิด 3 ระดับ โดยประเมินพฤติกรรมการทำงานกลุ่มที่ประเมินโดยครูผู้สอน รายละเอียดการประเมินจะแบ่งออกเป็น1) การวางแผนการทำงาน 2) การให้ความร่วมมือ 3) การแสดงความ คิดเห็น 4) ความสนใจกระตือรือร้นในการทำงาน 5)ความรับผิดชอบในหน้าที่ 6) การนำเสนอผลงาน ผู้วิจัย ดำเนินการโดยนำแบบประเมินความสามารถในการทำงานร่วมกัน ตรวจสอบความถูกต้องเกี่ยวกับประเด็นและ รายละเอียดในการประเมินพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม โดยผู้เช่ียวชาญจำนวน 5 ท่าน ได้ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) เทา่ กับ 1.00 แลว้ นำข้อเสนอแนะของผเู้ ชีย่ วชาญมาปรับปรุง เพ่อื ใชส้ ำหรบั กลุ่มประชากรต่อไป การวิเคราะหข์ ้อมูลและการแปลผลข้อมลู 1. วิเคราะห์ข้อมูลจาก แบบสังเกตกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning แล้วแปลความหมาย ของแบบประเมินงานวจิ ัยในชั้นเรยี น และ หาคา่ เฉลย่ี โดยใช้เกณฑข์ องเบส (Best :1981) ซ่งึ มรี ายละเอียดดังน้ี ค่าเฉลี่ย 4.50 – 5.00 หมายถงึ ระดบั คณุ ภาพ มากที่สุด ค่าเฉล่ยี 3.50 – 4.49 หมายถึง ระดับคุณภาพ มาก คา่ เฉลย่ี 2.50 – 3.49 หมายถงึ ระดับคุณภาพ ปานกลาง ค่าเฉล่ีย 1.50 – 2.49 หมายถึง ระดับคณุ ภาพ นอ้ ย คา่ เฉลย่ี 1.00 – 1.49 หมายถึง ระดับคุณภาพ น้อยท่ีสุด 2. วเิ คราะหข์ ้อมูลจากคะแนนทกั ษะทางปญั ญา และทักษะทางสังคม ของนักเรยี นแต่ละระดบั ชนั้ แลว้ หา คา่ เฉลย่ี ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน และ t – test Dependent Samples
16 บทท่ี 4 ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล การเสนอผลวิเคราะห์ขอ้ มลู และการแปลผลการวิเคราะหข์ ้อมลู ผ้วู จิ ยั นำเสนอตามลำดับขั้นดงั นี้ 1. ผลการสังเคราะห์แบบสังเกตกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning โดยใช้กระบวนการ ชุมชนการเรยี นรู้วิชาชีพ (PLC) ของคณะครูทัง้ 7 คน แสดงดังตารางท่ี 1 ตารางที่ 1 แสดงค่าเฉล่ยี สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน และระดบั คุณภาพของแบบสังเกตกระบวนการจดั การ เรยี นรแู้ บบ Active Learning โดยใชก้ ระบวนการชุมชมุ ชนการเรยี นรวู้ ิชาชีพ (PLC) รายการ N=7 มีกิจกรรมนำเขา้ สูบ่ ทเรียนทีเ่ ร้าความสนใจ µ ระดับคุณภาพ ดำเนนิ การจัดกจิ กรรมการสอนอย่างเปน็ ลำดบั ขนั้ ตอน การจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนเนน้ ผ้เู รียนเปน็ สำคญั ผู้เรียน 4.86 0.71 มากทีส่ ดุ มีสว่ นรว่ มในกจิ กรรมการเรียนการสอน จดั กิจกรรมการเรียนการสอนหลากหลาย สรา้ งสรรค์ 4.00 0.14 มาก เอื้อต่อการเรียนรู้ จัดกิจกรรมกระตนุ้ ใหน้ กั เรยี นเกิดการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง 4.43 0.28 มาก สามารถใชค้ ำถามและกิจกรรมกระตนุ้ ใหผ้ ู้เรยี นคดิ และมสี ว่ นรว่ มแสดงความคดิ เหน็ 4.00 1 มาก สามารถส่อื สาร และเชอื่ มโยงความรทู้ ีเ่ ขา้ ใจง่าย มีการสอดแทรกคณุ ธรรม จริยธรรม 4.00 0.14 มาก มกี ารสอดแทรกความรู้และเหตุการณป์ จั จุบัน 4.43 0.57 มาก มคี วามมนั่ ใจในการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน 4.00 0.14 มาก กจิ กรรมการเรียนการสอนสามารถพฒั นาคณุ ลักษณะ 4.14 0 มาก อันพงึ ประสงค์ของผู้เรยี น ปานกลาง กิจกรรมการเรียนการสอนสามารถพัฒนาสมรรถนะสำคญั 3.43 0.72 มาก ของผู้เรียน มากท่ีสดุ มีการให้กำลังใจ เสริมแรงเมื่อผู้เรียนปฏบิ ัตกิ จิ กรรมไดถ้ ูกต้อง 4.00 1 4.86 0.71 4.00 1 มาก 3.86 0.3 มาก
17 ตารางที่ 1 (ต่อ) N=7 รายการ µ ระดับคุณภาพ มีการจดั บรรยากาศการเรยี นร้ทู ีน่ ่าสนใจ ผู้เรยี นมคี วามสขุ 4.29 0.14 มาก ผู้สอนเอาใจใส่ ดูแลนกั เรยี นอย่างทว่ั ถึง มกี ารประเมนิ ความรู้ของนักเรยี นทเ่ี หมาะสม 4.86 0.71 มากที่สดุ มกี ารสรปุ บทเรียนไดเ้ หมาะสม ชดั เจน เข้าใจงา่ ย ส่ือประกอบการสอนมีความเหมาะสม ชว่ ยให้เกิดการเรยี นรู้ 3.86 0.3 มาก ใชเ้ วลาในการจดั กิจกรรมได้เหมาะสม ผู้เรียนมคี วามกระตอื รือรน้ และสนกุ สนานในการเรยี น 4.71 0.57 มากท่ีสุด รวมเฉลยี่ 4.86 0.71 มากทส่ี ุด 4.00 0.14 มาก 4.86 0.71 มากทสี่ ุด 4.03 0.46 มาก จากตารางท่ี 1 พบว่าคณะครูของโรงเรียน มีความรู้ความสามารถในการจัดการเรียนรู้ในรูปแบบ Active Learning มคี ่าเฉลี่ยรวม 4.03 สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน 0.46 ซึง่ มีระดับคณุ ภาพมาก 2. การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนนทักษะทางปัญญาและทักษะทางสังคมก่อนเรียนและหลังเรียน ของ นกั เรยี น แสดงดงั ตารางที่ 2 ตารางท่ี 2 แสดงการเปรยี บเทียบคา่ เฉลีย่ คะแนนทกั ษะทางปญั ญาและทักษะทางสังคมกอ่ นเรียนและหลงั เรยี น ของนักเรียน N ทกั ษะทางปัญญา ทักษะทางสังคม µ t µ t 2.39 4.07** กอ่ นเรียน 51 20.03 1.98 3.57** 20.70 หลังเรยี น 51 35.60 1.32 28.80 1.21 ** มนี ยั สำคัญทีร่ ะดับ .01 จากตารางท่ี 2 ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล พบว่า ทกั ษะทางปัญญาและทกั ษะทางสังคมของนักเรยี นหลังเรยี น สงู กวา่ กอ่ นเรียน อย่างมนี ยั สำคัญทร่ี ะดับ .01
18 3. โรงเรียนบ้านหนองเตา ได้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้มี ทักษะทางปัญญาและทักษะทางสังคม โดยได้มีการสร้างวิสัยทัศน์ร่วมกัน มีเป้าหมายร่วมกัน ค่านิยมร่วมกันท่ีจะ พัฒนาคุณภาพผู้เรียน ท้ังผู้บริหาร ครู ผู้ปกครอง และนักเรยี น โดยมีการศกึ ษาความตอ้ งการจำเป็นจากผู้ที่มสี ่วน ได้ส่วนเสียของโรงเรียน แล้วนำข้อมูลสารสนเทศ มาวางแผนร่วมกันอย่างเป็นระบบ นอกจากนั้นยังมีการ แลกเปล่ียนเรียนรู้เก่ียวกับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบเชิงรุก (Active Learning) อย่างเป็นทางการ สัปดาห์ละ 1 ครั้ง และอย่างไม่เป็นทางการหลายๆคร้ังถ้ามีโอกาส โดยครูแต่ละคนในโรงเรียนจะมี LOGBOOK เพ่ือบันทึกสรุปการแลกเปล่ียนเรียนรู้ และผู้บริหารมีการนิเทศติดตาม และให้กำลังใจกับคณะครูอย่างต่อเนื่อง โรงเรยี นบา้ นหนองเตาจึงเปน็ โรงเรยี นชุมชนแห่งการเรยี นรู้
19 บทท่ี 5 สรุปผล และขอ้ เสนอแนะ สรปุ ผล 1. คณะครูโรงเรียนมีความรู้ ความสามารถในการจัดการเรียนการรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) ในระดบั คณุ ภาพมาก 2. ทักษะทางปัญญาและทักษะทางสังคมนักเรียนโรงเรียนบ้านหนองเตาที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบ เชงิ รกุ (Active Learning) หลังเรยี นสูงกว่ากอ่ นเรียนอยา่ งมนี ัยสำคัญทางสถิตทิ รี่ ะดบั .01 3. โรงเรียนบ้านหนองเตา ได้มีการแลกเปล่ียนเรียนรู้เพ่ือพัฒนาคุณภาพผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง ท้ังผู้บริหาร ครู ผปู้ กครอง และนกั เรยี น โรงเรยี นบา้ นหนองเตาจึงเปน็ โรงเรียนชุมชนแหง่ การเรียนรู้ การอภิปรายผล 1. ครูมีความรู้ ความสามารถในการจัดการเรียนการรู้ในรูปแบบเชิงรุก (Active Learning) ในระดับ คุณภาพมาก ทั้งนี้เน่ืองจากผู้บริหารและคณะครูมี การกำหนดวิสัยทัศน์ร่วม และมีเป้าหมายร่วมกัน มีความ มุ่งม่ันกบั ภารกิจทีจ่ ะไปสเู่ ป้าหมายรว่ มกันเพือ่ ทีจ่ ะพฒั นาคุณภาพผเู้ รียนให้มีทกั ษะทางปัญญาและทักษะทางสังคม นอกจากน้ันบุคลากรยังได้มีการแลกเปล่ียนเรียนรู้กันอย่างต่อเน่ืองระหว่าง ผู้บริหารกับครู ครูกับครู และครูกับ นักเรยี น เพ่ือพัฒนาคุณภาพผู้เรียน โดยมีการเคารพและยอมรบั กับสิ่งท่ีเกิดข้ึนวา่ เป็นการเรียนรู้ เพื่อเติบโต ถึงแม้ จะเป็นความล้มเหลวก็ตาม สอดคล้องกับแนวคดิ ของ Sergiovanni (1994) ทกี่ ลา่ วถึง วัฒนธรรมความกล้าเส่ียงใน PLC ว่า สมาชิกของชมุ ชนแห่งวิชาชีพต้องไม่ถือว่า ความผิดพลาดทีไ่ ด้จากการทดลองคอื ความลม้ เหลว แต่ตอ้ งถือ ข้อผดิ พลาดท่ไี ด้ดังกล่าวเป็นโอกาสดี ทีจ่ ะไดเ้ กิดการเรยี นรู้ใหม่เพ่ิมเตมิ และ “ถอื วา่ ผิดเป็น คร”ู ไมเ่ ป็นเร่ืองทคี่ วร ตำหนิ แตเ่ ปน็ เรือ่ งท่ีควร สนบั สนุนให้กำลังใจเพ่อื จะได้ค้นหาคำตอบ ทเี่ หมาะสมต่อไป 2. นักเรียนโรงเรียนบ้านหนองเตาที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบเขิงรุก(Active Learning) มีทักษะทาง ปญั ญาและทักษะทางสงั คมหลังเรยี นสูงกว่าก่อนเรยี น ทงั้ น้ีเนอ่ื งจาก รูปแบบการจัดการเรยี นการสอนแบบ Active Learning ทำให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง และสร้างองค์ความรู้จากสิ่งท่ีได้ปฏิบัติระหว่างเรียน โดยมีวิธีการ เรยี นรูผ้ ่านทักษะ การสำรวจขอ้ มูล การทดลอง การแก้ไขปญั หา การอภิปรายร่วมกันและการทำงานเป็นกลุ่มเล็กๆ เป็นการทำงานแบบร่วมมือร่วมใจ ซึ่งวางอยู่บนปัจจัยพ้ืนฐานของรูปแบบการเรียนรู้แบบ Active Learning ซ่ึง ประกอบไปด้วย การพูดและการฟัง การเขียน การอ่าน การโต้ตอบ การสะท้อนคิดซ่ึงเป็นการจัดประสบการณ์ที่
20 ลดกระบวนการส่ือสารและถ่ายทอดเน้ือหาให้กับผู้เรียนเพียงอย่างเดียว ซึ่งสอดคล้องกับ ทวีวัฒน์ วัฒนกุลเจริญ (2553) ได้กล่าวถงึ การเรียนรู้แบบ Active Learning เปน็ การจัดการเรียนทเ่ี น้นใหน้ ักเรียนไดล้ งมอื ปฏิบัติ และ สรา้ งองค์ความร้จู ากสิง่ ทไ่ี ดป้ ฏบิ ตั ิในระหว่างการเรยี นการสอน โดยเนน้ การพฒั นาทักษะความสามารถทตี่ รงกับพ้ืน ฐานความรู้เดิม ส่งผลให้นักเรียนเช่ือมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิมท่ีมีจากการปฏิบัติจริงและความต้องการของ นกั เรียนเปน็ สำคัญ สง่ ผลใหน้ กั เรียนมปี ระสิทธิภาพดีขน้ึ 3. โรงเรียนบ้านหนองเตาเป็นโรงเรียนชุมชนแห่งการเรียนรู้ ทั้งนี้เนื่องจากมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ระหว่างผ้บู ริหาร ครู ผู้ปกครอง และนักเรียนอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ โดยมีเป้าหมายรว่ มกันคือการพฒั นาคุณภาพ ผเู้ รียนให้มีทักษะทางปัญญาและทักษะทางสังคม โดยรปู แบบการทำงานของครูได้เปลี่ยนจากการทำงานคนเดียว เป็นการทำงานเป็นทีม เพ่ือช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ส่งเสริมให้เกิดวัฒนธรรมการทำงาน พัฒนางานอย่างต่อเน่ือง เน้นให้เกิดผลลัพธ์ที่ผลสัมฤทธิ์เป็นรายบุคคลอย่างเท่าเทียมกัน ซ่ึงสอดคล้องกับงานวิจัยของ Hord (1997) ท่ี ยืนยันว่าการดำเนินการในรูปแบบชุมชนแห่งการเรียนรู้ นำไปสู่ การเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพท้ังด้านวิชาชีพและ ผลสัมฤทธข์ิ องนกั เรียน ขอ้ เสนอแนะจากการวิจัย 1. ส่งเสริมให้ครูจัดทำวิจัยในการคิดขั้นสูงต่อไป อาทิเช่นการคิดตัดสินใจ การคิดแบบไตร่ตรอง เป็นตน้ 2. ส่งเสรมิ ให้ครศู กึ ษาทกั ษะการใช้คำถามเพ่ือกระตุ้นการคิดของนักเรียน 3. ส่งเสริมให้ครูใช้วิธีการจัดการเรียนการสอน Active Learning แบบอื่น เพ่ือจะได้หารูปแบบท่ีเหมาะสม กบั นักเรยี น 4. ส่งเสริมให้คณะครูจัดกิจกรรมตามโครงการของโรงเรียนโดยให้เน้นทักษะการคิดและทักษะ การทำงานรว่ มกัน
21 บรรณานกุ รม กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพช์ ุมนมุ สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด. ______. (2553). พระราชบัญญตั ิการศกึ ษาแห่งชาตพิ .ศ.2542 ท่แี กไ้ ขเพิ่มเตมิ (ฉบบั ที่2) พ.ศ.2545 และท่ีแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบบั ที่ 3) พ.ศ.2553. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์องค์การรับสง่ สินค้าและ พสั ดุภณั ฑ์ (ร.ส.พ.). ณรงค์ อนิ ทนาม.(2553). การพัฒนาหลักเทียบสำหรบั การสร้างชมุ ชนการเรยี นรู้ทางวิชาชีพในโรงเรียน. วทิ ยานิพนธ์ ดุษฏบี ณั ฑิต. สาขาการวดั ผลและประเมนิ ผลการศกึ ษา กรุงเทพฯ : จฬุ าลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั . ทววี ฒั น์ วัฒนกุลเจริญ. (2553). การเรยี นร้เู ชิงรกุ (Active Learning). สืบคน้ เม่ือ 5 เมษายน 2553. จาก http :/pirun.ku.ac.th.g4986066/actuvet.pdf. โรงเรยี นบา้ นหนองเตา.(2559). รายงานประจำปี 2559. สังกดั สำนักงานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษา ลำปาง เขต 2. วรลกั ษณ์ ชกู ำเนิดและเอกรนิ ทร์ สงั ข์ทอง. (2557). “รปู แบบชมุ ชนการเรยี นรูท้ างวิชาชพี ครูสกู่ ารเรียนรู้ ในศตวรรษท่ี 21 บรบิ ทโรงเรยี นในประเทศไทย”.วารสารหาดใหญ่ วิชาการ. ปที ี่ 12 ฉบบั ท่ี 2 (กรกฎาคม – ธนั วาคม), หน้า 123 – 134. วจิ ารณ์ พานิช. (2554). การจัดการเรียนรู้สำหรบั ศตวรรษที่ 2.[ออนไลน์].คน้ เมื่อ 17 มกราคม 2561. จาก www.scbfoundation.com/projects/wcms/userfiles/files/../21_century.pdf _________.(2555). วิธีสรา้ งการเรียนรเู้ พ่อื ศษิ ย์ในศตวรรษที่ 21. กรุงเทพฯ : ตถาตา บลเิ คช่ัน จำกดั . สถาพร พฤฑฒกิ ุล. (2555). “คุณภาพผู้เรยี น...เกดิ จากกระบวนการเรียนรู้ (Quality of student derived active learning process)”. วารสารการบริหารการศกึ ษา มหาวทิ ยาลยั บูรพา. 6(2), 1-13. สาํ นกั งานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา.(2560). แผนการศกึ ษาแหง่ ชาติ (พ.ศ.2560-2579). กรงุ เทพมหานคร : สํานักงานเลขาธกิ ารสภาการศกึ ษา. สำนักวชิ าการและมาตรฐานการศึกษา กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2549). การศกึ ษาการมสี ว่ นร่วมของชุมชน ในการจัดการศกึ ษาทีม่ ปี ระสทิ ธภิ าพตามหลกั สูตรการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2544. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพช์ ุมนุม สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัดใ สุรพล ธรรมรว่ มดี,ทศั นย์ จันอินทร์ และคงกฤช ไตรยวงศ.์ (2553). อาศรมศลิ ป์วิจัย : การวิจัยและพัฒนา ชุมชนแห่งการเรียนรู้แนวจติ ตปัญญา. โครงการเอกสารวชิ าการ การเรียนร้สู ู่การเปล่ียนแปลง ลำดบั ที่ 8 นครปฐม : เอม่ี เอน็ เตอร์ไพรส์ จำกดั .
22 DuFour, R., Eaker,R.&Many,.T.(2006). Learning by doing : a handbook for professional Learning community at work. Bloomington ,IN.:Solution. Tree Press. _____.(2013). Cultures built to last systemic PLCs at work.Bloomington, IN : Solution Tree Press. Fullan , M.(2005). Leadership and Sustainability : System Thinkers in Action.Sage Publications Ltd,Thousand Oaks. Hord, S. M. (1997). Professional Learning Communities: Communities of Continuous Inquiry and Improvement [Internet]. Southwest Educational Development Laboratory. Retrieved from http:/ www.sedl.org/siss/plccredit.html Knapp , M.S., McCafferey, T., & Swanson, J.(2003). “District Support for Professional Learning : What Research Says and Has Yet to Establish” Paper presents at the Annual Meeting of the American Education Research Association, Chicago. Little, Brown.Katz,S., & Earl , L. (2007). Learning about networked learning communities. Education Canada. Sergiovanni, T. (1994). Building Community in Schools. San Francisco, CA: Jossey Bass. Tompson, S.(2002). Learning from past mistakes : Professional development “The old way”. Transforming ourselves, transforming schools:Middle School change Columbus, OH : National Middle School Association.
23 ภาคผนวก ประมวลภาพกิจกรรม
24
25
26 การแลกเปลยี่ นเรยี นรขู้ องผู้บริหาร ครู (อยา่ งเป็นทางการและไมเ่ ป็นทางการ)
27 ประวตั ิผู้วจิ ัย ชอ่ื ผ้วู ิจัย นางเยาวลกั ษณ์ เกษรเกศรา ที่อยู่ 274/1 หมู่ 12 ตำบลตน้ ธงชัย ถนนลำปางแจห้ ่ม อำเภอเมอื ง จงั หวดั ลำปาง 52000 ทที่ ำงานปัจจบุ นั โรงเรยี นบ้านหมากหวั วงั หมู่ 3 ตำบลบุญนาคพัฒนา อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง 52000 หมายเลขโทรศพั ท์ 0 88-260-0866 ประวตั ิการศึกษา ปรญิ ญาตรี การศึกษาบณั ฑติ (วิชาเอกวทิ ยาศาสตร์กายภาพชีวภาพ) คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร ปรญิ ญาโท การศกึ ษามหาบัณฑติ การมัธยม (การสอนคณติ ศาสตร์) คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครนิ ทรวโิ รฒ ประสานมติ ร ครศุ าสตรมหาบัณฑติ (การบริหารการศึกษา) คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั ลำปาง
Search
Read the Text Version
- 1 - 34
Pages: