Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore งานวิจัย โรงเรียนบ้านหนองเตา -

งานวิจัย โรงเรียนบ้านหนองเตา -

Published by yaowaluck590, 2022-05-24 23:14:07

Description: งานวิจัย โรงเรียนบ้านหนองเตา -

Search

Read the Text Version

ผลการสง่ เสริมการเรียนรแู้ บบเชิงรุก (Active Learning) โดย ใช้กระบวนการชุมชนการเรียนรูว้ ชิ าชีพ (PLC) และ กระบวนการวิจยั ในชัน้ เรียนสาหรบั ครู เพ่อื พัฒนา ทักษะทางปญั ญาและทักษะทางสงั คมของผู้เรียน โรงเรียนบ้านหนองเตา อาเภอเถนิ จังหวัดลาปาง เยาวลกั ษณ์ เกษรเกศรา และคณะ งานวิจัยน้ไี ดร้ บั ทุนอุดหนุนงานวิจัยจากสานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้น พื้นฐาน เพื่อพัฒนาทักษะทางปัญญาและทักษะทางสังคมของผเู้ รียน ในโครงการโรงเรยี นแหง่ อนาคต ลขิ สทิ ธ์ขิ องสานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร พฤษภาคม 2561

ช่ือเร่ือง : ผลการส่งเสรมิ การเรยี นรแู้ บบเชิงรุก (Active Learning) โดยใช้กระบวนการ ชุมชนการเรียนรวู้ ชิ าชพี (PLC)และกระบวนการวิจยั ในชน้ั เรยี นสาหรบั ครู ผ้วู จิ ัย : เพือ่ พฒั นาทกั ษะทางปญั ญาและทักษะทางสงั คมของผเู้ รยี น พ.ศ. : โรงเรยี นบา้ นหนองเตา อาเภอเถนิ จังหวัดลาปาง เยาวลักษณ์ เกษรเกศราและคณะ 2560 บทคัดยอ่ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพ่ือพัฒนาคณะครูของโรงเรียนบ้านหนองเตาให้มีความรู้ ความสามารถในการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) โดยใช้กระบวนการชุมชน การเรียนรู้วิชาชีพ(PLC) และกระบวนการวิจัยในชั้นเรียน 2) เพื่อพัฒนาคุณภาพนักเรียนโรงเรียน บ้านหนองเตาให้มที ักษะทางปญั ญาและทักษะทางสังคม 3) เพ่ือพัฒนาโรงเรียนบ้านหนองเตาใหเ้ ป็น ชมุ ชนแห่งการเรยี นรู้ ประชากรไดแ้ ก่ คณะครูของโรงเรียนบ้านหนองเตาจานวน 7 คน และนักเรียน โรงเรียนบ้านหนองเตา จานวน 51 คน ปีการศึกษา 2560 เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัย คือ แบบสังเกต กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) แบบประเมินทักษะทางปัญญาและแบบ ประเมินทักษะทางสังคม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าเฉล่ีย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบ ค่าที (t-test Dependent) ผลการวิจยั พบวา่ 1. คณะครูโรงเรียนมีความรู้ ความสามารถในการจัดการเรียนการรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) ในระดับคณุ ภาพมาก 2. ทักษะทางปัญญาและทักษะทางสังคมนักเรียนโรงเรียนบ้านหนองเตาที่ได้รับการจัดการ เรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ ท่ีระดบั .01 3. โรงเรียนบา้ นหนองเตา ไดม้ ีการแลกเปลี่ยนเรยี นรู้เพื่อพฒั นาคุณภาพผเู้ รียนอย่างต่อเน่ือง ทง้ั ผบู้ ริหาร ครู ผ้ปู กครอง และนักเรียน โรงเรียนบา้ นหนองเตาจงึ เป็นโรงเรียนชุมชนแหง่ การเรยี นรู้

Article: The Effects of Organizing Active Learning by using Community Learning Process (PLC) and Classroom Research Process for teachers Processes to develop Cognitive Skills and Social Skills of student at Ban Nong Tao School, Thoen District, Lampang Province. Reasercher: Mrs. Yaowaluck KesornKetsara Year: 2017 Abstract The objectives of this research are 1) develop school team to be able to manage Active learning activities through Classroom Research Process 2) develop the capability of cognitive and social skills of the students at Ban Nong Tao School, and 3) develop Ban Nong Tao School to be the center of Professional Learning Community (PLC). The sample (pilot) group is 7 teachers and 51 students of Ban Nong Tao School of academic year 2017. The tools of this research are record and report of classroom research, Observation process of Active Learning management , Evaluation form Cognitive Skills , Evaluation form Social Skills. Data and content analysis by using Mean Standard Deviation and t-test Dependent. . The results found that: 1. Teachers are able to manage Active Learning Activities at the high level of quality. 2. After using Active Learning Activities, the cognitive and social skills of the students are higher than before at the significance level of .01 . 3. Ban Nong Tao School is the center of Professional Learning Center (PLC) after meeting and sharing ideas with the executives, teachers, parents and students to develop students’ learning continually.

กิตติกรรมประกาศ การทาวจิ ัยเรอ่ื ง ผลการสง่ เสริมการเรยี นรูแ้ บบเชิงรกุ (Active Learning) โดยใช้ กระบวนการชมุ ชนการเรยี นรวู้ ชิ าชีพ (PLC)และกระบวนการวจิ ยั ในช้ันเรยี นสาหรบั ครู เพอ่ื พัฒนา ทักษะทางปัญญาและทกั ษะทางสงั คมของผู้เรยี นโรงเรยี นบา้ นหนองเตา อาเภอเถิน จงั หวดั ลาปาง สาเร็จลุล่วงไปด้วยดี ผู้ทาวิจัยขอขอบพระคุณ คณะครูที่ให้ความร่วมแรง ร่วมใจ ในการพัฒนา คณุ ภาพของนักเรียนในครั้งนี้ ขอขอบพระคุณ ผู้ปกครองของนักเรียน ที่ให้ความร่วมมือในการตอบแบบสอบถามความ พึงพอใจ และขอบใจนกั เรยี นทุกคนในโรงเรียนบา้ นหนองเตา ท่ไี ดใ้ ห้ความร่วมมอื ในการทาวจิ ยั ใน ครง้ั น้ี และสิง่ สาคัญทีส่ ดุ คอื ขอบพระคุณคณะทางานของสานกั พัฒนานวัตกรรมการจดั การศกึ ษาทไี่ ด้ร่วมชม เชียรแ์ ละแชร์ และให้โอกาสแก่ผู้วจิ ัยด้วยดเี สมอมา การวจิ ัยฉบับนส้ี าเรจ็ เปน็ รปู เล่มออกมาได้ ประโยชนอ์ ันใดท่เี กดิ จากการทาวจิ ัยในครัง้ น้ี ย่อมเปน็ ผลมาจากความกรณุ าของ ทา่ นดงั กลา่ วขา้ งตน้ นางเยาวลักษณ์ เกษรเกศราและคณะ

สารบญั หน้า บทที่ 1 ทีม่ าและความสาคญั 1 ความเป็นมาและความสาคญั ของปัญหา..................................................................... 1 วตั ถปุ ระสงค์ของการศึกษา......................................................................................... 3 ขอบเขตของการศึกษา................................................................................................ 3 นิยามศพั ท์เฉพาะ........................................................................................................ 4 กรอบแนวคดิ การวิจัย................................................................................................. 5 บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ยั ท่เี ก่ียวขอ้ ง 6 ชุมชนแหง่ การเรยี นรูท้ างวชิ าชีพ (PLC)……………………………………………………………. 6 การจดั กระบวนการเรยี นการสอนแบบ Active Learning…..................................... 9 เอกสารและงานวจิ ัยที่เกี่ยวขอ้ ง.................................................................................. 12 บทท่ี 3 วธิ ีดาเนนิ การวจิ ยั 14 การกาหนดประชากร.................................................................................................. 14 เครื่องมอื ในการวจิ ยั .................................................................................................... 14 การเกบ็ รวบรวมข้อมลู ................................................................................................ 15 การสรา้ งและพัฒนาเครอ่ื งมอื .................................................................................... 15 การวิเคราะหข์ อ้ มลู และการแปลผลข้อมลู .............................................................. 16 บทท่ี 4 ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู 17 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล................................................................................................ 17 บทที่ 5 สรปุ ผลและอภิปรายผล 20 สรุปผล........................................................................................................................ 20 อภิปรายผล................................................................................................................. 20 ขอ้ เสนอแนะจากการวิจยั ........................................................................................... 21 บรรณานกุ รม............................................................................................................................. 22 ภาคผนวก.................................................................................................................................. 24 ภาคผนวก ก กรอบแนวคิดงานวจิ ยั ของคณะครู.......................................................... 25 ภาคผนวก ข ประมวลภาพกิจกรรม.............................................................................. 32 ประวัตผิ วู้ จิ ัย.............................................................................................................................. 35

บัญชีตาราง หนา้ ตารางท่ี 1 แสดงค่าเฉล่ยี สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน และระดบั คุณภาพของแบบสงั เกต 17 กระบวนการจดั การเรยี นรแู้ บบ Active Learning โดยใช้กระบวนการชุมชน การเรยี นรู้แหง่ วชิ าชีพ (PLC) ตารางที่ 2 แสดงการเปรียบเทียบค่าเฉลย่ี คะแนนทกั ษะทางปญั ญาและทกั ษะ 18 ทางสงั คมก่อนเรยี นและหลงั เรียนของนกั เรยี น .

บญั ชภี าพประกอบ ภาพ หนา้ 1 กรอบแนวคดิ 4

บทที่ 1 บทนา ความเปน็ มาและความสาคญั ของปญั หา ปัจจุบันเป็นยุคท่ีโลกเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว อนั เกิดจากความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสารสนเทศ สิ่งดงั กลา่ วเปน็ ปจั จยั สาคญั ที่ทาใหโ้ ลกอยู่ในโลกยุคการสอื่ สารไร้พรมแดน กระแสการปรับเปล่ียนทางสังคมท่ีเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 21 ส่งผลต่อวิถีการดารงชีพของสังคมอย่าง ทั่วถึง ฉะนั้นการพัฒนาคุณภาพการศึกษาจึงมีความสาคัญเป็นอย่างย่ิง ในการสร้างและพัฒนาคนให้ พร้อมและ ก้าวทันต่อการเปล่ียนแปลงและการพัฒนาของโลก ดังวิสัยทัศน์แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 -2579 (สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา,2560) “คนไทยทุกคนได้รับการศึกษาและ เรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ ดารงชีวิตอย่างมีความสุข สอดคล้องกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพียง และการเปลี่ยนแปลงของโลกศตวรรษท่ี 21” และสอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษา แห่งชาติพุทธศักราช 2542 แก้ไขเพ่ิมเติมฉบับที่ 3 (พ.ศ.2553) (กระทรวงศึกษาธิการ,2553) มุ่งให้ ความสาคัญต่อแนวทางจัดการศึกษา โดยต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และ พัฒนา ตนเองได้ และถอื ว่าผู้เรียนมีความสาคัญทส่ี ุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องสง่ เสริมให้ผู้เรียน สามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ โดยมีการฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ความรู้มา ใช้เพอ่ื ป้องกนั และแก้ไขปัญหา การจัดกิจกรรมให้ ผเู้ รียนไดเ้ รียนรู้จากประสบการณจ์ ริง ฝึกการปฏบิ ัติใหท้ าได้ คิดเป็น ทาเป็น รกั การอ่านและเกดิ การ ใฝร่ ู้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้นนโยบายของกระทรวงศึกษาธกิ าร ด้านการพัฒนาเยาวชนของชาติเข้า สู่ยุคศตวรรษท่ี 21 โดยมุ่งส่งเสริมผู้เรียนให้มีคุณธรรม รักความเป็นไทย ให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ การคดิ สร้างสรรค์ มที ักษะด้านเทคโนโลยี สามารถทางานรว่ มกับผู้อืน่ และสามารถอยรู่ ่วมกับผอู้ ื่นใน สังคมโลกได้อย่างสันติ (กระทรวงศึกษาธิการ,2551) ได้ให้แนวทางในการจัดการศึกษามุ่งเน้น ความสาคญั ทั้งด้านความรู้ ความคดิ ความสามารถ คุณธรรมกระบวนการเรยี นรู้ และความรับผดิ ชอบ ต่อสังคมเพื่อพัฒนาคนให้เกิดความสมดลุ โดยยึดหลักผูเ้ รียนสาคัญท่ีสุดทุกคน มีความสามารถเรียนรู้ และพัฒนาตนเองไดแ้ ละสถานศึกษาเองต้องจัดกระบวนการเรียนรูท้ ีม่ ่งุ เนน้ การฝึกทกั ษะกระบวนการ คิด เพ่ือให้ผ้เู รยี นสามารถจัดการเผชิญสถานการณ์และการประยกุ ต์ความร้มู าใช้เพื่อปอ้ งกันและแก้ไข ปัญหา ดังนั้นในการจัดการเรียนรู้ในสาระการเรียนรู้ต่างๆ จึงต้องมุ่งส่งเสริมกระบวนการคิดและ วิธีการคิดท่ีหลากหลายเพื่อให้นักเรียนได้คิด ทา ทบทวน พิสูจน์ผล และนาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง (สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา,2549) ดังน้นั การจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาด้านการคิด

จึงนับเป็นเรื่องสาคัญท่ีจาเป็นต้องเร่งปรับปรุงและพัฒนากันอย่างจริงจังและต้องการส่งเสริมให้มี การจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนที่สง่ เสริมทักษะการคิดในทกุ กลุ่มสาระการเรยี นรู้ การจัดการเรียนรู้แบบเชิงรกุ (Active Learning) เป็นกระบวนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด การสร้างสรรค์ทางปัญญา (Constructivism) ที่เน้นกระบวนการเรียนรู้มากกว่าเนื้อหาวิชา เพ่ือช่วย ให้ผู้เรียนสามารถเช่ือมโยงความรู้ หรือสร้างความรู้ให้เกิดขึ้นในตนเอง ด้วยการลงมือปฏิบัติจริงผ่าน ส่อื หรือกจิ กรรมการเรียนรู้ ที่มีครูผู้สอนเป็นผู้แนะนา กระตุ้น หรืออานวยความสะดวก ให้ผู้เรียนเกิด การเรียนรขู้ ึน้ โดยกระบวนการคดิ ข้ันสูง กล่าวคอื ผู้เรยี นมีการวเิ คราะห์ สังเคราะห์ และการประเมนิ ค่าจากสิ่งท่ีได้รับจากกิจกรรมการเรียนรู้ ทาให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างมีความหมายและนาไปใช้ใน สถานการณ์อื่นๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ (สถาพร พฤฑฒิกุล,2555) ฉะนั้นการจัดการเรียนรู้แบบเชิง รุก (Active Learning) จึงเปน็ เทคนคิ การจดั การเรียนร้เู พื่อใหผ้ ู้เรียนเกิดทกั ษะในศตวรรษที่ 21 ปัจจุบันการเรียนรเู้ กิดข้นึ ไดต้ ลอดเวลาการจดั การศึกษาต้องเปลย่ี นไปจากเดมิ ครตู ้องเปลีย่ น บทบาทจากครูผู้สอนมาเป็นครูฝึกหรือครูผู้อานวยความสะดวก ในการเรียน ห้องเรียนต้องเปลี่ยน จากห้องสอนมาเปน็ หอ้ งทางาน เปลย่ี นจากเน้นการสอนของครูมาเน้นการเรียนของนักเรียน ครูเป็น ผู้สร้างแรงบันดาลใจสรา้ งความท้าทาย ความสนกุ ใหแ้ ก่ศษิ ย์ (วจิ ารณ์ พานชิ , 2554) การเปลย่ี นแปลง อย่างรวดเร็วในศตวรรษที่ 21 ทฤษฎีการเรียนรู้ ท่ีครูได้รบั จากการอบรมนอกช้ันเรียนอาจไม่สามารถ ใช้กับนักเรียนได้ในบริบท ของโรงเรียนนั้น หรืออาจเป็นองค์ความรู้ที่ล้าสมัย ครูต้องมี การปรับเปลี่ยนพร้อมที่จะรับมือต่อการเปล่ียนแปลงให้ทันกับนักเรียนยุคใหม่ ซึ่งเป็นสัญญาณให้ครู และโรงเรียนรู้ว่าโลกได้เปลี่ยนแปลงไปและต้องเตรียมรับกับสิ่งท่ีเปล่ียนให้ทันและไวกับผู้เรียน (วรลักษณ์ ชูกาเนดิ และเอกรินทร์ สังขท์ อง, 2557) ครจู ึงต้องเป็นบคุ คลแหง่ การเรียนรู้ และโรงเรยี น ต้องมกี ารปรับ เปลีย่ นกระบวนทศั น์ในการบริหารสถานศกึ ษาจากแบบเดิมไปสกู่ ารพัฒนาสถานศกึ ษา ให้มีความเป็นโรงเรียนแห่งการเรียนรู้ โดยจัดให้มีชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพขึ้นภายในโรงเรียนเกิด เป็นวัฒนธรรมองค์การท่ีถือปฏิบัติ ชุมชน การเรียนรู้ทางวิชาชีพหรือ PLC (Professional leaning community) คือการร่วมมือ ร่วมใจ ร่วมพลัง ของทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นครู ผู้บริหารและผู้ท่ีมีส่วน เก่ียวข้องในโรงเรียนต่างช่วยกันเพ่ือพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียนเป็นสาคัญโรงเรียนจึงจาเป็นต้อง สร้างความเป็น PLC เพ่ือรวมตัว ร่วมใจ ร่วมพลัง ร่วมทา และร่วมเรียนรู้ร่วมกันของคนในองค์การ บนพน้ื ฐานวฒั นธรรมความสัมพันธ์แบบกัลยาณมติ รท่ีมวี ิสัยทัศน์ คุณค่า เป้าหมาย และภารกจิ รวมกัน โดยทางานร่วมกันเป็นทีม ดังนั้นจะเกิดเป็นชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพได้โรงเรียนต้องมีการสร้าง วฒั นธรรมองค์การทเี่ ข้มแข็งเพอ่ื นาไปสคู่ วามสาเรจ็ สรุปได้ว่า PLC มุ่งเน้นให้องค์กรมีการปรับตวั ต่อ กระแสการเปลี่ยนแปลง ของสังคมที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเริ่มพัฒนาจากแนวคิดองค์กร แห่งการ เรียนรู้ และปรับประยุกต์ให้มีความสอดคล้องกับบริบท ของโรงเรียนและการเรียนรู้ร่วมกันในทาง วชิ าชพี ท่มี หี น้างาน สาคญั คอื ความรบั ผดิ ชอบการเรียนรู้ของผู้เรียนร่วมกันเปน็ สาคญั จากการศกึ ษา หลายโรงเรียนในประเทศสหรัฐอเมริกาดาเนนิ การ ในรปู แบบการเรียนรวู้ ชิ าชพี (PLC) พบว่าเกิดผลดี ทง้ั วชิ าชพี ครแู ละผู้เรยี น ทม่ี งุ่ พัฒนาการของผเู้ รยี นเปน็ สาคญั โรงเรียนบ้านหนองเตา สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลาปางเขต 2 จัดการเรยี นการสอนอยู่ 2 ระดบั คอื ระดับอนุบาลและระดบั ประถมศึกษา โรงเรียนบ้านหนองเตาเป็น โรงเรยี นขนาดเลก็ ที่มีเป้าหมายสาคัญที่สุดคอื มงุ่ เน้นพฒั นานกั เรยี นอย่างเตม็ ศักยภาพให้เปน็ คนดี คน เก่ง และมีความสุข มีความต้องการให้นักเรียนอ่านคล่อง เขียนคล่อง คิดวิเคราะห์ คิดสังเคราะห์ได้

และสามารถดารงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข ตลอดจนชุมชนผู้ปกครองมีความศรัทธาและ เช่ือมั่น มีความพึงพอใจในการจัดการศึกษาของโรงเรียน แต่ในปัจจุบันพบว่า โรงเรียนมีงบประมาณ สนับสนุนยังไม่เพียงพอ มีบุคลากรครูไม่ครบชั้น และขาดแคลนส่ือเทคโนโลยีและนวัตกรรมทาง การศึกษา ตลอดจนหอ้ งปฏิบตั ิการต่างๆ ส่งผลต่อคุณภาพของนักเรยี น จึงต้องเร่งรัดพัฒนาคุณภาพ ทางการศึกษา โดยเฉพาะในด้านการอ่าน การคิดวิเคราะห์ และพบว่านักเรียนอ่านเขียนไม่คล่อง ทา ให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในภาพรวมของโรงเรียนค่อนข้างต่า นอกจากนั้นผลการสอบ O-NET ใน ปีการศึกษา 2559 พบว่า ผลการสอบทั้ง 5 กลุ่มสาระมีผลการสอบต่ากว่าคะแนนเฉล่ียในระดับเขต ผลการสอบ NT พบว่าคะแนนผลการทดสอบทุกรายวิชาต่ากว่าระดับประเทศ และจากการทา การ PLC (ชมุ ชนแห่งการเรียนรู้) กบั คณะครแู ละผปู้ กครอง มคี วามคดิ เห็นตรงกันวา่ นักเรียนโรงเรยี น บ้านหนองเตายังขาดทักษะการคิดวิเคราะห์ คิดสังเคราะห์ ขาดความมีวินัย ขาดความรับผิดชอบ คณะครูในโรงเรียนใช้วิธีการจัดการเรียนการสอนแบบบรรยาย ไม่สอนให้นักเรียนได้เรียนรู้จาก การปฏิบัติจริง ซ่ึงสอดคล้องกับรายงานประจาปีของโรงเรียนบ้านหนองเตาประจาปี 2559 (รายงาน ประจาปีโรงเรียนบ้านหนองเตา ,2559) โครงการพัฒนาคุณภาพการศกึ ษาในกิจกรรมนิเทศการเรียน การสอน พบว่า ครูในโรงเรยี นขาดประสบการณ์ในการจัดการเรียนการสอนแบบคละชั้น ไมม่ ีเทคนิค การสอน ไมม่ ีการใชส้ ่ือการเรยี นการสอนเพ่อื กระตุ้นความสนใจของนักเรียน ซงึ่ ปัญหาดงั กลา่ ว สง่ ผล กระทบต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ผู้บริหารและคณะครูจึงสนใจท่ีจะศึกษาการจัดการ เรียนรู้ในรูปแบบเชิงรุก (Active Learning) โดยใช้กระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้วิชาชีพ (PLC) เพ่ือที่จะเป็นแนวทางในการพัฒนาองค์การให้มีประสิทธิภาพ สามารถพัฒนาการดาเนินงานให้ก้าว ไปสกู่ ารเปน็ ชุมชนการเรียนรู้ทางวชิ าชีพที่ยงั่ ยนื วัตถปุ ระสงค์ของการศึกษา 1. เพื่อพัฒนาคณะครูของโรงเรียนบ้านหนองเตาให้มีความรู้ ความสามารถในการจัดการ เรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) โดยใช้กระบวนการชุมชนการเรียนรู้วิชาชีพ (PLC) และ กระบวนการวจิ ัยในชนั้ เรยี น 2. เพ่ือพัฒนาคุณภาพนักเรียนโรงเรียนบ้านหนองเตาให้มีทักษะทางปัญญาและทักษะทาง สังคม 3. เพอื่ พฒั นาโรงเรยี นบ้านหนองเตาให้เป็นชุมชนแห่งการเรยี นรู้ ขอบเขตของการศกึ ษา ขอบเขตประชากร 1) คณะครูของโรงเรียนบา้ นหนองเตาจานวน 7 คน 2) นักเรียนโรงเรียนบ้านหนองเตาในระดับช้ันอนุบาลปีที่ 1 ถึงประถมศึกษาปีท่ี 6 จานวน 51 คน ปกี ารศึกษา 2560 สังกัดสานกั งานเขตพื้นท่ีการศกึ ษาประถมศกึ ษาลาปาง เขต 2 ระยะเวลาทีใ่ ช้ ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจยั ผ้วู จิ ยั ได้ใชท้ ดลองในปกี ารศึกษา 2560

ตัวแปรท่ใี ชใ้ นการศึกษา ตัวแปรตน้ : รูปแบบการเรียนรแู้ บบเชงิ รกุ (Active Learning) โดยใช้กระบวนการชุมชน แหง่ การเรยี นรูว้ ชิ าชพี (PLC) และกระบวนการวจิ ยั ในชน้ั เรียน ตัวแปรตาม : ทักษะทางปัญญา ทักษะทางสังคมของนักเรียนและชุมชนแห่งการเรียนรู้ วชิ าชพี (PLC) เครอ่ื งมอื ในการวิจยั 1. แบบสงั เกตกระบวนการจดั การเรยี นรู้แบบเชิงรุก Active Learning 2. แบบประเมนิ ทกั ษะทางปญั ญา 3. แบบประเมนิ ทักษะทางสังคม นิยามศพั ท์เฉพาะ 1. ชุมชนการเรียนรทู้ างวชิ าชพี หมายถงึ การรวมตวั รวมใจ รวมพลงั ร่วมมือกนั ของครู ผู้บริหาร และนกั การศึกษาในโรงเรยี น บนพื้นฐานวฒั นธรรมความสมั พนั ธ์แบบกัลยาณมิตรในพ้ืนท่ี ทางานจริงรว่ มกัน อย่างมวี สิ ยั ทศั น์ คุณค่า เปา้ หมาย และภารกจิ รว่ มกนั แบบทีมเรยี นรู้ โดยครูเป็น ผูน้ ารว่ ม เพ่ือร่วมเรยี นรู้และพฒั นาวชิ าชพี ตนเองใหเ้ กิดผลทค่ี ณุ ภาพ การจัดการเรยี นรทู้ ีม่ ีหัวใจสาคญั คอื การใสใ่ จดูแล และรับผดิ ชอบความสาเรจ็ ของผเู้ รยี นรว่ มกนั 2. การเรียนรู้เชิงรุก Active Learning หมายถึง การเรียนรู้ที่ผู้เรียนมบี ทบาทใน การแสวงหาความรู้ และทาความเข้าใจดว้ ยตนเอง หรอื รว่ มกันค้นหาคาตอบจากเพ่ือน จนเกดิ ความรู้ ความเขา้ ใจ นาไปประยกุ ต์ใช้ สามารถวเิ คราะห์ สงั เคราะห์ ประเมนิ คา่ หรอื สรา้ งสรรค์ส่ิงตา่ งๆ และ พฒั นาตนเองเต็มความสามารถ รวมถงึ การจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรูใ้ หไ้ ดร้ ่วมอภิปราย ให้ฝึกทกั ษะ การสื่อสาร การนาเสนอผลงานทางการเรียนรู้ในสถานการณ์จาลอง มีการเชอื่ มโยงกับสถานการณ์ ตา่ งๆ และมกี ารฝกึ ปฏบิ ัติในสภาพจรงิ 3. ทักษะทางปัญญา หมายถึง ความสามารถในการใช้สมองดาเนินการคิดให้บรรลุ วัตถุประสงค์ ซ่ึงเป็นกระบวนการภายในสมองของบุคคลที่มองไม่เห็น ผู้อื่นจะทราบได้ก็ต่อเมื่อ ผู้คิด แสดงออกโดยการบอกเลา่ หรืออนมุ านอา้ งอิงจากผลงานทีท่ า โดยในงานวจิ ัยนจ้ี ะศกึ ษาทักษะการคิด วเิ คราะห์ การคิดสงั เคราะห์ การคิดแบบวิจารณญาณ การคดิ ในการแกป้ ญั หา โดยวดั จากแบบทดสอบ ผลสัมฤทธ์ิกระบวนการคิด 4. ทักษะทางสังคม หมายถึง ความสามารถในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เป็นทักษะท่ีจาเป็น ตอ่ การอย่รู ่วมกับผ้อู ื่น ได้แก่ ทักษะการทางานร่วมกับผู้อน่ื ทกั ษะการเป็นผู้นาและผู้ตาม โดยวัดจาก แบบประเมินทักษะการทางานรว่ มกบั ผู้อน่ื

กรอบแนวคดิ ในการวิจยั ตัวแปรตน้ ตวั แปรตาม รปู แบบการจดั การเรียนรแู้ บบเชงิ รุก - ทักษะทางปญั ญาของผเู้ รียน (Active Learning) โดยใชก้ ระบวนการ ชุมชนการเรียนรวู้ ิชาชพี (PLC) และ - ทกั ษะทางสงั คมของผเู้ รยี น กระบวนการวจิ ยั ในชนั้ เรยี น - ชุมชนแห่งการเรยี นรู้ ภาพประกอบ 1 กรอบแนวคิดในการศึกษา

บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ัยท่เี กยี่ วข้อง ในงานวิจัยคร้ังนี้ผู้วิจัยได้ทาการศึกษาเอกสารงานวิจัยที่เก่ียวข้องโดยครอบคลุมเน้ือหา ดังตอ่ ไปน้ี 1.ชุมชนแห่งการเรยี นรทู้ างวชิ าชีพ (PLC) 1.1 แนวคดิ เกีย่ วกบั ชมุ ชนแหง่ การเรยี นรู้ทางวชิ าชพี (PLC) 1.2 ความหมายของชมุ ชนแหง่ การเรียนรู้ทางวชิ าชพี (PLC) 1.3 แนวคิดเกย่ี วกับองคป์ ระกอบและคณุ ลักษณะของชมุ ชนแห่งการเรยี นรูท้ างวชิ าชพี (PLC) 2. การจดั กระบวนการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning 2.1 ความหมายการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning 2.2 กระบวนการจดั การเรียนการสอนแบบใหผ้ ู้เรียนไดป้ ฏบิ ตั ิ 2.3 บทบาทครูผสู้ อน 3. งานวจิ ัยทีเ่ กี่ยวข้อง 1. ชุมชนแห่งการเรียนรทู้ างวชิ าชพี (PLC) 1.1 แนวคิดเกย่ี วกบั ชุมชนแห่งการเรยี นร้ทู างวชิ าชพี (PLC) ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community) หรือที่เรียก โดยทว่ั ไปวา่ PLC ได้รับการยอมรับว่าเป็นยทุ ธศาสตรท์ ี่สามารถสร้างความยัง่ ยืนในการเปลีย่ นแปลง คณุ ภาพตามบรบิ ทของพ้ืนที่หรือจุดมุ่งหมายของชุมชนทกี่ ้าวไปสู่ PLC ดังท่ี DuFour (2006) ได้ย้าใน บทบาทของ PLC ต่อความก้าวหน้าของทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ว่า วัฒนธรรมในโรงเรียนแบบเดิม ไม่ได้ถูกแบบมาเพ่ือสร้างผลลัพธ์เชิงคุณภาพที่การศึกษาในศตวรรษที่ 21 วัฒนธรรมนี้ ภาคีทั้งหลาย ตระหนักดีว่า หากเป้าหมายของตน คือการสร้างโอกาสท่ีจะประสบความสาเร็จให้แก่นักเรียน นัก การศึกษาจะต้องปรับเปลี่ยนโรงเรียนและเขตการศึกษาของตนให้กลายเป็น PLC ซึ่งหลายภาคส่วน สนับสนุนประเดน็ นี้อยา่ งแขง็ ขนั และระบุชดั เจว่าสภาพแวดลอ้ มทเ่ี หมาะสมทส่ี ุดในการจดั การเรียนรู้ แห่งศตวรรษที่ 21 จะต้องสนับสนุน PLC เพือ่ ให้นักการศกึ ษาได้ร่วมมือกันทางานแบง่ ปันแนวปฏิบัติ ที่ดี และผสมผสานทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 21 เข้ารบั การปฏิบัตใิ นห้องเรยี น Fullan (2005) ได้กลา่ วถึงงานวจิ ยั ท้งั หลาย ที่วิจยั เกีย่ วกับประสทิ ธภิ าพของ PLC มองวา่ PLC เป็นกลยุทธ์ในการเพ่ิมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ของนักเรียน และพบว่าPLC ทาให้เกิด สภาพแวดล้อมแห่งการเรียนรู้ในโรงเรียน ที่สนับสนุนให้เกิดการพัฒนาภาวะผู้นาและความสามารถ ของครู โดยการพัฒนาความสามารถในการทาหน้าท่ีร่วมกันจนนามาสู่การเปล่ียนแปลง ซ่ึง PLC ได้

พิสูจน์แล้ว่า เป็นแนวทางที่ช่วยให้ผู้บริหารนาไปใช้ปรับปรุงพัฒนาสถานศึกษา เมื่อผู้บริหาร และครู ทางานร่วมกัน เพื่อสร้าง PLC ภายในโรงเรียน และทาข้อตกลงร่วมกันในการพัฒนาขีดความสามารถ โดยการทางานร่วมกัน การร่วมพัฒนาทักษะใหม่ๆ การค้นหาและใช้ประโยชน์ด้านทรัพยากร การจัดการเรยี นรู้ และการรว่ มยึดข้อตกลงรว่ มกนั และแรงจงู ใจในการพัฒนาผลสัมฤทธข์ิ องผ้เู รียน รวมถึงผลการวิจัยของ Hord (1997) ที่ยืนยันว่า การดาเนินการในรูปแบบ PLC นาไปสู่ การเปล่ียนแปลงเชิงคณุ ภาพท้งั ด้านวิชาชพี และผลสมั ฤทธิ์ของนักเรยี น นอกจากนี้ Hord (1997) ทา การสังเคราะห์รายงานการวิจัยเก่ยี วกับโรงเรียนท่ีมีการจัดตั้ง PLC โดยใช้คาถามว่า โรงเรยี นดังกล่าว มีผลลัพธ์อะไรบ้างท่ีแตกต่างไปจากโรงเรียนท่ัวไปท่ีไม่มี PLC และถ้าแตกต่างแล้วจะมีผลดีต่อ ครผู ู้สอนและตอ่ นกั เรยี นอย่างไรบ้าง ไดผ้ ลสรุปเปน็ ประเดน็ ดงั นี้ ผลดตี ่อครูผู้สอน : สง่ิ ทเี่ กดิ ข้นึ กับครูผสู้ อนสว่ นใหญ่ พบวา่ 1. ลดความรู้สึกโดดเดี่ยวงานสอนของครลู ง 2. เพิ่มความรู้สกึ ผกู พนั ต่อพนั ธกิจและเป้าหมายของโรงเรียนมากข้ึน โดยเพ่มิ ความ กระตอื รอื รน้ ที่จะปฏบิ ตั ใิ ห้บรรลุพนั ธกจิ อย่างแข็งขัน 3. ทาให้เกดิ ความรูส้ กึ ต้องการรว่ มกันรับผิดชอบต่อพัฒนาการ โดยรวมของนกั เรียน และรว่ มกนั รับผดิ ชอบเปน็ กลมุ่ ตอ่ ผลสาเรจ็ ของนักเรยี น 4. ทาให้เกิดสิ่งท่ีเรียกว่า “พลังการเรียนรู้ (Powerful learning)” ซ่ึงส่งผลให้การ ปฏิบัติการสอนในชั้นเรียนของตนมีผลดีย่ิงขึ้น กล่าวคือ มีการค้นพบความรู้และความเช่ือใหญ่ๆท่ี เก่ียวกบั วิธกี ารสอน และตัวผเู้ รียนซึ่งตนเคยสังเกตหรือสนใจมาก่อน 5. เข้าใจในเน้ือหาสาระท่ีต้องการจัดการเรียนรู้ได้แตกฉานย่ิงข้ึน และให้ครูรู้ว่า ตนเองควรแสดงบทบาทและพฤติกรรมการสอนอย่างไร จึงจะช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีท่ีสุด ตามเกณฑ์ทีค่ าดหมาย 6. รับทราบข้อมูลสารสนเทศต่างๆ ท่ีจาเป็นต่อวิชาชีพได้อย่างกว้างขวาง และ รวดเร็วขึ้น ส่งผลดีต่อการปรับปรุงพัฒนางานวิชาชีพของตนได้ตลอดเวลา ทาใหค้ รูเกิดแรงบนั ดาลใจ ทจี่ ะสรา้ งแรงบนั ดาลใจต่อการเรยี นรู้ให้แก่นักเรียนตอ่ ไป 7. เพมิ่ ความพึงพอใจ เพ่ิมขวญั กาลังใจตอ่ การปฏบิ ตั ิงานสูงข้นึ และลดอัตราการลด หยดุ งานนอ้ ยลง 8. มีความกา้ วหน้าในการปรับเปลี่ยนวิธีการจัดการเรยี นรู้ ให้สอดคล้องกับลักษณะ ผเู้ รยี นไดอ้ ยา่ งเดน่ ชดั และรวดเรว็ กว่าทพี่ บในโรงเรยี นแบบเก่า 9. มีความผกู พนั ที่จะสร้างการเปลย่ี นแปลงอยา่ งเป็นระบบ ต่อปจั จยั พื้นฐานตา่ งๆ 10. มีความมงุ่ หมายที่จะทาให้เกดิ การเปล่ยี นแปลงอยา่ งเป็นระบบต่อปจั จัยพื้นฐาน ต่างๆ ผลดีต่อนักเรียน : ส่ิงท่ีเกดิ ข้ึนกับนกั เรยี นส่วนใหญ่ พบวา่ 1. ลดอตั ราการตกซา้ ชัน้ และจานวนชั้นเรยี นท่ตี อ้ งเล่ือนหรอื ชะลอการจัดการเรยี นรู้ ใหน้ ้อยลง 2. อัตราการขาดเรยี นลดลง 3. มีผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นในสาขาวทิ ยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ประวตั ศิ าสตร์ และ วชิ าการอ่านที่สงู ขน้ึ อย่างเด่นชัด เมื่อเทียบกับโรงเรยี นแบบเกา่

4. มคี วามแตกตา่ งดา้ นผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน ระหวา่ งกลมุ่ นกั เรยี นทีม่ ีภมู หิ ลังไม่ เหมอื นกัน ลดลงชัดเจน PLC จึงเป็นแนวคิดที่ได้รับความสนใจอย่างมากในช่วงการเปลี่ยนแปลงการศึกษาใน ศตวรรษที่ 21 ท่นี ักการศึกษากาลงั เผชิญหน้ากบั ความทา้ ทาย วัฒนธรรมในโรงเรยี นแบบเดิมไม่ได้ถูก ออกแบบมาเพื่อสร้างผลลพั ธเ์ หล่านั้น หากเป้าหมายของนักการศกึ ษาจะต้องสรา้ งโอกาสท่ีจะประสบ ความสาเร็จให้แก่นักเรียน นักการศึกษาจะต้องปรับเปลี่ยนโรงเรียนและเขตการศึกษาของตนให้ กลายเป็น PLC เพ่ือให้เป็นสถานที่สาหรับการปฏิสัมพันธ์ของมวลสมาชิกผู้ประกอบวิชาชีพครูของ โรงเรยี น เก่ียวกบั เรื่องการใหค้ วามดูแลและพูดถึงการปรบั ปรงุ ผลการเรยี นของนกั เรียน ตลอดจนงาน ทางวิชาการของโรงเรียน และเนื่องจากครูสว่ นใหญ่ในแทบทุกประเทศเกดิ ความรูส้ ึกโดดเดยี่ วในการ ปฏิบัติงานสอนของตน ดังนั้นการมี “ชุมชนแห่งวิชาชีพ” เกิดขึ้นในโรงเรียนจึงช่วยคลี่คลายปัญหา ดงั กล่าว เพราะทาใหค้ รูมีโอกาสพูดคุยกับบุคคลผู้มีส่วนได้เสียกับงานของครู เช่น ผู้ปกครอง สมาชิก อนื่ ๆของชุมชน เปน็ ตน้ 1.2 ความหมายของชมุ ชนแห่งการเรียนรทู้ างวชิ าชีพ (PLC) ชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพครูในโรงเรียนได้ถูกกล่าวถึงมุมมองของการรวมตัว รวมใจ รวมพลัง ร่วมมือกันของครู ผู้บริหารและนักการศึกษา ในโรงเรียนเพ่ือพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน ดังท่ี Sergiovanni (1994) ได้กล่าวว่า PLC เป็นสถานท่ีสาหรับ “ปฏิสมั พันธ์” ลด “ความโดดเดี่ยว” ของมวลสมาชิกวิชาชีพครูของโรงเรียนในการทางาน เพ่ือปรับปรุงผลการเรียนของนักเรียน หรืองาน วชิ าการโรงเรียน ซง่ึ Hord (1997) มองในมมุ มองไปในทางเดยี วกัน โดยมองการรวมกันดังกล่าว มีนัย ยะแสดงถึงการเป็นผู้นาร่วมกันของครู หรือครูเป็น “ประธาน” ในการเปล่ียนแปลง (วิจารณ์ พาณิช ,2555) คุณค่าร่วม และวิสัยทัศน์ร่วม การเรียนรู้ร่วมกันและการนาส่ิงท่ีเรียนรู้ไปประยุกต์ใช้อย่าง สร้างสรรค์ร่วมกัน การรวมตัวในรูปแบบน้ีเป็นเหมือนแรงผลักดัน โดยความต้องการและความสนใจ ของสมาชิกใน PLC เพ่ีอการเรียนรู้และพัฒนาวิชาชีพ สู่มาตรฐานการเรียนรู้ของนักเรียนเป็นหลัก (Senge ,1990 และ Knapp ,2003) หรือเรียกอย่างมีคุณค่า คือ พัฒนาวิชาชีพครูให้เป็น “ครูเพ่ือ ศิษย์” (วจิ ารณ์ พานิช, 2555) และเป็น “กลมุ่ ครูเพ่ือศษิ ย์รว่ มกนั เพือ่ การพัฒนาศิษยร์ ว่ มกัน โดยมอง ว่าเป็น “ศิษย์ของเรา” มากกว่ามองว่า “ศิษย์ของฉัน” การเปล่ียนแปลงคุณภาพการจัดการเรียนรู้ที่ เริ่มจาก “การเรียนรู้ของครู” เป็นตัวต้ังต้น เรียนรู้ท่ีจะมองเห็นการปรับปรุงเปล่ียนแปลง พัฒนาการ จัดการเรียนรู้ของตนเอง เพ่ือผู้เรียนเป็นสาคัญ การรวมตัวการเรยี นรู้ การเปลีย่ นแปลงเหลา่ นี้ เปน็ ไป ได้ยากที่จะทาเพียงลาพงั แต่หวังผลใหเ้ กิดการขับเคลอื่ นท้ังระบบโรงเรียน จาเป็นตอ้ งสร้างความเป็น ชุมชน เพื่อการเรียนรู้ทางวิชาชีพ ซึ่งความเป็นโรงเรียนย่อมมีความเป็นชุมชนท่ีสัมพันธ์กันอย่างแน่น แฟ้น Senge (1990) ชุมชนที่สามารถขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวิชาชพี ได้น้ัน จาเปน็ ต้อง มีอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข มีฉันทะ และศรัทธาในการทางาน “ครูศิษย์ทางานร่วมกัน” บรรยากาศ การอยู่ร่วมกันจึงเป็นบรรยากาศ “ชุมชนกัลยาณมิตรทางวิชาการ” (สุรพล ธรรมร่มดี และคณะ , 2553) ท่มี ีลกั ษณะความเป็นชุมชนแห่งความเอื้ออาทร (Sergiovanni , 1994) อยูบ่ นพื้นฐาน “อานาจ แห่งวิชาชีพ (Professional power” และ “อานาจเชิงคุณธรรม (Moral power)” (Sergiovanni , 1994) เป็นอานาจที่การสร้างพลังมวลชนเริ่มจากภาวะผู้นาร่วมของครู เพ่ือขับเคล่ือนการปรับปรุง และพัฒนาการศกึ ษา (Fullan ,2005)

นอกจากรูปแบบการรวมตัวกัน กระบวนการในการเรียนรู้และพัฒนาชุมชนแห่งการเรียนรู้ ทางวิชาชีพยังมีความหลากหลาย โดยแต่ละวิธีการ มุ่งการเรียนรู้ และพัฒนาวิชาชีพร่วมกันของครู ผ้บู ริหารและนกั การศึกษา สกู่ ารพัฒนาผู้เรียนเปน็ หัวใจสาคัญหลากหลายวิธีการจากการนาเสนอของ นักการศึกษาต่างๆ เช่น ทีมเรียนรู้ (Team learning) DuFour และคณะ (2013) Thompson (2002) การแลกเปล่ียนและสะท้อนการเรียนรู้ (Reflection) (Hord ,1997) การเรียนรู้แบบเสาะหา (Inquiry learning) (วจิ ารณ์ พานิช, 2555) สง่ิ แวดล้อมที่ส่งเสรมิ สนบั สนนุ ทงั้ ทางอารมณ์ การเตบิ โต ของแต่ละคน (Thomas ,Gregg ,Nisk , 2002) เรียนรู้และลงมือทา การสนทนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ หรือเสวนาอยา่ งใคร่ครวญ เป็นตน้ กล่าวโดยสรุป ชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพครูในโรงเรียน หมายถึง การรวมตัว รวมใจ รวมพลัง ร่วมมือกันของครู ผู้บริหาร และนักการศึกษาในโรงเรียน บนพ้ืนฐานวัฒนธรรม ความสัมพันธ์แบบกัลยาณมิตร มีวิสัยทัศน์ คุณค่า เป้าหมาย และภารกิจร่วมกันแบบทีมเรียนรู้ โดย ครูเป็นผู้นา เพื่อร่วมเรียนรู้และพัฒนาวิชาชีพเปล่ียนแปลงคุณภาพตนเองจากภายในสู่คุณภาพการ จัดการเรียนรู้ ที่เน้นความสาเร็จหรือประสิทธิผลของผู้เรียนเป็นสาคัญ และความสุขของการทางาน รว่ มกันของสมาชิกในชุมชน 1.3 แนวคดิ เก่ียวกบั องคป์ ระกอบและคณุ ลกั ษณะของชุมชนแห่งการเรียนรทู้ างวิชาชีพ (PLC) ชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) เป็นแนวคิดที่มีที่มา และได้รับการพัฒนามาต้ังต้น จาก “องค์กรแห่งการเรียนรู้” มาเปน็ บริบท “โรงเรียนแห่งการเรียนรู้” และพัฒนาจนกลาย “ชุมชน แห่งการเรียนรู้ ” ด้วยบริบทของโรงเรียนท่ีมีความแตกต่างจากรูปแบบองค์กรความเป็น PLC จึงมี ลักษณะของ PLC ว่าไม่ใช่รูปแบบหรือแบบแผน แต่ค่อนข้างจะเป็นวิธีการหรือกระบวนการ ซึ่งมี การดาเนินการปฏิบตั ิร่วมกนั ในชุมชน จนสะทอ้ นเป็นคณุ ลักษณะ PLC จะสะท้อนใหเ้ ห็นถึงธรรมชาติ ความเปน็ จรงิ ของ PLC นน้ั ๆ ความเข้าใจนจ้ี ะชว่ ยเหมือนใชเ้ ลนสส์ ่องตรวจสอบ PLC ของตัวเอง ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ สังเคราะห์ เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับ PLC สู่การเรียนรู้ใน ศตวรรษท่ี 21 สรุปเป็น คุณลักษณะร่วมในองค์ประกอบของ PLC ของมมุ มองต่างๆของนักการศึกษา หลายท่าน พบว่า PLC มีองค์ประกอบและลักษณะของ PLC อยู่ 7 องค์ประกอบ คือ วิสัยทัศน์ร่วม (Shared vision) การเรยี นร้แู ละการพัฒนาวิชาชีพ (Learning and professional development) ชุมชนกัลยาณมิตร (Caring communities) ทีมร่วมแรงร่วมใจ (Collaborative teamwork) ภาวะ ผนู้ าและสนับสนุน (Supportive & shared leadership) การเรยี นรขู้ องผูเ้ รยี น (Student Learning) และการสร้างสนับสนนุ ชุมชน (Supportive structure) 2. การจัดกระบวนการเรียนการสอนแบบ Active Learning 2.1 ความหมายของการจดั การเรยี นการสอนแบบ Active Learning การจัดกระบวนการเรียนการสอนแบบ Active Learning เป็นกระบวนการเรียนรู้แบบเน้น ใหผ้ เู้ รยี นได้ปฏบิ ตั ิ หรอื ลงมือทา และด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศในยุคศตวรรษท่ี 21 การเข้าถึงองค์ความรู้ใหม่ๆ การเข้าถึงแหล่งข้อมูล และการติดต่อส่ือสารแบบไร้พรมแดนสามารถทา ได้ทุกท่ที ุกเวลา ทาให้ผ้เู รยี นสามารถเรยี นร้ไู ดด้ ้วยตนเองอยา่ งตอ่ เน่อื ง ผู้สอนจงึ ตอ้ งมกี ารปรับเปลี่ยน

วธิ กี ารสอนในรปู แบบเดิมให้สอดคลอ้ งกบั การเรยี นรู้ของผู้เรยี น สงั คม และเทคโนโลยี โดยปรบั เปลีย่ น บทบาทจากผถู้ ่ายทอดเป็นผู้ชแ้ี นะวิธกี ารคน้ คว้าหาความรเู้ พื่อพัฒนาผู้เรยี นให้สามารถแสวงหาความรู้ และประยุกต์ใช้ทักษะต่างๆ สร้างความเข้าใจด้วยตนเอง จนเกิดเป็นการเรียนรู้อย่างมีความหมาย (สิริพร ปาณาวงษ์, 2557) โดยรูปแบบการจัดการเรียนการสอนรูปแบบนี้จะให้ความสาคัญกับการมี สว่ นร่วมและบทบาทในการเรียนรู้ของผู้เรยี น ครอบคลุมวิธีการเรียนการสอนหลากหลายวธิ ี เช่น การ เรียนรู้จากกรณีศึกษา (Problem-Based Learning) การเรียนรู้จากการสืบค้น (Inquiry-Based Learning) การเรียนรู้จากการทากิจกรรม (Activity-Based Learning) ) การสอนแบบโครงงาน (Project Based Learning) การสอนแบบใช้ปญั หาเปน็ ฐาน (Problem Based Learning) และ การ สอนท่ีเน้นทักษะกระบวนการคิด (Thinking Based Learning) เป็นต้น และส่งเสริม หรือกระตุ้นให้ ผู้เรียนเป็นผู้มีบทบาทหลักในการเรียนรู้ของตนเอง การส่งเสริมมีส่วนร่วมในชั้นเรียน มีปฏิสัมพันธ์ ระหวา่ งผสู้ อนกับผู้เรียน ด้วยเทคนิคหรือกจิ กรรมตา่ งๆ ซึ่งผสู้ อนมีบทบาทในการอานวยความสะดวก และจัดสภาพแวดลอ้ มทีเ่ อื้อให้ผ้เู รียนสร้างความรดู้ ้วยตนเอง จนเกดิ เปน็ การเรยี นรู้อยา่ งมคี วามหมาย (Meaningful Learning) สรปุ ไดว้ ่า การจดั การเรียนรู้แบบเชงิ รุก Active Learning หมายถึง การเรียนรู้ท่ีผเู้ รียนมี บทบาทในการแสวงหาความรู้ และทาความเข้าใจด้วยตนเอง หรือรว่ มกันค้นหาคาตอบจากเพอ่ื น จน เกิดความรู้ ความเข้าใจ นาไปประยุกต์ใช้ สามารถวเิ คราะห์ สังเคราะห์ ประเมินคา่ หรอื สรา้ งสรรค์ สิ่งต่างๆ และพัฒนาตนเองเตม็ ความสามารถ รวมถึงการจดั ประสบการณ์การเรียนรใู้ หไ้ ด้รว่ มอภิปราย ใหฝ้ กึ ทักษะการสอ่ื สาร การนาเสนอผลงานทางการเรยี นรูใ้ นสถานการณ์จาลอง มกี ารเชอ่ื มโยงกบั สถานการณต์ ่างๆ และมกี ารฝึกปฏบิ ัตใิ นสภาพจริง 2.2 กระบวนการจัดการเรียนการสอนแบบใหผ้ ู้เรียนได้ปฏิบัติ การจัดการเรียนการสอนแบบเน้นให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติ สามารถเกิดข้ึนได้ท้ังในห้องเรียนและ นอกห้องเรียน McKinney (2008) ได้เสนอรูปแบบกระบวนการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนแบบให้ ผูเ้ รียนไดป้ ฏบิ ัติ ดงั นี้ 1. การเรียนรแู้ บบแลกเปลี่ยนความคิด (Think-Pair-Share) คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ที่ให้ผู้เรียนคิดเกี่ยวกับประเด็นที่กาหนดคน เดียว 2-3 นาที (Think) จากน้ันให้แลกเปล่ียนความคิด กับเพ่ือนอกี คน 3-5 นาที (Pair) และนาเสนอความคดิ เห็นตอ่ ผเู้ รียนทง้ั หมด (Share) 2. การเรียนรแู้ บบร่วมมอื (Collaborative learning group) คือการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ ทใ่ี ห้ผ้เู รียนได้ทางานร่วมกับผู้อ่ืน โดยจัดกลุม่ ๆ ละ 3-6 คน 3. การเรียนรู้แบบทบทวนโดยผู้เรียน (Student-led review sessions) คือการจัด กจิ กรรมการเรียนรู้ท่เี ปิดโอกาสให้ผู้เรยี นได้ทบทวนความรแู้ ละ พิจารณาขอ้ สงสยั ต่าง ๆ ในการปฏิบัติ กิจกรรมการเรยี นรู้ โดยครูจะคอยชว่ ยเหลือกรณที มี่ ีปัญหา 4. การเรียนรู้แบบใช้เกม (Games) คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้สอนนาเกมเข้า บูรณาการในการเรียนการสอน ซึ่งใช้ได้ทั้งในข้ันการนาเข้าสู่บทเรียน การสอน การมอบหมายงาน และหรือข้นั การประเมนิ ผล

5. การเรยี นรู้แบบวเิ คราะห์วีดโี อ (Analysis or reactions to videos) คือการจัดกจิ กรรม การเรียนรู้ท่ีให้ผู้เรียนได้ดูวีดีโอ 5-20 นาที แล้วให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็น หรือสะท้อนความคิด เกีย่ วกบั สิ่งทไี่ ดด้ ู อาจโดยวธิ ีการพดู โตต้ อบกนั การเขยี น หรือ การรว่ มกันสรปุ เปน็ รายกลมุ่ 6. การเรยี นร้แู บบโต้วาที (Student debates) คอื การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ทีจ่ ดั ให้ผู้เรียน ไดน้ าเสนอข้อมูลที่ไดจ้ าก ประสบการณ์และการเรียนรู้ เพ่อื ยืนยันแนวคิดของตนเองหรอื กลมุ่ 7. การเรียนรู้แบบผูเ้ รยี นสรา้ งแบบทดสอบ (Student generated exam questions) คือ การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ทใ่ี ห้ผู้เรียนสรา้ งแบบทดสอบจากส่ิงท่ไี ด้เรียน ร้มู าแล้ว 8. การเรียนรู้แบบกระบวนการวิจัย (Mini-research proposals or project) คือการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ที่อิงกระบวนการวิจัย โดยให้ผู้เรียนกาหนดหัวข้อท่ีต้องการเรียนรู้ วางแผนการ เรียน เรียนรู้ตามแผน สรุปความรู้หรือสร้างผลงาน และสะท้อนความคิดในส่ิงที่ได้เรียนรู้ หรืออาจ เรียกว่าการสอนแบบโครงงาน(project-based learning) หรือ การสอนแบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (problem-based learning) 9. การเรียนรู้แบบกรณีศึกษา (Analyze case studies) คอื การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ ผู้เรียนได้อ่านกรณีตัวอย่างท่ีต้องการ ศึกษา จากนั้นให้ผู้เรียนวิเคราะห์และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรือแนวทางแกป้ ญั หาภาย ในกลุ่ม แลว้ นาเสนอความคดิ เห็นตอ่ ผเู้ รยี นทัง้ หมด 10. การเรียนรู้แบบการเขียนบันทกึ (Keeping journals or logs) คือการจดั กจิ กรรมการ เรียนรทู้ ผ่ี เู้ รยี นจดบันทึกเรอื่ งราวตา่ งๆ ทไี่ ด้พบเหน็ หรือเหตุการณ์ที่เกิดข้ึนในแต่ละวัน รวมท้ังเสนอ ความคิดเพ่มิ เตมิ เกยี่ วกับบันทึกที่เขยี น 11. การเรียนรู้แบบการเขียนจดหมายข่าว (Write and produce a newsletter) คือการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีให้ผู้เรียนร่วมกันผลิตจดหมายข่าว อันประกอบด้วย บทความ ข้อมูล สารสนเทศ ขา่ วสาร และเหตกุ ารณ์ท่ีเกิดขนึ้ แล้วแจกจ่ายไปยงั บคุ คลอนื่ ๆ 12. การเรียนรู้แบบแผนผังความคิด (Concept mapping) คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ ให้ผู้เรียนออกแบบแผนผังความคิด เพ่ือนาเสนอความคิดรวบยอด และความเชื่อมโยงกันของกรอบ ความคิด โดยการใชเ้ สน้ เป็นตวั เช่ือมโยง อาจจดั ทาเป็นรายบคุ คลหรืองานกลมุ่ แล้วนาเสนอผลงานตอ่ ผู้เรียนอน่ื ๆ จากนน้ั เปิดโอกาสใหผ้ เู้ รยี นคนอ่นื ได้ซกั ถามและแสดงความคิดเหน็ เพมิ่ เติม กระบวนการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนแบบใหผ้ เู้ รียนไดป้ ฏบิ ัติ สามารถใชไ้ ด้กับผเู้ รยี นทุก ระดับ โดยผเู้ รียนสามารถเรยี นรู้เป็นรายบคุ คล เรยี นรแู้ บบกลุ่มเลก็ และเรยี นรู้แบบกลมุ่ ใหญ่ โดย กระบวนการจดั การเรยี นการสอนในรปู แบบน้จี ะเปิดโอกาสใหผ้ ูเ้ รยี นมสี ว่ นรว่ มในการปฏบิ ตั ิ และการ เรียนรสู้ ูงสุด ผเู้ รยี นมีความรบั ผิดชอบรว่ มกัน การมวี ินยั ในการทางาน การแบ่งหน้าท่ีความรับผิดชอบ และสง่ เสรมิ ให้ผูเ้ รียนใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศในการบรู ณาการขอ้ มลู ข่าวสาร ซึ่งผสู้ อนจะเป็นผู้ อานวยความสะดวกในการจดั การเรยี นรู้ เพอ่ื ให้ผเู้ รยี นเปน็ ผูป้ ฏิบตั ดิ ว้ ยตนเอง ความรเู้ กิดจาก ประสบการณ์ การสรา้ งองคค์ วามรู้ และการสรุปทบทวนของผเู้ รยี น 2.3 บทบาทของผ้สู อน กระบวนการจัดการเรียนการสอนแบบเน้นให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติ ผู้สอนเป็นผู้ท่ีมีบทบาทสาคัญ โดยท่ัวไป ผู้สอนจะมีคุณสมบัติ และมีสมรรถนะในด้านต่างๆ ท่ีสาคัญหลายประการ ซึ่งสมรรถนะ

เหล่าน้ี จะช่วยให้เกิดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบเน้นให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติ ได้เป็นอย่างดี โดย ทวีวัฒน วฒั นกลุ เจริญ (2547) ไดก้ ลา่ ววา่ ผู้สอนควรมบี ทบาท ดงั นี้ 1. จัดให้ผู้สอนเป็นศูนยก์ ลางของการเรยี น กิจกรรม หรอื เปา้ หมายท่ีต้องการสะทอ้ นความ ต้องการที่จะพฒั นาผเู้ รยี น และเนน้ การนาไปใชป้ ระโยชน์ในชีวติ จริงของผ้เู รียน 2. สร้างบรรยากาศของการมีส่วนร่วม และการเจรจาโต้ตอบท่ีส่งเสริมให้ผู้เรียนมี ปฏิสมั พนั ธ์ทดี่ กี บั ผ้สู อน และเพ่อื นในชัน้ เรียน 3. จัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้เป็นพลวตั ส่งเสรมิ ให้ผูเ้ รียนมีส่วนร่วมในทุดกิจกรรมที่ สนใจ รวมท้ังกระตุ้นให้ผู้เรียนประสบความสาเร็จในการเรียน กิจกรรมท่ีเป็นพลวัต ได้แก่ การฝึก แก้ปญั หา การศกึ ษาดว้ ยตนเอง เปน็ ต้น 4. จดั สภาพการเรียนรูแ้ บบร่วมมือ สง่ เสริมให้เกดิ การรว่ มมือในกลมุ่ ผูเ้ รียน 5. จัดกิจกรรมการเรยี นสอนให้ทา้ ทาย และใหโ้ อกาสผเู้ รียนไดร้ ับวิธีการสอนที่หลากหลาย มากกวา่ การบรรยายเพยี งอยา่ งเดยี ว แม้รายวิชาทเ่ี น้นทางด้านการบรรยาย หลักการ และทฤษฎีเป็น หลักก็สามารถจัดกิจกรรมเสริม อาทิ การอภิปราย การแก้ไขสถานการณ์ที่กาหนด เสริมเข้ากับ กจิ กรรมการบรรยาย 6. วางแผนในเรื่องของเวลาการสอนอย่างชัดเจน ทั้งในเรื่องของเน้ือหา และกิจกรรมใน การเรยี น 7. ใจกวา้ ง ยอมรับในความสามารถในการแสดงออก และความคิดเหน็ ทผ่ี ูเ้ รียนนาเสนอ ผู้สอนเป็นผู้ที่จะชี้แนะแนวทางการในการเรียนรู้จากกระบวนการจัดการเรียนการสอนแบบ เน้นให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติ ดังนั้นผู้สอนจึงต้องมีความรู้ความเข้าใจด้านเน้ือหา การออกแบบและพัฒนา กระบวนการเรียนของผู้เรยี น รวมทั้งจะตอ้ งมกี ารจูงใจ การวางแผนบรู ณาการ และการตดิ ตอ่ สื่อสาร กับผู้เรียน เพ่ือให้ผู้เรียนสามารถปฏิสัมพันธ์กับผู้สอนได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้ผู้เรียนสนุกกับการเรียน ลดความกังวลในการเรียน มีความกระตือรอื ร้น และอาจจะทาให้ผลการเรยี นดีขน้ึ 3. เอกสารงานวิจยั ท่เี ก่ยี วข้อง ผ้วู จิ ยั ไดศ้ กึ ษาเอกสารงานวิจยั ทเี่ ก่ยี วข้องดงั รายการตอ่ ไปนี้ ณรงค์ฤทธิ์ อินทนาม (2553) ศึกษาเรื่องการพัฒนาหลักเทียบสาหรับการสร้างชุมชนการ เรียนรู้ทางวิชาชีพในโรงเรียน เพ่ือสร้างและประยุกต์ใช้หลักเทียบสาหรับการสร้างชุมชนการเรียนรู้ ทางวิชาชีพในโรงเรียน ผลการวิจัยพบว่า องค์ประกอบและตัวบ่งชี้ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ ประกอบด้วย 3 องคฺ ์ประกอบ 9 ตวั บง่ ช้ี ได้แก่ 1) องค์ประกอบดา้ นปัจจัย คือ 1.1) ทักษะทางวิชาการ และกลไกการเรียนร้แู ละ 1.2) โครงสรา้ งและส่งิ สนบั สนุน 2) องคป์ ระกอบด้านกระบวนการ คอื 2.1 ) การสร้างบรรทัดฐานและค่านิยมร่วมกัน 2.2 ) การปฏิบัติท่ีมีเป้าหมายร่วมกันเพ่ือการเรียนรู้ของ นกั เรยี น 2.3) การร่วมมอื รวมพลงั กนั 2.4) การเปดิ รบั การชแี้ นะในปฏบิ ัตงิ าน และ 2.5) การสนทนาท่ี มุ่งสะท้อนผลการปฏิบัติงาน และ 3) องค์ประกอบด้านผลลัพธ์ คือ 3.1) ผลการปฏิบัติงานตามท่ี คาดหวัง และ 3.2) การเป็นสมาชิกและเครือข่ายด้านหลักเทียบและคุณภาพของหลักเทียบ พบว่า 2.1)หลักเทียบ ประกอบด้วย 5 ตัวบ่งช้ีหลัก ได้แก่ (1) การสร้างบรรทัดฐานและค่านิยมร่วมกัน (2) การปฏิบัติท่ีมีเป้าหมายร่วมกันเพื่อการเรียนรู้ของนักเรียน (3) การร่วมมือรวมพลังกัน (4) การ เปิดรับการชี้แนะในปฏิบัติงาน และ (5) การสนทนาที่มุ่งสะท้อนผลการปฏิบัติงาน และแนวทาง

การสรา้ งชุมชนการเรียนรู้ทางวชิ าชพี ในโรงเรยี นเป็นการบูรณาการ แนวคดิ กระบวนการทาหลักเทียบ กับ กลยุทธ์บลูโอเชียน แบ่งออกเป็น 4 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 การวางแผน ระยะที่ 2 การวิเคราะห์ ข้อมูล ระยะท่ี 3 การบูรณาการ และระยะท่ี 4 การปฏิบัติ โดยมีคู่มือประกอบการดาเนินการที่มี รายละเอยี ดเก่ียวกบั แนวคดิ วัตถปุ ระสงค์ วิธีดาเนินการ และการรายงานผล Little Brown and Earl (2007) ศึกษาเร่ืองการเรียนรู้จากสภาพจริง สาหรับการเรียนรู้ใน ศตวรรษที่ 21 พบว่า การเรียนรู้โดยการทาโดยท่ัวไปถือว่าเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากท่ีสุดในการ เรียนรู้อินเตอรเ์ น็ตและความหลากหลายของการสื่อสารท่ีเกิดข้ึนใหม่ ภาพและเทคโนโลยีการจาลอง ในขณะนี้ทาให้เป็นไปได้ท่ีจะนาเสนอประสบการณ์การเรียนรู้ของนักเรียนท่ีแท้จริง ต้ังแต่การการ ทดลองกับปัญหาจริงของโลกในการแก้ปัญหา งานนี้จะสารวจเรียนรู้ที่ทาให้เกิดการเรียนรู้ได้โดยที่ เทคโนโลยีสนับสนุนสิ่งที่ทาใหม้ ันมีประสทิ ธิภาพและเหตุผลที่สาคัญคือ การเรียนรู้จากประสบการณ์ จริง Sargent and Hannu (2009) ศึกษาเรื่อง “การทาได้ดีกว่าภายใต้ทรัพยากรที่จากัดของ ชุมชนการเรียนรู้ทางวชิ าชพี ในโรงเรียนประถมศึกษาประเทศจนี ” พบว่า ชุมชนการเรยี นรู้ทางวชิ าชีพ ทาให้เกิดสภาพแวดล้อมที่ครูผู้สอนมีส่วนร่วมกันในการวิจัยเพื่อพฒั นา ครูค้นพบวิธีท่ีมีประสิทธิภาพ สาหรับการเช่ือมต่อการเรียนรู้อย่างมีอาชีพในทุกๆวัน ในขณะท่ีโรงเรียนมีทรัพยากรท่ีจากัด แต่ด้วย ธรรมชาติและการพัฒนาของพวกเขา การสนับสนุนของสถาบันอย่างจริงจัง ผู้นาโรงเรียนเป็นผู้นา หลักและครเู ปน็ ตวั ของตัวที่จะรเิ ริม่ พัฒนา Cormier (2009) ศึกษาเรื่องคุณลักษณะของผู้อานวยการและครูในชุมชมการเรียนรู้ทาง วิชาชีพ ซ่ึงพบว่า ผู้อานวยการโรงเรียนที่มีลักษณะชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ มีองค์ประกอบคือ วิสัยทัศน์ร่วมและข้อตกลงร่วม ผู้นาร่วมและผู้นาสนับสนุน การร่วมเรียนรู้ การเสริมสร้างศักยภาพ รว่ มกัน การวัดและประเมินผลด้วยความรับผิดชอบ ครขู องนักเรียนที่มีลักษณะชุมชนการเรียนรู้ทาง วชิ าชีพ คือนักสอ่ื สาร นกั สรา้ งความรว่ มมือ โคช้ ผู้ฝึกสอน ผู้นาการเปลยี่ นแปลง ผู้เสรมิ สร้างศักยภาพ และผู้ประสานงาน จากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง พบว่าชุมชนแห่งการเรียนแห่งวิชาชีพ (PLC) สามารถ ช่วยพฒั นาคณุ ภาพของผเู้ รียน และช่วยพฒั นาวิชาชีพครูสกู่ ารจดั การเรียนรูใ้ นศตวรรษท่ี 21 ผูว้ จิ ัยจึง มีความสนใจทางานวิจัยในเร่ือง ผลการส่งเสริมการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) โดยใช้ กระบวนการชุมชนการเรียนรู้วิชาชีพ (PLC) และกระบวนการวิจัยในช้ันเรียนสาหรับครูเพื่อพัฒนา ทกั ษะทางปญั ญาและทักษะทางสังคมของผู้เรียน โรงเรียนบ้านหนองเตา อาเภอเถิน จงั หวดั ลาปาง

บทท่ี 3 วิธีดาเนนิ การศกึ ษา ในการวิจยั คร้ังน้ี ผ้วู จิ ัยไดด้ าเนนิ การวจิ ัยตามขนั้ ตอนดงั น้ี 1. การกาหนดประชากร 2. เคร่ืองมือทใ่ี ชใ้ นการวจิ ัย 3. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู 4. การสร้างและพัฒนาเครื่องมอื 5. การวิเคราะหข์ อ้ มลู และการแปลผลขอ้ มลู การกาหนดประชากร ประชากรในการวิจัยในครง้ั นี้ แบ่งออกเป็น 2 กล่มุ คือ 1. คณะครูของโรงเรยี นบา้ นหนองเตาจานวน 7 คน 2. นักเรียนโรงเรียนบ้านหนองเตาในระดับช้ันอนุบาลปีที่ 1 ถึงประถมศึกษาปีท่ี 6 จานวน 51 คน ในภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2560 สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ลาปาง เขต 2 เครอ่ื งมอื ในการวิจัย 1. แบบสงั เกตกระบวนการจดั การเรยี นรู้แบบเชงิ รกุ Active Learning 2. แบบประเมนิ ทกั ษะทางปญั ญา 3. แบบประเมินทักษะทางสงั คม การเกบ็ รวบรวมข้อมูล 1. ครูประเมินทักษะทางปัญญาและทักษะทางของสังคมของนักเรียนแต่ละระดับชั้น ก่อนที่ จะจัดการเรยี นรแู้ บบเชิงรกุ (Active Learning) 2. ครูจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) โดยคณะครูและผู้บริหารจะมีการ แลกเปล่ียนเรยี นรเู้ รื่องปญั หาการจดั การสอนกนั อย่างสมา่ เสมอ 3. เก็บข้อมูลจากคณะครู โดยเข้าไปนิเทศติดตามการจัดกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ เชิงรุก (Active Learning) ในระดบั ชั้นเรียน โดยผบู้ รหิ ารและครหู ัวหน้าวชิ าการ 4. ครูประเมินทักษะทางปัญญาและทักษะทางของสังคมของนักเรียนแต่ละระดับชั้น หลัง การจดั การเรียนรู้แบบเชิงรกุ (Active Learning) ฉบบั เดียวกบั ก่อนเรียน 5. นาข้อมูลมาวิเคราะห์ทางสถติ ิ

การสรา้ งและพฒั นาเครอื่ งมอื 1.แบบสังเกตกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) ผู้วิจัยได้ ดาเนินการสรา้ งและพัฒนาเคร่อื งมอื มรี ายละเอยี ดดังนี้ 1.1 ผู้วิจัยนาข้อมูลที่ได้จากการศึกษาเอกสาร งานวิจัย และวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง นามาเป็นร่างกรอบแบบประเมิน ซึ่งสร้างตามวิธีของ Likert โดยกาหนดค่าน้าหนักของคะแนน เปน็ มาตราสว่ นประมาณค่า (Rating scale) 5 ระดบั ดังนี้ ระดบั 5 หมายถึง มคี วามเหมาะสมในระดบั มากทีส่ ดุ ระดับ 4 หมายถึง มคี วามเหมาะสมในระดับมาก ระดบั 3 หมายถงึ มีความเหมาะสมในระดบั ปานกลาง ระดับ 2 หมายถึง มีความเหมาะสมในระดับน้อย ระดบั 1 หมายถึง มคี วามเหมาะสมในระดบั น้อยทีส่ ุด 1.2 นาผลท่ีได้มาพัฒนาเป็นแบบสังเกตกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก Active Learning 1.3 นาเคร่อื งมือทีไ่ ด้ไปให้ผูเ้ ชีย่ วชาญ ตรวจสอบความเทีย่ งตรงเชิงเนื้อหา โดยการวัดการ พจิ ารณาความตรงตามเนื้อหาของแบบประเมิน โดยผู้ทรงคุณวุฒิจานวน 5 ท่าน ได้ค่าเฉล่ียเท่ากับ 4.72 จากนั้นนาเครื่องมือท่ีผ่านการตรวจสอบจากผู้ทรงคุณวุฒิมาแก้ไข ปรับปรุง แก้ไขภาษาท่ีใช้ ตลอดจนเนอ้ื หาให้สอดคล้องกบั วตั ถุประสงค์ 1.4 ปรับปรุงเครื่องมือการวิจัย เป็นแบบประเมินฉบับสมบูรณ์ นาไปใช้กับกลุ่มประชากร ต่อไป 2. แบบประเมนิ ทกั ษะทางปญั ญา ผู้วจิ ัยไดด้ าเนนิ การพัฒนาเครื่องมือ มรี ายละเอยี ดดงั นี้ 2.1 ให้คณะครูทุกคนในโรงเรียนได้ร่วมกันศึกษาเทคนิควิธีการสร้างข้อสอบทักษะ กระบวนการคดิ และวธิ กี ารวิเคราะหข์ ้อสอบ 2.2 ครูแต่ละคนศึกษาหลักสูตร ในกลุ่มสาระที่จะจัดกิจกรรมการเรียนเรียนรู้แบบเชิงรุก Active Learning 2.3 กาหนดจุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรม และสร้างตารางวเิ คราะห์ขอ้ สอบ 2.4 ครูแต่ละคน สรา้ งแบบทดสอบวัดทักษะทางปญั ญาตามระดบั ชน้ั ท่ีรบั ผิดชอบ จานวน ขอ้ ของแบบทดสอบใหค้ านึงถงึ ความเหมาะสมกบั นักเรยี นแต่ละช่วงวัย 2.5 นาแบบทดสอบท่ีทั้งหมดที่ครูสร้าง ให้ผู้เช่ียวชาญตรวจสอบความเท่ียงตรง โดยให้ ประเมินความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม โดยใชส้ ูตร IOC คัดเลือกข้อท่ี ผา่ นเกณฑ์ตัง้ แต่ 0.60 ข้ึนไป 2.6 ผลการประเมนิ ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อสอบและจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมใน แต่ละระดับชั้น ของผู้เช่ียวชาญทั้ง 5 ท่าน มีคะแนนเฉล่ียอยู่ระหว่าง 0.80 – 1.00 หมายความว่า แบบทดสอบของครทู กุ ระดบั ชน้ั มคี วามเท่ียงตรงในการวดั ผลตรงกบั จดุ ประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม 2.7 ทาการแก้ไขแบบทดสอบ ตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ และจัดทาแบบทดสอบ วดั ทกั ษะทางปัญญาฉบบั สมบรู ณ์

3. แบบประเมนิ ทกั ษะทางสังคม ผูว้ ิจยั ไดด้ าเนินการพฒั นาเครื่องมือ มรี ายละเอียดดงั น้ี การประเมินทกั ษะทางสังคม ผู้วิจัยประเมินจากแบบประเมินความสามารถในการทางาน ร่วมกนั กบั ผู้อ่นื เปน็ แบบมาตราส่วนประเมนิ ค่าชนดิ 3 ระดบั โดยประเมนิ พฤติกรรมการทางานกล่มุ ท่ี ประเมินโดยครูผู้สอน รายละเอียดการประเมินจะแบ่งออกเป็น1) การวางแผนการทางาน 2) การให้ ความร่วมมือ 3) การแสดงความคดิ เห็น 4) ความสนใจกระตือรือร้นในการทางาน 5)ความรับผิดชอบ ในหน้าที่ 6) การนาเสนอผลงาน ผู้วิจัยดาเนินการโดยนาแบบประเมินความสามารถในการทางาน ร่วมกัน ตรวจสอบความถูกต้องเก่ยี วกบั ประเด็นและรายละเอียดในการประเมนิ พฤติกรรมการทางาน กลุ่ม โดยผู้เช่ียวชาญจานวน 5 ท่าน ได้ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 1.00 แล้วนา ขอ้ เสนอแนะของผเู้ ชยี่ วชาญมาปรับปรุง เพื่อใชส้ าหรบั กลมุ่ ประชากรตอ่ ไป การวิเคราะห์ข้อมูลและการแปลผลข้อมลู 1. วเิ คราะหข์ ้อมลู จาก แบบสังเกตกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning แล้วแปล ความหมายของแบบประเมนิ งานวจิ ัยในช้ันเรยี น และ หาคา่ เฉลยี่ โดยใช้เกณฑ์ของเบส (Best :1981) ซง่ึ มรี ายละเอียดดงั น้ี คา่ เฉลย่ี 4.50 – 5.00 หมายถงึ ระดับคุณภาพ มากที่สุด คา่ เฉลย่ี 3.50 – 4.49 หมายถงึ ระดบั คุณภาพ มาก คา่ เฉล่ยี 2.50 – 3.49 หมายถึง ระดับคุณภาพ ปานกลาง ค่าเฉลยี่ 1.50 – 2.49 หมายถงึ ระดบั คณุ ภาพ นอ้ ย คา่ เฉล่ยี 1.00 – 1.49 หมายถึง ระดบั คุณภาพ น้อยท่สี ดุ 2. วิเคราะหข์ อ้ มูลจากคะแนนทักษะทางปญั ญา และทักษะทางสงั คม ของนกั เรยี นแต่ละ ระดับชั้นแลว้ หาค่าเฉลี่ย สว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน และ t – test Dependent Samples

บทท่ี 4 ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล ผลการวิเคราะห์ขอ้ มลู การเสนอผลวเิ คราะหข์ อ้ มลู และการแปรผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล ผู้วจิ ยั นาเสนอตามลาดบั ข้ันดงั นี้ 1. ผลการสังเคราะห์แบบสังเกตกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning โดยใช้ กระบวนการชมุ ชนการเรยี นรู้วิชาชีพ (PLC) ของคณะครูท้ัง 7 คน แสดงดงั ตารางท่ี 1 ตารางท่ี 1 แสดงคา่ เฉลีย่ สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน และระดบั คุณภาพของแบบสงั เกตกระบวนการ จัดการเรยี นรู้เชิงรกุ แบบ Active Learning โดยใชก้ ระบวนการชุมชุมชนการเรยี นรวู้ ิชาชีพ (PLC) N=7 รายการ µ ระดับ คณุ ภาพ มีกจิ กรรมนาเขา้ ส่บู ทเรยี นทีเ่ ร้าความสนใจ 4.86 0.71 มากทส่ี ุด ดาเนนิ การจดั กจิ กรรมการสอนอย่างเป็นลาดับข้ันตอน 4.00 0.14 มาก การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเนน้ ผเู้ รยี นเปน็ สาคญั มาก ผเู้ รยี น 4.43 0.28 มีส่วนรว่ มในกิจกรรมการเรยี นการสอน จัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนหลากหลาย สร้างสรรค์ 4.00 1 มาก เออ้ื ต่อการเรียนรู้ จดั กจิ กรรมกระตุ้นใหน้ ักเรียนเกิดการเรยี นรู้ด้วยตนเอง 4.00 0.14 มาก สามารถใชค้ าถามและกจิ กรรมกระตุ้นให้ผเู้ รียนคดิ 4.43 0.57 มาก และมีสว่ นร่วมแสดงความคดิ เห็น สามารถสอื่ สาร และเชอื่ มโยงความรทู้ เี่ ขา้ ใจงา่ ย 4.00 0.14 มาก มกี ารสอดแทรกคณุ ธรรม จรยิ ธรรม 4.14 0 มาก มีการสอดแทรกความรู้และเหตุการณ์ปัจจุบัน 3.43 0.72 ปานกลาง มีความมนั่ ใจในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน 4.00 1 มาก กิจกรรมการเรียนการสอนสามารถพัฒนาคณุ ลักษณะ 4.86 0.71 มากท่ีสุด อันพงึ ประสงค์ของผเู้ รยี น กิจกรรมการเรียนการสอนสามารถพฒั นาสมรรถนะสาคญั 4.00 1 มาก ของผู้เรียน

รายการ µ N=7 ระดับ  คณุ ภาพ มกี ารใหก้ าลงั ใจ เสรมิ แรงเมื่อผเู้ รยี นปฏบิ ตั ิกจิ กรรมได้ 3.86 ถกู ต้อง 0.3 มาก มกี ารจดั บรรยากาศการเรียนรู้ทีน่ า่ สนใจ ผเู้ รียนมีความสขุ 4.29 ผู้สอนเอาใจใส่ ดูแลนกั เรียนอยา่ งทั่วถงึ 4.86 0.14 มาก 3.86 0.71 มากท่ีสุด มกี ารประเมนิ ความรู้ของนักเรยี นทเ่ี หมาะสม 4.71 0.3 มาก มีการสรปุ บทเรียนไดเ้ หมาะสม ชัดเจน เข้าใจงา่ ย 4.86 0.57 มากที่สุด 4.00 0.71 มากที่สุด ส่ือประกอบการสอนมีความเหมาะสม ชว่ ยใหเ้ กิดการเรียนรู้ 4.86 0.14 มาก ใช้เวลาในการจัดกิจกรรมได้เหมาะสม 4.03 0.71 มากที่สดุ 0.46 มาก ผู้เรยี นมีความกระตอื รือร้นและสนกุ สนานในการเรียน รวมเฉลยี่ จากตารางที่ 1 พบว่าคณะครูของโรงเรียน มีความรู้ความสามารถในการจัดการเรียนรู้ใน รปู แบบ Active Learning มีคา่ เฉล่ียรวม 4.03 สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน 0.46 ซึง่ มรี ะดับคณุ ภาพมาก 2. การเปรียบเทยี บคา่ เฉลี่ยคะแนนทักษะทางปัญญาและทกั ษะทางสังคมก่อนเรยี นและหลัง เรยี น ของนักเรียน แสดงดงั ตารางที่ 2 ตารางที่ 2 แสดงการเปรยี บเทยี บค่าเฉล่ียคะแนนทักษะทางปัญญาและทกั ษะทางสังคมก่อนเรยี นและ หลงั เรยี นของนกั เรียน N ทกั ษะทางปัญญา ทกั ษะทางสงั คม µ t µ t 20.70 2.39 4.07** ก่อนเรยี น 51 20.03 1.98 3.57** หลงั เรยี น 51 35.60 1.32 28.80 1.21 ** มนี ยั สาคัญทีร่ ะดับ .01

จากตารางท่ี 2 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล พบว่า ทักษะทางปัญญาและทักษะทางสังคมของ นักเรยี นหลังเรียนสงู กวา่ ก่อนเรียน อยา่ งมีนยั สาคญั ทรี่ ะดบั .01 3. โรงเรียนบ้านหนองเตา ได้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาคุณภาพ ผู้เรียนให้มีทักษะทางปัญญาและทักษะทางสังคม โดยได้มีการสร้างวิสัยทัศน์ร่วมกัน มีเป้าหมาย ร่วมกัน ค่านิยมร่วมกันที่จะพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ทั้งผู้บริหาร ครู ผู้ปกครอง และนักเรียน โดยมี การศึกษาความต้องการจาเป็นจากผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียของโรงเรียน แล้วนาข้อมูลสารสนเทศ มา วางแผนร่วมกันอย่างเป็นระบบ นอกจากน้ันยังมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เก่ียวกับการจัดกิจกรรมการ เรียนการสอนแบบเชิงรุก (Active Learning) อย่างเป็นทางการสัปดาห์ละ 1 ครั้ง และอย่างไม่เป็น ทางการหลายๆครั้งถ้ามีโอกาส โดยครูแต่ละคนในโรงเรียนจะมี LOGBOOK เพ่ือบันทึกสรุป การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และผู้บริหารมีการนิเทศติดตาม และให้กาลังใจกับคณะครูอย่างต่อเน่ือง โรงเรียนบ้านหนองเตาจงึ เปน็ โรงเรียนชุมชนแห่งการเรยี นรู้

บทที่ 5 สรุปผล และข้อเสนอแนะ. สรปุ ผล 1. คณะครูโรงเรียนมีความรู้ ความสามารถในการจัดการเรียนการรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) ในระดับคณุ ภาพมาก 2. ทักษะทางปัญญาและทักษะทางสังคมนักเรียนโรงเรียนบ้านหนองเตาที่ได้รับการจัดการ เรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ี ระดับ .01 3. โรงเรียนบ้านหนองเตา ได้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรูเ้ พอ่ื พัฒนาคุณภาพผเู้ รียนอย่างต่อเนอื่ ง ท้งั ผูบ้ รหิ าร ครู ผปู้ กครอง และนักเรียน โรงเรียนบา้ นหนองเตาจงึ เป็นโรงเรียนชมุ ชนแหง่ การเรยี นรู้ การอภปิ รายผล 1. ครูมคี วามรู้ ความสามารถในการจดั การเรียนการรู้ในรปู แบบเชิงรุก (Active Learning) ในระดับคุณภาพมาก ท้งั น้ีเนื่องจากผูบ้ รหิ ารและคณะครูมี การกาหนดวิสัยทัศน์ร่วม และมีเปา้ หมาย ร่วมกัน มีความมุ่งม่ันกับภารกิจที่จะไปสู่เป้าหมายร่วมกันเพ่ือท่ีจะพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้มีทักษะ ทางปัญญาและทักษะทางสังคม นอกจากนั้นบุคลากรยังได้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันอย่างต่อเนื่อง ระหว่าง ผู้บริหารกบั ครู ครกู ับครู และครกู ับนักเรียน เพื่อพัฒนาคณุ ภาพผเู้ รยี น โดยมกี ารเคารพและ ยอมรับกับส่ิงที่เกิดข้ึนว่าเป็นการเรียนรู้ เพ่ือเติบโต ถึงแม้จะเป็นความล้มเหลวก็ตาม สอดคล้องกับ แนวคดิ ของ Sergiovanni (1994) ท่ีกลา่ วถงึ วัฒนธรรมความกล้าเสี่ยงใน PLC ว่า สมาชิกของชุมชน แห่งวิชาชีพตอ้ งไม่ถือว่า ความผิดพลาดท่ีได้จากการทดลองคือความล้มเหลว แต่ตอ้ งถอื ข้อผิดพลาด ท่ีได้ดังกล่าวเป็นโอกาสดี ที่จะได้เกิดการเรียนรู้ใหม่เพ่ิมเติมและ “ถือว่าผิดเป็น ครู” ไม่เป็นเร่ืองท่ี ควรตาหนิ แตเ่ ป็นเรือ่ งที่ควร สนบั สนนุ ให้กาลังใจเพื่อจะได้ค้นหาคาตอบ ท่ีเหมาะสมต่อไป 2. นักเรียนโรงเรียนบา้ นหนองเตาท่ไี ดร้ บั การจัดการเรียนรแู้ บบเขงิ รกุ (Active Learning) มี ทักษะทางปัญญาและทักษะทางสังคมหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ท้ังน้ีเนื่องจาก รูปแบบการจัดการ เรยี นการสอนแบบ Active Learning ทาให้นักเรยี นไดล้ งมือปฏิบตั ิจริง และสรา้ งองคค์ วามรูจ้ ากสิง่ ท่ี ได้ปฏิบัติระหว่างเรียน โดยมีวิธีการเรียนรู้ผ่านทักษะ การสารวจข้อมูล การทดลอง การแก้ไขปัญหา การอภิปรายร่วมกันและการทางานเป็นกลุ่มเล็กๆ เป็นการทางานแบบร่วมมือร่วมใจ ซ่ึงวางอยู่บน ปัจจัยพื้นฐานของรูปแบบการเรียนรู้แบบ Active Learning ซึ่งประกอบไปด้วย การพูดและการฟัง การเขียน การอ่าน การโต้ตอบ การสะท้อนคิดซ่ึงเป็นการจัดประสบการณ์ท่ีลดกระบวนการสื่อสาร และถา่ ยทอดเนือ้ หาใหก้ บั ผู้เรียนเพียงอย่างเดียว ซึ่งสอดคล้องกบั ทววี ัฒน์ วฒั นกลุ เจริญ (2553) ได้

กล่าวถึง การเรียนรู้แบบ Active Learning เป็นการจัดการเรียนที่เน้นให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติ และสร้างองค์ความรู้จากส่ิงท่ีได้ปฏิบัติในระหว่างการเรียนการสอน โดยเน้นการพัฒนาทักษะ ความสามารถท่ีตรงกับพน้ื ฐานความรเู้ ดิม ส่งผลให้นักเรียนเช่ือมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิมทีม่ ีจาก การปฏิบัตจิ รงิ และความตอ้ งการของนกั เรยี นเปน็ สาคัญ สง่ ผลให้นักเรยี นมปี ระสทิ ธิภาพดีข้ึน 3. โรงเรียนบ้านหนองเตาเป็นโรงเรียนชุมชนแห่งการเรียนรู้ ท้ังน้ีเนอ่ื งจากมีการแลกเปล่ียน เรียนรู้ ระหว่างผู้บริหาร ครู ผู้ปกครอง และนักเรียนอย่างต่อเนื่องสม่าเสมอ โดยมีเป้าหมายร่วมกัน คือการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้มีทักษะทางปัญญาและทักษะทางสังคม โดยรูปแบบการทางานของ ครไู ดเ้ ปลย่ี นจากการทางานคนเดียวเป็นการทางานเป็นทีม เพื่อชว่ ยเหลอื ซึง่ กันและกนั สง่ เสรมิ ให้เกิด วฒั นธรรมการทางาน พฒั นางานอยา่ งต่อเนอ่ื ง เน้นให้เกิดผลลพั ธ์ท่ีผลสัมฤทธเิ์ ปน็ รายบุคคลอยา่ งเท่า เทียมกัน ซึง่ สอดคล้องกับงานวิจยั ของ Hord (1997) ท่ียืนยนั ว่าการดาเนนิ การในรูปแบบชุมชนแห่ง การเรียนรู้ นาไปสกู่ ารเปล่ยี นแปลงเชงิ คุณภาพทั้งดา้ นวิชาชพี และผลสัมฤทธขิ์ องนักเรียน ข้อเสนอแนะจากการวิจัย 1. ส่งเสริมให้ครูจัดทาวิจัยในการคิดข้นั สูงตอ่ ไป อาทิเช่นการคิดตัดสินใจ การคิดแบบไตร่ตรอง เป็นต้น 2. ส่งเสรมิ ใหค้ รศู ึกษาทักษะการใช้คาถามเพอื่ กระตนุ้ การคดิ ของนกั เรียน 3. สง่ เสริมให้ครใู ช้วธิ ีการจดั การเรยี นการสอน Active Learning แบบอ่นื เพ่ือจะได้หารปู แบบ ที่เหมาะสมกบั นกั เรียน 4. ส่งเสริมให้คณะครูจัดกิจกรรมตามโครงการของโรงเรียนโดยให้เน้นทักษะการคิดและทักษะ การทางานร่วมกนั

บรรณานกุ รม กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2551). หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551. กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พ์ชมุ นุม สหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย จากัด. ______. (2553). พระราชบัญญตั กิ ารศึกษาแหง่ ชาตพิ .ศ.2542 ทแ่ี กไ้ ขเพม่ิ เติม (ฉบบั ท่ี2) พ.ศ.2545 และที่แก้ไขเพิม่ เตมิ (ฉบบั ที่ 3) พ.ศ.2553. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พอ์ งคก์ ารรับสง่ สนิ คา้ และพัสดภุ ัณฑ์ (ร.ส.พ.). ณรงค์ อนิ ทนาม.(2553).การพัฒนาหลกั เทยี บสาหรบั การสา้ งชุมชนการเรียนรทู้ างวิชาชพี ใน โรงเรยี น.วิทยานพิ นธด์ ษุ ฏีบณั ฑติ สาขาการวัดผลและประเมนิ ผลการศกึ ษา. กรุงเทพฯ : จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย. ทววี ัฒน์ วัฒนกุลเจรญิ . (2553). การเรยี นรเู้ ชิงรุก (Active Learning). สืบคน้ เมอ่ื 5 เมษายน 2553.จาก http :/pirun.ku.ac.th.g4986066/actuvet.pdf. โรงเรียนบ้านหนองเตา.(2559). รายงานประจาปี 2559. สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา ประถมศึกษาลาปาง เขต 2. วรลกั ษณ์ ชกู าเนดิ และเอกรนิ ทร์ สังขท์ อง. (2557). “รปู แบบชมุ ชนการเรียนรทู้ างวิชาชพี ครสู ู่ การเรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21 บริบทโรงเรยี นในประเทศไทย”.วารสารหาดใหญ่ วิชาการ. ปี ที่ 12 ฉบับท่ี 2 (กรกฎาคม – ธันวาคม), หนา้ 123 – 134. วิจารณ์ พานชิ . (2554). การจัดการเรยี นร้สู าหรับศตวรรษท่ี 2.[ออนไลน]์ .ค้นเม่ือ 17 มกราคม 2561. www.scbfoundation.com/projects/wcms/userfiles/files/../21_century.pdf _____.(2555). วธิ สี รา้ งการเรยี นรู้เพอ่ื ศษิ ย์ในศตวรรษที่ 21. กรงุ เทพฯ : ตถาตา บลเิ คชน่ั จากัด. สถาพร พฤฑฒิกลุ . (2555). “คุณภาพผ้เู รียน...เกดิ จากกระบวนการเรยี นรู้ (Quality of student derived active learning process)”. วารสารการบรหิ ารการศึกษา มหาวิทยาลัยบูรพา. 6(2),1-13. สานักงานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา.(2560). แผนการศกึ ษาแห่งชาติ (พ.ศ.2560-2579). กรุงเทพมหานคร : สานกั งานเลขาธกิ ารสภาการศกึ ษา. สานักวิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2549). การศึกษาการมสี ว่ นรว่ มของ ชมุ ชนในการจัดการศึกษาท่มี ีประสิทธภิ าพตามหลักสูตรการศึกษาขนั้ พื้นฐาน พทุ ธศักราช 2544. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชมุ นมุ สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จากัด สุรพล ธรรมรว่ มดี ,ทัศนีย์ จนั อนิ ทร์ และคงกฤช ไตรยวงศ.์ (2553) อาศรมศลิ ปว์ จิ ยั : การวจิ ยั และ พฒั นาชุมชนแห่งการเรียนรแู้ นวจติ ตปญั ญา. โครงการเอกสารวิชาการการเรียนรสู้ ู่ การเปล่ยี นแปลง ลาดับท8่ี . นครปฐม : เอมี่ เอน็ เตอรไ์ พรส์ จากดั . DuFour, R., Eaker,R.&Many,.T.(2006). Learning by doing : a handbook for professional Learning community at work. Bloomington ,IN.:Solution. Tree Press. _____.(2013). Cultures built to last systemic PLCs at work.Bloomington, IN : Solution Tree Press.

Fullan , M.(2005). Leadership and Sustainability : System Thinkers in Action.Sage Publications Ltd,Thousand Oaks. Hord, S. M. (1997). Professional Learning Communities: Communities of Continuous Inquiry and Improvement [Internet]. Southwest Educational Development Laboratory. Retrieved from http:/ www.sedl.org/siss/plccredit.html Knapp , M.S., McCafferey, T., & Swanson, J.(2003). “District Support for Professional Learning : What Research Says and Has Yet to Establish” Paper presents at the Annual Meeting of the American Education Research Association, Chicago. Little, Brown.Katz,S., & Earl , L. (2007). Learning about networked learning communities. Education Canada. Sergiovanni, T. (1990).The Fifth Discipline : The Art and Practice of the Learning Organization. Doubleday , New York. ______.(1994). Building Community in Schools. San Francisco, CA: Jossey Bass. Tompson, S.(2002). Learning from past mistakes : Professional development “The old way”. Transforming ourselves, transforming schools:Middle School change. Columbus, OH : National Middle School Association.

ภาคผนวก ก กรอบแนวคิดการวจิ ัยของคณะครู

กรอบแน ชื่อโครงการวจิ ยั การพัฒนาทกั ษะความคดิ สรา้ งสรรค์และจิตนาการของนกั เรีย กจิ กรรมศลิ ปะสรา้ งสรรค์ ชอื่ นกั วิจัย นางทองเพยี ร สภุ าเช้อื ระดบั ชัน้ อนบุ าล 1 วิชา ไมร่ ะบุสังกัดกล ปัญหาวิจยั /คาถาม วตั ถปุ ระสงคข์ องการ ขอบเขตของการวจิ ยั วจิ ัย วิจยั กิจกรรมศลิ ปะสร้างสรรค์ เพอ่ื เปรยี บเทียบความคิด 1.กลมุ่ เป้าหมาย สามารถพฒั นาทักษะความคดิ สรา้ งสรรค์และจินตนาการ นักเรียนชัน้ อนุบาลปีท่ี 1 สร้างสรรคแ์ ละจติ นาการของ ของเด็กปฐมวัยท่ีได้รบั การจดั จานวน 6 คน เด็กปฐมวยั ได้หรือไม่ กจิ กรรมศลิ ปะสร้างสรรค์ 2.บริบท โรงเรียนบ้านหนองเตา สังกดั สมมติฐานของการวจิ ยั สานักงานเขตพ้ืนที่การศกึ ษา เดก็ ปฐมวยั ที่ได้รบั การจดั ประถมศึกษาลาปางเขต 2 กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ 3.ตัวแปรตาม สามารถพัฒนาความคดิ ทกั ษะความคิดสรา้ งสรรค์แล สรา้ งสรรค์และจนิ ตนาการ จติ นาการ กอ่ นและหลังการจดั กิจกรรม 4.ตัวแปรอสิ ระ แตกตา่ งกัน การจดั กิจกรรมศิลปะ สรา้ งสรรค์ 5.ระยะเวลา ปีการศึกษา 2560

นวคดิ การวิจัย ยนระดับอนุบาลศึกษาปที ่ี 1 โรงเรียนบา้ นหนองเตา อาเภอเถิน จังหวดั ลาปาง โดยใช้ ลมุ่ สาระ การออกแบบการวจิ ัย Analysis Design ย Sampling Design Measurement Design สถิตทิ ที่ ดสอบ ค่าเฉลย่ี ร้อยละ จานวนกลุม่ ประชากร 1.ตัวแปรตาม นักเรยี นโรงเรียนบ้าน กิจกรรมศลิ ปะสรา้ งสรรค์ หนองเตา ระดับช้ันอนุบาล 2.ตัวแปรอสิ ระ ปที ่ี 1 จานวน 6 คน ความคิดริเรม่ิ สร้างสรรค์และ ด จนิ ตนาการ า แผนการทดลอง ละ O1 X O2 เคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการวิจยั 1.แผนการจัดกิจกรรมการ พัฒนากจิ กรรมศลิ ปะ สรา้ งสรรค์ 2.แบบประเมนิ ความคิดรเิ ร่ิม สร้างสรรคแ์ ละจินตนาการ

กรอบแน ชื่อโครงการวิจัย การพัฒนาทักษะการคดิ และทักษะทางสังคมของนักเรยี นระดับช้นั จงั หวดั ลาปาง โดยใช้กจิ กรรมการจดั การเรยี นร้แู บบมงุ่ เนน้ ประสบ ชื่อนักวจิ ยั นางจิรพรรณ์ สิงห์ทอน ระดบั ชนั้ อนบุ าล 2 - 3 วชิ า ไม่ระบสุ ังกัดกลมุ่ ปญั หาวจิ ยั /คาถามวิจัย วัตถุประสงค์ของการวิจยั ขอบเขตของการวิจยั การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ 1.เพ่ือเปรียบเทียบทักษะ 1.กลมุ่ เป้าหมาย แบบมุ่งเน้นประสบการณม์ ผี ล การคดิ ก่อนและหลังการ นักเรียนชัน้ อนุบาลปีท่ี 2 – 3 ตอ่ ทกั ษะการคิดและทักษะ ทดลองของเด็กปฐมวัยท่ไี ด้รับ จานวน 8 คน ทางสงั คมของเด็กปฐมวัย การ จดั กิจกรรมการเรยี นรู้ 2.บรบิ ท หรอื ไม่ แบบมุง่ เน้นประสบการณ์ โรงเรียนบา้ นหนองเตา สังกัด 2.เพอื่ เปรยี บเทยี บทักษะทาง สานักงานเขตพื้นท่ีการศกึ ษา สงั คมก่อนและหลงั การ ประถมศกึ ษาลาปางเขต 2 ทดลองของเดก็ ปฐมวัยท่ไี ด้รับ 3.ตัวแปรตาม การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ทกั ษะการคดิ และทักษะทาง แบบมงุ่ เน้นประสบการณ์ สังคม 4.ตัวแปรอสิ ระ สมมติฐานของการวจิ ยั การจัดการเรียนรู้แบบมุง่ เนน้ เดก็ ปฐมวัยทไี่ ด้รบั การจัด ประสบการณ์ กิจกรรมการเรียนรู้แบบ 5.เนือ้ หาสาระ มงุ่ เนน้ ประสบการณ์ มพี ัฒนา เรือ่ งราวตา่ งๆรอบตวั เด็ก ทักษะการคดิ ทักษะทางสังคม 6.ระยะเวลา ก่อนและหลังการจัดกิจกรรม ปีการศึกษา 2560 แตกต่างกัน

นวคดิ การวจิ ยั นอนบุ าลปที ่ี 2 และระดับช้ันอนุบาลปที ี่ 3โรงเรียนบ้านหนองเตา อาเภอเถนิ บการณ์ (Experiential Activities Planner) มสาระ การออกแบบการวิจยั Sampling Design Measurement Design Analysis Design จานวนกลมุ่ ประชากร 1.ตวั แปรตาม สถติ ทิ ่ที ดสอบ 1.ทดสอบความแตกตา่ งของ 3 นักเรยี นโรงเรียนบา้ นหนอง 1.1 ทักษะการคดิ ซึง่ ประกอบดว้ ย ค่าเฉล่ยี ทกั ษะการคดิ กอ่ น ทกั ษะการคิดวิเคราะห์ และหลังการจัดกจิ กรรมการ เตา ระดับชน้ั อนบุ าลปีท่ี 2 – คดิ สงั เคราะห์ คดิ สร้างสรรค์ เรยี นรแู้ บบมุ่งเน้น 3 จานวน 8 คน 1.2 ทักษะการทางสงั คม ซึ่ง ประสบการณ์ ด ประกอบดว้ ย ทกั ษะการทางาน า ร่วมกันและทกั ษะการสอื่ สาร 2.ตัวแปรอสิ ระ 2.ทดสอบความแตกต่างของ แผนการจัดการเรยี นรแู้ บบม่งุ เน้น ง ประสบการณ์ ค่าเฉลีย่ ทกั ษะทางสังคมก่อน แผนการทดลอง และหลังการจัดกจิ กรรมการ เรยี นรแู้ บบมุ่งเน้น O1 X O2 ประสบการณ์ เครือ่ งมอื ทใ่ี ช้ในการวิจัย น 1.แผนการจัดการเรียนรู้แบบมุ่งเนน้ ประสบการณ์ 2.แบบทดสอบการคิดวิเคราะห์ 3. แบบทดสอบการคดิ สังเคราะห์ 4.แบบทดสอบการคิดสร้างสรรค์ 5.แบบประเมินทักษะการทางาน ร่วมกัน 6. แบบประเมนิ ทกั ษะการส่ือสาร

กรอบแน ช่อื โครงการวิจยั การศกึ ษาทักษะทางปญั ญาและทกั ษะทางสังคมของนักเรยี นร อาเภอเถนิ จังหวัดลาปาง ทไี่ ดร้ บั การจดั การเรียนรแู้ บบมงุ่ เนน้ ช่อื นักวิจัย นางปญุ ญศิ า วรรณวัฒน์ ระดบั ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 1 และประถ ปญั หาวิจัย/คาถามวิจยั วัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั ขอบเขตของการวจิ ัย การจัดกิจกรรมการเรียนรู้การ 1.เพือ่ เปรียบเทียบทกั ษะ 1.กล่มุ เปา้ หมาย จัดการเรยี นการรูแ้ บบมุ่งเน้น นกั เรยี นช้ันประถมศึกษา ประสบการณ์ มีผลตอ่ ทกั ษะ การคดิ ก่อนและหลังการทดลอง ปีที่ 1 – 2 จานวน 7 คน ของนกั เรียนทไ่ี ด้รบั การจัดการ 2.บรบิ ท ทางปญั ญาและทักษะทาง เรยี นการรแู้ บบมงุ่ เน้น โรงเรียนบา้ นหนองเตา สงั กดั สงั คมของนักเรยี นหรือไม่ ประสบการณ์ สานักงานเขตพื้นท่ีการศกึ ษา 2.เพื่อเปรยี บเทียบทักษะ ประถมศกึ ษาลาปางเขต 2 การส่ือสารก่อนและหลงั การ 3.ตวั แปรตาม ทดลองของนกั เรยี นท่ีไดร้ บั การ ทักษะทางปัญญาและทักษะ จัดการเรยี นการรแู้ บบมุง่ เนน้ ทางสังคม ประสบการณ์ 4.ตัวแปรอสิ ระ 3.เพื่อเปรียบเทยี บทกั ษะทาง การจัดการเรยี นการรู้แบบ สังคมก่อนและหลงั การทดลอง มุ่งเนน้ ประสบการณ์ ของนกั เรยี นทไ่ี ดร้ บั การจดั การ 5.เน้อื หาสาระ เรียนการรแู้ บบม่งุ เนน้ บูรณาการ ประสบการณ์ 6.ระยะเวลา ปกี ารศึกษา 2560 สมมติฐานของการวจิ ัย นักเรียนท่ีไดร้ บั การจดั การเรยี นการ รแู้ บบม่งุ เน้นประสบการณ์ มีพัฒนา ทักษะการคดิ ทักษะทางสังคม กอ่ นและหลังการจัดกจิ กรรม แตกตา่ งกนั

นวคดิ การวิจัย ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และระดบั ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 2 โรงเรียนบ้านหนองเตา นประสบการณ์ (Experiential Activities Planner) ถมศึกษาปที ี่ 2 วชิ า บรู ณาการ การออกแบบการวจิ ัย Sampling Design Measurement Design Analysis Design จานวนกล่มุ ประชากร 1.ตวั แปรตาม สถิติทที่ ดสอบ นักเรียนโรงเรียนบ้านหนอง 1.1 ทกั ษะทางปญั ญาซ่งึ สถิติพืน้ ฐาน ไดแ้ ก่ ความถ่ี เตา ระดบั ชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี ประกอบดว้ ย ทักษะการคดิ รอ้ ยละ คา่ เฉล่ีย วเิ คราะห์ ทกั ษะการสอ่ื สาร สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน 1 – 2 จานวน 7 คน ด 1.2 ทกั ษะการทางสังคม ซง่ึ 1.ทดสอบความแตกตา่ งของ ประกอบดว้ ย ทักษะการทางาน า ร่วมกนั ค่าเฉล่ียทักษะการคิด 2.ตัวแปรอสิ ระ วิเคราะห์ก่อนและหลังการ แผนการจดั การเรยี นการร้แู บบ จดั การเรียนการรู้แบบม่งุ เนน้ มงุ่ เนน้ ประสบการณ์ ประสบการณ์ แผนการทดลอง 2. ทดสอบความแตกตา่ งของ คา่ เฉลย่ี ทกั ษะการสื่อสาร O1 X O2 ก่อนและหลังการจัดการเรียน เครือ่ งมือที่ใช้ในการทดลอง การรู้แบบมงุ่ เนน้ ระสบการณ์ 3.ทดสอบความแตกต่างของ 1.แผนการจดั การเรียนรแู้ บบ ค่าเฉลย่ี ทกั ษะทางสังคมก่อน มุง่ เนน้ ประสบการณ์ 2.แบบประเมนิ การคดิ วเิ คราะห์ และหลังการจัดการเรยี นการรู้ 3. แบบประเมินทกั ษะการ แบบมุ่งเน้นประสบการณ์ สือ่ สาร 4.แบบประเมินทกั ษะการทางาน ร่วมกนั

กรอบแน ช่อื โครงการวจิ ัย การศกึ ษาทักษะทางปญั ญาและทกั ษะทางสังคมของนกั เรยี นระดับชัน้ ป การจดั การเรยี นร้แู บบมงุ่ เน้นประสบการณ์ (Experiential Activities ชือ่ นกั วจิ ยั นางสาวอมั พริ า อิ่นคาเปี้ย ระดับชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 3 วชิ า บรู ณาการ ปญั หาวิจัย/คาถามวิจัย วัตถุประสงค์ของการวิจัย ขอบเขตของการวิจัย การจดั กิจกรรมการเรียนรู้การ 1.เพ่ือเปรียบเทยี บทักษะ 1.กลุ่มเป้าหมาย จัดการเรียนการรแู้ บบมุง่ เน้น นกั เรยี นชน้ั ประถมศึกษา ประสบการณ์ มีผลต่อทักษะ การคดิ วเิ คราะห์กอ่ นและหลงั ปีที่ 3 จานวน 6 คน ทางปญั ญาและทักษะทาง การทดลองของนักเรียนที่ 2.บริบท สังคมของนกั เรียนหรอื ไม่ ไดร้ บั การจัดการเรียนการรู้ โรงเรียนบา้ นหนองเตา สังกดั แบบมุ่งเนน้ ประสบการณ์ สานักงานเขตพื้นที่การศึกษา 2.เพ่อื เปรยี บเทียบทักษะ ประถมศึกษาลาปางเขต 2 การส่อื สารกอ่ นและหลงั การ 3.ตัวแปรตาม ทดลองของนักเรยี นทไ่ี ดร้ ับ ทกั ษะทางปัญญาและทักษะ การจัดการเรยี นการรู้แบบ ทางสงั คม ม่งุ เนน้ ประสบการณ์ 4.ตวั แปรอิสระ การจดั การเรียนการร้แู บบ 3.เพื่อเปรียบเทียบทกั ษะทาง มงุ่ เน้นประสบการณ์ สงั คมก่อนและหลังการ 5.เน้ือหาสาระ บูรณาการ ทดลองของนักเรียนทไ่ี ดร้ ับ 6.ระยะเวลา การจัดการเรียนการรู้แบบ ปีการศึกษา 2560 ม่งุ เน้นประสบการณ์ สมมติฐานของการวจิ ยั นกั เรียนท่ไี ด้รบั การจดั การเรียนการ ร้แู บบมุ่งเน้นประสบการณ์ มพี ัฒนา ทกั ษะการคิด ทักษะทางสังคม กอ่ นและหลังการจัดกิจกรรม แตกต่างกัน

นวคดิ การวิจัย ประถมศกึ ษาปีที่ 3 โรงเรียนบา้ นหนองเตา อาเภอเถิน จังหวดั ลาปางที่ได้รับ Planner) Sampling Design การออกแบบการวจิ ัย Analysis Design จานวนกลมุ่ ประชากร Measurement Design สถิตทิ ท่ี ดสอบ นกั เรยี นโรงเรียนบ้าน สถิติพ้ืนฐาน ได้แก่ ความถี่ หนองเตา ระดบั ชน้ั 1.ตวั แปรตาม ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ประถมศึกษาปที ี่ 3 1.1 ทกั ษะทางปญั ญาซง่ึ สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน ด จานวน 6 คน ประกอบดว้ ย ทักษะการคิด 1.ทดสอบความแตกตา่ งของ า วิเคราะห์ ทักษะการสอ่ื สาร ค่าเฉลยี่ ทกั ษะการคิด 1.2 ทักษะการทางสงั คม ซึ่ง วิเคราะห์กอ่ นและหลังการ ประกอบดว้ ย ทกั ษะการ จดั การเรียนการรู้แบบมงุ่ เน้น ทางานร่วมกนั ประสบการณ์ 2.ตวั แปรอิสระ 2. ทดสอบความแตกตา่ งของ แผนการจัดการเรียนการรู้ ค่าเฉลี่ยทักษะการสอ่ื สาร แบบมงุ่ เนน้ ประสบการณ์ กอ่ นและหลังการจัดการเรียน แผนการทดลอง การรู้แบบมงุ่ เน้นระสบการณ์ 3.ทดสอบความแตกต่างของ O1 X O2 คา่ เฉลี่ยทกั ษะทางสังคมก่อน และหลังการจดั การเรียนการรู้ เคร่อื งมือท่ใี ชใ้ นการทดลอง แบบมุ่งเน้นประสบการณ์ 1.แผนการจดั การเรยี นรูแ้ บบ มงุ่ เนน้ ประสบการณ์ 2.แบบประเมนิ การคดิ วเิ คราะห์ 3. แบบประเมนิ ทักษะการ ส่ือสาร 4.แบบประเมินทักษะการทางาน ร่วมกนั

กรอบแน ชื่อโครงการวิจยั การศกึ ษาทักษะทางปญั ญาและทกั ษะทางสังคมของนักเรยี นระดับชน้ั ป ทีไ่ ดร้ ับการจดั การเรยี นรู้โดยใชป้ ญั หาเปน็ ฐาน (Problem –base Le ชื่อนักวจิ ยั นางสาวภัทราวรรณ โทพรม ระดับชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 4 วชิ า บรู ณาการ ปญั หาวิจยั /คาถามวจิ ัย วัตถุประสงค์ของการวิจยั ขอบเขตของการวิจัย การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ 1.เพ่ือเปรยี บเทยี บทกั ษะ 1.กลมุ่ เป้าหมาย การจัดการเรยี นการรูโ้ ดยใช้ การแกป้ ัญหากอ่ นและหลังการ นักเรยี นชนั้ ประถมศึกษา ปัญหาเป็นฐานมผี ลตอ่ ทักษะ ทดลองของนกั เรยี นที่ไดร้ บั การ ปที ี่ 4 จานวน 9 คน ทางปัญญาและทักษะทาง จดั การเรียนการรู้โดยใชป้ ัญหา 2.บรบิ ท สงั คมของนกั เรียนหรอื ไม่ เป็นฐาน โรงเรยี นบ้านหนองเตา สังกดั 2.เพื่อเปรียบเทียบทกั ษะ สานกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา การคิดวิเคราะหก์ อ่ นและหลงั ประถมศึกษาลาปางเขต 2 การทดลองของนกั เรียนทไ่ี ดร้ บั 3.ตวั แปรตาม การจัดการเรียนการรู้โดยใช้ ทักษะทางปัญญาและทักษะ ปัญหาเปน็ ฐาน ทางสังคม 3.เพ่อื เปรียบเทียบทักษะทาง 4.ตัวแปรอิสระ สงั คมกอ่ นและหลงั การทดลอง การจดั การเรยี นการร้โู ดยใช้ ของนกั เรยี นทไ่ี ดร้ บั การจัดการ ปัญหาเปน็ ฐาน เรยี นการรู้โดยใชป้ ญั หาเป็น 5.เนือ้ หาสาระ ฐาน บูรณาการ สมมติฐานของการวจิ ัย 6.ระยะเวลา นักเรียนท่ไี ด้รบั การจดั การเรยี น ปกี ารศึกษา 2560 การรโู้ ดยใชป้ ญั หาเป็นฐาน มี พฒั นาทกั ษะการคดิ ทกั ษะทาง สงั คม กอ่ นและหลังการจดั กิจกรรมแตกต่างกนั

นวคดิ การวิจัย ประถมศกึ ษาปที ่ี 4 โรงเรยี นบา้ นหนองเตา อาเภอเถิน จังหวดั ลาปาง earning) การออกแบบการวิจัย Analysis Design ร Measurement Design สถิตทิ ีท่ ดสอบ Sampling Design สถิตพิ ื้นฐาน ได้แก่ ความถี่ จานวนกลมุ่ ประชากร 1.ตัวแปรตาม รอ้ ยละ คา่ เฉลี่ย นกั เรียนโรงเรยี น 1.1 ทักษะทางปัญญาซง่ึ ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน บา้ นหนองเตา ระดับชน้ั ประกอบด้วย ทักษะการ 1.ทดสอบความแตกตา่ งของ ประถมศกึ ษาปที ี่ 4 จานวน แกป้ ญั หา ทักษะการคิด ค่าเฉลยี่ ทักษะการคิด ด 9 คน วเิ คราะห์ วเิ คราะห์กอ่ นและหลังการ า 1.2 ทกั ษะการทางสังคม ซ่ึง จัดการเรยี นการร้โู ดยใช้ ประกอบด้วย ทักษะการ ปญั หาเปน็ ฐาน ทางานรว่ มกัน 2. ทดสอบความแตกตา่ งของ 2.ตัวแปรอสิ ระ ค่าเฉลย่ี ทกั ษะการแก้ปัญหา แผนการจัดการเรียนการรู้โดย กอ่ นและหลังการจดั การเรียน ใช้ปญั หาเป็นฐาน การรู้โดยใชป้ ัญหาเป็นฐาน แผนการทดลอง 3.ทดสอบความแตกตา่ งของ ค่าเฉลยี่ ทกั ษะทางสังคมกอ่ น O1 X O2 และหลังการจดั การเรียนรูโ้ ดย ใชป้ ญั หาเปน็ ฐาน เคร่ืองมือในการวจิ ยั 1.แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ ปัญหาเป็นฐาน 2.แบบทดสอบทกั ษะการคิด วเิ คราะห์ 3.แบบทดสอบทักษะการแก้ปัญหา 3.แบบประเมนิ ทกั ษะการทางาน ร่วมกนั

กรอบแน ช่อื โครงการวจิ ยั การศกึ ษาทักษะการคิดและทักษะทางสงั คมของนกั เรียนระดับชน้ั ทไี่ ด้การจดั การเรยี นรโู้ ดยใช้ปญั หาเป็นฐานตามแนวคิดของสะเตม็ ช่ือนกั วจิ ัย นางทองใบ แวน่ พรหม ระดบั ช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 5 วชิ า วทิ ยาศาสต ปญั หาวจิ ัย/คาถามวจิ ัย วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจยั ขอบเขตของการวจิ ัย การจดั กจิ กรรมการเรียนร้โู ดย 1.เพอ่ื เปรียบเทยี บทักษะ 1.กลุ่มเปา้ หมาย ใช้ปญั หาเป็นฐานตามแนวคิด การคดิ กอ่ นและหลังการ นกั เรียนชัน้ ประถมศึกษา ของสะเตม็ ศึกษามผี ลต่อ ปที ี่ 5 จานวน 9 คน ทักษะการคิดและทักษะทาง ทดลองของนักเรยี นท่ไี ดร้ บั 2.บริบท สงั คมของนักเรยี นหรอื ไม่ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดย โรงเรียนบา้ นหนองเตา สังกัด สานกั งานเขตพื้นที่การศกึ ษา ใชป้ ัญหาเป็นฐานตามแนวคดิ ประถมศกึ ษาลาปางเขต 2 สะเต็มศึกษา 3.ตัวแปรตาม ทักษะการคิดและทักษะทาง 2.เพ่ือเปรยี บเทียบทกั ษะทาง สังคม สงั คมก่อนและหลงั การ 4.ตัวแปรอสิ ระ ทดลองของนักเรียนท่ีไดร้ ับ การจัดการเรยี นร้โู ดยใช้ปญั ห เปน็ ฐานตามแนวคิดของสะ การ จดั กจิ กรรมการเรียนรู้ เตม็ ศกึ ษา โดยใชป้ ญั หาเปน็ ฐานตาม 5.เนอ้ื หาสาระ วทิ ยาศาสตร์ แนวคิดสะเต็มศึกษา 6.ระยะเวลา สมมติฐานของการวจิ ัย ปกี ารศึกษา 2560 นกั เรียนท่ีไดร้ บั การจัดกิจกรรม การเรียนรูโ้ ดยใช้ปัญหาเปน็ ฐาน ตามแนวคดิ สะเตม็ ศึกษามพี ฒั นา ทกั ษะการคดิ ทกั ษะทางสังคม ก่อนและหลังการจัดกจิ กรรม แตกต่างกัน

นวคดิ การวจิ ัย นประถมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรยี นบ้านหนองเตา อาเภอเถนิ จังหวดั ลาปาง มศกึ ษา (Problem –base Learning) ตร์ การออกแบบการวจิ ัย Sampling Design Measurement Design Analysis Design จานวนกลมุ่ ประชากร 1.ตวั แปรตาม สถิติท่ีทดสอบ นักเรยี นโรงเรยี นบ้าน 1.1 ทักษะการคดิ ซ่งึ ประกอบดว้ ย สถติ ิพ้ืนฐาน ได้แก่ ความถี่ ทกั ษะการคิดวเิ คราะห์ ทกั ษะการ หนองเตา ระดบั ชั้น แกป้ ัญหา คดิ สร้างสรรค(์ คดิ รอ้ ยละ คา่ เฉลี่ย ประถมศึกษาปที ี่ 5 จานวน 9 ยืดหย่นุ คิดริเริม่ และคดิ สร้างสรรค์) สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน ด คน 1.2 ทักษะการทางสังคม ซึง่ 1.ทดสอบความแตกตา่ งของ า ประกอบดว้ ย ทักษะการทางาน ค่าเฉลย่ี ทักษะการคิดกอ่ น ร่วมกนั และทักษะการสอ่ื สาร และหลังการจดั กจิ กรรมการ 2.ตวั แปรอสิ ระ แผนการจัดการเรยี นรโู้ ดยใช้ปญั หา เรยี นรโู้ ดยใชป้ ัญหาเป็นฐาน เป็นฐานตามแนวคดิ สะเต็มศกึ ษา ตามแนวคิดสะเตม็ ศึกษา 2.ทดสอบความแตกต่างของ แผนการทดลอง คา่ เฉลี่ยทักษะทางสังคมกอ่ น หา O1 X O2 และหลังการจดั กจิ กรรมโดย เครื่องมือในการวจิ ัย 1.แผนการจัดการเรยี นรโู้ ดยใช้ ใช้ปัญหาเปน็ ฐานตามแนวคิด ปญั หาเป็นฐานตามแนวคิดสะเต็ม สะเต็มศึกษา ศึกษา 2.แบบทดสอบทักษะการคิด วิเคราะห์ 3.แบบทดสอบทกั ษะการแก้ปัญหา 4.แบบทดสอบการคดิ สร้างสรรค์ 5.แบบประเมนิ ทกั ษะการทางาน ร่วมกนั

กรอบแน ช่อื โครงการวจิ ยั การศกึ ษาทกั ษะการคิดและทกั ษะทางสังคมของนกั เรยี นระดับ ทไ่ี ด้รบั การจดั การเรยี นรู้แบบมงุ่ เน้นประสบการณ์ (Experien ชอื่ นกั วจิ ัย นางสาวจนิ ตภาณี พนั ธบ์ ุญ ระดบั ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 6 วชิ า ส ปัญหาวิจัย/คาถามวิจยั วัตถุประสงค์ของการวจิ ัย ขอบเขตของการวจิ ยั การจดั กิจกรรมการเรียนรู้การ 1.เพอ่ื เปรียบเทยี บทกั ษะ 1.กล่มุ เป้าหมาย จัดการเรยี นการรูแ้ บบมุ่งเน้น การคิดก่อนและหลังการ นักเรยี นช้ันประถมศึกษา ประสบการณ์ มผี ลตอ่ ทกั ษะ ทดลองของนกั เรยี นทไี่ ดร้ ับ ปีท่ี 6 จานวน 9 คน การจัดการเรยี นการร้แู บบ 2.บรบิ ท การคิดและทักษะทางสังคม มุ่งเน้นประสบการณ์ โรงเรียนบา้ นหนองเตา สังกดั ของนกั เรียนหรอื ไม่ 2.เพ่อื เปรยี บเทียบทกั ษะทาง สานักงานเขตพ้ืนทกี่ ารศกึ ษา สงั คมกอ่ นและหลังการ ประถมศกึ ษาลาปางเขต 2 ทดลองของนกั เรยี นที่ได้รับ 3.ตวั แปรตาม การจดั การเรียนการรู้แบบ ทกั ษะการคิดและทกั ษะทาง มุ่งเนน้ ประสบการณ์ สงั คม 4.ตัวแปรอิสระ สมมติฐานของการวิจยั การจดั การเรียนการรแู้ บบ นักเรยี นทไ่ี ดร้ ับการจดั การ มุ่งเน้นประสบการณ์ เรียนการรแู้ บบมุ่งเน้น 5.เนือ้ หาสาระ ประสบการณ์ มพี ัฒนาทักษะ สังคมศกึ ษา ศาสนาและ การคิด ทักษะทางสังคม กอ่ น วัฒนธรรม และหลังการจดั กจิ กรรม 6.ระยะเวลา แตกต่างกนั ปกี ารศึกษา 2560

นวคดิ การวิจยั บช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 โรงเรียนบ้านหนองเตา อาเภอเถิน จงั หวดั ลาปาง ntial Activities Planner) สงั คมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม การออกแบบการวิจยั Sampling Design Measurement Design Analysis Design จานวนกลุ่มประชากร 1.ตัวแปรตาม สถติ ิท่ีทดสอบ สถติ พิ ื้นฐาน ไดแ้ ก่ ความถี่ นกั เรยี นโรงเรียนบ้านหนอง 1.1 ทักษะการคิดซึง่ ประกอบด้วย ร้อยละ ค่าเฉล่ีย ทักษะการคดิ วิเคราะห์ ทักษะการ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เตา ระดบั ช้นั ประถมศึกษาปีท่ี สังเคราะห์ 1.ทดสอบความแตกต่างของ 6 จานวน 9 คน 1.2 ทักษะการทางสงั คม ซ่ึง ค่าเฉล่ยี ทกั ษะการคดิ ก่อน ด ประกอบดว้ ย ทกั ษะการทางาน า ร่วมกนั และทกั ษะการสือ่ สาร 2.ตัวแปรอิสระ และหลังการจัดการเรยี นการรู้ แผนการจัดการเรียนการรู้แบบ แบบม่งุ เนน้ ประสบการณ์ มุง่ เน้นประสบการณ์ 2.ทดสอบความแตกต่างของ แผนการทดลอง ค่าเฉลีย่ ทกั ษะทางสังคมกอ่ น และหลงั การจดั การเรยี นการรู้ O1 X O2 แบบมงุ่ เน้นประสบการณ์ เครอื่ งมือในการวิจยั 1.แผนการจัดการเรยี นการรู้แบบ มุ่งเน้นประสบการณ์ 2.แบบทดสอบทกั ษะการคิด วิเคราะห์ 3.แบบทดสอบทกั ษะการคดิ สงั เคราะห์ 4.แบบประเมนิ ทกั ษะการทางาน รว่ มกัน 5.แบบประเมินทกั ษะการส่ือสาร

. ภาคผนวก ข ประมวลภาพกจิ กรรม

ประมวลภาพกจิ กรรมในงานวจิ ัยของคณะครู



รปู การทา PLC ของคณะครู

ประวัตยิ ่อผวู้ ิจัย ช่อื ผู้วิจยั นางเยาวลกั ษณ์ เกษรเกศรา ที่อยู่ 274/1 หมู่ 12 ตาบลตน้ ธงชัย ถนนลาปางแจห้ ม่ อาเภอเมือง จงั หวัดลาปาง 52000 ที่ทางาน โรงเรยี นบา้ นหนองเตา หมู่ 8 ตาบลลอ้ มแรด อาเภอเถนิ จงั หวัดลาปาง 52160 หมายเลขโทรศพั ท์ 0 88-260-0866 ประวัตกิ ารศกึ ษา ปรญิ ญาตรี การศึกษาบัณฑิต (วิชาเอกวทิ ยาศาสตรก์ ายภาพชีวภาพ) คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศรีนครนิ ทรวิโรฒ ประสานมติ ร ปรญิ ญาโท 1.การศึกษามหาบัณฑิต การมัธยม (การสอนคณติ ศาสตร)์ คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครินทรวโิ รฒ ประสานมติ ร 2. ครุศาสตรมหาบัณฑติ (การบริหารการศกึ ษา) คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฏั ลาปาง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook