01 คำมูล 02 คำประสม 03 คำซอ้ น 04 คำซ้ำ
ภำษำเหมือนต้นไม้ที่แตกกิ่งก้ำนสำขำงอกงำมออกไป กำรแตกกิ่งก้ำนของต้นไม้ก็เหมือนกับ กำรเพิ่มคำศัพท์ใหม่ของภำษำ นับวันเรำจะมีคำใหม่ ๆ เพิ่มมำกขึ้น เพรำะมีคนใช้ภำษำมำกขึ้น เรื่องรำวมำกขึ้น คนก็สร้ำงคำมำรองรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ คำใหม่ที่มีควำมหมำยใหม่จึงเกิดขึ้นใหม่ เสมอ ๆ ซ่ึงแตล่ ะภำษำก็จะมวี ธิ ีกำรสรำ้ งคำท่ีแตกต่ำงกันออกไป สำหรับภำษำไทย กำรสร้ำงคำใหม่ จะเป็นไปตำมหลักกำรสร้ำงคำ กำรนำ “คำมูล” มำรวมกันในรูปแบบต่ำง ๆ ก็จะทำให้เกิด “คำประสม” “คำซ้อน” “คำซ้ำ” กำรผสมคำบำลีหรือสันสกฤตก็จะเกิดคำใหม่ที่เป็น “คำสมำส” หรือ “คำสนธิ” เปน็ ตน้
1
มูล มีควำมหมำยวำ่ “โคน รำกเหงำ้ ” หรอื สว่ นลำ่ งสุดของต้นไม้ทอ่ี ย่ใู นดนิ คำมูล จงึ หมำยถึง คำพน้ื ฐำนทม่ี ีควำมหมำยสมบูรณใ์ นตัวเอง เป็นคำทจ่ี ะนำไปใชส้ ร้ำงเปน็ คำประสม คำซำ้ และคำซอ้ น ทเี่ รำจะไดเ้ รยี นรูก้ ันตอ่ ไป คำมลู เปน็ คำทม่ี ีควำมหมำยเดียว เช่น ทำ บ้ำน พอ่ แม่ หรอื หลำยควำมหมำยก็ได้ เชน่ สำว พำย ชำย แก่ ปำน กำ รำ ดำ คำมลู อำจมพี ยำงค์เดยี ว หรือหลำยพยำงคก์ ไ็ ด้ เชน่ กระจอก สนกุ สบั ปะรด บนั ได ลเิ ก นโิ คตนิ เปน็ ต้น หำกคำมลู มหี ลำยพยำงค์ เมอ่ื แยกพยำงค์ออกแล้ว แต่ละพยำงคจ์ ะต้องไมม่ คี วำมหมำย หำกมพี ยำงค์ใดพยำงค์ หน่งึ หรอื ทกุ พยำงค์มคี วำมหมำย ควำมหมำยนัน้ จะต้องไมเ่ หมอื นกบั ควำมหมำยของคำมูลเดมิ
ซะซร้ำว แยกเป็น “ซะ” + “ซรำ้ ว” ซ่ึงแต่ละพยำงค์ไมม่ คี วำมหมำย กระตำ่ ย แยกเป็น “กระ” มีควำมหมำยวำ่ เต่ำชนดิ หนงึ่ หรอื จุดดำๆ สว่ น “ตำ่ ย” ไม่มคี วำมหมำย เม่อื รวมกนั หมำยถึง “กระตำ่ ย” ซงึ่ ไมเ่ กย่ี วข้องกัน สบั ปะรด แยกเปน็ “สบั ” แปลว่ำ ใชข้ องมีคมฟนั ลงไป “ปะ” แปลว่ำ พบกัน หรอื ปิดทับสว่ นทีช่ ำรดุ “รด” แปลว่ำ เท รำด สำด ฉดี ของเหลวลงไป เม่ือรวมกันหมำยถึงผลไม้ชนิดหนึง่ ตัวอยำ่ งคำทไ่ี มใ่ ช่คำมลู เชน่ “สู้รบ” เมือ่ แยกพยำงคอ์ อก ทงั้ คำวำ่ “ส”ู้ และ “รบ” มีควำมหมำย ไปในทำงเดียวกับคำว่ำ “สรู้ บ”
คำประสม คือ คำทีม่ ำจำกคำมูล คำซ้อนเปน็ กำรประสมกนั ของคำ คำซ้ำมรี ปู แบบคลำ้ ยกบั คำซอ้ น คือ ตั้งแต่ 2 คำข้นึ ไป ทีม่ ี ที่มคี วำมหมำยเหมอื นกนั คล้ำยกัน เป็นคำที่เกิดจำกคำมลู ตง้ั แต่ 2 คำ หรือ ตรงขำ้ มกันมำรวมกนั เปน็ คำ ข้นึ ไปมำประสมกัน แต่คำมูลท่ีนำมำ ควำมหมำยตำ่ งกันมำรวมกัน ใหม่ เพ่อื ใหม้ ีควำมหมำยชัดเจน ประสมกันน้นั ตอ้ งเปน็ คำเดยี วกนั แลว้ มคี วำมหมำยใหม่ แต่ตอ้ งมี หนักแนน่ มำกข้ึน ใหร้ ำยละเอียด จงึ จะเกิดเป็นคำซ้ำ โดยคำท่เี กดิ ขึ้น ควำมหมำยใกลเ้ คียงกับคำมลู เดิม ใหม่ จะมคี วำมหมำยคลำ้ ยเดิม แต่ มำกขน้ึ ในคำทเ่ี กดิ ใหม่ เนน้ นำ้ หนักของควำมหมำยให้หนัก ขึ้นหรอื เบำลง หรืออำจเปลี่ยน ควำมหมำยเป็นอยำ่ งอน่ื กไ็ ด้
2
คำประสม คำประสม คอื คำที่มำจำกคำมลู ตั้งแต่ 2 คำข้นึ ไป ท่ีมีควำมหมำยต่ำงกนั มำรวมกัน แล้วมคี วำมหมำยใหม่ แต่ตอ้ งมคี วำมหมำยใกล้เคียงกบั คำมลู เดมิ คำใดคำหนง่ึ ที่นำมำ ประสมกัน หรือมีควำมหมำยไปในเชงิ เปรยี บเทียบ
เชน่ “แมท่ ัพ” คำว่ำ “แม่” หมำยถงึ “มำรดำ” ควำมหมำยตำ่ งจำกคำวำ่ “ทัพ” ที่หมำยถงึ “กองกำลงั ทหำร” แต่เมื่อรวมกนั หมำยถึง “ผูอ้ อกคำสั่ง หรือหัวหน้ำสงู สดุ ของกองทหำร” ซ่ึงจะเห็นไดว้ ำ่ ควำมหมำยใหม่ มคี วำมเก่ยี วขอ้ งกบั ควำมหมำยของคำมลู เดมิ คอื เป็นเรอื่ งของกำรทหำร และหมำยถึงตัวผมู้ อี ำนำจสูงสุด ผู้เป็นใหญ่ในกองทหำร ซึ่งเปรยี บเหมือน “แม”่ ท่ีเป็นใหญใ่ นบ้ำน (ตำมวฒั นธรรมดั้งเดมิ ในภมู ิภำคเอเชยี ตะวันออกเฉียงใต้)
ขอ้ สังเกต สำหรับกำรแยกคำประสม คือ หำกควำมหมำยของคำน้นั ไม่มคี วำมเกีย่ วขอ้ ง กบั ควำมหมำยของคำมูลทป่ี ระสมกนั เลย แสดงวำ่ คำน้นั เป็นคำมูลหลำยพยำงค์ ไมใ่ ช่คำประสม ตัวอยำ่ งคำประสม เชน่ แมบ่ ำ้ น พอ่ ครวั รถบรรทกุ ปลำเสือ ละครลิง น้ำปลำ ผงซกั ฟอก เป็นตน้
ชนิดของคำท่ีนำมำประสมจนเกิดคำใหม่ 1. คำนำมประสมกับคำนำม เช่น ผีเสือ้ ปลำเสอื น้ำปลำ พอ่ ตำ รถไฟ 2. คำนำมประสมกับคำกริยำ เช่น รถเข็น ปลำกัด ข้ำวผดั นักวิง่ ไก่ชน 3. คำนำมประสมกบั คำวิเศษณ์ เชน่ นำ้ หวำน หัวหอม ใจดี ปำกหวำน กลว้ ยหอม 4. คำนำมประสมกับคำลกั ษณะนำม เช่น วงเดือน ดวงใจ เพ่ือนฝงู วงแหวน ใบสั่ง 5. คำนำมประสมกบั คำสรรพนำม เชน่ คุณพ่อ คณุ แม่ คณุ หลวง ทำ้ วเธอ 6. คำกริยำประสมกับคำกริยำ เชน่ กนั ชน ตีพมิ พ์ เดนิ เลน่ กนิ รวบ 7. คำกรยิ ำประสมกบั คำวเิ ศษณ์ เช่น ย้ิมแป้น เดนิ ทน ผัดเผ็ด 8. คำวเิ ศษณ์ประสมกบั คำวเิ ศษณ์ เชน่ หวำนเยน็ เปรย้ี วหวำน ดำมืด คมกรบิ ขำวปลอด
3
คำซ้อนเปน็ กำรประสมกนั ของคำทีม่ ีควำมหมำยเหมือนกัน คลำ้ ยกนั หรือ ตรงขำ้ มกัน มำรวมกนั เปน็ คำใหม่ เพื่อให้มีควำมหมำยชดั เจน หนักแนน่ มำกขึ้น ให้รำยละเอยี ดมำกขึ้น ในคำที่เกิดใหม่ เชน่ เสยี ดสี เกยี จครำ้ น รุ่งเรอื ง มงุ่ หมำย ผลดั เปลยี่ น คำซ้อนมลี กั ษณะคล้ำยคำประสม คือ คำซอ้ นมำจำกคำในภำษำใดกไ็ ด้ เปน็ คำชนดิ ใดก็ได้ ไม่วำ่ จะเป็น คำนำม สรรพนำม กรยิ ำ วิเศษณ์ 2 คำขึ้นไปมำประสมกัน โดยจะแตกต่ำง จำกคำประสมตรงที่คำซอ้ นจะมำจำกคำมูลทีม่ คี วำมหมำยคลำ้ ยกันหรอื เกย่ี วขอ้ งในเร่ืองเดยี วกนั โดยเป็นไปในทำงเดยี วกัน หรือ ทำงตรงกนั ขำ้ มกไ็ ด้
คำซอ้ นทม่ี ำจำกคำมลู ที่มีควำมหมำยคลำ้ ยกนั เชน่ ต่อสู้ ฆำ่ ฟัน ยำกเข็ญ แพรวพรำว แลกเปลี่ยน หลับใหล เรียบง่ำย เกลยี ดชงั ช้ำนำน หยำ่ รำ้ ง คำซอ้ นทมี่ ำจำกคำมลู ทม่ี ีควำมหมำยตรงกันข้ำม เชน่ รบรำ ต้นื ลกึ หนำบำง สูงตำ่ ดำขำว ชว่ั ดี ถห่ี ่ำง
เปรียบเทียบควำมแตกตำ่ งกนั ให้เหน็ ดงั ตวั อย่ำง คำซอ้ น คำประสม รำกฐำน ภูมฐิ ำน เรอื แพ เรือรบ บำ้ นเรอื น บำ้ นนอก ลูกหลำน ลูกค้ำ รปู ร่ำง รูปถ่ำย ปูปลำ ปูเค็ม
2. ควำมหมำยของคำซ้อนจะอยใู่ นคำมูลคำใดคำหนงึ่ เพียงคำเดียว ส่วนคำประสมควำมหมำย จะเป็นควำมหมำยใหม่ตำ่ งจำกคำมลู เดมิ คำซ้อน คำประสม กดี กนั (ควำมหมำยอย่ทู ีค่ ำวำ่ กนั ) กนั สำด (ควำมหมำยใหม)่ เขตแดน (ควำมหมำยอย่ทู ค่ี ำว่ำ เขต หรือ แดน) ดนิ แดน (ควำมหมำยใหม)่ เนอื้ ตัว (ควำมหมำยอย่ทู ี่คำวำ่ ตัว) เล่นตัว (ควำมหมำยใหม)่ ปำกคอ (ควำมหมำยอยูท่ คี่ ำวำ่ ปำก) ปำกกำ (ควำมหมำยใหม)่
4
คำซำ้ คำซำ้ มรี ปู แบบคล้ำยกับคำซอ้ น คือ เป็นคำทเ่ี กดิ จำกคำมูลตง้ั แต่ 2 คำขึ้นไปมำประสมกนั แต่คำมลู ท่ีนำมำประสมกนั นัน้ ต้องเป็นคำเดยี วกนั จึงจะเกดิ เปน็ คำซำ้ โดยคำที่เกดิ ข้ึนใหม่ จะมคี วำมหมำยคลำ้ ยเดิม แตเ่ นน้ นำ้ หนักของควำมหมำยใหห้ นกั ขนึ้ หรือเบำลง หรอื อำจเปลี่ยนควำมหมำยเปน็ อย่ำงอื่นก็ได้
ลกั ษณะของคำซำ้ คือ - เปน็ คำประเภทใดกไ็ ด้เชน่ คำนำม สรรพนำม กรยิ ำ วเิ ศษณ์ - นำคำหนงึ่ คำมำซ้ำกันสองครง้ั เชน่ “รอ้ นๆ” “หนำวๆ” “เด็ก ๆ” “เลน่ ๆ” - นำ้ คำซอ้ นมำแยกเปน็ คำซำ้ สองคำ เช่น “ลบู คลำ” เปน็ “ลบู ๆ คลำ ๆ” “ดีช่ัว” เปน็ “ดี ๆ ชว่ั ๆ” “เงินทอง” เปน็ “เงนิ ๆ ทอง ๆ” - น้ำคำซ้ำมำประสมกัน เช่น “งู ๆ ปลำ ๆ” “ไป ๆ มำ ๆ” “ลม ๆ แลง้ ๆ”
ควำมหมำยของคำซำ้ อำจเปลย่ี นไปจำกคำเดิมได้ เชน่ 1. บอกควำมเป็นพหูพจน์ คำเดมิ อำจจะเปน็ คำเอกพจนห์ รอื พหพู น์ อยำ่ งใดอย่ำง หนึ่ง แต่คำที่ซ้ำที่เกิดขึ้นใหม่จะเป็นพหูพจน์ได้อย่ำงเดียว เช่น “ไปเท่ียวกบั เพ่ือน” (เอกพจนห์ รือพหูพจน์ ได้ทง้ั 2 กรณี) “ไปเที่ยวกับเพือ่ นๆ” (เปน็ พหพู จน์ เพรำะเพื่อนหลำยคน) “เดก็ อยใู่ นหอ้ ง” (เอกพจน์หรือพหพู จน์ ได้ทง้ั 2 กรณี) “เดก็ ๆ อยู่ในห้อง” (เป็นพหพู จน์ เพรำะเด็กหลำยคน)
2. บอกควำมเน้นหนักของคำ คำวเิ ศษณบ์ ำงคำ เมอ่ื เป็นคำซ้ำจะมีควำมหมำยเนน้ หนกั มำกกวำ่ เดมิ โดยมำกเป็นภำษำพูด โดยออกเสยี งคำแรกเปน็ เสยี งตรี เช่น “สวย ๆ” ออกเสียงเป็น “ซ้วยสวย” “ดี ๆ” ออกเสียงเป็น “ดีด๊ ี” “มำก ๆ” ออกเสียงเป็น “ม้ำกมำก” “ดำ ๆ” ออกเสียงเปน็ “ด๊ำดำ” “ใหญ่ ๆ” ออกเสียงเปน็ “ไยใ้ หญ่”
3. บอกควำมไม่เน้นหนัก คำวิเศษณบ์ ำงคำเมอ่ื เปน็ คำซ้ำ ควำมหมำยอำจคลำยควำมหนกั แนน่ ไปกวำ่ คำเดิม แตกต่ำงจำกคำที่ให้ควำมหมำยเน้นหนัก เพรำะไม่เน้นเสียงคำแรกเป็นเสียงตรี สว่ นมำกคำเหล่ำนใี้ ช้ในภำษำพูด มำกกวำ่ ภำษำเขียน แดง : “ฉนั ชอบสีแดง” (แดงเลย) กับ “ฉนั ชอบสีแดงๆ” (ขอให้ออกแดงหนอ่ ย) ใกล้ : “ธนำคำรอยใู่ กล้” (ใกลจ้ ริง) กับ “ธนำคำรอยู่ใกลๆ้ ” (อยู่ไมไ่ กล) เยน็ : “วนั นีอ้ ำกำศเย็น” (เยน็ จริง) กับ “วนั นีอ้ ำกำศเยน็ ๆ” (คอ่ นขำ้ งเยน็ )
4. บอกคำสง่ั คำวิเศษณ์ทเ่ี ป็นคำซ้ำ บำงครั้งมีควำมหมำยเปน็ คำสั่ง ใช้ในภำษำพดู ถ้ำผพู้ ดู ออกเสียงหนกั ๆ กจ็ ะเป็นคำสัง่ ทีช่ ดั เจนย่งิ ขึน้ “เงียบๆ” (สงั่ ให้งดใช้เสยี ง) “เบำๆ” (สั่งให้ระวัง) “ดงั ๆ” (สง่ั ใหพ้ ูดดงั ขน้ึ ) “นิ่งๆ” (ส่ังไม่ใหข้ ยบั )
5. เปลีย่ นควำมหมำยใหม่ คำซ้ำบำงคำ จะเปลี่ยนเป็นควำมหมำยใหมไ่ ปเลย โดยไมม่ ีเค้ำของคำคำเดมิ เช่น “กลว้ ยๆ” (ง่ำยมำก) “หมูๆ” (ง่ำยมำก) “ลวกๆ” (ขอไปที) “งูๆ ปลำๆ” (ร้แู คผ่ ิวเผนิ )
Search
Read the Text Version
- 1 - 25
Pages: