Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 32A196CD-FA96-47A5-8D08-582B7A5DF9DC

32A196CD-FA96-47A5-8D08-582B7A5DF9DC

Published by Thrap-anan Baljai, 2022-12-05 15:41:43

Description: 32A196CD-FA96-47A5-8D08-582B7A5DF9DC

Search

Read the Text Version

มหาเวกัสณสัฑน์มดัทรรชี าดก จัดทำโดย นายทรัพย์อนันต์ บาลจ่าย เลขที่ ๒ ม.๕/๙

ประวัติผู้แต่ง เจ้าพระยาพระคลัง (หน) เกิดในช่วงปลาย สมัยอยุธยา รับราชการในสมัยสมเด็จ พระเจ้าตากสิน กรุงธนบุรี โดยมีบรรดาศักดิ์ เป็นหลวงสรวิชิต ต่อมาในรัชสมัยสมเด็จ พระพุ ทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้รับการ แต่งตั้งให้เป็นพระยาพิพิฒนโกษา ก่อนจะ เลื่อนมาเป็นเจ้าพระยาพระคลัง เสนาบดี จตุสดมภ์กรมท่า ซึ่งนอกจากผลงานด้าน ราชการแล้ว เจ้าพระยาพระคลัง (หน) ยังมี ผลงานด้านการประพันธ์จำนวนมาก เช่น สามก๊ก (ฉบับแปล) ราชาธิราช บทมโหรีเรื่อง กากี อิเหนาคำฉันท์ ร่ายยาวมหาเวสสันดร ชาดก กัณฑ์กุมาร และกัณฑ์มัทรี ฯลฯ

ลักษณะคำประพันธ์ มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี มีลักษณะคำ ประพันธ์เป็นแบบร่ายยาว โดยหนึ่งบทจะมีกี่ วรรคก็ได้ ส่วนใหญ่จะนิยมแต่ง ๕ วรรคขึ้น ไป แต่ละวรรคมีจำนวนคำ ๖-๑๐ คำ และใช้คำ สร้อย เช่น นั้นแล แล้วแล ดังนี้ ฯลฯ ซึ่งคำ สร้อยนี้จะมีก็ได้หรือไม่มีก็ได้ ฉันทลักษณ์ของร่ายยาว จะมีการบังคับ เฉพาะคำสุดท้ายของวรรคก่อนหน้าจะสัมผัส กับคำที่ ๑ ถึงคำที่ ๕ ของวรรคถัดไป เช่น “...จึ่งตรัสว่าโอ้โอ๋เวลาปานฉะนี้เอ่ยจะมิ ดึกดื่น จวนจะสิ้นคืนค่อนรุ่งไปเสียแล้วหรือ กระไรไม่รู้เลย พระพายรำเพยพัดมารี่เรื่อยอยู่ เฉื่อยฉิว...” จุดเด่นของร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก คือ การมีคาถาบาลีขึ้นต้น เช่น “...อิมาตา โปกฺขรณี รมฺมา เจ้าเคยมาประพาส สรงสนานในสระศรี โบกขรณีตำแหน่งนอกพระ อาวาส นางเสด็จลีลาสไปเที่ยวเวียนรอบ จึ่ง ตรัสว่าน้ำเอ๋ยเคยเปี่ยมขอบเป็นไร…”

ที่มาของเรื่อง มีความเชื่อว่า พระพุ ทธเจ้าเสวยพระชาติมา หลายชาติ ทั้งคนทั้งสัตว์เดรัจฉาน โดยแต่ละ ชาติพระองค์ได้บำเพ็ญบารมีแตกต่างกันออกไป ซึ่งมหาเวสสันดรชาดกเป็นชาติสุดท้ายก่อนจะ ประสูติมาเป็นพระพุ ทธเจ้าในชมพู ทวีป(ชาติ สุดท้ายก่อนพระองค์จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน) และมีการบำเพ็ญบารมีด้วยการให้ทาน โดย บริจาคลูกและบริจาคเมียเป็นทาน (บุตรทาร ทาน) สำหรับที่มาที่ไปของมหาเวสสันดรชาดก เริ่มต้นขึ้นเมื่อพระพุ ทธเจ้าเสด็จไปที่เมืองกบิล พัสดุ์ พร้อมกับพระอรหันต์สองรูป เพื่อจะไป เทศนาโปรดพระบิดาและพระญาติ แต่พระญาติ เกิดอัตตา ไม่ยอมไหว้พระพุ ทธเจ้า พระพุ ทธเจ้า จึงแสดงปาฏิหารย์ โดยการเหาะเหินเดินอากาศ ทำให้ฝุ่นใต้พระบาทาปลิวมาติดหัวพระญาติ และ มีฝนโบกขรพรรษตกลงมาสู่เบื้องล่าง ฝนโบกขร พรรษเป็นฝนที่มีสีแดงใสบริสุทธิ์ราวกกับทับทิม ถ้าต้องการเปียกฝนนั้น ฝนก็จะเปียกเนื้อตัวตาม ปกติ แต่ถ้าไม่ต้องการเปียกฝน เม็ดฝนนั้นก็จะ ระเหยหายไปทันที (ถ้ามีฝนแบบนี้ที่บ้านเรา คง หายห่วงเรื่องภัยแล้ง น้ำท่วมแน่เลย แต่น่า เสียดายที่ฝนโบกขรพรรษเป็นฝนที่เกิดขึ้นกับ เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับพระพุ ทธเจ้าเท่านั้น) เมื่อเกิดฝนโบกขรพรรษขึ้น พระอรหันต์ที่ตามพ ระพุ ทธเจ้าไปจึงถามว่าฝนนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร พระองค์จึงบอกว่า

ฝนนี้เคยเกิดมาแล้วในครั้งที่พระพุ ทธเจ้าเสวยพ ระชาติเป็นพระเวสสันดร พระพุ ทธเจ้าเลยถือ โอกาสนี้เล่าว่าพระองค์สามารถระลึกชาติได้ โดย 10 ชาติสุดท้ายหรือทศชาติ ได้แก่ เตมีย์ ชาดก มหาชนกชาดก สุวรรณสามชาดก เนมิ ราชชาดก มโหสถชาดกภูริทัตชาดก จันทชาดก นารทชาดก วิทูรชาดก และเวสสันดรชาดก ซึ่ง แต่ละชาติพระองค์ได้บำเพ็ญบารมีในรูปแบบที่ แตกต่างกันออกไป สำหรับชาติสุดท้าย คือ เวสสันดรชาดก ประกอบ ด้วย 13 กัณฑ์ แต่ละกัณฑ์จะมีผู้ประพันธ์แตกต่าง กันออกไป โดยจุดประสงค์หลักในการแต่งคือใช้ สำหรับเทศนาให้กับพุ ทธศาสนิกชนหรือบุคคลที่ สนใจ ส่วนกัณฑ์ที่เจ้าพระยาพระคลัง (หน) ประพันธ์ มี 2 กัณฑ์ ได้แก่ กัณฑ์กุมาร และกัณฑ์ มัทรี

เนื้อเรื่องย่อ กล่าวถึงพระนางมัทรีได้เสด็จออกจากพระ อาศรมเพื่อไปแสวงหาผลไม้เผือกมันมาเป็น อาหาร ซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันอยู่แล้ว แต่ใน พระทัยของพระนางในวันนี้มีความหวาดหวั่น ถึงสองกุมาร คือ พระชาลีและพระกัณหายิ่งนัก (เพราะเมื่อคืนนี้พระนางทรงฝันร้าย แต่พอทูลให้ พระเวสสันดรทรงแก้ความฝันให้พระเวสสันดร กลับทรงบอกว่าไม่มีอะไรร้ายแรง แต่จริงๆ แล้วมี เพราะชูชกเดินทางมาขอสองกุมารจาก พระเวสสันดรได้สำเร็จ) เดินทางไปพลาง พระนางก็ร้องไห้คร่ำครวญตลอดเวลา ผล หมากรากไม้ที่เคยพบเห็นอยู่มากมาย ในวันนี้ กลับหายไปหมดสิ้น ทำให้พระนางต้องเดินทาง ไปไกลกว่าทุกวัน และขณะที่กำลังเดินทางจะ กลับอาศรม ก็มีเทวดาแปลงกายมาเป็นสัตว์ ร้าย อาทิ ราชสีห์ เสือโคร่ง และเสือเหลืองขวาง ทางไว้ จำทำให้พระนางมัทรีกลับถึงพระอาศรม เป็นเวลาค่ำมากกว่าทุกวัน และพอมาถึงพระ อาศรมพระนางก็เรียกหาลูกทั้งสองก็ไม่มีเสียง ตอบตามหาก็ไม่พบ พระนางมัทรีจึงมาทูลถาม พระเวสสันดร ตอนแรกพระเวสสันดรก็ทรงทำ เฉย แต่พอพระนางมัทรีเซ้าซี้ถามอีก พระ เวสสันดรก็ทรงแสร้งทำเป็นโมโหหึงหวงต่อว่า ต่อขานพระนางที่กลับมาถึงพระอาศรมจน มืดค่ำ

ทั้งยังทรงกล่าวบริภาษพระนางมัทรีต่าง ๆ นา นาน พระนางมัทรีได้กล่าวขออภัยโทษพระ เวสสันดรก็ทรงทำเฉยอีก พระนางมัทรีจึงออก ติดตามหาสองกุมารตลอดทั้งคืน พร้อมทั้ง รำพึงรำพันไปตลอดเวลาด้วยความเศร้าโศก เสียพระทัยและความอิดโรย ทำให้พระนางมัทรี มาสลบลงตรงหน้าพระอาศรมพระเวสสันดร จึงทรงแก้ไขจนพระนางฟื้นขึ้นมา แล้วก็ทรงเล่า ความจริง (ที่ได้ทรงมอบสองกุมารให้ไปเป็นข้า รับใช้ของชูชก) ให้พระนางมัทรีฟัง พระนางมัทรี จึงอนุโมทนาต่อบุตรทานในครั้งนี้ด้วยความปีติ ยินดียิ่ง บรรดาทวยเทพยดาก็พลอยยินดีปรีดา ไปกับบุตรทานในครั้งนี้ด้วย จึงพร้อมกับ สาธุการสรรเสริญพระอินทร์ผู้เป็นเจ้าแห่ง ดาวดึงส์สวรรค์ ก็มาโปรดดอกไม้ทิพย์เป็นการ บูชาพระนางมัทรีด้วย

ถอดคำประพันธ์ คืนก่อนที่พระนางมัทรีจะออกจากอาศรมไปเก็บผล ไม้ในป่า พระกุมารทั้งสองฝันร้าย ทำให้พระนาง หวั่นวิตกนึกถึงลูกตลอดเวลาจนน้ำตาอาบแก้มทั้ง สองข้าง พลางสังเกตเห็นว่าต้นที่มีผลไม้กลับ กลายเป็นดอกไม้ ส่วนต้นที่มีดอกไม้กลับกลายเป็น ผลไม้ขึ้นแทน ส่วนดอกไม้ที่เคยเก็บไปร้อยให้ลูกก็ถูก ลมพัดปลิวร่วงลงมา เมื่อมองไปรอบทิศก็มืดมัว ทุกหนแห่ง ท้องฟ้ากลับกลายเป็นสีแดงคล้ายกับ ลางบอกเหตุร้าย สายตาของพระนางก็เริ่มพร่ามัว ตัวสั่นใจสั่น ของที่ถือก็หลุดจากมือ คานที่หาบไว้ก็ ร่วงลงจากบ่าซึ่งเหตุการณ์นี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ยิ่งพระนางคิดเท่าไร ก็ยิ่งทุกข์ใจมากขึ้นเท่านั้น ด้วยความหวั่นใจเรื่องลูก พระนางจึงรีบเก็บผลไม้ เพื่อจะได้รีบกลับไปหาลูกที่อาศรม แต่ระหว่างทาง กลับเจอ สิงโต เสือเหลือง และเสือโคร่ง ขวางทาง ไว้ นางกลัวจนใจสั่นร่ำไห้ คิดไปว่าเป็นกรรมของ ตนเอง นางจะหนีไปทางไหนก็ไม่ได้เพราะถูกสัตว์ทั้ง สามกั้นไว้ทุกทิศทางจนฟ้ามืด พระนางมัทรีไม่รู้จะ ทำอย่างไร จึงยกมือไหว้อ้อนวอนขอให้สัตว์ หิมพานต์ทั้งสามเปิดทางให้ตน โดยกล่าวว่า พระนางคือพระนางมัทรีเป็นภรรยาของพระ เวสสันดร ตามมาอยู่ที่อาศรมในป่าด้วยความ บริสุทธิ์ใจและกตัญญูต่อสามี นี่ก็เวลาย่ำค่ำแล้วลูก คงหิวนม โปรดเปิดทางให้พระนางกลับไปที่อาศรม แล้วตนจะแบ่งผลไม้ให้ จากนั้นไม่นานสัตว์หิมพานต์ ทั้งสามจึงยอมเปิดทางให้ พระนางมัทรีก็รีบวิ่ง กลับไปที่อาศรมด้วยแก้มที่อาบน้ำตา

เมื่อถึงที่พักพระนางมัทรีก็ตกใจไม่เห็นลูกอยู่ใน อาศรม ร้องเรียกหาเท่าไรก็ไม่มีใครตอบ ทั้งที่ก่อน หน้านี้จะออกมาหาแม่กันพร้อมหน้า ทั้งกัณหาขอกิน นม ส่วนชาลีจะขอกินผลไม้ พระนางมัทรีเสียใจมาก พร่ำบอกว่าที่ผ่านมาก็ดูแลลูกอย่างดีแบบยุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม หวังจะกลับมาพบลูกให้ชื่นใจ ก่อนหน้านี้ ยังได้ยินเสียงลูกเล่นกันอยู่แถวนี้ นั่นก็รอยเท้าชาลี นี่ ก็ของเล่นกัณหา แต่เมื่อลูกหายไปอาศรมกลับดู เงียบเหงาเศร้าหม่น นางจึงไปถามพระเวสสันดรว่า ลูกหายไปไหน เหตุใดจึงปล่อยให้คลาดสายตา หากมี สัตว์ป่าจับไปจะทำอย่างไร แต่พระเวสสันดรกลับไม่ ตอบอะไร ทำให้นางกลุ้มใจยิ่งไปว่าเก่า ด้วยความกลุ้มใจ ตัวก็ร้อน น้ำตาก็ไหล กระวนกระวายพลางบอกว่า ไม่เคยมีครั้งใดที่นาง รู้สึกแค้นเคืองใจขนาดนี้ เพราะนางออกจากเมืองมา ก็หวังว่าอย่างน้อยจะได้สุขใจเพราะอยู่พร้อมหน้ากับ ลูกและสามี แต่เมื่อลูกหายตัวไป ความหวังนั้นก็ คล้ายจะดับสิ้นพระนางมัทรีอ้อนวอนขอให้พระ เวสสันดรตรัสกับนางบ้าง เพราะการนั่งนิ่งเหมือน โกรธเคืองพระนางมัทรีนั้นยิ่งทำให้ปวดใจราวกับมี คนเอาเหล็กรนไฟมาแทงที่หัวใจ หรือเป็นคนไข้ที่หมอ นำยาพิษมาให้ดื่ม อีกไม่กี่วันคงสิ้นชีวิตอย่างแน่นอน เมื่อพระเวสสันดรได้ยินพระนางมัทรีดังนั้น ก็คิดว่า หากใช้ความหึงหวงคงเป็นวิธีคลายความโศกให้ พระนางได้ จึงตรัสว่า ในป่าหิมพานต์แห่งนี้มีทั้งพระ ดาบสและนายพรานจำนวนมาก เจ้าออกไปเก็บผลไม้ ตั้งแต่เช้าจนย่ำค่ำ หากไปทำอะไรในป่าแห่งนี้ก็คงจะ ไม่มีใครรู้เห็น เหตุใดจึงทิ้งลูกหนีเข้าไปในป่านานถึง เพียงนี้ พอกลับมายังห่วงแต่ลูก ไม่ห่วงสามีแต่อย่าง ใด หรือหากไม่นึกถึงสามีก็ไม่ควรหายเข้าไปในป่านาน ถึงเพียงนี้ จะให้เราเข้าใจได้อย่างไร

เมื่อพระนางมัทรีได้ยินดังนั้น จึงกราบทูลว่า เหตุใด พระองค์จึงไม่ได้ยินเสียงของราชสีห์ เสือโคร่ง และ เสือเหลือง เพราะสัตว์ทั้งสามนี้ทำให้ทำให้พระนางไม่ สามารถกลับอาศรมได้ ทั้งยังเกิดเหตุร้ายหลาย ประการขณะที่นางเข้าไปในป่า ทั้งของที่ถือก็หลุด จากมือ คานที่หาบไว้ก็ร่วงลงจากบ่า ต้นไม้ที่เคยผลิ ดอกก็ออกผล ต้นไม้ที่เคยออกผลก็ผลิดอกออกมา ชวนให้หวาดกลัวจนตัวสั่น อธิษฐานภาวนาให้ลูก และสามีปลอดภัย แล้วรีบกลับมายังอาศรมแต่ถูก สัตว์ร้ายทั้งสามตัวนอนขวางทางเอาไว้ จึงต้อง กราบอ้อนวอนสัตว์ทั้งสามให้เปิดทางให้จน พระอาทิตย์ตกดินสัตว์ทั้งสามจึงหลีกทาง แล้วพระ นางมัทรีก็รีบวิ่งกลับมายังอาศรมนี้ มิได้ไปทำสิ่งใดที่ ไม่เหมาะไม่ควรแต่อย่างใด ฝ่ายพระเวสสันดรเมื่อฟัง คำตอบของพระนามัทรีก็เอาแต่นิ่งเงียบทั้งคืน จน กระทั่งรุ่งเช้า ระหว่างนั้นพระนางมัทรีโศกเศร้าร่ำไห้ คร่ำครวญว่าตนปฏิบัติต่อสามีดั่งศิษย์ปฏิบัติต่อครู ดูแลลูกทั้งสองแบบยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ทั้งบดขมิ้น ไว้ให้อาบน้ำ จัดหาอาหารมาให้มิได้ขาด แล้ว อ้อนวอนให้สามีเรียกลูกมากินอาหารที่ตนหามา ถาม ว่าลูกอยู่แห่งหนใดเหตุใดจึงยังไม่ยอมออกมา แต่ไม่ ว่าจะร้องขออ้อนวอนอย่างไรสามีก็นิ่งเฉยไม่เอ่ยสิ่ง ใดออกมา พระนางจึงถวายบังคมลาออกไปตามหา ลูกทั้งสองในป่าหิมพานต์ เมื่อออกตามหาจนทั่วแล้ว ไม่พบจึงกลับมาที่อาศรมพบว่าพระเวสสันดรยังคง นั่งนิ่งอยู่เหมือนก่อนหน้านี้ไม่มีผิด พระนางจึงตัดพ้อ ว่า เหตุใดพระเวสสันดรจึงยังนั่งนิ่งอยู่ไม่ลุกมาผ่า ฝืน ตัดน้ำใส่บ่อ

หรือก่อไฟไว้อย่างที่เคยทำเป็นประจำทุกวัน พร้อม กับบอกว่าพระเวสสันดรนั้นเป็นที่รักของพระนางมัท รีอย่างยิ่ง เมื่อกลับมาจากป่าเห็นพระพักตร์ของ พระองค์และได้เห็นลูกทั้งสองวิ่งเล่น ก็คลายความ เหนื่อยล้าเป็นปลิดทิ้ง แต่วันนี้กลับกลายเป็นความ ทุกข์ร้อน เศร้าโศก เพราะพระองค์ไม่ยอมตรัสสิ่งใด กับพระนาง แม้พระนางมัทรีจะได้ออกตามหาพระ กัณหาและพระชาลีไปทั่วป่า ทั้งราตรี แล้วกลับมาหา พระเวสสันดรอย่างไรพระองค์ก็ไม่ยอมตรัสสิ่งใดอยู่ เช่นเดิม นางมัทรีสะอื้นไห้จนหมดสติล้มลงกับพื้นพระ เวสสันดรบรรพชาเป็นดาบสมากว่า 7 เดือน ไม่เคยได้ แตะต้องตัวพระนางมัทรี แต่วันนี้ด้วยความเศร้าโศก และตระหนกตกใจเกรงว่าพระนางจะเป็นอะไรไป พระ เวสสันดรจึงเข้าไปตรวจชีพจรดูแลนางจนได้สติตื่น ฟื้นขึ้นมา ฝ่ายพระนางมัทรีเมื่อฟื้นขึ้นมาก็ทูลถามอีก ครั้งว่าลูกทั้งสองอยู่แห่งหนใด กลับมาแล้วหรือไม่ พระเวสสันดรจึงตอบว่าตนได้ยกพระกัณหากับพระ ชาลีให้กับชูชกไปแล้ว แต่พระองค์มิได้บอกกับพระนา งมัทรีตั้งแต่ต้นเกรงว่าพระนางจะเศร้าโศกเสียใจ เมื่อ ได้รู้ความจริงแล้ว พระนางมัทรีจึงคลายความทุกข์ เศร้าลงแล้วอนุโมทนาบุญกับบุตรทานที่พระ เวสสันดรได้ปฏิบัติในครั้งนี้

ข้อคิดที่ได้ ๑. ความรักของแม่ที่มีต่อลูกนั้นยิ่งใหญ่นัก แนวคิด พระนางมัทรีมีความรักในสองกุมารยิ่งนัก พระนาง ทุ่มเททั้งกำลังกาย กำลังสติปัญญาที่มีเพื่อค้นหา สองกุมารจนหมดสิ้นเรี่ยวแรง และสิ้นเสียงที่ร่ำร้อง เรียกหา พระนางมัทรีดั้นด้นตามหาสองกุมารในป่า โดยมิได้พรั่นกลัวต่อภยันตรายเลยถึง ๓ รอบ จน กระทั่งหมดกำลังและสิ้นสติไปในที่สุด ๒. ผู้ที่ปรารถนาสิ่งต่างๆ อันยิ่งใหญ่จะต้องทำด้วย ความอดทนและเสียสละอันยิ่งใหญ่ด้วย แนวคิด เฉก เช่นพระเวสสันดรที่ทรงปรารถนาพระโพธิญาณ จึง ต้องทรงบำเพ็ญบุตรทานที่ถือว่าเป็นทานที่สูงส่ง พระองค์ต้องทรงตัดความอาลัยรักที่มีต่อพระลูกรัก ทั้งสอง ทั้งยังทรงต้องตัดความรักความสงสารที่มี ต่อพระมเหสีมัทรีด้วย ทั้งๆที่ในพระทัยนั้นต้องเจ็บ ปวดยิ่งนักเพราะไหนจะทรงห่วงใยพระลูกรัก และยัง ต้องเสแสร้งแกล้งทำเป็นตัดพ้อต่อว่าพระนางมัทรี ด้วยการกล่าวบริภาษที่รุนแรง และยังต้องทรงทน ทำเฉยเมยไม่แยแสกับการตัดพ้อต่อว่าคร่ำครวญ ของพระนางมัทรีด้วย ๓. ความซื่อสัตย์ระหว่างสามีภรรยาทำให้ชีวิต ครอบครัวมีความสุข แนวคิด เฉกเช่นพระนางมัทรีมี ความจงรักภักดีต่อพระเวสสันดรยิ่งนัก ไม่ว่าพระ เวสสันดรจะทรงกล่าวบริภาษพระนางอย่างรุนแรง ก็ตาม อาทิ หาว่าพระนางคบชู้สู่ชาย แม้จะสร้าง ความเจ็บช้ำน้ำใจแก่พระนางยิ่งนัก แต่พระนางมัทรีก็ มิได้ทรงถือโกรธ ทั้งยังกล่าวชี้แจงเหตุผลตามความ เป็นจริงอีกด้วย

๔. ผู้มีปัญญาย่อมแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าได้ดี แนวคิด เห็นได้จากพระเวสสันดรที่ทรงมีปฏิภาณไหว พริบเป็นเยี่ยมในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เพราะเมื่อ ทรงเห็นว่าพระนางมัทรีกำลังมีแต่ความทุกข์ เศร้า โศกที่ตามหาสองกุมารไม่พบ พระองค์จึงทรงเบี่ยง เบนความคิดและอารมณ์ทุกข์ โศกของพระนางด้วย การทำเป็นตัดพ้อต่อว่าด่าทอที่พระนางมัทรีกลับมา ถึงพระอาศรมค่ำๆ มืดๆ ทั้งๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อนซึ่ง ก็ทำให้พระนางมัทรีบรรเทาความทุกข์โศกลง เพราะ ความน้อยเนื้อต่ำใจที่ถูกต่อว่าทั้งๆ ที่ไม่มีความผิด ทั้งยังต้องคิดถ้อยคำกราบทูลถึงเหตุผลที่แท้จริงให้ พระสวามีทรงทราบอีกด้วยและครั้นพระเวสสันดร ทรงเห็นพระนางสร่างโศกแล้วจึงทรงเล่าความจริง ให้ฟัง ๕. การบริจาคบุตรทานงบารมีเป็นสิ่งที่ยากยิ่งที่ใคร จะกระทำได้ง่ายๆ แนวคิด เฉกเช่นพระเวสสันดรที่ ทรงกระทำด้วยการให้บุตรทั้งสองแก่ชูชกทั้งๆ ที่ทรง รู้ว่าชูชกจะนำไปเป็นข้ารับใช้ พระองค์ก็ยังมีพระทัย อันแน่วแน่ที่จะทรงกระทำ และอีกทั้งพระนางมัทรีเมื่อ ทรงทราบว่าพระเวสสันดรได้ทรงบำเพ็ญทานดัง กล่าว พระนางก็ยังทรงยินดีร่วมอนุโมทนาด้วยอีก


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook