Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์บทที่1

การสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์บทที่1

Published by 922539fern, 2018-09-02 21:29:52

Description: การสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์บทที่1

Search

Read the Text Version

หน่วยที่ 1การสือ่ สารข้อมูลและเครือข่ายคอมพวิ เตอร์เบอื้ งต้น เสนอ ครู เพียรวทิ ย์ ขาทวี จัดทาโดย นางสาว ทภิ ากร พานิชเจรญิ ปวส. 2 สาขาคอมพิวเตอร์ธรุ กจิ (ม.6) เลขที่ 28

ความรู้เบื้องต้นเก่ียวกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (computer network) คือ ระบบท่ีมีคอมพิวเตอร์อย่างน้อยสองเคร่ืองเช่ือมต่อกันโดยใช้ส่ือกลาง และสามารถส่ือสารข้อมูลกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งทาให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกันได้ นอกจากน้ียังสามารถใช้ทรัพยากรท่ีมีอยู่ในเครือข่ายร่วมกันได้ เช่น เคร่ืองพิมพ์ สแกนเนอร์ ฮาร์ดดิสก์ เป็นต้น การใช้ทรัพยากรเหล่าน้ีผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก เมื่อมีการเชื่อมต่อกับเครือข่ายอื่นๆ ที่อยู่ห่างไกล เช่น ระบบอินเตอร์เน็ต ซึ่งเป็นเครือข่ายท่ีเช่ือมต่อคอมพิวเตอร์ท่ัวโลก ก็ทาให้สามารถแลกเปลี่ยนขอ้ มูล ข่าวสาร ได้กบั คนท่วั โลก โดยใชแ้ อพพลเิ คช่นั เชน่ เว็บ อีเมลล์ เป็นต้นการสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์มีที่มาจากผู้ท่ีต้องการแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วคอมพิวเตอร์นั้นเป็นอุปกรณ์ที่มีความสามารถในการประมวลข้อมูลในปริมาณมากได้อย่างรวดเร็ว แต่มีข้อเสียคือ ผู้ใช้ไม่สามารถแชร์ข้อมูลกับคนอ่ืนๆได้ ดังน้ัน ก่อนมีการสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ผู้ใช้จะแลกเปล่ียนข้อมูลกนั โดยการ พมิ พ(์ print) ข้อมลู ออกมาเปน็ เอกสารก่อนแล้วค่อยนาไปให้ผู้ใช้ที่ต้องการใช้หรือแก้ไขข้อมูลอีกคนหนึ่ง ซ่ึงทาให้เสียเวลาและเป็นวิธีท่ียุ่งยากมากเม่ือเปรียบเทียบกับปัจจุบันท่ีมีการใช้เครือข่ายคอมพวิ เตอรแ์ ล้วการทาสาเนา(copy) หรือ บันทึก(save) ข้อมูลลงในแผ่นดิสก์(floppy disk) แล้วส่งให้คนอ่ืนก็เป็นอีกวิธีหน่ึงที่นิยมใช้กันก่อนที่จะมีการสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และนับว่าเป็นวิธีที่เสียเวลาและยุ่งยากน้อยกว่าการส่งเป็นแผ่นกระดาษ เนื่องจากไม่ต้องเสียเวลาในการแปลงข้อมูล เพราะคอมพิวเตอร์สามารถอ่านข้อมูลในแผ่นดิสก์ได้เลย การใช้คอมพิวเตอร์ลักษณะน้ีเรียกว่า sneakernet หรือ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ท่ีมีคนเป็นสื่อรับส่งข้อมูล การใช้เครือข่ายแบบ sneakernet น้ี ถือว่ายังช้ามากเม่ือเทียบกับความเร็วของคอมพิวเตอร์อย่างไรก็ตามในปัจจุบันการใช้คอมพิวเตอร์ลักษณะน้ีก็ยังมีการใช้กันอยู่บ้างในองค์กรท่ีไม่มีระบบเครือข่ายคอมพวิ เตอร์การใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ท่ีเช่ือมต่อคอมพิวเตอร์กันโดยสายสัญญาณ การถ่ายโอนข้อมูลระหว่างเครื่องจะเร็วมากเน่ืองจากการเดินทางของข้อมูลผ่านสายสัญญาณนี้ จะมีความเร็วเกือบเท่าความเร็วแสง เพราะฉะนั้นถึงแมว้ า่ ผู้ใช้คอมพิวเตอร์จะอยู่ห่างกันแค่ไหน การแลกเปล่ียนข้อมูลก็จะเร็วกว่าการใช้แผ่นดิสก์มาก เครือข่ายแบบน้ีทาใหผ้ ใู้ ชส้ ามารถแชรข์ อ้ มูลไดอ้ ย่างรวดเรว็ และมปี ระสิทธิภาพ

ความหมายขอเครอื ข่ายและการสอ่ื สารการสื่อสาร (communication) หมายถึง กระบวนการถ่ายทอดหรือแลกเปล่ียนสารหรือส่ือระหว่างผู้ส่งกับผ้รู ับ โดยส่งผา่ นช่องทางนาสารหรอื ส่อื เพ่ือให้เกดิ ความเข้าใจซึง่ กันและกนัการส่ือสารข้อมูล (datacommunication) หมายถึง กระบวนการหรือวิธีถ่ายทอดข้อมูลระหว่างผู้ใช้กับคอ ม พิ ว เ ต อ ร์ ท่ี มั ก จ ะ อ ยู่ ห่ า ง ไ ก ล กั น แ ล ะ จ า เป็ น ต้ อ ง อ า ศั ย ร ะ บ บ ก า ร สื่ อ ส า ร โ ท ร ค ม น า ค ม(telecommunication) เป็นสอื่ กลางในการรบั สง่ ข้อมลูเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (computer network) หมายถึง การเชื่อมโยงระหว่างเคร่ืองคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2เคร่ืองขึ้นไป เพ่ือให้สามารถสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูล รวมท้ังสามารถใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ภายในเครือข่ายรว่ มกนั ได้ เช่น ฮาร์ดดสิ ก์ เครื่องพมิ พ์ เปน็ ตน้การสอ่ื สารข้อมูล (Data Communications) หมายถึง กระบวนการถ่ายโอนหรือแลกเปล่ียนข้อมูลกันระหว่างผู้ส่งและผู้รับ โดยผ่านช่องทางส่ือสาร เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือคอมพิวเตอร์เป็นตัวกลางในการส่งขอ้ มูล เพอ่ื ให้ผ้สู ง่ และผรู้ บั เกดิ ความเขา้ ใจซ่ึงกันและกนัวิธีการส่งข้อมูล จะแปลงข้อมูลเป็นสัญญาณ หรือรหัสเสียก่อนแล้วจึงส่งไปยังผู้รับ และเม่ือถึงปลายทางหรือผู้รับก็จะต้องมีการแปลงสัญญาณน้ัน กลับมาให้อยู่ในรูปที่มนุษย์ สามารถที่จะเข้าใจได้ ในระหว่างการส่งอาจจะมอี ปุ สรรค์ท่ีเกิดข้ึนก็คือ สิ่งรบกวน (Noise) จากภายนอกทาให้ข้อมูลบางส่วนเสียหาย หรือผิดเพ้ียนไปได้ซ่ึงระยะทางก็มีส่วนเก่ียวข้อง ด้วยเพราะถ้าระยะทางในการส่งยิ่งมากก็อาจจะทาให้เกิดสิ่งรบกวนได้มากเชน่ กัน จงึ ตอ้ งมหี าวิธีลดส่ิงรบกวนเหล่าน้ี โดยการพัฒนาตัวกลางในการส่ือสารท่ีจะทาให้เกิดการรบกวนน้อยทีส่ ุด

ส่วนประกอบของระบบสือ่ สารข้อมลู๑.ผู้สง่ หรอื อุปกรณ์ส่งข้อมูล (Sender) เปน็ แหล่งต้นทางของการส่อื สารโดยมีหน้าทใี่ นการให้กาเนิดข้อมูล หรือเตรยี มขอ้ มูล เช่น ผพู้ ูด คอมพวิ เตอร์ต้นทาง เป็นตน้2. ผู้รบั หรอื อปุ กรณ์รับข้อมูล (Receiver) เปน็ แหลง่ ปลายทางของการส่ือสาร หรือเป็นอุปกรณ์สาหรับข้อมูลท่ีจะนาขอ้ มูลนั้นไปใช้ดาเนินการตอ่ ไป เช่น ผรู้ ับ คอมพวิ เตอรป์ ลายทาง เคร่ืองพิมพ์3. ขา่ วสาร (Massage) เป็นตัวเน้อื หาของข้อมลู ซงึ่ มไี ดห้ ลายรปู แบบดังนี้ คือ- ขอ้ ความ (Text) ขอ้ มลู ท่อี ยู่ในรูปอักขระ หรือเอกสาร เชน่ ขอ้ ความในหนังสอื เป็นตน้- เสียง (Voice) ขอ้ มูลเสียงท่ีแหลง่ ตน้ ทางสร้างขึ้นมา ซึ่งอาจจะเป็นเสียงที่มนุษย์หรืออุปกรณ์บางอย่างเป็นตัวสร้างกไ็ ด้- รูปภาพ (Image) เปน็ ขอ้ มลู ทีไ่ ม่เหมอื นขอ้ ความตวั อกั ษรท่เี รยี งติดต่อกัน แต่จะมีลักษณะเหมือนรูปภาพ เช่นการสแกนภาพเข้าคอมพิวเตอร์ เป็นต้น เม่ือเปรียบเทียบข้อมูลรูปภาพกับข้อมูลข้อความ แล้วรูปภาพจะมีขนาดใหญ่กวา่- สื่อผสม (Multimedia) ข้อมูลที่ผสมลักษณะของทั้งรูปภาพ เสียงและข้อความเข้าด้วยกัน โดยสามารถเคลอ่ื นไหวได้ เช่น การเรยี นผา่ นระบบ VDO conference เป็นตน้ โดยขอ้ มูลจะมีขนาดใหญ่มาก4. สื่อกลางหรือตัวกลางในการนาส่งข้อมูล (Medium) เป็นสื่อหรือช่องทางท่ีใช้ในการนาข้อมูลจากต้นทางไปยังปลายทาง สื่อกลางในการเช่อื มต่ออปุ กรณต์ ่าง ๆ สามารถแบ่งออกไดเ้ ปน็ 2 ชนดิ ใหญ่ ๆ ไดแ้ ก่4.1 สอ่ื กลางประเภทมสี าย4.2 สอื่ กลางประเภทไรส้ าย.1 สือ่ กลางประเภทมีสาย4.1.1 สายคู่บิดเกลียว (twisted pair) ประกอบด้วยเส้นลวดทองแดงที่หุ้มด้วยฉนวนพลาสติก 2 เส้นพันบิดเป็นเกลียว เพื่อลดการรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากคู่สายข้างเคียงภายในเคเบิลเดียวกันหรือจากภายนอก เน่ืองจากสายคู่บิดเกลียวน้ียอมให้สัญญาณไฟฟ้าความถ่ีสูงผ่านได้ สาหรับอัตราการส่งข้อมูลผ่านสายคู่บิดเกลียวจะขึ้นอยู่กับความหนาของสาย คือ สายทองแดงท่ีมีเส้นผ่านศูนย์กลางกว้าง จะสามารถส่งสัญญาณไฟฟา้ กาลังแรงได้ ทาให้สามารถสง่ ขอ้ มลู ดว้ ยอตั ราส่งสูง โดยทวั่ ไปแล้วสาหรับการส่งข้อมูลแบบดิจิทัลสัญญาณที่ส่งเป็นลักษณะคลื่นสี่เหลี่ยม สายคู่บิดเกลียวสามารถใช้ส่งข้อมูลได้ถึงร้อยเมกะบิตต่อวินาที ในระยะทางไม่เกินร้อยเมตร เน่ืองจากสายคู่บิดเกลียว มีราคาไม่แพงมาก ใช้ส่งข้อมูลได้ดี จึงมีการใช้งานอย่างกวา้ งขวาง ตัวอยา่ งเชน่(ก) สายคู่บิดเกลียวชนิดหุ้มฉนวน (Shielded Twisted Pair : STP) เป็นสายคู่บิดเกลียวที่หุ้มด้วยลวดถักชัน้ นอกที่หนาอกี ชน้ั เพ่ือป้องกันการรบกวนของคล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า

(ข) สายคู่บดิ เกลียวชนิดไม่หุ้มฉนวน (Unshielded Twisted Pair : UTP) เป็นสายคู่บิดเกลียวมีฉนวนชั้นนอกที่บางอีกช้ันทาให้สะดวกในการโค้งงอแต่สามารถป้องกันการรบกวนของคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าได้น้อยกว่าชนิดแรก แตก่ ็มีราคาต่ากว่า จึงนิยมใช้ในการเช่ือมต่ออุปกรณ์ในเครือข่าย ตัวอย่างของสายสายคู่บิดเกลียวชนิดไม่หุ้มฉนวนท่เี ห็นในชีวิตประจาวันคอื สายโทรศัพทท์ ่ีใชอ้ ยู่ในบ้าน 4.1.2 สายโคแอกเชยี ล (coaxial) เป็นตวั กลางเชอื่ มโยงทม่ี ลี กั ษณะเชน่ เดียวกบั สายทีต่ อ่ จากเสาอากาศ สายโคแอกเชียลท่ีใช้ทั่วไปมี 2 ชนิด คือ 50 โอห์มซึ่งใช้ส่งข้อมูลแบบดิจิทัล และชนิด 75 โอห์มซ่ึงใช้ส่งข้อมูลสัญญาณแอนะล็อก สายประกอบด้วยลวดทองแดงที่เป็นแกนหลักหนึ่งเส้นที่หุ้มด้วยฉนวนช้ันหน่ึงเพื่อป้องกันกระแสไฟรั่ว จากน้ันจะหุ้มด้วยตัวนาซ่ึงทาจากลวดทองแดงถักเป็นเปียเพ่ือป้องกันการรบกวนของคล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟา้ และสัญญาณรบกวนอ่ืนๆ ก่อนจะหุ้มช้ันนอกสุดด้วยฉนวนพลาสติก ลวดทองแดงท่ีถักเป็นเปียน้ีเองเป็นส่วนหนึ่งที่ทาให้สายแบบนี้มีช่วงความถ่ีสัญญาณไฟฟ้าสามารถผ่านได้สูงมาก และนิยมใช้เป็นช่องส่อื สารสัญญาณแอนะล็อกเชอ่ื งโยงผ่านใต้ทะเลและใต้ดิน 4.1.3 เส้นใยนาแสง (fiber optic) มีแกนกลางของสายซ่ึงประกอบด้วยเส้นใยแก้วหรือพลาสติกขนาดเล็กหลายๆ เส้นอยู่รวมกัน เส้นใยแต่ละเส้นมีขนาดเล็ดเท่าเส้นผมและภายในกลวง และเส้นใยเหล่าน้ันได้รับการหอ่ หมุ้ ด้วยเส้นใยอกี ชนิดหน่ึงก่อนจะหุ้มช้ันนอกสุดด้วยฉนวน การส่งข้อมูลผ่านทางสื่อกลางชนิดน้ีจะแตกต่างจากชนิดอ่ืนๆ ซึ่งใช้สัญญาณไฟฟ้าในการส่ง แต่การทางานของส่ือกลางชนิดนี้จะใช้เลเซอร์วิ่งผ่านช่องกลวงของเส้นใยแต่ละเส้นและอาศัยหลักการหักเหของแสงโดยใช้ใยแก้วช้ันนอกเป็นกระจกสะท้อนแสง การให้แสงเคลื่อนท่ไี ปในท่อแก้วสามารถส่งข้อมูลด้วยอัตราความหนาแน่นของสัญญาณข้อมูลสูงมากและไม่มีการก่อกวนของคล่นื แม่เหล็กไฟฟา้ ปจั จุบนั ถ้าใชเ้ ส้นใยนาแสงกับระบบอีเทอร์เน็ตจะใช้ได้ด้วยความเร็วหลายร้อยเมกะบิตและเนือ่ งจากความสามรถในการสง่ ข้อมลู ดว้ ยอัตราความหนาแน่นสูง ทาให้สามารถส่งข้อมูลทั้งตัวอักษร เสียงภาพกราฟิก หรือวีดิทัศน์ได้ในเวลาเดียวกัน อีกทั้งยังมีความปลอดภัยในการส่งสูง แต่อย่างไรก็มีข้อเสียเน่ืองจากการบิดงอสายสัญญาณจะทาให้เส้นใยหัก จึงไม่สามาถใช้ส่ือกลางนี้ในการเดินทางตามมุมตึกได้เส้นใยนาแสงมีลักษณะพิเศษท่ีใช้สาหรับเช่ือมโยงแบบจุดไปจุด จึงเหมาะที่จะใช้กับการเช่ือมโยงระหว่างอาคารกับอาคารหรือระหวา่ งเมืองกบั เมือง เส้นใยนาแสงจงึ ถูกนาไปใช้เปน็ สายแกนหลัก4.2 ส่อื กลางประเภทไรส้ าย 4.2.1 สัญญาณไมโครเวฟ (Microwave) เป็นสื่อกลางในการสื่อสารท่ีมีความเร็วสูง ส่งข้อมูลโดยอาศัยสัญญาณไมโครเวฟซ่ึงเป็นสัญญาณคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าไปในอากาศพร้อมกับข้อมูลที่ต้องการส่ง และจะต้องมีสถานีที่ทาหน้าที่ส่งและรับข้อมูล และเน่ืองจากสัญญาณไมโครเวฟจะเดินทางเป็นเส้นตรงไม่สามารถเลี้ยวหรือโคง้ ตามขอบโลกทีม่ คี วามโค้งได้ จงึ ต้องมกี ารตง้ั สถานีรบั -สง่ ขอ้ มลู เปน็ ระยะๆ และสง่ ข้อมูลต่อกันเป็นทอดๆ ระหว่างสถานีต่อสถานีจนกว่าจะถึงสถานีปลายทาง และแต่ละสถานีจะต้ังอยู่ในท่ีสูงเช่นดาดฟ้าตึกสูงหรือยอดดอยเพื่อหลีกเล่ียงการชนหากมีส่ิงกีดขวางเนื่องจากแนวการเดินทางท่ีเป็นเส้นตรงของสัญญาณดังท่ีกล่าวมาแล้ว การสง่ ข้อมูลด้วยสอ่ื กลางชนดิ นเี้ หมาะกบั การสง่ ขอ้ มลู ในพน้ื ท่หี า่ งไกลมากๆ และทรุ กันดาร 4.2.2 ดาวเทยี ม (satilite) ได้รับการพฒั นาข้ึนมาเพ่ือหลีกเล่ียงข้อจากัดของสถานีรับ-ส่งไมโครเวฟบนผวิ โลก วตั ถปุ ระสงคใ์ นการสรา้ งดาวเทยี มเพ่ือเป็นสถานีรับ-ส่งสัญญาณไมโครเวฟบนอวกาศและทวนสัญญาณในแนวโคจรของโลก ในการส่งสัญญาณดาวเทียมจะตอ้ งมีสถานีภาคพ้ืนดินคอยทาหน้าที่รับและส่งสัญญาณขึ้น

ไปบนดาวเทยี มทโ่ี คจรอยสู่ ูงจากพืน้ โลก 22,300 ไมล์ โดยดาวเทียมเหล่านั้นจะเคล่ือนที่ด้วยความเร็วที่เท่ากับการหมุนของโลก จึงเสมือนกับดาวเทียมน้ันอยู่น่ิงอยู่กับที่ขณะที่โลกหมุนรอบตัวเอง ทาให้การส่งสัญญาณไมโครเวฟจากสถานหี นึ่งขึ้นไปบนดาวเทียมและการกระจายสัญญาณจากดาวเทียมลงมายังสถานีตามจุดต่างๆบนผิวโลกเป็นไปอย่างแม่นยา ดาวเทียมสามารถโคจรอยู่ได้โดยอาศัยพลังงานท่ีได้มาจากการเปล่ียนพลังงานแสงอาทติ ยด้วยแผงโซลาร์ (solar panel)5. โปรโตคอล (Protocol)เปน็ ข้อกาหนดหรือขอ้ ตกลงทใี่ ช้ควบคุมการสอ่ื สารขอ้ มลู ในเครอื ขา่ ย เคร่ืองคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์เครือข่ายท่ีใช้โพรโทคอลชนิดเดียวกันเท่านั้นจึงจะสามารถติดต่อและส่งข้อมูลระหว่างกันได้ โพรโทคอลจึงมีลักษณะเช่นเดียวกับภาษาที่ใช้ในการสื่อสารของมนุษย์ท่ีต้องใช้ภาษาเดียวกันจึงจะสามารถสื่อสารกันได้เข้าใจ ในเครือข่าย โพรโทคอลจะเป็นตัวกาหนดคุณลักษณะหรือองค์ประกอบต่างๆ ท่ีใช้ในการส่ือสาร ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการแทนข้อมูล วิธีการในการรับ-ส่งข้อมูล รูปแบบสัญญาณการรับ-ส่ง อุปกรณ์หรือส่ือกลางในการส่งขอ้ มลู การกาหนดหรอื การอ้างอิงตาแหน่ง การตรวจสอบความผิดพลาดของข้อมูล รวมถึงความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูล และด้วยความสาคัญนี้ องค์กรท่ีว่าด้วยเรื่องมาตรฐานระหว่างประเทศ จึงได้กาหนดโพรโทคอลท่ีเรียกว่ามาตรฐานการจัดระบบการเชื่อมต่อสื่อสารระหว่างระบบเปิด (Open System Interconnection :OSI) ระบบดังกลา่ วแบง่ ชน้ั การทางานของเครอื ข่ายออกเป็น 7 ช้ัน ซึง่ เป็นต้นแบบแนวคิดในการสร้างเครือข่ายเพ่ือจัดแบ่งการดาเนินงานพื้นฐานของเครือข่ายออกเป็นงานย่อย ทาให้การออกแบบและใช้งานเครือข่ายรวมทง้ั การตดิ ตอ่ เชอื่ มโยงเปน็ ไปดว้ ยความสะดวก มีวธิ ีปฏบิ ัตใิ นกรอบเดียวกนัการส่ือสารข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์จะประกอบด้วยฝ่ายผู้ส่งและผู้รับ และจะเร่ิมด้วยฝ่ายผู้ส่งต้องการส่งข้อมูลข่าวสารโดยผ่านชั้นมาตรฐาน 7 ช้นั เรยี งตามลาดับดังนี้ชัน้ การประยุกต์ (application layer)เปน็ ส่วนตดิ ต่อระหวา่ งโปรแกรมประยกุ ต์ของเครือขา่ ยกับผู้ใช้ โดยคอมพิวเตอร์จะแปลงข้อมูลที่ได้รับจากผ้ใู ช้เขา้ สู่ระบบ เชน่ การเข้าใชง้ านระบบคอมพวิ เตอรท์ ่ีอยูใ่ นเครือขา่ ย การถา่ ยโอนข้อมูลและไปรษณยี ์อิเล็กทรอนกิ ส์ชนั้ การนาเสนอ (presentation layer)แปลงข้อมลู ที่สง่ มาให้อยู่ในรูปแบบที่โปรแกรมของเครื่องผู้รบั เขา้ ใจ รวมทั้งการจัดรูปแบบการนาเสนอข้อมลูโดยกาหนดรปู แบบภาษา ชนิด และวิธกี ารเขา้ ถงึ ข้อมูลของเครื่องผูส้ ง่ ให้เครือ่ งผูร้ ับเข้าใจ เชน่ การนาเสนอผ่านเว็บ การเขา้ รหัสและถอดรหัสข้อมลูชั้นส่วนงาน (session layer)ทาหนา้ ทีส่ ร้างการตดิ ต่อระหวา่ งเครื่องตน้ ทางและปลายทาง ตลอดจนดแู ลการสง่ ข้อมูลระหวา่ งเครือ่ งท้งั สองใหถ้ กู ต้องและมปี ระสิทธภิ าพโดยกาหนดขอบเขตการรบั - ส่ง คอื กาหนดจดุ ผรู้ ับและผู้ส่งโดยจะเพ่ิมเตมิรปู แบบการรบั - ส่งข้อมลู วา่ เป็นแบบข้อมลู ชดุ เดียว หรือหลายชุดพรอ้ มๆ กัน เชน่ โมดลู (module) ของการนาเสนอผา่ นเว็บชน้ั ขนส่ง (transport layer)เปน็ ช้ันของการตรวจสอบและควบคมุ การส่งข้อมูลระหวา่ งเครอื่ งต้นทางและเครื่องปลายทางใหถ้ ูกตอ้ งชั้นเครือขา่ ย (network layer)ทาหนา้ ที่ควบคุมการสง่ ผ่านข้อมูลระหวา่ งต้นทางและปลายทางโดยผ่านจดุ ตา่ งๆบนเครือขา่ ยใหเ้ ป็นไปตามเสน้ ทางทก่ี าหนด รวบรวมและแยกแยะข้อมูลเพ่ือหาเสน้ ทางในการสง่ ขอ้ มลู ทเี่ หมาะสม

ชน้ั เช่อื มโยงข้อมูล (data link layer)ทาหน้าทเ่ี หมือนเปน็ ผบู้ รกิ ารส่งขอ้ มลู กลา่ วคือ เปน็ ชั้นที่ควบคุมความถูกต้องระหว่างการส่งข้อมลู ระหวา่ งจุด(node) 2 จดุ ทีอ่ ยตู่ ิดกนั ในเครอื ขา่ ยผ่านทางสายสง่ โดยมกี ระบวนการตรวจสอบความผดิ พลาดของข้อมูลอันเน่ืองมาจากสญั ญาณรบกวนทเี่ กดิ ขึ้นในสาย รวมทั้งมีการแก้ไขความผดิ พลาดดังกลา่ วด้วยช้ันกายภาพ (physical layer)ทาหนา้ ทีแ่ ปลงข้อมูลในรปู ของสัญญาณดิจทิ ัลให้ผ่านตัวกลางแต่ละชนดิ ได้เมื่อข้อมูลผ่านข้ันตอนท้ัง 7 แล้วจะถูกนาไปเก็บไว้ในส่วนที่ทาหน้าที่ดูแลการจราจรบนเครือข่าย เพ่ือส่งไปยังเครอ่ื งผู้รับซงึ่ ต้องผา่ นชั้นมาตรฐานท้งั 7 เช่นกันแตจ่ ะเป็นไปในทางตรงข้ามการถา่ ยโอนขอ้ มูลเป็นการส่งสัญญาณออกจากเคร่ืองและรับสัญญาณเข้าไปในเครื่อง การถ่ายโอนข้อมูลสามารถจัดจาแนกได้ 2แบบ คือ การถา่ ยโอนข้อมูลแบบขนานและการถา่ ยโอนขอ้ มลู แบบอนุกรม 1. การถ่ายโอนข้อมูลแบบขนาน ทาได้โดยการส่งข้อมูลออกมาทีละ 1 ไบต์ หรือ 8 บิต จากอุปกรณ์ส่งไปยังอุปกรณ์รับ ตัวกลางระหว่างสองเคร่ืองจึงต้องมีช่องทางให้ข้อมูลเดินทางอย่างน้อย 8 ช่องทาง เพื่อให้กระแสไฟฟ้าผ่านโดยมากจะเป็นสายสัญญาณแบบขนาน ระยะทางของสายสัญญาณแบบขนานระหว่างสองเคร่ืองไม่ควรยาวเกิน 100 ฟุต เพราะอาจทาให้เกิดปัญหาสัญญาณสูญหายไปกับความต้านทานของสายนอกจากการส่งข้อมูลหลักแล้วอาจจะมีทางเดินของสัญญาณควบคุมอ่ืนๆ อีก เช่น บิตพาริตี ที่ใช้ในการตรวจสอบความผดิ พลาดของการรบั สญั ญาณท่ีปลายทางหรือสายท่ีควบคุมการโต้ตอบ ( hand-shake) 2. การถ่ายโอนข้อมูลแบบอนุกรม ข้อมูลจะถูกส่งออกมาทีละบิต ระหว่างจุดส่งและจุดรับ การส่งข้อมูลแบบน้ีจะช้ากว่าแบบขนาน การถ่ายโอนข้อมูลแบบอนุกรมต้องการตัวกลางสาหรับการสื่อสารเพียงช่องเดียวหรือสายเพียงคู่เดียว ค่าใช้จ่ายจะถูกกว่าแบบขนานสาหรับการส่งระยะทางไปไกลๆ โดยเฉพาะเมื่อเรามีระบบส่ือสารทางโทรศัพท์ไว้ใช้งานอยู่แล้ว ย่อมจะเป็นการประหยัดกว่าท่ีจะทาการติดต่อสื่อสารทีละ 8 ช่องเพ่ือการถ่ายโอนขอ้ มลู แบบขนาน การถา่ ยโอนขอ้ มลู แบบอนุกรมจะเรมิ่ โดยขอ้ มลู จากจุดส่งจะถูกเปลี่ยนให้เป็นสัญญาณอนุกรมเสียก่อน แล้วค่อยทยอยส่งออกทีละบิตไปยังจุดรับ และท่ีจุดรับจะต้องมีกลไกในการเปล่ียนข้อมูลท่สี ง่ มาทลี ะบติ ให้เป็นสัญญาณแบบขนานซึ่งลงตวั พอดี เช่น บิตที่ 1 ลงทีบ่ สั ขอ้ มลู เส้นท่ี 1 ดงั แสดงการติดต่อแบบอนุกรมอาจจะแบ่งตามรูปแบบรบั -ส่ง ได้ 3 แบบคือ 1) ส่ือสารทางเดียว (simplex) ข้อมูลส่งได้ทางเดียวเท่านั้น บางคร้ังก็เรียกว่า การส่งทิศทางเดียว(unidirectional data bus) เชน่ การสง่ ข้อมลู ไปยงั เคร่ืองพิมพ์ การกระจายเสยี งของสถานีวิทยุ เปน็ ตน้ 2) สื่อสารสองทางครึ่งอัตรา (half duplex) ข้อมูลสามารถส่งได้ท้ังสองสถานี แต่จะต้องผลัดกันส่งและผลดั กันรบั จะส่งและรับพร้อมกันไม่ได้ เช่น วิทยุสื่อสารของตารวจ เปน็ ตน้ 3) ส่ือสารสองทางเต็มอัตรา (full duplex) ท้ังสองสถานีสามารถรับและส่งได้ในเวลาเดียวกัน เช่น การสนทนาทางโทรศพั ทเ์ ปน็ ต้น

การใชเ้ ทคโนโลยีการสื่อสารข้อมลู1. Videoconference Videoconference เป็นการรวมเทคโนโลยี 2 อย่าง เข้าไว้ด้วยกัน นั่นคือ เทคโนโลยีวีดีโอและเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ซ่ึงจุดประสงค์ของการใช้เทคโนโลยี Videoconference นั้นเพื่อสนับสนุนการประชุมทางไกลเปน็ หลัก ดงั น้นั ผ้บู รหิ ารท่ีตดิ ภารกิจในต่างแดนไม่สามารถเดินทางมาเข้าร่วมการประชุมตามสถานที่ท่ีกาหนดไว้ได้ ก็สามารถใช้เทคโนโลยี Videoconference ทาการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้บริหารผ่านเครอื ขา่ ยอินเตอร์เน็ตมายังห้องประชุมในเวลาท่ีนัดหมายได้ทันที โดยจะทาให้ผู้บริหารที่อยู่ในสถานท่ีห่างไกลน้ันสามารถเข้าร่วมประชุมตามปกติได้ ในขณะที่ประชุมอยู่นั้นผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนยังสามารถเห็นข้อมูลภาพ กราฟ หรือผลิตภัณฑ์ของบริษัท ได้พร้อมกันทุกคนนอกจากน้ีการใช้Videoconference ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางเพื่อไปประชุมในสถานท่ีใกล้ ๆ ได้ และยังช่วยประหยัดเวลาในการเดินทางด้ว ยเทคโนโลยี Videoconference เปน็ เทคโนโลยีที่ต้องใช้อุปกรณ์ต่อไปน้ี ได้แก่ เคร่ืองคอมพิวเตอร์ท่ีติดตั้งการ์ดเสียง หรือ Sound on Board กล้องถ่ายวีดีโอขนาดเล็ก ไมโครโฟน ลาโพง (หรือหูฟัง หรือ Head-Set)และต้องมีโปรแกรมที่ใช้ควบคุมการรับส่งข้อความ ภาพ และเสียง ตลอดจนไฟล์ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งทั้งหมดจะทาให้ผู้ร่วมประชุมเห็นภาพและได้ยินเสียงของผู้ร่วมประชุมคนอื่น ๆ ได้นอกจากเทคโนโลยีที่กล่าวมาแล้วยังมีเทคโนโลยีอีกอย่างท่ีทาหน้าท่ีไม่ต่างกับ Videoconference นั่นคือWeb Conference ท่ีเป็นการประชุมผ่านเว็บไซต์ และ Video Telephone Call ที่สามารถสนทนาผ่านโทรศัพท์พร้อมท้ังเห็นภาพอีกฝ่ายหนึ่งได้พร้อมกนั ซ่งึ ทั้ง 2 เทคโนโลยนี มี้ กั จะนิยมใชภ้ ายในที่พักอาศัยเป็นการสว่ นตวั2. Voice Mail Voice Mail เป็นเทคโนโลยีท่ีทาหน้าที่คล้ายกับเครื่องตอบรับโทรศัพท์อัตโนมัติ ซึ่งจะบันทึกเสียงของผู้ที่โทรศัพท์เข้ามาไว้ในเครื่องบันทึกเทป แต่ Voice Mail มีลักษณะท่ีต่างกันเล็กน้อย กล่าวคือ แทนท่ีจะบันทึกเสียงของผู้พูดไว้ด้วยสัญญาณอนาล็อกแบบเคร่ืองบันทึกเทปทั่วไป แต่ Voice Mail กลับบันทึกเก็บไว้ใน Voice Mailbox ของเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยสัญญาณดิจิตอล โดยปกติแล้ว ระบบ Voice Mailจะมี Voice Mailbox ใช้เป็นกล่องเก็บบนั ทึกข้อความเสยี งเพียงกล่องเดียวต่อ 1 ระบบ เท่าน้ันไม่ว่าจะมีผู้ใช้กี่คนก็ตาม เช่น การนา Voice Mail มาใช้ในบริษัทหรือในมหาวิทยาลัย ซึ่งพนักงานต่าง ๆ ในบริษัทหรือนักศึกษาต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัยต่างก็ใช้ Voice Mailbox ตัวเดียวกันนี้เก็บบันทึกเสียงไว้ เป็นต้นส่วนภายใน VoiceMailbox นีส้ ามารถแบ่งเป็นโฟลเดอร์ย่อย ๆ ให้ผู้ใช้แต่ละคนได้ทาให้สามารถเรียกข้อความขึ้นมาฟังตอบกลับหรอื ส่งต่อข้อความไปถึงผู้ใช้คนอ่ืน ๆ ได้และหากต้องการส่งข้อความไปถึงผู้รับพร้อมกันหลายคนก็สามารถทาได้

3. Fax ขอ้ มูลท่สี อื่ สารผา่ นเทคโนลยแี ฟ็กซ์ (FAX) นี้อาจเป็นขอ้ ความทพ่ี มิ พข์ ้ึนหรอื เขียนขึ้นด้วยมือ และอาจจะมีรูปภาพดว้ ยก็ไดก้ ารรับและส่งผ่านข้อมูลดังกล่าวน้ีผู้ใช้สามารถเลือกใช้เคร่ืองแฟ็กซ์ หรือจะใช้คอมพิวเตอร์ที่มีการติดต้ังแฟ็กซ์/โมเด็มเป็นอุปกรณ์สื่อสารก็ได้แต่การใช้คอมพิวเตอร์นั้นจะช่วยประหยัดค่าจ่ายและมีประสิทธิภาพดีกว่าการใช้เคร่ืองแฟ็กซ์ธรรมดา กล่าวคือ ถ้าใช้คอมพิวเตอร์ผู้ใช้สามารถดูข้อความหรือรูปภาพผ่านทางหน้าจอได้ทันทีไม่จาเป็นต้องพิมพ์ออกมาเป็นเอกสาร ซ่ึงก็เท่ากับเป็นการประหยัดเวลาและกระดาษน้ันเอง นอกจากน้ีผู้ใช้ยังเก็บข้อมูลต่าง ๆ ไว้เป็นไฟล์ได้ ซึ่งการเก็บข้อมูลเป็นไฟล์น้ีจะทาให้ผู้ใช้ควบคุมและจัดการไฟล์ได้ง่ายกว่าการเก็บเป็นเอกสารและด้วยคุณประโยชน์เช่นนี้จึงทาให้บริษัทใหญ่ ๆ เช่น บริษัทประกันภยั ท่ีต้องการรับส่งข้อความต่าง ๆ เป็นจานวนมากในแต่ละวันหันมาใช้การรับส่งแฟ็กซ์ด้วยโมเด็มแทนการใชเ้ ครือ่ งแฟก็ ซธ์ รรมดา4. GroupWare Group Ware คือ โปรแกรมท่ีช่วยสนับสนุนกลุ่มบุคคลที่ทางานร่วมโครงการเดียวกันให้มีการแบ่งปันสารสนเทศผ่านทางเครือข่าย (LAN และ WAN) โดย GroupWare เป็นองค์ประกอบของแนวความคิดอิสระที่เรยี กวา่ “Workgroup Computing” ซึ่งประกอบไปดว้ ยฮาร์ดแวรแ์ ละซอฟตแ์ วร์ต่าง ๆ ของเครือข่ายซ่ึงจะทาให้ผู้ร่วมงานทุกคนสามารถสื่อสารถึงกัน และร่วมกันจัดการโครงการต่าง ๆ ร่วมประชุมตามหมายกาหนดการตลอดจนร่วมกันตัดสนิ ใจเป็นกลมุ่ ได้5. Collaboration Collaboration เป็นความสามารถของซอฟต์แวร์แต่ละชนิดที่ทาให้ผู้ใช้งานทางานร่วมกันได้โดยต่อเชื่อมถึงกันผ่าน Server เช่น โปรแกรม Microsoft Office XP ที่สามารถปฏิบัติงานหรือติดต่องานร่วมกับผู้อ่ืนได้และมีความสามารถในการควบคุมการประชุมแบบออนไลน์ (Online Meeting) เช่น สามารถแบ่งปันไฟล์เอกสารให้กับผู้อื่นได้เปิดอ่านพร้อมกันและถ้ามีใครซักคนเปลี่ยนแปลงข้อมูลไฟล์คนอื่น ๆ ท่ีกาลังเปิดไฟล์อย่กู จ็ ะเห็นการเปลี่ยนแปลงนัน้ ด้วย เป็นต้น6. EDI (Electronic Data Interchange) EDI คือ การแลกเปล่ยี นเอกสารทางธรุ กจิ ระหว่างบรษิ ทั คู่ค้าในรปู แบบมาตรฐานสากลจากเครื่องคอมพวิ เตอรเ์ ครื่องหนึง่ ไปยังเครือ่ งคอมพวิ เตอร์อีกเครื่องหนงึ่ โดยระบบ EDI จะมีองค์ประกอบทส่ี าคัญอยู่ 2อย่าง คือ การใชเ้ อกสารอิเลก็ ทรอนกิ ส์แทนเอกสารทเ่ี ปน็ กระดาษและเอกสารอเิ ล็กทรอนกิ สเ์ หล่าน้ีตอ้ งอย่ใู นรปู แบบมาตรฐานสากลด้วยสององค์ประกอบนใ้ี ห้ทุกธุรกจิ สามารถแลกเปลยี่ นเอกสารกันได้ทั่วโลกข้อดี - ลดงานซ้าซ้อน และลดข้ันตอนการจดั การรับ – ส่งเอกสาร 1. เพม่ิ ความถูกต้อง รวดเรว็ และแมย่ า ในการรับ – สง่ เอกสาร 2. สามารถนาเอาขอ้ มลู มาใชป้ ระโยชนไ์ ดม้ ากทีส่ ุด 3. ลดคา่ ใชจ้ า่ ยในการจัดสง่ เอกสาร เช่น ค่าแสตมป์ ค่าพสั ดุไปรษณีย์ และพนักงาน 4. เพ่ิมความรวดเรว็ ในการทาธุรกจิ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ในสภาวะที่มีการแขง่ ขนั สงู ขนึ้ 5. เพ่มิ ความสมั พนั ธท์ ีด่ ีกับค่คู า้

7. GPS(Global Positioning System) ระบบ GPS ประกอบไปด้วยเทคโนโลยีทใ่ี ชต้ รวจสอบตาแหนง่ ทตี่ ง้ั ของ GPS Receiver (อปุ กรณ์รับสญั ญาณ) ผา่ นทางดาวเทยี ม ซ่งึ มีลักษณะการทางานโดยแบ่งเปน็ 2 ขน้ั ตอน คือ1. ดาวเทียมแตล่ ะดวงท่ีโคจรอยู่รอบโลกจะส่งสญั ญาณมาท่ี GPS Receiver ทกุ ๆ 1,000 วินาที ซ่งึ สัญญาณที่สง่ มานีเ้ ป็นสัญญาณทบ่ี อกให้ทราบว่า GPS Receiver กาลังอยทู่ ่ีพกิ ดั ใดในโลก2. เมอื่ GPS Receiver ไดร้ ับสัญญาณแล้วจะทาการวิเคราะหส์ ัญญาณท่ีได้จากดาวเทยี มแลว้ แสดงออกมาให้ผู้ใช้ได้ทราบ ซึ่งรูปแบบการแสดงผลนส้ี ามารถแบ่งออกไดเ้ ป็น 2 แบบ นนั่ คอื 1) แสดงผลที่ GPS Receiver ซึ่งจะมจี อภาพแสดงให้เห็นวา่ กาลังอยู่ ณ ตาแหน่งใดในแผนทโี่ ลก 2) รบั สญั ญาณจากดาวเทยี มแล้วสง่ สัญญาณไปวเิ คราะหแ์ ละแสดงผลต่อยงั สถานี ดงั รปูภาพแสดงวิธกี ารทางานของระบบ GPS ปัจจุบันนี้ได้มีผู้นาระบบ GPS ไปประยุกต์ใช้มากมาย ตัวอย่างเช่น การป้องกันการโจรกรรมทรัพย์สิน การนาร่องเรือเดินสมุทร การควบคุมการบินอัตโนมัติ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีผู้นาไปใช้ในโครงการวิจยั สตั วป์ า่ โดยฝัง GPS Receiver ไว้ทใ่ี นตวั สัตว์ (GPS Receiver จะถูกออกแบบและสร้างมาให้เล็กเปน็ พิเศษ) เพอ่ื เฝา้ สะกดรอยตาม หรือหากนาไปฝังไว้ในตัวนักโทษก็จะทาให้การติดตามจับกุมนักโทษแหกคุกทาได้ง่ายขึ้น เหลา่ นคี้ อื ตวั อยา่ งเพียงบางสว่ นของประโยชน์ทไ่ี ด้รบั จากระบบ GPS

ประโยชนข์ องเครือข่ายคอมพิวเตอร์การใช้อุปกรณ์ร่วมกัน (Sharing of peripheral devices) เครือข่ายคอมพิวเตอร์ทาให้ผู้ใช้ สามารถใช้อุปกรณ์ รอบข้างท่ีต่อพ่วงกับระบบคอมพิวเตอร์ ร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่นเครื่องพิมพ์ ดิสก์ไดร์ฟซีดรี อม สแกนเนอร์ โมเดม็ เป็นตน้ ทาให้ประหยัดคา่ ใชจ้ ่าย ไม่ตอ้ งซ้ืออปุ กรณท์ ่มี ีราคาแพง เชื่อมต่อพ่วงให้กับคอมพิวเตอรท์ ุกเคร่อื งการใช้โปรแกรมและข้อมูลร่วมกัน (Sharing of program and data) เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ทาให้ผู้ใช้สามารถใช้โปรแกรม และข้อมูลร่วมกันได้ โดยจัดเก็บโปรแกรมไว้แหล่งเก็บข้อมูล ที่เป็นศูนย์กลาง เช่น ท่ีฮาร์ดดิสก์ของเครื่อง File Server ผู้ใช้สามารถใช้โปรแกรมร่วมกัน ได้จากแหล่งเดียวกัน ไม่ต้องเก็บโปรแกรมไว้ในแต่ละเคร่ือง ให้ซ้าซ้อนกัน นอกจากนั้นยังสามารถรวบรวม ข้อมูลต่าง ๆ จัดเก็บเป็นฐานข้อมูล ผู้ใช้สามารถใชส้ ารสนเทศ จากฐานข้อมูลกลาง ผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ท่ีใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย โดยไม่ต้องเดินทางไปสาเนาข้อมลู ด้วยตนเอง เพราะใช้การเรียกใช้ขอ้ มลู ผ่านระบบเครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอรน์ นั่ เองสามารถติดต่อสื่อสารระยะไกลได้ (Telecommunication) การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ เป็นเครือข่าย ท้ังประเภทเครือข่าย LAN , MAN และ WAN ทาให้คอมพิวเตอร์ สามารถสื่อสารแลกเปล่ียนข้อมูล ระยะไกลได ้โดยใช้ซอฟต์แวร์ประยุกต์ ทางด้านการติดต่อส่ือสาร โดยเฉพาะอย่างย่ิง ในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต มีการให้บริการต่าง ๆ มากมาย เช่น การโอนย้ายไฟล์ข้อมูล การใช้จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Mail) การสบื คน้ ข้อมูล (Serach Engine) เป็นตน้สามารถประยุกต์ใช้ในงานด้านธุรกิจได้ (ฺBusiness Applicability) องค์กรธุรกิจ มีการเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เพื่อประโยชน์ทางธุรกิจ เช่น เครือข่ายของธุรกิจธนาคาร ธุรกิจการบิน ธุรกิจประกันภัย ธุรกิจการทอ่ งเที่ยว ธุรกิจหลักทรัพย์ สามารถดาเนินธุรกิจ ได้อย่างรวดเร็ว ตอบสนองความพึงพอใจ ให้แก่ลูกค้าในปัจจุบัน เริ่มมีการใช้ประโยชน์จากเครือข่าย Internet เพ่ือทาธุรกิจกันแล้ว เช่นการสั่งซ้ือสินค้า การจ่ายเงินผ่านระบบธนาคาร เป็นตน้

การสอื่ สารโทรคมนาคมคาว่า “การส่ือสารขอ้ มลู ” และ “การสอื่ สารโทรคมนาคม” มกั นามาใชร้ ่วมกันเสมอ โดยคาว่า Tele มาจากรากศัพท์ในภาษากรกี ซ่ึงตรงกับคาภาษาอังกฤษว่า far ท่หี มายความวา่ ไกล ส่วนคาว่าcommunication หมายถึง การส่อื สาร ดังน้ัน Telecommunication ซง่ึ ตอ้ งบั ภาษาไทยวา่ การสอื่ สารโทรคมนาคม จึงหมายถงึ การสือ่ สารระยะไกล ดดยมวี ตั ถปุ ระสงค์เพอื่ การแลกเปลย่ี นสารสนเทศการสอื่ สารโทรคมนาคมเก่ยี วขอ้ งกบั การใช้งานเครื่องสง่ อิเล็กโทรนิกส์ (Electronics Transmitters) เช่นโทรศพั ท์ โทรทัศน์ วิทยุ หรือคอมพิวเตอร์ ซงึ่ ระบบการส่ือสารโทรคมนาคมในยคุ ปจั จบุ ันถือว่ามีบทบาทสาคัญต่อการพฒั นาประเทศชาติเป็นอย่างมาก โดยจะพบว่าประเทศที่พฒั นาแล้วลว้ นแตม่ รี ะบบการสอ่ื สารโทรคมนาคมทกี่ า้ งหน้าและทันสมัย ทม่ี ีส่วนสาคัญการผลกั ตน้ ธุรกิจต่าง ๆ ใหเ้ กดิ ข้ึน ซึง่ ส่งผลต่อการพัฒนาระบบเศรษฐกิจโลกในยุคนี้ทเี่ ดยี ว แตอ่ ย่างไรก็ตาม การสอ่ื สารโทรคมนาคมจะมคี วามหมายที่กว้าง และควบคุมมากกวา่ การส่อื สารข้อมูล โดยอาจก้าวอีกนัยหน่งึ ได้วา่ การสอื่ สารขอ้ มูลเปน็ ส่วยยอ่ ยสว่ นหนงึ่ การสอ่ื สารโทรคมนาคมก็ว่าได้ขอ้ มูลทีส่ ่งผา่ นในระบบโทรคมนาคมอาจเป็นไดท้ ั้งข้อความ เสียง ภาพ และวดี ีทัศน์ ท่ีสามารถใช้สายโทรศพั ท์หรือคลืน่ วทิ ยเุ ป็นสือ่ กลางสง่ ข้อมูลเหล่านี้ไปยังจุดหมายลายทางได้ การส่งขอ้ มลู ผ่านสายโทรศพั ท์ นับได้ว่าเป็นการใชป้ ระโยชน์จากโครงข่ายโทรศพั ทส์ าธารณะท่ีมีอยูต่ ามพ้ืนทที่ ัว่ ประเทศใหเ้ กดิประสิทธิภาพสงู สดุ และนามาใช้เพื่อการส่งข้อมลู ระยะไกลได้อยา่ งดีในส่วนของ “เครือข่าย” อาจหมายถงึ เครือขา่ ยทีเ่ ชอ่ื มโยงกนั ในระยะใกล้ภายในพ้นื ท่ีเดียวกนั (Local) กับเครอื ข่ายทีเ่ ช่อื มโยงระยะไกล (Remote) โดยเฉพาะเครือขา่ ยท่ีเชอ่ื มโยงแบบระยะไกลน้นั จาเป็นต้องพงึ่ พาช่องทางการส่อื สารโทรคมนาคมเพ่ือใหส้ ามารถส่งข้อมูลระยะไกลได้ การที่พีซคี อมพิวเตอร์จงึ จัดเปน็ อุปกรณ์สาคัญส่วนหน่งึ ของระบบการสอื่ สารไปแล้ว ไม่วา่ ส่ือสารระยะใกล้หรือระยะไกลกต็ าม และตอ่ ไปนี้เป็นตวั อยา่ งเทคโนโลยกี ารส่ือสารโทรคมนาคมตั้งแต่อดีตถงึ ปจั จบุ ัน ท้งั นีบ้ างระบบอาจถูกยกเลกิ ใช้งานไปแลว้ ในขณะทบ่ี างระบบใชง้ านไดด้ ีในปจั จุบนัโทรเลข (Telegraphy)หลกั การทางานของระบบโทรเลข จะใชว้ ธิ ีการแปลอกั ษรตัวเลขให้เป็นรหัส จากนนั้ ก็แปลเปน็ สัญญาณไฟฟ้าสง่ ผา่ นสอ่ื กลาง เชน่ สายทองแดง และเม่ือปลายทางไดรับกจ็ ะทาการถอดรหัสเป็นข้อความอยา่ งไรก็ตาม การบรหิ ารโทรเลขในประเทศไทยได้มีการประกาศยกเลิกใชง้ านเม่ือวนั ที่ 1 พฤษภาคม 2551 เปน็ ต้นมา และถือเป็นการปดิ ตานานการใชโทรเลขท่ีเปดิ ใชเ้ ป็นเวลากวา่ 100 ปีโทรพิมพ์ (Telex)เปน็ รปู แบบของการใช้บรกิ ารโทรเลขชนดิ หนึ่ง แต่ผใู้ ช้งานสามารถติดต่อโตต้ อบกนั ได้โดยเครือ่ งโทรพิมพจ์ ะมีลกั ษณะคล้ายเคร่ืองพมิ พด์ ดี ท่เี ปน็ ไดท้ ัง้ เคร่อื งรับและส่งข้อมูลในตวั เดยี วกัน สามารถสื่อสารไดโ้ ดยอาศยั ตัวนาหรือชอ่ งสญั ญาณ และชุมสายทม่ี ีการเชื่อมต่อกันกับเครื่องโทรพิมพ์ต่าง ๆ เขา้ ด้วยกัน ผู้ใช้ทั้งสองฝ่งั สามารถติดตอ่ สื่อสารกันไดด้ ว้ ยการพมิ พข์ ้อความลงบนกระดาษเพ่ือโต้ตอบระหว่างกันโดยถงึ แมว้ ่าฝงั รบัจะไม่มพี นักงานคอยรับขอ้ ความ เคร่ืองก็สามรถพิมพแ์ ละหยุดได้เองโดยอตั โนมตั ิ

โทรสาร (Facsimile)เคร่อื งโทรสารหรอื มกั เรียกกนั ว่า เครอ่ื งแฟกซ์ (Fax) เปน็ อปุ กรณ์ทใี่ ช้เทคนคิ ของแสงสแกนลงบนเอกสารที่เปน็ ได้ทง้ั ข้อความและภาพ จากนนั้ ก็จะเปลี่ยนเปน็ สัญญาณไฟฟ้าเพ่ือสง่ ผ่านตามสายโทรศพั ท์ เมอ่ื โทรสาร ฝ่งั รับไดร้ บั ข้อมลู กจ็ ะแปลสัญญาณไฟฟ้าน้นั กลับมาเป็นข้อมูลตามต้นฉบบั โทรศพั ท์ (Telephone)โทรศพั ทจ์ ัดเป็นอุปกรณท์ ่ีนิยมใชง้ านมากทีส่ ดุ ปัจจุบันมใี ช้งานตามบ้านเรือนแทบทุกครัวเรอื นชมุ สายโทรศัพท์ ได้มกี ารพฒั นา และเปลยี่ นมาเปน็ รปู แบบของระบบดิจติ อลในบางพ้ืนทม่ี ากขนึ้ ตามลาดับเพื่อรองรบั การ ส่อื สารขอ้ มูลความเรว็ สงู โดยการใช้บริการโครงขา่ ยโทรศัพทเ์ พ่ือการส่ือสารนั้นมรี าคาถกู เป็นที่นยิ มและ สามารถเช่อื มต่อได้ระยะไกล ตวั อยา่ งเช่น การใชอ้ ินเทอร์เน็ตตามบ้านด้วยการใช้คอมพิวเตอร์เชื่อมต่อกับ โมเดม็ ซงึ่ เปน็ ระบบแอนะล็อก หรือการการเช่ือมต่ออนิ เทอร์เน็ตความเรว็ สงู ด้วยระบบ ADSL ซง่ึ เปน็ ระบบดจิ ติ อล อยา่ งไรก็ตาม ข้อจากัดของระบบโทรศัพท์แบบมีสาย ทาใหเ้ กิดการใช้งานที่ไม่คล่องตัว จงึ มกี ารพฒั นาระบบโทรศัพท์เคล่ือนที่แบบไรส้ ายข้ึน โดยเฉพาะระบบดังกลา่ วจะมกี ารแบ่งเขตการรบั สญั ญาณวทิ ยตุ ามพื้นที่ส่วนตา่ งๆทเี่ รียกวา่ เซลล์ แตล่ ะเซลจะมเี สาอากาศตามประเภทของคลืนชนดิ นน้ั ๆไว้คอยรับสง่ สญั ญาณหลาย สญั ญาณพร้อมๆๆกนั ทาให้สามารถใช้โทรศัพทต์ ดิ ต่อกันได้ไม่ว่าผู้ใชง้ านเคลอ่ื นทจี่ ะอยูบ่ ริเวณไดกต็ าม

โทรทัศน์ ( Television ) เปน็ ระบบทใ่ี ช้ในการแพรภ่ าพกระจายในยา่ นความถ่ีสงู เช่นทยี่ า่ นความถ่สี งู VHF หรอื ย่านความถือสงู มากUHF ซง่ึ เป็นย่านความถ่ีทีใ่ ช้สาหรับกิจการทางโทรทศั น์ในอดตี หารแพรภ่ าพทางโทรทัศน์มกั ประสบปัญหาของพ้ืนที่รบั สัญญาณ เช่น ตามจังหวัดหา่ งไกลแตป่ ัจจุบนั ไดม้ ีการติดตงั้ สถานที วนสญั ญาณโทรทศั น์ตามพื้นที่ตา่ งๆ ทัว่ ประเทศเพ่ือใหป้ ระชาชนตามจังหวัดท่ีห่างไกลสามารถรบั ชมการแพรภ่ าพโทรทศั น์ได้ปจั จุบันการส่งสญั ญาณโทรทัศน์ในประเทศไทยมีอยู่2ระบบด้วยกนั คือ ระบบออกอาก่าศท่ัวไป ทใ่ี ชบ้ ริการฟรี และอีกระบบ หน่ึงคอื ระบบเคเบิลทีวี สมาชกิ จะไดร้ ับเสารบั สญั ณาญเฉพาะที่แตกตา่ งจากเสารับสัญญาณโทรทัศน์ท่ัวไปนอกจากนี้ยงั มเี ทคโนโลยีอีกชนดิ หนึ่งท่ีเรียกวา่ Video on Demand ซง่ึ เป็นระบบโทรทัศนท์ ผี่ ูช้ มสามารถเป็น ผุเ้ ลือกชมรายการไดด้ ้วยตนเอง วิทยุกระจายเสยี ง( Radio)เปน็ การสื่อสารท่ีอาศัยคลืน่ วิทยดุ ว้ ยการสง่ คล่นื ไปยงั อากาศเพ่ือเข้าไปยงั เครอื่ งรบั วทิ ยุ โดยใช้เทคนคิ การมอดูเลตคลื่นสญั ญาณเพื่อใหส้ ญั ญาณสามารถสง่ ไดร้ ะยะไกล การสื่อสารด้วยวิทยุกระจายเสยี งนน้ั ไมจ่ าเปน็ ต้องใช้ สาย อีกท้งั ยังสามารถส่งคล่ืนได้ในระยะไกลตามประเภทของคลืน่ นัน้ ๆ

ไมโครเวฟ (Microwave)ไมโครเวฟเป็นคล่นื วทิ ยชุ นิดหน่งึ ที่มคี วามถีส่ ูงระดับกิกะเฮริตร์ และเนอ่ื งจากความยาวของคลื่นมีหน่อยวัดเปน็ไมโครเมตรจานามาตัง้ ชื่อเรยี กว่าไมโครเวฟปจั จบุ นั ได้มีการนาคลื่นไมโครเวฟมาใชง้ านในกจิ การโทรคมนาคม อย่างกวา้ งขวาง และด้วยคลน่ื ไมโครเวฟเป็นคลื่นในระดับสายตา ดังนนั้ ตึกสูงหรือภเู ขาจึงสามารถบดบัง สญั ญาณได้ ทางแก้ไขกค็ ือการติดตง้ั เสารบั สง่ ไมโครเวฟ เพ่ือรบั สญั ญาณจากสถานีหน่งึ และส่งทอดไปยังอีก สถานีหนึ่ง ดามเทยี ม (Satellite) ใหพ้ จิ ารณารูปที่ 1.4 ตอ่ ไปน้ีจะพบวา่ โลกมนุษย์มลี ักษณะกลมและคล่ืนไมโครเวฟเป็นคลื่น ในระดบั สายตา ดงั นน้ั การส่ือสารด้วยคล่ืนไมโครเวฟภาคพื้นดินบนระยะทางไกล ๆ ยอมเกดิ ปญั หา จงึ จาเปน็ ตอ้ งมาการติดตง้ั สถานีฐานเพม่ิ เติมเพื่อรบั สง่ สญั ญาณเป็นทอด ๆ ดังน้ันดว้ ยขอ้ จากัดของภมู ิประเทศทีส่ ง่ ผลต่อการสง่ คล่ืนไมโครเวฟ ดังนั้นจึงได้พฒั นาดาวเทยี มข้ึนมา ซ่งึ ความจรงิ ดาวเทียมก็คอื สถานีไมโครเวฟนนั่ เอง แตเ่ ปน็ สถานีไมโครเวฟที่ลอยอยบู่ นเหนือพ้ืนผิวโลก มีลักษณะเปน็ จานขณะใหญ่โคจรหา่ ง จากพน้ื โลกประมาณ 22,300 ไมล์ ทาใหส้ ามารถติดตอ่ กับสถานีไมโครเวฟภาคพืน้ ดนิ ทอี่ ยเู่ ป็นพน้ื ท่ีได้ นอกจากน้เี ราสามารถส่งดาวเทยี มค้างฟา้ (Geostationary Satellite) ซง่ึ เป็นดาวเทียมท่หี มนุ โคจรดว้ ยความเร็วเทา่ กบั โลก จึงทาใหแ้ ลดเู หมอื นกับว่าไม่มีการเคลื่อนไหว เม่อื นาดาวเทยี มดังกล่าวขึ้นไปโคจเหนือพ้ืนผวิ โลกเพียง 3 ดวง ก็สามารถควบคลมุ การสื่อสารไดท้ ุกมุมโลก โดยดาวเทียมดวงหนึง่ ส่สัญญาณในบรเิ วณ วา่ งเทา่ กับ 1 ใน 3 ของโลก (120 องศา) ดังนั้นดาวเทียม 3 ดวงก็สามารถครอบคลุมบริเวณพนื้ โลกได้ ทัง้ หมด (360 องศา) สว่ นการส่ือสารด้วยเคล่อื นไมโครเวฟสามารถสญั ญาณแบบขาขึ้น (Uplink) ซึ่งเปน็ การสง่ สัญญาณจากสถานฐี านไปยงั ดาวเทียม และการส่งสัญญาณแบบขาลง (Downlink) ซึง่ เป็นการสง่ สญั ญาณจากดาวเทียมมายังสถานฐี าน และดว้ ยเทคโนโลยดี าวเทียมในอนาคตก็จะสามารถส่ือสารได้ทั้ง สองทศิ ทางไมว่ า่ จะเป็นแบบขาขนึ้ หรอื ขาลง

ความนา่ เชอื่ มาตรฐานเครือขา่ ยnstitute of Electrical and Electronics Engineers (IEEE) เปน็ สถาบนั ที่กานหดมาตรฐานการทางานของระบบเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ ได้กาหนดมาตรฐานสาหรับเครือข่ายไรส้ ายขนึ้ คือมาตรฐาน IEEE802.11a, b,และ g ตามลาดบั ขน้ึ ซง่ึ แตล่ ะมาตรฐานมีความเร็วและคล่ืนความถี่สัญญาณทีแ่ ตกตา่ งกันในการส่ือสารข้อมูลมรี ายละเอยี ดดังน้ีมาตรฐาน• IEEE802.11a เปน็ มาตรฐานระบบเครือขา่ ยไร้สายที่มปี ระสิทธภิ าพสูง ทางานท่ยี า่ นความถี่ 5 GHz มคี วามเรว็ ในการรับส่งขอ้ มลู ที่ 54 Mbps ท่ีความเรว็ นส้ี ามารถทาการแพร่ภาพและขา่ วสารทตี่ ้องการความละเอียดสูงได้ อตั ราความเรว็ ในการรับสง่ ข้อมลู สามารถปรับระดับใหช้ ้าลงได้ เพ่ือเพ่ิมระยะทางการเชือ่ มต่อให้มากขึน้ เช่น 54,48, 36, 24 และ 11 เมกกะบิตเป็นตน้ ในขณะท่ีคล่ืนความถี่ 5 GHz น้ียงั ไม่ได้ใช้งานอย่างแพร่หลาย ดงั นนั้ปญั หาการรบกวนคล่ืนความถ่ีจงึ มีนอ้ ย ตา่ งจากคลืน่ ความถ่ี 2.4 GHz ที่มีการใชง้ านอยา่ งแพรห่ ลายทาให้สัญญาณของคลืน่ ความถี่ 2.4 GHz ถูกรบกวนจากอุปกรณ์ประเภทอื่นท่ีใชค้ ลน่ื ความถเ่ี ดยี วกนั ได้ระยะทางการเชื่อมต่อประมาณ 300 ฟิตจากจดุ กระจายสัญญาณ Access Point หากเทียบกับมาตรฐาน802.11b แลว้ ระยะทางจะได้นอ้ ยกว่า 802.11b ท่ีคลื่นความถีต่ า่ กวา่ และทัง้ 2 มาตรฐานนไ้ี มส่ ามารถทางานรว่ มกนั ได้ ขณะท่ีประเทศไทยไม่อนุญาติใหใ้ ชค้ ลื่นความถี่ 5 GHz จึงไมเ่ หน็ อุปกรณ์ WLAN มาตรฐาน802.11a จาหน่ายในประเทศไทย แต่ความเร็ว 54 Mbps สามารถใชง้ านได้ที่มาตรฐาน 802.11b ทีจ่ ะกลา่ วถึงต่อไป• มาตรฐาน IEEE802.11b802.11b เป็นมาตรฐานท่ีไดร้ ับความนิยมอยา่ งแพรห่ ลายท้ังต่างประเทศและในประเทศไทย เปน็ มาตรฐานWLAN ท่ที างานทคี่ ลน่ื ความถี่ 2.4 GHz (คลืน่ ความถี่นี้สามารถใชง้ านในประเทศไทยได้) มคี วามสามารถในการรับสง่ ข้อมลู ที่ความเรว็ 11 Mbps ปจั จุบนั ผลิตภัณฑ์อุปกรณเ์ ครือข่ายไรส้ ายภายใต้มาตรฐานน้ีถกู ผลติออกมาเปน็ จานวนมาก และที่สาคัญแต่ละผลดิ ภณั ฑม์ คี วามสามารถทางานรว่ มกนั ได้ อุปกรณข์ องผูผ้ ลติ ทุกย่ีห้อต้องผ่านการตรวจสอบจากสถาบัน Wi-Fi Alliance เพอื่ ตรวจสอบมาตรฐานของอุปกรณแ์ ละความเขา้ กนัได้ของแต่ละผู้ผลิต ปจั จบุ นั น้ีนิยมนาอปุ กรณ์ WLAN ท่ีมาตรฐาน 802.11b ไปใชใ้ นองค์กรธรุ กิจสถาบันการศึกษา สถานทีส่ าธารณะ และกาลงั แพร่เข้าสู่สถานทพี่ ักอาศัยมากข้ึน มาตรฐานนม้ี ีระบบเข้ารหสัข้อมูลแบบ WEP ท่ี 128 บิต• มาตรฐาน IEEE802.11gมาตรฐานน้เี ปน็ มาตรฐานใหม่ที่ความถ่ี 2.4 GHz โดยสามารถรบั ส่งขอ้ มลู ท่คี วามเร็ว 36 – 54 Mbps ซึ่งเป็นความเรว็ ที่สงู กวา่ มาตรฐาน 802.11b ซง่ึ 802.11g สามารถปรบั ระดบั ความเร็วในการสื่อสารลงเหลือ 2 Mbpsได้ (ตามสภาพแวดลอ้ มของเครอื ขา่ ยท่ีใช้งาน) มาตรฐานน้เี ปน็ ทย่ี อมรบั จากผูใ้ ช้เปน็ จานวนมากและกาลงั จะเขา้ มาแทนที่ 802.11b ในอนาคตอันใกล้

นอกจากทก่ี ล่าวมาข้างต้นนี้มีบางผลติ ภัณฑ์ใช้เทคโนโลยเี ฉพาะตวั เข้ามาเสรมิ ทาให้ความเรว็ เพ่มิ ขึน้ จาก 54Mbps เป็น 108 Mbps แต่ต้องทางานร่วมกันเฉพาะอุปกรณ์ที่ผลิตจากบรษิ ัทเดียวกนั เท่านัน้ ซึง่ ความสามารถนี้เกดิ จากชิป (Chip) กระจายสญั ญาณของตัวอปุ กรณ์ทผ่ี ผู้ ลติ บางรายสามารถเพ่ิมประสิทธภิ าพการรับสง่สัญญาณเป็น 2 เท่าของการรับสง่ สญั ญาณได้ แตป่ ัญหาของการกระจายสัญญาณนจี้ ะมผี ลทาให้อปุ กรณ์ไร้สายในมาตรฐาน 802.11b มปี ระสทิ ธภิ าพลดลงด้วยเช่นกัน ด้านลา่ งเปน็ ตารางมาตรฐาน IEEE802.11 ของเครือข่ายไร้สาย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook