โรงเรียนสาธติ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ฝ่ายประถม พลศกึ ษา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เล่ม 1 อาจารย์ภารดี ศรลี ัดชอ่ื นามสกลุ ชั้น ป.4 / เลขท ี่
เกริน่ นำ� การจัดท�ำแบบเรียนและแบบฝึกหัดของทุกระดับช้ันในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้โรงเรยี นสาธติ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ไดด้ ำ� เนนิ การใหเ้ ปน็ ไปตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน ขณะเดียวกนั กไ็ ด้ปรับปรงุ เน้ือหาให้สอดคลอ้ งกับวิสัยทศั นแ์ ละพันธกจิ ของโรงเรยี นและเพ่อื ประโยชนส์ ูงสดุ ต่อนักเรียน ความส�ำเร็จของการจัดท�ำแบบเรียนเกิดจากความร่วมมือร่วมใจของคณาจารย์ทุกท่านทเี่ ลง็ เหน็ ถงึ ประโยชนแ์ ละความสำ� คญั ทโี่ รงเรยี นควรมแี บบเรยี นทดี่ ี เพอ่ื ใชเ้ ปน็ สอื่ การเรยี นการสอนในแตล่ ะระดบั ชน้ั อนั เปน็ ผลดแี กน่ กั เรยี นในการเรยี นรู้ ตลอดจนใหผ้ ปู้ กครองมคี วามเขา้ ใจในการจดั การเรียนการสอนของโรงเรยี น ในนามของโรงเรียน ขอขอบคณุ คณาจารยผ์ จู้ ดั ท�ำทุกท่านไว้ ณ ที่นี้ โดยเฉพาะอยา่ งย่งิผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้กรุณาให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อการจัดท�ำแบบเรียนและแบบฝึกหัดดงั กลา่ ว จนทำ� ใหแ้ บบเรยี นทจ่ี ดั ทำ� ขน้ึ มคี วามสมบรู ณเ์ หมาะสมทจี่ ะนำ� ไปใชใ้ นการเรยี นการสอนและขอขอบคณุ สมาคมผูป้ กครองและครูโรงเรียนสาธติ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย ทไ่ี ดส้ นบั สนุนงบประมาณและดำ� เนินการจดั ท�ำจนทำ� ให้เกิดแบบเรียนและแบบฝึกหดั ท่มี ีรูปเลม่ ทสี่ วยงาม แมแ้ บบเรยี นนจี้ ะมคี วามสมบรู ณใ์ นเนอ้ื หาแลว้ แตก่ ต็ อ้ งมกี ารปรบั ปรงุ อยา่ งตอ่ เนอื่ งเพอื่ให้เป็นแบบเรียนที่มีความทันสมัย ดังนั้นหากผู้ปกครองหรือผู้ที่น�ำแบบเรียนไปใช้มีข้อแนะน�ำหรอื ขอ้ เสนอแนะทเ่ี ปน็ ประโยชน์ ขอไดโ้ ปรดแจง้ ใหท้ างโรงเรยี นทราบ เพอื่ โรงเรยี นจะไดใ้ ชเ้ ปน็ขอ้ มลู ในการพจิ ารณาปรับปรงุ แบบเรียนนี้ตอ่ ไป รองศาสตราจารย์สพุ ร ชัยเดชสรุ ิยะ ผู้อ�ำนวยการโรงเรยี นสาธิตจุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ฝา่ ยประถม และรองคณบดีคณะครศุ าสตร์ 1
หนงั สอื เรยี นวิชาพลศกึ ษาชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 เลม่ 1 เปน็ หนังสอื ในโครงการจดั ทำ�ตำ�ราเรียนของสมาคมผู้ปกครองและครโู รงเรยี นสาธิตจฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย โดยมีวตั ถุประสงค์เพ่อื ให้นักเรียนโรงเรียนสาธติ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั ฝา่ ยประถม ไดม้ หี นังสือเรยี นที่มคี ณุ ภาพคณะผู้จัดทำ� (ในส่วนของสมาคมผ้ปู กครองและครโู รงเรียนสาธติ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย)(ในสว่ นของโรงเรียนสาธติ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายประถม) คุณศักดชิ์ ัย ยอดวานิช คุณเกยี รตพิ ร ศิรชิ ยั สกุลรองศาสตราจารยส์ ุพร ชยั เดชสุรยิ ะ ดร.วฒุ พิ งศ์ กิตตธิ เนศวร คณุ ชัยภฏั เตมียบตุ รอาจารย์ศริ ริ ตั น์ ศริ ิวิโรจน์สกุล คุณวรี พฒั น์ คงสิทธ์ิ คณุ ศรัณย์ มหทั ธนกลุอาจารยภ์ ารดี ศรลี ัด คณุ กิตติ อภิชนบัญชา คณุ สพุ จน์ เศรษฐวงศ์ คุณสมไชย อ่ไู พบรู ณ์ คณุ ณฐั พร ชลธารน์ นท์ คุณสชุ ิน รตั นศิรวิ ไิ ลผู้สนับสนนุ การดำ�เนนิ การจดั ทำ� และสนับสนุนงบประมาณในการจดั ทำ�ตน้ ฉบับและจัดพมิ พ์หนงั สือสมาคมผปู้ กครองและครโู รงเรียนสาธติ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยัคณุ ดวงหทัย เลิศสินธพานนท์ คุณตาที ตันจนั ทร์พงศ์คุณกนก สมภพรุ่งโรจน์ คณุ ณนฐวชั น์ ฐติ เจริญวงศ์คุณวจิ ิตร เตชะเกษม คณุ กรกมล ลอตระกูลนพ.สุขุม ศิลปอาชา คุณประทานพร ทพั พะรังสีคณุ พรชยั ตอ่ สทุ ธ์ิกนก คณุ เอกพล สิทธกิ รเมธากลุเรียบเรยี งโดย พมิ พท์ ่ีอาจารยภ์ ารดี ศรีลดั บริษัท ไซเบอร์พร้ินทก์ ร๊ปุ จำ� กดัผ้ตู รวจ 959 ซอยสทุ ธพิ ร ถนนประชาสงเคราะห์ผศ. มานิต โกศลอินทรยี ์ แขวงดนิ แดง เขตดินแดง กทม 10400ชื่อเรอื่ ง โทร 02-641-9135-8 โทรสาร 02-641-9139หนังสอื เรียนวชิ าพลศกึ ษา ชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 4 เลม่ 1 E-mail : [email protected]ออกแบบรูปเล่ม Website : www.cyberprintgroup.co.thบริษทั เซีย ครีเอทฟี จ�ำ กัด พิมพ์ครงั้ ท่ี 1137 ซอยสุขมุ วทิ 81 ถนนสขุ มุ วทิ ปที ่ีพิมพ์ : พฤษภาคม 2559แขวงพระโขนงเหนอื เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10260 จำ�นวนทจี่ ดั พมิ พ์ : 2,000 เลม่Tel : 02-311-2156, 081-732-7893 จำ�นวนหนา้ : 32 หนา้Fax : 02-742-6754 ราคา : 75 บาทE-mail : [email protected] ประเภทของสิ่งพิมพ์ : หนังสอืภาพประกอบ เจา้ ของและผ้จู ดั จำ�หนา่ ยณฐั นนั ท์ วัชรปรีชาสกลุ โรงเรยี นสาธติ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ซอยจุฬา 11 ถนนพญาไท แขวงวังใหม่ เขตปทุมวนั กรงุ เทพฯ 103302 สุขศกึ ษาและพลศึกษา < ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 4
คำ�นำ� หนังสือเรียนวิชาพลศึกษา ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 นี้ จัดท�ำเพื่อให้นักเรียนได้พัฒนาทักษะการอ่าน เขียน คิด วิเคราะห์ ซึ่งเป็นการประเมินผลตามหลกั สตู รการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน โดยควบคมุ กบั การพฒั นาทางดา้ นรา่ งกาย จติ ใจ สติปัญญา ความรู้และคุณธรรม มีจริยธรรมและวฒั นธรรมในการดำ� รงชีวติ สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข โดยยึดผู้เรียนส�ำคัญที่สุด ท�ำให้มีความรู้ความสามารถและพัฒนาตนเองได้ให้เป็นผู้มีสุขภาพดี นอกจากน้ีสมุดบันทึกกิจกรรมยังสามารถช่วยให้นักเรียนฝึกทักษะกระบวนการคิด การจัดการ ฝึกการปฏิบัติให้ท�ำได้ คิดเป็น ท�ำเป็น รักการอ่านและเกิดความรู้อย่างต่อเนื่อง ปลูกฝังคุณธรรมคา่ นิยมทีด่ งี าม และคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ ผสู้ อนหวงั อยา่ งยง่ิ วา่ นกั เรยี นจะสามารถนำ� ประสบการณท์ ไ่ี ดร้ บั จากการเรียนวิชาพลศึกษาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ�ำวันได้ รักการออกก�ำลังกาย และสามารถออกก�ำลงั กายตามหลกั ท่ถี กู ตอ้ งได้ อาจารย์ภารดี ศรลี ัด ผจู้ ดั ทำ� 3
การจัดการเรยี นรู้วิชาพลศึกษา การเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษาน้ัน มุ่งเน้นการพัฒนาผู้ เรียนทางด้านปัญญา พัฒนาระบบการคิดอย่างมีวิจารณญาณ การตัดสินใจและการแก้ ปัญหาโดยการให้ผู้เรียน เรียนรู้เก่ียวกับตนเอง เข้าใจธรรมชาติและชีวิต รู้จักและเข้าใจ ตนเอง เหน็ คณุ คา่ ของตนเองและผอู้ นื่ รกั การออกกำ� ลงั กาย และเลน่ กฬี า รวมทง้ั มคี ณุ ธรรม จรยิ ธรรมและคา่ นยิ มทดี่ ี เพอื่ ใหส้ ามารถปฏบิ ตั ติ นไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะสม ทงั้ ในดา้ นการ ปอ้ งกนั การสง่ เสรมิ และดำ� รงไวซ้ งึ่ สขุ ภาพทดี่ อี ยา่ งถาวรทง้ั ของตนเอง ครอบครวั และชมุ ชน ดงั น้นั ในการจดั การเรียนการสอนสขุ ศึกษาและพลศึกษา จะเป็นการมุง่ เน้นการเรยี นรูท้ าง ปญั ญา เพอ่ื วางรากฐานดา้ นสขุ ภาพใหเ้ ขม้ แขง็ เปน็ การเตรยี มความพรอ้ มเพอื่ ปอ้ งกนั ปญั หา สุขภาพต้ังแต่เริ่มแรก ให้สามารถเผชิญสถานการณ์ที่คุกคามสุขภาพได้ตลอดไป อันจะน�ำ ไปสกู่ ารพฒั นาสขุ ภาพทยี่ งั่ ยนื ตรงตามเปา้ หมาย สอดคลอ้ งกบั แนวคดิ ตามรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช 2540 ที่ว่า “สุขภาพเป็นพืน้ ฐานของชุมชน” โดยในวิชา พลศึกษา มีวิสัยทัศน์มุ่งเน้นให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาโดยรวมทั้งด้าน รา่ งกาย จติ ใจ อารมณ์ สตปิ ญั ญา และสงั คม ดว้ ยการเขา้ รว่ มในกจิ กรรมการออกกำ� ลงั กาย และกฬี า กจิ กรรมเหลา่ นนั้ ไดร้ บั การคดั สรรมาเปน็ อยา่ งดี พลศกึ ษาจงึ มงุ่ เนน้ ใหผ้ เู้ รยี นเกดิ ความสามารถในการพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพจนมีวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดี โดยให้มีท้ังความรู้ ความเข้าใจ ทักษะหรือกระบวนการคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมตามแนวการจัดการ ศกึ ษาในพระราชบญั ญตั กิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 และตามจดุ หมายของหลกั สตู รแกน กลางการศกึ ษาขนั้ พืน้ ฐาน พุทธศักราช 2551 ผลรวมสุดท้าย คอื ผู้เรยี นเกิดการพัฒนาท่ี เป็นองค์รวมของความเปน็ มนษุ ยท์ ีส่ มบูรณ์ (holistic) ทง้ั นใี้ นการเรยี นรพู้ ลศกึ ษา ผเู้ รยี นจะไดร้ บั โอกาสใหเ้ ขา้ รว่ มในกจิ กรรมทางกายและ กฬี าทง้ั ประเภทบคุ คล และประเภททมี อยา่ งหลากหลายทงั้ ของไทยและสากล กจิ กรรมทาง กายและกฬี าตา่ ง ๆ จะชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นเกดิ สมั ฤทธผิ ลตามศกั ยภาพดา้ นความเจรญิ เตบิ โตและ พฒั นาการทางกาย ไดป้ รบั ปรงุ สขุ ภาพและสมรรถภาพทางกาย เกดิ การพฒั นาทกั ษะกลไก อยา่ งเตม็ ที่ ไดเ้ รยี นรถู้ งึ ความสำ� คญั ของการฝกึ ฝนตนเองตามกฎ กตกิ า ระเบยี บ และหลกั การทางวทิ ยาศาสตร์ ไดแ้ ขง่ ขนั และไดท้ ำ� งานรว่ มกนั เปน็ ทมี ไดร้ บั ประสบการณจ์ ากการลง ปฏิบัติด้วยตนเองโดยตรงตามความถนัด และความสนใจ ได้ค้นหาความพึงพอใจจากการ เขา้ รว่ มกจิ กรรมทางกาย กฬี า กจิ กรรมนนั ทนาการ กจิ กรรมสรา้ งเสรมิ สมรรถภาพทางกาย และรกั การออกก�ำลงั กาย4 สุขศึกษาและพลศกึ ษา < ชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 4
ดงั นน้ั การจดั การเรยี นรวู้ ชิ าพลศกึ ษาจงึ ควรจดั ใหเ้ หมาะสมกบั ระดบั ความสามารถความต้องการและความสนใจของผู้เรียน การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ควรให้สอดคล้องกับลักษณะของวัฒนธรรมท้องถิ่น วัฒนธรรมไทย และวฒั นธรรมสากล โดยไดร้ บั การสนบั สนนุ ชว่ ยเหลอื จากบา้ น ชมุ ชน และทอ้ งถนิ่ ไปพรอ้ มกนัสาระการเรียนรแู้ ละมาตรฐานการเรียนรู้การศึกษาขัน้ พื้นฐานสาระที่เปน็ องคค์ วามรู้ของกล่มุ สาระการเรียนรูส้ ุขศกึ ษาและพลศกึ ษา ประกอบด้วย สาระที่ 1 การเจรญิ เติบโตและพฒั นาการของมนษุ ย์ มาตรฐาน พ 1.1 เข้าใจธรรมชาติของการเจริญเติบโตและพัฒนาการ ของมนุษย์ สาระท่ี 2 ชีวิตและครอบครวั มาตรฐาน พ 2.1 เข้าใจและเห็นคุณคา่ ของชีวิต ครอบครัว เพศศึกษา และมที กั ษะในการด�ำเนินชีวิต สาระที่ 3 การเคลอ่ื นไหว การออกกำ� ลงั กาย การเลน่ เกม กฬี าไทยและกฬี าสากล มาตรฐาน พ 3.1 เข้าใจ มีทักษะในการเคลื่อนไหว กิจกรรมทางกาย การเล่นเกมและกฬี า มาตรฐาน พ 3.2 รกั การออกกำ� ลงั กาย การเลน่ เกม และการเล่นกฬี า ปฏิบัติเป็นประจ�ำอย่างสม่�ำเสมอ มีวินัย เคารพสิทธิ กฎ กติกา มีน�้ำใจ เป็นนักกีฬา มจี ิตวญิ ญาณในการแขง่ ขนั และชน่ื ชมใน สุนทรียภาพของ การกฬี า สาระที่ 4 การสร้างเสริมสุขภาพ สมรรถภาพ และการป้องกนั โรค มาตรฐาน พ 4.1 เหน็ คณุ คา่ และมที กั ษะในการสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพ การ ดำ� รงสขุ ภาพ การปอ้ งกนั โรค และการสรา้ งเสรมิ สมรรถภาพเพอื่ สขุ ภาพ สาระท่ี 5 ความปลอดภัยในชีวิต มาตรฐาน พ 5.1 ป้องกนั และหลกี เลยี่ งปัจจัยเสี่ยง พฤติกรรมเสยี่ งตอ่ สุขภาพ อุบัติเหตุ การใช้ยา สารเสพตดิ และความรนุ แรง 5
สารบญั 7 8หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ 1 15การทดสอบสมรรถภาพทางกายเพ่ือสุขภาพ 15 16 - รายการทดสอบสมรรถภาพทางกายเพื่อสขุ ภาพ 16 17หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 2 17 20กฬี าแบดมนิ ตนั 21 - ประวัตคิ วามเปน็ มา 22 - แบดมนิ ตันในประเทศไทย 22 - ประโยชนข์ องกฬี าแบดมินตนั 23 - คณุ สมบตั ขิ องผูเ่ ลน่ แบดมินตัน 24 - กตกิ าการแข่งขันแบดมินตัน 24 - มารยาทในการแขง่ ขนั แบดมินตนั - เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 3กจิ กรรมเขา้ จงั หวะ - ความสำ� คญั ของกจิ กรรมเขา้ จงั หวะ - ประโยชนข์ องกิจกรรมเขา้ จังหวะ - ขอบข่ายของกิจกรรมเขา้ จงั หวะ - ประเภทของกิจกรรมเขา้ จังหวะ 6 สขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา < ช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 4
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 1 การทดสอบสมรรถภาพทางกาย เพื่อสขุ ภาพ การทดสอบสมรรถภาพทางกายเปน็ สว่ นหนงึ่ ของสาระการเรยี นรใู้ นหลกั สตู รแกนกลาง การศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ตามสาระที่ 4 การสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพ สมรรถภาพและ การปอ้ งกนั โรค โดยมมี าตรฐานพ 4.1 เหน็ คณุ คา่ และมที กั ษะในการสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพ การดำ� รง สขุ ภาพ การป้องกนั โรค และการสรา้ งเสริมสมรรถภาพเพ่อื สุขภาพ จะเห็นได้วา่ สมรรถภาพ ทางกายเปน็ สาระทสี่ ำ� คญั ตอ่ การจดั การเรยี นการสอนรวมไปถงึ การประกนั คณุ ภาพภายนอก ระดบั การศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐานซงึ่ มเี กณฑก์ ารพจิ ารณามาตรฐานดา้ นผเู้ รยี นมาตรฐานท่ี 2 ผเู้ รยี น มีสุขนิสยั สขุ ภาพกาย และสขุ ภาพจติ ทีด่ ี โดยมตี ัวบ่งช้ีท่ีสัมพนั ธก์ บั สมรรถภาพทางกาย คอื ผเู้ รียนมนี �ำ้ หนัก ส่วนสูง และมีสมรรถภาพทางกายตามเกณฑ์ ทางกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษาได้เห็นความส�ำคัญในการส่งเสริมให้ นกั เรยี นมสี มรรถภาพทางกายทดี่ ี เพอ่ื ประกอบกจิ กรรมในชวี ติ ประจำ� วนั ไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ทางกลมุ่ สาระฯ จงึ บรรจหุ นว่ ยการเรยี นรู้ เรอื่ งการทดสอบสมรรถภาพทางกายเพอ่ื สขุ ภาพไว้ ในทกุ ระดบั ชน้ั เพอื่ ใหน้ กั เรยี นไดท้ ราบสมรรถภาพทางกายของตนเอง และสามารถนำ� ผลการ ทดสอบสมรรถภาพทางกายของตนเองไปปรบั ปรงุ พฒั นาใหด้ ขี น้ึ ได้ โดยประกอบกจิ กรรมทาง กายหรอื กจิ กรรมพลศกึ ษาท่ีถูกหลกั วิธไี ดต้ ่อไป แผนผงั รายการทดสอบวัดส่วนประกอบ วดั ความแขง็ แรง วัดความอดทน วัดความอ่อนตัว วัดความอดทนของ ของร่างกาย ของกลา้ มเนอ้ื ของกล้ามเน้อื ระบบไหลเวียนโลหิตรายการทดสอบ รายการทดสอบ รายการทดสอบ รายการทดสอบ รายการทดสอบการชั่งนำ�้ หนัก ลกุ - นั่ง ดงึ ขอ้ งอแขน นัง่ งอตัว ก้าวขนึ้ - ลงมา้ น่ังการวัดส่วนสงู 30 วนิ าที ไปดา้ นหน้า หอ้ ยตวั 5 นาที หนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี 1 การทดสอบสมรรถภาพทางกายเพ่ือสุขภาพ 7
รายการทดสอบสมรรถภาพทางกายเพ่อื สุขภาพตารางบนั ทึกนำ�้ หนกั 1 รายการชงั่ นำ�้ หนกั วนั ทีท่ ดสอบ วตั ถุประสงค์ เพือ่ วดั สว่ นประกอบของร่างกาย ข้ันตอนการชัง่ นำ้� หนกั 1. ถอดรองเท้า และสิ่งของตา่ ง ๆ วางไว้ 2. ขน้ึ ชั่งนำ�้ หนกั บนเครอื่ งชงั่ 3. อ่านค่าท่ีได้ และบันทกึ 4. น�ำค่าที่ได้ไปค�ำนวณหาคา่ ดัชนมี วลกาย ครงั้ ท่ี 1 (กก.) คร้ังที่ 2 (กก.)ตารางบนั ทกึ ส่วนสูง 2 รายการวัดสว่ นสงู วันทีท่ ดสอบ วัตถปุ ระสงค์ เพื่อวัดสว่ นประกอบของรา่ งกาย ขั้นตอนการวดั ส่วนสงู 1. ถอดรองเทา้ 2. วดั ส่วนสูงทีเ่ ตรยี มไว้ (ยนื เทา้ ชดิ ตวั ตรง สายตามองไปดา้ นหนา้ ) 3. อา่ นค่าท่ไี ด้ และบนั ทึก 4. น�ำค่าที่ไดไ้ ปคำ� นวณหาคา่ ดัชนีมวลกาย ครง้ั ที่ 1 (เมตร) ครง้ั ที่ 2 (เมตร)8 สขุ ศึกษาและพลศกึ ษา < ช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี 4
ค่าดชั นีมวลกาย (BMI)เปน็ คา่ ทอี่ าศยั ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งนำ้� หนกั ตวั และ การคำ� นวณคา่ ดัชนีมวลกายสว่ นสงู มาเปน็ ตวั ชว้ี ดั สภาวะของรา่ งกาย วา่ มคี วามสมดลุ ของนำ้� หนกั ตวั ตอ่ สว่ นสงู อยใู่ นเกณฑท์ เี่ หมาะ น�้ำหนกั (กโิ ลกรัม) = BMIสมหรือไม่ ค่าดัชนีมวลกายสามารถค�ำนวณได้โดย ส่วนสูง (เมตร)2นำ� นำ้� หนกั ตวั (หนว่ ยเปน็ กโิ ลกรมั ) หารดว้ ยสว่ นสงูก�ำลงั สอง (หนว่ ยเปน็ เมตร) ตัวอย่างการคำ� นวณ น�ำ้ หนัก 25 กิโลกรมั ความสงู 110 เซนติเมตร = =25 กิโลกรมั 25 20.66 1.21 (1.10 เมตร)2 แปรผลได้วา่ น�ำ้ หนกั ปกติค�ำนวณดชั นีมวลกายของตนเอง ผลท่ีไดอ้ ยใู่ นระดับ =( )2การประเมินค่าดชั นมี วลกายBMI มาตรฐานสากล (ยโุ รป) BMI มาตรฐานอาเซยี น (เอเชีย) การแปรผล < 18.5 < 18.5 นำ�้ หนักนอ้ ยกวา่ ปกติ 18.5 - 24.9 18.5 - 22.9 น้ำ� หนักปกติ 25 - 29.9 23 - 24.9 อว้ นระดับ 1 30 - 34.9 25 - 29.9 อว้ นระดบั 2 35 -39.9 มากกว่าหรือเท่ากบั 30 อว้ นระดบั 3 มากกวา่ หรือเท่ากบั 30 อว้ นระดบั 4 --กรมอนามัย กระทรวงสาธรณสขุ หนว่ ยการเรียนรูท้ ี่ 1 การทดสอบสมรรถภาพทางกายเพื่อสุขภาพ 9
3 รายการทดสอบลกุ - นั่ง 30 วนิ าที วตั ถปุ ระสงค์ เพ่อื วัดความแขง็ แรงของกล้ามเนอ้ื ขัน้ ตอนการปฏิบัติ 1 นั่งชนั เข่า มอื ประสานไวท้ ่ีหนา้ อก 2 เมื่อเร่มิ สญั ญาณ ให้ปฏบิ ตั ลิ ุก – นัง่ เป็นเวลา 30 วินาที โดยมือไมห่ ลดุ ออกจากกนั 3 นบั จำ� นวนคร้ัง และบนั ทกึ จำ� นวนท่ีได้ตารางบันทกึ การปฏิบัติ ครั้งที่ 1 (จ�ำนวนครัง้ ) คร้ังที่ 2 (จ�ำนวนครง้ั ) วนั ทท่ี ดสอบเกณฑ์ปกตสิ มรรถภาพทางกาย รายการลุก - นั่ง 30 วินาทีระดับสมรรถภาพทางกาย นักเรยี นชาย (จำ� นวนครั้ง) นกั เรียนหญงิ (จำ� นวนครงั้ )ดมี าก 19 ข้นึ ไป 18 ข้นึ ไปดี 15-18 14-17ปานกลาง 11-14 10-13ค่อนขา้ งต�่ำ 7-10 6-9ต�่ำ 6 ลงไป 5 ลงไป* อา้ งองิ จากงานวิจยั เร่อื งเกณฑ์ปกติสมรรถภาพทางกายเพ่อื สุขภาพของนักเรยี น ระดับชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 1-6โรงเรียนสาธติ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั ฝ่ายประถม โดย ผศ. ฉตั รชัย ยงั พลขันธ์10 สขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา < ชนั้ ประถมศึกษาปที ี่ 4
4 รายการทดสอบดงึ ขอ้ - งอแขนหอ้ ยตวั วตั ถุประสงค์ เพื่อวดั ความอดทนของกล้ามเนื้อ ขั้นตอนการปฏบิ ตั ิ 1. ใหน้ กั เรยี นจบั บารโ์ หนทม่ี ขี นาดเหมาะกบั มือด้วยการคว่�ำมือ มือห่างกันประมาณ หนึง่ ช่วงไหล่ 2. เม่ือเร่ิมสัญญาณให้นักเรียนปฏิบัติการ โหนบาร์ในลกั ษณะตวั ตรง เท้าลอยจาก พนื้ ให้นานทส่ี ดุ 3. จบั เวลาท่นี กั เรียนปฏิบตั ิได้ และบันทึกตารางบนั ทึกการปฏบิ ตั ิ ครั้งท่ี 1 (วินาที) คร้งั ท่ี 2 (วนิ าท)ี วนั ท่ที ดสอบเม่ือเทียบเกณฑ์อยู่ในระดับเกณฑ์ปกตสิ มรรถภาพทางกาย รายการงอแขนห้อยตวัระดบั สมรรถภาพทางกาย นักเรียนชาย (วนิ าที) นกั เรยี นหญงิ (วนิ าท)ีดีมาก 45.75 ขึน้ ไป 65.54 ข้ึนไปดี 34.75 - 45.74 47.53 - 65.53ปานกลาง 23.73 - 34.73 29.52 - 47.52ค่อนข้างต�่ำ 12.72 - 23.72 11.51 - 29.51ต่�ำ 12.71 ลงไป 11.50 ลงไป* อ้างองิ จากงานวจิ ยั เร่อื งเกณฑ์ปกตสิ มรรถภาพทางกายเพอื่ สขุ ภาพของนกั เรยี น ระดบั ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 1-6โรงเรยี นสาธติ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ฝ่ายประถม โดย ผศ. ฉัตรชยั ยงั พลขันธ์ หนว่ ยการเรียนรูท้ ่ี 1 การทดสอบสมรรถภาพทางกายเพื่อสขุ ภาพ 11
5 รายการทดสอบความอ่อนตวั ไปดา้ นหน้า วตั ถปุ ระสงค์ เพอื่ วดั ความวดั ความออ่ นตวั ของกลา้ มเนอื้ ข้นั ตอนการปฏิบตั ิ 1. ให้นักเรยี นถอดรองเทา้ และน่ังเหยียดขาทัง้ สองขา้ งเข่าตงึ ฝ่าเทา้ แตะกลอ่ งไม้ 2. เหยียดแขนใหฝ้ ่ามอื ประสานกันไปด้านหนา้ 3. เมอ่ื เริ่มสัญญาณใหน้ กั เรยี นกม้ ตวั ให้มาก ที่สดุ ให้เหยยี ดปลายมือแตะท่ีดา้ นบนของ อปุ กรณ์วัดความอ่อนตวั 4. ปฏบิ ัติค้างไว้ 2 – 3 วินาที และบันทึกระยะ ทางของปลายน้วิวนั ทีท่ ดสอบ ครงั้ ท่ี 1 ครั้งท่ี 2เกณฑ์ปกตสิ มรรถภาพทางกาย รายการก้มตวั ไปดา้ นหน้าระดับสมรรถภาพทางกาย นักเรยี นหญงิ (เซนตเิ มตร)ดีมาก 14 ขึ้นไป 18 ขน้ึ ไปดี 8 - 13 9 - 17ปานกลาง 2-7 0-8คอ่ นขา้ งต่ำ� (-4) - 1 (-9) - (-1)ต�่ำ (-5) ลงไป (-10) ลงไป* อ้างอิงจากงานวจิ ัย เร่ืองเกณฑป์ กตสิ มรรถภาพทางกายเพอ่ื สุขภาพของนกั เรียน ระดบั ช้ันประถมศึกษาปที ่ี 1-6โรงเรียนสาธติ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย ฝา่ ยประถม โดย ผศ. ฉัตรชัย ยงั พลขนั ธ์12 สขุ ศึกษาและพลศกึ ษา < ชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 4
6 รายการทดสอบกา้ วขนึ้ - ลงมา้ นง่ั 5 นาที วตั ถปุ ระสงค์ เพอื่ วัดความอดทนของระบบไหลเวยี นโลหติ ขน้ั ตอนการปฏบิ ัติ 1. จับชีพจรขณะพักของนักเรียนก่อนการ ทดสอบ 1 นาที 2. ทำ� การทดสอบเวลา 5 นาที 3. ใหน้ งั่ พกั ทนั ทที เี่ ลกิ ทำ� และจบั ชพี จรขณะ พกั ในนาทีท่ี 1 นาทีท่ี 2 และนาทที ่ี 3 4. บันทึกชีพจรท่ไี ด้ และน�ำไป ค�ำนวนตาม สูตรการคดิ คะแนนตารางบนั ทกึ การปฏบิ ตั ิ ครัง้ ท่ี 1 คร้งั ที่ 2 วันทท่ี ดสอบ ชพี จร จำ� นวนครงั้ /นาที ชีพจร จำ� นวนครัง้ /นาทีเมือ่ เทยี บเกณฑอ์ ยใู่ นระดับ ก่อนปฏบิ ัติ กอ่ นปฏิบตั ิ ขณะพกั ขณะพัก หลังปฏบิ ัติ หลงั ปฏบิ ัติ นาทที ่ี 1 นาทที ี่ 1 หลงั ปฏบิ ตั ิ หลงั ปฏบิ ตั ิ นาทที ่ี 2 นาทีท่ี 2 หลงั ปฏบิ ตั ิ หลังปฏิบตั ิ นาทที ี่ 3 นาทที ่ี 3 หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 การทดสอบสมรรถภาพทางกายเพื่อสขุ ภาพ 13
การคำ� นวณอตั ราการเตน้ ของชพี จร100 x (เวลาที่ออกก�ำลังกายเปน็ วินาที) = อัตราการเตน้ ของชีพจร 2 x (ผลรวมของชีพจรรวม 3 ครั้ง) ตัวอยา่ งการคำ� นวณ ออกกำ� ลงั กาย 5 นาที x 60 วนิ าที = 300 นาที 100 x 300 = 90.09 2 x (152 + 94 + 87) เมอ่ื เทยี บเกณฑ์แล้วอย่รู ะดับ คอ่ นขา้ งตำ�่ 100 x 300 =2x( + + )เกณฑ์ปกตสิ มรรถภาพทางกาย รายการก้าวขนึ้ - ลงมา้ นง่ั 5 นาทีระดบั สมรรถภาพทางกาย นกั เรยี นชาย (จำ� นวนครง้ั /นาท)ี นักเรยี นหญิง (จ�ำนวนครงั้ /นาท)ีดมี าก 67 ลงไป 70 ลงไปดี 68 - 76 71 - 77ปานกลาง 77 - 85 78 - 84คอ่ นขา้ งต�่ำ 86 - 94 85 - 91ต่ำ� 95 ข้นึ ไป 92 ขึ้นไป* อ้างองิ จากงานวิจยั เร่อื งเกณฑป์ กติสมรรถภาพทางกายเพ่อื สขุ ภาพของนกั เรียน ระดับชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 1-6โรงเรยี นสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย ฝ่ายประถม โดย ผศ. ฉตั รชัย ยังพลขนั ธ์14 สขุ ศึกษาและพลศึกษา < ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 กีฬาแบดมนิ ตนัประวตั ิความเป็นมา กฬี าแบดมนิ ตนั เรมิ่ เลน่ ทเี่ มอื งปนู า ประเทศอนิ เดยี โดยเลน่ บนสนามหญา้ การเลน่ ครงั้ แรก ๆ ลกู ทใี่ ชต้ เี ปน็ ลกู บอลทำ� ดว้ ยสกั หลาด ไมต้ ีทำ� ดว้ ยไมแ้ ตเ่ อากระดาษมาหมุ้ แทนการตรงึ ดว้ ยเอน็ อยา่ งปจั จบุ นั การเล่นประเภทเด่ียวยังไม่มีตามธรรมดาในขณะนั้นนิยมการเล่นข้างหนึ่งไมน่ อ้ ยกวา่ 4 คน หรอื มากกวา่ น้นั ต่อมาประมาณ ค.ศ. 1873 ทหารองั กฤษทไ่ี ปรบทปี่ ระเทศอนิ เดยี ไดน้ ำ� เอาวธิ กี ารเลน่ นไ้ี ปเลน่ ทป่ี ระเทศอังกฤษ ณ คฤหาสน์ ช่ือแบดมินตันเฮาส์ ของท่านยุคแห่งบิวฟอร์ต(Duke of Beaufort) เปน็ คฤหาสน์ท่ีใหญโ่ ตกว้างขวาง การเล่นแบบนีเ้ ลยได้ชอ่ื ว่า “แบดมนิ ตนั ” ตามชอ่ื คฤหาสน์ดังกล่าว ตงั้ แต่นน้ั มา ต่อมากีฬาแบดมินตันเริ่มแพร่หลายไปยังประเทศต่าง ๆ ในยุโรป อเมริกา และเอเชียอย่างรวดเร็วในปี ค.ศ. 1893 ประเทศอังกฤษได้ก่อตั้งสมาคมแบดมินตันขึ้น เรียกว่า “สมาคมแบดมินตันแห่งประเทศองั กฤษ” ทางสมาคมไดต้ ง้ั กฎเกณฑข์ องสมาคมมาตรฐานขน้ึ คอื ใชข้ นาดกวา้ ง 20 ฟตุ และยาว 44 ฟตุ ซง่ึเปน็ สนามมาตรฐานแบบประเภทคทู่ ใ่ี ชอ้ ยใู่ นปจั จบุ นั นี้ ตง้ั แตน่ นั้ มากม็ กี ารปรบั ปรงุ ดดั แปลง ในเรอ่ื งอปุ กรณ์การเลน่ ใหด้ ขี นึ้ เปน็ ลำ� ดบั ในทส่ี ดุ กม็ ไี มต้ ที มี่ เี อน็ ขงึ อยา่ งปจั จบุ นั และลกู ขนไกก่ ไ็ ดเ้ กดิ ขน้ึ ในปี ค.ศ. 1900 ตอ่มาไดร้ บั ความนยิ มแพรห่ ลายมาทางประเทศอาคเนย์ ประเทศตา่ ง ๆ ทน่ี ยิ มเลน่ แบดมนิ ตนั มากไดแ้ ก่ ประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย ในปี ค.ศ. 1934 สมาคมแบดมนิ ตันแห่งประเทศไทยและสมาคมแบดมนิ ตนัแหง่ อน่ื ๆ อกี 8 ประเทศ ไดก้ อ่ ตงั้ สหพนั ธแ์ บดมนิ ตนั นานาชาตขิ น้ึ มศี นู ยก์ ลางอยทู่ กี่ รงุ ลอนดอน ทางสหพนั ธ์ร่างกติกาและระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ ข้ึน ประเทศไทยเป็นสมาชิกของสหพันธ์ในปลายเดือนมีนาคม ค.ศ.1951 ประธานสหพนั ธแ์ บดมินตันนานาชาติคนแรกคือ เซอร์ ยอรจ์ โธมสั เขาเป็นนักแบดมนิ ตนั ฝมี อื ดีของอังกฤษและได้บริจาคถ้วยโธมัส ท�ำด้วยทอง ราคาห้าพันปอนด์ ส�ำหรับผู้ชนะเลิศในการแข่งขันชิงชนะเลิศนานาชาติ ในปี ค.ศ. 1936 นอกจากถว้ ยโธมสั แลว้ ยงั มกี ารแขง่ ขนั ชงิ ถว้ ย อเู บอร์ ซงึ่ เปน็ การแขง่ ขนั ชงิ ชนะเลศิ นานาชาตสิ ำ� หรบั สตรี โดยมสิ ซสิ อเู บอร์ เปน็ ผบู้ รจิ าคถว้ ย เธอเปน็ อดตี นกั แบดมนิ ตนั หญงิ ทมี ชาตอิ งั กฤษการแขง่ ขันนเี้ ร่ิมต้นเมอ่ื ค.ศ. 1960 หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 2 กีฬาแบดมินตัน 15
แบดมินตันในประเทศไทย กำ� เนิดลูกขนไก่ การเลน่ แบดมนิ ตนั ไดเ้ รมิ่ เลน่ ในประเทศไทยราว พ.ศ. 2456 ได้มีการค้นพบภาพเขียน โดยพระยานิพทั กุลพงษ์ เปน็ ผู้กอ่ ตงั้ สนามข้นึ ทบ่ี ้านของท่าน ซ่ึงตง้ั ของ จีน ซิมโมน ชาร์แดง อยู่ริมคลองสมเด็จเจ้าพระยา จังหวัดธนบุรี ในตอนแรกก็เล่นกันใน จติ รกรชาวฝรงั่ เศสผเู้ กดิ ในกรงุ ระหว่างลูกหลานของท่าน ต่อมาหลวงชลาไลย ไกยกล เห็นว่าเป็น ปารสี ค.ศ. 1699 และมอี ายถุ งึ กีฬาที่ดีส้ินเปลืองค่าใช้จ่ายน้อยหาท่ีตั้งสนามเล่นได้ง่าย นอกจาก 80 ปี เขาตาย ค.ศ. 1779 ภาพ เป็นการออกก�ำลังกายแล้วยังเป็นที่ชุมนุมญาติมิตรพบปะสังสรรค์ วาดของเขาค้นพบประมาณ กนั อยา่ งสนกุ สนานและกอ่ ใหเ้ กดิ ความสามคั คอี กี ดว้ ยจงึ ไดเ้ ปดิ สนาม สองรอ้ ยกวา่ ปมี าแลว้ ภาพนนั้ แบดมินตนั ขึ้นทบี่ า้ น มชี อื่ วา่ “Shuttlecock” หรอื ทางสโมสรกลาโหมจงึ ไดเ้ ปดิ การแขง่ ขนั แบดมนิ ตนั ทว่ั ไปเปน็ แปลวา่ “ลูกขนไก่” จากภาพ ครั้งแรกในประเทศไทยใน พ.ศ. 2462 นอกจากมีเล่นกันตามบ้าน วาดน้ีท�ำให้ทราบว่า กีฬาที่ตี ตามสโมสรต่าง ๆ แล้วในพระราชส�ำนักก็มีสนาม พระบาทสมเด็จ ดว้ ยลกู ขนไก่ ไดน้ ยิ มเลน่ กนั มา พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงโปรดกีฬานี้ เน่ืองจากมีผู้นิยมเล่น ในยโุ รป ภายใตช้ อื่ อนื่ มาหลาย แบดมินตันในประเทศไทยแพร่หลายมาก จึงมีนักแบดมินตันคณะ รอ้ ยปีแล้ว หนง่ึ ซง่ึ มพี ระยาจนิ ดารกั ษเ์ ปน็ ผนู้ ำ� ไดร้ เิ รม่ิ ตง้ั สนามขนึ้ ชอ่ื วา่ สมาคม แบดมนิ ตนั แหง่ ประเทศไทย เมือ่ พ.ศ. 2494 และพรอ้ ม ๆ กนั นีก้ ไ็ ด้ เขา้ เปน็ สมาชกิ ของสมาคมแบดมนิ ตนั นานาชาตดิ ว้ ย จนไดเ้ ขา้ แขง่ ขนั ชิงชนะเลิศถ้วยโธมัส ประจ�ำปี พ.ศ. 2494 และ พ.ศ. 2495 ได้เข้า แขง่ ขันถงึ รอบชงิ ชนะเลิศ ประโยชน์ของกีฬาแบดมินตัน 1. ท�ำใหม้ พี ลานามยั สมบรู ณ์แข็งแรง ท้ังร่างกายและจิตใจ 2. ท�ำให้มีสายตาและการเคลอ่ื นไหวทรี่ วดเร็ววอ่ งไว 3. ท�ำใหเ้ ป็นผ้มู คี วามสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ 4. ทำ� ให้เป็นผมู้ คี วามสามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเรว็ และทันเวลา 5. ทำ� ให้รู้จักแบ่งหนา้ ท่ี และรกั ษาหน้าท่ีมีการร่วมมอื กบั ผอู้ น่ื ได้ดี 6. สามารถเขา้ กบั ผูอ้ ื่นได้ และมีมนุษยสัมพนั ธ์ทด่ี ี 7. ท�ำให้เปน็ คนที่มนี �้ำใจเป็นนกั กฬี า ร้แู พ้ร้ชู นะ และรู้จักให้อภยั 8. ทำ� ใหเ้ ปน็ ผูท้ รี่ จู้ กั ใชเ้ วลาว่างใหเ้ ป็นประโยชน์16 สขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา < ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
คุณสมบตั ขิ องผเู้ ลน่ แบดมนิ ตัน แบดมินตันเป็นกีฬาท่ีต้องอาศัยความอดทนอดกลั้นทั้งก�ำลังกายและก�ำลังใจ นอกจากผู้เล่นจะต้องมีสมรรถภาพทางรา่ งกายท่ีดแี ลว้ ควรมคี ุณสมบัติตา่ ง ๆ ดงั น้ี 1. มีความสนใจอยา่ งแรงกลา้ 2. มคี วามกระตอื รอื รน้ ในการเรยี นรู้ และหาวธิ กี าร เลน่ ใหม่ ๆ อยู่เสมอ 3. มคี วามตอ้ งการใหต้ นเองมคี วามสามารถเพม่ิ ขนึ้ 4. มสี ายตาปกติ และสามารถเคลอื่ นไหวไดร้ วดเรว็ 5. มีรา่ งกายอ่อนตัวดี ยืดหยุน่ ไดด้ ี 6. สามารถใช้มือและแรก็ เกตใหส้ มั พันธ์กันไดด้ ี กติกาการแข่งขันแบดมนิ ตัน 1. กอ่ นที่จะเรมิ่ เล่น ทั้งสองข้างจะต้องท�ำการเส่ียง ข้างท่ีชนะการเสี่ยงมีสิทธ์ิเลือกท่ีจะส่งลูกก่อนหรือไม่ส่งลูกก่อน หรือเลอื กสนาม (เลอื กเอาด้านหน่งึ ด้านใด) ขา้ งทแ่ี พก้ ารเสย่ี งจะเลือกไดแ้ ตท่ ีย่ งั เหลืออยเู่ ทา่ นัน้ 2. การนับคะแนน ทุกประเภทของการแขง่ ขนั ฝ่ายทไี่ ด้ 21 คะแนนก่อนเป็นฝา่ ยชนะในเกมน้นั ยกเว้นเมื่อได้ 20 คะแนนเทา่ กนั ตอ้ งนบั ตอ่ ใหม้ คี ะแนนหา่ งกนั 2 คะแนน ฝา่ ยใดไดค้ ะแนนนำ� 2 คะแนนกอ่ นเปน็ ฝ่ายชนะ แต่คะแนนรวมตอ้ งไม่เกนิ 30 คะแนน ซ่งึ หมายความวา่ หากการเลน่ ดำ� เนนิ มาจนถึง 29 คะแนนเทา่ กัน ฝ่ายใดได้ 30 คะแนนก่อน เป็นฝา่ ยชนะ 3. การเลน่ ลูกหนา้ ตาข่าย (The Net Shots) เป็นการเล่นในขณะท่ีลูกอยู่ใกล้ตาข่าย คุณสมบัติของผู้ท่ีจะเล่นลูกหน้าตาข่ายได้ดี คือ ต้องมี ความวอ่ งไว ทง้ั สายตา เทา้ และมอื ใจเยน็ และตลี กู ไดเ้ บาแตม่ นั่ คง ลกู หนา้ ตาขา่ ยเลน่ ไดด้ ว้ ยการ แตะลูกเพียงเบา ๆ ให้ลูกเฉียดตาข่ายให้มากที่สุด สามารถเล่นได้ทั้งหน้ามือและหลังมือ ทักษะ พน้ื ฐานทว่ั ไปของการเลน่ ลกู หนา้ ตาขา่ ย คอื ตอ้ งเขา้ ถงึ ลกู ใหเ้ รว็ ทส่ี ดุ และตอ้ งเลน่ ในขณะลกู อยู่ เหนอื ตาขา่ ย หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 2 กีฬาแบดมินตนั 17
กตกิ าการสง่ ลกู การสง่ ลูกจะเสยี หรอื ผิดกติกา ถา้ ผสู้ ง่ 1. เหยียบเสน้ ใดเสน้ หนึ่ง ภายในสนามแข่งขัน 2. เท้าใดเท้าหนึ่งยกข้ึนหรือไม่ติดกับพื้นขณะตีลูก (หา้ มครูดหรือลากเท้า) 3. หลอกลอ่ หรอื เจตนาถว่ งเวลา 4. เม่ือตกลงว่าฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายส่งลูกก่อนผู้เล่น ซ่ึงอยู่ในสนาม “ส่งลูก” ไปยังสนามฝั่งตรงข้าม ต่อจากน้ันจะต้องเล่นลูกจนกว่าลูกนั้นถูกพ้ืน หรอื “เสีย” ห้าม 5. ผู้เล่นจะต้องส่งลูกหรือรับลูกส่ง ในสนามรับลูก สง่ ดา้ นขวา เมอ่ื การนบั คะแนนของผสู้ ง่ ลกู เปน็ 0 (ศนู ย)์ หรอื นบั คะแนนไดเ้ ปน็ จำ� นวนเลขคเู่ ทา่ นน้ั ในทางตรงกนั ขา้ ม การสง่ ลกู และรบั ลกู จะตอ้ งสง่ และรับในสนามส่งลูกด้านซ้าย เมื่อการนับแต้ม ของผู้สง่ ลกู ไดจ้ �ำนวนเป็นเลขค่ี 6. ผเู้ ลน่ ตอ้ งเปลยี่ นสนามสง่ ลกู ภายหลงั ทที่ ำ� คะแนน ได้ 1 คะแนน 7. ในการส่งลกู ถ้าลกู ตกในสนามส่งลกู ท่ีไมท่ ะแยง มมุ ตรงกนั ขา้ มกบั ผสู้ ง่ ลกู หรอื ไปตกนอกเสน้ เขต ขา้ งของสนามสง่ ลกู หรอื ไปตกไมถ่ งึ เสน้ สง่ ลกู สนั้ หรอื ไปตกเลยเสน้ ส่งลูกยาว ถอื วา่ ลกู นน้ั ฝา่ ยสง่ ลูกท�ำเสีย18 สขุ ศึกษาและพลศึกษา < ชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 4
8. เมอื่ ลกู อยใู่ นเวลา “กำ� ลงั เลน่ ” ผเู้ ลน่ คนใดคนหนงึ่ ถกู ตาขา่ ยหรอื ทข่ี งึ ตา ข่ายด้วยแรก็ เกต ดว้ ยตวั หรือดว้ ยเครอ่ื งแตง่ กาย จะถือเป็นลกู เสยี9. ถ้าลูกถูกตีมากกว่าหน่ึงครั้ง หรือลูกตีอยู่บนแร็กเกต (ช้อนลูก) ระหว่าง ท�ำการตีจะถือว่าลูกนน้ั “เสีย” ลูกเสยี10. ในระหว่างการเล่น ถ้าลูกถูกตาข่ายและ ติดตาข่ายอยู่ หรือถูกตาข่ายแล้วตกไปยัง พื้นสนามด้านของผู้ตีลูก เวลาเดียวกันผู้ เลน่ ถกู ตาขา่ ยหรอื ตวั ถกู ลกู ไมถ่ อื วา่ ผเู้ ลน่ ผนู้ นั้ กระทำ� ผดิ เพราะเวลานนั้ ลกู มไิ ดอ้ ยใู่ น การเล่นหนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 2 กีฬาแบดมนิ ตนั 19
มารยาทในการแข่งขนั แบดมินตนั 1. จะตอ้ งเปน็ ผมู้ ีนำ�้ ใจเปน็ นกั กฬี า พร้อมทีจ่ ะอภยั แกค่ วามผิดพลาดทกุ อยา่ ง 2. ไมเ่ อาเปรียบคูแ่ ขง่ ขันในการเส่ียง ใหโ้ อกาสคู่แข่งขันเปน็ ผเู้ ลอื กกอ่ น 3. ชมเชยเมื่อฝา่ ยตรงข้ามหรอื คู่ ตบลกู ได้แมน่ ยำ� หรือเลน่ ลูกได้สวยงาม 4. ใชค้ ำ� พดู ทสี่ ุภาพ รูจ้ กั ขอบคุณเม่ืออีกฝา่ ยเก็บลูกให้ 5. ตอ้ งพยายามควบคมุ สติและอารมณข์ องตนให้ม่ันคงอยเู่ สมอ 6. ขณะทกี่ ารแขง่ ขนั กำ� ลงั ดำ� เนนิ อยหู่ ากจำ� เปน็ ตอ้ งหยดุ พกั ตอ้ งขออนญุ าตผตู้ ดั สนิ กอ่ นทกุ ครงั้ 7. ไม่ควรเปล่ียนลูกบ่อยจนเกินไป ต้องรอให้มีสภาพที่ผิดปกติจริง ๆ และต้องของอนุญาต คู่แขง่ ขนั และกรรมการผู้ตดั สนิ เสยี กอ่ น 8. ไมค่ วรส่งลกู ลอดใตต้ าข่ายไปใหค้ แู่ ข่งขนั เพราะถือว่าขาดมารยาท 9. เมอ่ื การแขง่ ขนั สนิ้ สดุ ลงถา้ แพต้ อ้ งรบี เขา้ ไปแสดงความยนิ ดกี บั คแู่ ขง่ ขนั ทนั ทแี ตถ่ า้ ชนะตอ้ ง ไมแ่ สดงกริ ิยาดีใจมากจนเกินไป 10. ยอมรับและเชื่อฟงั กรรมการผ้ตู ดั สิน ไม่โตแ้ ยง้ ค�ำตดั สนิ ของกรรมการใบประเมินทกั ษะคะแนน รายการประเมิน จำ� นวนเตม็ จำ� นวนทีป่ ฏบิ ตั ไิ ด้ (ครง้ั ท)่ี คะแนน (ครงั้ ) 1 2 3 ที่ได้ 10 การเดาะลูกหน้ามือ 50 10 การเดาะลกู หลังมือ 30 5 การตีลูกหน้ามอื ข้ามตาข่าย 10 5 การตลี กู หลังมอื ข้ามตาขา่ ย 10 10 การตีโตก้ ับคู่ 20 5 การเสริฟ์ หน้ามือ 10 5 การเสรฟ์ิ หลงั มอื 1020 สุขศึกษาและพลศึกษา < ช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 4
เกณฑ์การใหค้ ะแนน 10 คะแนน ระดับคะแนน 7 คะแนน 6 คะแนน / 5 คะแนน 9 คะแนน 8 คะแนน / 2 คะแนน / 1 คะแนน / 4 คะแนน / 3 คะแนนการเดาะลูก การเดาะลูกหน้ามอื การเดาะลูก การเดาะลกู การเดาะลูก การเดาะลกูหน้ามือ ติดตอ่ กันได้ หนา้ มอื ติดต่อกนั หนา้ มอื ติดตอ่ กนั หนา้ มือตดิ ตอ่ กัน หนา้ มือติดต่อกนั 41 – 50 ครงั้ ขึ้นไป ได้ 31 – 40 ได้ 21 – 30 ได้ 11 – 20 ได้ 1 – 10การเดาะลูก การเดาะลกู หลงั มือ การเดาะลูก การเดาะลูก การเดาะลกู การเดาะลูก หลงั มอื ติดตอ่ กันได้ หลังมือตดิ ตอ่ กนั หลงั มือตดิ ต่อกนั หลงั มอื ตดิ ต่อกนั หลังมอื ตดิ ตอ่ กัน 41 – 50 ครัง้ ขึ้นไป ได้ 21 – 25 ได้ 16 – 20 ได้ 11 – 15 ได้ 1 – 10การตีลกู หนา้ มือ การตีลูกหน้ามือ การตลี ูกหนา้ มอื การตีลูกหน้ามือ การตลี ูกหนา้ มือ การตลี กู หน้ามอืขา้ มตาขา่ ย ขา้ มตาขา่ ย ขา้ มตาข่าย ขา้ มตาขา่ ย ขา้ มตาขา่ ย ข้ามตาขา่ ย ได้ 5 ครง้ั ได้ 4 คร้ัง ได้ 3 คร้ัง ได้ 2 คร้ัง ได้ 1 ครงั้การตลี กู หลงั มือ การตีลูกหลังมอื การตีลกู หลังมอื การตีลกู หลังมอื การตีลกู หลงั มือ การตลี ูกหลังมือขา้ มตาข่าย ข้ามตาข่าย ข้ามตาขา่ ย ขา้ มตาขา่ ย ขา้ มตาข่าย ข้ามตาขา่ ย ได้ 5 ครั้ง ได้ 4 ครัง้ ได้ 3 คร้งั ได้ 2 คร้งั ได้ 1 ครง้ัการตโี ตก้ บั คู่ ตีโต้กับคู่ ตีโต้กบั คู่ ตีโตก้ ับคู่ ตีโตก้ ับคู่ ตีโต้กบั คู่ ต่อเนอ่ื ง ได้ ต่อเนอื่ ง ได้ ตอ่ เน่อื ง ได้ ต่อเนือ่ ง ได้ ไม่ตอ่ เนื่อง 16 – 20 ครง้ั 11 – 15 คร้ัง 6 – 10 ครงั้ 1 - 5 ครง้ัการเสรฟิ์ เสิรฟ์ หนา้ มือ เสิรฟ์ หน้ามือ เสิร์ฟหนา้ มอื เสริ ์ฟหนา้ มือ เสริ ฟ์ หนา้ มือหนา้ มือ ลงในคอร์ดได้ ลงในคอร์ดได้ ลงในคอรด์ ได้ ลงในคอรด์ ได้ ลงในคอร์ดได้ 5 ลูก 4 ลกู 3 ลกู 2 ลูก 1 ลกูการเสรฟิ์ เสิร์ฟหลังมอื เสิร์ฟหลังมือ เสริ ฟ์ หลงั มือ เสริ ฟ์ หลงั มือ เสิรฟ์ หลงั มือหลงั มือ ลงในคอรด์ ได้ ลงในคอร์ดได้ ลงในคอรด์ ได้ ลงในคอรด์ ได้ ลงในคอรด์ ได้ 5 ลกู 4 ลูก 3 ลกู 2 ลูก 1 ลกู หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 2 กฬี าแบดมนิ ตัน 21
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 3 กิจกรรมเขา้ จังหวะ (Rhythmic Activities) กิจกรรมเข้าจังหวะ หมายถงึ กจิ กรรมประเภทตา่ ง ๆ ทรี่ า่ งกายและจติ ใจ มปี ฏกิ ริ ยิ าตอบสนองตอ่ ดนตรแี ละจงั หวะในรปู แบบของการ เคลอ่ื นไหว กจิ กรรมเขา้ จงั หวะเปน็ กจิ กรรมทางกายอยา่ งหนง่ึ ใน วิชาพลศึกษา เพ่ือให้คนได้มีการเคล่ือนไหวส่วนต่าง ๆ ของ รา่ งกายไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง โดยอาศยั การทำ� งานสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง ประสาทกล้ามเน้ือและใช้จังหวะในการเคล่ือนไหว ซึ่งจะ ช่วยให้บุคคลได้ระบายออกทางความรู้สึก ผ่อนคลายความ ตึงเครยี ดท้งั ทางร่างกายและจติ ใจไดด้ ี มีความสนกุ สนาน ความส�ำคัญของกจิ กรรมเขา้ จังหวะ 1. เพือ่ พัฒนาให้เกิดทศั นคตทิ างสงั คมอันพงึ ปรารถนา จากการเข้าร่วมกจิ กรรมเปน็ กลุ่ม 2. เพ่ือพัฒนาความเข้าใจและเคารพในเชื้อชาติ หรือมรดกทางสังคมของตนเองและ ชาติอืน่ ๆ 3. เพ่ือให้เกิดความซาบซ้ึงในจงั หวะดนตรีและลกั ษณะทเี่ ปน็ ธรรมชาติ 4. เพอื่ ใหม้ คี วามคดิ รเิ รมิ่ สรา้ งสรรค์ มเี จตคตทิ ด่ี ตี อ่ กจิ กรรมเขา้ จงั หวะและการเคลอื่ นไหว ทีถ่ ูกตอ้ ง 5. เพื่อสง่ เสริมความสมั พันธ์ในการท�ำงานระหว่างระบบประสาทและระบบกล้ามเนอื้ 6. เพอ่ื สง่ เสริมพัฒนาการด้านมนษุ ยสัมพันธ์ ปรบั ปรงุ ตนเองใหเ้ ขา้ กับสังคมและหมู่คณะ 7. เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงออกตามความรู้สึกนึกคิด ตามความรู้และความสามารถ ของตนเองอันเป็นแนวทางของการส่งเสรมิ ความคิดริเร่ิม 8. เพ่อื ให้เกิดทักษะและความรพู้ ื้นฐานในขอบขา่ ยของกิจกรรมเขา้ จงั หวะ22 สขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา < ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 4
ประโยชน์ของกิจกรรมเข้าจงั หวะ 2. ทางดา้ นจติ ใจ 1. ทางดา้ นรา่ งกาย ช่วยให้มีบุคลิกสง่างาม การท�ำงานของระบบ ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดและมีอารมณ์ตา่ ง ๆ ของร่างกายดยี ิง่ ข้ึน ออ่ นโยน ซาบซ้ึงต่อส่ิงต่าง ๆ ทีส่ วยงาม3. ทางดา้ นสงั คม 4. ทางดา้ นวฒั นธรรม ท�ำให้มีเพ่ือนมากขึ้น ได้เรียนรู้มารยาททาง เปน็ สอื่ กลางในการสรา้ งการยอมรบั และการสังคม และมีความเข้าใจซาบซ้ึงในวัฒนธรรมของ ดำ� รงไวซ้ ง่ึ ขนบธรรมเนยี ม และประเพณวี ฒั นธรรมประเทศตา่ ง ๆ มากขึ้น หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 3 กจิ กรรมเขา้ จงั หวะ 23
ขอบข่ายของกิจกรรมเข้าจังหวะ 1. การเคลือ่ นไหวเบื้องตน้ (Basic Movement) 2. การเคลื่อนไหวประกอบเพลง (Motion Song) 3. การเลน่ เกมประกอบเพลง (Singing Game) 4. การเล่นเลียนแบบสัตว์ การเล่นเป็นนิยาย และการเล่น แบบสรา้ งสรรค์ (Immitative, Story Plays and Creative Thinking) 5. การออกก�ำลงั กายประกอบดนตรี (Music Exercise) 6. การเตน้ รำ� พื้นเมอื ง (Folk Dance) ประเภทของกิจกรรมเขา้ จงั หวะ 1. การเตน้ รำ� พนื้ เมอื ง (Folk Dance) เปน็ การเตน้ รำ� ประจำ� ท้องถ่นิ ของประเทศน้นั ๆ 2. การเต้นรำ� แบบจตั รุ สั (Square Dance) เปน็ การเตน้ ร�ำ ในรูปแบบของส่ีเหลย่ี มจัตุรัส 3. การเตน้ รำ� แบบสมยั ใหม่ (Modern Dance) เปน็ การเตน้ ท่ีทันสมยั โดยใชส้ ่วนตา่ งๆ ของร่างกายแสดงออก 4. ลีลาศ (Social Dance) การเต้นร�ำที่เคล่ือนไหวทุกส่วน ของร่างกายใหเ้ ข้ากับจังหวะที่เปน็ ศิลปะสากลทัว่ โลก24 สขุ ศึกษาและพลศกึ ษา < ชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 4
ใบบนั ทกึ เพลงทเี่ รยี น1 2 3 Bunny Hop La Raspa Ten Pretty Girl วันทีเ่ รียน วันทเี่ รยี น วนั ทเี่ รยี น // // //4 5 6Shoe Maker’s Dance Tango Bushi Mayim Mayim วันท่เี รยี น วนั ที่เรียน วนั ที่เรยี น // // //7 8 9 Oklahomar Mixer Jingle Bell Cotton Eyed Joe วันที่เรียน วันท่ีเรยี น วนั ที่เรียน // // //10 11 12 Korobushka ลีลาศ จงั หวะ Waltz ลีลาศ จังหวะ Beguin วันทเ่ี รยี น วนั ท่เี รียน วันที่เรียน // // // หนว่ ยการเรียนร้ทู ่ี 3 กิจกรรมเข้าจังหวะ 25
ใบงานที่ 1 1 ใหน้ กั เรียนเขยี นเก่ยี วกบั ความหมายของกจิ กรรมเขา้ จงั หวะ 2 ความส�ำคัญของกิจกรรมเข้าจงั หวะ26 สขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา < ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4
ใบงานท่ี 21 ใหน้ ักเรยี นเขียนเกี่ยวกับจดุ มุ่งหมายของกิจกรรมเขา้ จงั หวะ2 ประโยชน์ของกจิ กรรมเข้าจงั หวะ หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 3 กจิ กรรมเข้าจงั หวะ 27
ใบงานที่ 3 1 ให้นกั เรียนเขยี นเก่ียวกบั ประเภทของกจิ กรรมเขา้ จงั หวะ 2 ขอบขา่ ยของกิจกรรมเขา้ จังหวะ28 สขุ ศึกษาและพลศกึ ษา < ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 4
ใบงานท่ี 41 ใหน้ กั เรยี นจบั กลุ่ม กลมุ่ ละ 5 – 6 คน แล้วเขียนชอื่ สมาชิกกลมุ่ ลงในใบงานที่ 4 ใหท้ ำ� งานกลุ่ม โดยเลอื กเพลงทจี่ ะแสดง 1 เพลง และซอ้ มท่าทางการเต้น 1 เพลงโดยมเี กณฑ์การให้คะแนนงานกล่มุ คอื 1. ความคดิ สร้างสรรคข์ องท่าเตน้ ที่เหมาะสมกับเพลง 2. ความพรอ้ มเพรียงในการเตน้ 3. การแต่งกายกลมุ่ 4. รูปแบบการเต้น 5. ความสวยงาม เพลงท่จี ะแสดง คือ เพลงเพ่อื ซ้อมทา่ เต้น คือ ปัญหาทีพ่ บในการซ้อม คอื หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 3 กิจกรรมเข้าจงั หวะ 29
ใหน้ กั เรยี นประเมนิ ทกั ษะการเคลอ่ื นไหวเบอื้ งตน้ ของตนเองในแตล่ ะรายการแลว้ วงรอบตัวเลขทค่ี ิดว่าเหมาะสมกับความสามารถของตนเอง1. เดิน 2. การ Hop 3. การชาติช (Schottische)12345 12345 12345 4. การ Two - Step 5. การ Skip 6. การ Slide12345 12345 1234530 สขุ ศึกษาและพลศึกษา < ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 4
การประเมนิ ทกั ษะวิชากิจกรรมเข้าจังหวะทักษะการเคลื่อนไหวเบอื้ งตน้ ทา่ เร่ิมต้น จังหวะ ความสวยงาม1. Walk 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 42. Hop 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 43. Schottische 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 44. Two Step 1 2 3 45. Skip 1 2 3 46. Slide 1 2 3 4เพลงบงั คับ 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 41. 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 42. 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 43. 4. การแสดงกล่มุ 1 2 3 4 คะแนนท่ีได้ 1 2 3 4 คะแนนรูปแบบ 1 2 3 4ทา่ เตน้ 1 2 3 4ความคดิ สรา้ งสรรค์ 1 2 3 4ความพรอ้ มความสวยงาม หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 3 กิจกรรมเข้าจังหวะ 31
32 สขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา < ช้นั ประถมศึกษาปที ่ี 4
Search
Read the Text Version
- 1 - 33
Pages: