ถอดความรู้ด้านศิลปวัฒปวฒั นธรรม จากการเรยี นการสอนวิชาปฏิบตั กิ ารสรา้ งเสรมิ สุขภาพจติ และการพยาบาล จติ เวช นกั ศกึ ษาชัน้ ปที ่ี 4 ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2560 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั สวนดสุ ิต หัวข้อการจดั การเรยี นการสอน: โครงการสบื สานการละเล่นไทย รว่ มใสใ่ จพฒั นาการเดก็ การใช้ภูมิปัญญาไทย “การละเลน่ พืน้ บ้าน”เพ่อื ช่วยส่งเสรมิ พัฒนาการเดก็ ปฐมวัย อ.ศริ พิ ร นนั ทเสนยี ์ ความสาคัญ คุณค่า และประโยชนข์ องการละเล่นพืน้ บ้านไทย การละเล่นพ้นื บ้าน เปน็ การเลน่ ที่สืบทอดกันมาแต่โบราณโดยเฉพาะเดก็ ๆ จะนยิ มเลน่ กันมาก เด็กสมยั ก่อนจะ เรียนรู้การละเล่นโดยไม่มีการเรียนการสอน การละเล่นพื้นบ้านไม่ว่าของภาคใดล้วนเป็นประโยชน์ เพราะ การละเล่นทาให้เด็กได้เคลื่อนไหว ได้ออกกาลังกาย เกิดความคล่องแคล่วว่องไว ฝึกความอดทน ฝึกการเป็นผู้นา และผู้ตามที่ดี ฝึกการสังเกต มีปฏิภาณไหวพริบ สร้างความสามัคคีในหมู่คณะ พร้อมทั้งเกิดความสนุกสนาน การละเล่นจึงถือว่าเป็นหัวใจสาคัญของเด็ก ในปัจจุบันโรงเรียนควรที่จะนาเอาการละเล่นพ้ืนบ้านมาใช้ในการ จดั การเรียนการสอน เพ่ือเป็นการสบื สานภมู ิปัญญาท้องถิ่นมาเช่ือมโยงสกู่ ารเรยี นรู้ โดยเฉพาะการละเล่นพ้ืนบ้าน การละเล่นพ้ืนบ้านควรให้เยาวชนรุ่นหลังได้เรียนรู้และอนุรักษ์ไว้ซ่ึงการละเล่นพื้นบ้านเป็นกิจกรรมรู้จักความ ยุตธิ รรม รูจ้ ักการใหก้ ารรับและช่วยพัฒนากลา้ มเนื้อสว่ นตา่ งๆ ให้เจริญเติบโต ผ่อนคลายความตึงเครยี ด
ผอบ โปษะกฤษณะ. (๒๕๒๒). ได้สรุปคุณค่าของการละเล่นพ้ืนบ้านของเด็กไทยซ่ึงแบ่งเป็น คุณค่าทาง วัฒนธรรม ดา้ นสงั คม และดา้ นภาษา ดังน้ี ดา้ นวัฒนธรรม การละเล่นของเด็กไทย มีลักษณะท่ีแสดงถึงความเจริญงอกงามของเด็กปรากฏอย่างชัดเจน คือ 1. เสรมิ สร้างพลานามัยใหส้ มบูรณ์ 2. เสริมสร้างทักษะต่าง ๆ ให้เจริญ เช่น ทักษะในการใช้สายตาสังเกต ทักษะในการเคลื่อนไหวอวัยวะ 3. ส่งเสริมความเจริญทางสติปัญญา เช่น ฝึกให้ใช้ความคิด ฝึกให้มีไหวพริบ ฝึกการคาดคะเนด้านสังคม 3.1 การละเล่นของเด็กไทยสะทอ้ นภาพของสงั คมไทยในด้านต่างๆ เช่นสภาพความเปน็ อยู่ อาชีพ เปน็ ต้น 3.2 การละเล่นช่วยส่งเสริมบุคลิกภาพของเด็ก ไม่ว่าจะเป็นทางกายภาพและทางจิตใจ ฝึกให้เป็นผู้ที่มี ระบบระเบียบวินัย และความรับผิดชอบ มีความสามัคคีในหมู่คณะ เม่ือเติบโตข้ึนเด็กๆ เหล่านี้ก็จะมีคุณสมบัติ เหมาะสมทจ่ี ะเป็นกาลังของชาตอิ นั เป็นคณุ คา่ ทางสงั คมอนั พงึ ปรารถนา ด้านภาษา บทร้องประกอบการร้องของเด็ก มีคุณค่าทางภาษาทั้งในแง่วรรณศิลป์และในแง่การสื่อสาร ในแง่วรรณศิลป์ นั้น บทร้องมรี ูปแบบไมจ่ ากัดตายตวั มีการใช้คาเป็นวรรคสัน้ ๆ และมีเสียงสัมผสั คล้องจอง ทาให้เกิดความไพเราะ ทานองที่ใชร้ ้องเปน็ ทานองง่าย ๆ มจี งั หวะเข้ากบั วิธเี ล่น มกี ารใช้คาเลยี นเสียงต่าง ๆ และมกี ารใช้สัญลักษณ์ในเน้ือ ร้อง แฝงความหมายที่น่าสนใจ ในแง่ของการส่ือสารนับว่าบทร้องประกอบการละเล่น ได้มีส่วนช่วยให้เด็กมี พัฒนาการทางภาษาโดยไม่รู้ตวั เพราะมที ั้งคาคล้องจอง คาถาม คาตอบ และคาพูดที่ต้องใช้ในชีวิตประจาวัน ช่วย ให้เด็กได้รับความสนุกสนานในการใช้ภาษาส่ือสารไปด้วย ช่วยพัฒนาการทางด้านความคิดและการสังเกตได้เป็น อยา่ งดี สาร สาระทัศนานันท.์ (๒๕๒๙). ได้กลา่ วถึง ความสาคัญของการละเลน่ พืน้ บา้ นไวว้ า่ ธรรมชาติของมนุษย์ เกิด มาย่อมมีการเคลื่อนไหว จะอยู่นิ่งไม่ได้ยิ่งเป็นเด็กแล้วต้องมีการเคลื่อนไหวบ่อย ๆ ท้ังนี้เพ่ือบริหารร่างกายให้ เจริญเติบโต การเคลื่อนไหวหรอื การออกกาลงั กายนบั เปน็ สง่ิ จาเปน็ อย่างหน่ึงของมนษุ ยท์ ง้ั เดก็ และผู้ใหญ่ตลอดจน ผสู้ งู อายุ และมนุษยผ์ ูม้ นี สิ ยั ชอบสังคม คือ ชอบรวมกนั อยู่เปน็ กลมุ่ หรรษา นลิ วิเชียร. (๒๕๓๕). ได้กล่าวว่า การเล่นเป็นส่วนสาคัญของชวี ติ เด็ก และมคี ุณค่าตอ่ การพฒั นาการทั้ง ทางดา้ นรา่ งกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญา การเล่นทาให้เด็กเรยี นรู้ การรู้จักดัดแปลง คิดยดื หยุ่น การนาเชือก มาผูกแทนชิงชา ปีนเล่นบนก้อนหินแทนการปีนเล่นบนเคร่ืองเล่นในโรงยิม ใช้ม้าก้านกล้วยสมมุติเป็นม้า การเล่น จะช่วยให้เด็กฝึกจินตนาการและความคิดสร้างสรรคเ์ ด็กจะสรา้ งภาพพจน์ และเรอ่ื งราวต่าง ๆ แมแ้ ต่เร่ืองในใจของ ตนเอง เด็กจะฝึกเลียนเสียงธรรมชาติ เสียงสัตว์ เด็กจะศึกษาหาวิชาใหม่ ๆ จากการเล่นวัสดุ ส่ิงของ จะเห็นได้ว่า การเล่นมคี วามสาคญั มากต่อชีวติ ในวัยเด็ก การเล่นชนิดต่าง ๆ จะส่งผลให้เด็กมคี วามเจรญิ งอกงามและพัฒนาการ ครบทุกด้าน
ทิพวรรณ คนั ธา. (๒๕๔๐). ไดก้ ลา่ วถึง คุณคา่ ของการละเลน่ พน้ื บา้ น วา่ เปน็ การเลน่ ทสี่ ามารถสง่ เสริมกล่าว เนอื้ ส่วนตา่ ง ๆ ของร่างกายไดเ้ ป็นอยา่ งดี เพราะผู้เล่นได้เคล่อื นไหว ได้ออกกาลังกาย รู้จกั เคารพกติกาในการเล่น รูจ้ กั การรอคอย มคี วามอดทน ร้แู พร้ ้ชู นะและให้อภัย ช่วยเสริมสร้างความสามคั คีในหมู่คณะ ตลอดจนผู้เลน่ ได้รบั ความสนกุ สนาน อีกทั้งยังเป็นการอนรุ ักษว์ ฒั นธรรมพ้ืนบ้านให้คงอยู่ ความหมายของการละเลน่ พ้ืนบา้ นของไทย ไดม้ ีผ้ใู หค้ วามหมายของการละเลน่ พ้ืนบ้านของไทยไว้หลายทัศนะกลา่ วคอื พจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 (2545: 4) ไดใ้ ห้ความหมายไว้ว่าการกระทาของเด็กท่ีทาไปเพ่ือความสนกุ สนานหรือผ่อนคลายอารมณ์ ใหเ้ พลิดเพลิน ละมุล ชัชวาล (2543: 16) ได้ให้ความหมายไว้ว่าเป็นการละเล่นของเด็กท่ีนิยมเล่นกันในท้องถ่ินและเล่นสืบ ทอดต่อกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เป็นกิจกรรมท่ีเด็กเล่นเพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน อาจจะเป็นการเล่น คนเดียวหรือเล่นเป็นกลมุ่ การละเล่นจึงมีบทบาทต่อพัฒนาการท้ัง 4 ด้านของเด็ก และเป็นเคร่ืองหมายแสดงออก ถงึ ความคิดริเรมิ่ สรา้ งสรรค์ของเด็กอกี ด้วย ชัชชัย โกมารทัต (2549: 21) ได้ให้ความหมายไว้ว่าเป็นกิจกรรมการเล่นและเกมที่ใช้ทักษะทางกายท่ี กระตือรือร้น ใช้ความสามารถในการเคล่ือนไหวร่างกายตามแบบวัฒนธรรมไทย เป็นกิจกรรมการแข่งขันท่ีมีแบบ แผนอย่างไทย มีวิธีการเล่นท่ีเป็นระบบระเบียบอย่างไทยมีกฎกติกาอย่างไทยมีผลประโยชน์จากการเล่นท้ัง ประโยชน์ภายในและภายนอก ตามรูปแบบวิถีการดาเนินชีวิตดั้งเดิมแบบไทย การละเล่นของเด็กไทยในปัจจุบัน เดก็ ผู้หญิงเล่นตุ๊กตากระดาษ ชุดขายของเป็นพลาสตกิ เลยี นแบบของจริงวีดีโอเกมเด็กผชู้ ายก็เลน่ ปืนจรวด เกมกด และเครื่องเล่นต่างๆ ซ่ึงมีขายมาก มายและมีการละเล่นหลายชนิดที่นิยมเล่นท้ังในเด็กชายและเด็กหญิ ง นอกจากน้ันยังเล่นตาม ฐานะและเศรษฐกิจของครอบครัว ดังน้ันการละเล่นของเด็กไทยสมัยก่อนจึงค่อยๆ เลือน หายไปที ละนอ้ ยๆ จนเกอื บจะสูญหายหมดแลว้ เชน่ กาฟักไข่ เขย่งเก็งกอย ต้ังเตต่ี ขี่ม้าส่งเมือง ข้ตี ู่กลาง นา เตย งู กินหาง ช่วงชยั ชกั คะเยอ่ ซ่อนหา มอญซ่อนผา้ ไอ้โม่ง รีรีข้าวสาร เป็นตน้ (วริ าภรณ์ ปนาทกุล, 2531: 11-13) จากเอกสารดังกล่าวสรุปได้ว่า การละเล่นพื้นบ้านของไทย หมายถึงการละเล่นท่ีผู้เล่นต่างสมัครใจมีการ เคล่ือนไหวในกิริยาต่างๆ เน้นความสนุกสนานเพลิดเพลินเปน็ การถ่ายทอดของคนไทยสืบตอ่ กันมาจากรุน่ หนึง่ ไปสู่ อีกรุ่นหน่ึง มีกฎกติกาที่ไม่ซับซ้อนสามารถยืดหยุ่นให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ และมีความเหมะสมกับวีถีชีวิต วฒั นธรรมของท้องถ่ินนัน้ ๆ เม่ือเดก็ ได้เล่นคนเดียวหรือเป็นกลุ่มอย่างสม่าเสมอ จะทาให้เด็กได้รับการเตรียมความ พร้อมในพัฒนาการด้านต่างๆ ครบท้ัง 4 ด้าน ได้แก่ ด้านร่างกาย ด้านอารมณ์ ด้านจิตใจ ด้านสังคมและด้าน สตปิ ัญญา อีกทั้งมสี ่วนช่วยพัฒนาให้เด็กเกดิ ความเชือ่ มน่ั ในตนเองได้อีกทางหน่ึงด้วย ความเป็นมาของการละเลน่ พืน้ บา้ นของไทย การละเล่นพ้ืนบ้านของไทยในสมยั ก่อนน้ันสามารถศึกษาได้จากวรรณคดีของไทยแต่ละสมัย เพราะวรรณคดี จะสะท้อนให้เห็นสภาพชีวิตของคนในยุคนั้น ในสมยั สุโขทยั ศิลาจารึก ของพ่อขุนรามคาแหงกล่าวถงึ คนในสมัยน้ัน วา่ เป็นสขุ อยากเล่นก็เล่นดังที่กล่าวไว้ว่า”ใครจัก เล่นเล่นใครจักหัวหัวใครจักมักเล่ือนเล่ือน” (ผอบ โปษะกฤษณะ.
2532: 7 - 10) คร้ันถึง สมัยอยุธยาได้กล่าวถึงการละเล่นพ้ืนบ้านไว้ในบทละครครั้งกรุงเก่า เรื่องนางมโนห์ราซึ่ง สมเด็จ กรมพระยาดารงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานว่าแต่ก่อนสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศการเล่นที่ปรากฏ ในบทละครเร่ืองนี้ก็มีการเล่นลิงชิงหลักและการเล่นปลาลงอวน (วิราภรณ์ ปนาทกูล. 2531: 11) พระยาอนุมาน ราชธน (อ้างถึงในละมุล ชชั วาลย์. 2543:16 - 17) ไดก้ ล่าวว่า การเล่นพ้ืนบ้านมีมานานตั้งแตส่ มัยดึกดาบรรพก์ ่อน ประวัติศาสตร์ เม่ือมนุษย์เพิ่งรู้จักเอาดินมาป้ันเป็นภาชนะในครั้งแรก แล้วจึงเจริญเรื่อยมาตามลาดับเด็กที่เห็น ผูใ้ หญท่ าก็เลียนแบบมาป้ันเล่นบา้ ง เช่นการเล่นแตกโพละคือเอาดินมาป้ันเป็นรปู กระทงเล็กๆแตใ่ ห้ส่วนท่ีเป็นดนิ มี ลักษณะบางท่ีสุดเท่าท่ีจะบางได้ เพื่อให้แตกเป็นรูโหว่ จากวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผนก็มีการกล่าวถึงการเล่นไม้ ห่ึง การเล่นเกมบทบาทสมมุตินอกจากน้ีมีคาฉันท์เยาวพจน์ของนายเปโมรากวีสมัยรัชกาลท่ี 5 ได้แต่งคาฉันท์ เก่ยี วกับการเล่นของเด็กตลอดจนบทร้องเล่นโดยแสดงความเช่ือว่าการเล่นของเด็กเป็นการเล่นตามวิธีทีเ่ ทวดาสอน ให้ (สุรสิงห์สารวม ฉิมพะเนาว์. 2520 อ้างถึงในละมุล ชัชวาลย์. 2543 : 17) การละเล่นของเด็กไทยสมัยก่อน แตกต่างจากสมัยปัจจุบัน ของเล่นสมัยก่อนไม่มีปืนหรือรถยนต์เล็กๆ แม้จะมีลูกบอลแต่มีราคาแพงและไม่ แพร่หลาย ของเล่นส่วนใหญ่มักจะทาเองจากวัสดุท่ีหาได้เองจากท้องถิ่น เช่น ม้าก้านกล้วย ตะกร้อสานด้วยใบ มะพร้าว สาหรับโยนเตะเล่น หรอื ต๊กุ ตาวัวควายปั้นดว้ ยดนิ เหนียวของเด็กเล่นทท่ี ันสมยั นั้นนิยมเลน่ กันคอื ใช้ผ้าข้รี ้ิว หุ้มปากหม้อ เอาเชือกผู้รัดคอหม้อให้แน่นแล้วเอาดินเหนียวเหลวๆละเลงทาให้ทั่วหาไม้เล็กๆมาดึงผ้าที่ขึงข้างๆ หม้อโดยรอบ เพื่อขันเร่งให้ผ้าตึงก็เป็นอันเสร็จตีได้มีเสียงดังกลองหม้อตาล ของใครตีดังกว่าถือว่าเป็นคนเก่งถ้าตี กระหน่าจนผ้าหุ้มขาดก็ทาใหม่ เด็กผู้หญิงส่วนใหญ่เล่นหม้อข้าวหม้อแกงหรือเล่นขายของหุงต้มแกงไปตามเรื่อง เอาเปลือกส้มโอเปลือกมังคุดหรือใบต้นปิดผสมด้วยปูนแดงเล็กน้อยค้ันเอาน้าข้นๆรองภาชนะอะไรไว้ในไม่ช้า จะ แข็งตัวเอามาทาเป็นวนุ้ (วิราภรณ์ ปนาทกลู . 2531: 12) ละมุน ชัชวาลย์ (2543: 16) ได้ให้ความหมายไว้ว่า เป็นการละเล่นของเด็กท่ีนิยมเล่น กันในท้องถิ่นและ เล่นสืบทอดต่อกันมาต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เป็นกิจกรรมที่เด็กเล่นเพ่ือความ สนุกสนานเพลิดเพลิน อาจจะเป็น การเล่นคนเดียวหรือเล่นเป็นกลุ่มการละเล่นจึงมีบทบาทต่อ พัฒนาการท้ัง 4 ด้านของเด็ก และเป็นเครื่องหมาย แสดงออกถึงความคิดรเิ ริม่ สรา้ งสรรค์ของเด็ก อีกดว้ ย จากเอกสารดังกล่าวสรุปได้ว่าการละเล่นพื้นบ้านของไทยเกิดข้ึนมานาน และได้กลายมาเป็นวัฒนธรรม พ้ืนบ้านและประเพณี การละเล่นบางอย่างได้สูญหายไปและมีการรื้อฟ้ืนขึ้นใหม่โดยมีการจัดแสดงหรือสาธิตให้ดู ในการจัดงานการแสดงในโอกาสสาคัญต่างๆการละเล่นพื้นบ้านควรได้รับการส่งเสริมให้เด็กไทยได้เล่น และรู้จัก มากขนึ้ เพ่อื เป็นเอกลกั ษณข์ องประเทศ ลักษณะของการละเลน่ พ้นื บ้านของไทย ได้มีผู้ให้แนวคิดเกี่ยวกับลักษณะของการละเล่นพ้ืนบ้านของไทยไว้หลายทัศนะ กล่าวคือ นักมานุษยวิทยา และนักคติชนวิทยาจานวนไม่น้อยที่สนใจศึกษาลักษณะการเล่นพื้นบ้านของกลุ่มชนหรือสังคมหนึ่งๆ และได้สรุป ลักษณะการละเล่นของเด็กไทยว่ามีลักษณะเป็นท้ัง “ PLAY “ และ “ GAME “ กล่าวคือ การละเล่นของเด็กไทย บางชนดิ จะเลน่ เพอ่ื ความสนุกสนานไม่เน้นการแข่งขนั เช่นการเล่นจา้ จี้ การเล่นขายของ งกู ินหาง ตบแผละเปน็ ต้น
ซงึ่ การละเล่นดงั กล่าวนเี้ ข้าลกั ษณะของ “ PLAY “ การละเล่นของเด็กไทยอีกบางชนดิ เป็น “ GAME “ เพราะเป็น การแข่งขัน มีการตัดสิน มีกฎเกณฑ์ เช่น อีตัก เตย และรวมทั้งการละเล่นอื่นๆที่มีลักษณะผสมผสานกันระหว่าง การเล่นเพ่อื ความสนกุ สนาน และการเลน่ ท่ีมกี ฎกติกายืดหยุ่นได้ด้วย การละเล่นพ้ืนบ้านของไทยมีความสัมพันธ์กับ สภาพแวดล้อมทางสังคม เป็นกิจกรรมของสังคมที่ผูกพันสอดคล้องกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย ดังนั้น ลักษณะของการละเลน่ พ้ืนบ้านของไทย จึงมคี วามโดดเดน่ ที่ไม่เหมอื นกบั สงั คมอืน่ ๆดังน้ี 1) การละเลน่ ของเด็กไทยจะไมข่ ัดต่อศลี ธรรมอนั ดีงามของชาติ และไม่เป็นการทารุณกรรมตอ่ สัตว์ 2) การละเล่นของเดก็ ไทยจะมคี วามเป็นสากลคอื ไมเ่ ป็นการละเล่นเฉพาะเทศกาล เช่น แม่ศรีลงิ ลม ซึ่ง นยิ มเล่นในเทศกาลสงกรานต์จงึ ไม่เป็นการละเลน่ ท่เี ลน่ ในท้องถ่ินเท่านน้ั สามารถเล่นได้ทั่วไป โดยไม่ใชอ้ ุปกรณ์ท่ีมี เฉพาะท้องถิ่นหรือภาษาถ่ิน 3) การละเล่นของเดก็ ไทยจะไม่ใช้การแข่งขนั เพ่อื พนนั เพราะเป็นการปลูกฝงั และเพาะนิสยั ทีไ่ มด่ ใี ห้แก่ เด็ก 4) การละเล่นของเดก็ ไทยจะไม่มีการล้อเลยี นเหยียดหยามผู้อ่ืน อนั จะนาไปสู่การทะเลาะวิวาทกัน 5) การละเลน่ ของเดก็ ไทยจะมคี วามเหมาะสมกบั ระดบั พัฒนาการของเด็กในระดับชัน้ ประถมศกึ ษา ซึ่ง เป็นเดก็ ที่มีชว่ งอายรุ ะหว่าง 6 - 16 ปี 6) ความสอดคล้องกับสภาพแวดล้อม เนื่องจากสังคมไทยเป็นสังคมเกษตรส่วนใหญ่มีชีวิตผูกพันกับ ธรรมชาติ และใช้เวลาอยู่กับการประกอบอาชีพทางการเกษตรการเล่นของคนไทย จึงเล่นในเวลาว่างเว้นจากการ ทาไร่นา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเล่นในช่วงว่างหลังจากการเก็บเกี่ยวพืชผลคือในวันเทศกาลต่างๆ ได้แก่วันตรุษวัน สงกรานต์ การละเล่นพืน้ บ้านท่ีนยิ มเลน่ มีสะบา้ ชักเย่อ มอญซ่อนผา้ เป็นต้น นอกจากน้ีการเล่นบางอย่างนามาเล่น ในเวลาเยน็ และเวลากลางคืน ซึ่งเปน็ เวลาที่มีโอกาสพักผ่อนจากงานประจาวัน 7) วิธีการเล่นการเล่นเป็นกิจกรรมทางสังคม ซ่ึงทาให้คนเล่นมีโอกาสพบปะสัมพันธ์กันพูดคุยและสนุก สนานร่วมกันได้รับความเพลิดเพลินจิตใจเบิกบานมีสุขภาพกายและจิตท่ีดี ซึ่งเป็นลักษณะของการนันทนาการ อย่างหน่ึง ดังน้ันลกั ษณะของการเลน่ อันเป็นการละเล่นพื้นบ้านจึงไม่เครง่ ครัดหรอื เอาจริงเอาจัง แม้จะมีกติกาหรือ ขอ้ กาหนดในการเล่นกเ็ ป็นกติกาท่ีไม่แนน่ อนตายตัว ผู้เล่นสามารถปรับเปล่ียนกติกาในการเล่นได้ตามสถานการณ์ หรือสภาพแวดล้อม ในขณะที่กาลังเล่นจะเห็นได้จากการเล่นจ้าจ้ีไม่ได้กาหนดจานวนผู้เล่นเล่นสนุกๆไม้ต้องการ เอาชนะกันจริงจงั ในเวลาเล่นร่วมกัน ดังนน้ั จงึ พบว่าการละเลน่ พืน้ บ้านของไทยอย่างหนง่ึ ๆจะมีลกั ษณะของวิธกี าร เล่นไม่เหมือนกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นการเล่นต่างถิ่นกันวิธีการเล่นจะถูกดัดแปลงจนมีความแตกต่างกัน ซ่ึ ง อาจเป็นบทร้องประกอบการเล่นกติกาในการเล่นการใช้อุปกรณ์การเล่นเป็นต้น (ธิดา โมสิกรัตน์ อ้างถึงใน สม จินตนา คุปตสุนทร. 2547:36) จากเอกสารดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ลักษณะการละเล่นพ้ืนบ้านของไทยเป็นกิจกรรมท่ียอมรับร่วมกันใน สังคม เป็นสมบัติร่วมกันของคนในสังคม ซ่ึงมีการรับการถ่ายทอดจากคนรุ่นหน่ึงไปยังคนอีกรุ่นหน่ึง ด้วยการสอน แนะนาหรอื ด้วยการเล่นเลยี นแบบกันเป็นการเล่นท่ีไม่ซับซ้อน สามารถยืดหยุ่นได้เน้นความสนุกสนาน ไม่เน้นการ
แพ้ชนะจึงมคี ุณคา่ และมีส่วนสาคญั ในการหล่อหลอมและเชื่อมโยงประสบการณ์ทางสังคมให้กบั เด็ก ทาให้เดก็ ไทย ประสบความสาเร็จในการเล่นจนเกิดความภาคภูมิใจในตนเอง เห็นคุณค่าของตนเองกล้าคิดกล้าแสดงออกมี บคุ ลกิ ภาพท่เี ปิดเผยเป็นตวั ของตนเอง รู้จักการปรบั ตัวให้อยู่ร่วมกับผอู้ ืน่ ดังน้นั ลักษณะเด่นของการละเลน่ พ้ืนบา้ น ของไทยจงึ มีส่วนชว่ ยในการกระต้นุ และพฒั นาเดก็ ให้มีความเช่ือมนั่ ในตนเองไดอ้ ีกหนทางหน่ึงด้วย ประโยชนข์ องการละเลน่ พื้นบ้านของไทย ได้มผี กู้ ล่าวถงึ ประโยชนข์ องการละเลน่ พ้นื บา้ นไวห้ ลายทศั นะกลา่ วคือ วิราภรณ์ ปนาทกลู (2531: 18 – 19) ได้กลา่ วถงึ ประโยชนข์ องการละเลน่ พื้นบ้านดงั นี้คือ 1) เป็นการเล่นท่ีไมจ่ ากัดจานวนผเู้ ลน่ สว่ นใหญจ่ ะเล่นเปน็ หมซู่ ง่ึ ทาให้เดก็ เกดิ ความรสู้ กึ วา่ การอยู่ในหมู่ คณะเปน็ สง่ิ ทีม่ ีความสขุ สนกุ สนาน เมอ่ื เติบโตเป็นผู้ใหญ่จะมอี ุปนสิ ัยรกั หมู่คณะฝกึ ใหร้ ู้จักการปรบั ตัวเขา้ กับสังคม อนั จะเปน็ การส่งเสรมิ พฒั นาการทางด้านสังคมของเดก็ ให้ดีขึน้ 2) เปน็ การละเล่นที่ไมเ่ นน้ อุปกรณ์หรือเครอ่ื งประกอบการเล่นมากนัก ถ้ามีก็จะเปน็ วัสดุทห่ี าง่าย สะดวกสบายและประหยัด ซึ่งเหมาะสมกับสภาพของโรงเรียนประถมศกึ ษา 3) ไม่มกี ติกาซบั ซ้อนเปน็ การละเล่นทง่ี ่าย เด็กมีอิสระในการเล่นอยา่ งสนกุ สนาน เปน็ การฝกึ ความคิด สร้างสรรคข์ องเดก็ ทจ่ี ะคดิ การละเล่นและกติการว่ มกันอยา่ งเหมาะสม 4) เป็นการละเล่นเพ่ือออกกาลังกายเป็นสว่ นใหญ่ เพื่อใหม้ ีความคล่องแคลว่ ว่องไวในการเคล่ือนไหว รา่ งกาย ในขณะเดียวกันก็ฝึกความเป็นคนช่างสังเกตมีไหวพรบิ ความแมน่ ยาการตดั สินใจ และความพรอ้ มเพรยี ง การเล่นจงึ ไม่มผี แู้ พ้ผู้ชนะการเล่นบางประเภทมีเนื้อร้องและบทสนทนาประกอบทาใหเ้ พ่ิมความสนุกสนานมากขนึ้ ชมรมคณาจารย์เด็ก ยังกล่าวถึงประโยชน์ของการละเล่นพ้ืนบา้ น อีกดงั นี้ (คณาจารยช์ มรมเดก็ . 2545: 16 – 17) 1) การเล่นช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านต่างๆ เช่นส่งเสริมพัฒนาการทางกายในด้านการฝึกฝนการใช้ กล้ามเน้ือส่วนต่างๆให้เจริญเติบโต ช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางด้านอารมณ์ในแง่ทาให้เด็กรู้สึกสบายร่าเริงแจ่มใส ปรับตัวเข้ากับส่ิงแวดล้อมต่างๆได้ดี ช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางด้านสังคมคือทาให้เด็กรู้จักเอ้ือเฟ้ือเผ่ือแผ่แบ่งปัน ส่งิ ของซึ่งกันและกัน รู้จักการให้และการรับรจู้ ักร่วมมือกันและการสรา้ งมิตรภาพระหวา่ งเพอื่ นฝูง นอกจากนั้นการ เล่นของเด็กยังช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางด้านสติปัญญาคือการใช้ภาษาได้ดีข้ึน ฝึกการแก้ปัญหาและส่งเสริม จินตนาการและความคดิ สร้างสรรคข์ องเดก็ เป็นต้น 2) การเลน่ ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็ก เพราะการเล่นของเด็กจัดวา่ เป็นการศึกษาอย่างหน่งึ เชน่ เดก็ ที่ เล่นตุ๊กตาจะเรียนร้รู ปู รา่ งลกั ษณะและสว่ นประกอบของตุ๊กตา ตลอดจนสีและสง่ิ ที่ใช้ในการประดิษฐ์ตกุ๊ ตาเมื่อเด็ก เจริญขน้ึ กจ็ ะสามารถเรยี นรจู้ ากการเลน่ มากยิ่งขนึ้ นน่ั คือการเลน่ ส่งเสรมิ ให้เด็กมีความรู้กว้างขวาง 3) การเลน่ ชว่ ยตอบสนองความต้องการของเด็ก เมื่อเด็กไดเ้ ลน่ เดก็ จะได้แสดงออกไดร้ ะบายอารมณ์และ ความตอ้ งการตา่ งๆอันเป็นการผ่อนคลายไมใ่ หเ้ กดิ ความตงึ เครียด เมื่อเด็กมีความต้องการเชน่ เดก็ ตอ้ งการสิ่งใดสิ่ง หน่งึ แต่ไม่ได้รบั การตอบสนอง เด็กมักจะสมมตุ ิว่าได้รบั โดยการเล่นเปน็ การจุนเจือสิ่งท่ีเด็กขาดหายไป การเล่นจึง
เป็นส่ิงทีผ่ ่อนคลายความตงึ เครียดในชีวติ ประจาวันของเดก็ ช่วยใหเ้ ด็กรู้จักวางแผนทาสิง่ ต่างๆ และชว่ ยให้เด็กรู้จัก แกป้ ญั หาที่เกดิ กบั ตนอีกดว้ ย 4) การเลน่ ชว่ ยฝึกฝนมารยาทที่ดีใหแ้ ก่เด็ก ซึง่ เป็นประโยชนท์ ่สี าคญั อีกอยา่ งหนง่ึ ในการเล่นทาให้เด็กรูจ้ ัก ผิดถกู รจู้ ักการแพช้ นะเข้าใจความหมายของความยตุ ธิ รรม และความซ่ือสตั ยต์ ่อหม่คู ณะการเลน่ บางประเภทฝกึ ให้ เด็กเป็นคนอดทน เสยี สละ และสร้างความเห็นอกเห็นใจบุคคลอ่นื ๆ ตวั อย่างโครงการนักศึกษา จ้ิมจุม่ หรรษา จดุ ประสงค์ 1.เพื่อส่งเสรมิ พฒั นาการของเด็กในดา้ นกล้ามเนื้อมัดเล็กและกลา้ มเน้ือมดั ใหญ่ 2.เพ่อื ส่งเสรมิ ความภาคภมู ิใจในตนเอง 3. เพ่อื ให้เด็กมีทักษะกระบวนการคดิ ทเ่ี หมาะสมตามวัย 4.เพ่อื ให้เดก็ ฝึกสมาธิจดจอ่ อยกู่ ับกิจกรรม 5.เพอ่ื ใหเ้ ดก็ สามารถนาก้านกลว้ ยและใบไมธ้ รรมชาติทจ่ี ุ่มสีกดลงบนกระดาษประกอบกันเป็นรปู หรอื ภาพ ตา่ ง ๆ ตามความคดิ ของตนเองได้ 6. เพือ่ ให้เด็กสามารถทากิจกรรมได้อย่างสนุกสนานเพลิดเพลนิ วสั ดอุ ุปกรณ์ 1.กระดาษ 2.สีนา้ 3.ภาชนะสาหรบั ใสส่ นี า้ 4. ก้านกลว้ ยตดั ลักษณะตา่ ง ๆ เชน่ ตดั ตามขวาง ตดั เฉียง ตดั ตามยาว และใบไม้ตามธรรมชาติ วิธีทา 1. ผสมสีนา้ ลงในภาชนะท่ีเตรยี มไว้โดยผสมสนี า้ ให้มคี วามเขม้ ขน้ พอประมาณ 2. นาก้านกลว้ ยทต่ี ดั ในลักษณะตา่ ง ๆ กัน เชน่ ตดั ตามขวาง ตัดเฉยี ง ตัดตามยาวและใบไมต้ ามธรรมชาติ จมุ่ สนี า้ ใหต้ ดิ ก้านกล้วยที่จะพิมพ์ 3. นาก้านกลว้ ยกดลงบนกระดาษท่เี ตรียมไว้แล้วยกขึน้ พิมพ์ประกอบกนั เป็นรปู หรอื ภาพต่าง ๆ ตาม ความคดิ ของเด็กแต่ละคน ผู้นากิจกรรม : 1. นางสาวศิรอิ ร ชมภศู รี รหสั 5711056990008 เลขท่ี8 2. นางสาวกมลชนก แทนผกั แว่น รหสั 5711056990015 เลขท่ี13
3. นางสาวคชาภรณ์ หมดั แมน่ รหัส 5711056990028 เลขท่ี22 4. นางสาวสพุ ชิ ชา สงิ ห์ดารงค์ รหัส 5711056990035 เลขท่ี 27 รีรขี ้าวสาร กตกิ าในการเล่น : ตอ้ งมผี ้เู ลน่ 2 คนหันหน้าเขา้ หากนั และเอามอื ประสานกนั ไวเ้ ป็นรปู ซมุ้ สว่ นผเู้ ล่นคนอ่นื ๆ จะก่ี คนก็ไดจ้ ะยืนเกาะเอวกนั ไวต้ ามลาดบั หัวแถวจะพาขบวนลอดซุ้มพร้อมร้องเพลง \"รรี ขี ้าวสาร\" จนเมอื่ ถึงประโยค ทวี่ า่ \"คอยพานคนข้างหลังไว้\" ผทู้ ่ีประสานมือเปน็ ซุ้มจะลดมือลงกนั ไม่ให้คนสดุ ท้ายผา่ นเขา้ ไป เรียกวา่ \"คัดคน\" และเลน่ อยา่ งนไ้ี ปเรื่อย ๆ จนคนหมด วัตถุประสงค์ 1.เพื่อสง่ เสริมพฒั นาการเดก็ ด้วยการละเล่นไทย 2. เพอ่ื ให้เด็กที่เข้ารว่ มกิจกรรมมกี ารใชท้ ักษะกระบวนการคดิ ในระหวา่ งทากิจกรรม 3.เพื่อสร้างเสริมทกั ษะการทางานเปน็ ทมี และการสรา้ งความสามัคคีในหมคู่ ณะ 4. เพ่ือให้เด็กท่เี ขา้ ร่วมกจิ กรรมมกี ารใช้กลา้ มเนื้อมัดใหญ่ในการเลน่ กิจกรรม 5. เพื่อให้เด็กทเ่ี ขา้ ร่วมกิจกรรมเกดิ ความเพลดิ เพลนิ วิธเี ลน่ : 1. ผู้เลน่ 2 คนยืนหันหนา้ เขา้ หากนั โน้มตัวประสานมือกันเปน็ รปู ซ้มุ
2. ส่วนผอู้ น่ื เกาะเอวตอ่ ๆ กนั ตามลาดับ 3. หัวแถวจะพาลอดใตซ้ มุ้ มอื พรอ้ มกับร้องบทร้องประกอบการเล่น 4. เมอ่ื ร้องถงึ ประโยคที่วา่ “คอยพานคนข้างหลงั ไว้” ผทู้ ่ปี ระสานมอื เปน็ ซุ้มจะลดมือลงกันคนสุดท้ายไว้ ซง่ึ คนสดุ ท้ายจะถกู คัดออกไปจากแถว แล้วจึงเริ่มตน้ เล่นใหม่ทาเชน่ น้นั จนหมดคน ประโยชนใ์ นการเล่น : ช่วยให้จติ ใจรา่ เริงแจม่ ใส รจู้ ักมีไหวพริบ ใช้กลยทุ ธ์ให้ตวั เองเอาตวั รอดจากการถกู คล้องไว้ ได้ รวมท้ังฝกึ ให้เดก็ ทางานเป็นกลมุ่ ไดด้ ้วย คณุ ค่า/แนวคิด/สาระ : 1. ออกกาลังกายพฒั นากลา้ มเนอ้ื สว่ นตา่ ง ๆ ของร่างกายให้แขง็ แรง 2. เพลิดเพลนิ จติ ใจรา่ เรงิ แจ่มใส ยอมรบั ในกฎเกณฑ์กตกิ าในการเล่น 3. หัดให้เดก็ มีไหวพริบ ปฏิภาณ และรู้จักใช้กลยทุ ธท์ ี่จะให้ตนรอดจากการถูกคล้องตัวไว้ 4. หัดให้เด็กรจู้ ักทางานเปน็ กลุ่มโดยหวั แถวต้องพยายามพาแถว โดยเฉพาะคนสุดท้ายให้รอดพ้นจากการ ถูกกักตัวใหไ้ ด้ ผ้นู ากจิ กรรม : นางสาวอจั ฉรา ดีโก๋ รหัส 5711056990020 เลขที่ 16 นางสาวอรสิ า แฟมไธสง รหัส 5711056990020 เลขท่ี 18 นางสาวธารารัตน์ เชอ้ื ชาวนา รหัส 5711056990034 เลขที่ 26
มอญซอ่ นผ้า กติกาในการเลน่ : การเล่นมอญซ่อนผา้ เปน็ การเลน่ ทีง่ ่าย ไม่มีกฎกตกิ ามากมายนักมกั เปน็ การละเล่นของหนุ่มสาว โดยมากจะซ่อนเป็นคู่ ๆ เปน็ การเจาะจงตัวผซู้ ่อน นิยมเล่นในงานเทศกาลตา่ ง ๆ โดยเฉพาะเทศกาลตรุษสงกรานต์ วตั ถุประสงค์ 1. เพอ่ื ส่งเสรมิ พฒั นาการเดก็ ด้วยการละเล่นไทย 2. เพอ่ื ใหเ้ ด็กที่เข้ารว่ มกิจกรรมมสี มาธิจดจ่ออยกู่ บั การละเล่นและมที ักษะกระบวนการคิดในระหวา่ งทา กิจกรรม 3. เพอ่ื ฝกึ ให้เดก็ ปฏบิ ัตติ ามกฎกติกาที่กาหนดไว้ 4. เพอื่ ฝึกทกั ษะความคล่องแคล่วว่องไว ประโยชนแ์ ละคุณคา่ ของการเลน่ มอญซ่อนผ้า 1. ไดฝ้ ึกความสังเกต 2. เป็นการออกกาลงั กาย 3. เกดิ ความสนกุ สนานอีกดว้ ย 4. เพอ่ื หดั ใหผ้ ู้เล่นเปน็ คนว่องไว 5. เพื่อฝกึ ใหผ้ ้เู ล่นเป็นคนท่ีมีไหวพรบิ และรูจ้ ักสงั เกตเหตุการณ์ตา่ งๆ ผนู้ ากิจกรรม นางสาว พิชญาภา พนั ทองหล่อ นางสาว ธามณ เหลอื งตระกูล นางสาว ญาณนันท์ คาดี
แมง่ เู อ๋ย วตั ถุประสงค์ 1. เพื่อให้ผู้เข้ารว่ มกจิ กรรมเกิดทกั ษะกระบวนการคดิ และการการเรยี นรู้ 2. เพือ่ สรา้ งเสริมทักษะการทางานเปน็ ทมี และการสร้างความสามคั คีในหมู่คณะ 3. เพื่อใหผ้ ู้เข้ารว่ มกิจกรรมได้มีสมาธิจดจอ่ อยู่กับการทากิจกรรม 4. เพอื่ ส่งเสริมพฒั นาการของผ้เู ขา้ ร่วมกจิ กรรมที่เหมาะสมตามวยั วิธกี ารเลน่ 1. ผู้เล่นมจี านวน 8-10 คน แบง่ ผูเ้ ล่นเป็น 2 ฝ่าย 2. ฝา่ ยที่ 1 จะต้องเป็น “พ่องู” 1 คน ฝา่ ยท่ี 2 มี “แม่ง”ู 1 คน ทีเ่ หลอื เป็น “ลูกงู” ซ่งึ ผูเ้ ล่นเป็นลกู งู จะต้องเกาะเอวผ้เู ล่นเปน็ แมง่ ู 3. จากนน้ั พ่องูเร่ิมถามวา่ “แมง่ ูเอ๋ย” แมง่ ูและลกู งูก็ร้องตอบว่า “เอ๋ย” พอชว่ งท้ายพอ่ งูถามว่า “กนิ หัว กนิ หาง” แม่งูตอบวา่ “กินกลางตลอดตวั ” 4. พอ่ งูกจ็ ะไลจ่ บั ลูกงูจากปลายแถว ฝา่ ยแม่งจู ะตอ้ งกางมอื เพ่ือป้องกันลูก หากลูกงูตัวใดถูกพ่องดู ึงจน หลุดออกจากแถวไป กจ็ ะต้องออกจากการเล่น 5. ผู้เลน่ ทีเ่ หลือก็เรม่ิ เลน่ กันอีกจนกวา่ ลกู งจู ะถูกจบั จนหมด ประโยชน์ทีไ่ ดร้ ับ 1. ให้ความสนุกสนานในกลุ่มผ้เู ล่น 2. ฝกึ ให้เกดิ ความสามคั คีใน กล่มุ ผูเ้ ล่น 3. ฝึกฝนการต่อสแู้ ละการหลบ หลีกภัยท่จี ะเกิดกับตน 4. ฝึกการทางานเปน็ กลุ่มตัง้ แต่ วัยเด็ก 5. ได้ออกกาลงั กาย ทาให้ รา่ งกายแขง็ แรง ผูน้ ากจิ กรรม น.ส.ดาราวรรษ วงศาสตรา น.ส.แพรพลอย หวา่ งอุ่น น.ส.นริศรา ตนภู
ม้าก้านกลว้ ย วตั ถุประสงค์ 1. เพ่ือใหผ้ ู้เข้าร่วมกิจกรรมเกิดจินตนาการ และมคี วามกลา้ แสดงออก 2. เพ่ือให้ผเู้ ข้ารว่ มกจิ กรรมได้มีสมาธิจดจอ่ อยู่กบั การทากิจกรรม 3. เพ่อื สง่ เสริมพฒั นาการของผู้เข้าร่วมกจิ กรรมทเี่ หมาะสมตามวัย ประโยชน์และคณุ คา่ การเล่นมา้ ก้านกล้วย - การทาท่าเหมือนม้า ทาใหเ้ ด็กมีจินตนาการ และ กลา้ แสดงออก - เป็นการออกกาลงั กายอยา่ งดสี าหรบั เด็กในวัยน้ัน - รกั ษาประเพณีพ้นื บ้านของไทย วธิ ที ามา้ กา้ นกลว้ ย - ตวั ม้า ตดั กา้ นกล้วยขนาดใหญ่มาหนงึ่ กา้ น ให้มีความยาวประมาณ1 เมตรข้นึ ไป ใช้มดี คมเลาะใบกล้วยถึง ปลาย เอาสว่ นกลางกา้ นกลว้ ยมาทาเปน็ ลาตัว - หางมา้ ปลายกา้ นกล้วยใหเ้ หลอื สว่ นทเี่ ปน็ ใบตองไว้เล็กน้อย เพื่อสมุมติใหเ้ ป็นหางมา้ - หวั ม้า กา้ นกล้วยตรงโคนทม่ี ีขนาดใหญ่ ให้ใชม้ ีดปาดทัง้ สองดา้ น ความยาวประมาณ 10 ซ. - คอม้า หักคอให้เป็นคอมา้ มีหูสองขา้ งตั้งชันแล้วใช้ไมก้ ลัด แทงตรงก้านหวั ให้แน่นเพ่ือเป็นหัวมา้ - บังเหียนตัดเชือก ให้มีความยาวพอประมาณ ผกู ตรงหวั และตรงทา้ ยสาหรบั สะพายหรือไว้คล้องไหล่ผู้เล่น วิธีการเล่น ใหน้ าก้านกลว้ ยทีเ่ ปลยี่ นสภาพมาเป็นกา้ นกล้วยโดยสมบรู ณ์แลว้ ข้นึ ขี่บนกา้ นกล้วยแล้ว ออก วิ่ง จากนน้ั สง่ เสยี งรอ้ ง ฮี้ฮี้ แต่ถ้ามผี ู้เล่น 2 คนข้นึ ไป ก็สามารถจดั เปน็ การแขง่ ขันข้ึนได้ โดยฝ่ายไหนวง่ิ เร็วทส่ี ดุ กจ็ ะเป็นผูช้ นะ
เอกสารอา้ งองิ ผอบ โปษะกฤษณะ. (2532). การละเล่นของไทย, สารานุกรมไทยสาหรบั เยาวชนฯฉบับ อิเลก็ ทรอนกิ ส์, โครงการสารานกุ รมไทยสาหรับเยาวชนฯ. คณาจารยช์ มรมเด็ก. (2545). การละเล่นของเด็กไทย.กรุงเทพมหานคร: สวุ ีรยิ าสาสน์. ราชบัณฑติ ยสถาน.(2525). พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถานพ.ศ. 2525. กรงุ เทพมหานคร: อักษรเจริญทศั น์. ฟาลาตี หมาดเต๊ะ.(2557). ผลของการฝึกการละเล่นพื้นบ้านทม่ี ีตอ่ พฒั นาการของเด็กปฐมวัย. วทิ ยานิพนธ์หลกั สูตรปริญญาศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวชิ าหลักสตู รและการสอน มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์
15
Search
Read the Text Version
- 1 - 15
Pages: