51 1.6 การศกึ ษาต่อหรอื เพ่มิ เตมิ จากสถาบนั การศกึ ษาหรือมหาวทิ ยาลยั เปดิ 1.7 การพบปะเยี่ยมเยียนบคุ คลหรือหน่วยงานตา่ ง ๆ 1.8 การเป็นผแู้ ทนในการประชุมต่าง ๆ 1.9 การจัดทำโครงการพเิ ศษ 1.10 การปฏบิ ัตงิ านแทนหัวหนา้ งาน 1.11 การค้นคว้าหรอื วจิ ัย 1.12 การศึกษาดงู าน 2. การเพม่ิ ความสามารถและประสบการณ์ อาจกระทำโดย 2.1 การลงมอื ปฏบิ ัติจรงิ 2.2 การฝกึ ฝนโดยผู้ทรงคุณวฒุ หิ รือหัวหนา้ งาน 2.3 การอา่ น การฟงั และการถาม จากเอกสารและหรอื ผ้ทู รงคุณวฒุ ิหรือหวั หนา้ งาน 2.4 การทำงานรว่ มกบั บุคคลอ่นื 2.5 การค้นควา้ วิจยั 2.6 การหมุนเวยี นเปลี่ยนงาน วิธีการพัฒนาชมุ ชน การพัฒนาชุมชน ก็คือ การเปลี่ยนแปลงชุมชนให้ดีขึ้น หรือให้เจริญขึ้นในทุก ๆ ด้านนั่นเอง นั่นคือ จะต้องพัฒนาคน กลุ่มชน สิ่งแวดล้อมทางวัตถุหรือสาธารณสมบัติ และพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจและสั งคม เพอื่ ใหบ้ งั เกิดผลดแี กป่ ระเทศชาตโิ ดยสว่ นรวมปรชั ญาขัน้ มูลฐานของงานพัฒนาชุมชน ปรัชญาขั้นมูลฐานของงานพฒั นาชมุ ชน สรุปได้ดงั นี้ 1. บุคคลแต่ละคนย่อมมีความสำคัญ และมีความเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนกัน จึงมีสิทธิอันพึงได้รับ การปฏบิ ตั ดิ ้วยความยตุ ิธรรม และอย่างบุคคลมเี กยี รติในฐานะทเ่ี ป็นมนุษย์ปถุ ชุ นผู้หนึ่ง 2. บุคคลแต่ละคนย่อมมีสิทธิ และสามารถที่จะกำหนดวิธีการดำรงชีวิตของตนไปในทิศทางที่ตน ต้องการ 3. บุคคลแต่ละคนถ้าหากมีโอกาสแล้ว ย่อมมีความสามารถที่จะเรียนรู้ เปลี่ยนแปลงทัศนะ ประพฤติ ปฏิบัตแิ ละพฒั นาขีดความสามารถใหม้ คี วามรบั ผิดชอบต่อสงั คมสูงขึน้ ได้ 4. มนุษย์ทุกคนมีพลังในเรื่องความคิดริเริ่ม ความเป็นผู้นำ และความคิดใหม่ ๆ ซึ่งซ่อนเร้นอยู่ และ พลงั ความสามารถเหล่านสี้ ามารถเจรญิ เติบโต และนำออกมาใชไ้ ด้ ถ้าพลังท่ซี อ่ นเร้นเหล่านไี้ ด้รับการพฒั นา 5. การพัฒนาพลังและขีดความสามารถของชุมชนในทุกด้านเป็นสิ่งที่พึงปรารถนา และมีความสำคัญ ย่งิ ต่อชีวติ ของบคุ คล ชมุ ชน และรฐั แนวคิดพ้ืนฐานของการพัฒนาชมุ ชน
52 การศกึ ษาแนวคิดพืน้ ฐานของงานพฒั นาชุมชน เป็นสง่ิ สำคญั ที่จะทำใหเ้ จ้าหน้าท่หี รอื นกั พัฒนาได้ลงไป ทำงานกับประชาชนได้อย่างถกู ตอ้ งและมปี ระสิทธิภาพ ซึ่งแนวคิดพืน้ ฐานงานพฒั นาชุมชน มีดังนี้ 1. การมสี ่วนร่วมของประชาชน (People Participation) เปน็ หวั ใจของการพฒั นาชุมชน โดยยึดหลัก ของการมีส่วนร่วมที่ว่า ประชาชนมีส่วนร่วมในการคิด ตัดสินใจ วางแผนการปฏิบัติการ ร่วมบำรุงรักษา ติดตามและประเมินผล 2. การช่วยเหลือตนเอง (Aide Self-Help) เป็นแนวทางในการพัฒนาทีย่ ึดเป็นหลักการสำคัญประการ หนึ่ง คือ ต้องพัฒนาให้ประชาชนพึง่ ตนเองได้มากขึน้ โดยมีรัฐคอยให้การชว่ ยเหลือสนับสนนุ ในส่วนที่เกินขีด ความสามารถของประชาชน ตามโอกาสและหลกั เกณฑท์ เี่ หมาะสม 3. ความคิดริเริ่มของประชาชน (Initiative) ในการทำงานกับประชาชนตอ้ งยึดหลักการที่ว่า ความคิด รเิ รม่ิ ต้องมาจากประชาชน ซง่ึ ต้องใช้วถิ ีแหง่ ประชาธปิ ไตย และหาโอกาสกระตุน้ ให้การศึกษา ให้ประชาชนเกิด ความคดิ และแสดงออกซึ่งความคิดเห็นอันเป็นประโยชน์ต่อหมู่บา้ น ตำบล 4. ความต้องการของชุมชน (Felt-Needs) ในการพฒั นาชมุ ชนตอ้ งใหป้ ระชาชน และองคก์ รประชาชน คิด และตัดสินใจบนพน้ื ฐานความตอ้ งการของชุมชนเอง เพอ่ื ให้เกิดความคดิ ทีว่ ่างานเปน็ ของประชาชน และจะ ชว่ ยกนั ดูแลรกั ษาต่อไป 5. การศึกษาภาคชีวิต (Life-Long Education) ในการทำงานพัฒนาชุมชน ถือเป็นกระบวนการให้ การศึกษาภาคชีวิตแก่ประชาชน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาคน การให้การศึกษาต้องให้การศึกษาอย่างต่อเน่ืองกนั ไป ตราบเท่าทบี่ คุ คลยงั ดำรงชีวิตอยู่ในชุมชน หลกั การพฒั นาชมุ ชน จากปรัชญา และแนวคิดพื้นฐานของการพัฒนาชุมชน ได้นำมาใช้เป็นหลักการพัฒนาชุมชน ซ่ึง นกั พฒั นาต้องยึดเปน็ แนวทางปฏิบัติ มดี งั น้ี 1. หลักความมีศักดิ์ศรี และศักยภาพของประชาชน และเปิดโอกาสให้ประชาชนใช้ศักยภาพที่มี อยู่ให้มากที่สุด จึงต้องให้โอกาสประชาชนในการคิด วางแผนเพือ่ แก้ปัญหาชุมชนด้วยตวั ของเขาเอง นักพัฒนา ควรเปน็ ผู้กระต้นุ แนะนำ ส่งเสริม 2. หลักการพึ่งตนเองของประชาชน ต้องสนับสนุนให้ประชาชนพึ่งตนเองได้ โดยการสร้างพลัง ชุมชนเพื่อพัฒนาชุมชน ส่วนรัฐบาลจะช่วยเหลือ สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง และช่วยเหลือในส่วนที่เกิน ความสามารถของประชาชน 3. หลักการมีส่วนร่วมของประชาชน เป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนร่วมคิด ตัดสินใจ วางแผน ปฏิบัติตามแผน และติดตามประเมินผลในกิจกรรม หรือโครงการใด ๆ ที่จะทำในชุมชน เพื่อให้ประชาชนได้มี ส่วนร่วมอย่างแท้จริงในการดำเนินงาน อันเป็นการปลูกฝังจิตสำนึกในเรื่องความเป็นเจ้าของโครงการหรือ กิจกรรม 4. หลักประชาธิปไตย ในการทำงานพัฒนาชุมชนจะตอ้ งเริ่มด้วยการพูดคุย ประชุมหารือร่วมกัน คิด ร่วมกันตัดสินใจ และทำร่วมกัน รวมถึงรับผิดชอบร่วมกันภายใต้ความช่วยเหลือซึง่ กันและกัน ตามวิถีทาง แห่งประชาธปิ ไตย
53 นอกจากหลักการพัฒนาชุมชนดังกล่าวแล้ว องค์การสหประชาชาติ ยังได้กำหนดหลักการดำเนินงานพัฒนา ชมุ ชนไว้ 10 ประการ คือ 1. ตอ้ งสอดคลอ้ งกับความตอ้ งการที่แท้จรงิ ของประชาชน 2. ตอ้ งเปน็ โครงการเอนกประสงคท์ ช่ี ่วยแกป้ ัญหาไดห้ ลายด้าน 3. ตอ้ งเปล่ยี นแปลงทัศนคตไิ ปพรอ้ ม ๆ กับการดำเนินงาน 4. ตอ้ งใหป้ ระชาชนมีส่วนร่วมอย่างเตม็ ท่ี 5. ตอ้ งแสวงหาและพฒั นาให้เกดิ ผนู้ ำในทอ้ งถิ่น 6. ต้องยอมรบั ใหโ้ อกาสสตรี และเยาวชนมสี ่วนรว่ มในโครงการ 7. รัฐตอ้ งเตรยี มจดั บริการให้การสนับสนนุ 8. ตอ้ งวางแผนอย่างเปน็ ระบบ และมีประสิทธภิ าพทุกระดับ 9. สนับสนนุ ใหอ้ งค์กรเอกชน อาสาสมัครต่าง ๆ เขา้ มามีส่วนรว่ ม 10. ตอ้ งมกี ารวางแผนให้เกิดความเจริญแก่ชุมชนทส่ี อดคล้องกบั ความเจรญิ ในระดับชาติดว้ ย จากหลกั การดังกล่าว สรปุ ไดว้ ่า การพฒั นาชมุ ชนเป็นกระบวนการท่ีจะพยายามเปลี่ยนแปลงความคิด ทัศนคติและพฤติกรรมของประชาชนในชุมชนให้ดีขึ้นกว่าเดิม โดยร่วมมือกันพัฒนาให้ชุมชนของตนเองเป็น ชุมชนที่ดี สร้างความรู้สึกรักและผูกพันต่อชุมชนตนเอง เป้าหมายสำคัญของการพัฒนาชุมชนจึงมุ่งไปยัง ประชาชน โดยผ่านกระบวนการให้การศึกษาแก่ประชาชนและกระบวนการรวมกลุ่มเป็นสำคัญ เพราะพลัง สำคัญท่จี ะบันดาลให้การพัฒนาบรรลผุ ลสำเร็จนน้ั อยู่ที่ตัวประชาชน การพัฒนาสังคม การพฒั นาสังคม (Social Development) หมายถงึ กระบวนการเปลี่ยนแปลงท่ดี ีท้ังในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง และวัฒนธรรม เพื่อประชาชนจะได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นทั้งทางด้านที่อยู่ อาศัย อาหาร เครอื่ งนุ่งหม่ สุขภาพอนามัย การศกึ ษา การมีงานทำ มรี ายไดเ้ พียงพอในการครองชีพ ประชาชน ได้รับความเสมอภาค ความยุตธิ รรม มีคุณภาพชวี ิต ทั้งนี้ประชาชนต้องมีสว่ นร่วมในกระบวนการเปล่ียนแปลง ทุกข้นั ตอนอยา่ งมรี ะบบ ความสำคญั ของการพัฒนาสงั คม อาจกล่าวเปน็ ขอ้ ๆ ไดด้ งั น้ี 1. ทำใหป้ ญั หาของสงั คมลดนอ้ ยและหมดไปในทสี่ ุด 2. ป้องกันไมใ่ ห้ปัญหาน้ันหรือปญั หาในลกั ษณะเดยี วกนั เกดิ ขน้ึ แกส่ งั คมอกี 3. ทำให้เกิดความเจรญิ กา้ วหนา้ ข้ึนมาแทน 4. ทำใหป้ ระชาชนในสังคมสมานสามคั คีและอยรู่ ่วมกันอย่างมคี วามสุขตามฐานะของแตล่ ะบุคคล 5. ทำใหเ้ กิดความเป็นปึกแผน่ มั่นคงของสังคม แนวคิดในการพฒั นาสงั คม
54 การพัฒนาสังคมต้องเป็นทั้งกระบวนการ วิธีการ กรรมวิธีเปลี่ยนแปลง และแผนการดำเนินงาน ซึ่งมี รายละเอียด ดังนี้ 1. กระบวนการ (Process) การแก้ปัญหาสังคมต้องกระทำต่อเนื่องกันอย่างมีระบบ เพื่อให้เกิดการ เปล่ยี นแปลงจากลกั ษณะหนึ่งไปสู่อกี ลักษณะหนึง่ ซึง่ จะต้องเปน็ ลกั ษณะทีด่ กี ว่าเดมิ 2. วิธกี าร (Method) การกำหนดวธิ ีการในการดำเนนิ งาน เน้นความรว่ มมือของประชาชนในสังคมนั้น กับเจ้าหนา้ ทข่ี องรฐั บาลทจี่ ะทำงานรว่ มกนั และวิธกี ารนีต้ ้องเป็นท่ยี อมรบั ว่า สามารถนำการเปล่ียนแปลงมาสู่ สังคมได้อย่างถาวรและมปี ระโยชนต์ ่อสังคม 3. กรรมวิธีเปลี่ยนแปลง (Movement) ต้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงให้ได้ และต้องเปลี่ยนแปลงไป ในทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะเน้นการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของตน เพื่อให้เกิดสำนึกในการมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อ ผลประโยชนข์ องสว่ นรวม และรกั ความเจริญกา้ วหน้าอนั จะนำไปสกู่ ารเปลย่ี นแปลงทางวัตถุ 4. แผนการดำเนินงาน (Planning) การพัฒนาสังคมจะต้องทำอย่างมีแผน มีขั้นตอน สามารถ ตรวจสอบ และประเมนิ ผลได้ แผนงานน้ีจะตอ้ งมีทุกระดับ การพฒั นาสังคมไทย สามารถกระทำไปพร้อม ๆ กนั ท้ังสังคมในเมอื งและสงั คมชนบท โดยเฉพาะท่ีเป็น ปัจจัยต่อการพฒั นาดา้ นอนื่ ๆ ได้แก่การศึกษา และการสาธารณสขุ การบริหารงานของทุกรัฐบาล เน้นที่ ความกินดี อยู่ดี หรือมีคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน อยากให้ คนมีความสุข มีรายได้มั่นคง มีสุขภาพดี ครอบครัวอบอุ่น มีชุมชนเข้มแข็ง และ สังคมอยู่เย็นเป็นสุข มีความ สมานฉันท์ และเอื้ออาทรต่อกัน ในด้านการพัฒนาทางสังคมนั้น อาจกล่าวได้ว่า ทำไปเพื่อให้คนมีความมั่นคง 10 ด้าน คือ ด้านการมีงานทำและรายได้ ด้านครอบครัว ด้านสุขภาพอนามัย ด้านการศึกษา ด้านความ ปลอดภยั ในชวี ิตและทรัพย์สิน (สว่ นบคุ คล) ด้านท่ีอยู่อาศัยและส่ิงแวดล้อม ด้านสิทธิและความเป็นธรรม ด้าน สังคม วฒั นธรรม ด้านการสนบั สนุนทางสงั คม ดา้ นการเมอื ง ธรรมาภบิ าล หรือมคี วามมั่นคงทางสังคมนน่ั เอง
55 ใบงาน กรต. ครั้งท่ี 1 ใบงานเรอ่ื ง หลกั การพฒั นาตนเอง ชมุ ชนสังคม ใหผ้ เู้ รยี นทำกิจกรรมต่อไปนี้ ข้อ 1 บอกความหมายของคำต่อไปนี้ การพฒั นาตนเอง หมายถึง .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. การพัฒนาชุมชน หมายถึง .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. การพฒั นาสงั คม หมายถงึ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ขอ้ 2 บอกวิธีการพฒั นาตนเองของตวั ทา่ น .............................................................................................................................................................................. .............. ........................................................................................................................................................... .... ........................................................................................................ ...................................................................... .............................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................ .............. ขอ้ 3 บอกหลักการพฒั นาตนเอง .............................................................................................................................................................................. .............. ............................................................................................................................................... ................
56 ........................................................................................................ ............................................................... ....... .............................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................... .......................... ขอ้ 4 บอกประโยชนท์ ่ไี ด้รบั จากการพฒั นาตนเองทเ่ี กิดขน้ึ กบั ตนเอง .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ........................................................................................................................................... ................................... ขอ้ 5 บอกวธิ ีการพฒั นาตนเองดว้ ยการหาความรู้เพม่ิ เติม กระทำไดโ้ ดยวิธใี ด ....................................................................................................................................... ....................................... .............................................................................................................................................................................. ........................................................................................................................................ ...................................... .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ข้อ 6 อธบิ ายแนวคิดพ้ืนฐานของการพัฒนาชุมชน ..................................................................................................................................................... ......................... .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ........................................................................................................................................... ................................... .............................................................................................................................................................................. ข้อ 7 อธบิ ายหลกั การพฒั นาชมุ ชน .............................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................... .......................... .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .......................................................................................................................................... .................................... .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ข้อ 8 อธบิ ายแนวคิดของการพัฒนาสงั คม .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................................................
57 .............................................................................................................................................................................. ....................................................................................................................................................................... ....... .............................................................................................................................................................................. ใบความรู้เร่ือง ขอ้ มลู ตนเอง ครอบครวั ชุมชน สงั คม ความหมาย ความสำคัญ และประโยชนข์ องข้อมลู ข้อมูล (Data) หมายถึง ข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ ทั้ง คน สัตว์ สิ่งของ วัตถุที่ได้ จากการสังเกต ปรากฏการณ์ การกระทำ หรือลกั ษณะตา่ ง ๆ แล้วนำมาบันทึกเปน็ ตวั เลข ตวั อักษร เสยี ง หรือ ภาพ ข้อมลู สามารถแบง่ ได้เป็น 2 ประเภท คือ 1. ข้อมูลปฐมภูมิ เป็นข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลโดยตรง เช่น ข้อมูลที่ได้จากการสอบถามโดยตรง การ สัมภาษณ์ การสำรวจ การจดบันทึก ข้อมูลที่ได้จากเครื่องจักรอัตโนมัติ ได้แก่ เครื่องอ่านรหัสแท่ง เครื่องอ่าน เคร่ืองหมายบนกระดาษ 2. ขอ้ มลู ทตุ ยิ ภมู ิ เป็นขอ้ มลู ท่ไี ด้จากข้อมลู ทม่ี ีผอู้ ืน่ รวบรวมไว้ให้แล้ว ข้อมูลในชีวิตประจำวันมีมากมาย การใช้ประโยชน์จากข้อมูล เช่น ข้อมูลของภูมิอากาศ เมื่อนำมา ประมวลผลแล้วจะใช้ประโยชน์ด้านการพยากรณ์อากาศ ข้อมูลด้านประชากรสามารถนำมาวางแผนในการ พฒั นาประเทศ ข้อมลู ดา้ นการเงินนำมาใช้ในการพฒั นาเศรษฐกิจ ขอ้ มูลดา้ นวิทยาศาสตรเ์ ราใช้ประโยชน์ด้าน การวิจัย เป็นต้น ประโยชน์ของข้อมูล มมี ากมายดงั นี้ 1. ดา้ นการเรยี น เช่น ขอ้ มลู ท่ไี ดจ้ าก โทรทัศน์ วทิ ยุ หนงั สือพิมพ์ มาใช้ประโยชนใ์ นการเรยี นได้ เปน็ ขอ้ มูล หรอื ความรู้เพ่ิมเตมิ 2. ดา้ นการติดตอ่ สอื่ สาร เชน่ ถา้ เรามีขอ้ มูล เราสามารถท่ีจะสนทนาพดู คยุ หรือบอกเร่อื งตา่ งๆ ให้กับผอู้ ่ืน ได้ 3. ดา้ นการตดั สนิ ใจ เป็นการใช้ชว่ ยให้เราตดั สินใจตา่ งๆ ไดด้ ีขึ้น เชน่ การเลอื กซ้ือของเลน่ ถ้าหากเราทราบ ราคาของเล่นในแต่ละรา้ น จะทำใหเ้ ราเลือกซ้อื ของเลน่ ทีเ่ หมือนกนั ได้ในราคาท่ีถกู ท่ีสดุ ขอ้ มูลตนเอง ครอบครวั ข้อมูลตนเอง คือ ข้อมูลความเป็นตัวเราซึ่งมีสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างจากผู้อื่น ทั้งภายนอกที่ สามารถองเหน็ ได้ เชน่ ชื่อ – สกุล วัน เดอื น ปีเกดิ อายุ สัญชาติ เชอื้ ชาติ ศาสนา สีผิว รปู รา่ ง สว่ นสงู น้ำหนัก อาชีพ รายได้ และภายในตัวเรา เช่น อารมณ์ บคุ ลกิ ลกั ษณะ ความคิด ความรสู้ ึก และความเช่อื เป็นต้น ข้อมูลครอบครัว คือ ข้อมูลของกลุ่มคนตั้งแต่สองคนข้ึนไป ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันทางสายโลหิต การสมรส หรือการรับผู้อื่นไว้ในอุปการะ เช่น บุตรบุญธรรม คนรับใช้ ญาติพี่น้อง มาอาศัยอยู่ด้วยกันใน ครัวเรือนเดียวกัน ข้อมูลครอบครัวได้แก่ จำนวนสมาชิกในครอบครัว ข้อมูลตนเองของทุกคนในครอบครัว
58 สภาพที่พักอาศยั และสิง่ แวดล้อม ระยะเวลาท่ีอาศยั อยู่ในชุมชน รายได้ – รายจ่ายรวมของครอบครัว เป็นราย เดอื น/รายปี เปน็ ต้น ข้อมลู ชมุ ชน สังคม 1. ขอ้ มูลชมุ ชน ชุมชน หมายถึง อาณาเขตบริเวณหนึ่งที่มีกลุ่มคนซึ่งมีวิถีชีวิตเก่ียวข้องกัน อาศัยอยู่ร่วมกัน มาเป็น เวลานาน มีการติดต่อสื่อสารกันเป็นปกติอย่างต่อเนื่อง มีวัฒนธรรม ความเชื่อ จารีตประเพณี เดียวกัน ใช้ สาธารณสถานและสถาบันร่วมกัน ชุมชนมีลักษณะหลายประการเหมือนกับสังคม แต่มีขนาดเล็กกว่า มีความ สนใจร่วมที่ ประสานสมั พันธ์กันในวงแคบกว่า ข้อมูลชุมชน ประกอบด้วยข้อมูลด้านต่างๆ ดังนี้คือ ข้อมูลด้านภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์และ ความ เป็นมา ข้อมูลด้านเศรษฐกิจ - สังคม ข้อมูลด้านการเมืองและการปกครอง ข้อมูลด้านศาสนาและ วัฒนธรรม และข้อมลู ด้านสิง่ แวดล้อม เปน็ ด้น 2. ข้อมลู สังคม สังคม หมายถึง กลุ่มคนมากกว่าสองคนขึ้นไป อยู่อาศัยรว่ มกันเป็นเวลาอันยาวนานในพืน้ ที่ ที่กำหนด คนในกลุ่มมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน มีระเบียบแบบแผนร่วมกันเพื่อให้การดำรงอยูเ่ ป็นไป ด้วยดี มีกิจกรรม ร่วมกัน มีประเพณีและวัฒนธรรมที่เหมือนกันเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกัน ในสังคมอย่างสงบสุข ข้อมูลทางสังคม ได้แก่ ข้อมูลด้านการศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี สาธารณสุข อาชญากรรม สาธารณ ภัย ทรัพยากรธรรมชาติ ส่ิงแวดล้อม เศรษฐศาสตร์ การเมืองการปกครอง หน้าที่ พลเมือง ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ เป็นด้น
59 ใบงาน กรต. ครงั้ ท่ี 2 ใบงานเรื่องขอ้ มูลตนเอง ครอบครัว ชมุ ชน สงั คม ให้ผู้เรียนทำกจิ กรรมตอ่ ไปนี้ 1. ขอ้ มูล หมายถึงอะไร 2. ขอ้ มูล มคี วามสำคัญอยา่ งไร 3. จงบอกถงึ ประโยชน์ของข้อมูล 4. จงกรอกข้อมลู ตนเองลงในแบบพิมพท์ กี่ ำหนด ขอ้ มลู ตนเอง 1. ชอ่ื – นามสกลุ ......................................................................................................................................... เลขบัตรประจำตวั ประชาชน เกดิ วนั ที่..................เดือน................................................พ.ศ. .............................. อายุ...............................ปี สถานที่เกิด จงั หวดั ............................................................... 2. กลุ่มเลอื ด.............................................................................สผี วิ .................................... 3. ส่วนสูง.............................เซนติเมตร น้ำหนกั ....................................กิโลกรมั 4. สญั ชาต.ิ ............................ เช้ือชาต.ิ ................................. ศาสนา............................... 5. ชอื่ บิดา.................................................................. มารดา.................................................................. 6. สถานทอ่ี ย่ปู จั จุบนั บ้านเลขท่ี...............................หม่ทู ี.่ ............. หมู่บ้าน/อาคาร.................................................................... ถนน...................................................ตำบล..........................................อำเภอ............................................... จงั หวดั .......................................................................รหัสไปรษณีย์................................................................. หมายเลขโทรศัพท์บ้าน..................................................หมายเลขโทรศัพทม์ ือถือ............................................ 7. จบการศกึ ษาระดบั .....................................................จากสถานศึกษา............................................................ ตำบล........................................อำเภอ.................................................จงั หวดั ................................................ ปจั จบุ ันกำลังศึกษาระดับ...........................................................ท่สี ถานศกึ ษา.................................................. ตำบล........................................อำเภอ.................................................จงั หวัด................................................ 8. ประกอบอาชีพ...............................................................................รายไดเ้ ดอื นละ.......................................... สถานทปี่ ระกอบอาชีพ บริษัท/หน่วยงาน........................................................................................................
60 ตำบล........................................อำเภอ.................................................จงั หวัด................................................ 9. สถานภาพ โสด สมรส หย่า หม้าย 10. จำนวนบตุ ร........................คน ใบความรู้ การจัดเก็บ วเิ คราะห์ข้อมูลดว้ ยวิธีการทหี่ ลากหลาย และเผยแพร่ข้อมลู การจดั เก็บข้อมูล การเก็บรวบรวมข้อมลู เปน็ ข้ันตอนทใ่ี ห้ได้มาซึ่งข้อมูลทีต่ ้องการมีความหมายรวมทั้งการเก็บข้อมูลข้ัน มาใหม่ และการรวบรวมข้อมูลจากผู้อ่ืนที่ได้เก็บไว้แล้ว หรือได้รายงานไว้ในเอกสารต่าง ๆ เพื่อนำมาศึกษา ต่อไป การเกบ็ รวบรวมข้อมูลมเี ทคนคิ และวธิ ีการหลายวธิ ี ดังนี้ 1. การเก็บรวบรวมข้อมูลจากรายงาน (Reporting System) เป็นผลพลอยได้จากระบบการ บริหารงาน เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลจากรายงานที่ทำไว้หรือจากเอกสารประกอบการทำงาน ซึ่งการเก็บ รวบรวมข้อมูลจากรายงานส่วนมากใช้เพียงครั้งเดียว จากรายงานดังกล่าว อาจมีข้อมูลเบื้องต้นบางประเภทท่ี สามารถนำมาประมวลเป็นยอดรวมข้อมูลสถิติได้ วิธีเก็บรวบรวมข้อมูลจากรายงานของหน่วยบริหาร นับว่า เป็นวธิ ีการรวบรวมขอ้ มูลสถิติโดยไม่ต้องสนิ้ เปลืองคา่ ใช้จา่ ยในการดำเนนิ งานมากนัก ค่าใชจ้ ่ายที่ ใชส้ ่วนใหญ่ก็ เพื่อการประมวลผล พิมพ์แบบฟอร์มต่าง ๆ ตลอดจนการพิมพ์รายงาน วิธีการนี้ใช้กันมาก ทั้งในหน่วยงาน รัฐบาลและเอกชน หน่วยงานของรัฐที่มีข้อมูลสถิติที่รวบรวมจากรายงาน ได้แก่ กรมศุลกากร มีระบบการ รายงานเก่ียวกับการส่งสินค้าออก และการนา่ สนิ คา้ เข้า และกระทรวงศึกษาธิการ มรี ายงานผล การปฏิบัติงาน ของโรงเรยี นภายในสังกดั ซง่ึ สามารถน่ามาใชใ้ นการประมวลผลสถิตทิ าง การศึกษาได้ 2. การเกบ็ รวบรวมข้อมูลจากทะเบียน (Registration) เป็นขอ้ มูลสถิติท่ีรวบรวมจากระบบ ทะเบยี น มี ลักษณะคล้ายกับการรวบรวมจากรายงานตรงที่เป็นผลพลอยได้เช่นเดียวกัน จะต่างกันตรงที่ แหล่งเบื้องต้น ของข้อมูลเป็นเอกสารการทะเบียนซึ่งการเก็บมีลักษณะต่อเนื่อง มีการปรับแก้หรือเปลี่ยนแปลง ให้ถูกต้อง ทันสมัย ทำให้ได้สถิติที่ต่อเนื่องเป็นอนุกรมเวลา ข้อมูลที่เก็บโดยวิธีการทะเบียน มีข้อรายการ ไม่มากนัก เนื่องจากระบบทะเบียนเป็นระบบข้อมูลที่ค่อนข้างใหญ่ ตัวอย่างข้อมูลสถิติที่รวบรวมจาก ระบบทะเบียน ได้แก่ สถิติจำนวนประชากรท่ีกรมการปกครอง ดำเนินการเก็บรวบรวมจากทะเบียนราษฎร์ ประกอบด้วย จำนวนประชากร จำแนกตามเพศเป็นรายจังหวัด อำเภอ ตำบล นอกจากทะเบียนราษฎร์แล้ว ก็มีทะเบียน ยานพาหนะของกรมตำรวจที่จะทำให้ได้ข้อมูลสถิติจำนวนรถยนต์ จำแนกตามชนิดหรือ ประเภทของรถยนต์ เป็นด้น 3. การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยวิธีสำมะโน (Census) เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลสถิติของทุก ๆ หน่วย ของประชากรที่สนใจศึกษาภายในพื้นที่ที่กำหนด และภายในระยะเวลาท่ีกำหนด การเก็บรวบรวม ข้อมูลสถิติ ดว้ ยวธิ นี ี้ จะทำใหไ้ ดข้ อ้ มลู ในระดับพนื้ ทยี่ อ่ ย เช่น หมู่บา้ น ตำบล อำเภอ และทำให้ได้ข้อมูลที่ เป็นค่าจริง ตามพระราชบัญญัติสถิติ พ.ศ.2508 ได้บัญญัติไว้ว่า สำนักงานสถิติแห่งชาติเป็นหน่วยงาน เดียวที่สามารถ จัดทำสำมะโนได้ และการเก็บรวบรวมข้อมูลสถิติด้วยวิธีการสำมะโน เป็นงานที่ต้องใช้ เงินงบประมาณ เวลา และกำลังคนเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่จะจดั ทำสำมะโนทุก ๆ 10 ปี หรือ 5 ปี
61 4. การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยวิธีสำรวจ (Sample Survey) เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลสถิติ จากบาง หน่วยของประชากรด้วยวิธีการเลือกตัวอย่าง การเก็บรวบรวมข้อมูลสถิติด้วยวิธีนี้ จะทำให้ได้ข้อมูลในระดับ รวม เช่น จังหวัด ภาค เขตการปกครอง และรวมทั่วประเทศ และข้อมูลที่ได้จะเป็นค่า โดยประมาณ การ สำรวจเป็นวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ใช้งบประมาณ เวลา และกำลังคนไม่มากนัก จึงสามารถจัดทำได้เป็น ประจำทุกปี หรอื ทกุ 2 ปี ปจั จุบันการสำรวจเป็นวิธกี ารเก็บรวบรวมขอ้ มลู สถติ ทิ ่มี ี ความสำคญั และใชล้ นั อย่าง แพร่หลายมากที่สุด ทั้งในวงการราชการและเอกชน ไม่ว่าจะเป็นการสำรวจ เพื่อหาข้อมูลทางด้านการเกษตร อตุ สาหกรรม สาธารณสุข การคมนาคม การศึกษา และข้อมลู ทาง เศรษฐกิจและสงั คมอ่ืน ๆ เปน็ ต้น 5. วิธีการสังเกตการณ์ (Observation) เป็นวิธีเก็บข้อมูลโดยการสังเกตโดยตรงจากปฏิกิริยา ท่าทาง หรือเหตุการณ์ หรือปรากฏการณ์ ท่ีเถิดขึ้นในขณะใดขณะหนึ่ง และจดบันทึกไว้โดยไม่มีการ สัมภาษณ์วิธีนี้ใช้ กนั อยา่ งกวา้ งขวางในการวิจัย เชน่ จะศึกษาดปู ฏิกริ ิยาของผู้ขับรถยนต์บนท้องถนน ภายใต้สภาพการณ์จราจร ตา่ ง ๆ ลัน กอ็ าจจะส่งเจ้าหน้าที่ไปยืนสังเกตการณ์ได้ การสังเกตจำนวนลูกคา้ และบนั ทกึ ปริมาณการขายของ สถานประกอบการ โดยพนักงานเก็บภาษีของกรมสรรพากร เนื่องจากการ ไปสัมภาษณ์ผู้ประกอบการถึง ปรมิ าณการขาย ย่อมไม่ได้ข้อมูลท่ีแท้จริง 6. วิธีการบันทึกข้อมูลจากการวัดหรือนับ วิธีนี้จะมีอุปกรณ์เพื่อใช้ในการวัดหรือนับตาม ความจำเป็น และความเหมาะสม เช่น การนับจำนวนรถยนตท์ ่ีแล่นผา่ นทีจ่ ดุ ใดจุดหน่งึ ก็อาจใช้เคร่ืองนบั โดยให้รถแล่นผา่ น เครอื่ งนบั หรือการเกบ็ ข้อมูลจำนวนผ้มู าใช้บริการในหอ้ งสมุดประชาชน ก็ใชเ้ ครอ่ื ง นับเมอ่ื มีคนเดินผ่านเครื่อง เปน็ ต้น การวิเคราะห์ขอ้ มูล การวิเคราะหข์ ้อมูลเป็นขั้นตอนการนำข้อมูลท่ีไดม้ าประมวลผลและทำการวิเคราะห์โดย เลือกค่าสถติ ิ ที่นำมาใช้ใหเ้ หมาะสม ค่าสถติ ิทีน่ ยิ มใชใ้ นการวิเคราะห์ขอ้ มลู ได้แก่ 1. ยอดรวม (Total) คือ การนำข้อมูลสถิติมารวมกันเป็นผลรวมท้ังหมด เช่น จำนวนนักศึกษา กศน. ระดับมัธยมศึกษาตอนด้นในจังหวัดตราด จำนวนประชากรทั้งหมดในจังหวัดระยอง จำนวนคนที่ เป็น ไขเ้ ลอื ดออกในภาคตะวนั ออก จำนวนคนว่างงานทง้ั ประเทศ เป็นต้น 2. คา่ เฉลย่ี (Average, Mean) หมายถงึ คา่ เฉลย่ี ซึง่ เถดิ จากข้อมูลของผลรวมทั้งหมดหารดว้ ย จำนวน รายการของข้อมูล เช่น การวัดส่วนสูงของนักศึกษา กศน.ตำบลจันทิมา ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จำนวน 10 คน วดั ได้เป็นเซนติเมตร มดี งั นี้ คนที่ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 สว่ นสูง 155 165 152 170 163 158 160 168 167 171 สว่ นสงู โดยเฉลย่ี ของนักศกึ ษา กศน.ตำบลจันทิมา ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย คือ 155 + 165 + 152 + 170 + 163 + 158 + 160 + 168 + 167 + 171 10 1629
62 10 = 162.9 เซนติเมตร 3. สดั ส่วน (Proportion) คือความสัมพนั ธ์ของจำนวนย่อยกับจำนวนรวมท้ังหมดโดยให้ลือว่า จำนวน รวมทั้งหมดเปน็ 1 ส่วน เช่น การสำรวจการลงทะเบียนเรียนของนักศกึ ษา กศน. ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จังหวัดกำแพงเพชร จำนวน 500 คน, ลงทะเบียนเรียนในหมวดวิชาภาษาไทย จำนวน 300 คน ลงทะเบียน เรยี นในหมวดวชิ าภาษาองั กฤษ จำนวน 200 คน ดงั นัน้ สัดส่วนของนักศกึ ษาที่ลงทะเบยี นเรยี น ในหมวดวชิ าภาษาไทย = 300 = 0.60 500 และสดั ส่วนของนักศึกษาทลี่ งทะเบียนเรยี น ในหมวดวชิ าภาษาองั กฤษ = 200 หรือ 1 – 0.60 = 0.40 500 4. รอ้ ยละหรือเปอร์เซน็ ต์ (Percentage or Percent) คอื สัดส่วน เมือ่ เทยี บต่อ 100 สามารถคำนวณ ได้ โดยนำ 100 ไปคณู สัดสว่ นท่ตี ้องการหาผลลัพธก์ ็จะออกมาเป็นร้อยละ หรอื เปอร์เซ็นต์ ตวั อยา่ ง ใน กศน. อำเภอแหง่ หนึ่ง มีนกั ศกึ ษาท้งั หมด 650 คน แยกเป็นนักศึกษาระดบั ประถมศึกษา จำนวน 118 คน นักศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 250 คน และนักศึกษาระดับ มัธยมศึกษาตอน ปลายจำนวน 282 คน เราจะหาร้อยละหรือเปอร์เซ็นตข์ องนักศกึ ษาแต่ละระดับไดด้ งั นี้ ระดบั ประถมศึกษา = 118 X 100 = 18.15% ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนต้น 650 = 38.46% ระดับมัธยมศกึ ษาตอนปลาย = 43.38% รวมทั้งหมด = 250 X 100 650 = 282 X 100 650 100% การนำเสนอข้อมลู (Presentation of Data) การนำเสนอข้อมูล (Presentation of Data โดยทั่วไปแบ่งเป็น 2 วิธี คือ การนำเสนอข้อมูล อย่างไม่ เปน็ แบบแผน และการนำเสนอขอ้ มลู อย่างเปน็ แบบแผน ซ่ึงมีรายละเอียด ดงั นี้ 1. การนำเสนอข้อมูลอย่างไม่เป็นแบบแผน การนำเสนอข้อมูลอย่างไม่เป็นแบบแผน หมายถึง การ นำเสนอข้อมูลที่ไมต่ ้อง ถกู กฎเกณฑแ์ ละแบบแผนอะไรมากนัก นิยมใช้ 2 วธิ ี คือ 1.1 การนำเสนอข้อมูลในรูปขอ้ ความ เป็นการนำเสนอข้อมูลโดยการบรรยายเกี่ยวกบั ข้อมลู นั้นๆ เช่น ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ประเภทอาชีวศึกษา อัตราส่วนนักเรียนต่ออาจารย์ใน ปีการศึกษา 2548
63 คือ 19 ต่อ 1 ในปีการศึกษา 2549 อตั ราส่วน คอื 21 ต่อ 1 และในปีการศึกษา 2550 อตั ราสว่ น คือ 22 ต่อ 1 จะเหน็ ได้ว่า อัตราส่วนของนกั เรยี นตอ่ อาจารย์ มีแนวโนม้ เพม่ิ ขึ้นอย่างเห็นไตช้ ดั 1.2 การนำเสนอข้อมูลในรูปข้อความกึ่งตาราง เป็นการนำเสนอข้อมูลโดยการแยกข้อความและ ตัวเลขออกจากกัน เพื่อให้เปรียบเทียบความแตกต่างของข้อมูลไต้ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น จากการสำรวจตลาดสด แหง่ หนึง่ ผลไมบ้ างชนิดขายในราคา ตอ่ ไปน้ี ส้มเขยี วหวาน กิโลกรมั ละ 35 บาท ชมพู่ กโิ ลกรมั ละ 25 บาท มะม่วง กโิ ลกรัมละ 40 บาท สับปะรด กโิ ลกรมั ละ 25 บาท เงาะ กโิ ลกรัมละ 15 บาท มงั คุด กิโลกรัมละ 25 บาท 2. การนำเสนอขอ้ มูลอย่างเปน็ แบบแผน การนำเสนอข้อมูลอย่างเป็นแบบแผน เป็นการนำเสนอที่จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ ที่ไต้กำหนดไว้เป็น มาตรฐาน ตัวอยา่ งการนำเสนอแบบน้ีเชน่ การนำเสนอในรปู ตาราง กราฟ และ แผนภมู ิ เป็นตน้ 2.1 การนำเสนอในรปู ตาราง (Tabular Presentation) ข้อมลู ตา่ ง ๆ ท่เี กบ็ รวบรวมมาได้ เม่ือทำ การประมวลผลแล้วจะอยู่ในรูปตาราง ส่วนการนำเสนออย่างอื่นเป็นการนำเสนอโดยใช้ข้อมูล จากตาราง จำนวนข้าราชการ ในโรงเรียนแหง่ หน่ึง มี 22 คน จำแนกตามคุณวุฒิสูงสดุ ดงั น้ี คณุ วุฒสิ ูงสดุ จำนวนขา้ ราชการ ปรญิ ญาเอก 1 ปรญิ ญาโท 16 ปรญิ ญาตรี 5 ต่ำกวา่ ปริญญาตรี 0 รวม 22 2.2 การนำเสนอด้วยกราฟเส้น (Line graph) เป็นแบบที่รู้จักกันดีและใช้กันมากที่สุด แบบหน่ึง เหมาะสำหรบั ขอ้ มลู ท่ีอย่ใู นรูปของอนุกรมเวลา เชน่ ราคาขา้ วเปลือกในเดอื นต่าง ๆ ปริมาณ สนิ ค้าส่งออกราย ปี ราคาผลไม้แตล่ ะปี เปน็ ต้น ราคาขายปลีก ลองกองทีต่ ลาดกลางผลไม้ตำบลตะพง 5 ปี มีดงั น้ี ปี พ.ศ. 2548 2549 2550 2551 2552 40.- ราคา(บาท): กโิ ลกรัม 120.- 95.- 80.- 65.- สามารถนำเสนอแนวโนม้ ของราคาขายปลีกลองกอง 5 ปี ดว้ ยกราฟเส้นได้ดงั นี้
64 2.3 การนำเสนอด้วยแผนภูมแิ ท่ง (Bar Chart) ประกอบด้วยรปู แท่งสีเ่ หลี่ยมผืนผ้า ซึ่งแต่ละแทง่ มคี วามหนาเท่าๆ กนั โดยจะวางตามแนวตงั้ หรอื แนวนอนของแกนพกิ ัดฉากก็ได้ ตัวอย่าง นักศึกษา กศน. ระดับ มัธยมศึกษาตอนต้น ในภาคตะวันออกที่สอบผ่านในหมวด วิชา คณติ ศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ ภาษาองั กฤษ ภาษาไทย และพัฒนาสังคมและชุมชน ตัวอย่าง จำนวนนักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551 ในจงั หวัดชลบรุ ีและจังหวัดระยอง แบ่งตามระดบั การศกึ ษา
65 2.4 การนำเสนอดว้ ยรูปแผนภมู ิวงกลม (Pie Chart) เป็นการแบง่ วงกลมออกเปน็ ส่วนตา่ งๆ ตามตัวอยา่ ง แผนภูมิแสดงผลการสอบของนักศกึ ษาทีส่ อบผา่ น จำแนกตามหมวดวิชา
66 ใบงาน กรต. ครั้งที่ 3 ใบงานเรอ่ื ง การจัดเก็บ วเิ คราะหข์ ้อมลู ด้วยวิธีการที่หลากหลาย และเผยแพร่ข้อมูล ใหผ้ เู้ รยี นทำกิจกรรมต่อไปนี้ ข้อ 1 หากครูต้องการศกึ ษาพฤตกิ รรมการทำงานกลุ่มของนักศึกษา ครูควรจะเก็บรวบรวม ข้อมูลดว้ ยวิธีใด จึงจะเหมาะสม ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………….................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ข้อ 2 ใหผ้ ู้เรยี นเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลครอบครัวของตนเองตามแบบสำรวจ ต่อไปน้ี แบบสำรวจข้อมูลครอบครวั 1. จำนวนสมาชิกในครอบครัว...............................................คน 2. หัวหน้าครอบครวั 2.1 ช่อื ............................................................................................................อาย.ุ ...............ปี 2.2 อาชพี หลกั ....................................................................................รายได้ต่อป.ี ........................................บาท 2.3 อาชพี รอง/อาชีพเสรมิ ..................................................................รายได้ตอ่ ปี.........................................บาท 2.4 รายได้รวมตอ่ ป.ี ........................................บาท 2.5 การศึกษาสงู สดุ ของหวั หน้าครอบครัว............................................... 2.6 บทบาทในชมุ ชน (กำนนั , ผ้ใู หญบ่ ้าน, สมาชิก อบต. ฯลฯ) ............................................................... โปรดใส่รายละเอียดเกีย่ วลับสมาชกิ ภายในครอบครัวทุกคนทอี่ าศัยอยรู่ ่วมกนั ในตารางตอ่ ไปนี้ ช่ือ – สกลุ ความสัมพันธ์ อาชีพ อาชพี รายได้ การศกึ ษา กำลงั บทบาทใน อายุ กับหวั หน้า หลกั เสรมิ เฉล่ีย สงู สดุ ศึกษา ชุมชน ระดบั ครอบครัว
67 4. การถือครอง/การใช้ประโยชน์ของทดี่ นิ มี ไม่มี การถอื ครองท่ีดนิ เปน็ ของตนเอง รับการจัดสรรจากทางราชการ การใชป้ ระโยชน์ทด่ี ิน คือ......................................................................................... ปัญหาที่ดิน............................................................. ............................ 5. การเพาะปลกู พชื /การกระจายผลผลติ ......................................................................................... จากการขาย........................................................................................ .บาท/ปี 6. การเลี้ยงสตั ว์/การกระจายผลผลติ ......................................................................................... รายได้จากการขาย.........................................................................................บาท/ปี 7. รายไดเ้ งนิ สด จากการทำการเกษตร และนอกเหนือจากการทำการเกษตร รายไดเ้ งินสดจากการทำการเกษตร.........................................................................................บาท/ปี รายไดเ้ งนิ สดนอกเหนอื จากการทำการเกษตร.........................................................................บาท/ปี รายจ่ายหลักในการประกอบอาชีพ..........................................................................................บาท/ปี รายจา่ ยประจำเดือนภายในครัวเรอื น..................................................................... .................บาท/ปี รายจา่ ยอนื่ ๆ.........................................................................................บาท/ปี 9. ครอบครัวของทา่ น มีความเชย่ี วชาญ หรอื ความสามารถพิเศษ ในเรือ่ งใดบา้ ง .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. 10. ความตอ้ งการในการพฒั นาอาชพี /แกอาชีพ/ประกอบอาชีพ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ข้อ 3 จากข้อมูลการสอบปลายภาคเรียน หมวดวิชาภาษาไทย นักศึกษาระดับประถมศึกษา จำนวน 7 คน ได้ คะแนนดงั น้ี 33 36 25 29 34 28 37 จงหาคะแนนเฉล่ียของหมวดวชิ าภาษาไทย .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................................................
68 ข้อ 4 ในชุมชน ๆ หนึ่ง มีผู้,ประกอบอาชีพ เลี้ยงไก่ 26 คน เลี้ยงวัว 30 คน ทำไร่ข้าวโพด 15 คน ทำสวน ผลไม้ 50 คน จงนำเสนอข้อมูลในรูปของตาราง .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................................................
69 ใบความรู้ การมสี ว่ นร่วมในการวางแผนพัฒนาตนเอง ครอบครัว ชุมชนสงั คม การวางแผน แผนเป็นส่ิงที่แสดงใหเ้ หน็ ว่าองค์กรพยายามท่ีจะทำส่ิงท่ีทำอยู่ให้ได้ผลออกมาดีที่สุดและ ประสบ ความสำเร็จ ฉะนั้น การวางแผนเปน็ การตัดสนิ ใจล่วงหน้ากอ่ นเหตกุ ารณ์นั้นเกิดขน้ึ จริง การวางแผน (Planning) หมายถงึ กระบวนการในการกำหนดวตั ถปุ ระสงค์ เพื่อการตัดสนิ ใจ เพ่ือ เลือกแนวทางในการทำงานใหด้ ที สี่ ดุ สำหรับอนาคตและใหอ้ งค์กรไดบ้ รรลุตามวัตถุประสงค์ ความสำคัญของการวางแผน 1. เพื่อลดความไมแ่ นน่ อนและความเสี่ยงให้เหลอื นอ้ ยทส่ี ุด 2. สรา้ งการยอมรบั ในแนวคิดใหม่ ๆ 3. เพอ่ื ใหก้ ารดำเนนิ งานบรรลุเป้าหมาย 4. ลดขนั้ ตอนการทำงานที่ซบั ซอ้ น 5. ทำให้เกิดความชัดเจนในการทำงาน วตั ถุประสงคไ์ นการวางแผน 1. ทำใหร้ ทู้ ศิ ทางในการทำงาน 2. ทำใหล้ ดความไม่แน่นอนลง 3. ลดความเสียหายหรือการซ้ำซ้อนของงานทที่ ำ 4. ทำใหร้ มู้ าตรฐานในการควบคุมให้เปน็ ไปตามทีก่ ำหนด ข้อดีของการวางแผน 1. ทำใหเ้ กดิ การปรับปรงุ การทำงานให้ดขี ้ึน 2. ทำใหเ้ กดิ การประสานงานดียิ่งข้ึน 3. ทำให้การปรับปรงุ และการควบคมุ ดขี ึ้น 4. ทำให้เกิดการปรับปรงุ การบรหิ ารเวลาให้ดขี ้นึ ซง่ึ เป็นสว่ นที่สำคัญทีส่ ุดในการวางแผน หลักพน้ื ฐานการวางแผน 1. ต้องสนบั สนุนเป้าหมายและวตั ถปุ ระสงคข์ ององคก์ ร 2. เปน็ งานอันดบั แรกของกระบวนการจดั การ 3. เป็นหนา้ ท่ีของผู้บรหิ ารทกุ คน
70 ต้องคำนึงถงึ ประสิทธิภาพของแผนงาน ลักษณะของแผนทีด่ ี 1. มลี ักษณะชี้เฉพาะมากกว่ามลี กั ษณะกวา้ ง ๆ หรือกลา่ วท่วั ๆ ไป 2. มีการจำแนกความแตกต่างระหวา่ งสิง่ ที่รู้และไม'รใู้ หช้ ดั เจน 3. มีการเช่ือมโยงอยา่ งเปน็ เหตเุ ปน็ ผล และสามารถนำไปปฏิบตั ิได้ 4. มลี กั ษณะยืดหยุน่ สามารถปรบั ปรุงและพัฒนาได้ 5. ต้องได้รบั การยอมรับจากกระบวนการทเี่ กีย่ วข้อง ตวั อยา่ งแผนการมสี ่วนรว่ มของประชาชน (คนเก็บขยะ) การทำงานของเทศบาลนครพิษณุโลก จะเน้นที่การมีส่วนร่วมของประชาชน นอกจากจะให้ ประชาชน ร่วมคิด เช่น การให้ประชาชนมีส่วนในการทำแผนพัฒนาเทศบาลแล้ว ยังได้ขยายลงไปถึงการทำ แผนพัฒนา ชุมชนประจำปี ซึ่งเป็นการจัดทำประชาคม ให้สมาชิกในชุมชนมีส่วนร่วมในการทำ แผนพัฒนาชุมชนของ ตวั เองและไดเ้ รียงลำดบั ความสำคัญหรอื ความต้องการของชมุ ชนน้ัน ๆ ประชาชนเข้ามามีสว่ นร่วมต้ังแต่ขน้ั ตอนการวางแผน ทางเทศบาลได้มีการจัดทำแผนเฉพาะ การจัดการ ขยะมูลฝอยของเทศบาลโดยให้ประชาชนและผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเข้ามามีส่วนร่วมในการทำแผน และได้เริ่ม ขยายการจัดทำแผนการจัดการขยะมูลฝอยลงในชุมชนบางแห่ง มีการอบรมให้ความรู้ด้านการ จัดการขยะมูล ฝอยแก'ประชาชนในชุมชนและกลมุ่ ต่าง ๆ เชน่ ชมรมสตรีอาสาพัฒนา กลุ่มผปู้ ระกอบการ อาหาร สถานศึกษา ในพนื้ ท่ี กลุ่มเยาวชน กล่มุ ออกกำลังกายเพ่ือสุขภาพ ฯลฯ พรอ้ มท้ังขอความรว่ มมือใน การจดั การขยะมูลฝอย เชน่ ช่วยในการคัดแยกของขายได้ (หรือขยะรไี ซเคิล) ระดบั ครวั เรอื น ช่วยคดั แยก ขยะอินทรียห์ รือขยะชวี ภาพ ทำปยิ หมักท่ีบ้านหรือรว่ มมือคันทำระดับชุมชน ช่วยจัดหาถังขยะของแตล่ ะ ครวั เรือนเอง นำถังขยะออกมาให้
71 สัมพันธ์คับเวลาจัดเก็บ ทำให้ชุมชนปลอดถังขยะหรือถนนปลอดถังขยะ เทศบาลสามารถลดความถี่ในการ จดั เก็บขยะมูลฝอยลงได้ บางชมุ ชนนัดหมายเทศบาลมาเก็บขยะสัปดาห์ ละครง้ั หรอื อย่างนอ้ ยก็สามารถลดลง ไดเ้ ป็นวนั เว้นวนั ทง้ั ยังใหค้ วามร่วมมอื อยา่ งดใี นการชำระ คา่ ธรรมเนียมขยะมลู ฝอย ภาครัฐควรใส่ใจและทำการประชาสัมพันธ์และรณรงค์ เพื่อสื่อสารทำความเข้าใจคับประชาชน รวมท้ัง ขอความรว่ มมือจากประชาชน ล้าประชาชนเข้าใจและเหน็ ประโยชน์ที่จะเกดิ ขน้ึ ทั้งต่อตนเองและ ส่วนรวมแล้ว จะส่งผลให้เกิดความร่วมมือเป็นอย่างดี ทำให้การงานต่าง ๆ สำเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์ และล่อให้เกิด ประโยชน์ตอ่ ทกุ ฝ่าย การมีสว่ นรว่ มในการวางแผนพัฒนาตนเอง ครอบครัว ชุมชน สงั คม การมสี ว่ นร่วมในการวางแผนพัฒนาตนเอง ครอบครัว ชมุ ชน สงั คม การมีส่วนร่วม หมายถึง การเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนของการพัฒนาทั้งใน การแก้ไขปัญหาและป้องกันปัญหา โดยเปิดโอกาสให้มีส่วนร่วมในการเกิดริเริ่ม ร่วมกำหนด นโยบาย ร่วม วางแผน ตัดสินใจและปฏิบัติตามแผน ร่วมตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐทุกระดับร่วมติดตาม ประเมินผล รับผิดชอบในเร่อื งต่าง ๆ คันมีผลกระทบคับประชาชน ชุมชนและเครอื ข่ายทุกรปู แบบในพน้ื ท่ี การมีส่วนร่วมของประชาชน (Public Participation) หมายถึง กระบวนการที่ประชาชนและผู้ท่ี เกี่ยวข้องมีโอกาสได้เข้าร่วมในการแสดงทัศนะ ร่วมเสนอปัญหา ประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้อง ร่วมคิด แนวทาง ร่วมแก้ไขปัญหาและร่วมในกระบวนการดัดสินใจ การที่สังคมจะพัฒนาได้อย่างมีคุณภาพจำเป็นอย่างยิ่งท่ี จะต้องเริ่มด้นที่จะทำการพัฒนา หน่วยที่ย่อยที่สุดของสังคมก่อน ซึ่งได้แก่ การพัฒนาคน การพัฒนาในลำดับ ต่อมาเริม่ กันท่คี รอบครัว และต่อยอดไปจนถึงชุมชน สังคม และประเทศ 1. การพัฒนาตนเอง และครอบครัว การพัฒนาตนเอง หมายถงึ การพฒั นาตนเองดว้ ยตนเอง หรือการสอนใจตนเองในการสร้าง อุปนิสัยท่ี ดี ซง่ึ จะสง่ ผลให้เกิดประโยชนต์ ่อตนเองและทำใหส้ ังคมเกิดความสงบสุข การพัฒนาครอบครัว หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด และประเทศ การพัฒนาสังคมในหน่วยย่อย นำไปสกู่ ารพัฒนาสังคมที่เป็นหน่วยใหญ่ มักจะมีจดุ เริ่มด้นที่เหมือนกนั คือ การพัฒนาที่ตัวบคุ คล ถ้าประชาชน ได้รับการพัฒนาให้เปน็ บุคคลที่มจี ิตใจดีงาม มีความเอื้อเพื่อ มีคุณธรรม รู้จัก การพึ่งพาตนเอง มีความร่วมมือ ร่วมใจ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีความเชื่อมั่นในถูมิปัญญาของตนเอง และพร้อมที่จะรับความรู้ใหม่ๆ ซึ่ง การพัฒนาคนที่ดีที่สุด คือ การรวมกลุ่มประชาชนให้เป็นองค์กรเพื่อพัฒนาคนในกลุ่ม เพราะกลุ่มคนนั้นจะ ก่อให้เกิดการเรียนรู้ เกิดการคิดและแก้ปัญหา หรือกลุ่มที่พัฒนาด้านบุคลิกภาพของคนในการทำงานร่วมกัน จะช่วยให้คนได้เกิดการพัฒนาในด้านความคิด ทัศนคติ ความมีเหตุผล ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญของระบอบ ประชาธปิ ไตย 2. การพัฒนาชมุ ชน และสังคม การพฒั นาชุมชนและสังคม หมายถึง การทำกิจกรรมท่ีมผี ลต่อคุณภาพชีวติ ของทุกคนในชุมชนร่วมกัน ดังนั้น การพัฒนาชุมชนและสังคม จึงต้องใช้การมีส่วนร่วมของประชาชน ร่วมกันคิด เกี่ยวกับปัญหาต่างๆ ตัดสนิ ใจรว่ มกนั ในกิจกรรมท่ีเป็นปัญหาส่วนรวม เหตทุ ่ีตอ้ งให้ประชาชนเข้ามามีสว่ นร่วม เนื่องจากประชาชนรู้
72 ว่า ความต้องการของเขาคืออะไร ปัญหาคืออะไร และจะแก้ปัญหานั้นอย่างไร ถ้าประชาชนช่วยกันแก้ปัญหา กจิ กรรมทุกอย่างจะนำไปสคู่ วามต้องการท่แี ทจ้ ริง หลกั การพัฒนากับการมสี ว่ นร่วมของประชาชน 1. การมีส่วนร่วมในการค้นหาปัญหาและสาเหตุของปัญหา เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด เพราะถ้า ประชาชนไม่สามารถเข้าใจปัญหาและหาสาเหตุของปญั หาดว้ ยตนเองไม่ได้ กจิ กรรมตา่ งๆ ท่ีตามมาก็จะไม่เกิด ประโยชน์ เนอื่ งจากประชาชนขาดความรู้ ความเข้าใจ และไมส่ ามารถมองเห็นความสำคญั ของกิจกรรมนั้น 2. การมสี ว่ นร่วมในการวางแผนการดำเนินงาน ในการวางแผนการดำเนินงานหรือกจิ กรรม เจ้าหน้าท่ี ของรัฐควรที่จะต้องเข้าใจประชาชน และเข้าไปมีส่วนร่วมในการวางแผน โดยคอยให้คำแนะนำ ปรึกษา หรือ ชี้แนะกระบวนการดำเนนิ งาน ให้กบั ประชาชนจนกวา่ จะเสร็จสน้ิ กระบวนการ 3. การมีส่วนร่วมในการลงทนุ และปฏบิ ัติงาน เจา้ หน้าทีร่ ฐั ควรจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจและจิตสำนึก ใหป้ ระชาชน โดยใหร้ ู้สึกถึงความเป็นเจ้าของใหเ้ กดิ สำนกึ ในการดแู ลรักษาหวงแหนส่ิงนั้น 4. การมีสว่ นรว่ มในการตดิ ตามและประเมนิ ผลงาน ควรให้ประชาชนไดเ้ ขา้ มามีส่วนร่วมในการติดตาม และประเมินผลงาน เพื่อที่จะสามารถบอกได้ว่างานที่ทำไปนั้นได้รับผลดีเพียงใด ก่อให้เกิดประโยชน์หรือไม่ ดังน้ัน ในการประเมนิ ผลควรทจ่ี ะต้องมที ้ังประชาชนในชุมชนนั้น และบคุ คลภายนอกชมุ ชนช่วยกันพิจารณาว่า กิจกรรมที่กระทำลงไป นั้นเกิดผลดีหรือไม่ดีอย่างไร ซ่ึงจะทำให้ประชาชนเห็นคุณค่าของการทำกิจกรรมนั้น รว่ มกัน ตวั อยา่ ง เรอ่ื งการบริหารจดั การของเสียโดยเตาเผาขยะและการบำบัดของเสยี ของเทศบาลนครภเู กต็ จงั หวดั ภูเก็ต สืบเนื่องจากปริมาณขยะที่มีมากถึง 500 ตัน/วัน ซึ่งเกินความสามารถในการกำจัดโดยเตาเผาที่ มีอยู่ สามารถกำจัดขยะได้ 250 ตัน/วัน หลุมกลบขยะของเทศบาลมีเพียง 5 บ่อ ซึ่งถูกใช้งานจนหมด และไม่ สามารถรองรับขยะได้อีก ประชาชนได้เข้าไปมีส่วนร่วมโดยให้ความร่วมมือในการกัดแยกขยะก่อนทิ้ง ซึ่งแยก ตาม ลกั ษณะของขยะ เช่น 1. ขยะอินทรีย์ หรือขยะเปียกที่สามารถย่อยได้ตามธรรมชาติ เทศบาลนครภูเก็ต ได้นำไปทำ ปุ๋ย สำหรบั เกษตรกร 2. ขยะรีไซเคลิ เช่น แก้ว พลาสตกิ กระดาษ ทองแดง เป็นด้น นำไปจำหนา่ ย 3. ขยะอันตราย เช่น ถา่ นไฟฉาย หลอดไฟ เป็นด้น นำไปฝังกลบและทำลาย 4. ขยะทวั่ ไปที่จะนำเข้าเตาเผาขยะเพื่อทำลาย ในการจัดกระบวนการดังกล่าว ส่งผลให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการส่งเสริมสิ่งแวดล้อมที่ดี ให้กับ จังหวัดภูเก็ต อีกทั้งเป็นการบูรณาการในการดำเนินกิจกรรมร่วมกันระหว่างส่วนราชการเทศบาลนครภูเก็ต และภาคประชาชนเปน็ การสรา้ งการมีสว่ นร่วมระหว่างองค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่นกบั ประชาชน ในการรว่ มกัน สร้างสรรค์ส่งิ แวดล้อมทีด่ ีตอ่ กัน
73 ใบงาน กรต. ครั้งที่ 4 ใบงานเรือ่ ง การมสี ่วนร่วมในการวางแผนพฒั นาตนเอง ครอบครวั ชมุ ชนสังคม ข้อ 1 ใหผ้ เู้ รยี นแบ่งกลมุ่ 3 – 4 คน ต่อ 1 กลุ่ม และให้รว่ มกนั ศกึ ษารูปแบบขั้นตอนในการวางแผนโดย ช่วยกนั ระดมความคิด อภปิ ราย จากนนั้ ทำการสรปุ และรว่ มกนั จัดทำแผนการพัฒนาชุมชนหรือหมบู่ ้านของผู้เรียน ให้ มคี วามเป็นอยู่ทีด่ ี โดยยดึ หลกั เศรษฐกิจพอเพียง มากลุ่มละ 1 แผน ข้อ 2 ให้ผู้เรียนศึกษาตัวอย่างของการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ในการเข้าร่วมพัฒน าสังคม จากนั้นให้ รว่ มกนั จดั ทำแนวทางการบริหารจัดการ โดยการมีสว่ นรว่ มของประชาชนในด้านต่อไปน้ี 1. การอนุรกั ษ์ส่งิ แวดล้อม 2. การอนรุ ักษ์ดา้ นศลิ ปวฒั นธรรมไทย 3. การรณรงค์ป้องกนั ยาเสพติด 4. การรณรงค์ป้องกนั ไข้หวดั 2009 5. การรณรงคก์ ารเลอื กใชผ้ ลติ ภัณฑ์ของไทย (ให้เลือกเฉพาะดา้ นใดด้านหนึ่งเทา่ น้นั )
74 ใบความรู้เรอ่ื ง บทบาท หนา้ ท่ีของผู้นำ/สมาชกิ ทีด่ ีของชมุ ชน สังคม เทคนคิ การมีส่วนรว่ มในการจดั ทำแผน 1.1 การมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทำแผน การเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการ จดั ทำแผน ตัดสนิ ใจ ในการวางโครงการ สำหรับประชาชนเอง มีวตั ถุประสงคเ์ พ่ือ 1.1.1 ให้ประชาชนยอมรับในแผนการดำเนินงาน และพร้อมจะร่วมมือ เป็นการลด การต่อต้าน และลดความรู้สึกแตกแยกจากโครงการ 1.1.2 ให้ประชาชนไต้ร่วมตัดสินใจเกี่ยวกับสถานการณ์ ปัญหาความต้องการ ทิศทางของ การ แกป้ ญั หา และผลลพั ธท์ ี่จะเกิดขึ้น 1.1.3 ใหป้ ระชาชนมปี ระสบการณต์ รงในการร่วมแกป้ ัญหาของประชาชนเอง ทำใหป้ ระชาชนเกิด การเรยี นรู้ในกระบวนการแกป้ ญั หา 1.2 การจัดทำเวทีประชาคม เป็นวิธีการกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีส่วนร่วม ระหว่างคนที่มี ประเด็นหรือ ปัญหาร่วมกันโดยใช้เวทีในการสื่อสาร เพื่อการรับรู้และเข้าใจในประเด็น/ปัญหาและช่วยกันหา แนวทางแก้ไข ประเด็นปญั หานั้น ๆ ซ่งึ มขี ั้นตอนในกระบวนการจัดทำเวทปี ระชาคม 1.2.1 เตรยี มการ ควรแบ่งเปน็ 2 ส่วน คือ 1) ผู้อำนวยการเรียนรู้หลักหรอื วิทยากรกระบวนการหลัก ที่มีหน้าที่ขับเคล่ือนการมี ส่วนร่วม เวทีประชาสังคมท้ังกระบวน และเป็นวิทยากรหลักท่ีทำใหเ้ กิดการแสดงความคิดเห็นร่วมกันระหว่างผู้เขา้ รว่ ม อภปิ รายในเวทปี ระชาคม 2) ผู้สนับสนุนวิทยากรกระบวนการ ซึ่งอาจจะแสดงบทบาทเป็นวิทยากรรอง หรือผู้จดบันทึก การประชุม ผู้สนับสนุน'ฯ มีหน้าที่เติมคำถามในเวทีเพื่อให้ประเด็นบางประเด็นสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น สังเกต ลักษณะท่าทีและบรรยากาศของการอภิปราย สรุปประเด็นที่อภิปรายไปแล้ว และให้ข้อมูลเพิ่มเติมที่เกี่ยวลับ กลุ่มและบรรยากาศแก่วทิ ยากรหลัก 1.2.2 ดำเนินการเวทีประชาคม ในกระบวนการนั้นผู้อำนวยการเรียนรู้หรอื วิทยากรกระบวนการ หลกั มบี ทบาทมากท่ีสดุ ขัน้ ตอนในกระบวนการน้ีประกอบดว้ ย 1) การทำความรู้จักกันระหว่างผู้เข้าร่วมอภิปราย จุดมุ่งหมายของขั้นตอนนี้ คือ การละลาย พฤติกรรมในกลุ่มและระหว่างกลุ่มกับทีมงาน เพ่อื สรา้ งบรรยากาศที่ดีระหวา่ งการอภปิ ราย 2) บอกวัตถุประสงค์ของการจัดเวทีประชาคม เป็นการบอกกล่าว เพื่อให้ผู้เข้าอภิปรายได้ เตรยี มตวั ในฐานะผู้มีส่วนเกีย่ วข้องกบั ประเด็น/ปญั หา การกระตนุ้ ให้เกดิ การมีส่วนร่วมของผู้ร่วมอภิปรายควร ใช้ภาษาที่สอดคล้องกับภูมิหลังของผู้เข้าร่วมอภิปราย และต้องให้ผู้ร่วมอภิปรายในเวทีประชาคมรู้สึกไว้ใจ ตั้งแต่เรม่ิ ดน้ 3) การเกริ่นนำเข้าสู่ที่มาที่ไปของประเด็นการอภิปรายในเวทีประชาคม เพื่อให้ผู้เข้าร่วม อภิปรายไดเ้ ข้าใจท่ไี ปท่มี าและความสำคัญของประเดน็ ตอ่ การดำเนินชีวติ หรอื วิถีชีวิต และบอกถึงความจำเป็น ในการร่วมมือกันหรือแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นน้ีร่วมกันเพื่อหาจุดยืนหรือแนวทางแก้ปัญหาของประเดน็ ดงั กลา่ ว
75 4) การวางกฎและระเบียบของการจัดเวทีประชาคมร่วมกัน ข้ันตอนนีเ้ ปน็ ขั้นตอนก่อนการเริ่ม อภิปรายในประเด็นที่ตั้งไว้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อร่วมกันกำหนดขอบเขตและการวางระเบียบของการจัดทำเวที ประชาคมรว่ มกนั ระหว่างผ้ดู ำเนินการอภปิ รายและผู้ร่วมอภปิ ราย กฎพื้นฐานของการจัดเวทปี ระชาคม คือ (1) ทุกคนต้องแสดงความคดิ เหน็ และกำหนดเวลาทแ่ี นน่ อนในการพดู แตล่ ะครั้ง (2) ไมแ่ ทรกพูดระหวา่ งคนอนื่ กำลงั อภิปราย (3) ทุกคนในเวทปี ระชาคมมีความเทา่ เทยี มกนั ในการแสดงความคิดเห็น (4) ทุกคนสามารถเสนอประเด็นใหม่ๆ ได้ แต่ต้องตรงกับประเดน็ หลัก (5) ทุกคนสามารถเสนอประเดน็ ใหม่ๆ ได้ แต่ตอ้ งตรงกับประเด็นหลัก (6) วทิ ยากรหลักเป็นเพียงคนกลางท่ีชว่ ยกระตนุ้ ใหเ้ กิดการพูดคุย และสรุปประเด็นที่เกิด จากการอภปิ ราย ไมใ่ ช่ผูเ้ ชี่ยวชาญในการแก้ปัญหา 5) การอภิปรายประเด็นหรือปญั หา ในข้นั ตอนนีว้ ทิ ยากรกระบวนการ/ผู้อำนวยการเรียนรู้ต้อง ดำเนินการอภิปรายใหบ้ รรลุตามวัตถุประสงค์ตามกระบวนการและตามแผนที่วางไว้ นอกจากนั้นทีมงานเองก็ ตอ้ งช่วยสนับสนุนใหเ้ วทปี ระชาคมดำเนินการไปอยา่ งมีประสทิ ธภิ าพและตามแผนที่ไต้ตกลงกัน 6) การสรุป เปน็ ขัน้ ตอนสุดบ้ายของการจัดเวทีประชาคม ซ่ึงวิทยากรหลัก/ผู้อำนวยการเรียนรู้ ต้องสรุปผลของการอภิปราย โดยแยกเป็นผลที่ได้จากการพูดคุยกันเพื่อนำไปเป็นแนวทางในการแก้ปัญหา ตอ่ ไป ลับผลทไ่ี ดจ้ ากเวทีประชาคม โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ อาจระบุอย่างชดั เจนว่าใครจะต้องไปทำอะไรต่อ และจะ นัดหมายกลบั มาพบกนั เพอ่ื ติดตามความคืบหนา้ เมื่อไร/อยา่ งไร 1.2.3 ติดตาม – ประเมินผล เป็นกระบวนการต่อเนื่องหลังจากการจัดเวทีประชาคมเสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งสามารถแบ่ง กระบวนการน้ี เป็น 2 ขั้นตอนใหญ่ คือ การตดิ ตาม และการประเมนิ ผล 1) ขั้นตอนการติดตาม เป็นการตามไปดูว่ามีการดำเนินการอย่างใดอย่างหนึง่ หรือไม่ ตามที่ได้ ตกลงกันไว้ ขั้นตอนนี้จำเป็นต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนหรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้เข้ามามีส่วนร่วมในการ ติดตามผล 2) ข้ันตอนของการประเมนิ ผล คือ (1) เพื่อตรวจสอบการเปล่ียนแปลงภายหลงั การจัดเวทีประชาคม ว่าประชาชนมีคณุ ภาพ ชีวิตที่ดขี ั้นหรือไม่ เมือ่ มีการจดั การอยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ แล้ว (2) เพื่อประเมินทั้งประสิทธิภาพและประสิทธิผลของกระบวนการจัดเวทีประชาคม ทั้งหมดว่าได้รับความร่วมมือมากน้อยเพียงใดลักษณะและกระบวนการที่ทำเอื้อต่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ รว่ มกนั หรอื ไม่ ผลทีไ่ ดร้ ับคมุ้ ค่าหรือไม่ และบรรลุตามวตั ถปุ ระสงค์ที่วางไวห้ รอื ไม่ อย่างไร การสรปุ ข้อมูลท่ไี ดจ้ ากการตดิ ตามและการประเมินผล จะชว่ ยให้ทงั้ ผจู้ ดั เวทปี ระชาคมและเข้าร่วมได้มี บทเรียนร่วมกนั และสามารถนำประสบการณท์ ่ไี ต้ไปใชพ้ ฒั นาในการจดั กจิ กรรมประชาคมอืน่ ๆ ต่อไป
76 1.3 การประชุมกลุ่มย่อย หรือการสนทนากลุ่ม การสนทนากลุ่ม หมายถึง การรวบรวมข้อมูลจากการสนทนาลับกลุ่มผู้ให้ข้อมูลในประเด็น ปัญหาที่ เฉพาะเจาะจง โดยมผี ู้ดำเนินการสนทนา (Moderator) เป็นผู้คอยจุดประเดน็ ในการสนทนา เพื่อชักจูงให้กลุ่ม เกิดแนวคิดและแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นหรือแนวทางการสนทนาอย่างกว้างขวางละเอียดถึกซึ้ง โดยมี ผู้เข้าร่วมสนทนาในแต่ละกลุ่ม ประมาณ 6 – 10 คน ซึ่งเลือกมาจากประชากรเป้าหมายที่กำหนดเอาไว้ (สำนกั งานกองทนุ สนับสนุนการวจิ ัย, 2549) 1.3.1 ขั้นตอนการจัดสนทนากลุ่ม 1) กำหนดวัตถุประสงค์ (6 – 8 สปั ดาห์ล่อนการสนทนากลมุ่ ) 2) กำหนดกลุ่มผ้รู ่วมงานและบคุ คลกลุ่มเป้าหมาย (6 – 8 สัปดาห์ก่อนการสนทนากล่มุ ) 3) รวบรวมท่ีอยูแ่ ละเบอร์โทรศพั ทข์ องผู้ร่วมงาน (6 – 8 สัปดาห์กอ่ นการสนทนากลมุ่ ) 4) ตดั สนิ ใจว่าจะทำการสนทนาเป็นจำนวนกี่กลุม่ (4 – 5 สปั ดาห์ก่อนการสนทนากลุ่ม) 5) วางแผนเรอื่ งระยะเวลาและตารางเวลาการสนทนา (4 – 5 สัปดาหก์ อ่ นการสนทนากลมุ่ ) 6) ออกแบบแนวคำถามท่ีจะใช้ (4 – 5 สปั ดาหก์ ่อนการสนทนากลุ่ม) 7) ทดสอบแนวคำถามที่สร้างขั้น (4 – 5 สัปดาห์ก่อนการสนทนากลุ่ม) ทำความเข้าใจกับ ผู้ดำเนนิ การสนทนา (Moderator) และผจู้ ดบันทกึ (Note taker) (4 – 5 สปั ดาห์กอ่ นการสนทนากลุ่ม) 8) คัดเลือกผู้เข้าร่วมกลุ่มสนทนา และจัดทำบัตรเชิญส่งให้ผู้ร่วมสนทนา (3 – 4 สัปดาห์ก่อน การสนทนากลุ่ม) 9) โทรศพั ทเ์ พื่อติดตามผลและส่งบัตรเชิญให้ผ้รู ว่ มงาน (3 – 4 สัปดาหก์ อ่ นการสนทนากลมุ่ ) 10) การจัดการเพื่อเตรียมการทำสนทนากลุ่ม เช่น จัดตำแหน่งที่นั่ง จัดเตรียมเครื่องมือ/ อปุ กรณ์ เปน็ ตน้ 11) แจง้ สถานท่ีใหผ้ ู้เข้าร่วมสนทนาทราบล่วงหนา้ 2 วัน 12) จัดกลมุ่ สนทนา และหลังจากการประชุมควรมีการส่งจดหมายขอบคุณผู้ร่วมงานด้วย 13) สรปุ ผลการประชมุ วิเคราะหข์ อ้ มลู และสง่ ให้ผรู้ ่วมประชุมทกุ คน 14) การเขียนรายงาน 1.3.2 การดำเนินการสนทนากลุ่ม 1) แนะนำตนเองและทมี งาน 2) อธิบายถงึ จดุ มุ่งหมายในการมาทำสนทนากลมุ่ / วตั ถุประสงค์ของการศึกษา 3) เริม่ เกร่ินนำด้วยคำถามอุน่ เครอื่ งสรา้ งบรรยากาศเปน็ กันเอง 4) เมื่อเริ่มคุ้นเคย เริ่มคำถามในแนวการสนทนาท่ีจัดเตรยี มไว้ทิง้ ช่วงใหม้ ีการถกประเด็น และ โตแ้ ยง้ กันใหพ้ อสมควร 5) สร้างบรรยากาศให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อกัน ควบคุมเกมไม่ให้หยุดนิ่ง อย่า ซักถามคนใดคนหนง่ึ จนเกินไป คำถามทถ่ี ามไมค่ วรถามคนเดียว อย่าซักถามรายตัว
77 6) ในการนั่งสนทนา พยายามอย่าให้เกิดการขม่ ทางความคดิ หรือชักนำผูอ้ ื่นให้เห็นคล้อยตาม กบั ผทู้ ่พี ูดเกง่ 7) พิธีกรควรเปน็ ผูค้ ยุ เก่งซกั ถามเกง่ มีพรสวรรคใ์ นการพูดคยุ จังหวะการถามดี 1.3.3 ขอ้ ดีของการจดั สนทนากลุ่ม 1) ผู้เก็บขอ้ มูล เปน็ ผู้ไดร้ บั การอบรมเป็นอยา่ งดี 2) เป็นการนั่งสนทนาระหว่างผู้ดำเนินการกับผู้รู้ ผู้ให้ข้อมูลหลายคนที่เป็นกลุ่ม จึงก่อให้เกิด การเสวนาในเรอื่ งที่สนใจ ไม่มกี ารปิดบัง คำตอบท่ีไดจ้ ากการถกประเด็นซ่ึงกันและกัน ถอื วา่ เปน็ การกลนั่ กรอง 3) การใชว้ ธิ กี ารสนทนากลุ่ม ได้ขอ้ มลู ละเอยี ดและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการศึกษาได้ สำเร็จหรือไดด้ ียงิ่ ขน้ึ 4) คำตอบจากการสนทนากลุ่มมีลักษณะเป็นคำตอบเชิงเหตุผลคล้ายๆกับการรวบรวมข้อมูล แบบคุณภาพ 5) ประหยัดเวลาและงบประมาณของผดู้ ำเนนิ การในการศกึ ษา 6) ทำให้ไดร้ ายละเอยี ด สามารถตอบคำถามประเภททำไมและอยา่ งไรไดอ้ ย่างแตกฉาน ลกึ ซึ้ง 7) เป็นการเผชิญหน้ากันในลักษณะกลุ่มมากกว่าการสัมภาษณ์ตัวต่อตัว ทำให้มีปฏิกิริยา โต้ตอบกันได้ 8) การสนทนากลุม่ จะชว่ ยบง่ ชีอ้ ทิ ธิพลของวัฒนธรรมและคณุ คา่ ต่างๆ ของสังคม นนั้ ได้ 9) สภาพของการสนทนากลุม่ ชว่ ยให้เกิดและไดข้ ้อมูลทีเ่ ป็นจริง 1.4 การสมั มนา “สัมมนา” คือ การประชุมของกลุ่มบุคคลที่มีความรู้ ความสนใจ ประสบการณ์ในเรื่องเดียวกัน ที่มี จุดมงุ่ หมาย เพ่อื รว่ มกนั วเิ คราะหแ์ ละหาแนวทางการแกป้ ญั หาท่ปี ระสบอยู่ตามหลักการของประชาธปิ ไตย ประโยชนข์ องการสมั มนา 1. ผู้จัดสามารถดำเนินการจดั สัมมนาไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ 2. ผเู้ ข้าร่วมสัมมนาไดร้ บั ความรู้ แนวคิดจากการเข้าร่วมสัมมนา 3. ช่วยทำให้ระบบและวิธีการทำงานมีประสิทธิภาพสงู ข้ึน 4. ชว่ ยแบ่งเบาภาระการปฏบิ ัติงานของผูบ้ งั คับบัญชา 5. เปน็ การพัฒนาและส่งเสรมิ ความกา้ วหน้าของผู้ปฏบิ ัติงาน 6. เกิดความรเิ ริ่มสร้างสรรค์ 7. สามารถสรา้ งความเข้าใจอนั ดตี ่อเพอื่ นร่วมงาน 8. สามารถรว่ มกันแก้ปัญหาในการทำงานได้ และการเป็นผ้นู ำ องค์ประกอบของการสัมมนา 1. ผดู้ ำเนนิ การสัมมนา 2. วทิ ยากร 3. ผเู้ ข้ารว่ มสัมมนา
78 ลกั ษณะทัว่ ไปของการสัมมนา 1. เปน็ ประเภทหนงึ่ ของการประชุม 2. มีการยืดหยนุ่ ตามความเหมาะสม 3. เป็นองคค์ วามรู้และปญั หาทางวิชาการ 4. เป็นกระบวนการรวมผู้ที่สนใจในความรู้ทางวิชาการที่มีระดับใกล้เคียงกัน หรือแตกต่างกันมา สรา้ งสรรค์องค์ความรู้ใหม่จากการแลกเปล่ียนความรู้ ความคดิ เห็น นำมาทดสอบประเมินคา่ ความรู้จากคนคน หนึ่งสู่อีกคนหนึ่ง ซึ่งจะมีคุณค่ามากมายเป็นลักษณะการแพร่กระจายสู่หลากหลายวงการอาชีพ ซึ่งจะทำให้ ความร้เู หลา่ น้ันไดถ้ ูกนำไปใชอ้ ยา่ งแพรห่ ลายมากขน้ึ 5. อาศยั หลกั กระบวนการกลุ่ม (Group dynamic หรอ group process) 6. เปน็ กจิ กรรมที่เร่งเร้าให้ผูเ้ ขา้ ร่วมสมั มนา มคี วามกระตอื รือร้น 7. มีโอกาสนำเสนอ พดู คยุ โต้ตอบซักถาม และแสดงความคิดเหน็ ตอ่ กัน 8. ได้พัฒนาทักษะ การพูด การฟ้ง การคิด และการนำเสนอความคิด ความเชื่อ และความรู้อื่น ๆ ตลอดจนการเขยี นรายงานหรอื เอกสารประกอบการสมั มนา 9. พัฒนาการเป็นผู้นำและผู้ตามในกระบวนการเรียนรู้ คือ อาจมีผู้ทรงคุณวุฒิ คณาจารย์ หรือ ผู้เชี่ยวชาญ ทั้งหลายมาเป็นวิทยากรหรือผู้ดำเนินรายการ คอยช่วยประดับประคองกระบวนการสัมมนาให้ บรรลุวัตถปุ ระสงค์ขณะเดียวกนั ผู้รว่ มสมั มนาจะเป็นผู้ตามในการเรียนรู้มีการแลกเปลี่ยนความรู้ในระหว่างการ สัมมนา 1.5 เล็งถึงกระบวนการเรียนรู้ (process) มากกว่าผลที่ได้รับ (product) จากการสัมมนา โดยตรง น้ันคือ ผลของการสัมมนาจะได้ในรูปของผูร้ ่วมสัมมนาได้มีการพฒั นากระบวนการฟัง การคิด การแลกเปลี่ยน ความคิดเห็นซ่งึ กนั และกนั การทดสอบองค์ความรู้ การประเมนิ คา่ ความคิดเห็นจากผูร้ ว่ มสัมมนา ประชามติ (Referendum) หมายถึง มติของประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศที่แสดงออกในเร่ืองใดเร่ือง หน่งึ หรือในท่ีใดท่ีหน่ึง มตขิ องประชาชนทรี่ ัฐให้สิทธิออกเสียงลงคะแนนรับรองร่างกฎหมายที่สำคัญท่ีผ่านสภา นติ ิบัญญัตแิ ล้ว หรอื ให้ตดั สนิ ปญั หาสำคัญๆ ในการบรหิ ารประเทศ ประเภทการสำรวจประชามติ การสำรวจประชามติทางด้านการเมือง ส่วนมากจะรู้จักคันในนามของ Public Opinion Polls หรือ การทำโพล ซึง่ เป็นท่ีรจู้ ักคนั อยา่ งแพรห่ ลาย คอื การทำโพลการเลอื กต้งั (Election Polls) แบง่ ได้ ดังน้ี 1. Benchmark Survey เป็นการทำการสำรวจเพื่อต้องการทราบความเห็นของประชาชน เกี่ยวกับ การรบั รเู้ ร่อื งราว ผลงานของผูส้ มัคร ชื่อผสู้ มัครและคะแนนเสียงเปรียบเทียบ 2. Trial Heat Survey เป็นการหยัง่ เสียงวา่ ประชาชนจะเลือกใคร 3. Tracking Polls การถามเพือ่ ดแู นวโน้มการเปลยี่ นแปลง สว่ นมากจะทำตอนใกล้เลอื กตง้ั 4. Cross-sectional vs. Panel เป็นการทำโพล ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง หลายๆ ครั้ง เพื่อทำให้เห็นว่า ภาพผู้สมัครในแตล่ ะห้วงเวลามีคะแนนความนิยมเป็นอยา่ งไร แต่ไม่ทราบรปู แบบการเปลี่ยนแปลงทีเ่ กิดขึน้ ใน ตวั คนๆ เดยี ว จึงต้องทำ Panel Survey
79 5. Focus Groups ไม่ใช่ Polls แต่เป็นการได้ข้อมูลที่ค่อนข้างน่าเช่ือถือได้ เพราะจะเจาะถามเฉพาะ กลุม่ ที่รู้และใหค้ วามสำคัญคับเรอ่ื งนนั้ ๆ จริงจัง 6. Deliberative Opinion รวมเอาการสำรวจทั่วไป กับการทำการประชุมกลุ่มย่อยเข้าด้วยกัน โดย การนำเอาตัวแทนประชาชนมารวมกัน แล้วให้ข้อมูลข่าวสารหรือโอกาสในการอภิปราย ประเด็นปัญหา แล้ว สำรวจความเหน็ ในประเด็นปญั หาเพื่อวัดประเด็นท่ปี ระชาชนคิด 7. Exit Polls การสัมภาษณ์ผู้ใช้สิทธิออกเสียงเมื่อเขาออกจากคูหาเลือกตั้ง เพื่อดูว่าเขาลงคะแนนให้ ใคร ปัจจุบันในสังคมไทยนิยมมาก เพราะมคี วามน่าเช่อื ถอื มากกว่า Polls ประเภทอื่น ๆ การสำรวจทัศนคติและความคิดเห็นทางด้านการตลาด (MarketingResearch) ส่วนมากจะเน้น การศึกษาความเห็นของผู้ใช้สินค้าและบริการต่อคุณสมบัติอันพึงประสงค์ของสินค้าและบริการ รวมทั้งความ คาดหวังในการได้รับการส่งเสริมการขายที่สอดรับคับความต้องการของผู้ใช้สินค้าและบริการ เป็นการสำรวจ ความคิดเหน็ ของสาธารณชนในมิติที่เก่ียวข้องกบั สภาพความเบ่ียงเบนจากการจัดระเบียบสังคมท่ีมีอยู่ในสังคม ใดสังคมหนึ่ง เพื่อนำข้อมูลมากำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหาความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น เป็นวิธีการที่ใช้มาก ในทางรัฐศาสตร์และสังคมวทิ ยา เรียกวา่ การวิจัยนโยบายสาธารณะ (Policy Research) กระบวนการสำรวจประชามติ 1. การกำหนดปัญหาหรือข้อมูลที่ต้องการสำรวจ คือ การเลือกสิ่งที่ต้องการจะทราบจาก ประชาชน เก่ียวกับนโยบาย บุคคล คณะบุคคล เหตกุ ารณ์ ผลงาน และสถานท่ีต่างๆ 2. กลุ่มตัวอย่าง ตัวแทน คือ การกำหนดกลุ่มตัวอย่างของการสำรวจประชามติที่ดีต้องให้ครอบคลุม ทกุ เพศ วยั อาชพี ระดบั การศกึ ษา และรายได้ เพื่อให้ได้เป็นตวั แทนท่ีแทจ้ ริง 3. การสร้างแบบสอบถาม แบบสอบถาม คือ เครื่องมือวิจัย (Research Tool) ชนิดหนึ่ง ใช้วัดค่าตัว แปรในการวิจยั แบบสอบถามมีสภาพเหมือนมาตรหรอื มิเตอร์ทใ่ี ช้ในทางวทิ ยาศาสตร์ หรอื ใช้ในชวี ิตประจำวัน 4. ประชุมเจ้าหน้าที่เก็บข้อมูล เป็นการประชุม เพื่อซักซ้อมความเข้าใจในประเด็นคำถามที่ถามให้ ตรงกัน ความคาดหวงั ในคำตอบ ประเภทการให้คำแนะนำวิธีการสัมภาษณ์ การจดบันทึก ขอ้ มูล การหาข้อมูล เพ่มิ เติมในกรณีท่ยี ังไมไ่ ด้คำตอบ 5. การเก็บข้อมูลภาคสนาม เจ้าหน้าที่เก็บข้อมูลจะได้รับการฝึกในเรื่องวิธีการสัมภาษณ์ การบันทึก ข้อมูล และการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล การเก็บข้อมูล การสำรวจประชามติ สามารถ ดำเนินการได้ 3 ทาง คือ การสัมภาษณ์แบบเห็นหน้า (Face to Face) การสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ และการส่งแบบสอบถาม ทางไปรษณยี ์ 6. การวิเคราะห์ข้อมูล ในกรณีการสำรวจประชามติ การวิเคราะห์ข้อมลู ส่วนมากไม่สลับซับซ้อน เป็น ขอ้ มลู แบบรอ้ ยละเพอื่ ตคี วามและหยิบประเดน็ ทีส่ ำคัญจดั ลำดับความสำคัญ 7. การนำเสนอผลการสำรวจประชามติ มีโวหารทใ่ี ช้นำเสนอผลการสำรวจประชามติ ดงั น้ี 7.1 โวหารที่เน้นนัยสำคัญทางสถิติ นำเสนอผลโดยสร้างความเชื่อมั่นจากการอ้างถึง ผลที่มี นยั สำคัญทางสถิตริ องรับ
80 7.2 โวหารว่าด้วยเป็นวิทยาศาสตร์ การนำเสนอผลโดยการอ้างถึงกระบวนการได้มา ซึ่งข้อมูลที่ เน้นการสงั เกตการณ์ การประมวลขอ้ มูลดว้ ยวธิ กี ารท่เี ป็นกลาง 7.3 โวหารในเชิงปริมาณ นำเสนอผลโดยใช้ตัวเลขที่สำรวจได้มาสร้าง ความน่าเชื่อถือและ ความชอบธรรมในประเดน็ ที่ศึกษา 7.4 โวหารว่าด้วยความเป็นตัวแทน การนำเสนอข้อมูลในฐานะที่เป็นตัวแทนของ กลุ่มตัวอย่างที่ ทำการศกึ ษา 1.6 การประชาพจิ ารณ์ การทำประชาพิจารณ์ หมายถึง การจัดเวทีสาธารณะเพื่อให้ประชาชนโดยเฉพาะผู้เก่ียวข้องหรือผู้ท่มี ี ส่วนได้เสียโดยตรง ได้มีโอกาสทราบข้อมูลในรายละเอียดเพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้มีส่วนในการแสดงความ คดิ เหน็ และมีส่วนร่วมในการใหข้ ้อมูลและความคิดเห็นต่อนโยบายหรือโครงการน้ันๆ ไมว่ า่ จะเปน็ การเห็นด้วย หรือไมเ่ ห็นด้วยกต็ าม ข้นั ตอนการทำประชาพิจารณ์ ขัน้ ตอนท่ี 1 สมาชกิ สภาร่างรฐั ธรรมนูญนำประเดน็ หลกั และหลักการสำคญั ในการแกไ้ ขปญั หา ขั้นตอนที่ 2 กรรมาธิการรับพิงความคิดเห็นและประชาพิจารณ์ออกรับพิงความคิดเหน็ จากประชาชน จังหวดั ตา่ ง ๆ ขั้นตอนที่ 3 คณะกรรมาธิการรับพิงความคิดเห็นและประชาพิจารณ์ส่งผลสรุปความคิดเห็นของ ประชาชนท่ไี ด้จากการจัดทำสมชั ชาระดับจงั หวัดใหก้ รรมาธิการยกรา่ งรัฐธรรมนญู 5.2 การจัดทำแผน เรอ่ื งท่ี 2 การจดั ทำแผน 2.1 แผน (plan) หมายถึง การดัดสินใจที่กำหนดล่วงหน้าสำหรับการเลือกใช้แนวทางการ ปฏิบัติการ ประกอบดว้ ยปจั จัยสำคัญ คอื อนาคต ปฏิบัติการและส่งิ ท่ีตอ้ งการใหเ้ กดิ ขึ้น น่นั คอื องคก์ ร หรือแต่ละบุคคลที่ ต้องรับผิดชอบ(ขรรค์ชัย คงเสน่ห์ และคณะ,2545) แผนแบ่งตามขอบเขตของกิจกรรมที่ทำ (Scope of activity) เปน็ 2 ประเภท คือ 1. แผนกลยทุ ธ์ (Strategic plan) เป็นแผนทีท่ ำข้ึน เพอ่ื สนองความตอ้ งการในระยะยาว และรวม กิจกรรมทุกอย่างของหน่วยงาน การตัดสินใจที่สำคัญของแผนกลยุทธ์ก็ คือ การเลือกวิธีการในการดำเนินงาน และการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เหมาะสม เพื่อที่จะนำพาหน่วยงานให้ก้าวไปข้างหน้าอย่าง สอดคล้องกับสถานการณแ์ วดลอ้ มภายนอกท่ีเปลยี่ นแปลงตลอดเวลา 2. แผนดำเนินงานหรือแผนปฏิบัติการ (Operational plan) เป็นแผนที่กำหนดขึ้นมาใช้สำหรับ แต่ละกิจกรรมโดยเฉพาะเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของแต่ละกิจกรรม ซึ่งเท่ากับเป็นแผนงานเพื่อให้แผนกลยุทธ์ บรรลุผลหรือเป็นการน่าแผนกลยุทธ์ไปใช้นั่นเอง แผนดำเนินงานที่แยกเป็นแต่ละกิจกรรมก็ ได้แก่ แผนการ ผลติ แผนการเงิน แผนการตลาด แผนทรัพยากรมนษุ ย์และแผนอปุ กรณเ์ ปน็ ต้น ปัจจุบันหน่วยงานได้น่าแผนที่มีขอบข่ายความรับผิดชอบเชื่อมโยงนโยบายกับแผนงาน เป็น “ยทุ ธศาสตร์” คอื การดัดสินใจจากทางเลอื กทเี่ ช่อื วา่ ดีทีส่ ดุ และเปน็ ไปไตท้ ่สี ุด เรยี กวา่ แผนยทุ ธศาสตร์
81 แผนทด่ี ี ต้องประกอบด้วยคุณลักษณะ ดงั ตอ่ ไปน้ี 1. ตอ้ งกำหนดวัตถปุ ระสงคข์ องแผนอยา่ งชดั เจน 2. ตอ้ งนา่ ไปปฏิบตั ิง่าย และสะดวกต่อการปฏบิ ัติ 3. ต้องยืดหยุ่นไตต้ ามสภาพการณ์ 4. ต้องกำหนดมาตรฐานของการปฏบิ ตั ิงานไว้ 5. ต้องมคี วามละเอยี ดถีถ่ ว้ นเปน็ แผนท่ีสมบรู ณแ์ บบ 6. ต้องทำให้เกดิ ประโยชนแ์ กผ่ ู้เกยี่ วขอ้ ง เพื่อจูงใจใหท้ ุกคนปฏบิ ตั ติ ามแผนนั้น 2.2 โครงการ (Project) โครงการ คือ “แผนหรือ เค้าโครงการตามที่กำหนดไว้” เป็นส่วนประกอบส่วนหนึ่งในการวางแผน พัฒนาทช่ี ่วยให้เห็นภาพและทิศทางการพฒั นา มขี อบเขตทีส่ ามารถติดตามและประเมนิ ผลได้ โครงการ (project) ถือเป็นส่วนประกอบสำคัญของแผน เป็นแผนจุลภาคหรือ แผนเฉพาะเรื่อง ที่ จดั ทำข้นึ เพ่ือพฒั นาหรือแก้ปัญหาใดปญั หาหนงึ่ ขององค์กร แผนงานท่ปี ราศจากโครงการย่อมเป็นแผนงานท่ีไม่ สมบูรณไ์ ม่สามารถนำไปปฏบิ ตั ิให้เป็นรูปธรรมไต้โครงการจึงมีความสมั พันธก์ บั แผนงาน ลักษณะสำคญั ของโครงการ 1. เปน็ ระบบ (System) มีขัน้ ตอนการดำเนินงาน 2. มวี ัตถุประสงค์ (Objective) เฉพาะชดั เจน 3. มีระยะเวลาแน่นอน (มีจดุ เร่มิ ต้นและจดุ สิน้ สุดในการดำเนนิ งาน) 4. เปน็ เอกเทศและมผี ้รู ับผิดชอบโครงการอยา่ งชัดเจน 5. ต้องใช้ทรัพยากรในการดำเนนิ การ 6. มเี จ้าของงานหรือผจู้ ัดสรรงบประมาณ ขั้นตอนการเขียนโครงการ 1. ชื่อโครงการ เป็นชอ่ื ทีส่ ้ัน กระชบั เขา้ ใจงา่ ย และส่อื ได้ชดั เจนวา่ เนอ้ื หาสาระของสงิ่ ที่จะทำคืออะไร โดยทั่วไปชื่อโครงการ มี องค์ประกอบ 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 เป็นประเภทของโครงการ เช่น โครงการฝึกอบรม โครงการสัมมนา โครงการประชุมเชิงปฏิบัติการ ส่วนที่ 2 เป็นลักษณะหรือความเกี่ยวข้องของ โครงการ ว่า เกย่ี วกบั เรอื่ งอะไร หรอื เกี่ยวกบั ใคร 2. หลักการและเหตผุ ล ความสำคัญของโครงการ บอกสาเหตหุ รือปัญหาท่ที ำใหเ้ กดิ โครงการนี้ขึน้ และ ที่สำคัญคือต้องบอกได้วา่ ถ้าไดท้ ำโครงการแล้วจะแก้ไขปญั หาน้ตี รงไหน หลกั การเขียน ดงั นี้ 1. เขียนในลกั ษณะบรรยายความ ไมน่ ิยมเขียนเป็นข้อ ๆ 2. เขยี นใหช้ ดั เจน อ่านเข้าใจง่าย และมเี หตุผลสนบั สนุนเพยี งพอ 3. วัตถุประสงค์ ระบุสิ่งที่ต้องการให้เกิดขึ้นเมื่อดำเนินการตามโครงการนี้แล้ว โดยตอบคำถาม ว่า “จะทำเพื่ออะไร” หรือ “ทำแล้วได้อะไร” โดยต้องสอดคล้องลับหลักการและเหตุผล วัตถุประสงค์ที่ดีควร เปน็ วัตถปุ ระสงค์เชงิ พฤติกรรม ซง่ึ สามารถสงั เกตได้และวดั ได้ องคป์ ระกอบของวัตถปุ ระสงค์ทด่ี ี มดี งั น้ี 1. เขา้ ใจง่าย ชดั เจน ไมค่ ลมุ เครือ
82 2. เฉพาะเจาะจง ไม่กวา้ งจนเกนิ ไป 3. ระบถุ งึ ผลลพั ธ์ท่ีตอ้ งการ วา่ สง่ิ ทต่ี ้องการใหเ้ กดิ ขนึ้ คืออะไร 4. สามารถวดั ได้ ทัง้ ในแง่ของปริมาณและคุณภาพ 5. มีความเปน็ ไปได้ ไมเ่ ลื่อนลอยหรือทำได้ยากเกินความเปน็ จริง คำกรยิ าทีค่ วรใช้ในการเขียน วัตถุประสงค์ ของโครงการ แล้วทำให้สามารถวัดและประเมินผลได้ ได้แก่คำว่า เพื่อให้ แสดง กระทำ ดำเนินการ วัด เลือก แก้ไข สาธิต ตัดสินใจ วิเคราะห์ วางแผน มอบหมาย จำแนก จัดลำดับ ระบุ อธิบาย แกป้ ัญหา ปรับปรุง พฒั นา ตรวจสอบ 4. เป้าหมาย ระบุสิ่งที่ต้องการให้เกิดขึ้นทั้งในเชิงปรมิ าณและเชิงคุณภาพ ในแต่ละช่วงเวลาจาก การดำเนินการตามโครงการนี้แลว้ โดย ตอบคำถามว่า “จะทำเท่าใด” 5. กลุ่มเป้าหมาย ใครคอื กลุ่มเปา้ หมายของโครงการ หากกลุม่ เป้าหมายมีหลายกลุ่มให้บอกชัดลง ไปว่า ใครคือกลมุ่ เปา้ หมายหลกั ใครคอื กลุ่มเปา้ หมายรอง 6. วิธีดำเนินการ บอกรายละเอียดวิธีดำเนินการ โดยระบุเวลาและกิจกรรมการ ดำเนินโครงการ (ควรมรี ายละเอยี ดหัวขอ้ กจิ กรรม) 7. งบประมาณ เป็นส่วนที่แสดงยอดงบประมาณ พร้อมแจกแจงค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรม ขั้นต่าง ๆ โดยทั่วไปจะแจกแจงเป็น หมวดย่อย ๆ เช่น หมวดค่าวัสดุ หมวดค่าใช้จ่าย หมวด ค่าตอบแทน หมวดค่าครุภัณฑ์ 8. ระยะเวลาดำเนินงาน ตอบคำถามว่า “ทำเมื่อใด และนานเท่าใด” (ระบุเวลาเริ่มต้นและเวลา สน้ิ สดุ โครงการอยา่ งชัดเจน) โดยจะตอ้ งระบุ วัน เดอื น ปี เช่นเดยี วกบั การแสดงแผนภูมิแกนท์ (Gantt Chart) 9. สถานที่ เป็นการระบุสถานที่ตั้งของโครงการหรือระบุว่ากิจกรรมนั้น จะทำ ณ สถานที่แห่งใด เพ่อื สะดวกตอ่ การประสานงานและ จัดเตรียมสถานทใ่ี หพ้ ร้อมค่อนทจ่ี ะทำกิจกรรมน้ัน ๆ 10. ผู้รับผิดชอบ เป็นการระบุเพื่อให้ทราบว่าหน่วยงานใดเป็นเจ้าของ หรือ รับผิดชอบ โครงการ โครงการยอ่ ย ๆ บางโครงการระบเุ ป็น ชอ่ื บคุ คลผ้รู ับผิดชอบเป็นรายโครงการ 11. โครงการ/กิจกรรมที่ เกี่ยวข้องหลายๆ โครงการที่หน่วยงานดำเนินงานอาจมีความเกีย่ วข้อง กัน หรอื ในแตล่ ะแผนอาจมโี ครงการหลายโครงการ หรือบางโครงการเปน็ โครงการยอ่ ยในโครงการใหญ่ 12. เครือข่าย/หน่วยงานที่ให้ การสนับสนุนในการดำเนินการโครงการ ควรจะประสานงานและ ขอ ความร่วมมือกับหน่วยงานอื่น หากมีหน่วยงานร่วมดำเนินโครงการมากกว่าหนึ่งหน่วยงานต้องระบุชื่อให้ ครบถว้ น และ แจกแจงให้ชัดเจนดว้ ยวา่ หน่วยงานทร่ี ว่ มโครงการแต่ละฝา่ ยจะเข้ามามสี ่วนรว่ มโครงการในส่วน ใด 13. ผลที่คาดว่าจะไต้รับ เมื่อโครงการนั้นเสร็จสิ้นแล้ว จะเกิดผลอย่างไรบ้างใครเป็น ผู้ไต้รับ ผลประโยชนโ์ ดยตรงและผลกระทบของโครงการ
83 14. การประเมินโครงการ บอกรายละเอยี ดการให้ไต้มาซงึ่ คำตอบวา่ โครงการทจ่ี ัดนน้ั มปี ระโยชน์ และคุ้มค่าอย่างไร โดยบอกประเด็นการประเมิน/ตัวชี้วัด แหล่งข้อมูล วิธีการประเมิน ให้สอดคล้องกับ วัตถุประสงคห์ รอื เป้าหมายของโครงการ 15. ตัวชวี้ ัดผลสำเรจ็ ของโครงการ 1. ตัวชี้วัดผลผลติ (output) หมายถึง ตัวชี้วัดที่แสดงผลงาน เป็นรูปธรรมในเชิงปริมาณและ / หรอื คุณภาพอันเกดิ จากงาน ตามวตั ถปุ ระสงคข์ องโครงการ 2. ตัวชี้วัดผลลัพธ์(outcome) หมายถึง ตัวชี้วัดที่แสดงถึงผลประโยชน์จากผลผลิตที่มีผลต่อ บคุ คล ชมุ ชน ส่งิ แวดล้อม เศรษฐกจิ และสงั คมโดยรวม การเผยแพร่สู่การปฏบิ ัติ 3.1 การเขียนรายงาน การเขียนรายงาน คือ การเขียนรายละเอียดตา่ ง ๆ เกี่ยวกับการดำเนินงานของบุคคลในหน่วยงาน ซ่ึง รายงานแต่ละประเภทนั้น ก็จะมีวิธีการเขียนที่แตกต่างกันออกไป รายงานจึงเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญในการ บริหารงาน และการที่จะเสนอการเขียนรายงานน้ันให้ออกมาอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วนั้น ควรที่จะมี การวางแผนกำหนดเวลาเริ่มตน้ และเวลาสิ้นสดุ ของแตล่ ะรายงานไว้ด้วย วิธกี ารเขยี นรายงาน 1. เขียนใหส้ ั้นเอาแตข่ อ้ ความทีจ่ ำเป็น 2. ใจความสำคัญครบถว้ นวา่ ใคร ทำอะไร ทไี่ หน เมอ่ื ไร อย่างไร 3. เขยี นแยกเรอ่ื งราวออกเป็นประเดน็ ๆ 4. เนอ้ื ความที่เขยี นตอ้ งลำดับไมส่ ับสน 5. ข้อมลู ตวั เลข หรอื สถิติตา่ ง ๆ ควรไตม้ าจากการพบเหน็ จริง 6. ถ้าตอ้ งการจะแสดงความคดิ เหน็ ประกอบ ควรแยกความคดิ ออกจากตวั ขา่ วหรอื เรือ่ งราวทเ่ี สนอไปนั้น 7. การเขียนบันทกึ รายงาน ถ้าเปน็ ของทางราชการควรเปน็ รปู แบบที่ใช้แนน่ อน 8. เม่ือบันทกึ เสรจ็ แลว้ ตอ้ งทบทวนและต้งั คำถามในใจวา่ ควรจะเพิ่มเติมหรือตดั ทอนส่วนใดทิ้งหรือตอนใด เขียนแลว้ ยังไม่ชดั เจน กค็ วรจะแกไ้ ขใหเ้ รยี บร้อย วิธกี ารเขียนรายงานจากการค้นคว้า 1. รายงานค้นคว้าเชิงรวบรวม เป็นการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ มาเรียบเรียง ปะติดปะต่อกันอย่างมี ระบบระเบยี บ 2. รายงานค้นคว้าเชิงวิเคราะห์ เป็นการนำข้อมูลต่างๆ ที่ได้มาวิเคราะห์ หรือค้นหาคำตอบในประเด็นให้ ชดั เจน วิธกี ารนำเสนอรายงาน 1. รายงานด้วยปากเปล่า (Oral Reports) หรือเสนอด้วยวาจา โดยการเสนอแบบบรรยาย ต่อท่ีประชุมต่อ ผ้บู งั คบั บญั ชา ฯลฯ
84 2. รายงานเป็นลายลักษณ์อักษร (Written Reports) มักทำเป็นรูปเล่ม เป็นรูปแบบการ นำเสนออย่างเป็น ทางการ (Formal Presentation) ลกั ษณะของรายงานทด่ี ี 1. ปกสวยเรยี บ 2. กระดาษที่ใช้มคี ณุ ภาพดี มีขนาดถูกต้อง 3. มหี มายเลขแสดงหน้า 4. มสี ารบัญหรือมหี ัวขอ้ เร่อื ง 5. มบี ทสรุปย่อ 6. การเวน้ ระยะในรายงานมีความเหมาะสม 7. ไม่พมิ พข์ ้อความใหแ้ นน่ จนดูลานตาไปหมด 8. ไม่มีการแก้ขูดลบ 9. พิมพอ์ ยา่ งสะอาดและดเู รยี บรอ้ ย 10. มผี งั หรือภาพประกอบตามความเหมาะสม 11. ควรมกี ารสรุปใหเ้ หลอื เพียงส้ันๆ แล้วนำมาแนบประกอบรายงาน 12. จดั รูปเล่มสวยงาม 3.2 การเขียนโครงงาน โครงงาน เป็นกจิ กรรมการเรยี นการสอนท่ีเน้นผ้เู รียนเปน็ สำคัญอย่างแท้จริง เพราะผู้เรียนเป็นผูท้ ส่ี ร้าง ความรู้ด้วยตนเอง เรม่ิ จากการเลือกหัวข้อหรือปัญหาท่ีมาจากความสนใจ ความสงสัย หรอื ความอยากรู้อยาก เห็นของตนเอง หัวข้อของโครงงานควรเป็นเรื่องใหม่ ที่เฉพาะเจาะจงและที่สำคัญต้อง เหมาะสมกับความรู้ ความสามารถของตน การเขยี นโครงงานเป็นการกำหนดกรอบในการทำงาน การเขยี น โครงงานโดยทั่วไปจะมี องค์ประกอบเช่นเดียวกับการเขียนโครงการ แต่โครงงานเป็นงานที่ทำเสร็จแล้วจะมีชิ้นงานด้วยเมื่อมีโครงงาน และดำเนนิ การจดั ทำโครงงานเสรจ็ เรียบรอ้ ยแลว้ ช้นิ สุดทา้ ย คือ การเขยี นรายงานโครงงาน การเขียนรายงานโครงงาน โดยท่วั ไปมีองคป์ ระกอบดงั นี้ 1. ชื่อโครงงาน ชือ่ ผู้ทำโครงงาน 2. คำนำ - สารบัญ 3. ที่มาของโครงงาน อธิบายเหตผุ ลในการทำโครงงานนี้ 4. วัตถุประสงค์ของการทำโครงงาน 5. วิธีดำเนินการควรแยกเป็น 3 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 การเตรียมการ, ขั้นตอนที่ 2 กระบวนการ วิธี ดำเนินงานโครงงาน และขน้ั ตอนที่ 3 ผลงานโครงงาน/ประโยชนท์ ี่ได้รับ 6. สรุปผลและข้อเสนอแนะ
85 ใบงานเรือ่ ง บทบาท หน้าที่ของผนู้ ำ/สมาชิกที่ดีของชุมชน สังคม คำช้ีแจง ให้ผู้เรียนตอบคำถามต่อไปนี้โดยเขียนตอบลงในสมุดบันทึกกิจกรรมของผู้เรียน แล้วตรวจสอบความถูกต้อง จากแนวเฉลยกจิ กรรมท้ายหนงั สือเรียน 1. เขียนการเตรยี มประเด็นหน่ึงประเดน็ ใดในการจัดทำเวทปี ระชาคมโดยใชต้ าราง 2. บอกข้อดขี องการจัดสนทนากลมุ่ 3. บอกประโยชนข์ องการสัมมนา 4. การสำรวจประชามติมีกีป่ ระเภท อะไรบา้ ง 5. บอกลักษณะของรายงานทดี่ มี ีกี่ขอ้ อะไรบา้ ง 6. ให้ผู้เรียนศึกษาล้นคว้าความรู้ในเรื่องท่ีตนเองสนใจแล้วนำมาเขียนรายงานในรูปแบบการเขียนรายงาน คน้ คว้าเชิงรวบรวม ไมน่ ้อยกว่า 1 หนา้ กระดาษ 7. เขยี นสรุปลักษณะของโครงงานหนง่ึ หัวขอ้ โดยระบุทม่ี า/ชอ่ื ผ้เู ขียนด้วย เขียนสรุปการทำงาน/กจิ กรรมเป็นกลมุ่ นี้มปี ระโยชน์ทำให้ไต้พัฒนาตนเองอยา่ งไร
86 ใบความรู้เรอ่ื ง ผนู้ ำ ผตู้ ามในการจัดแผนพฒั นา ชมุ ชน สงั คม ผู้นำและผตู้ าม ในการจัดทำและขับเคลื่อนแผนพัฒนาชุมชน สังคม สิ่งสำคัญที่มีผลต่อความสำเร็จของการพัฒนา ชุมชน และสังคม ก็คือผู้นำ เพราะผู้นำมีภาระหน้าที่และความรับผิดชอบที่จะต้องวางแผน สั่งการ ดูแล และ ควบคุมให้การทำงานใดๆ สำเร็จ ซึ่งในการปฏิบัติงานต่างๆ จะมีการแบ่งบทบาท หน้าที่ ความ รับผิดชอบ เพื่อให้การทำงานเป็นไปด้วยความราบรื่น มีปัญหา อุปสรรคน้อย และงานสำเร็จตาม วัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ซ่ึง การจดั ทำและขับเคลอ่ื นแผนพัฒนาชมุ ชน สังคม จะสำเรจ็ ไต้ต้องอาศยั การ ทำงานที่มีผู้นำและผู้ตามทด่ี ี 1.1 ผู้นำ (Leader) คือ บุคคลที่มีความสามารถในการชักจูงให้คนลื่นทำงานในส่วนต่างๆ ที่ต้องการ ให้บรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ทั้งนี้ผู้นำอาจเป็นบุคคลที่มาจากการเลือกตั้ง หรือแต่งตั้ง หรือการ ยกยอ่ งขน้ึ มาของกลุ่ม เพื่อให้ทำหนา้ ทเ่ี ป็นผูช้ ้ีแนะและช่วยเหลือให้กลุ่มประสบความสำเร็จ และมีการเรียกช่ือ ผู้นำแตกต่างกันออกไปตามลักษณะงานและองค์การที่อยู่ เช่น ผู้บริหาร ผู้จัดการ ประธาน กรรมการ ผ้อู ำนวยการ อธกิ ารบดี ผวู้ ่าราชการ นายอำเภอ กำนัน เปน็ ต้น องคป์ ระกอบของความเป็นผ้นู ำ 1. ความรู้ เช่น วิชาการ รู้รอบ รู้ตน รู้คน รหู้ น้าที่ เปน็ ต้น 2. ความคดิ และจติ ใจ เชน่ คดิ เชงิ บวก คดิ เชิงวิเคราะห์ คิดเชิงระบบ หลักคดิ สมาธิ วสิ ยั ทศั น์ คิด รเิ ริ่มสรา้ งสรรค์ เปน็ ต้น 3. บคุ ลกิ ภาพ เชน่ การวางตน ความม่นั ใจ เอกลกั ษณ์อารมณ์ การพูด การเป็นผใู้ ห้ เปน็ ต้น 4. ความสามารถ เช่น รปู แบบการทำงาน การตัดสนิ ใจ เปน็ ต้น ประเภทของผนู้ ำ ผู้นำตามลกั ษณะของการใช้อำนาจหน้าท่ี แบง่ ไดเ้ ปน็ 3 ประเภท คือ 1. ผู้นำแบบเผด็จการ (Autocratic Leadership) หมายถึง ผู้นำที่เน้นการบังคับบัญชาและการออก คำสั่ง มักจะทำการตัดสินใจด้วยตนเองเป็นส่วนใหญ่ และไม่ค่อยมอบหมายอำนาจหน้าที่ให้แก่ผู้ตามหรือ ผใู้ ตบ้ ังคับบญั ชามากนัก ลกั ษณะของผูน้ ำชนิดน้ีเป็นลักษณะเจา้ นาย 2. ผู้นำแบบประชาธิปไตย (Democratic Leadership) เป็นผู้นำที่ให้ความสำคัญกับผู้ตามหรือ ผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่เน้นการใช้อำนาจหน้าที่ หรือก่อให้เกิดความเกรงกลัวในตัวผู้นำ แต่จะให้โอกาสผู้ตามได้ แสดงความคิดเห็นในการปฏบิ ัตงิ านทุกคน จะมโี อกาสเข้าร่วมพจิ ารณาและร่วมตดั สินใจไต้ด้วย 3. ผู้นำแบบเสรีนยิ ม (Laissez - faire or Free - rein Leadership) ผู้นำชนิดน้ีจะใหอ้ สิ ระเต็มท่ีกบั ผู้ ตาม หรอื ให้ผตู้ ามสามารถทำการใดๆ ตามใจชอบ ผ้ตู ามจะตัดสนิ ปัญหาต่างๆ ด้วยตนเอง และอาจ ได้รับสิทธิ ในการจดั ทำเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ หรือจดั ทำแผนงานต่าง ๆ ได้ ผ้นู ำตามลักษณะการจัดการแบบมุ่งงาน กบั มุ่งคน แบง่ ได้ 2 ประเภท คือ 1. ผู้นำแบบมุ่งงาน (Job Centered) ผู้นำชนิดนีใ้ หค้ วามสำคญั ต่องาน โดยถือว่าคนเป็นปจ้ จยั ท่ี จะนำมาใช้ช่วยให้การทำงานประสบความสำเร็จ ซ่ึงจะต้องควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด และไม่ควรมอบ อำนาจ การตัดสินใจให้กับลกู น้อง
87 2. ผู้นำแบบมุ่งคน (Employee Centered) ผู้นำชนิดนี้ให้ความสำคัญและเห็นคุณค่าของคนมี ความ เชื่อมั่นในตัวลูกน้องหรือผู้ตาม จะไม่ขัดขวาง และคอยให้ความช่วยเหลือสนบั สนุน ส่งเสริมให้ลูกน้องมี สว่ นร่วมในการตัดสนิ ใจต่างๆ ผ้นู ำตามลกั ษณะการยอมรบั จากกลุ่มหรอื ลงั คม แบ่งได้ 5 ประเภท คือ 1. ผู้นำตกทอด (Hereditary Leader) คือ ผู้ที่กลุ่มหรือสังคมให้การยอมรับในลักษณะที่ เป็นการ สืบทอด เช่น การได้รับตำแหน่งตกทอดมาจากบรรพบุรุษ หรือผู้ที่เป็นที่เคารพนับถือของกลุ่มหรือ สงั คม นน้ั มาก่อน 2. ผู้นำอย่างเป็นทางการ (Legal Leader) คือ บุคคลที่กลุ่มหรือสังคมให้การยอมรับใน ลกั ษณะท่ี เป็นทางการ เช่น การไดร้ บั การแต่งตง้ั หรือไดร้ ับการเลอื กตั้งอยา่ งเปน็ ทางการ เนือ่ งจากมีคุณสมบัติ เหมาะสมที่จะเปน็ ผูน้ ำ 3. ผู้นำตามธรรมชาติ (Natural Leader) คือ ผู้นำที่กลุ่มหรอื สงั คมยอมรับสภาพการเปน็ ผู้นำของ บุคคลใดบุคคลหนึ่งให้เป็นผู้นำกลุ่มไปสู่เป้าหมายอย่างไม่เป็นทางการ และผู้นำก็ปฏิบัติไปตาม ธรรมชาติ ไม่ได้มีการตกลงกันแตป่ ระการใด 4. ผู้นำลักษณะพิเศษ หรือผู้นำโดยอำนาจบารมี (Charismatic Leader) คือ ผู้ที่ได้รับ การยอมรับ จากกลุ่มหรือสังคมในลักษณะที่เป็นเพราะความศรัทธาทั้งนี้เนื่องจากมีความเคารพเชื่อถือเพราะ บคุ คลนั้น มคี ณุ สมบตั ิพิเศษทเ่ี ปน็ ทย่ี อมรบั ของกลุ่ม 5. ผู้นำสัญลักษณ์ (Symbolic Leader) คือ บุคคลที่ได้รับการยอมรับในลักษณะที่เป็น เพราะบคุ คลนน้ั อยใู่ นตำแหน่งหรือฐานะอันเปน็ ท่ีเคารพยกย่องของคนทงั้ หลาย คุณลักษณะของผู้นำ 1. ทางความรู้และสตปิ ญั ญา เช่น รู้รอบ มีทักษะการคิดทด่ี ี ชอบรเิ รมิ่ สร้างสรรค์ เป็นด้น 2. ทางรา่ งกาย เชน่ มีสขุ ภาพดี มีบคุ ลิกทด่ี ูดี เปน็ ต้น 3. ทางอารมณ์และวุฒภิ าวะ เช่น สมาธดิ ี มคี วามเช่อื ม่นั ในตนเอง ปรบั ตัวและมคี วามยดื หยุ่นสูง เปน็ ต้น 4. ทางอุปนิสัย เช่น น่าเชื่อถือไว้ใจได้ กล้าที่จะเผชิญปัญหาอุปสรรค รับผิดชอบดี มุ่งมั่น อดทน พากเพยี ร พยายาม ชอบสงั คม เปน็ ต้น คุณสมบัตขิ องผ้นู ำที่ดี 1. วิสัยทัศน์ (Vision) ผู้นำที่ดีด้องมีวิสัยทัศน์ การมีวิสัยทัศน์เป็นการมองการณ์ไกล เพื่อกำหนด ทิศทางที่ควรจะเป็นในอนาคต การมองเห็นก่อนคนอื่นจะทำให้ประสบความสำเร็จก่อน และเป็นแรงขับท่ี นำไปสู่จุดหมายที่ด้องการ และผู้นำจะต้องสามารถสื่อสารวิสัยทัศน์ของตนไปยังผู้เกี่ยวข้องได้ และชักจูงหรือ กระตุ้นใหผ้ ู้ตามพงึ ปฏิบัตไิ ปตามวสิ ัยทัศน์ของผนู้ ำนั้นๆ 2. ความรู้(Knowledge) การเป็นผู้นำนั้น ความรู้เป็นสิ่งจำเป็นที่สุด ความรู้ในที่นั้นมิได้หมายถึง เฉพาะความรู้เกี่ยวกับงานในหน้าท่ีเท่านั้น หากแต่รวมถึงการใฝ่หาความรู้เพิ่มเติมในด้านอื่นๆ ด้วย การจะ เป็นผนู้ ำทด่ี ี หัวหน้างานจึงต้องเป็นผูร้ อบรู้ ย่งิ รอบรมู้ ากเพียงใด ฐานะแหง่ ความเป็นผนู้ ำก็จะยิ่งม่ันคง มากข้ึน เท่านนั้
88 3. ความริเริ่ม (Initiative) ความริเริ่ม คือ ความสามารถที่จะปฏิบัติสิ่งหนึ่งสิ่งใดในขอบเขต อำนาจ หน้าท่ไี ด้ด้วยตนเอง โดยไมต่ อ้ งคอยคำส่งั หรอื ความสามารถในการแสดงความคดิ เห็นที่จะแก้ไขส่ิงหนงึ่ ส่ิงใดให้ ดีขนึ้ หรอื เจริญข้นึ ได้ดว้ ยตนเอง ความรเิ รม่ิ จะเจริญงอกงามได้ หวั หนา้ งานจะตอ้ งมีความกระตือรือรน้ คือ มีใจ จดจ่องานดี มีความเอาใจใส่ตอ่ หน้าที่ มพี ลังใจที่ด้องการความสำเรจ็ อยู่เบื้องหน้า 4. มีความกล้าหาญและความเด็ดขาด (Courage and Firmness) ผู้นำที่ดีจะต้องไม่กลัวอันตราย ความยากลำบาก หรือความเจ็บปวดใดๆ ทั้งทางกาย วาจา และใจ ผู้นำที่มีความกล้าหาญ จะช่วยให้สามารถ เผชิญต่องานต่าง ๆ ให้สำเร็จลุล่วงไปได้ นอกจากความกล้าหาญแล้ว ความเด็ดขาดก็เป็นลักษณะหนึ่งท่ี จะต้องทา่ ให้เกิดในตวั ของผู้นำ 5. การมมี นุษยสมั พันธ์ (Human Relations) ผนู้ ำทีด่ ีจะต้องรู้จกั ประสานความคิด ประสาน ประโยชน์ สามารถท่างานร่วมลับคนทุกเพศ ทกุ วยั ทุกระดบั การศึกษาได้ ผู้นำทม่ี ีมนุษยสัมพันธด์ ี จะช่วยให้ ปัญหาใหญ่ กลายเปน็ ปญั หาเล็กได้ 6. มีความยุติธรรมและซื่อสัตย์สุจริต (Fairness and Honesty) ผู้นำที่ดีจะต้องอาศัยหลักของ ความ ถูกต้อง หลักแห่งเหตุผลและความซื่อสัตย์สุจริตต่อตนเองและผู้อื่น เป็นเครื่องมือในการวินิจฉัย สั่งการ หรือ ปฏบิ ตั งิ านดว้ ยจิตที่ปราศจากอคติ ปราศจากความลำเอียง ไมเ่ ลน่ พรรคเลน่ พวก 7. มีความอดทน (Patience) ความอดทนจะเป็นพลังอันหนึ่งที่จะผลักดันงานให้ไปสู่ จุดหมาย ปลายทางได้อย่างแทจ้ ริง 8. มีความตื่นตัว ( Alertness ) ความตื่นตัว หมายถึง ความระมัดระวัง ความสุขุม รอบคอบ ความไม่ ประมาท ไม่ยืดยาดหรือขาดความกระฉับกระเฉง มีความฉับไวในการปฏิบัติงานทันต่อเหตุการณ์ ผู้น ำที่ดี จะต้อง รจู้ กั วธิ ีควบคมุ ตัวเองน่นั เอง (Self Control) 9. มีความภักดี (Loyalty) การเปน็ ผูน้ ำหรอื หัวหนา้ ทีด่ ีนน้ั จำเป็นตอ้ งมีความจงรกั ภกั ดตี อ่ หมูค่ ณะ ต่อ สว่ นรวมและต่อองค์การ ความภกั ดีนจี้ ะช่วยให้ผูน้ ำไต้รับความไวว้ างใจและปกป้องภยั อันตรายในทุกทิศได้เป็น อย่างดี 10. มีความสงบเสงี่ยมไม่ถือตัว (Modesty) ผู้นำที่ดีจะต้องไม่หยิ่งยโสไม่จองหอง ไม่วางอำนาจ และ ไม่ภูมิใจในสิ่งที่ไร้เหตุผล ความสงบเสงี่ยมนั้น ถ้ามีอยู่ในผู้นำหรือหัวหน้างานคนใดแล้ว ก็จะทำให้ผู้ตามหรือ ลกู น้องมีความนบั ถือ และให้ความร่วมมือเสมอ การเสรมิ สร้างภาวะผู้นำชมุ ชน การเสริมสร้างภาวะผู้นำชุมชน หมายถึง การทำให้ผู้นำชุมชนมีภาวะผู้นำเพิ่มขึ้น หรือการทำให้ ผู้นำ ชุมชนมีการปรับปรุงความสามารถในการทำหน้าที่หรือการเข้าไปมีบทบาทในแต่ละด้านให้กับชุมชนได้ดี ขึ้น การเสริมสร้างภาวะผู้นำ ได้แก่ การพัฒนาบุคลิกภาพ การพัฒนารูปลักษณ์ การพัฒนาทักษะใน การ ตดิ ตอ่ สอื่ สาร การพฒั นาความทรงจำ และการพัฒนาความคิดริเรม่ิ สร้างสรรค์โดยมรี ายละเอยี ด ดงั นี้ 1. การพัฒนาบุคลิกภาพของผู้นำ ได้แก่ การเสริมสร้างมนุษยสัมพันธ์ เช่น การควบคุมตนเอง การรับ – ส่งผู้อื่น การมีความซื่อสัตย์ต่องาน – เพื่อนร่วมงาน การรู้จักถ่อมตน การให้ความร่วมมือกับผู้อ่ืน การถนอม - น้ำใจผูอ้ ื่น เปน็ ต้น
89 2. การเขา้ ใจความต้องการของชุมชนและการสรา้ งภาพลกั ษณ์เชน่ ความมนั่ ใจในตัวเอง แรงจูงใจ ในการทำงาน การปรบั ตัวเขา้ กับผู้อน่ื การแสดงความคดิ เห็น เปน็ ต้น 3. การพฒั นารูปลกั ษณ์ของผู้นำ ได้แก่ การออกกำลังกาย การรับประทานอาหารทเ่ี ป็นประโยชน์ ถูกหลักโภชนาการ การรักษารูปร่างและสัดส่วน การรู้จักการแต่งกาย และการพัฒนามารยาท เช่น มารยาท - ในการแนะนำตวั มารยาทในโตะ๊ อาหาร มารยาทต่อคนรอบขา้ ง มารยาทในท่ีทำงาน มารยาทในการ ประชมุ เปน็ ต้น 4. การพัฒนาทักษะในการติดต่อสื่อสาร ได้แก่ การพูด การพิง การสื่อสารทางโทรศัพท์ การพูด ในทช่ี ุมชน การวเิ คราะหก์ ลมุ่ ผพู้ งิ การวิเคราะห์เนอื้ หา การอา่ น การเขียน การให้คำแนะนำ คำปรึกษา 5. การพัฒนาความทรงจำ ได้แก่ การจำรายละเอียดของงาน การจำรายละเอียดเกี่ยวกับบุคคล การจำเกยี่ วกบั ตวั เลข 6. การพัฒนาความคิดริเริ่มสร้างสรรค์เป็นการพัฒนาเพื่อหาวิธีการใหม่ๆ ทำให้กล้าคิด กล้า แสดงออก ทำใหม้ องโลกกว้าง และมีความยดื หยุ่น สรา้ งผลงานใหม่ๆ ภาวะผู้นำของชุมชน 1. ด้านการบริหารตนเอง ผู้นำควรเปน็ ผู้มีความรู้ความสามารถ มีคุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม มีวินัย ในตนเอง และมีบุคลิกภาพดี 2. ด้านการบริหารงาน ผู้นำควรมีการวางแผน การปรับปรุงแก้ไขงบประมาณ การเงิน บัญชี การ บริหาร งบประมาณ การพฒั นางานอย่างตอ่ เน่ือง การควบคมุ และประเมินผล การสร้างและการพฒั นาทีมงาน และการมคี วามรับผดิ ชอบตอ่ ชุมชน 3. ด้านการบริหารสังคม ผู้นำควรมีมนษุ ยสัมพนั ธ์ท่ีดี ความเปน็ ประชาธปิ ไตย การประสานงานดี และ การเปน็ ทีป่ รกึ ษาทดี่ ี หน้าที่ของผนู้ ำชมุ ชน ในการทำหน้าทีเ่ ปน็ ผู้นำชุมชนนัน้ จะต้องเป็นผู้รักษาหรอื ประสานให้สมาชิกของชมุ ชนอยู่ร่วมกัน คือ ต้องอยู่ใกล้ชิดกับชุมชน มีความสัมพันธ์กับคนในชุมชน และเป็นที่ยอมรับของคนในชุมชน อีกทั้งผู้นำ จะต้อง เปน็ ผ้ปู ฏิบตั ิภารกจิ ของชมุ ชนให้บรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ คอื ต้องรับผดิ ชอบในกระบวนการ วิธีการทำงานด้วยความ มั่นคงและเข้าใจ และต้องทำงานให้บรรลุเป้าหมาย นอกจากนั้น ผู้นำชุมชนจะต้อง มีบทบาทในการสนับสนุน ให้เกิดการติดต่อสัมพันธ์ในกลุ่ม คือ จะต้องปฏิบัติงานในลักษณะอำนวย ความสะดวกให้สมาชิกในชุมชนเกิด การติดต่อสมั พันธ์และปฏิบัติต่อกันด้วยดี การติดตอ่ ส่อื สารทด่ี ี จงึ เป็นสงิ่ สำคัญ และเปน็ การช่วยให้หน้าท่ีผู้นำ ชุมชนบรรลุเป้าหมาย แนวทางในการทำหน้าท่ีผนู้ ำชุมชน 1. สร้างความสามคั คีใหเ้ กดิ ขึ้นในชุมชน 2. กระต้นุ ให้สมาชิกทำส่ิงท่ีเป็นประโยชนต์ อ่ ชมุ ชน 3. พัฒนาสมาชิกให้เกดิ ภาวะผนู้ ำ 4. รว่ มกบั สมาชิกกำหนดเปา้ หมายของชมุ ชน
90 5. บรหิ ารงาน และประสานงานในชมุ ชน 6. ใหค้ ำแนะนำ และช้ีแนวทางใหก้ บั ชมุ ชน 7. บำรุงขวัญสมาชิกในชมุ ชน 8. เปน็ ตัวแทนชุมชนในการติดต่อประสานงานกบั หน่วยงานอ่นื ๆ 9. รับผิดชอบต่อผลการกระทำของชุมชน บทบาทผู้นำชมุ ชน ด้านเศรษฐกิจ 1. ทำใหค้ รัวเรือนสามารถพ่ึงตนเองไต้ 2. สง่ เสรมิ อาชพี ทตี่ อบสนองต่อความตอ้ งการของชุมชน 3. สง่ เสรมิ วิสาหกจิ ชมุ ชนตามความเหมาะสม ด้านการจดั การทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อมในชุมชน 1. บริหารจดั การทรัพยากรธรรมชาตอิ ยา่ งเหมาะสม 2. เสริมสรา้ งสภาพแวดล้อมท่ดี ี 3. วางระบบโครงสร้างพ้ืนฐานเพียงพอตอ่ ความต้องการ ด้านสุขภาพอนามัย 1. วางระบบโครงสร้างพื้นฐานเพอ่ื สุขภาพจากการมีส่วนร่วมของชมุ ชน 2. จัดการเพอื่ เสรมิ สร้างสุขภาพ 3. การป้องกนั โรค 4. การดแู ลสุขภาพดว้ ยตนเอง ด้านศาสนา วฒั นธรรม และประเพณี 1. การนบั ถอื ศาสนาท่ยี ึดเหน่ยี วจิตใจ 2. การมีวถิ ชี วี ิตแบง่ ปันเอ้อื อาทร 3. การอนรุ ักษ์สบื สานวัฒนธรรมประเพณีของชมุ ชน ด้านการพัฒนาคน 1. การจดั การความรู้ / ภูมิปญั ญา 2. การพัฒนาผ้นู ำ / สมาชกิ ในชุมชน ด้านการบริหารจดั การชุมชน 1. การจดั ทำระบบข้อมูล 2. การจัดทำแผนชมุ ชน 3. การจัดสวัสดกิ ารชมุ ชน 4. การเสริมสร้างการเมือง การปกครองตามระบอบประชาธปิ ไตย ดา้ นความม่ันคงปลอดภยั ในชีวิตและทรัพย์สิน 1. การปอ้ งกนั รกั ษาความปลอดภยั ในชวี ติ และทรพั ย์สินของชุมชน
91 2. การปอ้ งกันภยั ธรรมชาติ 1.2 ผู้ตาม ความหมายของผตู้ าม (Followers) และภาวะผตู้ าม (Followership) ผู้ตาม และภาวะผูต้ าม หมายถึง ผู้ปฏิบตั ิงานในองค์การท่มี ีหน้าที่ และความรบั ผดิ ชอบท่จี ะต้อง รบั คำ ส่ังจากผูน้ ำหรือผู้บังคบั บญั ชามาปฏิบัตใิ หส้ ำเร็จและบรรลุวตั ถุประสงค์ พฤติกรรมของผู้ตาม 5 แบบ ดงั น้ี 1. ผู้ตามแบบห่างเหิน มีลักษณะเป็นคนเฉื่อยชา มีความเป็นอิสระ และมีความคิดสร้างสรรค์สูง ส่วนมากเปน็ ผ้ตู ามทม่ี ีประสทิ ธผิ ล มปี ระสบการณ์ และผา่ นอุปสรรคมาก่อน 2. ผตู้ ามแบบปรบั ตาม หรอื เรยี กวา่ ผตู้ ามแบบครับผม มีลักษณะเป็นผู้ที่มีความกระตือรือร้น ใน การทำงาน แต่ขาดความคดิ สรา้ งสรรค์ 3. ผู้ตามแบบเอาตัวรอดมีลักษณะเลือกใช้พฤติกรรมแบบใดขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่จะเอ้ือ ประโยชน์ ลบั ตวั เองไดม้ ากท่สี ุดและมคี วามเสยี่ งน้อยทีส่ ุด 4. ผูต้ ามแบบเฉ่อื ยชา มีลักษณะชอบพึ่งพาผอู้ นื่ ขาดความอิสระ ไมม่ คี วามคดิ รเิ ร่มิ สรา้ งสรรค์ 5. ผูต้ ามแบบมีประสทิ ธิผล มีลกั ษณะเป็นผูท้ ่มี ีความตัง้ ใจในการปฏบิ ตั ิงานสงู มคี วามสามารถ ใน การบริหารจัดการงานได้ด้วยตนเอง ลักษณะผู้ตามทม่ี ปี ระสิทธิผล ดังนี้ 1. มคี วามสามารถในการบริหารจัดการตนเองได้ดี 2. มคี วามผกู พันตอ่ องคก์ ารและวตั ถุประสงค์ 3. ทำงานเตม็ ศกั ยภาพ และสุดความสามารถ 4. มีความกลา้ หาญ ซื่อสัตย์ และนา่ เช่ือถือ การพฒั นาศกั ยภาพตนเองของผูต้ าม การพฒั นาลักษณะนสิ ยั ตนเองใหเ้ ปน็ ผตู้ ามที่มปี ระสทิ ธิผล มี 7 ประการ คือ 1. ตอ้ งมนี ิสัยเชิงรุก (Be Proactive) 2. เร่ิมด้นจากส่วนลกึ ในจติ ใจ (Begin with the end in Mind) 3. ลงมือทำสงิ แรกก่อน (Put first Things first) 4. คิดแบบชนะทัง้ สองฝา่ ย (Think Win-Win) 5. เขา้ ใจคนอื่นกอ่ นจะให้คนอนื่ เข้าใจเรา (Seek first to Understand, Then to be Understood) 6. การรวมพลงั (Synergy) หรือทำงานเป็นทมี (Team Work) 7. ลบั เลื่อยใหค้ ม หรอื พัฒนาตนเองอยู่เสมอ (Sharpen The Saw) แนวทางส่งเสริมและพฒั นาผตู้ ามใหม้ ีคณุ ลกั ษณะผู้ตามทพี่ ึงประสงค์ มีดังน้ี 1. การดแู ลเอาใจใส่ เรอ่ื งความต้องการขน้ั พนื้ ฐานของมนษุ ยใ์ หล้ บั สมาชกิ และเปน็ ธรรม 2. การจงู ใจดว้ ยการใหร้ างวลั คำชมเชย 3. การใหค้ วามรูแ้ ละพัฒนาความคิดโดยการจดั โครงการแกอบรม สัมมนา และศึกษาดงู าน 4. ผนู้ ำต้องปฏบิ ตั ติ นใหเ้ ปน็ แบบอย่าง 5. มกี ารประเมนิ ผลการปฏบิ ัตงิ านอยา่ งตอ่ เน่ือง
92 6. ควรนำหลักการประเมินผลงานท่ีเน้นผลสัมฤทธ์ิ 7. สง่ เสริมการนำหลกั ธรรมมาใชใ้ นการทำงาน 8. การสง่ เสรมิ สนับสนุนใหผ้ ้ตู ามนำหลกั ธรรมาภิบาลมาใช้ในการปฏบิ ตั ิงานอยา่ งจรงิ จงั ผูน้ ำ ผูต้ ามในการจดั ทำแผนพฒั นาชุมชน สังคม แผนพัฒนาชุมชน สังคม มีชื่อเรียกแตกต่างลันไปในแต่ละท้องถิ่น เช่น แผนชุมชน แผนชุมชน แผน ตนเอง แผนชีวิต แผนชีวิตชุมชน แผนชีวิตชุมชนพ่ึงตนเอง แผนแม่บทชุมชน แผนแม่บทชุมชน - พึ่งตนเอง เปน็ ต้น แผนชุมชน คือ เครื่องมือพัฒนาชุมชนที่คนในชุมชนรวมตัวลันจัดทำขึ้น เพื่อใช้เป็นแนวทางใน การ พัฒนาชุมชนของตนเองให้เป็นไปตามสภาพปัญหาและความต้องการที่ชุมชนประสบอยู่ร่วมลัน โดยคน ใน ชุมชนร่วมลันคิด ตัดสินใจ กำหนดแนวทางและทำกิจกรรมการพัฒนาของชุมชนด้วยหลักการ พึ่งตนเองตาม ศักยภาพ ภูมิปัญญา วถิ ีชีวิต วัฒนธรรม ทรพั ยากรและส่งิ แวดล้อมในท้องถน่ิ เป็นหลัก กล่าวโดยสรุป แผนชุมชน หมายถึง แผนที่ทุกคนในชุมชนมีส่วนร่วมคิด ร่วมทำทุกขั้นตอน เพื่อใช้แล้ ปัญหาชุมชนตนเองและทุกคนในชุมชนไต้รับผลประโยชน์จากการพัฒนาร่วมกัน การจัดทำแผนพัฒนาชุมชน นั้น ผู้นำชมุ ชน จะต้องเป็นผรู้ ิเรมิ่ จัดทำโดยสร้างการมสี ว่ นรว่ มของคนในชมุ ชน ดงั นี้ 1. เตรยี มความพรอ้ มทมี งาน 1.1 ทมี งานจัดทำแผน ผู้นำชุมชนร่วมลับทีมงานพัฒนาชุมชนระดับอำเภอเผยแพร่ความคิด สร้างความรู้ ความเข้าใจ แก่ สมาชกิ ในชุมชนเก่ยี วกับแผนชุมชนถึงกระบวนการเทคนคิ การเปน็ วิทยากร บทบาทหน้าท่ี ความสำคญั ใน การ จัดทำแผนชุมชน เพื่อล้นหา คัดเลือกบุคคล เป็นคณะทำงานระดับหมู่บ้าน/ชุมชน ร่วมลับทุกภาคส่วน โดย พิจารณาผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับการทำงาน ต้องการทำงานเพื่อชุมชน ชุมชนให้การยอมรับให้ เป็น คณะทำงาน เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำตามธรรมชาติ แกนนำอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) อาสาพัฒนาชุมชน (อช.) ภูมิป้ญญา ผู้เฒ่าผู้แก' พระสงฆ์ นักวิชาการบ้องถิ่น บุคคลในองค์การ บริหารส่วน ตำบล (อบต.) สว่ นราชการ และหนว่ ยงานเอกชน เป็นต้น 1.2 ทีมงานผสู้ ่งเสรีมกระบวนการจัดทำแผน ทีมงานภาคีเครือข่ายในการจัดทำแผน เป็นภาคีการพัฒนาซึ่งมีทั้งภาคราชการ ภาคประชา สังคม สถาบนั วิชาการ และองคก์ รพฒั นาเอกชน จำนวน 19 องคก์ ร ไดแ้ ก่ 1.2.1 ภาคราชการ จำนวน 11 องค์กร คือ กรมการปกครอง กรมส่งเสริมการปกครองส่วน ท้องถิ่น สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (สำนักงาน กศน.) กรมส่งเสริม วิชาการเกษตร กรมการพฒั นาชุมชน (พช.) กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กรมประชาสัมพันธ์ องค์การ สื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อสมท.) ธนาคารเพื่อการเกษตรและ สหกรณ์การเกษตร (ธกส.) สำนักงาน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และ สำนักงานกองบัญชาการทหารสูงสุด (บก. สูงสดุ )
93 1.2.2 ภาคประชาสังคม จำนวน 3 องค์กร คือ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) สำนักงาน คณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สทบ.) และสำนักงานคณะกรรมการกองทุนเพื่อ การ วจิ ยั (สกว.) 1.2.3 สถาบนั วิชาการ จำนวน 2 องคก์ ร คอื ทบวงมหาวิทยาลัย และสถาบนั ราชภัฏ 1.2.4 ภาคเอกชน จำนวน 3 องค์กร คือ มูลนิธิหมู่บ้าน วิทยาลัยการจัดการทางสังคม (วจส.) และสถาบนั ชมุ ชนท้องถิ่นพัฒนา 2. เตรยี มความพรอ้ มขอ้ มลู และพื้นท่ี 2.1 ข้อมลู ได้แก่ ข้อมูลความจำเปน็ พื้นฐาน (จปฐ.) ข้อมูลพน้ื ฐานระดับหมบู่ ้าน/ชุมชน (กชช. 2 ค) คือ ข้อมลู พ้นื ฐานของหม่บู ้านท่แี สดงให้เห็นสภาพทวั่ ไปและปญั หาตา่ ง ๆ ของหมบู่ ้าน ไดแ้ ก่ โครงสร้างพ้ืนฐาน เศรษฐกิจ สุขภาพและอนามัย ความรู้และการศึกษา ความเข้มแข็งของชุมชน ทรัพยากรธรรมชาติและ สง่ิ แวดล้อม สภาพแรงงาน ยาเสพตดิ ขอ้ มลู ศกั ยภาพชุมชน 2.2 พื้นที่ คือ ความพร้อมของพื้นที่มีด้านใดบ้าง เช่น ทุนทางสังคม ได้แก่ บุคคล ภูมิปัญญา ทุน ทางเศรษฐกิจ ได้แก่ ทรพั ยากรในการประกอบอาชพี ทุนของชมุ ชนทเ่ี ออ้ื ตอ่ การวางแผนชุมชน 3. ดำเนินการจดั ทำแผนชมุ ชน การจดั ทำแผนพฒั นาชมุ ชนนน้ั คณะทำงาน ซึ่งเป็นแกนนำชมุ ชน ในการจดั ทำแผนใชเ้ วทปี ระชาคมใน การประชุมเพอ่ื วางแนวทางดว้ ยกระบวนการกลุ่มชมุ ชน ดงั น้ี 3.1 การศกึ ษาชุมชนตนเอง คณะทำงานชุมชนนำพาสมาชิกชุมชนให้ศึกษาเรียนรู้ชุมชนของตนเอง เช่น สภาพ การเงินของ ครัวเรือนเป็นอย่างไร สภาพทรัพยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดล้อมในอดีตกบั ปัจจบุ นั แตกต่าง กนั หรอื ไม่ อย่างไร เนื่องจากเหตุใดสภาพสังคมนั้นพฤติกรรมของคนในชุมชนพึงประสงค์เป็นไปตามจา รีตประเพณีวัฒนธรรม เพียงใด เปน็ ต้น 3.2 สำรวจรวบรวมข้อมูลชุมชน ผู้นำและสมาชิกในชุมชนร่วมกันออกแบบเครื่องมือสำรวจข้อมูลเอง หรือนำแบบสำรวจ ข้อมูลท่ี หน่วยงานมีอยู่ เช่น กชช. 2ค หรือ จปฐ. มาปรับปรุงเพิ่มเติมข้อมูลที่ต้องการทราบ แล้วนำไป สำรวจข้อมูล ชุมชน หรือสำรวจข้อมูลโดยการจัดเวทีประชาคม เพื่อเรียนรู้สภาพปัญหาและความต้องการ ของชุมชน ซ่ึง ผูส้ ำรวจข้อมลู และผใู้ ห้ขอ้ มูล กค็ ือ คนในชุมชน น่นั เอง 3.3 วิเคราะห์ขอ้ มลู /สงั เคราะหข์ ้อมูล คณะทำงานชุมชน ผู้นำชุมชน สมาชิกในชุมชนร่วมกับทีมงานส่งเสริมกระบวนการจัดทำ แผนชุมชน นำข้อมูล ที่เก็บรวบรวมมา แยกแยะตามประเภทของข้อมูล เช่น ข้อมูลด้านครอบครัว ด้านเศรษฐกิจ ด้านอาชีพ ด้าน สังคม ด้านการคมนาคม ด้านการศึกษา ศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม ด้านการ สาธารณสุข ด้านการเมืองการ ปกครอง ด้านโครงสร้างพ้ืนฐานท่จี ำเปน็ ต่อการดำรงชีวิต ด้านทรพั ยากรธรรมชาติ และส่ิงแวดล้อม เปน็ ด้น ซึ่ง จะทำให้ทราบถงึ ปญั หาและสาเหตุของปญั หาในชุมชน 3.4 จดั ทำแผนชมุ ชน มขี ั้นตอนดังนี้
94 3.4.1 ยกร่างแผนชุมชน คณะทำงานจัดทำแผนเชิญบุคคลที่มีความรอบรูแ้ ละมีส่วน เกี่ยวข้องกับการ ทำแผนประชาชนในชุมชน ประชุมเชิงปฏิบัติการจัดทำร่างเด้าโครงของแผนชุมชน จัดทำแผนงาน โครงการ กิจกรรมบนพื้นฐานของข้อมูลชุมชนที่สอดคล้องกับแนวนโยบายของรัฐ ยึดหลัก แนวทางการพึ่งตนเองอย่าง ย่งั ยืน 3.4.2 ประชาพิจารณ์แผนชุมชน จดั ประชุมประชาคมสมาชิกชุมชน เพือ่ นำเสนอร่างแผนให้สมาชิกใน ชุมชนร่วมแสดงความคิดเห็น ร่วมกันพิจารณาตรวจสอบข้อมูล แก้ไข ปรับปรุง เพิ่มเติม แผนงานโครงการ กิจกรรมให้ถูกต้องตามความเป็นจริงและเป็นปัจจุบัน สอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการของชุมชน ประชาชนในชุมชนให้ความเหน็ ชอบ ยอมรบั เป็นเจา้ ของร่วมกัน เพอื่ ผลักดนั แผนชุมชนใหเ้ กิดการใช้งานได้จริง แล้วจัดทำเอกสารเป็นรูปเล่มที่สามารถอ้างอิง นำไปใช้ในการ ประสานงาน การสนับสนุนให้เกิดโครงการ กิจกรรมตามที่กำหนด ตลอดจนใช้เป็นเครื่องมือการ ดำเนินงานพัฒนาชุมชน และประสานความร่วมมือ ยกระดับคณุ ภาพชีวติ ที่ดีข้ันของสมาชิกในชมุ ชนและ สามารถตรวจสอบระดบั ความก้าวหนา้ ของการพัฒนากับ แนวทางทว่ี างไวไ้ ด้ กล่าวโดยสรุปแล้ว ทั้งผู้นำและผู้ตาม จะต้องมีส่วนร่วมในกระบวนการจัดทำแผนพัฒนา ชุมชนทุก ขั้นตอน ทั้งในด้านการศึกษาเรียนรู้ชุมชน ตนเอง การสำรวจ รวบรวม วิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูล ตรวจสอบ ข้อมูล เพื่อค้นหาปัญหาและสาเหตุของปัญหา ยกร่างแผนและจัดทำแผนฉบับสมบูรณ์ เมื่อแต่ละหมู่บ้าน/ ชมุ ชน ไดจ้ ดั ทำแผนพฒั นาชุมชนเสร็จแลว้ ก็นำมาบูรณาการในระดับตำบล/เทศบาล อำเภอ และ จงั หวัด เป็น แผนพัฒนาสังคม ดงั นี้ 1. คณะทำงานแผนระดบั หมบู่ ้าน/ชุมชน นำแผนชุมชนตนเองเขา้ รว่ มบรู ณาการแผนชุมชน สงั คม ระดับตำบล/เทศบาล โดยคณะทำงานระดับตำบล/เทศบาล เป็นผู้อำนวยการบูรณาการขั้น จากนั้น มอบแผน ของหมบู่ า้ น/ชุมชน ระดับตำบล/เทศบาล ใหแ้ ก่องค์กรปกครองส่วนท้องถนิ่ และหน่วยงานภาคีเครือขา่ ย นำไป บรู ณาการกับแผนพฒั นาท้องถน่ิ และแผนพัฒนาของหนว่ ยงานภาคีต่าง ๆ และนำไปสู่ การปฏบิ ตั ิ 2. ในระดับอำเภอ ก็จะนำแผนชุมชนมาบูรณาการเป็นแผนพัฒนาระดับอำเภอและ แผนพัฒนา ของทกุ ๆ อำเภอ ก็จะถกู นำมาบูรณาการเป็นแผนระดบั จังหวัด ซงึ่ แผนพัฒนาชมุ ชน สงั คมนี้ ภาครัฐกส็ ามารถ นำมากำหนดเป็นแผนยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศได้เป็นอย่างดี เนื่องด้วยแผนนั้น เกิดขึ้นมาจากการมี ส่วนรว่ มในการพฒั นาจากประชาชนในทอ้ งถ่ิน 3. คณะทำงานแผน ซึ่งเป็นผู้นำในการจัดทำแผนต้องติดตามผลว่า แผนที่ได้จัดทำขึ้นนั้น มีผล เปน็ อย่างไร มีหนว่ ยงานใดบ้างทแ่ี ปลงแผนพัฒนาชุมชนไปดำเนินการ ดำเนนิ การแลว้ มผี ลอยา่ งไร แกป้ ญั หาได้ หรือไม่ แผนใดไม่ได้รับการนำไปสู่การปฏิบัติ แล้วสรุปเป็นข้อมูล เพ่ือใช้เป็นแนวทางใน การจัดทำแผนพัฒนา หมู'บา้ น/ชุมชนในคร้ังต่อไป 4. คณะทำงานแผน ทำการทบทวนปรับปรุงแผนพัฒนาอย่างต่อเนื่องทุกปี เพื่อให้กระบวนการ เรียนรู้การจัดทำแผนพัฒนาชุมชน สังคมแบบมีส่วนร่วม นั้น เป็นเครื่องมือในการพัฒนา ศักยภาพยกระดับ คุณภาพของคนในหมู'บา้ น/ชุมชน
95 ผูน้ ำ ผู้ตามในการขบั เคลอื่ นแผนพฒั นาตนเอง ชุมชน สงั คม เรอื่ งที่ 3 ผนู้ ำ ผู้ตามในการขับเคลอ่ื นแผนพัฒนาตนเอง ชมุ ชน สังคม เมื่อจัดทำแผนชุมชนเป็นรูปเล่มเอกสารเรียบร้อยแล้วผู้นำชุมชนและประชาชนในชุมชนมีส่วนร่วม ขบั เคล่ือนนำไปสกู่ ารปฏิบัติ จงึ จะมีคุณคา่ และเกดิ ประโยชน์ต่อชมุ ชน ซง่ึ แนวทางในการขบั เคล่อื นมดี ังนี้ 1. คณะทำงานระดับหมู'บ้าน/ชุมชน และชาวบ้าน ซึ่งเป็นสมาชิกของชุมชนจัดประชุมปรึกษา หารือ รว่ มกนั พิจารณาการนำโครงการ/กิจกรรมไปดำเนนิ การใหบ้ รรลุวตั ถปุ ระสงค์ที่กำหนดโดย 1.1 จัดลำดับความสำคญั ของโครงการ/กิจกรรม ว่าโครงการใด มีความสำคัญที่ต้องดำเนนิ การ ก่อน – หลัง 1.2 จัดประเภทของแผนงาน ซงึ่ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ 1.2.1 แผนชมุ ชนที่ชมุ ชนสามารถดำเนินการได้เอง 1.2.2 แผนชุมชนท่ชี ุมชนและหน่วยงานภายนอก ร่วมคันดำเนินการ 1.2.3 แผนชุมชนที่ต้องประสานหน่วยงานภายนอก เข้ามาให้การสนบั สนุน 2. แบ่งบทบาทหน้าที่ของคณะทำงาน อาสาสมัคร สมาชิกชุมชน เป็นผู้รับผิดชอบแผนงาน โครงการ/ กิจกรรม เพอ่ื ผลกั ดันใหม้ ีการนำไปปฏบิ ตั จิ ริงในชมุ ชน 3. ร่วมคนั ดำเนินกจิ กรรมของโครงการให้บรรลุผลตามท่ตี ัง้ ไวใ้ นแผน 4. ติดตามผลความก้าวหน้า ปัญหา อุปสรรคของการดำเนินโครงการตามแผนงาน เพื่อ ช่วยคันแก้ไข ปญั หาอุปสรรคทเ่ี กดิ ขึ้น 5. ประเมนิ ผลการดำเนนิ การโครงการกจิ กรรมสำเร็จตามวตั ถปุ ระสงค์ที่ต้ังไวห้ รอื ไม่ เพยี งใด
96 ใบงานเรื่อง ผนู้ ำ ผ้ตู ามในการจดั แผนพฒั นา ชุมชน สงั คม 1. ใหผ้ เู้ รยี นอธิบายความหมายของผู้นำชมุ ชน และหน้าท่ีของผูน้ ำชุมชน 2. ใหผ้ ้เู รยี นอธบิ ายการเปน็ สมาชิกทด่ี หี รือผูต้ ามที่ดี 3. ให้ผเู้ รยี นแบ่งกลุ่ม ๆ ละ 5 คน และรว่ มกนั ระดมความคิดโดยแบ่งบทบาทหน้าที่ของสมาชิก ในกลุ่มให้เป็น ผนู้ ำและผู้ตามในการจัดทำโครงการการป้องกัน “ไข้หวัด2009” หรือ “ไขห้ วดั ใหญ่สายพันธุใหม่ ชนิดเอ (เอช 1 เอ็น 1)” ในชุมชนของผู้เรยี น วา่ ควรปฏบิ ตั ิหนา้ ทีอ่ ย่างไรใหเ้ กิดความเหมาะสม
97 การเรยี นรู้ กรต. วชิ า การพัฒนาตนเอง ชุมชน สงั คม สค31003 ระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย ครงั้ ท่ี 7 ใบความรู้ เรือ่ งที่ 7 หลักการพฒั นาตนเอง การพัฒนา (development) หมายถึง การทำให้ดีขึ้น ให้เจริญขั้น เป็นการเพิ่มคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ การพฒั นาอาจพัฒนาจากสิง่ ที่มีอยู่เดมิ หรือสรา้ งสรรค์สิ่งใหมข่ ้ึนมาก็ได้ การพัฒนาตนเอง (Self Development) คือ การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น โดยได้มีการกำหนดแนว ทางการพัฒนาไว้แล้ว ซึ่งการพัฒนานั้นมิได้หมายถึงการเปลี่ยนแปลงในด้านปริมาณที่สามารถจับต้อง วัดได้ เท่านน้ั แต่หมายถึงการเปล่ยี นแปลงในด้านคณุ ภาพดว้ ย ความสำคญั /ประโยชนข์ องการพฒั นาตนเอง ก. ความสำคญั ต่อตนเอง จำแนกไดด้ งั นี้ 1. เป็นการเตรียมตนให้พร้อมในด้านต่าง ๆ เพื่อรับกับสถานการณ์ทั้งหลายได้ด้วยความรู้สึกที่ดีต่อ ตนเอง 2. เปน็ การปรับปรุงส่งิ ที่บกพรอ่ ง และพัฒนาพฤติกรรมให้เหมาะสม ขจัดคุณลักษณะท่ไี ม่ต้องการออก จากตัวเอง และเสริมสรา้ งคณุ ลักษณะที่สังคมต้องการ 3. เป็นการวางแนวทางใหต้ นเองสามารถพฒั นาไปสเู่ ปา้ หมายในชีวติ ไดอ้ ย่างมัน่ ใจ 4. ส่งเสรมิ ความรู้สึกในคุณค่าแห่งตนใหส้ ูงข้ึน มคี วามเข้าใจตนเอง สามารถทำหนา้ ท่ีตามบทบาทของ ตนไดเ้ ตม็ ศกั ยภาพ ข. ความสำคัญต่อบุคคลอื่น เนื่องจากบุคคลย่อมต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน การพัฒนาในบุคคลหนึ่งย่อม ส่งผลต่อบุคคลอื่นด้วย การปรับปรุงและพัฒนาตนเองจึงเป็นการเตรียมตนให้เปน็ สิ่งแวดล้อมที่ดีของผู้อื่น ทั้ง บุคคลในครอบครัวและเพื่อนในที่ทำงาน สามารถเป็นตัวอย่างหรือเป็นที่อ้างอิงให้เกิดการพัฒนาในคนอื่นๆ ต่อไป เป็นประโยชน์ร่วมกันทัง้ ชีวิตส่วนตัวและการทำงานและการอยูร่ ่วมกันอย่างเป็นสุขในชุมชน ที่จะส่งผล ให้ชุมชนมีความเข้มแข็งและพัฒนาอย่างตอ่ เนื่อง ค. ความสำคัญต่อสังคมโดยรวม ภารกิจที่แต่ละหน่วยงานในสังคมต้องรับผิดชอบ ล้วนต้องอาศัย ทรัพยากรบุคคลเป็นผู้ปฏบิ ัตงิ าน การที่ผู้ปฏบิ ัติงานแต่ละคนได้พัฒนาและปรับปรุงตนเองให้ทันต่อพัฒนาการ ของรูปแบบการทำงานหรือเทคโนโลยี การพัฒนาเทคนิควิธี หรือวิธีคิดและทักษะใหม่ๆ ที่จำเป็นต่อการเพ่ิม ประสิทธิภาพการทำงานและคุณภาพของผลผลิต ทำให้หน่วยงานนั้นสามารถแข่งขันในเชิงคุณภาพและ ประสิทธภิ าพกบั สงั คมอืน่ ได้สูงขึน้ สง่ ผลให้เกิดความมนั่ คงทางเศรษฐกิจของประเทศโดยรวมได้ หลกั การพฒั นาตนเอง 1. การพัฒนาด้านจิตใจ หมายถึง การพัฒนาสภาพของจิตที่มีความรู้สึกที่ดีต่อตนเองและสิ่งแวดล้อม มองโลกในแงด่ ี เชงิ สร้างสรรค์
98 2. การพัฒนาด้านร่างกาย หมายถึง การพัฒนารูปร่างหน้าตา กริยาท่าทาง การแสดงออก น้ำเสียง วาจา การสอื่ ความหมายรวมไปถงึ สขุ ภาพอนามยั และการแตง่ กายเหมาะกับกาลเทศะ รูปร่างและผิวพรรณ 3. การพัฒนาด้านอารมณ์ หมายถึง การพัฒนาความสามารถในการควบคุมความรู้สึกนึกคิดและการ แสดงออก ควบคุมอารมณ์ทีเ่ ป็นโทษตอ่ ตนเองและผู้อืน่ 4. การพฒั นาดา้ นสตปิ ัญญา และความเฉลียวฉลาดทางอารมณ์ หมายถึง การพัฒนาความรอบรู้ ความ ฉลาด ไหวพรบิ ปฏภิ าณ การวิเคราะห์ การตดั สนิ ใจ ความสามารถในการแสวงหาความรู้ และฝกึ ทกั ษะใหม่ ๆ เรยี นร้วู ถิ ีทางการดำเนนิ ชวี ติ ทด่ี ี 5. การพัฒนาดา้ นสงั คม หมายถงึ การพัฒนาปฏบิ ัติตน ท่าทีตอ่ สงิ่ แวดล้อม ประพฤตติ นตามปทัศฐาน ทางสงั คม 6. การพัฒนาด้านความรู้ ความสามารถ หมายถึง การพัฒนาความรู้ ความสามารถที่มีอยู่ให้ก้าวหน้า ยงิ่ ขน้ึ 7. การพัฒนาตนเองสู่ความต้องการของตลาดแรงงาน หมายถึง การพัฒนาความรู้ความสามารถ ทักษะ ความชำนาญทางอาชีพใหส้ อดคล้องกับความตอ้ งการของตลาดแรงงาน การพัฒนาตนเองจะประสบความสำเร็จได้หรือไม่นั้น ผู้ที่พัฒนาตนเองต้องมีความต้องการที่จะ เปลี่ยนแปลงตนเองด้วยความเต็มใจ ปราศจากความรู้สึกว่าถูกบังคับ การพัฒนาจึงจะเกิดความเปลี่ยนแปลง ในทางท่ีดขี ึ้นได้ง่ายและเป็นการพฒั นาอย่างมคี ุณภาพและมปี ระสิทธิผล วิธีการพัฒนาตนเอง การดำเนินการพัฒนาตนเอง เป็นการลงมือปฏิบัติเพื่อเสริมสร้างตนเองให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ กำหนดไว้ ควรดำเนนิ การ ดังตอ่ ไปนี้ 1. การหาความรู้เพ่ิมเตมิ อาจกระทำโดย 1.1 การอ่านหนงั สอื เปน็ ประจำและอยา่ งต่อเนื่อง 1.2 การเขา้ รว่ มประชมุ หรอื เขา้ รบั การฝึกอบรม 1.3 การสอนหนังสือหรอื การบรรยายต่าง ๆ 1.4 การรว่ มกิจกรรมตา่ ง ๆ ของชุมชนหรือองค์การต่าง ๆ 1.5 การรว่ มเปน็ ทป่ี รึกษาแกบ่ ุคคลหรือหน่วยงาน 1.6 การศกึ ษาต่อหรือเพมิ่ เตมิ จากสถาบนั การศกึ ษาหรือมหาวิทยาลัยเปิด 1.7 การพบปะเย่ยี มเยียนบคุ คลหรอื หน่วยงานต่าง ๆ 1.8 การเปน็ ผ้แู ทนในการประชมุ ตา่ ง ๆ 1.9 การจัดทำโครงการพิเศษ 1.10 การปฏิบัตงิ านแทนหัวหน้างาน 1.11 การคน้ คว้าหรือวิจยั 1.12 การศึกษาดงู าน
99 2. การเพมิ่ ความสามารถและประสบการณ์ อาจกระทำโดย 2.1 การลงมอื ปฏบิ ัตจิ ริง 2.2 การฝกึ ฝนโดยผ้ทู รงคณุ วุฒิหรอื หวั หน้างาน 2.3 การอา่ น การฟัง และการถาม จากเอกสารและหรือผู้ทรงคณุ วฒุ หิ รือหวั หนา้ งาน 2.4 การทำงานรว่ มกับบุคคลอ่นื 2.5 การค้นคว้าวิจยั 2.6 การหมนุ เวยี นเปลยี่ นงาน วธิ ีการพัฒนาชุมชน การพัฒนาชุมชน ก็คือ การเปลี่ยนแปลงชุมชนให้ดีขึ้น หรือให้เจริญขึ้นในทุก ๆ ด้านนั่นเอง นั่นคือ จะต้องพัฒนาคน กลุ่มชน สิ่งแวดล้อมทางวัตถุหรือสาธารณสมบัติ และพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจและสั งคม เพอื่ ใหบ้ งั เกิดผลดีแกป่ ระเทศชาตโิ ดยส่วนรวมปรัชญาขน้ั มูลฐานของงานพัฒนาชมุ ชน ปรัชญาขน้ั มลู ฐานของงานพฒั นาชมุ ชน สรุปไดด้ งั นี้ 1. บุคคลแต่ละคนย่อมมีความสำคัญ และมีความเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนกัน จึงมีสิทธิอันพึงได้รับ การปฏิบตั ดิ ว้ ยความยุตธิ รรม และอย่างบุคคลมเี กียรติในฐานะท่เี ปน็ มนุษย์ปถุ ชุ นผหู้ นึง่ 2. บุคคลแต่ละคนย่อมมีสิทธิ และสามารถที่จะกำหนดวิธีการดำรงชีวิตของตนไปในทิศทางที่ตน ต้องการ 3. บุคคลแต่ละคนถ้าหากมีโอกาสแล้ว ย่อมมีความสามารถที่จะเรียนรู้ เปลี่ยนแปลงทัศนะ ประพฤติ ปฏิบตั ิและพฒั นาขีดความสามารถใหม้ ีความรับผิดชอบตอ่ สังคมสงู ข้ึนได้ 4. มนุษย์ทุกคนมีพลังในเรื่องความคิดริเริ่ม ความเป็นผู้นำ และความคิดใหม่ ๆ ซึ่งซ่อนเร้นอยู่ และ พลงั ความสามารถเหล่าน้ีสามารถเจรญิ เติบโต และนำออกมาใชไ้ ด้ ถ้าพลังท่ีซอ่ นเร้นเหล่านี้ได้รับการพฒั นา 5. การพัฒนาพลังและขีดความสามารถของชุมชนในทุกด้านเป็นสิ่งที่พึงปรารถนา และมีความสำคัญ ยง่ิ ต่อชวี ติ ของบคุ คล ชมุ ชน และรฐั แนวคดิ พนื้ ฐานของการพัฒนาชุมชน การศึกษาแนวคดิ พ้ืนฐานของงานพัฒนาชมุ ชน เปน็ ส่งิ สำคัญท่ีจะทำให้เจ้าหน้าที่หรอื นกั พัฒนาได้ลงไป ทำงานกบั ประชาชนได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ซึง่ แนวคิดพืน้ ฐานงานพัฒนาชุมชน มดี ังน้ี 1. การมสี ว่ นร่วมของประชาชน (People Participation) เป็นหัวใจของการพัฒนาชุมชน โดยยึดหลัก ของการมีส่วนร่วมที่ว่า ประชาชนมีส่วนร่วมในการคิด ตัดสินใจ วางแผนการปฏิบัติการ ร่วมบำรุงรักษา ตดิ ตามและประเมินผล 2. การช่วยเหลอื ตนเอง (Aide Self-Help) เป็นแนวทางในการพัฒนาทย่ี ึดเป็นหลักการสำคัญประการ หนึ่ง คือ ต้องพัฒนาให้ประชาชนพึง่ ตนเองได้มากขึ้น โดยมีรัฐคอยให้การช่วยเหลอื สนับสนนุ ในส่วนที่เกินขีด ความสามารถของประชาชน ตามโอกาสและหลักเกณฑท์ ีเ่ หมาะสม
100 3. ความคิดริเริ่มของประชาชน (Initiative) ในการทำงานกับประชาชนต้องยึดหลักการที่ว่า ความคิด ริเร่มิ ต้องมาจากประชาชน ซ่ึงตอ้ งใชว้ ถิ แี หง่ ประชาธปิ ไตย และหาโอกาสกระตนุ้ ให้การศึกษา ใหป้ ระชาชนเกิด ความคดิ และแสดงออกซ่งึ ความคดิ เหน็ อันเป็นประโยชนต์ ่อหมู่บ้าน ตำบล 4. ความต้องการของชุมชน (Felt-Needs) ในการพัฒนาชมุ ชนต้องให้ประชาชน และองคก์ รประชาชน คิด และตดั สนิ ใจบนพน้ื ฐานความต้องการของชุมชนเอง เพอื่ ใหเ้ กิดความคดิ ท่วี า่ งานเป็นของประชาชน และจะ ชว่ ยกนั ดูแลรกั ษาต่อไป 5. การศึกษาภาคชีวิต (Life-Long Education) ในการทำงานพัฒนาชุมชน ถือเป็นกระบวนการให้ การศึกษาภาคชีวิตแก่ประชาชน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาคน การให้การศึกษาต้องให้การศึกษาอย่างต่อเนื่องกนั ไป ตราบเทา่ ท่บี ุคคลยงั ดำรงชวี ิตอยู่ในชมุ ชน หลกั การพฒั นาชมุ ชน จากปรัชญา และแนวคิดพื้นฐานของการพัฒนาชุมชน ได้นำมาใช้เป็นหลักการพัฒนาชุมชน ซ่ึง นักพฒั นาตอ้ งยดึ เปน็ แนวทางปฏบิ ตั ิ มดี ังนี้ 1. หลักความมีศักดิ์ศรี และศักยภาพของประชาชน และเปิดโอกาสให้ประชาชนใช้ศักยภาพที่มี อย่ใู ห้มากทีส่ ุด จงึ ต้องใหโ้ อกาสประชาชนในการคิด วางแผนเพอื่ แกป้ ัญหาชุมชนด้วยตวั ของเขาเอง นักพัฒนา ควรเปน็ ผกู้ ระตุน้ แนะนำ ส่งเสริม 2. หลักการพึ่งตนเองของประชาชน ต้องสนับสนุนให้ประชาชนพึ่งตนเองได้ โดยการสร้างพลัง ชุมชนเพื่อพัฒนาชุมชน ส่วนรัฐบาลจะช่วยเหลือ สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง และช่วยเหลือในส่วนที่เกิน ความสามารถของประชาชน 3. หลักการมีส่วนร่วมของประชาชน เป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนร่วมคิด ตัดสินใจ วางแผน ปฏิบัติตามแผน และติดตามประเมินผลในกิจกรรม หรือโครงการใด ๆ ที่จะทำในชุมชน เพื่อให้ประชาชนได้มี ส่วนร่วมอย่างแท้จริงในการดำเนินงาน อันเป็นการปลูกฝังจิตสำนึกในเรื่องความเป็นเจ้าของโครงการหรือ กจิ กรรม 4. หลักประชาธิปไตย ในการทำงานพัฒนาชุมชนจะตอ้ งเร่ิมด้วยการพูดคุย ประชุมหารือร่วมกนั คิด ร่วมกันตัดสินใจ และทำร่วมกัน รวมถึงรับผิดชอบร่วมกันภายใต้ความช่วยเหลือซึง่ กันและกัน ตามวิถีทาง แห่งประชาธปิ ไตย นอกจากหลักการพัฒนาชุมชนดังกล่าวแล้ว องค์การสหประชาชาติ ยังได้กำหนดหลักการดำเนินงานพัฒนา ชุมชนไว้ 10 ประการ คือ 1. ต้องสอดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการที่แท้จริงของประชาชน 2. ตอ้ งเป็นโครงการเอนกประสงคท์ ชี่ ่วยแกป้ ญั หาไดห้ ลายดา้ น 3. ต้องเปล่ยี นแปลงทศั นคตไิ ปพร้อม ๆ กบั การดำเนนิ งาน 4. ต้องให้ประชาชนมสี ว่ นรว่ มอยา่ งเตม็ ที่ 5. ตอ้ งแสวงหาและพัฒนาใหเ้ กิดผู้นำในทอ้ งถน่ิ 6. ต้องยอมรบั ใหโ้ อกาสสตรี และเยาวชนมีส่วนรว่ มในโครงการ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117