Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พาชมความขลังของสำนักวัดเขาอ้อ จังหวัดพัท

พาชมความขลังของสำนักวัดเขาอ้อ จังหวัดพัท

Published by Guset User, 2021-09-20 06:49:45

Description: พาชมความขลังของสำนักวัดเขาอ้อ จังหวัดพัท

Search

Read the Text Version

วั เ ที่ ย ว า อ้ อ ดเข สำ นั ก ตั ก ศิ ล า แ ห่ ง ไ ส ย เ ว ท ย์ ที่ สุ ด ข อ ง ภ า ค ใ ต้ พัทลุง ห มู่ ที่ 3 บ้ า น เ ข า อ้ อ ตำ บ ล ม ะ ก อ ก เ ห นื อ อำ เ ภ อ ค ว น ข นุ น จั ง ห วั ด พั ท ลุ ง

let's go ...

สำนั กตักศิลา ไสยเวทย์ ที่สุดของภาคใต้



วัดเขาอ้อ เมื่อกล่าวถึงแหล่งท่องเที่ยวทางศาสนาในพัทลุงแล้ว ชื่อ วัดเขาอ้อ ต.มะกอกเหนื อ อ.ควนขนุน ย่อมต้องโดดเด่นขึ้นมาเป็นที่หนึ่ งอย่างแน่ นอน ด้วยเหตุผลว่าวัดเขาอ้อคือศูนย์ รวมของสรรพวิทยาการหลากหลายแขนงมานานหลายร้อยปีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นไสยเวทย์ คาถาอาคม ยาสมุนไพรนานาชนิ ด ฯลฯ ก็ล้วนได้รับการคิดค้นสืบสานส่งต่อกันมาจาก บูรพาจารย์วัดเขาอ้อในอดีตจนวัดแห่งนี้ ได้รับการขนานนามให้เป็น สำนั กเขาอ้อ หรือ สำนั กตักศิลามหาเวทย์แห่งปักษ์ใต้ ภาพที่ 1 ภาพมุมสูงวัดเขาอ้อ ที่มา: https://www.mokkalana.com/736/



สารบัญ เรื่อง หน้ า เตรียมตัวเดินทาง 1-2 ประวัติวัดเขาอ้อ 3-4 ตำนานวัดเขาอ้อ 5-10 11 แผนพับประชาสั มพันธ์ 12 ทำเลที่ตั้ง สถานที่สำคัญ 13 14 พระอุโบสถ 15 กุฎิทรงเรือนไทย - ถ้ำฉัททันต์บรรพต 16 พระเจดีย์ - สถูป พระพุทธไสยาสน์ - รางแช่ว่านยา 17 พิธีกรรม 18 พิธีกรรมกินว่านยา 19 พิธีกรรมแช่ว่านยา 20 พิธีกรรมกินข้าวเหนี ยวดำ 21-22 พิธีกรรมกินน้ำมันงาดิบ 23-24 วัตถุมงคล จุดชมวิว บรรณานุกรม

1 เตรียมตัว เ ดิ น ท า ง การเดินทางไปยังวัดเขาอ้อ แนะนำให้เลือกเดินทางโดยรถส่ วนตัวหรือรถเช่าในการเดินทาง ก่อนขับรถ เมื่อทำการเลือกรถที่จะเช่า หรือรถส่วนตัว ควรตรวจสอบความเรียบร้อย ของรถเช่าทั้งภายในและภายนอกรวมไปถึงเครื่องมือพื้นฐาน อาทิ แม่แรงยาง อะไหล่ ประแจ ที่มีอยู่ภายในรถ อย่าลืมรัดเข็มขัดนิ รภัยให้เรียบร้อย การเดินทาง การเดินทางไปวัดเขาอ้อ สามารถเดินทางได้ 2 เส้นทาง จากสถานี ขนส่งผู้โดยสารจังหวัดพัทลุง ไปทางทิศเหนื อตามถนนสายเอเชีย หมายเลข 41 ระยะทางประมาณ 17 กิโลเมตร ถึงสี่แยกโพธิ์ทองเลี้ยวขวาไปทาง ทิศตะวันออก ถนนสายควนขนุน-ทะเลน้ อย ระยะทาง 7 กิโลเมตร ถึงบ้านปาก คลองเลี้ยวซ้ายไปตามถนนลาดยางเลียบทางรถไฟ ไปทางทิศเหนื อประมาณ ๒ กิโลเมตรก็จะถึงวัดเขาอ้อ จากสถานี รถไฟจังหวัดพัทลุงไป ทางทิศเหนื อตามถนนทางหลวงหมายเลข 4047 ถนนอภัยบริรักษ์ ระยะทางประมาณ 22.3 กิโลเมตร นั่ งรถไฟไปเรื่อย ๆ จะผ่านถนนหมายเลข 4001 ผ่านวัดสำเภาใต้,วัดสำเภาเหนื อ นั่ งไปจนเจอทาง แยกแล้วแยกไปทางซ้าย นั่ งไปอีกนิ ดจะผ่านทางแยกที่จะต้องแยกไปทางซ้ายอีก ครั้งนึ ง จะถึงสถานี บ้านปากคลอง ถนนทางหลวงหมายเลข 3095 สามารถลง รถได้ที่สถานี บ้านปากคลองแล้วนั่ งวินมอเตอร์ไซค์เข้าไปตามถนนลาดยางเลียบ ทางรถไฟ มุ่งหน้ าไปทางทิศเหนื อประมาณ 2 กิโลเมตรก็จะถึงวัดเขาอ้อ

2 แผนที่การเดินทาง : จากสถานี ขนส่งผู้โดยสารจังหวัดพัทลุงไปยังวัดเขาอ้อ แผนที่การเดินทาง : จากสถานี รถไฟจังหวัดพัทลุงไปยังวัดเขาอ้อ เบอร์ติดต่อ ที่จอดรถ(มีที่จอดรถ) วัดเขาอ้อ 097-140-3941 Wi-Fiไม่มี Wi-Fi บริการ สถานี ขนส่งผู้โดยสารจังหวัดพัทลุง ATM 074-6131-06,1690 สั ญญาณโทรศั พท์ สถานี รถไฟพัทลุง 074-612567 รองรับผู้ใช้เก้าอี้รถเข็น ร้านขายของฝาก ห้องน้ำ สั ตว์เลี้ยงเข้าได้

3 ประวัติวัดเขาอ้อ วัดเขาอ้อแต่เดิมเป็นสำนั กเขาอ้อซึ่งเป็นสำนั กทิศาปาโมกข์(ผู้เป็นหัวหน้ าหรือ อาจารย์ผู้ให้ความรู้) แบบเดียวกันกับในประเทศอินเดีย สำนั กเขาอ้อก่อตั้งขึ้นก่อนปี พ.ศ.800 ผู้ก่อตั้งคือพราหมณ์ผู้ทรงเวทย์ที่เดินทางมาจากประเทศอินเดีย เป็นยุคที่ เรียก \"ดราวิเลียนยาตรา” คือยุคสมัยที่ศาสนาพราหมณ์เริ่มเคลื่อนไหวออกจาก ประเทศอินเดียเพื่อจะขยายฐานศรัทธาของศาสนาพราหมณ์ อันเป็นผลเนื่ องจาก ศาสนาพุทธที่กำลังมาแรงในประเทศอินเดีย ทำให้ศาสนสถานของพราหมณ์หลาย แห่งต้องกลายมาเป็นศาสนสถานของศาสนาพุทธ เช่นวัดต่าง ๆ ในเขตเมือง นครศรีธรรมราช ศาสนาพุทธได้เริ่มมาตั้งมั่นในเมืองนครศรีธรรมราชราวปี พ.ศ.800 ตามหลักฐานระบุว่าศาสนาพราหมณ์เดินทางมาก่อน มีบันทึกชื่อสำนั กเขาอ้อในหนั งสือโบราณเล่มหนึ่ งที่อยู่ในห้องสมุดของ มหาวิทยาลัยพาราณสีในประเทศอินเดีย ค้นพบโดย \"เวทย์ วรวิทย์” อดีตมหา เปรียญผู้ผ่านการศึกษาเกี่ยวกับประวัติพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง ในบันทึกมี ใจความว่า แต่เดิมสำนั กเขาอ้อเป็นสำนั กทิศาปาโมกข์ คือเป็นที่บำเพ็ญพรตของ พราหมณ์ผู้ทรงวิทยาคุณทำหน้ าที่ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่เชื้อพระวงศ์ หรือวรรณะ กษัตริย์ และลูกหลานผู้นำ เพราะพราหมณ์เป็นชนชั้นรักสงบ มีธาตุแห่งความ ประนี ประนอมสูง

4 และยังมีเรื่องพิธีกรรม ฤกษ์ยาม การจัดทัพตามตำราพิชัยสงครามตลอดไป ถึงไสยเวทย์การสืบทอดวิชาในสำนั กเขาอ้อได้ดำเนิ นมาจนกระทั่งถึงพราหมณ์รุ่น สุดท้ายท่านได้เล็งเห็นถึงสถานการณ์ ว่าไม่สามารถที่จะต้านกระแสศรัทธาของ ศาสนาพุทธได้แน่ แล้วจึงคิดหลอมสำนั กเขาอ้อเข้ากับศาสนาพุทธและกลัวว่าจะไม่มี ผู้ใดรับสืบทอดวิชาและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งต่อมาพราหมณ์ผู้บรรลุพระเวทย์หลาย ท่านได้ฝังร่างไว้ที่นี่ และถูกปล่อยให้รกร้างประกอบกับขณะนั้ นอิทธิพลทางพระพุทธ ศาสนาได้แผ่เข้ามาถึงตัวจังหวัดพัทลุงแล้วจึงได้ตัดสินใจนิ มนต์พระรูปหนึ่ งมาจาก วัดน้ำเลี้ยว \"วัดน้ำเลี้ยวปัจจุบันเป็นวัดร้างหมดสภาพความเป็นวัดแล้ว” มีนามว่า \"พระอาจารย์ทอง” ให้มาอยู่ในถ้ำแทนและมอบคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของบูรพาจารย์ พราหมณ์พร้อมถ่ายทอดวิชาให้และมอบสำนั กให้กลายเป็นที่พักสงฆ์จึงกลายมาเป็น \"วัดเขาอ้อ\" ต่อมาในปี พ.ศ.2284 พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระพุทธรูปหล่อสำริด 1 องค์ และหล่อด้วยเงิน 1 องค์แก่วัดเขาอ้อ สร้างโดยเชื้อพระวงศ์ที่เคยมาศึกษาวิทยาการที่สำนั กเขาอ้อมีนามว่า \"เจ้าอิ่ม กับ เจ้าฟ้ามะเดื่อ” ในสมัยพระมหาอินทราช(สมเด็จพระอินทราชาเจ้าเป็นพระราชโอรส ในสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1) ท่านได้ทำการบูรณะพระพุทธรูปในถ้ำ 10 องค์ แทนพระบารมี 10 ทัดของพระพุทธองค์ สร้างอุโบสถขึ้น 1 หลัง สร้างพระพุทธบาท จำลอง พระพุทธไสยาสน์ 1 องค์ พร้อมด้วยมณฑปไว้บนเขาอ้อ และสร้างเจดีย์ไว้ บนเขาอ้อ 3 องค์ แล้วท่านก็ไปจากวัดเสีย ต่อมาปะขาวขุนแก้วเสนาและขุนศรีสมบัติ พร้อมกับชาวบ้านใกล้เคียงไปนิ มนต์พระมหาคงให้มาอยู่ต่อที่วัด ต่อมาก็มีเจ้าอาวาส ปกครองวัดเขาอ้อต่อกันมาหลายสิ บรู ปล้วนแต่มีความเชี่ยวชาญทางไสยเวทย์มีชื่อ เสี ยงโด่งดังไปทั่วภาคใต้ ข้อมูลจาก : กระทรวงวัฒนธรรม

5 ตำนานวัดเขาอ้อ วัดเขาอ้อ ตั้งอยู่เลขที่ 1 บ้านเขาอ้อ หมู่ที่ 3 ตำบลมะกอกเหนื อ อำเภอ ควนขนุน จังหวัดพัทลุง สังกัดคณะสงฆ์มหานิ กาย พื้นที่ตั้งวัดเป็นที่ราบลุ่มและเนิ นเขา อาคารเสนาสนะต่าง ๆ มี อุโบสถกว้าง 15 เมตร ยาว 20 เมตร สร้างพ.ศ.2517 ศาลาการเปรียญกว้าง 20 เมตร ยาว 25 เมตร สร้างพ .ศ.2521 กุฏิสงฆ์จำนวน 6 หลัง โครงสร้างเป็นอาคารไม้มีกุฏิสงฆ์ 3 หลัง สร้างสมัยอาจารย์ทองเฒ่า มี 2 องค์ และโบราณวัตถุที่เป็นเครื่องใช้ เช่น จานและ ถ้วยฮอลแลนด์ ชามอ่างจีนลายสาหร่าย ถ้วยเบญจรงณ์นรสิงห์ พานพระศรี พระธรรมโรง กาและขันน้ำทองเหลือง วัดเขาอ้อ สร้างขึ้นเป็นวัดประมาณพ.ศ.1651 เดิมเรียกว่า “ วัดประดู่หอม ” ได้เปลี่ยนนามวัดเป็น “วัดเขาอ้อ” ในสมัยของพระครูสังฆวิจารณ์ฉัตรทันต์ บรรพต เป็นเจ้าอาวาสได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาตั้งแต่พ.ศ.1661 เขต วิสุงคามสีมากว้าง 15 เมตร ยาว 20 มีโรงเรียนประถมศึกษาตั้งอยู่ด้วย โดยมี พระครูปาล ปาลธมฺโม ดำเนิ นการจัดสร้างขึ้น รายชื่อเจ้าอาวาสวัดเขาอ้อที่พอนั บได้ มี 11 รูปคือรูปที่ 1 อาจารย์ทอง รูปที่ 2 สมเด็จเจ้าจอมทอง รูปที่ 3 อาจารย์พรหมทอง รูปที่ 4 อาจารย์ลงไชยทอง รูปที่ 5 สมภารทอง รูปที่ 6 สมภารทองในถ้ำ รูปที่ 7 สมภารทองหน้ าถ้ำ รูปที่ 8 สมภารทองหูยาน รูปที่ 9 พระครูสังฆวิจาณ์ฉัททันต์บรรพตถึงพ.ศ.2470 รูปที่ 10 พระครูปาล ปาลธมฺโม ถึงพ.ศ.2520 รูปที่ 11 พระใบฏิกากลั่น อคฺคธมฺโม ถึง พ.ศ.2549

6 ความเป็นมาของวัดจากพงศาวดารและจากบันทึกของพระอาจารย์เจ้าของ ตำรา พระอาจารย์ทุกองค์ในสำนั กวัดเขาอ้อมีความรู้ความสามารถในทาง ไสยศาสตร์และเป็นสำนั กที่สอนวิชาความรู้ทางไสยศาสตร์ให้แก่ชนทุกชั้นตั้งแต่ ชั้นเจ้าเมืองและนั กรบมาตั้งแต่ครั้งโบราณ เริ่มมาแต่สมัยศรีวิชัยตลอดมาถึง กรุงรัตนโกสินทร์ พระอาจารย์ที่ปรากฏองค์แรก คือพระอาจารย์ทอง ในสมัยนั้ น ทางฟากตะวันออกของทะเลสาบ ตรงกับวัดพระเกิด ต. ฝาละมี อ.ปากพะยูนใน ปัจจุบัน ตามพงศาวดารเมืองพัทลุงกล่าวว่า มีตายาย 2 คน ตาชื่อ ตาสามโม ยาย ชื่อยายเพชร ตายายมีบุตรและธิดาบุญธรรมอยู่สองคน ผู้ชายชื่อกุมารและผู้หญิง ชื่อเลือดขาว นางเลือดขาวเป็นอัจฉริยมนุษย์ มีลักษณะพิเศษคือมีสีตัวเป็นสีขาว ต่างจากบุคคลธรรมดา ตาสามโมเป็นนายกองช้างมีหน้ าที่จับช้างเลี้ยงถวาย พระยากรุงทอง(เจ้าเมืองสทิงพระ) ปีละหนึ่ งเชือก เมื่อบุตรธิดาทั้งสองเจริญวัย ตายายจึงนำไปฝากให้พระอาจารย์ทองวัดเขาอ้อสอนวิชาความรู้ พบบันทึกใน ตำราว่าเริ่มนำตัวไปถวายพระอาจารย์ทองเมื่อวันพฤหัสบดีปีกุน เดือน 8 ขึ้น 15 ค่ำ จุลศักราช 301 (พ.ศ.1482) จะศึกษาอยู่นานเท่าไรไม่ปรากฎ แต่ทราบว่าเป็นผู้มี วิชาความรู้ อยู่ยงคงกระพัน กำบังตัวหายตัวและวิชาอื่น ต่อมาตายายให้บุตรทั้ง สองแต่งงานกัน พระยากรุงทองโปรดให้เป็นเจ้าเมือง ชื่อพระกุมารและนางเลือด ขาว ตั้งเมืองอยู่ที่บางแก้วฝั่ งทะเลสาบตะวันตก ชื่อเมืองลุง ได้สร้างวัดและเจดีย์ วัดตะเขียน(วัดเขียนบางแก้ว อ. เขาชัยสน จ. พัทลุง) การให้ชื่อว่า เมืองลุง อาจจะ เป็นเพราะว่าเดิมเป็นที่หลักล่ามช้าง ต่อมาจึงกลายเป็น เมืองพัทลุง พระกุมารและ นางเลือดขาวได้สร้างวัด พระพุทธรูป พระเจดีย์ในเขตเมืองพัทลุง เมือง นครศรีธรรมราชและเมืองตรังหลายแห่ง เช่นวัดเขียนบางแก้ว วัดสทังใหญ่ เมื่อ พ.ศ.1493 สร้างวัดพระพุทธสิหิงค์ จังหวัดตรัง 1 วัด (ในพงศาวดารฉบับหนึ่ ง กล่าวว่าสมัยเจ้าไสยณรงค์เป็นเจ้ากรุงสุโขทัยเมื่อปีพ.ศ.1500 สร้างพระพุทธรูป ปางบรรทม 1 องค์ พอจับเค้าได้ว่าวัดเขาอ้อนี้ มีมาก่อนเมืองพัทลุงเพราะกุมาร ศึกษาวิชาความรู้มาก่อนเป็นเจ้าเมือง เมื่อจุลศักราช 991 พ.ศ.2171 พระสามี ราม วัดพะโคะ (หลวงพ่อทวด วัดช้างให้) ในสมัยนั้ นประชาชนยกย่องถวายนามว่า สมเด็จเจ้าพะโคะ (เป็นพระ ญาติวงศ์กับสมเด็จพระนารายณ์) ท่านได้ไปเรียนพระปริยัติธรรม ณ กรุง ศรีอยุธยาเป็นผู้แตกฉานในอรรถธรรม ครั้งนี้ ยังมีพราหมณ์เป็นนั กปราชญ์จาก ประเทศสิงหลมาตั้งปริศนาธรรมแสนยาก พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาโปรดให้พระสาม รามเถระแก้ปัญหาธรรมนั้ น ๆ จนชนะพราหมณ์ชาวสิงหลจึงพระราชทานยศถา บรรดาศักดิ์เป็นพระราชมุนี ในสมัยนั้ น มีสมเด็จอยู่ด้วยกัน 4 องค์ คือสมเด็จเจ้า พะโคะ สมเด็จเจ้าจอมทอง สมเด็จเจ้าเกาะยอ สมเด็จเจ้าเกาะใหญ่ เมื่อกลับมา เมืองพัทลุง ได้ก่อสร้างพระเจดีย์บรรจุพระรัตนมหาธาตุ ไว้บนเขาพะโคะ สูง 1 เส้น 5 วา มีระเบียบล้อมรอบพระเจดีย์

7 ตามตำนานเล่าสืบต่อมาว่า ครั้งฉลองเจดีย์นั้ น ท่านพระอาจารย์เฒ่าวัด เขาอ้อ พัทลุง องค์หนึ่ งชื่อสมเด็จเจ้าจอมทอง ซึ่งคงจะเป็นเช่นเดียวกันกับ สมเด็จเจ้าพะโคะ นำพุทธบริษัทไปงานฉลองพระเจดีย์ทางเรือใบแสดง อภินิ หารวิ่งเรือใบเลยขึ้นไป ถึงเขาพะโคะซึ่งไกลจากทะเลมากทำให้ประชาชน เชื่อในอภินิ หารเคารพนั บถือ และปัจจุบันสถานที่ตรงนั้ นเรียกกันว่าที่จอดเรือ ท่านอาจารย์วัดเขาอ้อ ต่อมาท่านสมเด็จพะโคะให้คนกวนเหนี ยวด้วยน้ำตาลโตนด ภาษาภาคใต้ เรียกว่า “เหนี ยวกวน” ทำเป็นก้อนยาวประมาณ 2 ศอก โตเท่าขาให้นำไปถวาย สมเด็จเจ้าจอมทองวัดเขาอ้อครั้นถึงเวลาฉัน ท่านสมเด็จเจ้าจอมทองสั่งให้เด็ก วัดผ่าแบ่งถวายพระ ตลอดถึงพระก็ไม่มีใครที่จะแบ่งได้ เอามีดมาฟันเท่าใดก็ไม่ เข้าทราบถึงสมเด็จเจ้าจอมทอง ท่านสั่งให้เอามาแล้วท่านเอามือลูบแล้วสั่งให้ ศิษย์แบ่งถวายพระองค์ย่างข้าวเหนี ยวธรรมดา อยู่มาวันหนึ่ ง สมเด็จเจ้าจอมทองให้พระนำแตงโมใบใหญ่ 2 ลูกไปถวาย สมเด็จพะโคะเด็กวัดนำมีดไปผ่า แต่ผ่าไม่ออก สมเด็จพะโคะทราบเข้าหัวเราะ ชอบใจพูดขึ้นว่า สหายเราคงแสดงฤทธิ์แก้มือเราท่านรับแตงโมแล้วลูบด้วยมือ ของท่านเองออกเป็นชิ้น ๆ ถวายพระแสดงอภินิ หารของพระอาจารย์ครั้ง โบราณฌานกีฬาประเภทหนึ่ งซึ่งมีมาก จากนั้ นพระอาจารย์วัดเขาอ้อทุก ๆ องค์ ได้แสดงอิทธิฤทธิ์เป็นอัศจรรย์ตลอดมา จึงเป็นที่เคารพนั บถือของบุคคลทุก ชนชั้นเจ้าเมืองหัวเมืองภาคใต้และเจ้าเมืองพัทลุงทุกคนต้องไปเรียนวิชาความรู้ ที่วัดเขาอ้อ ปัจจุบันก็มีการศึกษากันอยู่ถึงแม้พระอาจารย์สำคัญสิ้นบุญไปตาม สั งขารทิ้งไว้แต่บุญบารมีคุณงามและความดีอยู่จนชั่วลูกหลาน ความรู้ทางเวทมนต์คาถาที่พระอาจารย์วัดเขาอ้อได้สืบต่อกันมา ตำรา ความรู้ที่เป็นหลักคือ พระอาจารย์สำนั กเขาอ้อ เริ่มต้นตั้งแต่ธาตุหนึ่ งถึงธาตุห้า แม่ธาตุใหม่ โดยมีปะขาวขุนแก้วเสนา ขุนศรีสมบัติ เป็นหัวหน้ าฝ่ายคฤหัสถ์ ช่วยกันซ่อมแซมพระพุทธรูปในถ้ำหนึ่ งองค์ซึ่งปรักหักพัง เสร็จแล้วก็ดำเนิ น การก่อสร้างเสนาสนะอื่น ๆ จนเป็นที่พักสงฆ์อาศัยอยู่ได้ ต่อมาเมื่อได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา พระมหาอินทราชกับคณะดัง กล่าวได้จัดสร้างอุโบสถขึ้น ซึ่งสมัยนั้ นเป็นยุคของกรุงศรีอยุธยาพ.ศ.2242 ตรงกับแผ่นดินพระเจ้าเสื อโปรดเกล้าให้ออกหลวงเพชรกำแพง(ตาขุนเพชร) ออกมาเป็นเจ้าเมืองพัทลุง พระครูอินทรเมาฬีศรีญาณสาครบวรนนทราชจุฬา มุณีศรีอุประดิษเถระ (พระมหาอินทราช) คณะป่าแก้วเมืองพัทลุงได้เลิก พระศาสนา

8 ในคราวสร้างพระอุโบสถนั้ น ปะขาวขุนแก้วเสนาได้มีหนั งสือขอ พระราชทานคุมเลข (คุมบัญชีการเงิน) ยกเว้นการใช้งานหลวงต่าง ๆ ถวายให้ แก่วัดเพื่อช่วยเหลือในการสร้างอุโบสถ 5 คน คือ นายเพ็ง นายนั ด นายคง และนายกุมาร ได้ช่วยกันสร้างอุโบสถจนเสร็จเรียบร้อย แล้วมีหนั งสือบอก ถวายพระราชกุศลให้ทรงทราบทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน พระพุทธรูปหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์องค์หนึ่ ง ชาวบ้านเรียกว่า “เจ้าฟ้าอิ่ม” และ หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ปนเงินอีกองค์หนึ่ ง ชาวบ้านเรียกว่า“เจ้าฟ้าดอกมะเดื่อ” ส่งไปประดิษฐานที่วัดเขาอ้อในพ.ศ.2242 สมัยอยุธยา โดยพระยาราชบังสัน มหันสุริยา ได้รับการโปรดเกล้าให้ลงมารักษาการผู้สำเร็จราชการเมืองพัทลุง ได้นำพระพุทธรูปจัดส่งมาจากกรุงศรีอยุธยาโดยมาทางเรือ ผ่านเข้ามาทาง คลองปากประ เมื่อมาถึงท่าเรือบ้านปากคลอง ได้นำพระพุทธรูปขึ้นพักที่ศาลา ท่าเรือจัดพิธีสมโภชน์ เป็นการใหญ่ ศาลานี้ เรียกชื่อว่า“ศาลาพักพระ”และส่งไป ประดิษฐานไว้วัดเขาอ้อ ต่อจากนั้ นพระมหาอินทราช พร้อมด้วยสัตบุรุษ ทายก ได้จ้างช่างเขียนลายลักษณ์พระพุทธบาททำมณฑปกว้าง 5 วา สูง 6 วา ขึ้นบน ไหล่เขาอ้อ เป็นที่ประดิษฐานลายลักษณ์พระพุทธบาท ต่อมาพระมหาอินทราช เห็นว่าลายลักษณ์ที่ช่างเขียนไม่ถาวรจึงพร้อมด้วยขุนศรี สมบัติ เรี่ยไรเงินจาก ผู้มีจิตศรัทธาได้เงิน 10 ตำลึง ตราสังข์ (40บาท) จัดซื้อดีบุกจ้างช่างเขียนแผ่น ยาง 3 ศอก กว้าง 1 คืบ ให้ช่างสลักลายพระพุทธบาท ประดิษฐานไว้ในมณฑป แทนรูปลายลักษณ์พระพุทธบาทที่เขียนประดิษฐานไว้แต่คราวก่อนนั้ นแล้ว จัดการสร้างพระพุทธไสยาสน์ ด้วยอิฐถือปูนขึ้นไว้ภายในพระมณฑป พระพุทธบาทองค์หนึ่ งด้วย มีขนาด 5 วา และสร้างพระเจดีย์ไว้บนไหล่เขา ข้างมณฑรวม 3 องค์ เมื่อสร้างพระพุทธบาทสำเร็จแล้วนั้ น พระมหาอินทราชได้ บอกถวายพระราชกุศลให้ทรงทราบ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทาน ที่ดิน กัลปนา สำหรับวัดเขาอ้อ คือ ทิศบูรพา 30 เส้น ทิศอาคเณย์ 30 เส้น และทิศหรดี 30 เส้นเพื่อให้อากรค่านามาบำรุงวัด ส่วนพระมหาอินทราชเมื่อ ได้สร้างพระพุทธไสยาสน์ และพระเจดีย์เสร็จแล้วก็ไปเสียจากวัด พระสงฆ์องค์ อื่น ๆ ก็อพยพไปบ้างและคนวัดทั้ง 5 คน ซึ่งปะขาวขุนแก้วเสนาได้เคยขอ พระราชทานคุมเลขไว้ก็กลับถูกพนั กงานกรมการสัสดีเรียกตัวไปใช้งานหลวง เสียทุกคนไม่มีผู้จะช่วยเหลือบำรุงวัด วัดก็เสื่อมลงอีกคราวหนึ่ ง ครั้นต่อมาปะขาวขุนแก้วเสนาและขุนศรีสมบัติพร้อมด้วยชาวบ้านแถว บริเวณวัด ได้ไปนิ มนต์พระมหาคงแขวงเมืองนครศรีธรรมราชมาเป็นเจ้าอาวาส วัดต่อไป แล้วขอให้ราชการได้ช่วยอนุเคราะห์แก่วัดให้เป็นไปตามเดิม อย่าให้ เจ้าเมืองกรมการผู้ใดไปเรียกเอาคนวัดมาใช้งานโยธาอีกต่อไปจากสารตรา ฉบับนี้ พอทราบได้ว่าวัดเขาอ้อเป็นวัดที่เก่าแก่มาตั้งแต่ครั้งโบราณวัดหนึ่ ง หลังจากพระมหาอินทราชเป็นเจ้าอาวาสแล้ววัดนี้ ไม่เคยรกร้านอีกเลย

9 ต่อมาถึงสมัยของสมภารทองหูยาน มาถึงสมัยของท่านปรากฎชื่อของวัด เปลี่ยนไป มาเรียกว่าวัดประดู่หอม เมื่อท่านสมภารทองหูยานมรณภาพแล้ว ท่านทองเฒ่า (อาจารย์ทอง) ได้เป็นเจ้าอาวาสต่อมาจนได้รับสมณศักดิ์เป็น พระครูสังฆพิจารณ์ฉัททันต์บรรพต เพราะมีความรู้ทางไสยศาสตร์มาก เป็นเจ้าคณะตำบลและพระอุปัชฌาย์แล้วเปลี่ยนชื่อวัดประดู่หอมมาเป็น วัดเขาอ้อ จนมาถึงปัจจุบันนี้ สมภารทองเฒ่าได้สร้างกุฏิขึ้น 3 หลัง ซึ่งจัดว่า เป็นโบราณวัตถุและศิลปะวัตถุซึ่งปัจจุบันนี้ กำลังจะทรุดโทรม และได้สร้าง ศาลาการเปรียญขึ้น 1 หลัง โรงครัว 1 หลัง ซึ่งปัจจุบันไม่มีแล้ว เมื่อท่านพระครู สังฆพิจารณ์ฉัททันต์บรรพตได้มรณภาพแล้ว ท่านพระครูปาน ปาลธมฺโม ได้ เป็นเจ้าอาวาสต่อมาได้บูรณะบ่อน้ำ จัดสร้างรางแช่ยาบนไหล่เขาอ้อในถ้ำและ โรงเรียนประชาบาลขึ้นหนึ่ งหลังซึ่งมีมาถึงยุคปัจจุบัน ในสมัยของเจ้าอาวาสหลวงพ่อกลั่น (พระครูอดุลธรรมกิตติ์) ในสมัยนี้ วัด เขาอ้อยังคงพบวัตถุโบราณที่มีเหลืออยู่คือมีพระพุทธรูปยืน 2 องค์ คือ “เจ้าฟ้า อิ่ม” และเจ้าฟ้าดอกมะเดื่อ” มีสภาพที่สมบูรณ์ ส่วนพระพุทธรูปในถ้ำ พระพุทธไสยยาสน์ พระพุทธบาทพระเจดีย์และมณฑป ปัจจุบันได้ทรุดโทรม หมด ดั้งนั้ นสมัยหลวงพ่อกลั่นได้เริ่มบูรณะตั้งแต่อุโบสถ มณฑปลายลักษณ์ พระพุทธบาทจำลอง เจดีย์ สถานที่บรรจุพระธาตุอรหันต์ที่ประดิษฐ์อยู่บนเขา กุฏิที่อาศัยต่าง ๆ จนเรียบร้อยจากนั้ นหลวงพ่อกลั่น(พระครูอดุลธรรมกิตติ์)ได้ มรณภาพในวันที่ 13 เมษายน พ.ศ.2549 หลังนั้ นยังมีการบูรณะสิ่งที่ยังค้างคา อยู่ที่ท่านยังดำเนิ นการยังไม่เสร็จคืองานบูรณะถ้ำฉัททันต์บรรพต ท่านได้มอบ หมายไว้กับพระอาจารย์ไพรัตน์ เป็นผู้สานเจตนารมณ์ต่อในการพัฒนาถ้ำฉัตร ทันต์บรรพต ข้อมูลจาก : หนั งสือเก่าในภายในวัดเขาอ้อ และเพิ่มเติมข้อมูลส่วนปัจจุบัน จากคณะศิษย์โครงการแสงเทียนแห่งความฝัน

10 ภาพที่ 2. พระพุทธรูปสำริด ปางประทานอภัย (เจ้าฟ้าอิ่ม) ที่มา: Page Facbook : แต่ปางก่อน..สิงหนครบ้านเรา เ จ้ า ฟ้ า อิ่ ม เ จ้ า ฟ้ า ด อ ก ม ะ เ ดื่ อ ภาพที่ 3. พระพุทธรูปสำริด ปางประทานอภัย (เจ้าฟ้าดอกมะเดื่อ) ที่มา: Page Facbook : แต่ปางก่อน..สิงหนครบ้านเรา

11 ภาพที่ 4. แหล่งท่องเที่ยวชุมชนท่องเที่ยว จังหวัดพัทลุง ที่มา Page Facbook : เที่ยวพัทลุง

12 ทำเลที่ตั้ง สำนั กเขาอ้อ เป็นศาสนสถานที่สำคัญแห่งหนึ่ งในท้องถิ่นพัทลุง ตั้งอยู่บน ชายฝั่ งตะวันตกของทะเลสาบสงขลา บริเวณใกล้ ๆ ตั้งอยู่บนเส้นทางรถไฟสายใต้และ ติดกับทางด้านทิศใต้ของภูเขาหินปูน ที่เรียกว่า เขาอ้อ ณ ท้องที่หมู่ 3 บ้านเขาอ้อ ตำบล มะกอกเหนื อ อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง 93150 หรือบริเวณพิกัด 177570 (E: 177/N 570) ห่างจากสถานี รถไฟปากคลองตามทางหลวงชนบท สายตลาดปากคลอง-เขาอ้อ ประมาณ 2 กิโลเมตร ห่างจากที่ว่าการอำเภอควนขนุนตาม ทางหลวงชนบท สายตลาดปากคลอง-เขาอ้อ และทางหลวงจังหวัดหมายเลข 4048(พัทลุง-ทะเลน้ อย) ประมาณ 9 กิโลเมตรและห่างจากศาลากลางจังหวัดพัทลุง ตามทางหลวงชนบทและทางหลวงจังหวัดดังกล่าวประมาณ 29 กิโลเมตร โดยมี อาณาเขตติดต่อกับพื้นที่ใกล้เคียง ดังนี้ ทิศเหนื อ ติดต่อกับตำบลปันแต อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ทิศใต้ ติดต่อกับตำบลชัยบุรี อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง ทิศตะวันตก ติดต่อกับตำบลควนขนุน อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ทิศตะวันออก ติดต่อกับตำบลพนางตุง อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง สภาพภูมิประเทศพัทลุง สภาพพื้นที่มีลักษณะเป็นภูเขาและที่ราบสูง ทางด้านตะวันตกอันประกอบด้วย เทือกเขาบรรทัด มีระดับสูงจาก น้ำทะเลปานกลาง ประมาณ 50 - 1,000 เมตร ส่วน ใหญ่เป็นป่าไม้ เช่น สวนยางพารา สวนไม้ผลและไม้ยืนต้น ถัดลงมาทางด้านตะวันออก เป็นที่ราบสลับที่ดอน มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางเฉลี่ย 0 - 15 เมตร บริเวณนี้ ส่วนใหญ่ปลูกข้าว ยางพารา มะพร้าว พืชผัก และพืชไร่ชนิ ดต่าง ๆ โดยมีอัตรา ความลาดชัน 1 : 1,000 จากทิศตะวันตกมาสู่ทิศตะวันออกของจังหวัด ข้อมูลจาก : วิจัยตามรอยสำนั กเขาอ้อ สรรพยาบรรพตปักษ์ใต้ สารูป ฤทธิ์ชู และคณะ เที่ยว วัดเขาอ้อ พัทลุง

13 สถานที่สำคัญ 1. พระอุโบสถ จากสารตราของเจ้าพระยานครศรีธรรมราชในปีพ.ศ.2284 ระบุว่า พระมหาอินทราชและสั ปบุรุ ษได้สร้างพระอุโบสถขึ้นโดยขอพระราชทานคุมเลข ยกเว้นการใช้งานหลวงต่าง ๆ มาถวายวัด เมื่อทำอุโบสถเสร็จแล้วก็มีหนั งสือบอก ถวายพระราชกุศลให้ทรงทราบทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานพระพุทธรูปเจ้าฟ้าอิ่ม เจ้าฟ้าดอกมะเดื่อ มาประดิษฐานที่สำนั กวัดเขาอ้อ พระพุทธดังกล่าวยังมีปรากฏอยู่เป็นหลักฐานอยู่ทุกวันนี้ การสร้างพระอุโบสถในยุคนี้ สันนิ ษฐานจากสภาพแวดล้อมแล้วคงจะเป็นพระ อุโบสถทรงโถง เปิดโล่งด้านหน้ าและด้านข้างทั้ง 2 ด้าน ตามแบบสถาปัตยกรรม โบราณของภาคใต้ที่ในปัจจุบันยังมีให้เห็นอยู่ เมื่ออาคารพระอุโบสถชำรุด เนื่ องจาก องค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นไม้และมีการสร้างใหม่หลายครั้ง ต่อมาประมาณ ปีพ.ศ.2458 พระอาจารย์ทองเฒ่าได้บูรณะพระอุโบสถขึ้นมาใหม่ ต่อมาไม่นานก็ ชำรุดอีกจึงได้เปลี่ยนเป็นพระอุโบสถก่ออิฐถือปูนในพ.ศ.2518 ภาพที่ 5.ด้านข้างของพระอุโบสถ ภาพที่ 6.ด้านหน้ าของพระอุโบสถ ที่มา: https://clib.psu.ac.th/southerninfo/content/1/7d65d8b4 ที่มา: https://clib.psu.ac.th/southerninfo/content/1/7d65d8b4 ข้อมูลจาก : วิจัยตามรอยสำนั กเขาอ้อ สรรพยาบรรพตปักษ์ใต้ สารูป ฤทธิ์ชู และคณะ

14 2. กุฏิทรงเรือนไทยภาคใต้ เป็นกุฏิทรงเรือนไทยโบราณที่เป็นเอกลักษณ์ของภาคใต้ กล่าวกันว่า สร้างขึ้น ในสมัยพระครูสังฆพิจารณ์ฉัททันต์บรรพต (ทองเฒ่า) ดำรงตำแหน่ งเป็นเจ้าอาวาส ตรง กับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีอายุประมาณ 100 กว่าปีมาแล้ว เป็นลักษณะเรือนไทยยกสูง โดยมีหลังคาทรงจั่วมีความลาดเทสูง มีฝาปิดทุกด้าน มีบาน หน้ าต่างแคบ ๆ มุงกระเบื้องดินเผา ในช่วงที่ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนื อพัดจาก ทะเลจีนใต้เข้าสู่อ่าวไทยมาปะทะฝั่ งตะวันออกของภาคใต้จะมีฝนตกชุก การมุงหลังคาจึง เกี่ยวข้องกันกับสภาพแวดล้อมในภาคใต้สมัยนั้ น ภาพที่ 7.กุฏิทรงเรือนไทย ภาพที่ 8.ภาพภายในถ้ำฉัททันต์บรรพต ที่มา: https://clib.psu.ac.th/southerninfo/content/1/7d65d8b4 ที่มา Pang Facebook : สำนั กตักศิลามหาเวทย์เขาอ้อ 3. ถ้ำฉัททันต์บรรพต ถ้ำพระ หันปากถ้ำไปทางทิศใต้เป็นที่ตั้งของสำนั กเขาอ้อ โดยที่เพดานถ้ำด้าน หน้ าจะมีหินปูนที่มีรูปพรรณสัณฐานคล้ายกับงวงช้าง ชาวบ้านจึงเข้าใจว่าเป็น ประติมากรรมของพระยาช้างฉัททันต์ อดีตชาติของสมณโคดมศาสดาของศาสนาพุทธ จึงเรียกชื่อถ้ำตามนามของพระยาช้าง อีกกระแสหนึ่ งอธิบายว่า เรียกชื่อตามสมณศักดิ์ของพระอาจารย์ทองเฒ่า เจ้าอาวาสวัดเขาอ้อในรัชสมัยของพระบามสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีสมณศักดิ์ ว่า พระครูสังฆพิจารณ์ฉัททันต์บรรพต ลักษณะของปากถ้ำกว้าง 7 เมตร โพรงถ้ำลึก เข้าไป 30 เมตร ภายในมีค้างคาวอาศัยอยู่จำนวนมาก วัตถุทางวัฒนธรรมที่สำรวจค้นพบ มาได้เช่น ชิ้นส่วนของพระพุทธรูปแกะสลักจากไม้ขนาดใหญ่ซึ่งเป็นชิ้นส่วนของพระกรรณ มีขนาดยาว ครึ่งเมตร ปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ที่กุฏิของอดีตแม่ชีกิ้มเลี่ยน ชูน้ อยภายในสำนั ก วัดเขาอ้อ และพระศีวลีหล่อจากทองสำริด ขนาดสูง 30 เซนติเมตร ข้อมูลจาก : วิจัยตามรอยสำนั กเขาอ้อ สรรพยาบรรพตปักษ์ใต้ สารูป ฤทธิ์ชู และคณะ

15 4. พระเจดีย์ บนไหล่เขาของภูเขาอ้อด้านทิศตะวันออกของถ้ำพระ สูงจากรางแช่ว่านยาขึ้นไป อีกระดับหนึ่ ง เคยมีพระเจดีย์ที่สร้างโดยพระมหาอินทราชและคณะสัปบุรุษ 3 องค์ พร้อม กับการสร้างมณฑปพระพุทธบาทในปีพ.ศ.2284 ปัจจุบันพระเจดีย์เหล่านี้ ได้ชำรุดทรุด โทรมจากอิทธิพลของสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ จนเหลือเพียงร่องรอยอยู่ทางทิศ ตะวันตกของมณฑปพระพุทธบาทขึ้นไปอีกระดับหนึ่ ง ทางสำนั กวัดเขาอ้อได้บูรณะขึ้นใหม่ 1 องค์ ซึ่งอยู่ใกล้กับมณฑปพระพุทธบาท ในปีพ.ศ.2534 พระครูอดุลธรรมกิตต์ และได้สร้างบันไดคอนกรีตเสริมเหล็กขึ้นภูเขาอ้อ ทั้งสองด้าน ด้านตะวันออกที่เชิงบันไดสร้างรูปปั้ นเป็นยักษ์ 2 ตน เป็นนายทวารบาล บนไหล่เขาสร้างศาลาพักร้อน 1 หลัง สูงขึ้นไปสร้างมณฑปครอบรอยพระพุทธบาทหล่อ ด้วยทองแดงพร้อมกับพระพุทธรูปปางประทับนั่ งห้อยพระบาท 1 องค์ 6. สถูป (บัว) เก็บอัฐิของอดีตเจ้าอาวาสแห่งสำนั กวัดเขาอ้อ เป็นสถูปก่ออิฐถือปูน มีรู ปลักษณะคล้ายกับเจดีย์ย่อมุมไม้สิ บสองแบบศิ ลปกรรมในสมัยอยุธยาตอนปลาย เชื่อกันว่าภายในสถูปบรรจุอัฐิของอดีตเจ้าอาวาสของสำนั กวัดเขาอ้อประมาณ 13-14 รูป เป็นที่เคารพบูชาของประชาชนทั่วไปตั้งแต่อดีตกาลจนปัจจุบัน ภาพที่ 9.เจดีย์ทองบนยอดเขาอ้อ ภาพที่ 10.พระพุทธไสยาสน์ ที่มา: https://clib.psu.ac.th/southerninfo/content/1/7d65d8b4 ที่มา:หนั งสือวิจัย ตามรอยสำนั กเขาอ้อ สรรพยาบรรพตเขาอ้อ ข้อมูลจาก : วิจัยตามรอยสำนั กเขาอ้อ สรรพยาบรรพตปักษ์ใต้ สารูป ฤทธิ์ชู และคณะ

16 5.พระพุทธรูปปางไสยาสน์ เดิมพระมหาอินทราชและสัปบุรษได้ร่วมสร้างพระพุทธรูปปางไสยาสน์ พร้อม กับการสร้างมณฑปพระพุทธบาทและพระเจดีย์ 3 องค์บนไหล่ภูเขาอ้อ พระพุทธไสยาสน์ ที่สร้างในยุคนั้ นเป็นพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูนมีความยาว 8 เมตร ต่อมาพระพทุธรูป ปางไสยาสน์ ได้ชำรุดทรุดโทรมลงไปไม่เหลือร่องรอยให้เห็นอีกเลย ในปีพ.ศ.2543 พระครูอดุลธรรมกิตติ์ เจ้าอาวาสในขณะนั้ นได้สร้างพระพุทธไสยาสน์ ประดิษฐานไว้ที่เพิง เชิงเขาอ้อด้านตะวันตก 7. รางแช่ว่านยา เป็นอ่างสำหรับผสมว่านยาและตัวยาสมุนไพร ที่เลือกสรรตามตำราของสำนั ก วัดเขาอ้อที่สืบทอดมาจากพราหมณาจารย์เมื่อ 2,000 ปีมาแล้ว ผู้ที่ศรัทธาและลูกศิษย์ที่ได้ ร่วมพิธีแช่ว่านยาเชื่อกันว่า ทำให้ร่างกายอยู่ยงคงกระพันชาตรี และรักษาโรคบางอย่างได้ เมื่อก่อนรางแช่ว่านยาอยู่ในถ้ำพระ ต่อมาในสมัยพระอาจารย์ปาล ปาลธัมโม เป็นเจ้า อาวาส ระหว่างพ.ศ.2470 - พ.ศ.2503 ได้สร้างรางแช่ว่านยาบนไหล่ภูเขาอ้อเหนื อถ้ำพระ ด้านทิศตะวันออก ในปี พ.ศ.2496 เป็นเรือสำหรับลงแช่ว่านยา ต่อมาสร้างด้วยปูนซีเมนต์ ขนาดกว้างและยาว 2.15 เมตร สูง 65 เซนติเมตร ด้วยความเชื่อที่ว่าเมื่อประกอบพิธีกรรม จนสัมฤทธิ์ผลแล้ว อาจารย์ผู้ทำพิธีจะทดสอบความขลังคงกระพันชาตรีโดยการถีบให้ผู้ ผ่านพิธีกรรมตกจากภูเขา หากว่าศิษย์ไม่มีอันตรายใด ๆ ถือว่าพิธีนี้ สัมฤทธิ์ผลตาม เจตนารมณ์ ภาพที่ 11.สถูป ภาพที่ 12.รางแช่ว่านยา ที่มา: https://clib.psu.ac.th/southerninfo/content/1/7d65d8b4 ที่มา: https://clib.psu.ac.th/southerninfo/content/1/7d65d8b4 ข้อมูลจาก : วิจัยตามรอยสำนั กเขาอ้อ สรรพยาบรรพตปักษ์ใต้ สารูป ฤทธิ์ชู และคณะ

17 พิธีกรรมที่สำคัญ 1. พิธีกรรมกินว่านยา เป็นพิธีกรรมที่มีลักษณะเฉพาะของสำนั กวัดเขาอ้อ ที่นิ ยมทำกันมาในอดีต โดย นำต้นว่านหรือส่วนอื่น ๆ ของต้นว่านที่เชื่อกันว่ามีสรรพคุณด้านอยู่ยงคงกระพันชาตรี หรือมหาอุลมาลงอักขระเลขยันต์ทางไสยศาสตร์แล้วนำไปให้พระอาจารย์ผู้มีความชำนาญ เวทปลุกเสกด้วยคาถาอาคมกำกับอีกครั้ง ว่านที่นิ ยมใช้ในพิธีกรรมกินว่านมีหลายชนิ ด เช่น ว่านขมิ้นอ้อย ว่านสบู่เลือด ว่านสีดา ว่านเพชรตรี ว่านเพชรหน้ าทั่ง ขั้นตอนการประกอบพิธีกรรมกินว่านยา เริ่มแรกพระอาจารย์หรือผู้ชำนาญเวทมนตร์ทางไสยศาสตร์จะต้องหาฤกษ์ยามดีก่อน เพื่อกำหนดวัดนั ดหมายผู้ที่เกี่ยวข้องมาร่วมพิธีกินว่าน ในวันประกอบพิธีพระอาจารย์จะนำ สายสิญจน์ ไปวนไว้รอบต้นว่านในมณฑลพิธี แล้วตั้งหมากพลู 9 คำ จุดธูปเทียนบวงสรวง เทวดาหรือเทพาอารักษ์ผู้รักษาต้นว่าน พร้อมกับปลุกเสกคาถาอาคมทางไสยศาสตร์จน เสร็จพิธีแล้วนำต้นว่านมาแจกจ่ายแบ่งกันกิน ชาวบ้านมีความเชื่อว่าจะทำให้ผู้กินว่านอยู่ยงคงกระพันชาตรีฟันแทงไม่เข้า ความเชื่อเกี่ยวกับการกินว่านยาของวัดเขาอ้อ ศิษย์วัดเขาอ้อและชาวบ้านทั่วไปมีความเชื่อว่า กินว่านจะทำให้ร่างกายอยู่ยงคงกระพัน ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ และเป็นยาอายุวัฒนะ ภาพที่ 12.พิธีกรรมในระหว่างการกินว่านยา-การแช่ว่านยา ที่มา: http://shutterexplorer.com/2019/02/16/wat-khao-aoo-phattalung-tat-2019/ ข้อมูลจาก : วิจัยตามรอยสำนั กเขาอ้อ สรรพยาบรรพตปักษ์ใต้ สารูป ฤทธิ์ชู และคณะ

18 2. พิธีกรรมแช่ว่านยา เป็นพิธีกรรมชั้นสูงของวัดเขาอ้อที่ได้ปฏิบัติสื บทอดกันมาแต่โบราณจน ปัจจุบัน ศิษย์วัดเขาอ้อถือเป็นพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ที่นิ มยมประกอบพิธีปีละ 2 ครั้ง คือเดือน 5 และ เดือน 10 การประกอบพิธีจะกระทำพร้อมกับพิธีกรรมกินข้าวเหนี ยวดำและพิธีกรรม กินน้ำมันงาดิบ ทั้งสามพิธีต่อเนื่ องกัน แต่บางครั้งก็แยกกันทำแล้วแต่โอกาสและความ เหมาะสม ขั้นตอนการประกอบพิธีกรรมแช่ว่านยายากกว่าพิธีกรรมอื่น ๆ และต้องเตรียมการเป็นเวลาหลายวัน มีขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้ ขั้นเตรียมอุปกรณ์และเครื่องว่านยาที่ใช้ในการประกอบพิธีจำนวนมาก ซึ่งต้อง ใช้สานุศิษย์และผู้ใกล้ชิดที่มีความรอบรู้ทางไสยศาสตร์เป็นผู้จัดหา สิ่งสำคัญที่ต้องมีไว้คือ รางแช่ว่านยา เป็นอุปกรณ์สำคัญที่ใช้ในการประกอบพิธี ชาวบ้านเรียกว่า รางยา ใช้สำหรับ ให้ผู้แช่ว่านยาลงไปนอนแช่ตามพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ ในสมัยแรก ๆ รางแช่ยานิ ยมใช้ เรือขุดด้วยไม้ เครื่องหุงต้ม การประกอบพิธีแต่ละครั้งต้องใช้เครื่องหุงต้มประกอบด้วยปีบ หรือถังใช้สำหรับใส่เครื่องว่านยาจำนวนหลายใบ เพราะต้องใช้ต้มน้ำว่านยาจำนวนมาก ขาหยั่งไม้ฟืนและก้อนเสาใช้สำหรับก่อไฟหุงต้ม เครื่องบูชาและวัสดุมงคล เนื่ องจากพิธีกรรมเป็นพิธีใหญ่และการประกอบพิธี แต่ละครั้งกระทำได้ยากลำบาก เครื่องบูชาครูและเครื่องเซ่นสรวงเทวดาจึงมีมากเป็น พิเศษ เช่น หัวหมู 1 หัว เครื่อง 12 บายศรีใหญ่ ยอดบายศรีสวมแหวนทองคำหนั ก 1 บาท หมากพลู 9 คำ ธูปเทียน ดอกไม้ และเงินบูชาครู 32 บาท เพื่อให้ครบตามอาการ 32 นอกจากนี้ ยังมีวัสดุมงคลที่ใช้ในการประกอบพิธี ได้แก่ หนั งเสือ หนั งหมี เหล็กกล้า เหล็ก เพชร และแผ่นยันต์ประจำทิศ เครื่องว่านยา ว่านยาที่ใช้ในการประกอบพิธีมีจำนวนมากไม่ต่ำกว่า 108 ชนิ ด แต่ละชนิ ดต้องใช้จำนวนมาก จัดหามาเองไม่ต้องจ้าง เพราะเครื่องยาบนเขาอ้อมีมาก ศิษย์ที่ออกไปหาว่านยาจะต้องเป็นผู้ที่มีความรอบรู้ในเรื่องนี้ เป็นอย่างดี ศิษย์วัดเขาอ้อและชาวบ้านทั่วไปมีความเชื่อว่า ผู้ที่ได้ผ่านขั้นตอนพิธีกรรมแช่ว่าน ยาของวัดเขาอ้อจะทำให้บุคคลนั้ นมีตบะอำนาจอย่างเสือ อดทนอย่างหมีและเข้มแข็งอย่าง เหล็กกล้า เหล็กเพชร แคล้วคลาดจากภัยอันตรายทั้งปวง ข้อมูลจาก : วิจัยตามรอยสำนั กเขาอ้อ สรรพยาบรรพตปักษ์ใต้ สารูป ฤทธิ์ชู และคณะ

19 3.พิธีกรรมกินข้าวเหนี ยวดำ พิธีกรรมกินข้าวเหนี ยวดำ หรือพิธีหุงข้าวเหนี ยวดำ เป็นพิธีที่นำเครื่องว่านยา สมุนไพรหรือว่านยาชนิ ดต่าง ๆ มาผสมกันแล้วต้มเอาน้ำยานำมาใช้หุงข้าวเหนี ยวดำ พิธีกรรมประกอบปีละ 2 ครั้ง คือ วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 และวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 ขั้นตอนการเตรียมอุปกรณ์ และเครื่องว่านยา ข้าวเหนี ยวดำแต่ก่อนมีการกำหนดเอาไว้ว่าผู้ที่จะกินข้าวเหนี ยวดำจะต้องเอา ข้าวสารดำมาคนละ 3 กำมือ ปัจจุบันมีการเตรียมเอาไว้ให้เรียบร้อย หม้อ เป็นหม้อที่จะนำมาใช้ในการหุงข้าวเหนี ยวดำ แต่ก่อนใช้หมอดิน ซึ่งเป็น หม้อใหญ่ที่ไม่เคยใช้หุงต้มมาก่อน ปัจจุบันนิ ยมใช้หม้ออลูมิเนี ยมแต่ต้องเป็นหม้อใหม่ที่ไม่ เคยใช้การหุงต้มมาก่อน หินสามก้อน เพื่อนำเอามาทำก้อนเสาในการหุงข้าวเหนี ยวดำจะต้องเป็นก้อน หินที่ไม่เคยใช้เป็นก้อนเสามาก่อน ปัจจุบันนิ ยมใช้เตาถ่านแต่ต้องเป็นเตาถ่านใหม่ที่ไม่เคย ใช้การหุงต้มเมื่อรวบรวมอุปกรณ์และเครื่องว่านยาพร้อมแล้ว การประกอบพิธีนิ ยมทำกัน ภายในบริเวณอุโบสถ หรือภายในถ้ำฉัททันต์บริเวณเขาอ้อ ก่อนจะประกอบพิธี พระอาจารย์จะนำดินสอพองที่จัดทำขึ้นมาเอง ทำพิธีลบผงตามฤกษ์ยามที่กำหนด โดยใช้ ดินสอพองจารอักขระเลขยันต์ลงบนแผ่นกระดานชนวนเสร็จแล้วลบเอาผง ทำจนได้ผงมา ปลุกเสกเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์แล้วนำข้าวสารเหนี ยวดำ น้ำว่านยา อุปกรณ์ต่าง ๆ ไปวางหน้ า พระประธานในอุโบสถ ตั้งบายศรีดอกไม้ ธูปเทียน โยงสายสิญจน์ จากพระประธานมายัง เครื่องบูชา พระอาจารย์ทำพิธีบูชาพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณและ ครูบาอาจารย์ ต่อจากนั้ นเริ่มปลุกเสกข้าวสารกับน้ำว่านยาจนครบตามตำรา เสร็จแล้วนำ ก้อนเสา ไม้ฟืน ไม้ขาหยั่ง หม้อหุง และฐานรองก้อนเสามาลงอักขระยันต์กำกับทุกชิ้น โดย ใช้ไม้ฟืน 3 อัน ลงคาถา มะ อะ อุ ฝาหม้อลงตัว อะ ก้นหม้อลงคาถา มะ อะ อุ ไม้ขาหยั่ง เสียบด้วยหมากพลู 3 คำ สถานที่หุงข้าวเหนี ยวดำ จะทำพิธีหน้ าอุโบสถ ความเชื่อเกี่ยวกับการกินข้าวเหนี ยวดำ ศิษย์วัดเขาอ้อและชาวบ้านทั่วไป มีความเชื่อว่าถ้าได้ผ่านพิธีนี้ หรือกินข้าวเหนี ยวดำ 3 ครั้ง หรือ 3 พิธี จะทำให้ร่างกายผู้นั้ น อยู่ยงคงกระพันและยังมีความชื่อว่าจะสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ได้ เช่น โรคปวด เมื่อย โรคผิวหนั ง ข้อมูลจาก : วิจัยตามรอยสำนั กเขาอ้อ สรรพยาบรรพตปักษ์ใต้ สารูป ฤทธิ์ชู และคณะ

20 4.พิธีกรรมกินน้ำมันงาดิบ พิธีกรรมกินน้ำมันงาดิบ เป็นพิธีกรรมที่กระทำต่อเนื่ องจากพิธีกรรมกินข้าว เหนี ยวดำ ปัจจุบันจะประกอบพิธีปีละ 2 ครั้ง คือวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 และวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 ขั้นตอนการเตรียมอุปกรณ์และเครื่องยา ภาชนะหุงน้ำมันงาดิบ ประกอบด้วย หม้อหุง โถกระเบื้อง ไม้ฟืนที่เป็นมงคล เช่นเดียวกับพิธีกรรมหุงข้าวเหนี ยวดำ เครื่องบูชาและวัสดุมงคล ประกอบด้วย เครื่องบายศรี เครื่องบูชาครูได้แก่ หมากพลู 9 คำ ดอกไม้ 9 ดอก เทียนขี้ผึ้ง 1 เล่ม ธูป 3 ดอก สายสิญจน์ เงินบูชาครู 12 บาท และสิ่งที่ขาด ไม่ได้คือ น้ำมันงาดิบ(น้ำมันยางแดง) หนั งเสือ หนั งหมี เหล็กกล้าหรือเหล็กเพชร เครื่องว่านยา ที่ใช้ผสมน้ำมันงาดิบใช้เครื่องว่านยาเช่นเดียวกับพิธีกรรมกินข้าวเหนี ยวดำ แต่ใช้ว่านยาที่บดเป็นผงเป็นส่วนผสม เครื่องว่านยาที่ขาดไม่ได้คือ ขมิ้นอ้อย ขั้นตอนการกินน้ำมันงา นำเครื่องว่านยาที่บดเป็นผงผสมกับน้ำมันงาดิบตั้งบนเตาไฟภายในอุโบสถ พระอาจารย์จะนั่ งปลุกเสกตลอดเวลาแบบเดียวกับพิธีกรรมหุงข้าวเหนี ยวดำ จนน้ำมัน เดือดยกลงวางไว้ให้เย็น นำน้ำเทใส่โถกระเบื้องซึ่งที่ก้นโถจะลงเลขยันต์ตรีนิ สิงเหหรือ ตัวทมและภายในจะลงยันต์ธาตุสี่ เสร็จแล้วพระอาจารย์ตั้งบายศรี หมากพลู ดอกไม้ ธูป เทียน บูชาครู ประกอบพิธีปลุกเสกน้ำมันงา จนน้ำมันงาออกเชื่อว่าเป็นเครื่องพิสูจน์ ความ เข้ม ภาพที่ 13.พิธีกรรมการกินข้าวเหนี ยวดำ ที่มา: ภาคใต้ | 4 พิธีกรรมความเชื่อทางไสยาศาสตร์คนใต้ ข้อมูลจาก : วิจัยตามรอยสำนั กเขาอ้อ สรรพยาบรรพตปักษ์ใต้ สารูป ฤทธิ์ชู และคณะ

21 วัตถุมงคล ภาพที่ 14.ตะกรุดนอโมโสฬสมหามงคลเขาอ้อ ที่มา Pang Facebook : สำนั กตักศิลาไสยเวทย์ เขาอ้อ ตะกรุดนอโมโสฬสมหามงคลเขาอ้อ (ตะกรุดนอโมโสรดมหามงคล) ขนาด 2.5 นิ้ ว ผ่านพิธีพุทธาภิเษก ณ ถ้ำฉัททันต์ พระเกจิอธิษฐานจิตปลุกเสก 9 รูป อาจารย์เปลี่ยน หัทยานนท์ ฆราวาสอาวุโสแห่งเขาอ้อ เป็นเจ้าพิธี พุทธคุณ 108 ดั่งฝอยท่วมหลังช้าง ทั้งเมตตามหานิ ยม แคล้วคลาด คงกะพันชาตรี อีกทั้งโชคลาภ เมตตาค้าขาย มหาอำนาจราชสเน่ ห์กันคุณไสย ภูติผี ปีศาจเข้าป่าเข้าดงงูเงี้ยวเกี้ยวขอ ไม่อาจทำร้ายได้ มีพุทธคุณล้ำเลิศกว่าพระยันต์ใด ๆ เเหวนพิรอดจินดามนต์รุ่นเเรก อาจารย์ดอยเมืองตรัง เเหวนเป็นเเหวนที่ปรับขนาดได้ ปลุกเสก ณ ถ้ำฉัททันต์บรรพต วัดเขาอ้อ วันเพ็ญเดือน12 ปี พ.ศ.2563 ตรงกับวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ.2563 เป็นเเหวนที่อาจารย์จัดสร้างจากการผสมประสานของรูปทรงเเหวนปลอกมีด ของสายวัดประดู่ทรงธรรมอันโด่งดังเเละเเหวนพิรอดอันขึ้นชื่อของสายเขาอ้อที่ เด่นในพุทธคุณเเคล้วคลาดปลอดภัย เสริมตบะบารมีเเละอำนาจวาสนา ส่วนยันต์นั้ นเป็นยันต์ดอกพิกุลที่ขึ้นชื่อของสำนั กอาจารย์ดอยเมืองตรังที่เด่น ด้านเมตตามหานิ ยม ส่ วนคาถาหัวใจจินดามณี เป็นวิชาของปู่อาจารย์ประสูติโบราณเรียกว่า คาถาเเก้วสารพัดนึ ก เหมาะเเก่การลงในวัตถุมงคล เเหวนรุ่นนี้ จึงเป็นเครื่องรางที่สมบูรณ์เเบบด้านเมตตามหานิ ยม ด้านค้าขาย ด้านทำมาหากิน เข้าหาเจ้าหานายเป็นที่รัก คาถาบูชา นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ กะจะยะสะ อิติมานิ อิติมานะ อิติมามา ท่อง 3 ครั้ง

22 ภาพที่ 15.แหวนพิรอดจินดามนต์รุ่นแรก ภาพที่ 16.แหวนพิรอดจินดามนต์รุ่นแรก ที่มา Pang Facebook : สำนั กตักศิลาไสยเวทย์ เขาอ้อ ที่มา Pang Facebook : สำนั กตักศิลาไสยเวทย์ เขาอ้อ ผ้ายันต์ พระยันต์พุทธคม 108 ประการ อ.เปลี่ยน หัทยานนท์ ฆราวาสอาวุโส สายเขาอ้อ พัทลุง ขนาด 18×13 นิ้ ว ให้ไว้เป็นที่รฤก ใช้ในทางอิทธิฤทธิ์ คงกระพัน มหาอุด แคล้วคลาปลอดภัย เมตตามหานิ ยม ให้ภาวนาพระคาถา นอโม 29 ตั้งนะโม 3 จบ นอ โม พุ ทอ ธา ยอ สิ ทอ ทม ออ ฮา อิ อี อึ อื อุ อู ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ เอ แอ ไอ ใอ โอ เอา อำ อะ ฯ สมปรารถนานั กแล ภาพที่ 17.ผ้ายันต์ พระยันต์พุทธคม 108 ประการ ที่มา Pang Facebook : วัตถุมงคล-เครื่องราง พลังศรัทธา by วัดเขาอ้อ พัทลุง เหรียญยันต์พระพุทธนิ มิต วัดเขาอ้อ จ.พัทลุง ที่รฤกงานไหว้ครูบูรพาจารย์ พ.ศ. 2561 เนื้ อทองแดง เนื้ อทองแดงผิวไฟ เนื้ อทองฝาบาตรยันต์พระพุทธนิ มิต นิ ยมบูชาประจำบ้านเรือนหรือร้านค้า ผู้ใดมี ยันต์นี้ บูชา ควรหมั่นภาวนาคาถาพุทธนิ มิต ทุกวันจะเจริญรุ่งเรือง ด้วยลาภยศสรรเสริญ ค้าขายร่ำรวย ปกป้องคุ้มภัยทุกประการ กันแก้ คุณไสย ทั้งคุณผี คุณคน กันอุบาทว์เสนี ยด จัญไรทุกอย่าง ภาพที่ 18.เหรียญยันต์พระพุทธนิ มิตร ที่มา Pang Facebook : วัตถุมงคล-เครื่องราง พลังศรัทธา by วัดเขาอ้อ พัทลุง

23 ดชม วิ ว จุ บนเขาอ้อจะมีสถานที่สำคัญอยู่บริเวณ ทางซ้ายมือ ประกอบไปด้วย รางแช่น้ำว่านยา 4 จุด ถ้ำฉั ททันต์บรรพต รางแช่น้ำว่านยาจำลอง พระพุทธรูป หลวงปู่ทวดอยู่หลายองค์ และจะมีบันไดพยานาคขวามือ พระบรมธาตุเจดีย์น้ อย พระพุทธบาทจำลอง ถ้ำน้ อยจำศีลให้ลาภ จุดชมวิว

24

บรรณานุกรม ประวัติวัดเขาอ้อ ข้อมูลจาก : กระทรวงวัฒนธรรม ตำนานวัดเขาอ้อ ข้อมูลจาก : หนั งสือเก่าในวัดเขาอ้อ และเพิ่มเติมข้อมูลส่วนปัจจุบัน โดยคณะศิษย์เขาอ้อ ในโครงการแสงเทียนแห่งความฝัน ภาพแผนที่ จาก : เพจเฟซบุ๊ค เที่ยวพัทลุง ภาพกุฎิทรงเรือนไทยและถ้ำฉั ททันต์บรรพต ข้อมูลจาก : เพจเฟซบุ๊ค สำนั กตักศิลามหาเวทย์เขาอ้อ เอกสารที่พิมพิ์เผยแพร่แล้ว หนั งสือและวิทยานิ พนธ์ กานต์ คเณศ์พร. เปิดตำนานตักศิ ลาไสยเวทเยี่ยมยุทธพุทธาคมของแผ่นดินสำนัก เขาอ้อ. กรุงเทพมหานคร สำนั กพิมพ์คเณศร์พร, 2549. กองโบราณคดี. แหล่งโบราณคดีประเทศไทย เล่ม 5 (ภาคใต้). กรุงเทพมหานคร : กรมศิลปากร, 2534. ชุม ไชยคีรี. ลำดับความเป็นมาของพระอาจารย์สำนักวัดเขาอ้อ. หนั งสือที่ระลึกใน งานพระราชทานเพลิงศพพระครูพิพัฒน์ สิริธร (คง สิริมโต), 2518. เชษฐา พยากรณ์. 108 ว่านมหัศจรรย์. กรุงเทพมหานคร : สำนั กพิมพ์จินดาสาส์น, 2522. ชัย จันรอดภัย. ตำนานสร้างโลก เล่ม 1-5 พิมพ์ครั้งที่2. พัทลุง : โรงพิมพ์พัทลุง, 2497. ชัยวุฒิ พิยะกูล การศึ กษา เพลานางเลือดขาว ฉบับวัดเขียนบางแก้ว อำเภอ เขาชัยสน จังหวัดพัทลุง ปริญญานิ พนธ์ปริญญาโท มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒภาค ใต้, 2538. ชัยวุฒิ พิยะกูล. คติความเชื่อและพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ของวัดเขาอ้อ อำเภอ ควนขนุน จังหวัดพัทลุง รายงานวิจัยสถาบันทักษิณคดีศึกษา มหาวิทยาลัยทักษิณ, 2539. พิสุทธิ ฉ่ำใจ. สมุนไพรสรรพคุณและประโยชน์เพื่อการนำไปใช้. กรุงเทพมหานคร : ต้นธรรม สำนั กพิมพ์, 2537.




Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook