Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสารประกอบการสอนรายวิชาไทยศึกษา-หัวข้อ-ดนตรีไทย

เอกสารประกอบการสอนรายวิชาไทยศึกษา-หัวข้อ-ดนตรีไทย

Published by ฐาปกรณ์ มิขันหมาก, 2022-01-30 05:42:52

Description: เอกสารประกอบการสอนรายวิชาไทยศึกษา-หัวข้อ-ดนตรีไทย

Search

Read the Text Version

เอกสารประกอบการสอนรายวิชาไทยศึกษา หัวข้อ ดนตรไี ทย ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์ณรงค์ เขยี นทองกุล อาจารยฉ์ ัตรตยิ า เกยี รตนิ าวี สจุ ิตต์ วงษเ์ ทศ (๒๕๕๓) กล่าววา่ ดนตรไี ทยมรี ากเหงา้ เก่าแกอ่ ยใู่ นอษุ าคเนยร์ าว ๕,๐๐๐ ปมี าแล้ว เปน็ “เครือญาติ” วฒั นธรรมร่วมของดนตรีสวุ รรณภูมิ เชน่ เดยี วกบั ดินแดนและผู้คนในสุวรรณภมู ิ ดนตรีอุษาคเนยก์ ่อนประวัตศิ าสตร์ ดนตรอี ษุ าคเนย์ในยุคก่อนประวตั ิศาสตร์ จะแบง่ เปน็ ๒ ยุค คือ ยคุ หิน และ ยคุ โลหะ  ยคุ หิน เครือ่ งดนตรี พบ เกราะ โกรง่ กรับ และโปง ซงึ่ เปน็ เคร่อื งดนตรที พี่ บท่ัวไปในอษุ าคเนย์ จัด กลุ่มให้เปน็ เครื่องดนตรีใน “วัฒนธรรมไมไ้ ผ่” นอกจากน้ี ยังพบ ระนาดหนิ ซงึ่ เปน็ เคร่อื งดนตรที น่ี าขวานหนิ ขนาดต่างๆ มาเรยี งต่อกนั ผูกรอ้ ยด้วยเชอื กคลา้ ยระนาดไม้ เคาะแลว้ เกิดเสยี งต่างกันเปน็ เสยี งดนตรี ในประเทศไทยพบระนาดหิน ที่ จังหวดั นครศรธี รรมราช และยงั พบได้ท่วั ไปในดินแดนสุวรรณภมู ิ ปัจจบุ นั ประเทศเวียดนามยังใชร้ ะนาด หนิ ในการแสดงอยู่ บทบาทและหน้าทขี่ องดนตรี ดนตรีอษุ าคเนยใ์ นยุคหนิ จะมีเพื่อใช้เป็นสัญญาณ และประกอบ พธิ กี รรม ภาพที่ ๑ โกรง่ เกราะ กรับ ภาพที่ ๒ โปงไม้ ภาพที่ ๓ ระนาดหนิ

๒  ยคุ โลหะ เครอ่ื งดนตรี พบ มโหระทกึ เปน็ เคร่ืองดนตรีที่จดั อยใู่ น “วฒั นธรรมฆ้อง ” ซง่ึ เปน็ วฒั นธรรมทีโ่ ดดเด่นและเป็นสญั ลกั ษณ์รว่ มเฉพาะภมู ิภาคเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ กลองมโหระทกึ เปน็ กลอ งประเภทกลอง โลหะ หน้ากลองจะมรี ูปป้นั กบหรือเขยี ด สว่ น ตรงกลางของหน้ากลองเป็นรปู พระอาทติ ย์ ซึง่ ท้งั หมดเป็นสัญลักษณ์แหง่ ความอดุ มสมบรู ณ์ ในประเทศไทยพบหลกั ฐานวา่ มมี โหระทกึ ในยุคก่อนประวตั ศิ าสตร์ คือ ภาพวาดฝาผนัง ถา้ ตาด้วง จงั หวดั กาญจนบุรี และ พบมโหระทึกใน จังหวดั อ่ื นๆ เชน่ นครศรีธรรมราช อุตรดติ ถ์ อุบลราชธานี เป็นต้น เป็นรปู ขบวนแห่ประกอบพิธกี รรม นอกจากนี้ กลองมโหระทกึ ยังพบ ท่พี มา่ ลาว อนิ โดนีเซีย จีน กลองมโหระทกึ ที่ พบครั้งแรกทีเ่ มอื งดองซอน ประเทศเวยี ดนาม เราจงึ เรียกวฒั นธรรม สาริด โดยมีกลองมโหระทกึ เป็นตัวแทนวา่ “วฒั นธรรมดองซอน” ปัจจบุ ันประเทศไทยตีกลองมโหระทึก ประกอบในพระราชพธิ จี รดพระนังคลั แรกนาขวญั ในเดอื นพฤษภาคมของทุกๆ ปี นอกจากกลองมโหระทึกท่เี ป็น หลักฐานทางวัฒนธรรมโลหะท่แี สดงความสัมพนั ธข์ อง ชาวอุษาคเนย์ แล้ว ในยุคโลหะ ยังพบเครื่องดนตรีทใ่ี ช้ในพธิ กี รรม เชน่ กระดงิ่ หรอื ระฆังส้ารดิ ในพม่า ไทย มาเลเซีย และกัมพูชา และยงั พบกระพรวนอกี ดว้ ย บทบาทและหน้าท่ขี องดนตรี ดนตรีอษุ าคเนยใ์ นยคุ โลหะใชเ้ พื่อประกอบพธิ กี รรม ภาพท่ี ๔ กลองมโหระทกึ ภาพท่ี ๕ ประติมากรรมรูปกบบนหนา้ กลองมโหระทึก ภาพที่ ๖ กระดง่ิ สารดิ ภาพท่ี ๗ กระพรวนสารดิ

๓ ดนตรอี ุษาคเนย์ยุคประวตั ศิ าสตร์ หลกั ฐาน ทางประวตั ศิ าสตรท์ ่เี กยี่ วขอ้ งกบั ดนตรีในยุคประวั ตศิ าสตรก์ ่อนสมัยสุโขทัย ปรากฏ หลักฐานตา่ งๆ ดังน้ี  เทวรูป พระนารายณ์ เป็นเทวรูปท่เี ก่าที่สดุ ในเอเชียอาคเนย์ พบที่อาเภอไชยา จังหวัด สุราษฎร์ธานี ปจั จบุ นั รกั ษาอยู่ในพพิ ิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร (ภาพท่ี ๘) เทวรูปองค์นค้ี งมอี ายรุ าว พทุ ธศตวรรษที่ ๙-๑๐ เครอื่ งดนตรที ี่ปรากฏคือ สงั ขใ์ นหตั ถ์ซา้ ยล่าง สงั ข์ เป็นเครอ่ื งเป่า เป็นเคร่ืองดนตรีประเภทเครอ่ื งประโคม ใชใ้ นงานมงคล ภาพที่ ๘ เทวรูปพระนารายณ์ ภาพที่ ๙ คณะพราหมณเ์ ป่าสังข์ในพระราชพิธีสมโภชเสาชงิ ช้า  เทวรปู พระศวิ ะนาฏราช เป็นปางหนง่ึ ของพระศวิ ะ เปน็ บรมครูของศิลปะการร่ายราหรอื นาฏยศาสตร์ของอนิ เดีย ความเช่อื ว่าการเตน้ ราของพระศวิ ะก่อให้เกิดปฏกิ ิริยาของการสรา้ งโลกและมนุษย์ ศิวนาฏราชจะปรากฏในท่ายา่ งสามขมุ (ตรีวิกรม) ซง่ึ เป็น ๑ ใน ๑๐๘ ท่าทีอ่ อกแบบโดยพระศิวะ โดยมี สญั ลกั ษณ์ทพ่ี ระกรขวาถือกลองคือการสรา้ งโลก พระกรซา้ ยมีเปลวเพลงิ ล้อมเป็นกรอบคือการส้นิ สดุ ที่ไฟ จะเผาผลาญโลก กลองในพระหัตถข์ องพระศิวะในปางศิวะนาฏราชนี้ เปน็ กลองสองหน้า เอวตรงกลางคอด มี ลูกต้มุ ยดึ กับสายสาหรับใชก้ ระทบหน้ากลองทงั้ สองข้าง กลองน้ีเรยี กวา่ กลอง ทมรุ ซง่ึ เป็นเครอ่ื งดนตรีเพียง ชนิ้ เดยี วท่อี งคพ์ ระศวิ ะท่านเลอื กใชป้ ระกอบการร่ายราอันยิ่งใหญน่ ี้ ผูป้ ระกอบพธิ ใี นศาสนาพราหมณ์- ฮินดู ได้นาเอากลองนี้มาใชใ้ นการประกอบพิธีมงคล และพัฒนามาเป็นเครือ่ งดนตรที ่เี รยี กวา่ “บณั เฑาะว์”

๔ ภาพที่ ๑๐ พระศิวนาฏราช ภาพท่ี ๑๑ บัณเฑาะว์ ทม่ี า: http://www.m-culture.in.th/  เทวรูปอนื่ ๆ ที่เกี่ยวขอ้ งกบั ดนตรี เชน่ พระคเณศถอื สังข์ พระกฤษณะเป่าขลุ่ย และนาง สรุ สั วดดี ีดพิณ เปน็ ต้น  จดหมายเหตขุ องจีนฉบบั ต่างๆ ที่บนั ทึกระหว่างพทุ ธศตวรรษที่ ๑๐ ถึง พุทธศตวรรษที่ ๑๒ พบเครือ่ งดนตรแี ละอืน่ ๆ ทเ่ี กีย่ วข้องในดินแดนสุวรรณภูมิ ดังนี้ คนร้องเพลง สังข์ กลอง ระฆัง และการ ฟอ้ นรา้ ดนตรไี ทยในสมัยทวารวดี หลักฐานทางประวัตศิ าสตร์ท่เี ก่ียวขอ้ งกับดนตรใี นสมยั ทวารวดี ปรากฏหลักฐานตา่ งๆ ดังนี้  ภาพปูนป้นั นักดนตรีหญงิ ๕ คน พบทเ่ี มอื ง โบราณทีต่ าบลคูบวั อาเภอเมอื ง จั งหวัดราชบุรี เป็นปูนปั้น ประดบั ฐานเจดียร์ ูปนักดนตรีหญิง ๕ คน นงั่ พับเพยี บเขา่ ชดิ ไม่สวมเสอื้ มสี ไบพาดคลอ้ งบา่ บางคนสวมเครือ่ งประดับ คือ ตุม้ หู ลกั ษณะการบรรเลงดนตรีของนักดนตรีหญิงทงั้ ๕ เรียง จากซา้ ยไปขวา ดงั น้ี คนที่ ๑ ในมอื ถอื เครอ่ื งดนตรีชนิดหนงึ่ ซึ่งมลี ักษณะใกล้เคียงกบั พณิ น้าเตา้ กาลงั ทาท่าบรรเลง คนที่ ๒ ในมอื ถอื เครอื่ งดนตรีชนดิ หน่ึง สันนษิ ฐานวา่ เป็น ฉงิ่ เน่อื งจาก มีลกั ษณะกลมป้อม เป็นฝา ๒ ฝา แสดงท่ากาลังตี คนท่ี ๓ มี ภาพที่ ๑๒ ภาพปูนปั้นนักดนตรหี ญงิ ๕ คน เคร่อื งดนตรคี ือ พิณ ๕ สาย วางพาดอยบู่ นตกั แสดงอาการ บรรเลงโดยการดดี คนที่ ๔ นง่ั เท้าแขนขวา ใช้ แขนซ้ายจับบริเวณขอ้ ศอกขวา ไม่ปรากฏเครอื่ งดนตรี สนั นิษฐานว่าเป็นนกั รอ้ ง คนท่ี ๕ ถือเครือ่ งดนตรชี ้นิ หนึง่ สันนิษฐานวา่ เป็นกรับ เน่อื งจากการบรรเลงเคร่อื ง ดนตรชี ้ินน้ี คือ การตีลงไปบนมืออกี ข้างหน่งึ ใหเ้ กิดเสียง

๕  ประติมากรรมยักษแ์ คระมีปกี ถอื เคร่อื งดนตรี พบท่ีฐานเจดีย์จลุ ประโทน จังหวัดนครปฐม รายละเอยี ดภาพท่ี ปรากฏเป็นรูปบุคคลท่มี เี ศียรเป็นมนุษย์ ดา้ นหลงั ตวั มปี กี นก มีขา เป็นสัตว์ ถอื เครอื่ งดนตรี ลกั ษณะดังกล่าวอาจะหมายถึงครุฑ เทวดา คนธรรพ์ หรือ วิทยาธร ท่ีกาลงั เลน่ เคร่อื งดนตรี เทวดา คนธรรพ์ กนิ รี กนิ นร หรือวทิ ย าธร โดยคติ แลว้ ถอื เปน็ ยักษ์จาพวกหน่งึ อาศยั ในปา่ เขา ชอบเลน่ ดนตรี โดยเฉพาะคนธรร พ์ ดังนั้น ประติมากรรมปูนปน้ั ดงั กลา่ วก็คือคน ภาพท่ี ๑๓ ประติมากรรมยกั ษแ์ คระ แคระที่หมายถงึ ยักษ์ อีกทงั้ ประตมิ ากรรมรูปคนแคระมีปีก หรือคน มีปีก ถือเครื่องดนตรี แคระเลน่ เครื่องดนตรกี ป็ รากฏอยู่ท่ัวไปในงานศลิ ปกรรมของอนิ เดียและเอเชยี ตะวันออกใตเ้ ช่นเดยี วกัน  ระฆังหนิ เป็นหินทมี่ เี สยี ง จะพบอยใู่ นแหลง่ โบราณคดีสมยั ทวารวดี เช่น จงั หวดั ราชบรุ ี จงั หวดั สพุ รรณบรุ ี จังหวดั นครปฐ ม เปน็ หินลกั ษณะแบนๆ ความหนาประมาณ ๒๐ - ๓๐ ซม. รูปทรงเบ้ียวตามธรรมชาติ บางแผ่นมีความยาวถงึ ๑ เมตร ตรงมมุ ยืนจะ เจาะเปน็ รูกลมข องแผน่ หิน ซึง่ นามาแขวนแล้วใช้ไมเ้ คาะมีเสียงดงั กังวาน พบอย่ตู ามซากโบราณสถานสาคัญ ภาพท่ี ๑๔ ระฆังหิน ดนตรีไทยในสมัยลพบรุ ี มกั พบภาพสลกั หนิ เกี่ยวกบั เคร่ืองดนตรีแฝงอยู่ตามหน้าบนั และทบั หลงั ของโบราณสถานแบบ อิทธพิ ลศลิ ปะเขมรท่ีเรยี กกนั ว่า “ปราสาท” มีอายุในราวกลางพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๖ ถงึ กลางพทุ ธศตวรรษที่ ๑๗ เทา่ ท่ีพบมดี ังน้ี ๑. หนา้ บันด้านตะวนั ออก ของปราสาทหรือพระธาตนุ ารายณ์เจงเวง อาเภอเมอื ง จังหวดั สกลนคร เปน็ ภาพพระศิวนาฏราชหรอื พระอิศวรทรงฟอ้ นราอยู่ตรงกลางทา่ มกลางเทพ ๕ องค์ ๒ ใน ๕ คือ พระอมุ า หรือพระนางปารพตี มเหสี และพระคเณศ โอรส อกี ๓ องค์ คือ นักดนตรีกาลังดีดพิณ ๑ องค์ ตฉี ง่ิ ๑ องค์ และทาท่าคลา้ ยจะสีซออกี องคเ์ พราะภาพชารุดไป ๒. ทบั หลงั จากปราสาทศรีขรภมู ิ อาเภอศรีขรภูมิ จังหวัดสุรนิ ทร์ เปน็ ภาพพระศิวนาฏราช พระ อิศวรทรงยนื ฟ้อนราบนหลงั หงส์เหนือหนา้ กาลตรงกลาง ตอนลา่ งด้านขวาคือ พระนารายณ์กาลังทาท่าคลา้ ย ตีฉิ่ง และพระอมุ าคลา้ ยถอื บณั เฑาะว์ด้วยพระหตั ถ์ขา้ งหนึ่ง สว่ นด้านซา้ ยคอื พระพรหมซึง่ สองพระหตั ถล์ า่ ง กาลงั ตีฉ่ิง และพระคเณศกาลงั ตีกลอง

๖ ๓. ทับหลังทป่ี ราสาทหินพมิ าย อาเภอพิมาย จงั หวดั นครราชสีมา มี ๒ อันไดแ้ ก่ ทับหลงั ทศิ ตะวนั ตก ประกอบด้วยภาพสลกั ๒ แหง่ แนวบนเป็นภาพพระพทุ ธรปู ทรงเครอื่ งยนื ระหวา่ งตน้ ไม้คู่หน่งึ มีพระยามารเฝา้ อยูข่ ้างๆ พรอ้ มบรวิ ารและมขี บวนราชยานคานหามกบั เครอ่ื งสูงอยู่รมิ ซ้ายแนวลา่ งเป็นรปู พนักงานชาวประโคมกบั นักฟ้อนรา สันนษิ ฐานวา่ เปน็ ภาพพระพทุ ธประวัตติ อนเทศนา โปรดพระยามารตามพทุ ธศาสนาฝ่ายมหายานซ่งึ อนุญาตใหม้ ีดนตรีประกอบเทศนาได้ สาหรบั ภาพพนกั งานชาวประโคมทปี่ รากฎในแนวลา่ ง ประกอบดว้ ย ผเู้ ปา่ สังข์ ๑ ตกี ลองหนา้ เดยี ว โดยแขวนสะพายแล่งบา่ ๑ เป่าแตร (นา่ จะทาด้วยเขาสตั ว์) ๑ ตกี ลองสองหน้าโดยแขวนสะพายแล่งบนบ่า ๑ ผู้หามฆ้องขนาดใหญ่ ๒ พรอ้ มคนตี ๑ และคนเปา่ ขลยุ่ ๑ ตามลาดับ แตล่ ะคนเลน่ ดนตรีไปด้วยเต้นไปด้วย ทับหลงั ทิศตะวันออก เปน็ ภาพเรอ่ื งรามายณะตอนสุครพี ครองเมอื ง ประกอบดว้ ยภาพพระลักษมณ์ ประทบั บนราชยาน มีพลวานรเป็นพลแบกและพลบรวิ ารเบ้อื งหนา้ สุครีพประทพั บนคานหามแบกโดยพล ลิงทงั้ สองข้างแวดลอ้ มด้วยเครอ่ื งสูง รงมท้ังเคร่อื งดนตรปี ระกอบเกียรติยศตรงใตร้ าชยานของพระลักษมณ์ โดยพลวานรเปน็ ผ้บู รรเลง เคร่อื งดนตรีท่ปี รากฎไดแ้ ก่ เครอ่ื งเป่า ๒ ชนิด คือ ขลุ่ยกบั แตรเขาสัตว์ เครอ่ื งตี ๒ ชนดิ คือ ฆ้องแบกโดยพลวานร ๒ ตน ตัวยนื ขา้ งหลงั เปน็ ผู้ตี กับกลองสองหน้าทีม่ ีสายคล้องคอลงมาตดี ้วย มือ ดนตรไี ทยสมัยสุโขทัย หลกั ฐานทแี่ สดงเร่อื งราวของดนตรีสมยั สโุ ขทยั ไดช้ ดั เจน ได้แก่ ศิลาจารึกสมยั สุโขทัย ท่ีมีบนั ทึก เรือ่ งดนตรี คือ ศลิ าจารึกพอ่ ขุนรามคาแหง (ศิลาจารกึ หลกั ที่หนึง่ ) จารกึ การสมโภชรอยพระพุทธบาท และ จารกึ วัดพระยืน เมอื งลาพูน นอกจากศลิ าจารกึ แล้ว ยังปรากฏเร่ืองราวของดนตรใี นภาพปูนปนั้ ประกอบหนา้ บนั ของปรางคว์ ัดพระพายหลวง และปรากฏในไตรภูมพิ ระร่วงอีกดว้ ย  ศลิ าจารกึ พอ่ ขนุ รามคาแหง (ศลิ าจารึกหลกั ท่ีหน่ึง ) พ.ศ.๑๘๓๕ จารึกเร่อื งราวของชาว สโุ ขทยั มีขอ้ ความตอนหนึ่งกล่าวถงึ เคร่อื งดนตรีไทยไวว้ า่ (ดา้ นท่ี ๑) “ปากประตมู กี ะดง่ิ อนั ณึ่ง แขวนไวห้ ั้นไพรฟ่ ้าหนา้ ปกกลางบา้ นกลางเมอื ง มีถอ้ ยมี ความ เจ็บท้อง ข้องใจ มนั จกั กล่าว เถงิ เจา้ เถิงขนุ บ่ไรไ้ ปลัน่ กะดิ่งอนั ท่านแขวนไว้...” (ด้านที่ ๒) “...ดํบงคํกลอง ดว้ ยเสียงพาดเสียงพิณ เสยี งเล้อื น เสยี งขบั ใครจกั มกั เล่น เล่น ใคร จกั มกั หัว หัว ใครจกั มักเล้อื น เลอื้ น...” เคร่ืองดนตรีท่ีปรากฏในศลิ าจารึกพอ่ ขนุ รามคาแหง ดงั นี้ กระด่ิง การประโคมกลอง (ดบงค กลอง) เครอื่ งดนตรีประเภทตี (พาทย์) พณิ เสยี งเออ้ื น (เสยี งเลื้อน) เสียงรอ้ ง (เสยี งขับ)  ศลิ าจารึกเขาสุมนกฏู เขาพระบาท อาเภอเมือง จงั หวดั สโุ ขทัย พ .ศ.๑๙๑๒ ได้บันทึกชือ่ เคร่ืองดนตรแี ละการละเลน่ ไว้ ดังน้ี

๗ “ปลาก (ปลาย) หนทางย่อมเรียงขันหมากขนั พลู บชู าพิลม (อภิรมย์) ระบําเต้นเล่นทุกฉัน (ทุก อย่าง)... ด้วยเสียงสาธุการบูชา อกี ดุริยพาทยพ์ ิณฆอ้ งกลอง เสียงดีดสีพอดังดินจักหลม่ อนั้ (เพยี งดินจกั ถลม่ นัน้ )” เคร่อื งด นตรแี ละการละเล่นที่ปรากฏในศลิ าจารึกเขาสมุ นกูฎ ดงั น้ี ราบา เต้น ดนตรี (ดุรยิ ) เครื่องดนตรีประเภทตี (พาทย์) พิณ ฆอ้ ง กลอง เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย (ดีด, สี)  ศิลาจารึกวดั พระยนื อาเภอเมือง จังหวัดลาพนู พ .ศ.๑๙๑๓ เปน็ จารกึ ท่มี ชี อื่ เคร่ืองดนตรี ปรากฏอย่มู ากที่สดุ ดังนี้ “...ตีพาทยด์ ังพณิ ฆอ้ งกลองปสี่ รไนพิสเนญชยั ทะเทยี ด กาหล แตรสงั ขม์ าน กังสดาล มรทงค์ ดงเดอื ด เสยี งเลศิ เสยี งกอ้ ง อกี ทงั้ คนรอ้ งโหอ่ อ้ื ดาสะทา้ นทัว่ ทงั้ นครหริภุญชยั แล...” เครือ่ งดนตรีทปี่ รากฏในศิลาจารกึ วดั พระยนื ดังน้ี เครื่องดนตรปี ระเภทตี (พาทย์) พณิ ฆ้อง กลอง ป่ีไฉน (ปส่ี รไน) แตรเขาสัตว์ (พสิ เนญชัย ) กลองสองหน้า (ทะเทยี ด ) แตรงอน (กาหล) แตร สงั ข์ กังสดาล ตะโพน (มรทงค)์ และกลองทดั (ดงเดอื ด) มรทงค์ หรอื ตะโพน เปน็ ส่งิ แทนดุรยิ เทพท่ีนักดนตรีไทยนับถอื มาก คอื พระปรคนธรรพ อกี ทง้ั ตะโพนจะเปน็ ผู้ขึ้นเพลงสาธุการ ซงึ่ เปรยี บได้กับเพลงครขู องนกั ดนตรีไทย เม่อื นกั ดนตรไี ทยได้ยินเสียง ตะโพนข้ึนเพลงสาธกุ ารจะพนมมือไหวเ้ พอื่ แสดงความเคารพครู  ภาพปนู ปน้ั ประกอบหนา้ บันทางทิศเหนอื ของปรางค์วดั พระพายหลวง ซึง่ กติ ติ วัฒนะ มหาตม์ กล่าวใน สารนพิ นธเ์ รื่องดนตรีสโุ ขทัย : ศึกษาและวิเคร าะหจ์ ากหลักฐานโบราณคดีท่ปี รากฏใน ประเทศไทย วา่ “มีลกั ษณะชารุดไปมากไมส่ มบรู ณ์ อ.มนตรี ตราโมท กลา่ ววา่ ไดเ้ หน็ คร้ังหนึง่ ในคราวไป ราชการที่สโุ ขทยั และได้ชารดุ เสยี แลว้ ในภายหลังได้อ้างอิงภาพปนู ปนั้ นปี้ ระกอบคาบรรยายเรื่องดนตรีสมยั สุโขทยั ในปี พ.ศ.๒๕๐๑ ในปัจจบุ ันภาพนช้ี ารุดมาก ลักษณะภาพประกอบดว้ ยรปู คนกาลังเต้นระบาและคน ยืนบรรเลงเคร่ืองดนตรีชนิดหนึ่ง พิจารณาจากร่องเคร่ืองดนตรีสว่ นที่ยงั เหลอื และทา่ ทางในการบรรเลง อาจจะกล่าวไดว้ ่า เป็นเคร่ืองดนตรลี ักษณะคลา้ ยกับภาพคนยนื บรรเลง พณิ น้าเตา้ สายเดียว พบทีเ่ ทวสถาน บายน นครธม มอี ายรุ าว พทุ ธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘ แตว่ ่า อ.มนตรี ตราโมท เมือ่ ไดเ้ หน็ ภาพลายปูนป้ันนเ้ี ป็น ครั้งแรก ทา่ นไดส้ รปุ ว่า คนยนื ดดี กระจับปี่ ภาพนี้เป็นหลักฐานเพยี งช้นิ เดียวที่แสดงภาพเคร่อื งดนตรใี น สมยั สุโขทัย” (กิตติ วัฒนะมหาตม์, 2533: 53)  ไตรภมู พิ ระรว่ ง มีข้อความที่เกย่ี วกบั การละเล่นดนตรแี ละเคร่ืองดนตรีปรากฏ โดยแยก ประเภทไดด้ ังนี้ ๑. ประเภททเี่ กีย่ วกบั นาฏศลิ ปแ์ ละการละเล่น ได้แก่คาวา่ บา้ งเต้นบ้างรา บา้ งฟ้อน ระบา กับฉงิ่ รงิ ราจบั ระบาราเต้น

๘ ๒. ประเภททีเ่ กยี่ วกับการบรรเลงดนตรีและการขับรอ้ ง ไดแ้ กค่ าว่า บันลอื เพลง รอ้ ง ขับ ดดี สี ตี เปา่ และ ดุรยิ ดนตรี ๓. ประเภททเี่ กี่ยวกับเครอ่ื งดนตรี ได้แก่คาว่า ฆ้อง กลอง กลองใหญ่ กลองราม กลองเลก็ แตร สงั ข์ กังสดาล มโหระทึก พาทย์ พณิ ฉิ่ง แฉ่ง บณั เฑาะว์ ตีกลอง ตพี าทย์ ตีกรับ ดีดพิณ สีซอพงุ ตอ เป่ าป่แี ก้ว ปี่ไฉน บญั จางคกิ ดุริย พิณพาทย์ และนาดรา (ปญั ญา รุง่ เรือง, ๒๕๔๖: ๕๕) วงดนตรไี ทย ท่ีปรากฏในสมยั สุโขทัย ดังน้ี  วงป่ีพาทยเ์ ครือ่ งห้า ประกอบด้วยเครื่องดนตรี คือ ปี่ ฆ้องวง ตะโพน กลองทดั ฉิ่ง  วงขับไม้ ประกอบด้วยเครอื่ งดนตรี คอื คนขับลานา ซอสามสาย บัณเฑาะว์ ภาพท่ี ๑๕ วงปี่พาทย์เครื่องห้า สมยั สโุ ขทยั ภาพที่ ๑๖ วงขบั ไม้ บทบาทและหน้าที่ของดนตรีไทยในสมยั สุโขทัย แบ่งได้ ๓ ประเภท คอื ๑. หน้าท่ีประกอบการแสดง ได้แก่ การระบา รา ฟอ้ น เตน้ ๒. หน้าท่ีขบั กล่อม ไดแ้ ก่ การขบั การรอ้ ง ๓. หน้าทปี่ ระกอบพิธีการ ได้แก่ การประโคมและการแหแ่ หน ๔. ทาหนา้ ทีเ่ ป็นสัญญาณ ดังปรากฏ กระดง่ิ ท่ีเอาไว้ล่นั เพ่อื รอ้ งทุกข์ นอกจากน้ี คาว่า “ทุ่ม” และ “โมง” ท่ีใชบ้ อกเวลาในปจั จบุ ัน ไดร้ ับอทิ ธิพลมาจากเสยี งของเครอ่ื งดนตรีเพ่อื ใช้บอกเวลาในอดีต “ทมุ่ ” เกดิ จากเสยี งของ การตีกลอง เช่น ๒ ทุม่ หมายถงึ เมอื่ ถึงเวลานีจ้ ะตีกลอง ๒ ที ส่วนคาวา่ “โมง” เกิด จากเสยี งของการตี โหมง่

๙ ดนตรไี ทยสมยั กรุงศรีอยุธยา หลักฐานทีแ่ สดงเร่ืองราวของดนตรีสมัย กรงุ ศรีอยธุ ยามจี านวนมาก ยกตวั อยา่ งท่สี าคญั เชน่ กฎมณเฑยี รบาล จดหมายเหตุลาลแู บร์ หนังสือจนิ ดามณี เปน็ ต้น  กฎมณเฑียรบาล กล่าวถงึ เรื่องดนตรีไทยและ อืน่ ๆ ทเี่ ก่ียวข้อง ดังนี้ ตอนท่ี ๑๕ “แตป่ ระตู แสดงรามถึงสระแก้ว ไอยการหมื่นโทวารกิ ผีว้ ชายหญิงเจรจาด้วยกันก็ดี นัง่ ในท่ีสงัดกด็ ี อน่งึ ทอดแหแล ตกเบดสมุ่ สอ้ นซ้อนชนาง แลร้องเพลงเรอื เปา่ ขล่ยุ เป่าปี่ทดี่ ีตที ับขบั ราํ โห่รอ้ งทีน่ ั่น ไอยการหม่นื โทวารกิ ถ้า จบั ไดโ้ ทษ ๓ ประการ ประการหนงึ่ ใหส้ ่งมหาดไท ประการหน่งึ ใหส้ ง่ องครักษ์ประการหน่งึ ใหส้ ง่ สกั ลง หญ้าชา้ ง” และตอนท่ี ๒๐ “ อนงึ่ ในทอ่ น้าในสระแก้ว ผใู้ ดขเ่ี รือคฤเรือปทนุ เรอื กูบแลเรือมสี าตราวธุ แลใส่ หมวดคลมุ หวั นอนมาชายหญงิ นัง่ มาด้ วยกัน หนึ่งชเลาะตดี ่า กนั ร้องเพลงเรือเป่าปี่ขลยุ่ สีซอดีดจเข้ กระจบั ปต่ี โี ทนทับโหร่ ้องนีน่ ่ัน… อนง่ึ พิริยหมแู่ ขกขอมลาวพมา่ เมงมอญมสุมแสงจีนจามชวานานา ประเทษ ทังปวง แลเขา้ มาเดริ ในทา้ ยสนมก็ดี ทง้ั นไ้ี อยการขุนสนมหา้ ม...” เคร่ืองดนตรแี ละอืน่ ๆ ที่เกยี่ วขอ้ งทป่ี รากฏในกฎมณเฑียรบาล ไดแ้ ก่ เพลงเรือ ขบั รา ขล่ยุ ปี่ ซอ จะเข้ กระจับปี่ ทับ โทน  จดหมายเหตลุ าลแู บร์ ปรากฏเรื่องดนตรไี ทย ดังนี้ ซอ ปี่ กรับ ฆ้อง ฉาบ (ในจดหมายเหตุ ลาลแู บรใ์ ชค้ าว่า “โฉง่ ฉ่าง”) ฆอ้ งวง (พาทย์ฆ้อง) บณั เฑาะว์ (ตะลงุ ปงุ ปัง) ตะโพน กลองทดั โทน มีการรอ้ ง ขับประกอบดนตรี (ช่างขบั ) มีวงประโคม ซึ่งประกอบดว้ ย แตรและกลอง นอกจากน้ี ลาลแู บรย์ ัง บนั ทกึ บท รอ้ งเพลงสายสมรไว้ดว้ ย  หนังสือจนิ ดามณี ปรากฏโคลงในหนังสือจนิ ดามณี บรรยายถงึ วงมโหรีไวว้ ่า นางขบั ขานเสียงแจ้ว พึงใจ ตามเพลงกลอนกลใน ภาพพร้อง มโหรบี รรเลงไฉน ซอพาทย์ ทับ กระจับป่ี กอ้ ง เร่งเรา้ รัญจวนฯ วงดนตรีไทย ทีป่ รากฏในสมัยกรุงศรีอยธุ ยา ได้แก่  วงขับไม้ ประกอบด้วย คนรอ้ งหรือขบั ลานา บณั เฑาะว์ ซอสามสาย (เปน็ วงดนตรีไทยที่ สบื ทอดมาต้งั แต่สมยั สโุ ขทัย) โดยวงขบั ไมใ้ ชใ้ นพระราชพธิ สี มโภชต่างๆ เชน่ พธิ ีสมโภชชา้ งเผอื ก เป็นต้น  วงมโหรี จะมีหลายหลายแบบ เชน่ วงมโหรีเครอื่ งสี่ ประกอบด้วยเคร่อื งดนตรี ดังน้ี คน รอ้ งพร้อมตกี รบั พวง ซอสามสาย กระจับป่ี และทับ วงมโหรีเคร่ืองหก ประกอบดว้ ย โดยวงมโหรีเป็นวง สาหรบั ขับกลอ่ มในพระราชสานกั นอกจากนี้ ในโคลงบทหนง่ึ ในหนงั สอื จนิ ดามณีก็มีการกลา่ วถงึ วงมโหรี ตามทอี่ ธบิ ายแล้วข้างต้น

๑๐ ภาพท่ี ๑๗ วงมโหรีเครอ่ื งส่ี ภาพท่ี ๑๘ วงมโหรีเครอื่ งหก  วงเคร่อื งสาย เป็นการประสมวงดนตรีของชาวบ้านที่มกี ารรวมกนั เลน่ อย่างไ มม่ ีแบบแผน สดุ แต่ใครจะมีเคร่อื งดนตรีชนิดใด เช่น ซอดว้ ง ซออู้ จะเข้ กระจับปี่ โทน ฉิง่ ฉาบ เปน็ ต้น (ปัญญา รงุ่ เรือง, ๒๕๔๖: ๙๖)  วงปพ่ี าทย์ แบง่ เป็น ๒ ชนดิ คอื วงปี่พาทยเ์ ครือ่ งห้าอย่างเบา และวงปพี่ าทย์เคร่อื งห้าอยา่ ง หนกั วงปี่พาทย์เคร่ืองห้าอย่างเบา อาจเรี ยกวา่ ปพ่ี าทยช์ าตรกี ็ได้ เน่อื งจากใชบ้ รรเลงประกอบการเลน่ โนรา ชาตรี ประกอบด้วย ปน่ี อก โทนชาตรี กลองชาตรี ฆ้องคู่ ฉิ่ง ปพ่ี าทย์เคร่อื งหา้ อย่างหนัก ประกอบดว้ ย ป่ใี น ระนาด ฆอ้ งวง ตะโพน กลองทัด (๑ ใบ) ภาพที่ ๑๙ วงปพี่ าทยเ์ ครื่องห้าอยา่ งเบาหรือวงปี่พาทย์ชาตรี ภาพท่ี ๒๐ วงปพ่ี าทยเ์ ครอ่ื งหา้ อยา่ งหนัก  วงปี่กลอง เป็นการประสมวงประเภทวงเครอื่ งประโคมเพื่อใชใ้ นพระราชพิธี เชน่ วงปี่ไฉน กลองชนะ และมกี ารประสมวงปีก่ ลองเพอื่ ใชใ้ นพิธกี ารอน่ื ๆ เชน่ ป่ีชวากลองแขก เปน็ ต้น บทเพลง ในสมัยกรงุ ศรีอยธุ ยา พบหลกั ฐานท่ีบันทึกเรอ่ื งบทเพลงไวม้ ากมาย แบง่ ได้หลายประเภท เช่น ประเภทเพลงหน้าพาทย์ ใชบ้ รรเลงเพอื่ ประกอบการแสดงหรอื ประกอบพธิ กี รรม ประเภทเพลงเกรด็ ใช้ บรรเลงเพอื่ การฟงั ซ่งึ สว่ นมากจะเปน็ การจดจาสบื ทอดตอ่ กนั มา ไมม่ ีการบันทึก อยา่ งไรกต็ าม ชาวตา่ งชาติ ไดบ้ นั ทึก โน้ตและเนือ้ รอ้ งเพลงไทย ทป่ี รากฏหลักฐานชัดเจน จานวน ๒ เพลง คอื เพลงสดุ ใจ และเพลง สายสมร รายละเอียดดงั น้ี

๑๑  เพลงสดุ ใจ บนั ทกึ โน้ตเพลงโดยนายเชอรเ์ ว (Gervaise) เมื่อ พ.ศ.๒๒๓๑ บันทกึ ไวว้ า่ ชอ่ื เพลง “สดุ ใจ” (Sout Chai) พรอ้ มมีเนอ้ื รอ้ งภาษาฝรั่งเศสกากับไวใ้ ตโ้ นต้ โดยเน้ือรอ้ งขน้ึ ต้นวา่ “สดุ ใจเอย”  เพลงสายสมร บนั ทกึ โนต้ โดยนายซมี อง เดอ ลา ลแู บร์ (Simon de La Loubere) พ.ศ. ๒๒๒๖ พรอ้ มมีเนอื้ ร้องภาษาฝร่งั เศสกากับไวใ้ ตโ้ น้ต โดยเนื้อร้องขึน้ ตน้ วา่ “สายสมรเอย” บทบาทและหน้าที่ของดนตรีไทยในสมยั กรุงศรีอยธุ ยา แบง่ ได้ ๓ ประเภท คือ ๑. หนา้ ท่ีประกอบการแสดงมหรสพ เช่น หนังใหญ่ โขน ละคร ๒. หน้าท่ีขบั กลอ่ ม หรือบรรเลงเพอื่ การฟงั ได้แก่ วงมโหรใี ช้ขบั กลอ่ มในราชสานกั และวง เคร่อื งสาย สาหรบั ความบันเทิงของชาวบา้ น ๓. หน้าทป่ี ระกอบพิธี กรรม ได้แก่ การประโคมและการแหแ่ หน ดนตรบี รรเลงในพิธกี รรม ตา่ งๆ การละเลน่ และศลิ ปะอนื่ ๆ ท่เี กี่ยวขอ้ ง ในสมัยกรุงศรีอยธุ ยา มีการละเลน่ อน่ื ๆ ท่เี ก่ยี วข้องกับดนตรี ไทย ยกตวั อย่างเชน่ ๑. โขน ใชว้ งป่ีพาทย์เครือ่ งห้าอย่างหนกั บรรเลงประกอบ เพลงทใ่ี ชค้ อื เพลงหน้าพาทย์ ๒. ละครนอก ใช้วงปีพ่ าทยเ์ คร่ืองห้าอย่างเบาบรรเลงประกอบ เพลงท่ใี ชค้ ือเพลงหนา้ พาทย์ ๓. ละครใน ใชว้ งปพ่ี าทย์เคร่ืองหา้ อย่างหนักบรรเลงประกอบ เพลงทใ่ี ช้คอื เพลงหนา้ พาทย์ ๔. หนงั ใหญ่ บทพากยห์ นังใหญ่ในสมทุ รโฆษคาฉนั ท์กลา่ วถึงดนตรีไทย ดงั น้ี ลงการากษสสา้ แดง อยุธยากล้าแขง็ จะเล่นให้ท่านทง้ั หลายดู ชัยศรโี ขลนทวารเบกิ บานประตูฆอ้ งกลองตะโพนครู ดเู ล่นให้สขุ สา้ ราญ จึงจดุ ธปู เทียนฉับพลันจบเศียรโบกควัน แล้วเจมิ ซ่งึ ปลายศรชยั พลโหข่ านโหห่ วัน่ ไหวป่ีแแจ้วจบั ใจ ตะโพนและกลองฆอ้ งขาน เรง่ เร็วเอาเทยี นตดิ ปลายศรอี ่านเวทยข์ อพร ศรสี วสั ดิ์สมพอง พลโห่ขานโหท่ ัง้ ผองพณิ พาทยต์ ะโพนกลอง ดเู ล่นให้ส้าราญ

๑๒ ภาพท่ี ๒๑ การเล่นหนงั ใหญ่ ๕. กาพยเ์ หเ่ รอื ๖. มหาชาตคิ าหลวง มีการกลา่ วถงึ ดนตรี เช่น การขับรา ตแี ฉ่ง กลองประเภทตา่ งๆ ดรุ ยิ างค์ สงั คีต แตรสงั ข์ ปี่จีน ปแ่ี ก้ว สรไน มโหระทึก จะเข้ ดนตรีไทยสมยั รัตนโกสินทร์  สมยั รัชกาลท่ี ๑ (พ.ศ.๒๓๒๕ - พ.ศ.๒๓๕๒) ได้มกี ารเพิ่มกลองทัดเขา้ ไปในวงปีพ่ าทยเ์ ครอ่ื งห้า จากสมยั กรุงศรีอยุธยาทม่ี ีเพียงใบเดยี ว เพิม่ เปน็ ๒ ใบ มีเสยี งสูงใบหนึง่ เสียงดงั “ตู๊ม” และมเี สยี งต่าใบหนง่ึ เสยี งดัง “ตอ้ ม” ภาพที่ ๒๒ วงป่พี าทยเ์ ครอ่ื งห้า สมัยรชั กาลท่ี ๑ แห่งกรุงรตั นโกสินทร์ นอกจากนี้ พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟา้ จฬุ าโลก โปรดเกลา้ ฯ ให้ขุดคลองตอ่ จากคลองรอบ กรงุ เมอื่ พ.ศ.๒๓๒๘ พระราชทานนามวา่ “คลองมหานาค” ตามแบบอยา่ งคลองนอกเขตพระนครทกี่ รงุ ศรี อยุธยา วตั ถุประสงคข์ องการขุดคลองนเี้ พอ่ื ให้ใช้เล่น เพลงสักวาในฤดนู ้าหลากเหมือนประเพณีเดมิ ในสมยั กรงุ ศรีอยธุ ยา ดงั ในหนังสอื ประชุมบทสักวาเลน่ ถวายในรชั กาลที่ ๕ อธิบายวา่ “ในกรุงรัตนโกสนิ ทร์นี้

๑๓ สกั วาเล่นกันมาตงั้ แตร่ ชั กาลที่ ๑ ท่ีโปรดฯ ให้ขุดคลองมหานาคทา้ เปน็ เกาะเกียน อะไรตา่ งๆ ในรัชกาลที่ ๑ กจ็ ะได้เป็นทสี่ า้ หรบั ประชมุ เลน่ ดอกสรอ้ ยสักวา ตามฤดูกาล มาซาไปในรัชกาลที่ ๔ เพราะเล่นปพ่ี าทย์กนั มาก และเข้าใจวา่ เพราะพระราชทานอนุญาตให้ใครๆ เลน่ ละครผหู้ ญงิ ไดไ้ มห่ า้ มดังแต่กอ่ น ผู้มีบรรดาศักดิ์ เล่นปี่พาทยแ์ ละละครกันเสยี โดยมาก จงึ ไม่ใครม่ ใี ครเล่นสักวา ...” (คณะอาจารย์ภาษาไทย โรงเรียนเตรียม อุดมศกึ ษา, ๒๔๙๑ อา้ งโดย สงดั ภูเขาทอง, ๒๕๓๒) ตัวอยา่ งเพลงสกั ระวาพระทอง สักระวาขอบังคมองคพ์ รหมเมศ เสดจ็ ประเวศบรรลงั กท์ นี่ งั หงส์ ไหวส้ ยมภวู ญาณสา้ ราญองค์ เสด็จทรงโกสยี ์มณนี ลิ ไหว้นารายณ์ฤทธิรงค์ผทู้ รงครุฑ อยสู่ มทุ รทะเลนมบรรทมสินธ์ุ ทงั้ สามพระประเสรฐิ เลศิ ฟ้าดนิ อย่าราคินเชญิ มารบั ค้านบั เอย  สมัยรชั กาลที่ ๒ (พ.ศ.๒๓๒๕ - พ.ศ.๒๓๖๗ ) เปน็ ยคุ ท่ดี นตรีไทยมีความรุ่งเรอื งอย่างมาก สืบเนอ่ื งจากพระบาทสมเด็จพระพุทธเลศิ หลา้ นภาลัยทรงสนพระทัยในเรอ่ื งดนตรไี ทย อกี ทัง้ พระองคย์ งั มี พระปรีชาสามารถในด้านดนตรไี ทยโดยเฉพาะ ซอสามสาย ทา่ นทรงมีซอสามสายคู่พระหัตถช์ อื่ ว่า “ซอ สายฟา้ ฟาด” อีกท้ังท่านพระราชนิพนธ์ “เพลงบุหลนั ลอยเลอ่ื น” หรอื “เพลงสรรเสริญพระจันทร์ ” และเป็น ทีร่ จู้ กั กันดใี นชอื่ “เพลงทรงพระสบุ ิน ” เหตจุ ากคืนหนง่ึ ทา่ นเสดจ็ เขา้ ทีพ่ ระบรรทม และทรงพระสุบนิ วา่ พระองค์เสดจ็ พระราชดาเนนิ ไปในสถานที่แหง่ หนึง่ เปน็ รมณียสถานสวยงาม ข ณะนั้นทอดพระเนตรเห็น ดวงจันทร์ลอยเข้ามาใกลพ้ ระองค์และสาดแสงสวา่ งไสวไปทัว่ บริเวณ ทันใดนั้น กไ็ ดท้ รงสดับเสียงดนตรี ทพิ ยอ์ ันไพเราะเสนาะพระกรรณ สร้างความเพลดิ เพลนิ พระราชหฤหยั ครน้ั แลว้ ดวงจนั ทรก์ ็คอ่ ยๆ เล่ือนลอย ถอยหา่ งออกไปในท้องฟ้า ท้ังเสยี งดนตรีกค็ อ่ ยๆ หายไป พลั นกเ็ สดจ็ ต่นื พระบรรทม แมเ้ สดจ็ ต่นื พระ บรรทมแลว้ เสยี งดนตรใี นพระสุบินยังคงกงั วานอยู่ในพระโสต จึงโปรดใหเ้ จ้าพนักงานดนตรเี ข้ามาต่อเพลง ดนตรีนั้นไว้ แลว้ พระราชทานช่ือว่า “เพลงบุหลันลอยเลื่อน ” ซึง่ บทเพลงน้ี คร้ังหนง่ึ เคยเปน็ “เพลง สรรเสรญิ พระบารมี (แบบไทย)” และในสมัยรัชกาลที่ ๖ เพลงทรงพระสบุ ินได้ถกู ดดั แปลงใช้บรรเลงเปน็ “เพลงสรรเสริญเสอื ป่า” ดว้ ย นอกจากพระราชนิพนธเ์ พลงบุหลันลอยเลอื่ นแลว้ ทา่ นทรงพระกรณุ าโปรดพระราชทาน “ตราภมู ิ คุม้ หา้ ม ” ให้แก่เจ้าของสวนมะพร้าวที่มีตน้ มะพรา้ วซออยใู่ หส้ วน เพือ่ ไมต่ อ้ งเสียภาษีอากร เนอื่ งจ าก กะโหลกซอสามสายต้องตอ้ งใช้กะลามะพรา้ วเป็นปมุ่ สามเส้า มรี ปู ลักษณะพเิ ศษ เป็นของหายาก มไิ ดม้ ีอยู่ ทว่ั ไปทุกสวนมะพรา้ ว นอกจากน้ี ในสมัยรชั กาลท่ี ๒ การขบั เสภาเป็นมหรสพท่ีชาวบ้านให้ความนิยม เสภาในอดตี เป็น เพียงการขบั ทานองเสภาอย่างเดียว โดยใช้กรบั เสภา ๒ คู่เข้าประกอบการขับเท่านัน้ ต่อมามกี ารนาวงปี่พาทย์

๑๔ เข้าไปประกอบเพือ่ ใหช้ ่างขบั ไดพ้ กั เหนื่อย ต่อมาชา่ งขับได้นาทานองอยา่ งละครและมีการนาเอาป่ีพาทย์เขา้ ไปรบั ค่นั ร้อง และมีการนา “กลองสองหน้า” มาใชต้ ีหนา้ ทับแทนตะโพนกลองทัด เรียกวงปีพ่ าทยช์ นิดน้วี า่ “วงปี่พาทย์เสภา” ภาพที่ ๒๓ วงปพี่ าทย์เสภา ภาพท่ี ๒๔ กลองสองหน้า  สมัยรัชกาลท่ี ๓ (พ.ศ.๒๓๖๗ - พ.ศ.๒๓๙๔) มีการสรา้ งเครือ่ งดนตรไี ทยขน้ึ เพ่มิ อีก ๒ ชนิด คอื ระนาดทุ้ม และฆ้องวงเล็ก เพอ่ื นามาประสมในวง ป่พี าทย์ จากเดมิ เปน็ วงปพี่ าทยเ์ ครือ่ งห้า เมือ่ เพม่ิ เครื่อง ดนตรีไทยทัง้ ๒ ชนิดเขา้ ไปจะเปน็ “วงปี่พาทยเ์ ครือ่ งคู่” การประสมวงดนตรไี ทยสมัยนเ้ี ปลยี่ นแปลงไปจากเดมิ มาก ลีลาการบรรเลงและเสยี งของวงปพี่ าทย์ กเ็ ปลีย่ นไปเชน่ กัน คือ มีเสยี งทมุ้ เพม่ิ ขึ้น มลี ีลาการหยอกล้ อระหวา่ งเครอ่ื งหนา้ และเคร่ืองหลัง ทางฆอ้ งวง เลก็ และทางระนาดทุ้มทาใหว้ งปี่พาทย์มสี สี นั และชวี ติ ชีวาเพิ่มมากกวา่ แต่ก่อน เคร่ืองดนตรไี ทยทีเ่ ปน็ ประเภทเคร่อื งหนา้ ไดแ้ ก่ ป่ีพาทย์ ระนาดเอก ปใ่ี น เครอ่ื งสาย ซอดว้ ง จะเข้ ประเภทเครอื่ งหลงั ไดแ้ ก่ ปพี่ าทย์ ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงเล็ก ระนาดทุม้ เครือ่ งสาย ซออู้ ขล่ยุ นกั ดนตรไี ทย ในสมัยรชั กาลที่ ๓ มีนกั ดนตรที ีม่ ชี ่อื เสยี งคอื พระ ประดษิ ฐ์ไพเราะ (มี ดรุ ิยางกรู หรอื ครมู แี ขก) ดงั ปรากฏในบทไหวค้ รู เสภา ขนุ ชา้ งขุนแผนว่า “ครมู ีแขกคนนเ้ี ขาดีครัน เป่าทยอยลอยล่ันบรรเลง ฦๅ” พระ ประดษิ ฐไ์ พเราะ (มี ดุริยางกรู ) สามารถบรรเลงเครือ่ งดนตรไี ดห้ ลายชนิด ไดร้ ับยกยอ่ งเป็นพิเศษคือ ปี่และซอสามสาย รับราชการตาแหนง่ ปลัดจางวาง มหาดเล็ก เป็นครแู ละหัวหนา้ วงปพี่ าทยข์ องพระบาทสมเด็จพระปน่ิ เกลา้ เจา้ อย่หู วั เปน็ ต้นตารับการแต่งเพลงลูกลอ้ ลูกขัดหรอื เพลงประเภทเพลงทยอย ภาพที่ ๒๕ พระประดิษฐไพเราะ ไดแ้ ต่งเพลงไว้เปน็ จานวนมาก เชน่ เพลงจนี แส เพลงอาเฮยี เพลง (มี ดรุ ิยางกูร หรอื ครมู แี ขก) ชมสวนสวรรค์ เพลงแปะ เพลงทยอยใน เพลงทยอยนอก ทยอยเด่ียว และ ไดร้ บั พระราชทานบรรดาศกั ดิเ์ ปน็ พระประดษิ ฐ์ไพเราะ จากการประพนั ธเ์ พลงเชิดจนี

๑๕  สมัยรชั กาลที่ ๔ (พ.ศ.๒๓๙๔ - พ.ศ.๒๔๑๗) ได้มีการประดิษฐ์ เคร่ืองดนต รี เพิม่ ข้นึ อีก ๒ ชนิด เลยี นแบบ ระนาดเอก และระนาดทุ้ม โดยใชโ้ ลหะทาลูกระนาด และทารางระนาดใหแ้ ตกต่างไป เรยี กวา่ ระนาดเอกเหล็ก และระนาดทมุ้ เหลก็ นามาบรรเลงเพม่ิ ในวงป่ีพาทยเ์ คร่อื งคู่ ทาให้ขนาดของวงป่พี าทยข์ ยาย ใหญข่ น้ึ จึงเรยี กวา่ “วงป่ีพาทย์เครื่องใหญ่” กล่าวเฉพาะ ระนาดทุ้มเหลก็ เปน็ เครือ่ งตที พ่ี ระบาทสมเดจ็ พระ ปน่ิ เกล้าเจ้าอย่หู วั ไดท้ รงพระราชดารใิ หส้ รา้ ง โดยถา่ ยทอดมากจากหีบเพลงฝรั่งอย่างเป็นเคร่ืองเขยี่ หวีเหลก็ ภาพท่ี ๒๖ วงป่ีพาทยเ์ คร่ืองใหญ่ ในสมยั นี้ นยิ มการรอ้ งเพลงสง่ ให้ดนตรีรบั หรอื ทเี่ รียกว่า “การร้องสง่ ” กันมากจนกระทงั่ การ ขับเสภาซึ่งเคยนยิ มกนั มาก่อนคอ่ ยๆ หายไป นักดนตรไี ทย ที่มีช่ือเสียงในสมัยน้ี ไดแ้ ก่ พระประดษิ ฐไพเราะ (มี ดุรยิ างกรู ) และครชู ้อย สนุ ทร วาทิน ครชู อ้ ย สุนทรวาทนิ (ไมท่ ราบปีท่เี กิดและปีทถ่ี งึ แกก่ รรม ) เป็นบุตรนายทง่ั บดิ า เป็นนักดนตรที ่มี ี ชอ่ื เสยี งในสมัยรตั นโกสนิ ทร์ตอนต้น ครชู ้อยมภี รรยาชื่อไผ่ มีบตุ รธดิ า ๔ คน เปน็ นกั ดนตรีท่ีมชี ่ือเสยี ง คอื พระยาเสนาะดรุ ยิ างค์ (แช่ม สุนทรวาทนิ ) เจา้ กรมพณิ พาทยห์ ลวงในรัชสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้า เจา้ อยหู่ วั ครูชอ้ ย สนุ ทรวาทนิ ตาบอดตัง้ แตย่ ังเดก็ ได้เรยี นดนตรกี บั บิดาจนมีความสามารถเปน็ อยา่ งย่ิง สอน ดนตรใี นพระบรมมหาราชวงั ตาหนกั และบา้ นข้าราชการชั้นผ้ใู หญ่หลายแหง่ และสอนประจาที่วงปีพ่ าทย์ วดั นอ้ ยทองอยู่ ศษิ ย์ทม่ี ีชือ่ เสยี ง เช่น พระยาเสนาะดรุ ยิ างค์ (แชม่ สุนทรวาทิน ) พระยาประสานดรุ ิยศัพท์ (แปลก ประสานศพั ท์) พระประดบั ดรุ ยิ กิจ (แหยม วณี ิน) หลวงบรรเลงเลิศเลอ (กร กรวาทนิ ) ครชู ้อยทา่ น ได้แตง่ เพลงไว้เป็นจานวนมาก ประเภทเพลงสามชัน้ เช่น เพลงแขกลพบุรี เพลงบังใบ เพลงอกทะเล เพลง แขกโอด เพลงใบ้คลั่ง เพลงเทพรัญจวน เพลงเขมรราชบุรี เพลงมาลหี วน ประเภทเพลงโหมโรง เชน่ เพลง โหมโรงครอบจกั รวาล เพลงโหมโรงมะลเิ ล้ือย เพลงโหมโรงไอยเรศ เปน็ ตน้  สมัยรัชกาลท่ี ๕ (พ.ศ.๒๔๑๑ - พ.ศ.๒๔๕๓ ) ในสมัยน้ี สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟา้ กรมพระยานรศิ รานุวดั ตวิ งศ์ ได้ทรงพระดารปิ รับปรงุ วงป่พี าทยด์ กึ ดา้ บรรพ์ ข้นึ เพือ่ ประกอบการแสดง ละครดกึ ดาบรรพ์ ทเ่ี จ้าพระยาเทเวศรว์ งศว์ วิ ัฒน์ (หมอ่ มราชวงศ์หลาน กญุ ชร ) ไดป้ ระดษิ ฐ์ข้นึ ตามแนว

๑๖ ทางการแสดงโอเปรา่ (opera) ของตะวันตก ในการปรับปรุงวงปพ่ี าทย์ดึกดาบรรพท์ าให้มีเคร่อื งดนตรี เกิดขึ้นใหม่ ๒ ชนิด คือ กลองตะโพน กบั ฆอ้ งห่ยุ ๗ ใบ นอกจากน้ี หวั ใจของวงปี่ พาทยด์ กึ ดาบรรพ์อยู่การ ตดั เคร่ืองดนตรที ่มี เี สยี งสงู ได้แก่ ป่ี ฆ้องวงเล็ก ซอด้วง ออก และไมต้ ีใช้ไมน้ วม สา เหตุทีช่ ่ือวงดนตรีดกึ ดา บรรพเ์ นื่องจากนาไปบรรเลงประกอบการแสดงละครดึกดาบรรพท์ ต่ี ัง้ ช่อื ตามโรงละครซ่งึ เป็นสถานท่แี สดง กลองตะโพน คอื ตะโพนแต่นามาตีอย่างกลองทดั โดยใช้ไม้นวมทต่ี ีระนาดเป็นไมต้ ี ไมไ่ ด้ใช้ฝ่ามอื ตอี ย่างตะโพน จงึ เรียกกนั วา่ “กลองตะโพน” ซึง่ สมเดจ็ เจ้าฟ้ากรมพระยานรศิ รานุวัดติวงศท์ รงนามาใช้คราว ทรงปรบั ปรุงวงปี่พาทยส์ าหรับประกอบการแสดงละครดึกดาบรรพ์เมอ่ื ปลายรชั กาลท่ี ๕ โดยทรงประดษิ ฐ์ เท้าหรือท่ีต้งั สาหรบั วางรองตะโพนขา้ งหน่ึง ตัง้ ตะแคงลาดมาทางผตู้ อี ยา่ งกลองทัด นอกจากใช้ในวงปพ่ี าทย์ ดกึ ดาบรรพแ์ ล้วยงั ใชใ้ นวงปพ่ี าทยไ์ มน้ วมแทนกลองทดั ฆอ้ งหุย่ ๗ ใบ คอื ฆ้องหุ่ยเรยี งขนาดตามเสียง ๗ เสยี ง จะตีตามเสยี งสุดท้ายของวรรคเพลง ฆ้องหุ่ย ๗ ใบจะใช้ในวงปพ่ี าทย์ดกึ ดาบรรพเ์ ท่านน้ั ภาพท่ี ๒๙ วงปพ่ี าทย์ดกึ ดาบรรพ์ ภาพที่ ๓๐ กลองตะโพน ภาพที่ ๓๑ ฆอ้ งหุ่ย ๗ ใบ

๑๗ บทเพลงไทย ที่ไดร้ ับความนยิ มตั้งแตส่ มยั รชั กาลท่ี ๕ จนถึงปจั จบุ ัน ได้แก่ เพลงเขมรไทรโยค และ เพลงลาวดวงเดอื น เพลงเขมรไทรโยค สมเด็จพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยานริศรานุวดั ตวิ งศ์ ทรงนพิ นธ์เพลงเขมร ไทรโยค เมอ่ื ครงั้ ตามเสดจ็ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ ัวประพาสน้าตกไทรโยค จงั หวัด กาญจนบรุ ี บทร้องเพลงเขมรไทรโยค ไดบ้ รรยายความงามของน้าตกไทรโยค และมีบทร้ องทร่ี ้องแทนเสียง นา้ พุ “มนั ดงั จอกจอก โครมโครม” และเสียงนกยงู “ก้อก ก้อก กระโต๊งหง่ ” เพลงลาวดวงเดอื น เปน็ พระนพิ นธ์ของสมเด็จพระเจา้ บรมวงศ์เธอ พระองคเ์ จา้ เพ็ญพฒั นพงศ์ กรมหมนื่ พไิ ชยมหินทโรดม ซ่ึงเป็นที่ระลึกถึงเจา้ หญิงชมชืน่ หญงิ อนั เป็นท่รี กั โดยมรี ายละเอี ยดคือ ทรงแต่ง ในระหวา่ งเดนิ ทางไปราชการหัวเมอื งภาคเหนือและภาคอสี าน เดนิ ทางดว้ ยเกวียน ท่านไดแ้ นวการประพันธ์ เพลงจากเพลงลาวดาเนินทราย จงึ ต้ังช่อื ว่าเพลงลาวดาเนนิ เกวียน แต่เนือ่ งจากบทร้องเพลงนี้ขึน้ ตน้ วา่ “โอล้ ะ หนอ ดวงเดอื น” คนทว่ั ไปจึงเรยี กตามบทรอ้ งวา่ “ลาวดวงเดือน” นักดนตรไี ทย ท่มี ชี ่อื เสยี งในสมัยนี้ ไดแ้ ก่ พระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์ ) และ พระยาเสนาะดรุ ิยางค์ (แชม่ สุนทรวาทนิ ) พระยาประสานดรุ ยิ ศัพท์ (แปลก ประสานศพั ท์ ) (พ.ศ.๒๔๐๓ - พ.ศ.๒๔๖๗) เปน็ ผู้เชี่ยวชาญการบรรเลงเครอ่ื งดนตรีไทยทกุ ชนดิ ไดร้ ับ ยกยอ่ งเป็นพิเศษคอื ปี่ ขลุ่ย และระนาดเอก ทา่ นเคยตามเสดจ็ ฯ สมเดจ็ วงั บรู พาภริ มย์ไปประเทศองั กฤษ ตรงกับรชั สมยั ของสมเด็จพระราชนิ ีนาถ วิคตอเรีย ครง้ั น้ันนายแปลกได้ทาใหช้ าวอังกฤษ รวมถึงสมเดจ็ พระราชนิ ี นาถวติ อเรียพศิ วงในวธิ ีการเปา่ ป่แี ละขล่ยุ ของไทย จนต้องถามว่า “หายใจ อย่างไร” เนื่องจากขลยุ่ และปไี่ ทยมีเทคนิค “ระบายลม” ท่ีเปา่ แลว้ เสียงไม่ ภาพที่ ๒๗ พระยาประสานดุริยศพั ท์ ขาดชว่ งได้เป็นเวลานาน จะเหน็ ได้ว่าความสามารถทางดนตรีของพระยา (แปลก ประสานศพั ท)์ ประสานดุรยิ ศพั ท์ (แปลก ประสานศัพท์ ) นบั ได้วา่ เป็นเลิศทงั้ ฝีมือ ความรู้ ปฏิภาณไหวพริบ ความเปน็ ครู และความเป็นศลิ ปนิ ทา่ นแต่งเพลงไว้จานวนมาก เช่น เพลงเขมรปาก ท่อ เถา เพลงพม่าหา้ ท่อน สามชั้น เปน็ ตน้ ท่านเป็นครูสอนดนตรใี นวงั ตา่ งๆ เชน่ วังบูรพาภิรมย์ สอนดนตรี วงเครอื่ งสายหญงิ ของเจา้ ดารารัศมี ท่านรับราชการตาแหนง่ สงู สดุ คอื เจา้ กรมพณิ พาทยห์ ลวง ศษิ ย์ท่มี ี ชอ่ื เสียง เช่น หลวงประดษิ ฐไพเราะ (ศร ศลิ ปบ รรเลง) พระเพลงไพเราะ (โสม สวุ าทิต ) พระยาภูมเี สวนิ (จติ ร จิตตเสวี) นายมนตรี ตราโมท นายเฉลิม บวั ทั่ง เปน็ ต้น

๑๘ พระยาเสนาะดุริยางค์ (แชม่ สุนทรวาทิน ) (พ.ศ.๒๔๐๙ – พ.ศ. ๒๔๙๒) เปน็ บุตรของนายชอ้ ยครดู นตรที ่ีมีชอ่ื เสยี งมากในสมัยรัชกาลที่ ๓ ดังน้นั ท่านจงึ เรยี นดนตรีกบั บิดาจนมคี วามเชยี่ วชาญ ไดเ้ ป็นนกั ดนตรีในวง ปพ่ี าทย์ของเจ้าพระเทเวศรว์ งศ์ววิ ัฒน์ (หมอ่ มราชวงศ์หลาน กุญชร ) รบั ราชการเปน็ เจา้ กรมปพี่ าทย์หลวง ในสมยั รชั กาลที่ ๕ เป็นผคู้ วบคุมวง ดนตรหี ลวงทัง้ ป่ีพาทย์และมโหรี ฝึกซอ้ มและควบคมุ การแสดงละครดึกดา บรรพ์ บทพระนพิ น ธใ์ นสมเด็จพระเจา้ บรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานรศิ รานวุ ดั ตวิ งศ์ เปน็ ผู้ควบคุมวงปพี่ าทยข์ องเจ้าพระยาธรรมาธกิ รณาธิบดี (หม่อมราชวงศป์ ้มุ มาลากลุ ) ภาพท่ี ๒๘ พระยาเสนาะดรุ ิยางค์ พระยาเสนาะดรุ ิยางค์ (แชม่ สุนทรวาทนิ ) แตกฉานการดนตรแี ละ (แช่ม สุนทรวาทิน) เครื่องดนตรีทกุ ชนดิ ท่ีมเี สียงเลื่องลอื คอื ปี่และระนาด เอก มพี รสวรรค์ในดา้ นการขบั ร้องเปน็ อยา่ งมาก ได้พัฒนาการขบั รอ้ งจากแบบแผนเดมิ ให้มลี ีลาแบบใหม่ ทา่ นได้ประพันธ์เพลงไว้หลายเพลง เช่น ตับ มอญกละ เพลงอาเฮยี เถา และท่ีสาคญั คอื ทางรอ้ งเพลงต่างๆ อันเป็นหลกั และแบบอย่างแกก่ ารร้องเพลงไทย ในปัจจุบนั  สมยั รัชกาลที่ ๖ (พ.ศ.๒๔๕๓ - พ.ศ.๒๔๖๘) ถอื เปน็ ยุคทองของดนตรไี ทย ท่านทรงโปรดการ ละครและการดนตรี ทรงพระราชนิพนธห์ นังสอื บทละครชนดิ ตา่ งๆ รวมทัง้ บทละครแบบตะวันตก พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจ้าอยหู่ ัว ทรงจดั ตัง้ กรมมหรสพแยกจากกรมโขนหลวง ทรงจดั ต้ังกรมพณิ พาทย์หลวงดูแลเรื่องของป่ีพาทย์ เครื่องสาย และกลองแขก ปชี่ วา เพือ่ ใชบ้ รรเลงประกอบพระราชพธิ ีตา่ งๆ โดยมีวงปพี่ าทยว์ งหน่งึ สาหรบั ตามเสด็จฯ เรียกวา่ “วงขา้ หลวงเดิม” ต่อมาเรยี กวา่ “วงตามเสด็จ” นอกจากน้ี การละครและดนตรีเจริญรงุ่ เรืองมาก ตามวังเจ้านายและคหบดี ต่างมวี งปีพ่ าทย์และครทู ี่ มีภมู ิรปู้ ระจาวง เกดิ การพัฒนาด้านวชิ าการ ดนตรีทง้ั แนวคิด หลักการ วธิ ีการ ตลอดจนเทคนิคการประพนั ธ์ มกี ารวางระบบการบรรเลงหลากหลายวิธี ทง้ั แบบพ้ืนฐาน การบรรเลงชน้ั สงู และการบรรเลงเดีย่ ว เกดิ รูปแบบการประสมวงดนตรไี ทยกับเครื่องดนตรตี า่ งชาติ เชน่ เครอื่ งสายประสมขมิ เครอื่ งสาย ประสมเปยี โนของตะวนั ตก เปน็ ตน้ นบั เป็นแบบแผนที่เออ้ื ให้ดนตรไี ทยสามารถปรับตวั และสบื ทอดตอ่ ไป โดยไม่เสียเอกลักษณ์ เกิดกล่มุ นักดนตรใี นราชสานกั กลมุ่ นักดนตรอี าชพี และกลุ่มนกั ดนตรสี มคั รเล่น พระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หวั ทรงทานบุ ารุงบรรดาครดู นตรฝี ีมอื ดีใหก้ ินอยดู่ มี สี ุข และพระราชทานบรรดาศักดิ์ ให้กับนักดนตรี ในสมยั ของพระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ เจ้าอยหู่ วั มนี กั ดนตรแี ละนกั ร้องได้รบั พระราชทานบรรดาศกั ดเ์ิ ป็นจานวนประมาณ ๖๐ ตาแหน่ง เป็น \"พระยา\" ๒ ตาแหนง่ \"พระ \" ๖ ตาแหน่ง

๑๙ \"หลวง\" ๑๖ ตาแหนง่ \"ขุน\" ๑๓ ตาแหนง่ และ \"หมน่ื \" อีกประมาณ ๒๐ ตาแหน่ง มีราชทนิ นามเรียกคลอ้ ง จองกันตามลาดบั บรรดาศักดิ์ ดังนี้ ประสานดรุ ิยศัพท์ ประดับดรุ ยิ กิจ ประดิษฐ์ไพเราะ เสนาะดรุ ยิ างค์ สาอางค์ดนตรี ศรีวาทิต สิทธ์ิวาทิน พณิ บรรเลงราช พาทย์บรรเลงรมย์ ประสมสังคีต ประณีตวรศัพท์ คนธร รพวาที ดนตรีบรรเลง เพลงไพเราะ เพราะสาเนยี ง เสียงเสนาะกรรณ สรรเพลงสรวง พวงสาเนยี งรอ้ ย สร้อย สาเนียงสนธ์ วมิ ลวังเวง บรรเลงเลศิ เลอ บาเรอจติ รจรุง บารงุ จิตรเจริญ เพลนิ เพลงประเสริฐ เพลดิ เพลง ประชัน สนั่นบรรเลงกิจ สนทิ บรรเลงการ สมานเสยี งประจักษ์ สมัคเสยี งประจิตร์ วาทติ สรศลิ ป์ วาทนิ สร เสยี ง สาเนยี งชั้ นเชิง สาเรงิ ชวนชม ภิรมย์เรา้ ใจ พไิ ลรมยา วณี าประจนิ ต์ วีณนิ ประณตี สงั คตี ศพั ท์เสนาะ สังเคราะห์ศัพท์สอาง ดุริยางคเ์ จนจังหวะ ดรุ ยิ ะเจนใจ ประไพเพลงประสม ประคมเพลงประสาน ชาญเชิง ระนาด ฉลาดฆ้องวง บรรจงทุ้มเลศิ บรรเจิดปี่เสนาะ ไพเราะเสียงซอ คลอขลุ่ยคลอ่ ง วอ่ งจะเ ข้รบั ขับคา หวาน ตันตรกิ ารเจนจิต ตันตรกิ ิจปรีชา นารทประสาทศพั ท์ คนธรรพประสิทธสิ์ าร และยังมีจตุสดมภ์อกี ๔ คอื เจน จัด ถนดั ถนอม ลงทา้ ยด้วยดรุ ยิ างค์หมด ได้แก่ เจนดุริยางค์ จดั ดุรยิ างค์ ถนัดดรุ ิยางค์ ถนอมดรุ ิยางค์ มีเครอื่ งดนตรชี นดิ ใหม่ในวงการดนตรีไทย คอื องั กะลงุ โดยหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศลิ ป บรรเลง ดดั แปลงจาก อุงคะลงุ ของชวา คราวตามเสดจ็ เจา้ ฟา้ กรมพระยาภาณพุ ันธวุ งศ์วรเดชไปประเทศ อนิ โดนเี ซีย นอกจากนนั้ ยังไดป้ ระพันธเ์ พลงไทยสาเนยี งชวาหลา ยบทเพลง เช่น ยะวา บูเซน็ ซอค สะมารัง กระหรดั รายา เปน็ ตน้ มกี ารตั้งกองเครือ่ งสายฝรงั่ หลวงซง่ึ เป็นวงดนตรีสากล โดยผวู้ างรากฐานสาคญั ของการพัฒนา ดนตรีสากลในราชการนก้ี ็คือ พระเจนดุริยางค์ (ปติ ิ วาทยะกร) ภาพที่ ๓๕ พระเจนดรุ ยิ างค์ ภาพที่ ๓๖ วงเคร่ืองสายฝรงั่ หลวงสมัยรชั กาลที่ ๖ (ปติ ิ วาทยะกร) นักดนตรีไท ย ทมี่ ชี อ่ื เสียงในสมยั นี้ ไดแ้ ก่ สมเดจ็ ฯ เจา้ ฟา้ บรพิ ตั รสขุ มุ พนั ธ์ กรมพระนครสวรรค์ วรพินิต หลวงประดษิ ฐ ไพเราะ (ศร ศลิ ปบรรเลง ) และจางวางทัว่ พาทยโกศล ทัง้ ๓ ดุริยกวเี กิดปีเดียวกนั คือ พ.ศ.๒๔๒๔ ปีมะเสง็

๒๐ สมเด็จพระเจา้ บรมวงศ์เธอเจ้าฟา้ บรพิ ัตรสุขุมพันธุ์ กรมพ ระ นครสวรรค์วรพนิ ิต (พ.ศ.๒๔๒๔ - พ.ศ.๒๔๘๗ ) หรอื ทนู กระหม่อม บริพัตรฯ หรือ สมเดจ็ วงั บางขุนพรหม ทรงเป็นพระราชโอรสใน พระบาทสมเด็จพระ จลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว รัชกาลที่ ๕ และพระนางเจา้ สุขมุ าลมารศรี พระราชเทวี ประสตู ิเมื่อวันที่ ๒๙ มิถนุ ายน พ.ศ.๒๔๒๔ ใน ด้านดนตรี ทูนกระหมอ่ มบริพตั รฯ ไดร้ ั บการยกย่องว่าทรงเปน็ นักดนตรี นัก ภาพที่ ๓๒ สมเดจ็ พระเจ้าบรมเธอ แตง่ เพ ลงไทยสากล และเป็นคนไทย คนแรกทเ่ี รยี นรแู้ ละแตง่ เพลงโดย เจ้าฟา้ บรพิ ัตรสุขุมพนั ธุ์ กรมพระ วธิ ีการเขียนเปน็ โน้ตสากล โดยแยกเสียงประสานถูกต้องตามหลักสากล นครสวรรคว์ รพินติ นิยม นอกจากน้นั ท่านทรงชานาญซอสามสาย ทูนกระหมอ่ มบริพัตรฯ ทรงแตง่ เพลงสากล เชน่ เพลงว อลซ์ ประชุมพล วอลซเ์ มขลา มาร์ชบริพตั ร ฯลฯ นอกจากน้ยี งั ทรงแยกเสยี งประสานเพลงไทยสาหรับบรรเลงดว้ ย วงโยธวาทิต ได้ทรงประดิษฐ์เพลงแตรวงไว้มากมายหลายเพลง เช่น มหาฤกษ์ มหาชัย สรรเสริญเสอื ปา่ (บหุ ลันลอยเลื่อนทางแตร) เขมรใหญเ่ ถา แขกสาหรา่ ยเถา แขกมอญบางขนุ พรหมเถา บุหลันชกมวยสามชนั้ หลวงประดษิ ฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง ) (พ.ศ.๒๔๒๔ - พ.ศ.๒๔๙๗) เกิดวันที่ ๖ สงิ หาคม พ .ศ.๒๔๒๔ เป็นบุตรนายสนิ กบั นาง ย้ิม บิดาเปน็ นักดนตรไี ทยทีม่ ชี อื่ เสียง หลวงประดษิ ฐไพเราะเริม่ เรียน ดนตรกี บั บิดา ตอ่ มาได้เป็นศิษยพ์ ระยาประสานดรุ ิยศัพท์ (แปลก ประสาน ศพั ท์) เรยี นเพลงมอญกบั ครูส่มุ ดนตรเี จริญ เปน็ มหาดเล็กในจอมพล สมเดจ็ พระราชปติ ลุ าบรมพงศาภมิ ุข เจา้ ฟ้าภาณุรงั ษีสว่างวงศ์ กรมพระยา ภาณุพนั ธวุ งศ์วรเดช ทาหน้าทน่ี ักดนตรแี ละครูสอนดนตรี ต่อมารบั ภาพท่ี ๓๓ หลวงประดษิ ฐไพเราะ ราชการเปน็ ปลัดกรมปีพ่ าทย์หลวงในสมัยรัชกาลที่ ๗ และมโี อกาสถวาย (ศร ศลิ ปบรรเลง) ความรู้ และแนะนาการแตง่ เพลงไทยแด่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า เจ้าอย่หู ัว เปน็ ผู้ควบคุมวงวังลดาวลั ยแ์ ละวงั บางคอแหลม หลวงประดษิ ฐไพเราะ (ศร ศลิ ปบรรเลง ) มีฝีมือในการบรรเลงเครอื่ งดนตรีไดด้ ที กุ ชนดิ ทไี่ ดร้ ับ การยกยอ่ งเปน็ พเิ ศษ คือ ระนาดเอก เปน็ ต้นตารบั การแต่งเพลงแบบต่างๆ เ ช่น เพลงกรอ การบรรเลงเด่ียว ระนาดเอก ๒ ราง แตง่ เพลงทม่ี ลี ูกนา (intro) ขน้ึ ต้น ริเรม่ิ การบรรเลงมหาดรุ ิยางค์ นาองั กะลุงและป่พี าทย์ มอญมาบรรเลงในไทย รเิ ร่ิมแตง่ เพลงทางเปลย่ี น และเปน็ ผ้คู ดิ โนต้ เลข ๙ ตวั เพือ่ ใชส้ อนดนตรไี ทย ท่านแต่ง เพลงไวเ้ ปน็ จานวนมาก เช่น เพลงเชิ ดจีน ทางวังบางคอแหลม เพลงนกเขาขะแมร์ เถา เพลงแสนคานึง เถา เพลงไส้พระจันทร์ เถา เปน็ ต้น

๒๑ จางวางทวั่ พาทยโกศล (พ.ศ.๒๔๒๔ - พ.ศ.๒๔๘๑) เกดิ เม่ือวนั ท่ี ๒๑ กนั ยายน พ .ศ.๒๔๒๔ เป็นบตุ รของหลวงกัลยาณมติ ตาวาส (ทับ พาทยโกศล) บดิ าเปน็ นักดนตรีท่ีมชี อ่ื เสียง กบั นางแสง มารดาเปน็ ผมู้ ีฝมี อื ในการดดี จะเข้ และเปน็ ครูสอนดนตรใี นราชสานกั รัชสมัยพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยหู่ ัว จางวางทั่วเรยี นดนตรกี ับบิดา มารดา และครู ทองดี ชูสตั ย์ ตอ่ มาเรียนระนาดและฆอ้ งวงกบั ครูรอด และยังได้เรยี นกบั ครตู ว่ น ครูทั่ง ครูชอ้ ย สนุ ทรวาทิน และพระยาปร ะสานดุรยิ ศัพท์ (แปลก ประสานศพั ท์) นอกจากนยี้ ังเรยี นการประสานเสียงกับสมเด็จพระเจ้าบรม ภาพที่ ๓๔ จางวางทวั่ พาทยโกศล วงศเ์ ธอ เจา้ ฟ้าบริพตั รสขุ ุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรคว์ รพนิ ิต จางวางทัว่ พาทยโกศล เปน็ ผทู้ ม่ี ฝี มี ือในการบรรเลงเครื่องดนตรีไดท้ ุกชนิด ท้งั ปี่พาทย์ เคร่อื งสาย และยังขับรอ้ งไดด้ ีอีกดว้ ย ท่านแต่งเพลงไว้เป็นจานวนมาก เชน่ เพลงตับนกสชี มพู เพลงกลั ยาเย่ยี มห้อง เถา เปน็ ต้น นอกจากนไี้ ดท้ าทางบรรเลงสาหรับวงโยธวาทติ อกี มาก และยังไดน้ าวงป่พี าทย์พาทยโกศลบรรเลง บนั ทกึ แผ่นเสยี งไวเ้ ป็นจานวนมาก ปัจจุบันบ้านพาทยโกศล เป็นแหล่งเรียนรู้ด้านดนตรีไทย อยู่บริเวณท้าย วัดกัลยาณมิตร เขตธนบุรี  สมัยรัชกาลที่ ๗ (พ.ศ.๒๔๖๘ - พ.ศ.๒๔๗๗) พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจา้ อยู่หัว ทรงสนพระทยั ทางดา้ นดนตรีไทยมาก มีซอประจาพระองค์ ช่ือ “ซอตนุ๋ ” พระองคไ์ ด้พระราชนพิ นธเ์ พลงไทยท่ไี พเราะไวถ้ ึง ๓ เพลง คอื ๑) เพลงโหมโรงคล่ืนกระทบฝัง่ ๒) เพลงเขมรลออองค์ เถา ๓) เพลงราตรปี ระดับดาว เถา นอกจากน้ี พระองค์และพระราชนิ ีไดโ้ ปรดให้ ครูดนตรี คือ หลวงไพเราะเสียงซอ (อุ่น ดูริยชีวิน) และหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) เข้าไป ถวายการสอนดนตรใี นวงั อกี ด้วย  สมยั รัชกาลที่ ๘ (พ.ศ.๓๔๗๗ - ๒๔๘๙) มีการประกาศนโยบาย รฐั นิยม ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาลจอมพลแปลก พบิ ลู สงคราม เพอ่ื ปลุก ระดมความรกั ชาตแิ ละปรบั ปรงุ วฒั นธรรมใหเ้ หมอื นอารยประเทศ โดยออกประกาศทัง้ หมด 12 ฉบับ โดยมี เนื้อหาทีเ่ กี่ยวข้องกับดนตรไี ทย ดงั นี้ - ฉบับที่ 6 เรือ่ งทานอง และเน้ือรอ้ งเพลงชาติ ตามท่ีจอมพล ป.พิบูลสงคราม มีมติใหเ้ ปลี่ยนเพลงชาตไิ ทยท่ีใช้มาต้งั แต่ พ.ศ.๒๔๗๕ โดยจัด ใหม้ กี ารประกวดเพลงชาติไทยข้นึ เมอ่ื วนั ที่ ๒๖ สงิ หาคม พ.ศ.๒๔๘๒ ในการประกวดครงั้ นี้มีผสู้ ่งบทร้อง เขา้ ประกวดมากมาย ผทู้ ี่ได้รับรางวลั ท่ี ๑ คอื พ.อ.หลวงสารานุประพนั ธ์ (นวล ปาจณิ พยัคฆ์) สง่ ประกวดใน

๒๒ นามกองทพั บก จึงมปี ระกาศรัฐนยิ มให้ใช้บทรอ้ งเพลงชาติ ดังนี้ ๑) ทานองเพลงชาติ ให้ใชท้ านองของพระ เจนดุรยิ างคต์ ามแบบทอ่ี ยทู่ ก่ี รมศิลปากร ๒) เน้อื ร้องเพลงชาติ ใหใ้ ชบ้ ทรอ้ งของกองทัพบก ดังนี้ “ประเทศไทย รวมเลือดเน้ือ ชาตเิ ชือ้ ไทย เปน็ ประชารัฐ ไผทของไทยทุกส่วน อยู่ดา้ รงคงไว้ ไดท้ ง้ั มวล ด้วยไทยล้วนหมายรักสามคั คี ไทยน้รี ักสงบ แต่ถงึ รบไม่ขลาด เอกราชจะไม่ใหใ้ ครขมข่ี สละ เลือดทกุ หยาดเปน็ ชาติพลี เถลงิ ประเทศชาตไิ ทยทวมี ีชัย ชโย…” - ฉบับที่ 8 เร่ืองเพลงสรรเสรญิ พระบารมี - ฉบับที่ 11 ตอ้ งมบี ตั รนักดนตรี, เล่นดนตรบี นเก้าอ,ี้ การกาหนดช่ือเพลง สมยั รชั กาลที่ ๙ (พ.ศ.๒๔๘๙ - ปจั จบุ นั ) พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ ัวภูมิพลอดลุ ยเดช พระราชนิพนธ์เพลง ไว้เป็นจานวนมาก โดยเพลงท่ีเก่ียวข้องกับมหาวิทยาลัยได้แก่ เพลงพระราชนิพนธ์เกษตรศาสตร์ และเพลง ใกล้รุ่ง ต่อมามีครูดนตรีไทยนาทานองเพลงพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๙ มาเป็นแนวทางในการประพันธ์ เพลงไทย ได้แก่ เพลงโหมโรงมหาจุฬาลงกรณ์ โดยนายเทวาประสิทธ์ิ พาทยโกศล นาเพลงพระราชนิพนธ์ มหาจุฬาลงกรณ์ไปเรยี บเรยี งและปรบั ปรงุ ขนึ้ เปน็ ทางปพี่ าทย์ เพลงโหมโรงมหาจฬุ าลงกรณน์ ี้ เปน็ เพลง ประจามหาวิทยาลัยในฝ่ายดนตรีไทยนบั แตน่ ั้นมา และเพลงโหมโรงมหาราช โดยครูมนตรี ตราโมท ได้นา เพลงใกล้รุ่ง เราสู้ และเพลงสายฝน มาเรียบเรียงตามแนวดุริยางคศาสตร์ไทย เพลงนี้ประพันธ์ขึ้นเพือ่ ทลู เกลา้ ฯ ถวาย เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมพี ระชนมพรรษาครบ 5 รอบ ดนตรไี ทย ในรัชสมัยน้ี ถกู พฒั นาให้มรี ปู แบบทเ่ี ป็นมาตรฐานมากข้นึ มีการ ตรวจสอบและบนั ทึก โนต้ เพลงไทย ต่างๆ ในหลายรปู แบบ เช่น โน้ตตัวเลข โนต้ โด เร มี รวมถงึ โน้ตสากล นอกจากน้ี ยงั มีการ ประสมวงในรูปแบบใหม่เพมิ่ เตมิ คอื วงมหาดุรยิ างค์ และวงดนตรีไทยรว่ มสมยั วงมหาดรุ ยิ างค์ เป็นการประสมวงโดยการเพิ่มขนาดของวงมโหรีเครอ่ื งใหญ่ใหม้ ีจานวนของเครอื่ ง ดนตรมี ากขึ้น วงมหาดรุ ิ ยางค์ปรากฏเปน็ ครง้ั แตกเม่อื พ .ศ.๒๒๔ ในงานฉลองการครบรอบ ๑๐๐ ปขี อง หลวงประดษิ ฐไพเราะ (ศร ศลิ ปบรรเลง) โดยมนี กั ดนตรีจากสถาบันตา่ งๆ มาบรรเลงพรอ้ มกันเปน็ วงขนาด ใหญ่จานวน ๑๐๐ กว่าคน เมื่อนาออกมาแสดงไดร้ ับความสนใจเป็นอย่างมากเพราะเปน็ วงขนาดใหญ่ ตระการตา ตอ่ มามีการนาไปใชใ้ นงานชมุ นุมตา่ งๆ เชน่ งานดนตรไี ทยอุดมศึกษา เป็นตน้ วงดนตรไี ทยรว่ มสมยั คอื วงดนตรีที่นาเอาเคร่ืองดนตรีไทยมาบรรเลงผสมกับเคร่ืองดนตรี ตะวนั ตก โดยมีการปรบั ปรงุ ระบบเสียงเคร่ืองดนตรที ง้ั สองประเภทและบทเพลงใหเ้ หมาะสม วงดนตรีไทย ร่วมสมัยเกิดขึ้นในปี พ .ศ.๒๕๐๓ โดยกรมประชาสมั พันธ์ มกี ารปรับปรุงเพลงไทย เช่น เพลงลาวดาเนนิ ทราย เขมรไทรโยค ใหเ้ ปน็ เพลงไทยสากล คือ นาเอาทานองเพลงไทยมาใสเ่ น้ือรอ้ งและลักษณะการบรรเลง แบบดนตรสี ากล เลน่ สลับกนั ทัง้ วงดนตรไี ทยและวงดนตรีสากล หรอื บรรเลงพรอ้ มกันบา้ ง เรยี กวา่ “ดนตรี แบบสังคตี สมั พันธ์” ตอ่ มามแี นวคดิ คดั เลอื กเฉพาะเคร่อื งดนตรีบางชนิดมาบรรเลงในวงดนตรสี ากล เรยี กวา่

๒๓ “สงั คีตประยุกต์ ” โดยคดั เลือกเอาเครื่องดนตรไี ทยเพยี งชนิ้ เดียวมาบรรเลงเด่ยี วในท่อนแยกหรอื ท่อนโชว์ เดยี่ ว (Solo) เปน็ การเพ่มิ สีสันไปอีกรปู แบบหนึ่ง วงดนตรีไทยร่วมสมยั ท่ไี ด้รบั ความนิยมแ ละเปน็ ทรี่ ้จู กั มาก คือ วงฟองน้า ก่อตั้งโดยอาจารย์บรซู๊ แก๊สตน้ั และครบู ญุ ยงค์ เกตคุ ง โดยนาเพลงไทยมาปรบั ปรงุ และนาเครื่องดนตรสี ากลและบทกวนี ิพนธ์มา เป็นแนวคดิ ในการประพนั ธเ์ พลงจนมเี อกลกั ษณ์ ทง้ั น้ีไมเ่ น้นใชว้ งดนตรไี ทยท้งั วงแต่จะคดั เลือกเฉพาะบาง เคร่ืองดนตรี เชน่ ระนาดเอก ระนาดทมุ้ ขลุ่ย ผสมกับเคร่ืองดนตรีสากล และใชร้ ะบบคอมพวิ เตอรม์ าชว่ ยใน การแต่งบรรยากาศในการบรรเลงด้วย บรรณานกุ รม ปญั ญา รงุ่ เรือง . (๒๕๔๖). ประวัติการดนตรไี ทย . พิมพ์ครง้ั ท่ี ๕. กรงุ เทพฯ : บริษัทโรงพิมพไ์ ทยวัฒนา พานชิ จากัด. พงษศ์ ลิ ป์ อรณุ รตั น์ . (๒๕๕๔). ปฐมบทดนตรไี ทย . พิมพค์ รงั้ ท่ี ๒. นครปฐม : โรงพมิ พ์มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร. ราชบัณฑิตยสถาน. (๒๕๔๙). สารานกุ รมศพั ท์ดนตรีไทย ภาคประวัตนิ ักดนตรแี ละนกั ร้อง . พมิ พค์ รั้งท่ี ๒. กรุงเทพฯ: ราชบัณฑติ ยสถาน. สงดั ภูเขาทอง. (๒๕๓๒). การดนตรไี ทยและทางเขา้ สู่ดนตรีไทย. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์เรือนแก้วการพิมพ์. สุจติ ต์ วงษเ์ ทศ. (๒๔๔๒). ร้องรา้ ทา้ เพลง. พมิ พค์ ร้งั ที่ ๒. กรงุ เทพฯ: สานักพมิ พม์ ติชน. __________. (๒๕๕๓ ). ดนตรไี ทย มาจากไหน ?. นครปฐม : สานักพมิ พว์ ิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวทิ ยาลัยมหดิ ล. อานันท์ นาคคง และ อัษฎาวุธ สาคริก. (๒๕๔๔). หลวงประดษิ ฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) มหาดรุ ิยกวีลุ่ม เจา้ พระยาแห่งอุษาคเนย์. กรุงเทพฯ: สานกั พิมพม์ ติชน.