Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การพัฒนาและผลิตสื่ออิเล็กทรอนิกส์ นวัตกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการ สื่อสารการศึกษาและการเรียนรู้

การพัฒนาและผลิตสื่ออิเล็กทรอนิกส์ นวัตกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการ สื่อสารการศึกษาและการเรียนรู้

Published by keattisak lodsho, 2023-06-29 18:01:00

Description: นายเกียรติศักดิ์ ลอดสุโข

Search

Read the Text Version

การพั ฒนาและผลิตสื่ออิเล็กทรอนิกส์ นวัตกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการ สื่อสารการศึกษาและการเรียนรู้ นาย เกดียรติศักดิ์ ลอดสุโข 64031390107 ปีที่2

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยว กับนวัตกรรมการศึกษา 01 โครงสร้างการส่งออกสินค้าของประเทศไทยในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา มีแนวโน้ม การเปลี่ยนแปลงไปในทางเดียวกับประเทศ อุตสาหกรรมใหม่ในเอเชีย คือ ไต้หวัน เกาหลีใต้ และสิงค์โปร์ กล่าวคือ ความสําคัญของสินค้าที่ใช้ ทรัพยากรเป็นฐานและสินค้าที่ผลิตโดย ใช้แรงงาน เข้มข้น (Labor-Intensive) มีแนวโน้มลดลง 02 ในขณะที่สินค้าที่ใช้วิทยาศาสตร์เป็นฐาน ซึ่งต้องอาศัยการวิจัยและพัฒนาตลอดจน การออกแบบด้วยความคิดที่สร้างสรรค์มีแนว โน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันเมื่อ พิจารณาสัดส่วนของการลงทุนและการใช้ จ่ายเพื่อการวิจัยและพัฒนากับผลิตภัณฑ์ มวลรวมประชาชาติความสําคัญต่อ กระบวนการพัฒนานวัตกรรม และนวัตกรรม ก็มีบทบาททําให้การเป็น ผู็ประกอบการประ สบความสําเร็จด็วย นวัตกรรม

ความหมายของนวัตกรรม 01 นวัตกรรม เป็นการนําเอาวิธีการใหม่ มาปฏิบัติ หลังจากที่ไดผานการทดลองและได้ร ับ การพัฒนามาเป็น ลําดับแล้ว และมีความแตก ตา่ งจากการปฏิบัติเดิมที่เคยปฏิบัติมากอ น ซึ่งมี นักวิชาการไดใ หความหมายดังนี้ 02 รักษ์ วรกิจโภคาทร (2547 : 23) ได้ให้ความ หมายว่า นวัตกรรมกระบวนการ เปนเรื่องของ การเปลี่ยน แปลงในองค์ก าร ไม่ว า่ จะเป็นเครื่อง มือ กรรมวิธีการผลิต การจัดจําหนา่ ย หรือรูป แบบการจัดการองค์ก าร ทั้งนี้โดยมีเป้า หมายที่ จะนําไปสูก ารพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ 03 ดังนั้น “นวัตกรรม” หมายถึงความคิด การปฏิบัติ หรือสิ่งประดิษฐใหม่ ๆ ที่ยังไม่เคยมีใช้ม า ก่อ น หรือเป็นการพัฒนาดัดแปลงมาจากของ เดิมที่มีอยูแลว ให้ท ันสมัยและใช้ได้ผลดียิ่งขึ้น เมื่อนํานวัตกรรมมาใช้จะช่วยใหก้ ารทํางานนั้นได้ ผลดีมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงกวาเดิม ทั้งยังชว่ ยประหยัดเวลาและแรงงานได้ด ้วย

ความหมายของ นวัตกรรมการศึกษา นวัตกรรมการศึกษา คือ สิ่งที่เกิดจากการใช้ความรู้ในศาสตร์สาขา ต่างๆอย่างบูรณาการ เพื่อประดิษฐสร้างสรรคสิ่งใหม่ให้เกิดขึ้นเพื่อ ประโยชน์ทางสังคมและเศรษฐกิจมีนักวิชาการได้ให้ความหมายดังนี้ สมบูรณสงวนญาติให้ความหมายไว้ ทัศนา แขมมณี ให้ความหมายไว้ว่านวัต ว่านวัตกรรมทางการศึกษา หมายถึง กรรมการศึกษา หมายถึง กระบวนการ วิธีการปฏิบัติใหม่ๆในทางการศึกษา ซึ่งแปลกไปจากเดิมอาจได้มาพบวิธี แนวคิด หรือวิธีการใหม่ๆ ทางการศึกษา ใหม่ๆหรือปรับปรุงของเก่าให้เหมาะสม ซึ่งอยู่ในระหว่างการ ทดลองที่จะจัดขึ้น โดยได้มีการทดลอง พัฒนาจนเป็ นที่น่า มาอย่างมีระบบและกว้างขวางพอ เชื่อถือได้ว่า มีผลดีในทางปฏิบัติ สมควร เพื่อพิสูจน์ประสิทธิภาพ อัน และสามารถทําใหระบบการศึกษาดํา จะนําไปสู่การยอมรับนําไปใช้ในระบบการ ศึกษาอย่างกว้างขวางต่อไป เนินไปสู่เป้ าหมายได้อย่างม่ประสิทธิภาพ สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้น 2. กระบวนการพัฒนานวัตกรรม พื้ นฐานได้กําหนดเกณฑ์การพิ จารณา ได้แก่ คุณภาพของนวัตกรรมการศึกษาที่เข้า 2.1 มีการกําหนดวัตถุประสงค์เป้ า ร่วมโครงการนวัตกรรมการศึกษา หมายของการนําไปใช้อย่างชัดเจน เข้าใจง่าย 1. ความเป็ นนวัตกรรม โดยพิจารณา 2.2 การออกแบบนวัตกรรมมีความ จากการเป็ นผลงาน วิธีการกระบวน สอดคลองกับสภาพปั ญหา การ หรือองค์ความรู้ที่ส่งผลต่อเป้ า หมายอย่างมีคุณภาพ 2.3 การนําไปใช้มีการดําเนินกิจกรรม ของนวัตกรรม ตามที่ออกแบบไว้จริง

ความหมายของ นวัตกรรมการศึกษา 3. คุณค่าของนวัตกรรม พิจารณาจาก วรวุ ฒิ รามจันทร ได้กล่าวถึง หัวข้อต้อไปนี้ นวัตกรรมทางการศึกษาว่า มีความ 3.1 ความสามารถในการแก้ปั ญหา หรือ สําคัญในการพั ฒนาคุณภาพของ พัฒนาคุณภาพของกลุ่มเป้ าหมายได้ตาม มนุษย์ที่มีคุณค่ามหาศาล ซึ่งแนวคิดใน วัตถุประสงค์ที่กําหนด การเพิ่ มคุณค่าของเทคโนโลยีช่วยการ 3.2 การใช้ทรัพยากรได้อย่างเหมาะสม เรียนรูพอจะสรุปได้ดังนี้ และสอดคล้องกับบริบทของหน่วยงาน 3.3 การเรียนรู้ร่วมกันทั้งหน่วยงาน 3.4 การนําไปใช้ง่ายและสะดวก 3.5 การยอมรับ โดยมีการเผยแพร่และ การนําไปใช้ทั้งภายในและนอกหน่วยงาน 1. การใช้เทคโนโลยีพัฒนากระบวนการ 2. การใช้เทคโนโลยีพัฒนาความ ทางปั ญญา กระบวนการทางปั ญญา สามารถในการแก้ปั ญหาการเรียนรู้ที่ คือกระบวนการที่มีองค์ประกอบสําคัญ เน้นผู้เรียนเป็ นศูนย์กลางหรือถือว่าผู้ คือ การรับรู้ต้อสิ่งเร้าการจําแนกสิ่งเรา เรียนสําคัญที่สุดนั้น เราสามารถ จัดกลุ่มเป็ นความคิดรวบยอด การเชื่อม ออกแบบแผนการเรียนการสอนให้ผู้ โยงความคิดรวบยอดเป็ นกฎเกณฑ์หลัก เรียนมีโอกาสแสดงความคิดสร้างสรรค์ การ ด้วยวิธีอุปนัย การนํากฎเกณฑ์หลัก ในการทํา โครงงานแสวงหาความรู้หรือ การไปประยุกต์ใช้ด้วยวิธีนิรนัย และการ หาความรู้ในเรื่องที่ผู้เรียน สรุปเป็ นองค์ความรู้ใหม่ๆ ระบบ สนใจ หรือเพื่อแก้ปั ญหา การเรียนรู้ คอมพิ วเตอร์มีสมรรถนะสูงที่จะช่วย ลักษณะนี้จะเริ่มต้นด้วยการกําหนด พั ฒนาผู้เรียนให้มีความฉลาดใน ประเด็นเรื่อง ตามมาด้วยการวาง กระบวนการทางปั ญญาน แผนกําหนดข้อมูลหรือสาระที่ต้องการ

ความสําคัญของ นวัตกรรมการศึกษา นวัตกรรมมีความสําคัญต่อการศึกษา ชัชพล ทรงสุนทรวงศได้กล่าวถึง หลายประการ ทั้งนี้เนื่องจากในโลกยุค นวัตกรรมมีความสําคัญต่อการศึกษา โลกาภิวัฒน์โลกมีการเปลี่ยนแปลงในทุก หลายประการ ทั้งนี้เนื่องจากในโลกยุค ด้านอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โลกาภิวัฒน์โลกมีการเปลี่ยนแปลงใน ความก้าวหน้าทั้งด้านเทคโนโลยีและ ทุกด้านอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่าง สารสนเทศ การศึกษาจึงจําเป็ นต้องมี ยิ่ง ความก้าวหน้าทั้งด้านเทคโนโลยีและ การพั ฒนาเปลี่ยนแปลงจากระบบการ สารสนเทศ การศึกษาจึงจําเป็ นต้องมี ศึกษาที่มีอยูเดิม เพื่อให้ทันสมัยต่อการ การพั ฒนาเปลี่ยนแปลงจากระบบการ เปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และสภาพ ศึกษาที่มีอยู่เดิม เพื่อให้ทันสมัยต่อการ สังคมที่เปลี่ยนแปลงไป มีรายละเอียด เปลี่ยนแปลงของ ดังนี้ เทคโนโลยีและสภาพสังคมที่ เปลี่ยนแปลงไป อีกทั้งเพื่อแก้ไขปั ญหา 3.2 การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ทางด้านศึกษาบางอย่างที่เกิดขึ้นอย่างมี ประสิทธิภาพเช่นเดียวกัน การ เป็ นไปอย่างรวดเร็ว การเรียนการสอน เปลี่ยนแปลงทางด้านการศึกษาจึงจํา จึงต้องตอบสนองการเรียนการสอน เป็ นต้องมีการศึกษาดังต่อไปนี้ แบบใหม่ๆ ที่ช่วยให้ผู้เรียสามารถเรียนรู้ 1. การเพิ่มปริมาณของผู้เรียนในระดับ ได้เร็วและเรียนรู้ได้มากในเวลาจํากัด ชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาเป็ นไป นักเทคโนโลยีการศึกษาจึงต้องค้นหา นวัตกรรมมาประยุกต์ใช้เพื่ อ อย่าง รวดเร็ว ทําให้นักเทคโนโลยีการ วัตถุประสงค์นี้ ศึกษาต้องหานวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ เพื่อ ให้สามารถสอนนักเรียนได้มากขึ้น 3.3 การเรียนรู้ของผู้เรียนมีแนวโน้มใน การเรียนรู้ด้วยตนเองมากขึ้น ตามแนว ปรัชญาสมัยใหม่ที่ยึดผู้เรียนเป็ น ศูนย์กลาง

องค์ประกอบของ นวัตกรรมการศึกษา ปํ จจัยสําคัญที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อวิธี 1. แนวความคิดพื้นฐานในเรื่องความ การศึกษา ได้แก่แนวความคิดพื้นฐาน ทาง การศึกษาที่เปลี่ยนแปลงไป อันมี แตกต่างระหว่างบุคคล การ จัดการ ผลทําให้เกิดนวัตกรรมการศึกษาขึ้น ศึกษาของไทยได้ให้ความสําคัญในเรื่อง หลายรูปแบบด้วยกัน ความคิด ทางการ ความแตกต่างระหว่างบุคคลเอาไว้ ศึกษาที่สําคัญๆ พอจะสรุปได้ 4 ประการ อย่างชัดเจนซึ่งจะ เห็นได้จากแผนการ คือ ศึกษาของชาติ ให้มุ่งจัดการศึกษาตาม ความถนัด ความสนใจ และความ สามารถ ของแต่ละคนเป็ นเกณฑ์ ตัวอย่างที่เห็นได้ เช่น การจัดระบบ ห้องเรียนโดยใช้อายุเป็ นเกณฑ์บ่าง ใช้ ความสามารถเป็ นเกณฑ์บ้าง ในปั จจุบัน ได้มีการคิดคั้นวิธีใหม่ๆ 1.1 การเรียนแบบไม่แบ่งชั้น 2. แนวความคิดพื้นฐานในเรื่องความ 1.2 แบบเรียนสําเร็จรูป พร้อม เดิมทีเดียวเชื่อกันว่า เด็กจะเริ่ม 1.3 เครื่องสอน เรียนได้ก็ต้องมีความพร้อมซึ่งเป็ น 1.4 การสอนเป็ นคณะ พัฒนาการตามธรรมชาติ แต่ในปั จจุบัน 1.5 การจัดโรงเรียนในโรงเรียน ผลการวิจัยทางด้าน จิตวิทยาการเรียน 1.6 เครื่องคอมพิวเตอร์ช่วยสอน รู้ชี้ให้เห็นว่า ความพร้อมในการเรียน เป็ นสิ่งที่สร้างขึ้นได้ถ้าหากสามารถจัด บทเรียน ให้พอเหมาะกับระดับความ สามารถของเด็ก วิชาที่เคยเชื่อกัน ว่ายากและไม่เหมาะสมสําหรับ เด็กเล็ก

ประเภทของ นวัตกรรมการศึกษา นวัตกรรมด้านวิธีการจัดการเรียนการ 1. นวัตกรรมประเภทผลิตภัณฑ์หรือสิ่ง สอน เป็ นการใช้วิธีระบบในการปรับปรุง ประดิษฐ์นวัตกรรมประเภทนี้ มีลักษณะ และคิดค้น พัฒนาวิธีสอนแบบใหม่ๆ ที่ เป็ นสื่อที่ช่วย ในการจัดการเรียนการ สามารถตอบสนองการเรียนรายบุคคล สอนให้ผู้เรียนมีความเข้าใจกระจ่าง การสอนแบบผู้เรียนเป็ นศูนย์กลาง การ ชัดเจนในเรื่องที่เรียน หรือทําให้ผู้เรียน เรียนแบบมีส่วนร่วม การเรียนรูาแบบแก้ ได้พั ฒนาการเรียนรู้ในทักษะด้านต่างๆ ปั ญหา การพัฒนาวิธีสอนจําเป็ นต้อง ได้เร็วยิ่งขึ้น นวัตกรรมประเภทนี้ ได้แก่ อาศัยวิธีการและ เทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามา ชุดการเรียน/ชุดการสอน/ชุดการเรียน จัดการและสนับสนุนการเรียนการสอน เช่น การสอนแบบร่วมมือ การสอน แบบ โปรแกรม เกม การ์ตูน นิทาน เอกสาร อภิปราย วิธีสอนแบบบทบาทสมมุติ การ ประกอบการเรียนรู้เอกสารประกอบ สอนด้วยรูปแบบการเรียนเป็ นคู่ เป็ นต้น การสอน ฯลฯ 2. นวัตกรรมประเภทรูปแบบ/เทคนิค/ วรวุ ฒิ รามจันทร์ ได้ให้ประเภทของ วิธีการสอน นวัตกรรมประเภทนี้ นวัตกรรมการศึกษาไว้ดังนี้ นวัตกรรม เป็ นการใช้วิธีสอน หรือเทคนิคการสอน ด้านสื่อสารการสอน เนื่องจากมีความ ในรูปแบบต่างๆ ที่นักการศึกษาได้ ก้าวหน้าของเทคโนโลยีคอมพิ วเตอร คิดค้นเพื่ อพั ฒนาการด้านการเรียนรู้ คอมพิ วเตอร์เครือข่ายและเทคโนโลยี ให้แก่ผู้เรียนทั้งในด้านความรู้ ทักษะ โทรคมนาคม ทําให้นักการศึกษา กระบวนการ และเจตคติ ซึ่งมีวิธีการ พยายามนําศักยภาพของเทคโนโลยี สอนและเทคนิคการสอนจํานวน มาก ได้แก่ วิธีการสอนคิด วิธีสอนโดยการ เหล่านี้ มาใช้ในการผลิตสื่อการเรียน จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ CIPPA การสอนใหม่ๆ จํานวนมากมาย MODEL วัฏจักรการ

เทคโนโลยีสารสนเทศ แนวคิดเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology ที่มักเรียก ว่า ไอที (IT) เน้นถึง การจัดการใน คําว่าสารสนเทศ หรือสารนิเทศ เป็ นคํา กระบวนการดําเนินงานสารสนเทศหรือ ศัพท์บัญญัติ ของคําว่า“Information” สารนิเทศในขั้นตอนต่างๆ ตั้งแต่การ ราชบัณฑิตยสถานกําหนดให้ใช้คําได้ทั้ง เสาะแสวงหา การวิเคราะห์การจัดเก็บ สองคําในวงการคอมพิ วเตอร์การ การจัดการ และการเผยแพร่เพื่อเพิ่ม สื่อสาร และธุรกิจนิยมใช้คํา ประสิทธิภาพ ความถูกต้อง ความแม่น ว่า“สารสนเทศ” ซึ่งมีความหมายกว้างๆ ยํา และความรวดเร็วทันต้อการนํามาใช้ ว่า ข้อมูลข่าวสาร ความรู้ต่างๆ ที่มีการ ประโยชน์นอกจากนี้ยังมีผู้ให้ความ บันทึกอย่างเป็ น ระบบ ตามหลักวิชาการ หมายของเทคโนโลย เพื่อนํามาเผยแพร่และใช้งานต่างๆ ทุก สาขา ส่วนคํา ว่า“เทคโนโลยีสารสนเทศ” สารสนเทศไวต่างกัน ดังนี้วาสนา สุข วรวุ ฒิ รามจันทร์ ได้ให้ประเภทของ กระสานติ กล่าวว่า เทคโนโลยี นวัตกรรมการศึกษาไว้ดังนี้ นวัตกรรม สารสนเทศ หมายถึง กระบวนการ ด้านสื่อสารการสอน เนื่องจากมีความ ก้าวหน้าของเทคโนโลยีคอมพิ วเตอร ต่างๆ และระบบงานที่ช่วยให้ได้ คอมพิ วเตอร์เครือข่ายและเทคโนโลยี สารสนเทศที่ต้องการ ฉะนั้นเทคโนโลยี โทรคมนาคม ทําให้นักการศึกษา สารสนเทศ คือ การนําเทคโนโลยีมา ใช้ พยายามนําศักยภาพของเทคโนโลยี ในการจัดกระทําข้อมูล ประมวลผล ข้อมูลอย่างเป็ นระเบียบแบบแผน อัน เหล่านี้ มาใช้ในการผลิตสื่อการเรียน นํามาซึ่งข้อมูลสารสนเทศ เพื่อการนํา การสอนใหม่ๆ จํานวนมากมาย ไปใช้ตามวัตถุประสงค์ที่ ต้องการ

ประเภทของเทคโนโลยี สารสนเทศและสื่ อสาร การศึกษา 1.1 เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์คอมพิวเตอร์ (Information Technology ที่มักเรียก เป็ นเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถจดจํา ว่า ไอที (IT) เน้นถึง การจัดการใน ข้อมูล ต่าง ๆ และปฏิบัติตามคําสั่งที่บอก กระบวนการดําเนินงานสารสนเทศหรือ เพื่ อให้คอมพิ วเตอร์ทํางานอย่างใดอย่าง สารนิเทศในขั้นตอนต่างๆ ตั้งแต่การ หนึ่งให้ คอมพิวเตอร์นั้น ประกอบด้วย เสาะแสวงหา การวิเคราะห์การจัดเก็บ อุปกรณ์ต่าง ๆ ต่อเชื่อมกันเรียกว่า การจัดการ และการเผยแพร่เพื่อเพิ่ม ฮาร์ดแวร์(Hardware) และอุปกรณ์ ประสิทธิภาพ ความถูกต้อง ความแม่น ฮาร์ดแวร์นี้ จะต้องทํางานร่วมกับ ยํา และความรวดเร็วทันต้อการนํามาใช้ โปรแกรมคอมพิ วเตอร์หรือที่เรียกกันว่า ประโยชน์นอกจากนี้ยังมีผู้ให้ความ ซอฟต์แวร์(Software)กระบวนการ การ หมายของเทคโนโลย จัดการระบบสารสนเทศ เพื่อให้ได้ สารสนเทศตามต้องการอย่างรวดเร็ว ถูกต้องแม่นยํา 1.2 เทคโนโลยีทางด้านการสื่อสาร 1.3 เทคโนโลยีระบบสื่อสาร หมายถึง คมนาคม เทคโนโลยีสื่อสาร ระบบการสื่อสาร และเครือข่ายที่เป็ น โทรคมนาคม ใช้ในการ ติดต่อสื่อสาร ส่วนเชื่อมใน การแลกเปลี่ยนข้อมูล รับ/ส่งข้อมูลจากที่ไกล ๆ เป็ นการส่ง อิเล็คทรอนิคส์ในรูปแบบข้อมูลดิจิตอล ของขาอมูลระหว่างคอมพิ วเตอร์หรือ เช่นเครือข่ายโทรศัพท์ดิจิตอล ระบบ เครื่องมือที่อยู่ ห่างไกลกัน ซึ่งจะช่วย สื่อสารเคเบิลใยแก้วรวมถึง เครือข่าย ใหาการเผยแพร่ข้อมูลหรือสารสนเทศ คอมพิวเตอร์ระบบ WAN ไปยังผู้ใช้ในแหล่งต่าง ๆ เป็ นไปอย่าง (wide area network) เช่น เครือข่าย สะดวก รวดเร็ว ถูกต้อง ครบถ่วน และ Internet เป็ นต้น เทคโนโลยีสารสนเทศ ทันการณ์ซึ่งรูปแบบของข้อมูลที่รับ/ส่ง สามารถจําแนกตามลักษณะ การใช้งาน อาจเป็ นตัวเลข ได้

ประโยชนที่ของ เทคโนโลยีสารสนเทศ การนําเทคโนโลยีสารนิเทศมาใช้กับสังคม 3. ช่วยให้เก็บข้อมูลไว้ในรูปที่สามารถ สารนิเทศใน ปั จจุบันก่อให้เกิดการสื่อสาร เรียกใช้ได้ครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างสะดวก และ การใช้ประโยชน์จากสารนิเทศได้ 4. เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้อมูล อย่างเต็มที่ และมีประสิทธิภาพ ประโยชน์ เช่น ช่วยนักวิทยาศาสตร์ วิศวกร ของเทคโนโลยีสารนิเทศมี ดังต่อไปนี้ ในการคํานวณ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยา 5. สามารถจัดระบบอัตโนมัติเพื่อเก็บ ศาสตรและเทคโนโลยี ได้กล่าวถึง เรียกใช้และประมวลผลข้อมูล ประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศ ดังนี้ 6. สามารถจําลองแบบระบบการวาง 1. ช่วยให้ติดต่อสื่อสารระหว่างกันอย่าง แผนและทํานาย เพื่อทดลองกับสิ่งที่ยัง สะดวกรวดเร็วโดยใช้โทรศัพท์ ไม่เกิดขึ้น 2. ช่วยในการจัดระบบข่าวสารจํานวนมหา ศาล ซึ่งผลิตออกมาในแต่ละวัน 7. อํานวยความสะดวกในการเข้าถึง 9. ลดค่าใช้จ่ายซึ่งเป็ นผลมาจากการใช้ ข้อมูลดีกว่าสมัยก่อน ทําให้ผู้ใช้มี ทาง เทคโนโลยีที่ทันสมัย ทําให้ประหยัดเวลา เลือกที่ดีกว่า มีประสิทธิภาพกว่า และ การ ทํางานหรือลดค่าใช้จ่ายในการทํา สามารถแข่งขันกับผู้อื่นได้ดีกว่า งานลง 8. ช่วยให้มีการตัดสินใจที่ดีขึ้น จากการ 10. พัฒนาคุณภาพการเรียนการสอน มีสารสนเทศประกอบการตัดสินใจและ โดยมีการค้นคว้าผ่านระบบเครือข่าย พิจารณา ทางเลือกภายใตเงื่อนไข เพิ่มโอกาส ให้นักศึกษาสามารถสืบค้น ต่างๆ ข้อมูลได้จากสถานที่อื่นนอก มหาวิทยาลัย เป็ นการฝึ กให้รู้จักเรียนรู้ ด้วยต้น เองมากขึ้น

สรุป นวัตกรรมกระบวนการเป็ นการประยุกต์ใช้แนวคิด วิธีการ หรือกระบวนการใหม่ๆ ที่ ส่งผลให้ กระบวนการผลิต และการทํางานโดยรวมมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เช่น การใช้คอมพิวเตอร์ในการออกแบบกระบวนการผลิตใหม่ ตลอดจนการออกแบบดาวยความคิดที่ สราางสรรคมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อ เนื่องนวัตกรรมกระบวนการ จึงเป็ นประยุกต์ใช้แนวคิด วิธีการ หรือกระบวนการ ใหม่ๆ ที่ส่งผลให้กระบวนการผลิต และการทํางานโดยรวมมีประสิทธิภาพและ ประสิทธิผลสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เช่น การใช้คอมพิวเตอร์ในการออกแบบ กระบวนการผลิตใหม่ เป็ น ต้น นอกจากนี้ นวัตกรรมยังมีประโยชนในการนํา มาใชในแวดวงการศึกษาและการเรียนการสอนมี ประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ผู้เรียน สามารถเกิดการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วมีประสิทธิผลสูงกว่าเดิม เกิด แรงจูงใจใน การเรียนด้วยนวัตกรรมเหล่านั้น และประหยัดเวลาในการเรียนไดอีกด้วย ใน ปั จจุบันมี การใช้นวัตกรรมการศึกษามากมายหลายอย่างซึ่งมีทั้งนวัตกรรมที่ใช้กัน แพร่หลายแล้วและประเภทที่ กําลังเผยแพร่เช่น การสอนใช้คอมพิวเตอร์ช่วย การ ใช้แผ่นวีดิทัศน์เชิงโต้ตอบ สื่อหลายมิติ และ อินเทอร์เน็ต เป็ นต้น

แนวคิดทฤษฏีเกี่ยวกับการ พั ฒนานวัตกรรมทางการศึกษา หลักจิตวิทยาการเรียนรู้หรือทฤษฎีการเรียนรู้นั้นเป็ น สิ่งที่เป็ นพื้นฐานที่สําคัญที่ควร มีความเข้าใจที่ลึกซึ้งและตระหนักเกี่ยวกับหลักการทฤษฎีที่เป็ นพื้นฐาน โดยเฉพาะ อย่างยิ่ง สําหรับครูผู้สอน จําเป็ นที่ต้องมีความรู้ ความเข้าใจในพื้นฐานแนวคิดนี้ทาง ฟิ สิกส์ และเคมีและทางด้านการแพทย์ที่ประยุกต์พื้นฐานหลักการเกี่ยวกับการเรียนรู้ ดังเช่นต้องการออกแบบซอร์ฟแวร์ทางการศึกษาสิ่งที่ต้องตระหนักเกี่ยวกับการ เรียนรู้ตลอดจนการประเมินผลและสะท้อนผลของซอร์ฟแวร์นั้นว่าเหมาะสมและส่ง ผลต่อการเรียนรูาเพียงใดาอย่างไรก็ตามไม่ปรากฏข้อตกลงที่เป็ นสากลเกี่ยวกับวิธี การ เรียนรู้ที่นักจิตวิทยามีมุมมองเกี่ยวกับหลักการเรียนรู้ที่เปลี่ยนแปลงตลอด 20 ศตวรรษ ปั จจุบันนักการศึกษาได้เสนอ ซึ่งมุ่งเน้นการอธิบายอย่างสมบูรณ์ โครงการซึ่งเป็ นหลักการเฉพาะที่ ลึกซึ้งเกี่ยวกับการเรียนรู้ของมนุษย์ แข็งแกร่ง ในขณะที่อีกด้านหนึ่งเป็ น ที่รวมถึงสิ่งที่สร้างจากกระบวนการ วิธีการที่ผสมผสาน ซึ่งประกอบจาก ที่ไม่สามารถสังเกตเห็นได ทฤษฎีต่างๆ ในช่วงกลางศตวรรษที่ ได้แก่ความจํา แรงจูงใจ อย่างไร 20 ทฤษฎีการเรียนรูที่ได้รับความ ก็ตามนักการศึกษาไม่ทั้งหมดที่ละทิ้ง นิยมคือ ทฤษฎีพฤติกรรมนิยม หลักการของพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) ในช่วง ค.ศ. 1970 เป็ นต้นมา ได้มีการเปลี่ยนกระบวน และหันมานิยมหลักการดังกล่าวต่อ ทัศน์จากพฤติกรรมนิยมสู่พุ ทธิ ไป และผู้ที่ตระหนักในคุณค่าของพุ ธิ ปั ญญานิยม ปั ญญานิยมยังคงพยายามที่จะ หาแนวคิก หลักการใหม่ๆ มาทดแทน

ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่ม พฤติกรรมนิยม กลุ่มพฤติกรรมนิยม ซึ่งจะเรียกนักจิตวิทยาใน กลุ่มนี้ว่า และได้ศึกษาเกี่ยวกับความ สัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้า กับการตอบสนอง หรือพฤติกรรมที่แสดงออกมา ซึ่งจะให้ความ สนใจกับพฤติกรรมที่ สามารถวัดและสังเกตจากภายนอกได้ และเน้นความสําคัญของ สิ่งแวดล้อมเพราะเชื่อเชื่อว่า สิ่งแวดล้อมจะเป็ นตัวกําหนดพฤติกรรม ในแนวคิดของ กลุ่มพฤติกรรมนิยมเชื่อว่า การเรียนรูาจะเกิด จากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการ ตอบสนองหรือการแสดงพฤติกรรมนิยม และถ้าหากได้รับการ เสริมแรงจะทําให้มีการ แสดงพฤติกรรมนั้นถี่มากขึ้น นักจิตวิทยาในกลุ่มพฤติกรรมนิยมที่สําคัญ และ เป็ นผู้ที่ ผลงานมีบทบาทในงานทางด้านเทคโนโลยีการศึกษาในปั จจุบัน ได้แก่ Povlov Watson Thorndike และ Skinner ทฤษฎีพฤติกรรมนิยมมีฐานความคิดที่สําคัญ คือ 1. พฤติกรรมทุกอย่าง เกิดขึ้นโดย 1.เรสปอนเดนส์ หมายถึง พฤติกรรมที่เกิด การเรียนรู้และสามารถสังเกตได้ ขึ้นโดยสิ่งเร้าเมื่อมีสิ่งเร้าพฤติกรรมตอบ 2. พฤติกรรมแต่ละชนิดเป็ นผลรวม สนองก็จะเกิดขึ้น ซึ่งสามารถวัดและสิ่งเกิด ของการเรียนที่เป็ น 29 อิสระ ได้และทฤษฎีที่นํามาใชในการอธิบาย กระบวนการเรียนรู้ประเภทนี้เรียกว่า ทฤษฎี 3. การเสริมแรง ช่วยทําใหาพฤติกรรม การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค เกิดขึ้น นักจิตวิทยากลุ่มพฤติกรรม 2.พฤติกรรมโอเปอรแรนต์ เป็นพฤติกรรม นิยมได้ จําแนกพฤติกรรมมนุษยออก ที่บุคคล หรือสัตว์แสดง พฤติกรรมตอบ เป็ น 2 ประเภทใหญ่ สนองออกมา โดยปราศจากสิ่งเร้าแนนอน และพฤติกรรมนี้มีผลมีผลต์อสิ่งแวดล้อม ทฤษฎีการเรียนรูที่ใช้อธิบาย

ทฤษฏีการเรียนรู้แบบการวาง เงื่อนไขแบบคอนสตรัตติวิสต ในการวิจัยเกี่ยวกับการย่อยอาหารของสุนัข พาฟลอฟสังเกตสุนัขมี น้ําลายไหลออกมา เมื่อเห็นผู้ทดลองนําอาหารมาให้ พาฟลอฟสนใจในพฤติกรรมของสุนัข จึงได้คิด ทําการ ศึกษาเรื่องนี้อย่างละเอียด จากการทดลอง พาฟลอฟเป็ นตัวอย่างที่ดีของการใช้วิธี ทาง วิทยาศาสตร์ศึกษาพฤติกรรม เพราะเป็ นการทดลองที่มีวิธีการควบคุมอย่างดี นอกจากนี้ยังเป็ นการ แสดงให้เห็นว่าการเรียนรู้เป็ นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม โดย การทดลองที่ทําให้สุนัขน้ําลายไหลเมื่อ ได้ยินเสียงกระดิ่ง พาฟลอฟได้พบหลักการเรียน รู้ที่เรียกว่า Classical Conditioning ซึ่งพาฟลอฟได้ ทําการทดลองและอธิบายได้ดัง ต่อไปนี้ 1. สั่นกระดิ่งก่อนที่จะนําอาหารให้แก่ พาฟลอฟ ได้สรุปปรากฏการณ์ที่สุ สุนัข เวลาระหว่างการสั่นกระดิ่ง และ ขนัขน้ําลายไหลเพี ยงแต่ได้ยินเสียงสั่น ให้แก่เนื้อ สุนัข จะต้องเป็ นเวลาที่ กระดิ่ง กับการให้อาหาร และมีการ กระชั้นชิดมากประมาณ 0.25 ถึง 0.50 ตอบสนองต่อการได้ยินเสียงกระดิ่ง วินาที อย่างเดียวว่าสุนัขเกิดการเรียนรู้ เพราะสามารถเชื่อมโยงระว่างเสียง 2. กระทําซ้ําโดยสั่นกระดิ่งก่อน แล้วจึง สั่นกระดิ่ง กับการให้อาหาร และมีการ ให้อาหารแก่สุนัขควบคู่กันหลายๆครั้ง ตอบสนองตอการได้ยินเสียง 3. หยุดให้อาหารเพียงแต่สั่นกระดิ่ง สั่นกระดิ่ง เช่นเดียวกับการเห็นอาหาร อย่างเดียวเท่านั้น ก็ปรากฏว่าสุนัขก็ยัง คงมีน้ําลายไหล

ทฤษฏีการเรียนรู้แบบการวาง เงื่อนไขแบบคอนสตรัตติวิสต ณัฐพนธ์ อนุสรณ์ทรางกูร ได้กล่าวว่า นักทฤษฎีในกลุ่มนี้มีแนวคิดว่า การ เรียนรู้เกิด จากประสบการณ์เป็ นแนวคิดที่เน้นการสร้างความรู้มากกว่าการส่งผ่านข้อมูล หรือการ บันทึกข้อมูล ที่ถูกส่งมาโดยบุคคล อื่น(Applefield, Huber, &Moallem, 2000, p. 36) ประกอบด้วย นักทฤษฎีสําคัญ ๆ เช่น Piaget และ Vygotsky โดย Piaget มีแนวคิดว่า ผู้เรียนรู้เป็ นผูสร้างความรู้โดยการลงมือกระทําหากผู้เรียนรู้ ถูกกระตุ่นด้วยปญหาที่ ก่อให้เกิดความขัดแย่งทางปั ญญา จะส่งผลให้เกิดการเสีย สมดุล (disequilibrium) ซึ่ง ผู้เรียนรู้ต้องปรับโครงสร้างทางปั ญญาให้เข้าสู่ ภาวะสมดุล โดยวิธีการต่าง ๆ ได้แก่ การเชื่อมโยงความรู้เดิมกับข้อมูลข่าวสารใหม่ จนนํามาสู่การ สร้างความรู้ใหมหรือ เกิดการเรียนรู้นั่นเอง ส่วน Vygotsky มีแนวคิดว่า ปั จจัย โดยผู้ เรียนรู้เป็ นผูสร้างความรู้จาก ทางสังคมเป็ นศูนย์กลาง ในการพัฒนา ความสัมพั นธ์ระหว่างสิ่งที่พบเห็นกับ ของเด็ก โดยที่ผู้เรียนรู้สามารถสร้าง ความรู้เดิมที่มีอยู่เพื่อสร้างเป็ น ความรู้โดยการมีปฏิสัมพั นธ์กับผู้อื่น โครงสร้างทางปั ญญา ซึ่งจะมีการ เช่น พ่อ แม่ครู และเพื่อน เป็ นต้น ดัง พั ฒนาโดยผ่านกระบวนการซึมซับ นั้นกระบวนการเรียนรู้จึงเป็ นกระบวน เอาความรู้ใหม่จากสภาพแวดล้อม การที่เกิดขึ้นภายในของผู้เรียน ภายนอกเข้ามาเก็บไวและปรับ โครงสร้างทางปั ญญา ให้เข้าสู่สภาพ สมดุล หรือการเกิดการเรียนรูู้นั่นเอง

ทฤษฎีการเรียนรูู้ ทางสังคม ทฤษฎีนี้เสนอว่า การ เรียนรู้หรือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคคลเกิดจากการ สังเกตและการเลียนแบบจากต้นแบบ สิ่งแวดล้อม เหตุการณ์ และสถานการณที่ บุคคลมีความสนใจ โดยกระบวนการเลียนแบบ ประกอบด้วย 4 กระบวนการสําคัญ คือ 1. กระบวนการความสนใจ คือ กระบวนการที่บุคคลรู้สึก สนใจในตัวแบบและสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ เนื่องจากผู้เรียนเห็นว่าตัวแบบและ สถานการณ์ดังกล่าวเป็ นเรื่องสําคัญตลอดจนเห็นว่าตัวแบบนั้นมีความเหมือน 2. กระบวนการความจํา คือ กระบวนการในการจดจําพฤติกรรมของตัวแบบได้ดี ซึ่งจะทําให้สามารถเลียนแบบและถ่ายทอดแบบมาได้ง่าย 3. กระบวนการการแสดงออก 4. กระบวนการเสริมแรง (Motor and reproduction process) หมายถึง หากมีการเสริมแรง เช่น คือ กระบวนการทําตามพฤติกรรมของ การให้รางวัลต่อพฤติกรรมหนึ่ง ๆ ตัวแบบ ซึ่งหมายความว่า ภายหลัง จะทําให้บุคคลให้ความสนใจใน จากที่ผู้เรียนได้สังเกตพฤติกรรม ของ พฤติกรรมแบบนั้นเพิ่มขึ้น เรียนรู้ดีขึ้น ตัวแบบแล้วจะแสดงพฤติกรรมตาม และแสดงพฤติกรรมนั้นบ่อยครั้งขึ้น อย่างตัวแบบ ทฤษฎีการเรียนรู้ การเรียนรู้คือ กระบวนการที่ทําให้คนเปลี่ยนแปลง พฤติกรรม ความคิด คนสามารถ เรียนได้จากการได้ยินการสัมผัส

ทฤษฎีการเรียนรู้การวาง เงื่อนไขแบบลงมือกระทํา 1. แนวคิดธอร์นไดค์ ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ได้กล่าวถึง ธอร์นไดค์ เป็ นผู้ที่ได้ชื่อว่า เป็ นบิดาแห่ง จิตวิทยาการศึกษา และเป็ นผู้คิดทฤษฎี Connectionism ที่เชื่อว่า การเรียนรู้จะ เกิดขึ้นได้จากการเชื่อมโยง ระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง ที่เรียกว่า S-R Model อีกทั้งให้ความสําคัญต่อการให้การเสริมแรง ที่จะทําให้เกิดการเชื่อมโยง และการตอบสนอง เพิ่มขึ้น อาจกล่าวได้ว่าสิ่งเร้าใดที่ทําให้เกิดการตอบสนองนั้น ได้รับการเสริมแรง จะทําให้เกิดการ เชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองนั้น เพิ่มมากขึ้น โดยเน้นการให้รางวัลมากกว่าลงโทษ ซึ่งธอร์นไดค์ ได้ทําการทดลอง ดังต่อไปนี้ 1. กฎแห่งผล สิ่งเร้าใดที่มีการกระตุ้น 2. กฎแห่งความพร้อม การเรียนรู้จะ ให้มีการตอบสนองแล้ว ทําให้ผู้เขียนได้ เกิดขึ้นได้ดีถ้าผู้เรียนมี ความพร้อมทั้ง รับผลที่น่าพึ งพอใจจากการกระทํานั้น ร่างกายและจิตใจ แล้วจะเป็ นผลที่ทําให้กระทําพฤติกรรม 3. กฎแห่งการฝึ กหัด การฝึ กหัดหรือ นั้นๆอีก แต่ถ้าไม่ได้รับผลที่น่าพึงพอใจ การกระทําบ่อยๆ จะทําให้เกิดการ จะทําให้เลิกพฤติกรรมนั้นอีกต่อไป ซึ่งธ เรียนรู้ที่คงทนถาวร แต่ในทางตรง อร์นไดค์ อธิบายว่า การแสดง ข้ามถ้าไม่ได้กระทําซ้ําๆบ่อย ๆ การ พฤติกรรมเป็ นลักษณะของการลองผิด เรียนรู้นั้นอาจไม่คงทน ถาวรและใน ที่สุดอาจลืมไป ลองถูกโดยการกดนั่นดึงนี่มาหลาย ครั้งเพื่ อหาทางออก

ทฤษฎีการเรียนรู้การวาง เงื่อนไขแบบลงมือกระทํา 2. แนวคิดของสกินเนอร์ พรรณีชูทัย เจนจิต ได้กล่าวถึง สกินเนอร์ เป็ นนักจิตวิทยาผู้คิดทฤษฎี การเรียนรู้ ที่เรียกว่า เป็ นศาสตราจารย์ทางจิตวิทยาที่มหาวิทยาลัย Havard ทฤษฎีของท่าน นับว่าเป็ นทฤษฎีที่มีประโยชน์มากในการอธิบายพฤติกรรมของมนุษย์ และมี หลัก การประยุกต์ที่มีประโยชน์หลายอย่าง แนวคิดของสกินเนอร์ยังสอดคล้องกับธอร์น ไดค์ เกี่ยวกับ การเสริมแรงเป็ นสิ่งที่มีความสําคัญในการเรียนรู้ แต่จะแตกต่างกันที่ว่า สกินเนอร์คิดว่าการเชื่อมโยง จะเกิดขึ้นระหว่างรางวัลกับ การตอบสนอง ไม่ใช่สิ่งเร้ากับการตอบสนองตามแนวคิดของธอร์นไดค์ สกินเนอร์ ได้เริ่มทดลองเกี่ยวกับการ เมื่อหนูวิ่งไปวิ่งมาแล้วบังเอิญไปกด วางเงื่อนไขแบบโอเปอร์แรนท์ หรือการ ถูกคานเข้าจะมีเสียงจะมีเสียงดัง เรียนรู้จาก การกระทําโดยใช้หนูและนก แกรก และหลังจาก นั้นก็จะมีอาหาร เป็ นสัตว์ทดลอง จนกระทั่งได้หลักการ หล่นลงมาหนูรีบหยิบมากิน จากนั้นหนู ต่างๆ เกี่ยวกับการวางเงื่อนไข แบบโอ จะวิ่งไปวิ่งมา ในที่สุดก็จะเวียนเฝ้ ามา เปอร์แรนท์โดยการทดลองที่ปล่อยให้ กดคาน และวิ่งไปคอยรับอาหาร ซึ่ง หนูที่หิวอาหารเข้าไปอยูใน Skinner ครั้งแรกหนูจะเกิดการเรียนรู้แบบ Box ซึ่งภายใน กล่องมีคานซึ่งเมื่อหนู Generalization คือ การกดคานทุก กดแล้วจะมีอาหารให้กินพร้อมกับ ครั้งจะได้รับอาหารแต่ต่อมาหนูจะ เงื่อนไขที่มีเสียงดังแกรก จากการ เรียนรู้ว่าต้องกดคาน ทดลอง ปรากฏว่า

ทฤษฎีการเรียนรูู้ กลุ่มพุ ทธิปั ญญา 2. แนวคิดของสกินเนอร์ โรจน์รวี พจน์พัมนพล และคณะ ได้นําเสนอนักจิตวิทยากลุ่มพุ ทธิปั ญญา นิยม เชื่อว่าการเรียนรู้เป็ นสิ่งที่มากกว่าผลของการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้าการ ตอบ สนอง โดยให้ความสนใจในกระบวนการภายในที่เรียกว่าความรู้ความเข้าใจ หรือ การรู้คิดของ มนุษย์ โดยเชื่อว่าการเรียนรู้จะอธิบายได้ดีที่สุด หากเราสามารถ เข้าใจกระบวนการภายใน ซึ่งเป็ น ตัวกลางระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนอง การ เรียนรู้ตามแนวคิดของนี้ มีรากฐานอยู่บนแนวคิด นักจิตวิทยากลุ่มเกสตัลท์ ซึ่ง แนวคิดพื้นฐานของกลุ่มเกสตัลท์ พุ่งไปที่เรื่องการรับรู้ โดยเห็นว่าการรับรู้ เป็ นก ระบวนการของการเรียบเรียงประสบการณ์และข้อสารสนเทศ สกินเนอร์ ได้เริ่มทดลองเกี่ยวกับการ ได้ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการรับรู้ ของ วางเงื่อนไขแบบโอเปอร์แรนท์ หรือการ มนุษย์ พบว่าส่วนมากมนุษย์เราจะรับ เรียนรู้จาก การกระทําโดยใช้หนูและนก รู้ในลักษณะอัตวิสัย์ และมักจะเรียบ เป็ นสัตว์ทดลอง จนกระทั่งได้หลักการ เรียงให้ เห็นความสัมพันธ์ของส่วน ต่างๆ เกี่ยวกับการวางเงื่อนไข แบบโอ ย่อย และส่วนรวม และได้อธิบาย เปอร์แรนท์โดยการทดลองที่ปล่อยให้ ความสัมพั นธ์ของส่วนย่อยและส่วน หนูที่หิวอาหารเข้าไปอยูใน Skinner รวมว่า ส่วนรวมมากกว่าผลรวมของ Box ซึ่งภายใน กล่องมีคานซึ่งเมื่อหนู ส่วนย้อย นักจิตวิทยากลุ่มเกสตัลท กดแล้วจะมีอาหารให้กินพร้อมกับ ที่ได้ชื่อว่าเป็ นผู้นําเกี่ยวกับการ ศึกษา เงื่อนไขที่มีเสียงดังแกรก จากการ วิจัยทางด้านพุ ทธิปั ญญา ทดลอง ปรากฏว่า

กลุ่มพุ ทธิปั ญญานิยม ิวิไลวรรณ ศรีสงคราม ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1960 นักทฤษฎีการเรียนรู้เริ่ม ตระหนักว่า การที่จะเข้าถึงการเรียนรู้ได้อย่างสมบูรณนั้น จะต้องผ่านการพิจารณา ไตร ตรอง การคิด (Thinking) เช่นเดียวกับพฤติกรรม และควรเริ่มสร้างแนวคิดเกี่ยว กับการเรียนรู้ ในทรรศนะของการ เปลี่ยนแปลงกระบวนการรูคิด ที่เกิดขึ้น ภายในของผู้เรียนมากกว่าการ เปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมที่สามารถวัดและ สังเกตได้เท่านั้น ดังนั้นจึงมีการเปลี่ยนกระบวนทัศนจาก ความสนใจเกี่ยวกับสิ่ง เร้ากับการตอบสนอง กลุ่มพุ ทธิปั ญญา ให้ความสนใจเกี่ยวกับกระบวนการคิด การให้เหตุผลของผู้เรียน ซึ่ง แตกต่างจากทฤษฎีการเรียนรู้ของกลุ่มพฤติกรรม นิยม 1. ความใส่ใจ (Attending) ทฤษฎีการเรียนรู้ตามแนวพุ ทธิปั ญญา 2. การรับรู้ (Perception) นิยมนี้ จําแนกย่อยออกเป็ นหลายๆ 3. การจําได้ (Remembering) ทฤษฎีเช่นกัน แต่ ทฤษฎีซึ่งเป็ นที่ 4. การคิดอย่างมีเหตุผล (Reasoning) ยอมรับกันมากในระหว่างนักจิตวิทยา 5. จินตนาการหรือการวาดภาพในใจ การเรียนรู้ และนํามาประยุกต์ใช้กันมาก 6. การคาดการณ์ล่วงหน้าหรือการมี กับ สถานการณ์การเรียนการสอน แผนการรองรับ (Anticipating) ได้แก่ การพัฒนาทางด้านสติปั ญญา 7. การตัดสินใจ (Decision) ของเพียเจต ทฤษฎีการ เรียนรู้โดย 8. การแก้ปั ญหา (Problem Solving) การค้นพบของบรูเนอร์ทฤษฎีการเรียน 9. การจัดกลุมสิ่งต่างๆ รู้อย่างมีความหมายของออซูเบล 10. การแปลความหมาย

ทฤษฎีพั ฒนาการเชาวน์ ปั ญญาของเพียเจต เพียเจต์ นักจิตวิทยาชาวสวิส คือ เพียเจต์ ทฤษฎี เกี่ยวกับการพัฒนาเชาวน์ ปั ญญาเป็ นทฤษฎีที่พัฒนาโดย หลังจากได้รับปริญญาเอกทางวิทยาศาสตร์ สาขา สัตวิทยาที่มหาวิทยาลัย Neuchatel ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ในปี ค.ศ.1918 เพีย เจต์ได้ไป ทํางานกับนายแพทย์บีเนต์ (Binet) และซีโม (Simon) ซึ่งเป็ นผู้จัดทํา ข้อสอบเชาวน์ปั ญญาขึ้นเป็ นครั้ง แรก เพียเจตมีหน้าที่ทดสอบเด็ก เพื่อจะหา ปทัสถาน (Norm) สํารับเด็กแต่ละวัย เพียเจตพบว่า คําตอบของเด็กน่าสนใจ มาก โดยเฉพาะคําตอบของเด็กเยาว์วัยเพราะมักจะตอบผิดแต่เมื่อเพียเจต ได้ วิเคราะห์คําตอบที่ผิดเหล่านั้น 1.1.1 การจัดและรวบรวม หมายถึง 1.2.1.1 การซึมซาบหรือดูดซึมเมื่อมนุษย์ การจัดและรวบรวม กระบวนการต่างๆ มีปฏิสัมพันธ์กับ สิ่งแวดล้อมก็จะ ภายในเข้าเป็ นระบบอย่างต่อเนื่องเป็ น ซึมซาบหรือดูดซึมประสบการณ์ใหม่ให้ ระเบียบ และมีการปรับปรุง รวมเข้าอยู่ในโครงสร้างทางปั ญญา เปลี่ยนแปลงอยู่ ตลอดเวลา ตราบที่ยัง โดยจะเป็ นการตีความหรือการรับรู้ มีปฏิสัมพั นธ์กับสิ่งแวดล้อม ข้อมูลจากสิ่งแวดล้อม 1.2.1 การปรับตัว (Adaptation) หมาย 1.2.1.1 การปรับโครงสร้างทางปั ญญา ถึง การปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม หมายถึงการ เปลี่ยนแบบโครงสร้าง เพื่อ อยู่ในสภาพสมดุล การปรับ ทางปั ญญาที่มีอยู่แล้วให้เข้ากับสิ่ง ตัวประกอบด้วยกระบวนการสองอย่าง แวดล้อมหรือประสบการณ์ใหม่

ทฤษฎีการเรียนรู้ กลุ่มคอนสตรัคติวิสต์ ในช่วง 20 ปี ที่ผ่านมาได้มีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมที่เน้นการศึกษาปั จจัยนอกมา เป็ นสิ่งเร้า ภายใน ซึ่งได้แก่ ความรู้ความเข้าใจ หรือกระบวนการรู้คิด กระบวนการคิด (Cognitive Processes) ที่ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ จากผลการ ศึกษาพบว้า ปั จจัยภายในมีส่วนช่วยทําให้เกิดการเรียนรู้อย่างมี ความหมาย และ ความรู้เดิมมีส่วนเกี่ยวข้อง และเสริมสร้างความเข้าใจของผู้เรียน ข้อค้นพบนี้ไป สอดคล้องกับแนวคิดของทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ (Constructivism) หรือเรียก ชื่อแตกต่างกันไป ได้แก่ สร้างสรรคความรู้นิยม หรือการสร้างความรู้ 1.แนวคิดเกี่ยวกับคอนสตรัคติวิสต์ 2.กลุ่มแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์เชิงสังคม จารุณี ซามาตย์ได้กล่าวว่าคอนสตรัคติ นักจิตวิทยาของกลุ่มพุ ทธิปั ญญานิยม วิสต์ เชื่อว่า การเรียนรู้เป็ นกระบวน ที่มีชื่อเสียงอีกท่านหนึ่งคือ วีกอทสกี การสร้างมากกว่าการรับความรู้ ดังนั้น ซึ่งเชื่อว่าสังคมและวัฒนธรรมจะเป็ น เป้ าหมายของการสนับสนุนการสร้าง เครื่องมือทางปั ญญาที่จําเป็ นสําหรับ มากกว่าความพยายามในการถ่ายทอด การพัฒนา รูปแบบและคุณภาพของ ความรู้ดังนั้น คอนสตรัคติวิสต์ จะมุ่ง ปั ญญา ได้มีการกําหนดรูปแบบและ เน้น การสร้างความรู้ใหม่อย่างเหมาะ อัตราการพั ฒนามากกว่าที่กําหนดไว้ สมของแต่ละบุคคล และสิ่งแวดล้อมมี ความสําคัญ ในการสร้าง ความหมาย

สรุป หลักจิตวิทยาการเรียนรู้หรือทฤษฎีการเรียนรู้นั้นเป็ น สิ่งที่เป็ นพื้นฐานที่สําคัญที่ ควรมีความ เข้าใจที่ลึกซึ้งและตระหนักเกี่ยวกับหลักการทฤษฎีที่เป็ นพื้นฐาน โดย เฉพาะอย่างยิ่ง สําหรับครูผู้สอน จําเป็ นที่ต้องมีความรู้ ดังนั้นการเรียนรู้เป็ นกระ บวนการสร้างมากกว่าการรับความรู้ ดังนั้น เป็ าหมาย ของการสนับสนุนการ สร้างมากกว่าความพยายามในการถ่ายทอดความรู้ ดังนั้น คอนสตรัคติวิสต์ จะ มุ่งเน้นการสร้างความรู้ใหม่อย่างเหมาะสมของแต่ละบุคคล และสิ่งแวดล้อมมี ความสําคัญ ในการสร้างความหมายตามความเป็ นจริงเป็ นวิธีการที่นํามาใช้ใน การจัดการเรียนการ สอนมีหลักการที่สําคัญว่า ในการเรียนรู้มุ่งเน้นให้ผู้เรียนลง มือกระทําในการสร้างความรู้ซึ่งเป็ นเป้ น ส๋วนของหลักการพื้นฐานทฤษฎีการเรียน รู็ทั้ง 3 กระบวนการทัศนื ดังที่กล๋าวในเรื่องกลุ๋มพฤติกรรม นิยม ทฤษฎีพุ ทธิ ปํ ญญานิยม และทฤษฎีคอนสตรัคติวิสตื ซึ่งเป้ นรากฐานสําคัญของการออกแบบ การเรียนการสอน ในการที่นําไปใช็ในการออกแบบเพื่อส๋งเริมการเรียนรู็ที่มี ประสิทธิภาพ นั่น หมายถึง ส่งผลตอการเรียนรู้ของผู้เรียน

สื่อประสมเพื่อการศึกษา การจัดการเรียนรูในรายวิชาเทคนิคปฏิบัติการพื้นฐานทางวิทยาศาสตร ซึ่งเปนรายวิชา เพิ่มเติมสําหรับนักเรียนหองเรียนพิเศษวิทยาศาสตร ของโรงเรียนหองสอนศึกษาในพระอุป ถัมภฯนั้น จึงมีขอจํากัด การจัดการเรียนการสอนแบบเดิมนั้นจัดใหนักเรียนไดลงมือปฏิบัติ ฝกการใช็เครื่องมือ อุปกรณ และเทคนิคปฏิบัติการบางอยางเทาที่เครื่องมืออุปกรณที่มีภายใน โรงเรียนจะอํานวย และใชวิธีบรรยายแทนในสวนของเนื้อหาที่ขาดแคลนอุปกรณและเครื่องมือ ซึ่งคอนขางยากที่จะทําใหนักเรียนมีความสนใจ ตั้งใจเรียน ตั้งใจปฏิบัติงานที่ไดรับมอบหมาย นักเรียนมักเกิดความเบื่อหนาย และทอถอยในการเรียน ไมเห็นความสําคัญ รูสึกวาเนื้อหายาก และไมอยากเขาเรียน สื่อการสอนนั้นเปรียบเสมือนทางลัดใหผูเรียนสามารถเขาใจและบรรลุวัตถุ ประสงคทางการเรียนไดเร็วขึ้น ผูเรียนจะสามารถเขาใจลึกซึ้งเปนรูปธรรมไดและการจัดกิจกรร มดวยสื่อการจัดการเรียนรูที่หลากหลายทาใหนักเรียนมีความรู ความเขาใจในเรื่องที่เรียนมาก ขึ้นสนุกกับการเรียน และเกิดความกระตือรือรนในการเรียน สื่อประสมคือการอาศัยศักยภาพ ของคอมพิวเตอรในการนําเสนอขอความ กราฟก ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว วีดีทัศนและเสียง สื่อ ประสมมีประสิทธิภาพในการใชจัดการเรียนการสอนมาก เนื่องจากสามารถใชกับการเรียนไดทุก รูปแบบ ทุกภาวการณเนื่องจากสามารถใชไดหลายวิธีเพื่อนําไปจัดการเรียนการสอนที่ดีที่สุด แกผูเรียนนอกจากนี้ สื่อประสมยังสามารถนําไปสนองความตองการไดหลายอยาง เชนสามา รถใชสนับสนุนการบรรยายดังนั้นสื่อจึงมีอิทธิพลในการกระตุนการเรียนรูของใหมีประสิทธิภาพ มากขึ้นผานการมองเห็น เพื่อใหเกิดจินตนาการ จึงกลายเปนการเรียนรูที่ทําใหเกิดความ เขาใจงาย ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

สื่อประสมเพื่อการศึกษา สื่อประสม เรียกว่า มัลติมีเดีย (Multimedia) มาจาก ดังนั้น สื่อประสม หมายถึง การนําสื่อหลาย ๆ ประเภท คําว่า มัลติ (Multi) ซึ่งแปลว่าความหลากหลายและ มาใช้รเวมกัน ทั้งวัสดุ อุปกรณ์ และวิธีการ เพื่อให้เกิด มีเดีย (Media) ซึ่งแปลว่า สื่อ โดยมีผู้ให้ความหมาย ประสิทธิภาพและ ประสิทธิผลสูงสุดในการเรียนการสอน ของสื่อประสมไว้ดังนี้ โดยการใช้สื่อแต่ละอย่างตามลําดับขั้นตอนของเนื้อหา ประหยัด จิระวรพงศ (2527 : 256) สื่อประสม หมาย และในปัจจุบันมีการนําคอมพิวเตอร์มาใช้ร่วมด้วย เพื่อ ถึง การนําเอาสื่อการสอนหลายๆ การ ผลิตหรือการควบคุมการทํางานของอุปกรณ์ต่าง อย้างมาสัมพันธ์กัน ซึ่งมีคุณค่าที่ส่งเสริมซึ่งกันและ ๆ ในการเสนอข้อมูลทั้งตัวอักษร ภาพกราฟิก ภาพถ่าย กันสื่อการสอนอย่างหนึ่งอาจใช้เพื่อเร้าความ ภาพเคลื่อนไหว และเสียง เป็นต้น ความหมายของสื่อ สนใจในขณะที่อีกอย่างหนึ่งใช้เพื่ออธิบายข้อเท็จจริง ประสมจะแตกต่างกันไปตามสมัย ซึ่งสมัยก่อน เมื่อ ของเนื้อหาและอีกชนิดหนึ่งอาจใช้เพื่อ กล่าวถึงสื่อประสมจะหมายถึง การนําสื่อหลาย ๆ ก่อให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้ง และป้องกันการเข้าใจ ประเภทมาใช้ร่วมกัน ความหมายผิด การใช้สื่อประสมจะช่วยให้ผูเรียนมี ประสบการณ์จากประสาทสัมผัสที่ผสมผสานกัน มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (2537 : 111) สื่อประสม หมายถึง การนําเอาสื่อการ สอนหลาย ๆ อย่างมาสัมพันธ์กันและมีคุณค่าที่ ส่งเสริมซึ่งกันและกันสื่อการสอนอย่างหนึ่ง อาจใช้เพื่อเร้าความสนใจ ในขณะที่อีกอย่าง หนึ่งใช้เพื่ออธิบายข้อเท็จจริงของเนื้อหา และ อีกชนิดหนึ่งอาจใช้เพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจที่ ลึกซึ้งและป้องกันการเข้าใจความหมายผิด การ ใช้สื่อประสมจะช่วยให้ผู้เรียนมีประสบการณ์จาก ประสาทสัมผัสที่ผสมผสานกันได้ค้นพบวิธีการ ที่จะเรียนในสิ่งที่ ต้องการได้ด้วยตนเองมากยิ่ง ขึ้น สื่อประสม

วิวัฒนาการของสื่อประสม สื่อประสม เริ่มมีขึ้นครั้งแรกใน พ.ศ.2493-2502 สื่อประสมสมัยนี้จึง หมายถึง การนําอุปกรณ์ต่างๆ เช่น เพื่อระบุถึงการใช้ร่วมกันของสื่อใน ลักษณะที่นิ่งและ เครื่องเล่นซีดี-รอม เครื่องเสียง ระบบดิจิทัล เครื่องเล่น เคลื่ อนไหวเพื่ อเป็นการสร้างเสริมประสิทธิภาพ แผ่นวีดิทัศน์คอมพิวเตอร์ช่วย บทเรียนเว็บช่วยสอน ทางการศึกษาซึ่งได้สะท้อนถึงวิธีการ ที่เรียกว่า สภาพแวดล้อม ทางการเรียนรู้ออนไลน์ การจําลอง “วิธีการสื่อประสม” ( Multimedia approach ) หรือ ห้องเรียนเสมือนมาใช้ร่วมกันเพื่อเสนอเนื้อหาข้อมูลที่ “วิธีการใช้สื่อข้ามกัน” ( Crossmedia approach ) เป็น ตัวอักษร ภาพกราฟิก ภาพถ่าย ภาพเคลื่อนไหว โดยขึ้นอยู่กับหลักการซึ่งนําสื่อโสตทัศน์และ แบบวีดิทัศน์ และเสียงในระบบแบบสเตริโอ ประสบการณ์หลากหลายอย่างมาใช้ร่วมกับสื่อการ โดยการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มาช่วยในการผลิต สอนเพื่อเป็นการเสริมซึ่งกันและกัน การนําเสนอเนื้อหาและเพื่อเป็นตัวควบคุมการทํางาน ( Ely, 1963 อ้างอิงใน Heinich, 1999 : 198) ของอุปกรณ์ร่วมเหล่านี้เพื่อให้ทํางานตามโปรแกรมที่ เขียนไว้ เป็นการให้ผู้ใช้หรือผู้เรียนมิใชเพียงแต่ นั่งดู สมัยก่อนสื่อประสมจะเป็นการนําสื่อหลากหลาย หรือฟังข้อมูลจากสื่อที่เสนอเท่านั้น แต่ผู้ใช้สามารถ ประเภทมาใช้ร่วมกัน เช่น รูปภาพ เครื่อง ฉาย ควบคุมให้คอมพิวเตอร์ทํางานในการ ตอบสนองต่อคํา แผ่นโปร่งใส่เทปบันทึกเสียง วีดิทัศน์ฯลฯ เพื่อ สั่งและให้ข้อมูลป้อนกลับในรูปแบบต่างๆได้อย่างเต็มที่ ให้การเสนอผลงานหรือการเรียนการสอน ผู้ใช้และสื่อสามารถมี ปฏิสัมพันธ์ตอบสนองซึ่งกันและ สามารถ ดําเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพโดย กันได้ทันที เนื้อหาในสื่อประสมจะมีลักษณะไม่เรียงลําดับ การเสนอเนื้อหาในรูปแบบต่างๆ นอกจากการ เป็นเส้นตรง และไม่ใช่สิ่งพิมพ์ เพราะเนื้อหาเหล่านั้นจะ บรรยายเพียงอย่าง เดียว โดยผู้ฟังหรือผู้เรียน เป็นภาพจากแผ่นวีดิทัศนหรือจากซีดี-รอม เป็นเสียง ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์ต่อสื่อ จาก แผ่นเพลงซีดีหรือเครื่องเสียงจากระบบดิจิทัลหรือ เป็นตัวอักษรจากแฟ้มคอมพิวเตอร์

รูปแบบของสื่อประสม สื่อประสม (Multimedia) เป็นสื่อประสมที่ใช้โดย สื่อประสม II( Multimedia II ) เป็นสื่อประสมที่ใช้ การนําสื่อหลายประเภท มาใช้ร่วมกันใน การเรียนการ คอมพิวเตอร์เป็นฐานในการเสนอ สารสนเทศ หรือการ สอน เช่น นําวีดิทัศน์ มาสอนประกอบการบรรยาย ผลิตเพื่อเสนอข้อมูลประเภทต่าง ๆ เช่น ภาพนิ่ง ภาพ ของผู้สอน โดยมีสื่อสิ่งพิมพ์ ประกอบด้วย หรือสื่อ เคลื่อนไหว ตัวอักษร และ เสียง ในลักษณะของสื่อหลาย ประสมในชุดการเรียน หรือชุดการสอน วาสนา ชาวหา มิติ โดยที่ผู้ใช้มีการโต้ตอบกับสื่อโดยตรง โดยการใช้ (2525 : 15) สื่อประสม คือการใช้คอมพิวเตอร์สื่อ คอมพิวเตอร์ ในสื่อ ประสม II ใช้ได้ในสองลักษณะ คือ ความหมายโดยการ ผสมผสานสื่อหลายชนิด เช่น 1. การใชคอมพิวเตอร์เป็นฐานในการเสนอสารสนเทศ ข้อความ กราฟิก ภาพศิลป์ (graphic art) เสียง โดยการควบคุมอุปกรณ์ร่วม ต่าง ๆ ในการทํางาน เช่น ภาพเคลื่อนไหว (animation) และวีดิทัศน์ เป็นต้น ถ้า ควบคุมการทํางานของอุปกรณ์ในสถานีงานสื่อประสม ผู้ใช้สามารถควบคุมสื่อเหล่านี้ให้แสดงออกมาตาม ควบคุมการเสนอ ภาพสไลด์มัลติวิชั่น และการเสนอใน ต้องการได้ ระบบนี้จะเรียกว่า สื่อประสมเชิงโต้ตอบ รูปแบบของแผ่นวีดิทัศน์เชิงโต้ตอบ (Interactive (interactive multimedia) (Vaughan, 1998, 99) Video) การใช้ ในลักษณะนี้คอมพิวเตอร์จะเป็นตัวกลาง ในการควบคุมการทํางานของเครื่องเล่นแผ่นวีดิทัศน์ 1. สื่อประสมที่ไม่สามารถโต้ตอบกับผู้ และ เครื่องเล่นซีดีรอม์ให้เสนอภาพนิ่ง และภาพ ใช้ได้(Multimedia) การนําสื่อหลายชนิดมา เคลื่ อนไหวตามเนื้ อหาบทเรียนที่เป็นตัวอักษรที่ปรากฏ ผสมผสานเข้าด้วยกัน โดยใช้โปรแกรม อยู่ บนจอภาพคอมพิวเตอร์รวมถึงควบคุมเครื่องพิมพ์ คอมพิวเตอร์เป็นตัวจัดการ และควบคุมให้สื่อ ในการพิมพ์ข้อมูลต่าง ๆ ของบทเรียน และผลการ ต่างๆ แสดงผล ออกมาทางหน้าจอและลําโพง เรียนของผู้เรียนแต่ละคนด้วย 2. การใช้คอมพิวเตอร์ ของคอมพิวเตอร์ เป็นฐานในการผลิตแฟ้มสื่อประสมโดยการใช้โปร 2. สื่อประสมที่สามารถโตตอบกับผู้ใช้ได้ แกรมสําเร็จรูป ต่าง ๆ เช่น Tool Book และ Author (Interactivity Multimedia) กล่าวคือ ware และนําเสนอแฟ้มบทเรียนที่ผลิตแล้วแก้ผู้เรียน โปรแกรม คอมพิวเตอร์สามารถจัดการกับ โปรแกรม สําเร็จรูปเหล่านี้จะช่วยในการผลิตแฟ้มบท ข้อมูลภาพและเสียง ให้แสดงผลบนจอใน เรียน ฝึกอบรม หรือการเสนองานในลักษณะของสื่อ ลักษณะที่โต้ตอบกับผู้ใช้ได้ ไม่ใช่การแสดงผล หลาย มิติโดยในแต่ละบทเรียนจะมีเนื้อหาในลักษณะ รวดเดียวจบ (run through) แบบวีดิทัศน์ หรือ ของตัวอักษร ภาพกราฟิก ภาพกราฟิกเคลื่อนไหว ภาพ ภาพยนตร์และไม่ใช่การสื่อสารทาง เดียว เคลื่ อนไหวแบบวีดิทัศน์และเสียงรวมอยู่ในแฟ้เดียวกัน

รูปแบบของสื่อประสม การนําเสนอขอมูลของสื่อประสม II นี้จะเป็นไปใน 4. ประสมสื่อประเภทฉาย เป็นการประสมโดยมีข้อจํากัด ลักษณะสื่อหลายมิติที่เน้นเชิงโต้ตอบ ซึ่ง ช่วยให้ผู้ใช้ ที่ความสามารถและคุณสมบัติ เฉพาะตัวของอุปกรณ์ สามารถดูข้อมูลบนจอภาพได้หลายลักษณะ คือ ทั้งตัว เครื่องฉายเป็นสําคัญ เช่น สไลด์ประกอบเสียงและวีดิ อักษร ภาพ และเสียง และถ้า ต้องการจะทราบข้อมูล ทัศน์ประกอบเสียง สไลด์ และแผ่นโปร่งใส วีดิโออิมเมจ มากกว่านี้ผู้ใช้ก็เพียงแต่คลิกที่คําหรือสัญลักษณ์รูปที่ เป็นต้น และฉายบนจอตั้งแต่ 2 จอขึ้นไป เป็นการใช้ฉาย ทําเป็นปุ่มในการ เชื่อมโยงก็จะมีภาพ เสียง หรือ กับผู้ชมเป็น กลุ่มสื่อประสมประเภทฉายนี้สามารถใช้ ข้อความอธิบายปรากฏขึ้นมา ประกอบการศึกษาและการเรียนการสอนโดยเฉพาะสําห 3. สื่อประสมสื่อที่เป็นวัสดุ อุปกรณ์และกระบวนการ รับ ผู้เรียนที่ชอบการเรียนรู้จากการอ่านภาพ การเสนอ เข้าร่วมกัน นํามาใช้สําหรับการเรียน การสอนปกติทั่ว ด้วยสื่อประเภทฉายนี้แม้ว่าในบางครั้งราคาการ ผลิต ๆ ไปเช่น ชุดอุปกรณ์ชุดการเรียนการสอน บทเรียน อาจจะสูงและการผลิตซับซ้อนกว่าการผลิตสื่อประสม แบบโปรแกรม โปรแกรมสไลด์ ศูนย์การเรียน เป็นต้น บางชนิดในประเภทแรก แต่ผลที่ได้รับจาก การเสนอ สื่อประสมแต่ละชนิดที่จัดอยู่ในประเภทนี้มีหลักการ ด้วยสื่อประสมประเภทฉายให้ผลตรงที่มีคุณสมบัติ และลักษณะเด่นแตกต่าง กันออกไป คือ เฉพาะตัวที่สื่ออื่นไม่สามารถทําได้คือผล ในความรู้สึก อารมณ์และสุนทรียภาพแก่ผู้ชม ทั้งยังช่วยดึงดูดความ 3.1 สามารถให้ผู้เรียนได้ประสบการณ์ด้วย สนใจให้ผู้ชมได้ติดตามอย่างตื่นตา ตนเอง คือ มีส่วนร่วมในการกระทําหรือ ปฏิบัติ 4.1 ใช้เมื่อสื่อมีการเปรียบเทียบความคล้ายคลึงกัน เป็น กิจกรรมเป็นการเร้าใจแก่ผู้เรียน เช่น ศูนย์การ การง่ายสําหรับผู้เรียน ในการ สังเกตและเรียนรู้สิ่งที่ เรียน บทเรียนโปรแกรม ชุดอุปกรณ เป็นต้น คล้ายคลึงกันจากสื่อต่าง ๆ เมื่อภาพของสิ่งนั้น ๆ 3.2 สามารถให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามความรู้ ปรากฏบนจอพร้อมกัน ความสามารถ และความแตกต่างของแต่ละ 4.2 ใช้สอนให้เห็นความแตกต่าง และการตัดกันเมื่อ บุคคล เช่น บทเรียนโปรแกรม ชุดการสอน ภาพหลาย ๆ ภาพปรากฏพร้อมๆ กัน เป็นต้น 4.3 ใช้มองสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากมุมที่ต่างกัน เช่น ภาพ 3.3 สามารถให้ผู้เรียนใช้เรียนด้วยตนเองหรือ สถานที่หรืออาคารสถานที่โดยภาพ ปรากฏพร้อมกัน ใช้เมื่อขาดครูได้เช่น บทเรียนแบบ โปรแกรม จากการมองในแง่มุมที่ต่างกัน ชุดการสอนรายบุคคล เป็นต้น 4.4 ใช้แสดงภาพซึ่งดําเนินเป็นขั้นตอน และสามารถ เลียนแบบการเคลื่ อนไหวได้

องค์ประกอบของสื่อประสม สื่อประสมในปัจจุบันจะใช้คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์ 1.2 ภาพเวกเตอร(Vector) เป็นภาพที่สร้างด้วยส่วน หลักในการเสนอสารสนเทศในรูปแบบ รวมของ ประกอบของเส้นลักษณะต่างๆ และคุณสมบัติเกี่ยวกับ ข้อความ เสียง ภาพนิ่ง ภาพกราฟิกเคลื่อนไหว และ สีของเส้นนั้นๆ ซึ่งสร้างจากการคํานวณทาง ภาพเคลื่อนไหวแบบวีดิทัศน์ เพื่อรวมเป็น องค์ คณิตศาสตร์ เช่น ภาพของคน ก็จะ ถูกสร้างด้วยจุด ประกอบของสื่อประสมในลักษณะของ \" สื่อหลายมิติ\" ของเส้นหลายๆ จุด เป็นลักษณะของโครงร่าง และสี โดยก่อนที่จะมีการประมวลเป็นสารสนเทศ นั้น ข้อมูล ของคนก็เกิดจากสีของ เส้นโครงร่างนั้นๆ กับพื้นที่ผิว เหล่านี้จะต้องได้รับการปรับรูปแบบ ทวีศักดิ์ กาญจน ภายในนั่นเอง เมื่อมีการแก้ไขภาพ ก็จะเป็นการแก้ไข สุวรรณ (2546 : 20 - 22) ได้นําเสนอองค์ประกอบ คุณสมบัติของเส้น ทําให้ภาพไม่สูญเสียความละเอียด ของสื่อประสม ดังนี้สื่อ ประสมในปัจจุบันจะใช้ เมื่อมีการขยายภาพนั่นเอง ภาพแบบ Vector คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์หลักในการเสนอสารสนเทศ 1.3 คลิปอาร์ต (Clipart) เป็นรูปแบบของการจัดเก็บ ในรูปแบบรวมของ ข้อความ เสียง ภาพนิ่ง ภาพ ภาพ จํานวนมากๆ ในลักษณะของ ตารางภาพ หรือห้อง กราฟิกเคลื่อนไหว และภาพเคลื่อนไหวแบบวีดิทัศน์ สมุดภาพ หรือคลังภาพ เพื่อให้เรียกใช้สืบค้น ได้ง่าย สะดวก และรวดเร็ว 1. ภาพนิ่ง ก่อนที่ภาพถ่าย ภาพวาด หรือภาพ 1.4 HyperPicture มักจะเป็นภาพชนิดพิเศษ ที่พบได้ ต่าง ๆ ที่เป็นภาพนิ่งจะเสนอบนจอคอมพิว บนสื่อมัลติมีเดีย มีความสามารถ เชื่อมโยงไปยังเนื้อหา เตอร์ให้แลดูสวยงามได้นั้น ภาพเหล่านี้จะต้อง หรือรายละเอียดอื่นๆ มีการกระทํา เช่น คลิก หรือเอา ถูกเปลี่ยนรูปแบบก่อนเพื่อให้คอมพิวเตอร์ เมาส์มาวางไว้ เหนือตําแหน่งที่ระบุ สามารถใช้ และเสนอภาพเหล่านั้นไดโดยมีรูป แบบที่นิยมใช้กันมาก 4 รูปแบบ คือ 1.1 ภาพบิตแมพ (Bitmap) เป็นภาพที่มีการเก็บ ข้อมูลแบบพิกเซล หรือจุดเล็กๆ ที่แสดง ค่าสี ดังนั้นภาพหนึ่งๆ จึงเกิดจากจุดเล็กๆ หลายๆ จุดประกอบกัน ทําให้รูปภาพแต่ละรูป เก็บข้อมูล จํานวนมาก เมื่อจะนํามาใช้ จึงมีเทคนิคการบีบ อัดข้อมูล ฟอร์แมต ของภาพบิตแมพ ที่รู้จักกัน ดีได้แก่ BMP PCX GIF JPG TIF

องค์ประกอบของสื่อประสม 2. ภาพเคลื่อนไหวภาพเคลื่อนไหว ที่ใช้ในสื่อประสมจะ 4. เสียง เสียงที่ใช้ในสื่อประสมจําเป็นต้องบันทึกและจัด หมายถึง ภาพกราฟิกเคลื่อนไหว หรือที่เรียกกันว่า รูปแบบเฉพาะเพื่อให้คอมพิวเตอร์ สามารถเข้าใจและ ภาพ \"แอนิเมชัน \"(animation) ซึ่งนําภาพกราฟิกที่ ใช้ได้รูปแบบเสียงที่นิยมใช้กันมากจะมีอยู่ 2 รูปแบบ คือ วาดหรือถ่ายเป็นภาพนิ่งไว้มา สร้างให้แลดูเคลื่อนไหว Waveform (WAV) และ Musical Instrument ด้วยโปรแกรมสร้างภาพเคลื่อนไหว ภาพเหล่านี้จะเป็น Digital Interface (MIDI) แฟ้มเสียง WAV จะบันทึก ประโยชนในการจําลอง สถานการณจริง เช่น ภาพ เสียงจริงดังเช่นเสียงเพลง ในแผ่นซีดีและจะเป็นแฟ้ม การขับเครื่องบิน นอกจากนี้ยังอาจใชการเพิ่มผล ขนาดใหญ่จึงจําเป็นต้องได้รับการบีบอัดก่อนนําไปใช้ พิเศษ เช่น การหลอมภาพ ซึ่งเป็นเทคนิคการทําให้ แฟ้มเสียง MIDI จะ เป็นการสังเคราะห์เสียงเพื่อสร้าง เคลื่อนไหวโดยใช้ \"การเติมช่องว่าง \"ระหว่างภาพที่ไม่ เสียงใหม่ขึ้นมาจึงทําให้แฟ้มมีขนาดเล็กกว่าแฟ้ม WAV เหมือนกัน เพื่อที่ให้ดูเหมือนว่าภาพหนึ่งถูก แต่คุณภาพ เสียงจะด้อยกว่า ลักษณะของเสียง หลอมละลายไปเป็นอีกภาพหนึ่ง โดยมีการแสดงการ ประกอบด้วย คลื่นเสียงแบบออดิโอ (Audio) ซึ่งมี หลอมของภาพ หนึ่งไปสู่อีกภาพหนึ่งให้ดูด้วย ฟอร์แมตเป็น .wav, .au การบันทึกจะบันทึกตามลูก คลื่นเสียง โดยมีการแปลงสัญญาณให้เป็นดิจิทัล และ 3. ภาพเคลื่อนไหวแบบวีดิทัศน์การบรรจุภาพ ใช้เทคโนโลยีการ บีบอัดเสียงให้เล็กลง เสียง CD เป็น เคลื่อนไหวแบบวีดิทัศน์ลงในคอมพิวเตอร์ จํา รูปแบบการบันทึก ที่มีคุณภาพสูง ได้แก่ เสียงที่บันทึก เป็นต้องใช้โปรแกรมและอุปกรณ์เฉพาะในการ ลงในแผ่น CD เพลงต่างๆ MIDI เป็นรูปแบบ ของ จัดทํา ปกติแล้วแฟ้มภาพวีดิทัศนจะมีขนาด เสียงที่แทนเครื่องดนตรีชนิดต่าง ๆ สามารถเก็บข้อมูล เนื้อที่ บรรจุใหญ่มาก ดังนั้น จึงต้องลดขนาด และให้วงจรอิเล็กทรอนิกส์ สร้างเสียงตาม แฟ้มภาพลงด้วยการใช้เทคนิคการบีบอัดภาพ 5. การเชื่อมโยงหลายมิติส่วนสําคัญอย่างหนึ่งของการ (compression) ด้วยการลดพารามิเตอร์ บาง ใช้งานในรูปแบบสื่อประสมใน ลักษณะของสื่อหลายมิติ ส่วนของสัญญาณในขณะที่คงเนื้อหาสําคัญ คือ ข้อมูลต่างๆ สามารถเชื่อมโยงกันได้อย่างรวดเร็ว ไวรูปแบบของภาพวีดิทัศน์ บีบอัดที่ใช้กันทั่วไป โดยใช้จุดเชื่อมโยงหลาย มิติ(hyperlink) การเชื่อมโยง ได้แก่ QuickTime, AVI นี้จะสร้างการเชื่อมต่อระหว่างข้อมูลตัวอักษรภาพ และ เสียงโดยการใช้ สี ข้อความขีดเส้นใต้ หรือสัญลักษณ์ รูป ที่ใช้แทนสัญลักษณ์ต่าง ๆ เช่น รูปลําโพง รูปฟิล์ม ฯลฯ เพื่อให้ผู้ใช้คลิกที่จุดเชื่อมโยงเหล่านั้นไปยังข้อมูลที่ ต้องการ

การใช้สื่อประสมในการศึกษา สุพัตรา เกษมเรืองวิชชญ(2554 : 56) การใช้สื่อ ่ึงในปัจจุบันมีผู้ผลิตบทเรียนลงแผ่นซีดีออกจําหน่าย ประสมเพื่อส่งเสริมการศึกษาในประเทศ ไทยนั้น ยังไม่ มากมายหรือผู้สอนจะจัดทําบทเรียนเองได้โดยใช้ แพร่หลายเท่าใดนัก แม้ว่าหลายหน่วยงาน ทั้งภาค โปรแกรมประยุกต์ต่าง ๆ ช่วยในการจัดทํา ตัวอย่าง รัฐบาล และภาคเอกชน ได้เริ่มสร้าง หน่วยผลิตของ เช่น วงการแพทย์สามารถใช้สถานการณ์จําลอง ของ ตนเองขึ้นมาบ้างแล้วก็ตาม แต่เนื้อหาความรู้ที่ผลิต ก็ การผ่าตัดโดยใช้สื่อประสมเพื่อให้ผู้เรียนทําการผ่าตัด ยังจํากัดอยู่ในวงแคบ และ งบประมาณ สําหรับสร้าง กับคนไข้เสมือนจริง หรือด้าน วิศวกรรมศาสตร์ใชสื่อ โปรแกรมสื่อประสมที่คนไทยผลิตขึ้นเอง ก็ยังไม่เพียง ประสมของการออกแบบวงจรไฟฟ้า เพื่อให้ผู้เรียนฝึก พอ ที่จะสร้างงานสื่อ ประสม ที่มีคุณภาพสูง ที่ให้ผล การออกแบบ ทดสอบ และใชวงจรนั้นได้หรือแม้แต่เด็ก ต่อการเรียนรู้อย่างแท้จริงได้ โรงเรียนในระดับอนุบาล นักเรียนในโรงเรียนประถมศึกษาก็สามารถใช้สื่อประสม ประถมศึกษา และมัธยมศึกษา ใช้โปรแกรมที่เขียนขึ้น ในการเสนอ เรียงความแก่ครูผู้สอนและเพื่อนร่วมในชั้น มา โดยบริษัทจําหน่ายเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อเป็น ได้เช่นกัน การใช้สื่อประสมในการศึกษาจะมีประโยชน บริการ เสริมให้แก่ลูกค้า ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษา มากมายหลายด้าน อาทิ เช่น 1. ดึงดูดความสนใจบทเรียนสื่อประสมในลักษณะสื่อ การใช้สื่อประสมในการศึกษาจะช่วยเพิ่ม หลายมิติที่ประกอบด้วยภาพกราฟิก ภาพเคลื่อนไหว ประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการเรียนการ แบบวีดิทัศน์ และเสียง นอกเหนือไปจากเนื้อหาตัวอักษร์ สอน ได้อย่างมาก โดยใช้ในลักษณะของการ จะดึงดูดความสนใจของ ผู้เรียนได้เป็นอย่างดีและช่วย สอนใช้คอมพิวเตอร์ รูปแบบต่าง ๆ เช่น ในการสื่อสารระหว่างผู้สอนและผู้เรียนด้วย สถานการณ์ ลําลอง เกม การทบทวน เป็นต้น 2. การสืบค้นเชื่อมโยงฉับไว ด้วยสมรรถนะของการ เชื่อมโยงหลายมิติทําให้ผู้เรียนสามารถ เรียนรู้ในสิ่งต่าง CAI เกมเสริมความรู้ ได้กว้างขวางและหลากหลายได้อย่างรวดเร็วโดยไม่จํา เป็นเรียนไปตามลําดับเนื้อหา 3. การโต้ตอบระหว่างสื่อและผู้เรียน บทเรียนสื่อประสม จะมีจุดเชื่อมโยงหลายมิติเพื่อให้ผู้เรียนและสื่อมี ปฏิสัมพันธ์กันได้ในลักษณะสื่อประสมเชิงโต้ตอบ 4. ให้สารสนเทศหลากหลาย ด้วยการใช้ซีดีและดีวีดีใน การให้ข้อมูลและสารสนเทศใน ปริมาณที่มากมายและ หลากหลายรูปแบบเกี่ยวกับเนื้อหาบทเรียนที่สอน 5. ทดสอบความเข้าใจ ผู้เรียนบางคนอาจจะไม่กล่าถาม ข้อสงสัยหรือตอบคําถามใน ห้องเรียน การใช้สื่อประสม จะช่วยแก้ปัญหาในสิ่งนี้ได้โดยการใช้ในลักษณะการ ศึกษารายบุคคล 6. สนับสนุนความคิดรวบยอด สื่อประสมสามารถแสดง สารสนเทศเพื่อสนับสนุนความคิด

ประโยชน์ของสื่อประสม ฉลองชัย สุรวัฒนบูรณ. (2548 : 68-70) ได้กล่าวถึง 3. สร้างเสริมประสบการณ์ การออกแบบและพัฒนา ประโยชน์ของการนํา สื่อประสมมา ประยุกต์ใช้งานกับ โปรแกรมคอมพิวเตอร์มีอยู่หลากหลายรูปแบบ ทั้งนี้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ด้านสื่อประสม แม้ว่าจะมี ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการ นําไปใช้งาน ตัวอย่าง เช่น สื่อประสมที่ผลิตเป็นบทเรียนสําเร็จรูปสําหรับ คุณลักษณะที่แตกต่างกันตามแต่ละวิธีการ กลุ่มผู้ใช้ในแวดวงการศึกษา และฝึกอบรม สื่อประสม 4.เพิ่มขีดความสามารถในการเรียนรู้สืบเนื่องจากระดับ ที่ผลิตขึ้นเพื่อนําเสนอสินค้าและบริการสําหรับการ ขีดความสามารถของผู้ใช้แต่ละคน มีความแตกต่างกัน โฆษณาในแวดวงธุรกิจ เป็นต้น นอกจากจะช่วย สนับสนุนประสิทธิภาพในการดําเนินงานแล้วยัง ทั้งนี้อยู่กับระดับความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับและ เป็นการเพิ่มประสิทธิผลให้ เกิดความคุ้มค่าในการ สั่งสมมา ลงทุนอีกด้วย โดยสามารถแยกแยะประโยชน์ที่จะได้ 5. เข้าใจเนื้อหามากยิ่งขึ้น ด้วยคุณลักษณะขององค์ รับจากการนําสื่อประสมมา ประยุกต์ใช้ ได้ดังนี้ ประกอบของสื่อประสม ทั้งข้อความ หรือตัวอักษร ภาพ นิ่ง ภาพเคลื่อนไหว เสียงและวีดิทัศน์ สามารถที่จะสื่อ 1. ง่ายต่อการใช้งาน โดยส่วนใหญ่เป็นการนํา ความหมายและเรื่องราว ต่างๆ ได้แตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้น สื่อประสมมาประยุกต์ใช้งานร่วมกับโปรแกรม อยู่กับวิธีการนําเสนอ คอมพิวเตอร์เพื่อเพิ่มผลผลิต ดังนั้นผู้พัฒนา 6. คุ่มค้าในการลงทุน การใช้โปรแกรมด้านสื่อประสมจะ จึงจําเป็นต้องมีการจัดทําให้มีรูปลักษณที่ เหมาะสม และ ง่ายต่อการใช้งานตามกลุ่มเป้า ช่วยลดระยะเวลา ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ของการเดินทาง การ หมาย เพื่อประโยชน์ในการเพิ่มประสิทธิภาพใน การปฏิบัติงาน ตัวอย่างเช่น การใช้งานสื่อ จัดหาวิทยากร การจัดหาสถานที่ การบริหารตารางเวลา ประสมในบทเรียนวิธีวิจัยทางธุรกิจ และการเผยแพร่ช่องทางเพื่อนําเสนอสื่อ เป็นต้น 7. 2. สัมผัสได้ถึงความรู้สึก สิ่งสําคัญของการนํา สื่อประสมมาประยุกต์ใช้งานคือเพื่อให้ผู้ใช้ เพิ่มประสิทธิผลในการเรียนรู้ การสร้างสรรค์ชิ้นงาน สามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกจากการสัมผัสกับ ด้านสื่อประสมจําเป็นต้องถ่ายทอด จินตนาการจากสิ่งที่ สิ่งต่างๆ ที่ปรากฏอยูบนจอภาพ ยากให้เป็นสิ่งที่ง่ายต่อการรับรู้และเข้าใจด้วยกรรมวิธี ต่างๆ นอกจากจะช่วย อํานวยความสะดวกในการทํางาน แล้ว

สรุป การใช้สื่อประสมเพื่อส่งเสริมการศึกษาในประเทศไทยนั้น ยังไม่แพร่หลายเท่าใดนัก แม้ว่าหลายหน่วย งาน ทั้งภาครัฐบาล และภาคเอกชน ได้เริ่มสร้างหน่วยผลิตของตนเองขึ้นมาบ้างแล้วก็ตาม แต่เนื้อหา ความรู้ที่ผลิต ก็ยังจํากัดอยู่ในวงแคบ และงบประมาณ สําหรับสร้างโปรแกรมสื่อประสมที่คนไทยผลิต ขึ้นเอง ก็ยังไม่เพียงพอ ที่จะสร้างงานสื่อประสม ที่มีคุณภาพสูง ที่ให้ผลต่อการเรียนรู้อย่างแท้จริงได้ โรงเรียนในระดับอนุบาล ประถมศึกษา และมัธยมศึกษา ใช้โปรแกรมที่เขียนขึ้นมา โดยบริษัทจําหน่าย เครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อเป็นบริการเสริมให้แก่ลูกค้า ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาบ่าง ในบางโรงเรียน ครู ผู้สอนเป็นผู้ผลิตสื่อประสมขึ้นมาใช้เอง โดยการสร้างภาพเสียง และข้อความขึ้นเอง หรือนํามาจาก แผ่นดิสก์ หรือแผ่นซีดีรอม ที่บริษัทต่างประเทศบันทึกภาพ/เสียงไว้ และวางจําหน่าย เพื่อให้นักสร้าง สื่อนําไปใช้สร้างโปรแกรมต่าง ๆ โปรแกรมสื่อประสมทางการศึกษาที่ใช้กันในโรงเรียน สื่อประสมจะ ต้องมีคุณสมบัติสําคัญประการหนึ่ง คือ ความสามารถในการโต้ตอบ (Interactivity) อุปกรณ์ที่ตอบ สนองความสามารถนี้ได้คือคอมพิวเตอร์นั่นเอง เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดในการ เรียนการสอนโดยการใช้สื่อแต่ละอย่างตามลําดับขั้นตอนของเนื้อหาและในปัจจุบันมีการนำ คอมพิวเตอร์มาใช้ร่วมด้วย