ทนี เี้ รอ่ื งทางวตั ถแุ ทๆ้ กย็ งั มคี นพดู ยงั เคยอา่ นหนงั สอื พบ ไดย้ นิ คนพดู กม็ ี ทเ่ี ขาวา่ จะทำ� ใหต้ วั หายไปอยา่ งวชิ าวตั ถุ ล้วนๆ วิชาทางฟิสิกส์ลว้ นๆ นี้ กจ็ ะแยกส่วนประกอบคนเรา นี้ท่ีเปน็ สสารใหก้ ลายเปน็ พลงั งานไป แล้วกส็ ่งไปท่ีโลกไหน แลว้ กไ็ ปคมุ กนั ใหมท่ โ่ี นน่ กจ็ ะสรา้ งเครอื่ งมอื วทิ ยาศาสตรก์ นั ใหม่ ทแ่ี ยกไอส้ สารทงั้ หลายนใี่ หเ้ ปน็ พลงั งานสง่ ไปทอี่ เมรกิ า คุมกันใหม่แป๊บเดียวเป็นตัวเราข้ึนมาอีก พริบตาเดียวเราก็ ไปโผล่ทอี่ เมรกิ าได้ เขากค็ ดิ นะ คดิ แล้วเขาอาจจะทำ� ได้กไ็ ด้ แต่มันอีกนานก็ได้ นก่ี เ็ ป็นเร่ืองหน่ึง เร่ืองวัตถลุ ว้ นๆ แต่ถ้าเรื่องในคัมภีร์มันเร่ืองจิตใจ อบรมจิตใจสูง จนแสดงให้คนอื่นเห็นว่าเราหายตัวได้ล่องหนได้น่ันก็เป็น อีกเร่ืองหน่ึง แต่ก็ยังไม่ดี ต้องเป็นเร่ืองของพระอรหันต์ที่ สมบรู ณ์ คอื ใหไ้ มม่ ตี วั เลย ไมม่ ตี วั เลย หมดตวั ไปเลย หมดตวั ตน ไมเ่ กดิ ไมแ่ กไ่ มเ่ จบ็ ไมต่ าย นมี่ นั ชนั้ ยอดเปน็ อยา่ งนี้ ฉะน้ันกย็ อมรบั ว่ามไี ด้ แล้วก็มอี ยเู่ ปน็ ทง้ั ๓ ชน้ั อยา่ ง นก้ี ไ็ ด้ ในอนาคตก็อาจจะหายตนหายตวั กันทางวัตถุอยา่ งนี้ กไ็ ด้ เอ้า, ใครมปี ญั หาอะไรอกี 51
๙ นักศกึ ษา : กราบเรยี นท่านอาจารย์ จติ ประภัสสร กบั จติ ของพระอรหันต์นนั้ แตกตา่ งกนั อย่างไรครบั พุทธทาสภิกขุ : นี่ถามปัญหาสูงขนาดนี้เชียวเหรอ ไปเรียนมาแต่ไหน ไปอา่ นมาแตไ่ หนนะ กเ็ รยี กวา่ สนใจกนั สงู มาก นม่ี นั เปน็ เรอ่ื ง ทีร่ ะดบั สูง ความรู้ทางพุทธศาสนา จิตเดิมแท้เป็นประภัสสร ถ้าจิตประภัสสรนั่นยังกลับ เศร้าหมองไดเ้ มือ่ มีกเิ ลสมา เหมือนอย่างเราน่ี บางเวลาจิต ประภัสสรไม่มีกิเลส บางเวลามีกิเลส สูญความประภัสสร อยา่ งนจี้ ติ ประภสั สรเปน็ จติ เดมิ ๆ เดมิ ๆ ถา้ มนั เดมิ แทก้ ค็ อื ยงั ไมม่ ีกิเลส ฉะนน้ั ประภสั สรกไ็ ม่มกี เิ ลส ก็ถือวา่ จิตประภัสสร เป็นจิตเดิม ไม่มีกิเลส แล้วก็สบายเหมือนกัน ทีนี้จิตพระ อรหันต์นั้นท่านเป็นจิตท่ีอบรมจิตนี้ จิตประภัสสรจิตเดิมน้ี ให้ดไี ปกวา่ นน้ั ให้ดไี ปกวา่ น้นั ใหด้ ีไปกว่าน้นั จนไมม่ ีโอกาส 52
ทีจ่ ะกลบั เศร้าหมองได้ คือกเิ ลสไมส่ ามารถจะเขา้ ไปท�ำลาย ความประภัสสรได้ มันก็เป็นประภัสสรอีกชนิดหน่ึง เป็น ประภัสสรชนิดที่กเิ ลสจะครอบง�ำใหเ้ ศร้าหมองไม่ได้ น่ีเปน็ ประภสั สรอยา่ งพระอรหนั ต์ ไมใ่ ชอ่ ยา่ งเดยี วกนั กบั ประภสั สร ตามธรรมดา ยงั มเี วลาทก่ี เิ ลสเขา้ ไปสวมได้ เปน็ ไมป่ ระภสั สร ไป ถา้ อบรมจิตจนถึงกับขนาดหลดุ พน้ เปน็ พระอรหันต์แล้ว ก็มีลักษณะท่ีไม่เศร้าหมองอีกต่อไป ถือว่าเป็นประภัสสร ตายตวั ก็ได้ แต่ค�ำว่าประภัสสรน่ีตามความหมายของเขาโดยแท้ น้ัน คือมันยังกลับเศร้าหมองได้ น่ีเราจะอบรมนี้จนกลับ เศร้าหมองไม่ได้ ก็มันก็เลยกลายเป็นจิตหลุดพ้นไป เขาไม่ ได้เรียกว่าจิตประภัสสร จิตของชั้นพระอรหันต์ไม่เรียกว่า จิตประภัสสร แต่เดี๋ยวนี้เราจะพูดโดยลัดอีกก็เราก็พูดได้ว่า ประภัสสรทต่ี ายตัวก็ได้เหมือนกนั 53
๑๐ นกั ศึกษา : (เร่ืองนิกายเซนกับประภัสสรตายตวั ) * พุทธทาสภกิ ขุ : นี่มันเป็นเร่ืองของนิกายเซน จะเกณฑ์ให้ตอบแทน พวกเซนอย่างน้ันเหรอ มันก็เป็นการถูกเกณฑ์ให้ตอบแทน คนอ่ืน ก็ได้เหมือนกัน กเ็ ข้าใจว่าเขาหมายถงึ จติ ประภัสสร แล้วก็อบรมตามวิธีของเซนจนเป็นประภัสสรตายตัว กลับ ไปเศร้าหมองอีกไมไ่ ด้ ก็มนั จะเรยี กวา่ วิมุตติ แต่เขาไมเ่ รยี ก วา่ วมิ ตุ ตนิ ่ี เขาเรยี กใหม้ นั งา่ ยเขา้ วา่ ใหม้ นั เดมิ อยา่ งตายตวั ก็ แล้วกนั เมือ่ ก่อนนม้ี นั เดี๋ยวเดิม เดยี๋ วไมเ่ ดมิ เดี๋ยวเดิม เด๋ียว ไม่เดมิ วธิ อี ย่างเซนก็ทำ� ๆ ๆ ทำ� ไปจนมนั เดมิ ตายตัวกแ็ ล้ว กนั กเ็ ปน็ ความหมายเดยี วกนั กบั ประภสั สรทต่ี ายตวั เดยี๋ วน้ี เราจะพดู ว่า ‘ว่าง’ จิตทวี่ า่ งตายตวั ไปเลย ไม่ใชว่ า่ งๆ วุ่นๆ วา่ งๆ วนุ่ ๆ อยา่ งคนธรรมดา เอ้า, มีอะไรอีก * เสยี งไมช่ ดั (นาทที ่ี 1:08:55-1:09:01) 54
๑๑ นักศึกษา : (เรอ่ื งอนาคตงั สญาณ) * พทุ ธทาสภกิ ขุ : คำ� ว่า อนาคตังสญาณ คอื ว่ารอู้ นาคต ญาณรูอ้ นาคต อะ-นา-คะ-ตะ-อัง-สะ-ญาณ รู้ส่วนซึ่งเป็นอนาคต ถ้าพูด อย่างภาษาธรรมะแท้มันก็อย่างหน่ึง ภาษาชาวบ้านก็อย่าง หนึง่ พดู ภาษาชาวบา้ นรู้อนาคตและท�ำนายทายทักส่ิงท่ีมัน จะเกดิ ขน้ึ อยา่ งนนั้ อยา่ งน้ี คลา้ ยๆ กบั ตาทพิ ย์ เปน็ เรอื่ งโลกๆ ไปนนั้ นะ ท�ำนายเหตกุ ารณ์ในโลกได้ แต่ถ้าเปน็ ความหมาย ทางธรรมะแท้ๆ เขาไม่ได้มุ่งหมายอย่างนั้น มุ่งหมายว่าแม้ อนาคตมันก็อย่างเดียวกัน ไม่เท่ียง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อยา่ งเดียวกนั ข้ึนชื่อว่าสังขารแม้ในอนาคตมันก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาอย่างเดียวกับท่ีน่ีเวลานี้ หรือท่ีแล้วมา มัน * เสยี งไมช่ ัด (นาทที ี่ 1:10:08-1:10:37) 55
จึงแน่ใจลงไปว่าไม่มีอะไรท่ีควรยึดถือ ไม่ต้องเป็นห่วงว่า ในอนาคตมันจะเป็นของดีของเที่ยงข้ึนมาได้ อย่างน้ีเป็น อนาคตังสญาณแท้ตามแบบธรรมะ ส่วนแบบเห็นอนาคต เพือ่ ท�ำนายเหตกุ ารณน์ ั้นมนั ก็เป็นเรอ่ื งนอกธรรมะ 56
๑๒ นกั ศกึ ษา : (ประโยชน์ของอนาคตงั สญาณ) * พุทธทาสภกิ ขุ : มันไม่มีความหมายอย่างนั้น อนาคตังสญาณที่เป็น ธรรมะแท้ อนาคตังสญาณอย่างความหมายไม่ใช่ธรรมะ ไม่ใช่ธรรมะแท้ เป็นเร่ืองโลกๆ อย่างเดียวกับว่าเราเรียน ประวัติศาสตร์ให้มากเข้า เราพอจะคาดคะเนเหตุการณ์ใน อนาคตอย่างน้ีก็เรียกอนาคตังสญาณเหมือนกัน ท�ำนายได้ มาก มีส่วนถูกมาก ทีน้ีถ้าว่าทีหนึ่งสูงข้ึนไปมันก็อบรมจิต อบรมจิตให้พอที่จะคาดคะเนหรือมองอะไรได้มากไปกว่า นั้นอีก ก็ดีไปกว่านั้นอีก แต่ก็ไม่ดับทุกข์หรอก อนาคตังส- ญาณแบบน้ันไม่ดับทุกข์ อนาคตังสญาณท่ีจะดับทุกข์มัน ก็ต้องเห็นไอ้น่ีว่าสังขารเป็นอย่างน้ี ปรุงแต่งเท่านั้น ไม่มี ตัวตน อดีตก็ดี ปัจจุบันก็ดี อนาคตก็ดี ก็เลยหมดห่วง * เสียงไมช่ ัด (นาทีท่ี 1:12:00-1:12:16) 57
ไม่หวังว่าที่ส่วนไหนมันจะเป็นตัวตนที่จะยึดถือได้ อย่างนี้ เปน็ ธรรมะแท้ กม็ ตี งั้ หลายระดบั นะ อนาคตงั สญาณนห่ี ลาย ระดับ อยา่ งทเี่ ราจะท�ำกนั งา่ ยๆ เรยี นประวัติศาสตร์นีก่ ็เพ่ือ รู้อนาคต ก็อนาคตังสญาณแบบหนึ่งแล้ว แบบท่ีเขาจะใช้ อ�ำนาจจิตมองเหตุการณ์อนาคตมันก็อีกแบบหน่ึง แต่ถ้า ธรรมะแทก้ จ็ ะแน่ มองเหน็ แนล่ งไปวา่ มนั จะตอ้ งเปน็ อยา่ งนี้ เอง สงั ขารทงั้ หลายไมเ่ ทยี่ ง เปน็ ทกุ ข์ เป็นอนัตตาในกาลอนั ยดื ยาวออกไปในอนาคต เขากเ็ ลยไมห่ วงั วา่ จะไปรอเอาอะไร ท่จี ะเท่ยี งแท้ หรอื เปน็ อตั ตา กป็ ดั ทง้ิ ไปหมดส�ำหรับทจี่ ะไม่ ยึดถือ อนาคตังสญาณแบบนี้เป็นแบบธรรมะท่ีมีประโยชน์ อยา่ งธรรมะ 58
๑๓ นกั ศกึ ษา : (การอนโุ มทนาส่วนบุญของผูอ้ ื่น) * พุทธทาสภกิ ขุ : อนุโมทนาส่วนบุญของผู้อื่น ถามอย่างนั้นใช่ไหม ? อนุโมทนาสว่ นบุญของผู้อื่น นั่นมนั กเ็ น่อื งกันแหละ เนื่องไป ด้วยเมตตา มันเป็นรูปมทุ ติ า เมตตา กรุณา มทุ ติ า อุเบกขา ๔ คำ� นนั้ ถา้ อนโุ มทนาสว่ นบญุ แลว้ มนั กม็ ลี กั ษณะเปน็ มทุ ติ า แต่ก็ไม่พ้นจากที่จะต้องมีเมตตารวมอยู่ด้วย ถ้าไม่มีความ เมตตาคือความเปน็ มติ รแล้วมันกไ็ ม่อยากจะมุทิตา คือยนิ ดี ด้วย ความหมายของการอนุโมทนาน่ีมันเป็นมุทิตา ก็เป็น เรอ่ื งของการไมเ่ หน็ แกต่ วั เองเหมอื นกนั แหละ ถา้ เราเหน็ แก่ ตัวเองแลว้ เรากไ็ มอ่ ยากจะยินดดี ว้ ยผ้อู ่นื ไม่มีมทุ ิตา ฉะนน้ั ถ้าจะเอาอย่างศีลธรรมมันกม็ เี มตตา ยนิ ดดี ว้ ยผอู้ น่ื ใหม้ นั มี แตค่ วามเปน็ มติ รในโลกน้ี เรอื่ งนเ้ี ปน็ เรอ่ื งศลี ธรรมคอื พดู กนั อยา่ งมตี วั ตน เรามีตวั ตนเป็นเพ่อื น เป็นเรา เป็นอะไรต่างๆ * เสยี งไมช่ ดั (นาทีท่ี 1:14:30-1:14:49) 59
เป็นเพือ่ นสัตว์มีชีวิตดว้ ยกนั กต็ ัง้ จิตชนดิ ท่เี รยี กว่าหวงั ดีตอ่ กัน หวังดีต่อกันเร่ือยไป มันมีเมตตาเจืออยู่บ้าง มันจึงจะ มทุ ติ าไปได้ ฉะนน้ั ถา้ มเี มตตาเปน็ พนื้ ฐานแลว้ กจ็ ะพอ ดจู ะพอ ให้คดิ ไป ใหร้ สู้ ึกไปในทำ� นองว่าสัตวท์ ง้ั หลายเป็นเพือ่ นทกุ ข์ เกดิ แก่เจ็บตายด้วยกนั ทงั้ หมดทง้ั สิ้น นน่ั บทสรุปอยทู่ ่ีนัน่ ช่วยจ�ำกันไว้ทุกคน ถ้าอยากจะมีธรรมะให้ง่าย ก็ถือ หลักว่าสัตว์ท้ังหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ทง้ั หมดท้ังสิ้น สร้างรากฐานอนั นล้ี งในใจแลว้ จะมีธรรมะข้ึน มาพรั่งพรูทีเดียว จะรักผู้อื่น จะยินดีผู้อ่ืน จะไม่เกิดความ โลภ ความโกรธ ความหลง จะไม่อะไรหลายๆ อย่างแหละ ซึ่งเป็นธรรมะท้ังนน้ั ฉะนั้นทกุ ๆ วัน ทุกๆ คนื นึกถึงข้อน้ไี ว้ สกั ครง้ั หนึ่งเปน็ อย่างนอ้ ย สัตว์ท้งั หลายคอื ทมี่ ชี วี ติ ท้ังหลาย สตั ว์เดรจั ฉานดว้ ยก็ได้ ต้นไมด้ ้วยก็ได้ บรรดาทมี่ ันมีชวี ิตมนั กเ็ ป็นเพือ่ นทุกข์ เกิดแก่เจบ็ ตายดว้ ยกันทง้ั หมดทง้ั สนิ้ แล้ว มนั จะคอ่ ยๆ มธี รรมะงอกงามขึ้นบนน้นั จะไมเ่ หน็ แก่ตวั จะ คอ่ ยๆ มีจิตใจกวา้ งขวาง จะเมตตากรุณาจนกระทง่ั วา่ เราก็ จะตอ้ งหลุดพน้ ไปด้วยกัน หลุดพ้นจากความทกุ ข์ไปด้วยกนั เอา้ , มปี ัญหาอะไรอีก 60
๑๔ นกั ศกึ ษา : (สิง่ แทรกแซงขณะภาวนา) * พทุ ธทาสภิกขุ : น่ีเป็นปัญหาเรื่องท�ำสมาธิแล้ว เป็นปัญหาเร่ืองการ ท�ำสมาธิ ท�ำไมส่ ำ� เรจ็ มีอะไรแทรกแซง มันก็ต้องให้มนั แน่ ลงไปว่าเราก�ำลังท�ำอย่างไหน ท�ำอยู่ในขั้นไหน ถ้าก�ำหนด ลมหายใจก็กำ� หนดให้มันแรงเขา้ ๆ แรงเข้าจนใหม้ นั กลบอัน อื่นหมด ถา้ เราจะภาวนา ภาวนาด้วยเสียง ภาวนาก็ภาวนา ใหม้ ันแรงขนึ้ ๆ ใหม้ นั กลบสิง่ อื่นหมด อย่าเอาไปรวมกันมัน ยงุ่ ถา้ ก�ำหนดลมหายใจกก็ �ำหนดเสยี งซซู่ า่ ซซู่ า่ นนั้ กแ็ ลว้ กนั มนั จะกันเสียงอืน่ กนั อันอืน่ ได้ พอชนิ เข้า แมจ้ ะหายใจไม่มี เสยี ง มนั กย็ ังกำ� หนดได้เรอื่ งเขา้ เรอ่ื งออก เรอื่ งเข้าเร่ืองออก ทปี่ ระณตี ประณีต ประณีต ประณีต ไปท�ำแบบนั้น ไปแยก กัน อย่าให้มันมาปนกัน นจ่ี ะก�ำหนดลมหายใจก็จะก�ำหนด * เสียงไม่ชดั (นาทีท่ี 1:18:10-1:18:49) 61
จะภาวนาปากก็จะวา่ น่ันมนั ยุ่ง มนั ย่งุ ให้แยกกันเสยี เธอกำ� หนดแตก่ ารทำ� ภาวนาก็ได้ เช่นว่าพทุ โธ พทุ โธ เขา้ ออก เขา้ ออก พทุ โธ ถา้ จะไมพ่ ทุ โธกเ็ ขา้ ออก เขา้ ออก เขา้ ออก อยา่ งนีง้ า่ ยกว่า ไอ้พุทโธ พุทโธ เดยี๋ วก็ต้องทงิ้ ท้งิ เหลอื แต่เข้าออก เข้าออก เข้าออก แลว้ กป็ ระณตี เข้า ประณตี เขา้ ประณตี เขา้ นเ่ี ปน็ เรอื่ งทำ� สมาธลิ ว้ น มนั ตอ้ งมปี ญั หากนั เมอื่ ท�ำแลว้ ก็แกก้ ันเม่ือท�ำ ปัญหาทางวิชาทางทฤษฎีมีอะไรอีก มีปัญหาอย่างไร อีก อกี ๓ นาทหี มดเวลา 62
๑๕ นักศกึ ษา : (การเห็นภาพในขณะภาวนา) * พทุ ธทาสภิกขุ : แล้วเราสบายหรือเปล่า แล้วเราสบายหรือเปล่า ถ้า เราสบายก็พอแล้ว เอาที่สบายก็พอแล้ว รักษาความรู้สึกที่ สบายไว้กแ็ ลว้ กนั เรอ่ื งเหน็ อย่างไรร้สู กึ อย่างไรนั้นมันไมแ่ น่ มนั เปล่ยี นได้ มันเกิดขึ้นได้ เห็นต่างๆ กันได้ เหน็ ภาพเหน็ เพิบอะไรได้ แต่ถา้ เราสบายอย่ดู ้วยการเห็นอะไร รสู้ กึ อะไร เรากร็ ักษานัน้ ไว้ เราสบายก็แลว้ กนั มันกค็ อ่ ยเป็นไปเอง ดี ขนึ้ ๆ แล้วค่อยรูม้ ันเองวา่ ใหม้ ันประณตี เข้า ระงับเขา้ ร�ำงับ เขา้ การเหน็ กไ็ มร่ บกวน กเ็ หลอื แตจ่ ติ ใจทส่ี บายกไ็ ด้ เอาละ, พอดเี วลาเกา้ แลว้ พรงุ่ นมี้ าอกี นะ วนั นเ้ี ปน็ การ เรม่ิ ต้น * เสียงไม่ชดั นาทที ี่ 1.20:54-1:21:11 63
กินของขมอยเู่ รือ่ ยมันกไ็ มไ่ หว กินของหวานอยเู่ ร่ือยมันกไ็ มไ่ หว เวลาทีไ่ มข่ มไม่หวานมันสบายกวา่
Search