Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักสูตรการงานอาชีพ2565

หลักสูตรการงานอาชีพ2565

Published by นนนภรรท โสมณวัฒน์, 2022-08-24 03:58:14

Description: หลักสูตรการงานอาชีพ2565

Search

Read the Text Version

๙๖ หน่วยกำร แผนกำรจดั กำรเรียนรู้ สำระกำรเรยี นรู้ มำตรฐำน/ ชั่วโมง คะแนน นำ้ หนัก เรียนรทู้ ่ี ตวั ชี้วดั คะแนน ๔. เอกสารทางการเงิน เอกสารทางการเงิน ระหวำ่ ง ปลำย ภำค ภำค ๕. การจดั เกบ็ เอกสาร การจัดเกบ็ เอกสาร ง 1.1 ป.6/1 1 5 ทางการเงิน ทางการเงิน ง 1.1 ป.6/๒ ง 1.1 ป.6/๓ ๖. ขนั้ ตอนการจดั เกบ็ ข้นั ตอนการจดั เกบ็ เอกสารทางการเงิน เอกสารทางการเงิน ง 1.1 ป.6/1 1 5 ง 1.1 ป.6/๒ ๗. การจดั เก็บเอกสาร ข้นั ตอนการจัดเก็บ ง 1.1 ป.6/๓ ทางการเงนิ ตาม ข้นั ตอน เอกสารทางการเงิน ง 1.1 ป.6/1 1 5 ง 1.1 ป.6/๒ ง 1.1 ป.6/๓ ง 1.1 ป.6/1 1 5 ง 1.1 ป.6/๒ ง 1.1 ป.6/๓ ๘. ประโยชน์ของการ ประโยชน์ของการ ง 1.1 ป.6/1 1 5 จดั เก็บเอกสารทางการ จัดเก็บเอกสาร ง 1.1 ป.6/๒ เงิน ทางการเงนิ ง 1.1 ป.6/๓ ๗. งำน ๑. ความสาคัญของ ความสาคญั ของอาชีพ ง 2.1 ป.6/1 1 5 ๑๕ ๕ อำชีพ อาชีพ ๒. อาชพี อสิ ระ ง 2.1 ป.6/๒ อาชพี อสิ ระ ง 2.1 ป.6/1 1 5 ๓. อาชพี รบั จา้ ง ง 2.1 ป.6/๒ อาชีพรบั จ้าง ง 2.1 ป.6/1 1 5 ง 2.1 ป.6/๒ ๔. อาชีพรบั ราชการ อาชพี รับราชการ ง 2.1 ป.6/1 1 5 ง 2.1 ป.6/๒ ๕. การสา้ รวจตนเอง การสารวจตนเอง ง 2.1 ป.6/1 1 5 เพ่ือวางแผนในการ : ความสนใจอาชพี ใน ง 2.1 ป.6/๒ ประกอบอาชพี ใน อาเซียน อาเซียน ๖. คุณธรรมในการ คณุ ธรรมในการ ประกอบอาชีพ ง 2.1 ป.6/1 1 5 ง 2.1 ป.6/๒ ๗. อาชพี ในฝนั ประกอบอาชีพ อาชพี ในฝัน ง 2.1 ป.6/1 1 5 ง 2.1 ป.6/๒

๙๗ หน่วยกำร แผนกำรจัดกำรเรียนรู้ สำระกำรเรียนรู้ มำตรฐำน/ ชั่วโมง คะแนน นำ้ หนกั เรยี นรทู้ ่ี ตวั ชีว้ ดั คะแนน สรุปภำคเรียนท่ี 2 ระหวำ่ ง ปลำย คะแนนเฉล่ีย ภำค ภำค 40 200 80 20 รวมคะแนนภำคเรยี นที่ 1-2 100 100 คะแนนเฉล่ยี ภำคเรียนที่ 1-2 400 200 100 100

๙๘ ผู้สอนด้านการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ศึกษา/วิเคราะห์ มาตรฐาน/ตัวช้วี ัด จากหลกั สตู รสถานศกึ ษาและโครงสร้างรายวชิ า - กาหนดภาระงาน/ชิ้นงาน ออกแบบหนว่ ยการเรียนรู้ - เลอื กวิธกี ารประเมนิ และแผนการประเมนิ - สรา้ ง/จดั หาเครอ่ื งมอื / เกณฑก์ ารประเมิน ช้แี จงรายละเอยี ดของแผนการประเมนิ แกผ่ ูเ้ รียน สอนซอ่ มเสริม ประเมนิ วิเคราะห์ผเู้ รยี น ประเมินความกา้ วหน้าระหว่างเรียน ไม่ผา่ น ประเมินความสาเรจ็ หลงั เรียน ผ่าน หน่วยท่ี๑ หนว่ ยท่๒ี ผา่ น หนว่ ยท่ี … ประเมินผลปลายป/ี ไม่ผ่าน สอนซอ่ มเสริม สอบแกต้ ัว ปลายภาค ผา่ น ดาเนนิ การตาม ตดั สินผลการเรียน ระเบียบ สถานศึกษา สง่ ผลการเรยี นให้ - ครูประจาชนั้ /ครทู ่ีปรึกษา เรียนซ้ารายวชิ าตาม ระเบยี บสถานศกึ ษา - คณะอนกุ รรมการกลมุ่ สาระ - ฝา่ ยทะเบียนวัดผล อนมุ ตั ิผลการเรยี น รายงานผลการเรียนตอ่ ผู้เกีย่ วข้อง แผนภาพท่ี ๔.๑ แสดงภารกจิ ของผู้สอนดา้ นการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้

๙๙ การประเมินผลการเรียนรใู้ นชั้นเรียนเป็นการดาเนินงานที่บูรณาการในกระบวนการเรียนการสอน ผลท่ี ได้จากการประเมนิ ในช้นั เรยี นสะท้อนทันทถี ึงการจดั การสอนของผู้สอน และการเรียนรูข้ องผู้เรยี น การ ประเมินในชัน้ เรยี นจงึ เปน็ แหลง่ ขอ้ มูลที่มคี วามสาคญั ต่อการส่งเสรมิ การเรียนรบู้ นพ้ืนฐานของหลกั ฐานอนั เป็นผลมาจากการจัด การเรียนรู้ ดังนน้ั การประเมินในชนั้ เรียนจึงมคี วามสาคัญต่อการพัฒนาคณุ ภาพการ เรยี นรู้ของผเู้ รยี น ทาอย่างไรที่ จะทาให้การประเมนิ ในชัน้ เรยี นซ่งึ อยใู่ นความรบั ผิดชอบของผสู้ อนมกี าร ดาเนินงานที่มปี ระสทิ ธภิ าพที่สุด แผนภาพ ท่ี ๔.๑ นาเสนอภารกจิ ของผูส้ อนด้านการวดั และประเมินผล การเรียนรู้ ซ่ึงครอบคลุมตั้งแต่การทาความเขา้ ใจกับมาตรฐาน/ตัวชี้วัด ซึ่งเป็นเป้าหมายการเรียนรู้ จนถงึ การ ดาเนนิ งานตามระเบยี บสถานศึกษาว่าดว้ ยการวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ ตัวชี้วัด : เป้าหมายการเรยี นรู้ประเภทตา่ ง ๆ หากถามว่า ท่านต้องการให้นักเรียนของท่านเกิดการเรียนรู้อะไร ครูที่สอนตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาข้ันพืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ จะไมล่ ังเลที่จะช้ีไปท่ีมาตรฐานและตวั ช้ีวัด และหากถาม ต่อว่า ตัวชี้วัดเหลา่ นนั้ จัดอยู่ในประเภทใดบ้าง หลายท่านคงจดั กลุ่มตัวช้วี ัดด้วยความชานาญเป็นด้านความรู้ (K) ด้านกระบวนการ (P) และเจตคติ (A) และถึงแม้จะมีการจัดประเภทเช่นนี้ แต่ก็เข้าใจกันอยู่แล้วว่าไม่ใช่ การจดั แบ่งท่ีตายตวั เพราะในความเปน็ จรงิ เปา้ หมายการเรยี นรู้หน่ึงอาจเหล่ือมซ้อนอย่ใู นหลายประเภท เชน่ ความรูเ้ ป็นสิง่ ทีต่ ้องมมี ากอ่ นในทกุ เปา้ หมาย ตัวชี้วดั ส่ือสารใหท้ ราบถึงสิ่งท่ีคาดหวังใหเ้ กดิ การเรียนรู้ทคี่ ่อนขา้ งเจาะจง ตวั ชวี้ ดั จงึ เป็นพ้นื ฐาน ในการจัดการเรียนรู้และสร้างภาระงานการประเมิน และสะท้อนว่าสิ่งท่ีจะวัดและประเมินน้ั นจัดเป็น เป้าหมายประเภทใด การรู้และเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าตัวชี้วัดน้ันเป็นเป้าหมายการเรียนรู้ประเภทใดจะทาให้ ผู้สอนสามารถออกแบบหน่วยการเรียนรู้หรอื แผนการสอน กาหนดกิจกรรมการเรียนรู้ กิจกรรมการประเมนิ ได้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ เพราะผสู้ อนจะไดภ้ าพที่บง่ ชีช้ ดั เจนข้นึ ว่าผู้เรียนควรรู้อะไร ทาอะไรได้ นอกจากการจัดกลุ่มตัวชี้วัดเป็นด้านความรู้ (K) ด้านกระบวนการ (P) และเจตคติ (A) ดังกล่าว ข้างตน้ แลว้ Stiggins (๒๐๐๕) ได้จดั เป้าหมายการเรยี นรู้ เป็น ๕ ดา้ น ประกอบดว้ ย ➢ เป้าหมายด้านความรู้ความเข้าใจ (Knowledge and Understanding Targets) เป็น เปา้ หมายเกี่ยวกบั ความร้คู วามเขา้ ใจในเน้ือหา ไดแ้ ก่ ขอ้ เท็จจริง เหตกุ ารณ์ กรอบความคดิ กฎเกณฑ์ ➢ หลักการ ตลอดจนความรู้ว่ากระบวนการ วิธีการ ขั้นตอนกล่าวไว้ว่าอย่างไร คาสาคัญที่บ่ง บอกเป้าหมายด้านนี้ ได้แก่ อธิบาย เข้าใจ พรรณนา ระบุ บอก บอกช่ือ บอกรายการ นิยาม จับคู่ เลือก จา ระลกึ ได้ เปน็ ตน้ ➢ เปา้ หมายด้านการคดิ อย่างเป็นเหตุเป็นผล (Reasoning Targets) เปน็ เปา้ หมายท่ี เกีย่ วกับความสามารถในการคิด โดยกาหนดให้ตอ้ งใชค้ วามรมู้ าแก้ปญั หา ความรนู้ ีจ้ ะได้มาจากการคดิ อย่างลึกซึ้ง คิดดว้ ยรปู แบบต่าง ๆ ไดแ้ ก่ การวเิ คราะห์ เปรยี บเทยี บความเหมือนความแตกต่าง ๆ สังเคราะห์ จัดประเภท อปุ นัย นิรนยั ตดั สิน ประเมนิ ค่า เม่ือคดิ แล้วต้องแสดงออกมาใหเ้ ห็นวา่ ร้โู ดยผา่ นผลผลิตทเ่ี ปน็ ไดท้ ั้งช้ินงาน หรอื การกระทา ผลผลติ ทีเ่ ปน็ ช้ินงาน เช่น ประเด็นคาถามปลายเปดิ ทผ่ี ้เู รยี นสรา้ งข้ึนเพ่ือสอบถามความ คดิ เห็น หรอื การทา คือสาธิตให้ดู ฉะนน้ั เครอ่ื งมือประเมนิ ประเภทเลอื กตอบ เชน่ ข้อสอบแบบเลือกตอบไม่ เพยี งพอท่จี ะบอกไดถ้ ึงกระบวนการคิดรูปแบบตา่ ง ๆ ข้างต้น ➢ เปา้ หมายดา้ นทกั ษะการปฏิบัติ เปน็ เป้าหมายท่ีเกยี่ วกบั ความสามารถในการปฏบิ ัติหรือ ใช้วธิ กี ารต่าง ๆ ได้ดี เพ่ือใหเ้ กิดการเรยี นรู้ทย่ี ่ังยืน การประเมินการปฏิบตั ิมักประเมนิ ผ่านการเห็นหรอื ได้ยิน คาสาคญั ทบ่ี ่งบอกเปา้ หมายด้านน้ี ไดแ้ ก่ สงั เกต ทดลอง แสดง ทา ตัง้ คาถาม ประพฤติ ทางาน ฟัง อ่าน พูด

๑๐๐ ประกอบ ปฏิบตั ิ ใช้ สาธิต วัด สารวจ เปน็ แบบอยา่ ง รวบรวม การจะมีทักษะการปฏิบตั ไิ ดจ้ ะตอ้ งผา่ น เป้าหมายดา้ นความรูม้ าก่อนเสมอ และในหลายกรณตี ้องผ่านเปา้ หมายดา้ นการให้เหตุผลด้วย ➢ เป้าหมายด้านผลผลิต เป็นเป้าหมายท่ีเกี่ยวกับความสามารถในการใช้ความรู้ การคิด ทักษะ เพ่ือสร้างผลผลิตสุดท้ายที่มีคุณภาพและเป็นรูปธรรม เช่น งานเขียน ชิ้นงานศิลปะ รายงาน แผน แบบจาลอง เป็นต้น คาสาคัญที่บ่งบอกเป้าหมายนี้ ได้แก่ ออกแบบ ทา สร้าง ผลิต พัฒนา เขียน วาด ทา แบบจาลอง จดั นิทรรศการ จดั แสดง ➢ เป้าหมายด้านจิตนิสัย (Disposition Targets) เป็นเป้าหมายที่มิใช่ผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการ แต่เป็นสถานะทางดา้ นอารมณ์ ความรูส้ ึก เชน่ ทัศนคติต่อสิ่งต่าง ๆ ความมั่นใจในตนเอง แรงจูงใจ เป็นต้น เม่ือได้พิจารณาเป้าหมายการเรียนประเภทต่าง ๆ แล้ว จะเห็นว่าตัวชี้วัดที่กาหนดในหลักสูตร แกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน สามารถจดั อยใู่ นประเภทต่าง ๆ ได้เหมาะสมและชดั เจนขึน้ ตารางท่ี ๔.๑ ตัวอย่างตวั ชี้วดั ในกลมุ่ สาระต่าง ๆ ที่ประกอบดว้ ยเปา้ หมายการเรยี นรปู้ ระเภทต่าง ๆ สาระ ความรู้ การคดิ ทักษะการปฏบิ ัติ ผลผลติ จติ นิสยั ภาษาไทย ความเขา้ ใจ การให้เหตผุ ล (เจตคติ/ พดู รายงานเร่ือง แต่งบทร้อยกรอง คณุ ลักษณะ) คณิตศำสต จาแนก พูดแสดงความ หรือประเดน็ ท่ี ( ท ๔.๑ ป.๖/๕) ทอ่ งจาบทอาขยาน ร์ ส่วนประกอบของ คดิ เหน็ และ ศึกษาคน้ คว้าจาก ท่ีมีคุณคา่ ตาม ประโยค (ท ๔.๑ ป. ความรู้สึกจากเรือ่ ง การฟัง การดู ใช้ขอ้ มูลจำก ความสนใจ (ท วิทยาศาสต ๕/๒) ทีฟ่ งั และดู (ท และการสนทนา แผนภูมิวงกลมใน ๕.๑ ป.๔/๔) ร์ แ ล ะ ๓.๑ ป.๓/๔) ( ท ๓.๑ ป.๖/๔) กำรหำคำตอบ เทคโนโลยี บอกจำนวนส่ิงต่ำง วดั และ ของโจทยป์ ัญหำ เลอื กใช้เคร่ืองตวง ๆ แสดงส่ิงต่ำง ๆ เปรียบเทียบ เปรยี บเทยี บควำม (ค 3.1 ป.6/1) ที่เหมำะสม วัด ตำมจำนวนท่ี เรียงลำดบั เศษสว่ น ยำวเป็นเมตรและ และเปรียบเทียบ กำหนด อ่ำนและ และจำนวนคละท่ี เซนติเมตร สรา้ งแบบจาลอง ปรมิ ำตร ควำมจุ เขยี นตวั เลขฮินดูอำ ตัวสว่ นตวั หนึ่งเป็น (ค 2.1 ป.2/2) แสดง เปน็ ลิตรและ รบกิ ตวั เลขไทย พหุคูณของอีกตวั องค์ประกอบของ มลิ ลลิ ติ ร แสดงจำนวนนับไม่ หนง่ึ ใชเ้ ครือ่ งมือเพื่อ ระบบสุริยะ (ว (ค 2.๑ ป.๓/11) เกิน 100 และ 0 (ค 1.๑ ป.4/4) วัดมวล และ ๓.๑ ป.๔/๓) (ค 1.๑ ป.1/1) ปรมิ าตรของสสาร ตระหนักถึง อธบิ ายแบบรปู เปรยี บเทียบความ ทั้ง ๓ สถานะ ความสาคัญของ เสน้ ทางการข้นึ และ แตกต่างของดาว (ว ๒.๑ ป.๔/๔) ดวงอาทติ ย์ โดย ตกของดวงจนั ทร์ (ว เคราะห์และดาว บรรยาย ๓.๑ ป.๔/๑) ฤกษ์จาก ประโยชน์ของดวง แบบจาลอง อาทิตยต์ ่อ (ว ๓.๑ ป.๕/๑) ส่งิ มชี วี ติ (ว ๓.๑ ป.๓/๓)

๑๐๑ สาระ ความรู้ การคดิ ทักษะการปฏิบัติ ผลผลติ จิตนสิ ยั ความเขา้ ใจ การให้เหตผุ ล (เจตคติ/ ปฏบิ ตั ิตนตาม บอกวธิ แี ละ คุณลกั ษณะ) สงั คมศึกษา บอกความหมาย วเิ คราะห์ หลกั ธรรมของ ประโยชนข์ องการ ศาสนาและ ความสาคญั และ ความสาคญั ของ ศาสนาทีต่ นนบั ใช้ทรัพยากรอย่าง เห็นคณุ คา่ และ วัฒนธรรม เคารพพระรตั นตรัย พระพุทธศาสนา ถือ เพ่ือการ ยั่งยนื ปฏิบตั ติ นในศา หรอื ศาสนาท่ีตน พฒั นาตนเองและ (ส ๓.๑ ป.๖/๓) สนพิธพี ธิ ีกรรม ปฏิบัตติ าม นับถือ ในฐานะที่ ส่ิงแวดล้อม และวันสาคัญทาง หลกั ธรรมโอวาท ๓ เปน็ มรดกทาง (ส ๑.๑ ป.๖/๑) ศาสนา ตามที่ ในพระพทุ ธศาสนา วฒั นธรรมและ กาหนดได้ถกู ต้อง หรอื หลกั ธรรมของ หลักในการพัฒนา (ส ๑.๒ ป.๓/๒) ศาสนาทีต่ นนบั ถือ ชาตไิ ทย (ส ตามที่กาหนด ๑.๑ ป.๕/๑) (ส ๑.๑ ป.๑/๓) สุขศกึ ษา อธบิ ายความสาคัญ วเิ คราะห์ ออกกาลังกาย เลน่ กีฬาทต่ี นเอง เล่นเกมและกฬี า และ พล ศึกษา ของระบบสบื พนั ธุ์ ผลกระทบทเ่ี กิด และเลน่ เกมได้ ชอบ ด้วยความสามัคคี ศลิ ปะ ระบบไหลเวยี น จากการระบาด ด้วยตนเองอย่าง อยา่ งสมา่ เสมอ และ โลหติ และระบบ ของโรคและเสนอ สนุกสนาน โดยสรา้ ง มนี ้าใจนกั กฬี า หายใจ ทีม่ ผี ลตอ่ แนวทางการ (พ ๓.๒ ป.๒/๑) ทางเลอื กในวธิ ี (พ ๓.๒ ป.๖/๖) สขุ ภาพ การ ป้องกันโรคติดต่อ ปฏบิ ตั ขิ องตนเอง เจรญิ เติบโตและ สาคัญท่พี บใน อย่าง พัฒนาการ ประเทศไทย หลากหลายและมี (พ ๑.๑ ป.๖/๑) (พ ๔.๑ ป.๖/๒) น้าใจ นักกฬี า (พ ๓.๒ ป.๕/๒) อภิปรำยเก่ยี วกับ เปรียบเทยี บควำม ร้องเพลงไทยหรือ แสดงทำ่ ทำง จำแนกทัศนธำตุ อทิ ธพิ ลของควำม แตกต่ำงระหวำ่ ง เพลงสำกลหรือ ประกอบเพลง ของสิ่งตำ่ ง ๆ เชื่อควำมศรัทธำใน งำนทัศนศิลป์ ที่ เพลงไทยสำกลท่ี ตำมรูปแบบ ในธรรมชำติ ศำสนำทมี่ ผี ลต่องำน สรำ้ งสรรค์ดว้ ย เหมำะสมกับวัย(ศ นำฏศลิ ป์ สงิ่ แวดลอ้ ม ทศั นศิลปใ์ นท้องถิน่ วสั ดุอุปกรณแ์ ละ 2.1 ป.5/5) (ศ 3.1 ป.1/2) และงำน (ศ 1.2 ป.6/3) วธิ กี ำรที่ตำ่ งกัน ทัศนศิลป์ โดย (ศ1.1 ป. 5/2) เนน้ เรอ่ื งเสน้ สี รปู รำ่ ง รูปทรง พน้ื ผวิ และพ้ืนท่ี ว่ำง (ศ 1.1 ป.4/3)

๑๐๒ สาระ ควำมรู้ กำรคดิ ทักษะกำรปฏบิ ัติ ผลผลติ จติ นิสยั การงาน ควำมเขำ้ ใจ กำรให้เหตผุ ล (เจตคต/ิ อาชพี คณุ ลักษณะ) อธิบำยวิธีกำรและ ใช้ทกั ษะกำร ใช้วสั ดุ อุปกรณ์ ทำงำนเพื่อ ใชพ้ ลงั งำนและ ภาษาตา่ ง ประโยชนก์ ำร ทรัพยำกรในกำร ประเทศ ทำงำน เพอ่ื จดั กำรในกำร และเครื่องมือ ช่วยเหลือตนเอง ทำงำนอย่ำง ชว่ ยเหลอื ตนเอง ประหยัด และ ครอบครวั และ ทำงำน อย่ำงเป็น ตรงกบั ลักษณะ และครอบครัว คุ้มค่ำ (ง ๑.๑ ป. ส่วนรวม ๔/๔) (ง ๑.๑ ป.๓/๑) ระบบ ประณีต งำน อยำ่ งปลอดภยั ระบตุ ัวอักษรและ เข้ำร่วมกจิ กรรม เสยี งตวั อักษรของ และมคี วำมคดิ (ง ๑.๑ ป.๓/๒) (ง ๑.๑ ป.๒/๒) ทำงภำษำและ ภำษำต่ำงประเทศ วัฒนธรรมตำม และภำษำไทย (ต สรำ้ งสรรค์ ควำมสนใจ 2.2 ป.1/1) (ต 2.1 ป.6/3) (ง ๑.๑ ป.๕/๒) เปรียบเทยี บควำม ใชภ้ ำษำสือ่ สำรใน พดู /เขยี นให้ เหมอื น/ควำม สถำนกำรณต์ ่ำง ข้อมูลเก่ียวกบั แตกตำ่ งระหวำ่ ง ๆ ที่เกดิ ขนึ้ ตนเอง และเรอ่ื ง เทศกำลและ ในหอ้ งเรียนและ ใกลต้ วั ประเพณีของ สถำนศึกษำ (ต 1.3 ป.5/1 ) เจ้ำของภำษำกับ (ต 4.1 ป. 6/1) ของไทย (ต 2.2 ป.6/2) ภารกจิ โดยสังเขปของผสู้ อนด้านการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ๑. ศึกษา วิเคราะหห์ ลักสูตร มาตรฐานและตวั ชีว้ ัดจากหลักสูตรสถานศึกษา สัดส่วนคะแนน ระหว่างเรียนกับคะแนนปลายปี/ปลายภาค เกณฑ์ต่าง ๆ ที่สถานศึกษากาหนด ตลอดจนต้องคานึงถึง คุณลักษณะ- อันพึงประสงค์ การอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน รวมท้ังสมรรถนะต่าง ๆ ที่ต้องการให้เกิดขึ้นใน ตัวผู้เรียน เพ่ือนาไป บูรณาการ สอดแทรกในระหว่างการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ท้ังน้ีโดยคานึงถึง ธรรมชาตริ ายวิชา รวมถึงจดุ เนน้ ของสถานศึกษา ๒. กาหนดหนว่ ยการเรียนรแู้ ละแผนการประเมนิ ๒.๑ วิเคราะห์ตัวช้ีวัดในแต่ละมาตรฐานการเรียนรู้แล้วจัดกลุ่มตัวชี้วัด ซึ่งอาจใช้การ วิเคราะห์ ๕ ด้านตามแนวทางของ Stiggins หรือ อาจจัดเป็น ๓ ด้าน ได้แก่ ด้านการรับรู้ข้อเท็จจริง (Knowledge) ดา้ นทักษะกระบวนการ (Process) และดา้ นความรสู้ ึกนกึ คดิ (Attitude) ดงั ตัวอย่างนี้

๑๐๓ ตวั อยา่ งการวเิ คราะห์มาตรฐานการเรียนรู้กลุม่ สาระการเรียนรคู้ ณติ ศาสตร์ ตวั ชี้วัด ความรู้ ทักษะ คุณลกั ษณะ ค ๑.๒ ป.๔/๑ (K) (P) (A) บวก ลบ คูณ หาร และบวก ลบ คณู หาร ระคนของจานวนนับและ ศนู ยพ์ ร้อมท้งั ตระหนักถึงความสมเหตุสมผลของคาตอบ   ค ๑.๒ ป.๔/๒ วเิ คราะห์และแสดงวธิ หี าคาตอบของโจทย์ และโจทย์ปญั หาระคนของ   จานวนนบั และศนู ย์พรอ้ มทั้งตระหนกั ค่าความสมเหตสุ มผลของคาตอบและ สรา้ งโจทย์ได้ - ค ๑.๒ ป.๔/๓ บวกและลบเศษสว่ นท่มี ตี ่อสว่ นเท่ากัน ข้อพึงคานึง คือ ในความเป็นจริงแล้วเป้าหมายการเรียนรู้มีความเหล่ือมซ้อนกัน เป้าหมายที่เป็น ความรู้จะเป็นพ้ืนฐานท่ีต้องมีมาก่อนอยู่ในทุกตัวชี้วัด โดยที่ตัวช้ีวัดเป็นการชี้วัดความก้าวหน้าในการเรียนรู้ เป็นการให้ข้อมูลย้อนกลับแก่ครูผู้สอน และช่วยให้ผู้เรียนสามารถติดตามผลการเรียนรู้ของตนเอง (Self- monitor) เป็นการประเมินการปฏิบัติ เพื่อนาสู่การพัฒนาปรับปรุงการเรียนต่อไป (Michael Fullan, Peter Hill and Cormel Crevola , ๒๐๐๖) การวิเคราะห์ตัวชี้วัดจึงช่วยผู้สอนในการกาหนดกิจกรรมการ เรียนรู้และการประเมินให้พัฒนาไปได้ถึงลกั ษณะของตัวช้วี ดั ทก่ี าหนด ๒.๒ กาหนดหน่วยการเรยี นร้โู ดยเลือกมาตรฐาน/ตัวชวี้ ดั ที่สอดคลอ้ งสมั พนั ธก์ ันหรือ ประเดน็ ปญั หาที่อยู่ในความสนใจของผู้เรยี น ซงึ่ อาจจัดเป็นหน่วยเฉพาะวิชา (Subject unit) หรือหนว่ ยบูรณา การ (Integrated unit) ทงั้ นีต้ ้องคานึงถึงคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ และสมรรถนะสาคัญของผูเ้ รียนในหนว่ ย การเรยี นรดู้ ้วย ในขณะเดียวกันผสู้ อนสามารถวางแผนการประเมินทีส่ อดคล้องกับมาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตวั ชวี้ ัด ซงึ่ ในการประเมินนน้ั ควรใช้วธิ ีการประเมนิ ท่หี ลากหลาย เพ่ือสามารถประเมนิ ผเู้ รียนไดอ้ ยา่ ง ครอบคลุมและไมล่ าเอยี ง ๒.๓ กาหนดสัดส่วนเวลาเรียนในแต่ละหน่วยการเรียนรู้ ตามโครงสร้างหลักสูตรโดย คานึงถึงความสาคัญของมาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด และสาระการเรยี นรู้ในหนว่ ยการเรียนรู้ ๒.๔ กาหนดภาระงานหรือช้ินงานหรือกิจกรรมท่ีเป็นหลักฐานแสดงว่าผู้เรียนมีความรู้ ความสามารถสะท้อนตามตัวชว้ี ดั ๒.๕ กาหนดเกณฑ์สาหรับประเมินภาระงาน/ช้ินงาน/กิจกรรม โดยใช้เกณฑ์การประเมิน (Rubric) หรือกาหนดเป็นร้อยละ หรอื ตามที่สถานศึกษากาหนด ๓. ช้แี จงรายละเอยี ดของการวดั และประเมนิ ผลใหผ้ ูเ้ รียนเข้าใจ โดยปกติ ผูเ้ รียนมักจะมีความ วิตกกังวลว่าในรายวิชาท่ีตนเรียนจะตัดสินผลการเรียนอย่างไร การอธิบายให้ผู้เรียนทราบว่าตนถูกคาดหวัง ให้เรียนรู้อะไรบ้าง ทาอะไรบ้าง เช่น ต้องทาชิ้นงานอะไร จานวนก่ีชิ้น การให้คะแนนเป็นอย่างไร มีการสอบ เม่ือใดบ้าง จะทาให้ผู้เรียนมีการเตรียมตัวดีย่ิงข้ึน และหากเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ร่วมอภิปรายเกี่ยวกับการ เก็บคะแนน เกณฑก์ ารให้คะแนน จะเปน็ การสรา้ งแรงจูงใจและความรบั ผิดชอบต่อการเรยี นร้ยู งิ่ ขนึ้ ดว้ ย

๑๐๔ การเก็บหลกั ฐานการประเมิน ปัจจบุ นั ผสู้ อนจะได้รับการฝึกให้ออกแบบหนว่ ยการเรยี นรู้โดยคดิ ถงึ เป้าหมายการเรียนรู้ก่อนว่า จะให้ผเู้ รียนรูอ้ ะไร ทาอะไรเป็น มีคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์อย่างไร ท้งั น้โี ดยมีมาตรฐาน/ตวั ช้ีวดั สมรรถนะ สาคัญของผู้เรียน และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของหลักสูตรเป็นพื้นฐานในการกาหนด จากน้ัน จึงคิดว่า หลักฐานเช่นใดที่จะแสดงว่าผู้เรียนบรรลุเป้าหมายการเรียนรู้ แล้วจึงเลือกวิธีการและเคร่ืองมือประเมินที่จะ ใชเ้ กบ็ รวบรวมผลการเรยี นรูข้ องแตล่ ะคนเพื่อให้เข้าใจผู้เรยี นได้ดีขนึ้ ผลการเรยี นรทู้ เ่ี กบ็ ในชัน้ เรยี นแต่ละคร้ัง ไม่ใช่ส่ิงที่ต้องนามาตัดสินผลให้คะแนนทุกครั้ง บางครั้งเป็นการตรวจสอบความก้าวหน้า บางครั้งเป็นการ ฝึกฝน บางคร้ังเป็นการหาว่ามีปัญหาอะไร เป็นต้น ฉะนั้น ในการเก็บหลักฐานการประเมินจึงข้ึนอยู่กับ วตั ถุประสงค์ด้วย การจดั ประเภทของการประเมนิ ตามวัตถปุ ระสงค์กล่าวโดยสรุปดงั ต่อไปนี้ ประเภทของการประเมินในชน้ั เรยี นโดยทั่วไปจะมีการใช้การประเมนิ ๓ ประเภทต่อไปน้ี ➢ การประเมินเพ่ือวินิจฉัย (Diagnostic Assessment) เป็นการเก็บข้อมูลเพื่อค้นหาว่า ผู้เรียนรอู้ ะไรมาบา้ งเก่ยี วกับส่งิ ทจ่ี ะเรยี น สิง่ ท่ีร้มู าก่อนน้ีถูกต้องหรือไม่ จึงเป็นการใช้ในลักษณะประเมินก่อน เรยี น นอกจากน้ียงั ใชเ้ พื่อหาสาเหตุของปัญหาหรืออุปสรรคต่อการเรยี นรู้ของผู้เรยี นเป็นรายบุคลที่มักจะเป็น เฉพาะเร่ือง เช่น ปัญหาการออกเสียงไม่ชัด แล้วหาวิธีปรับปรุงเพ่ือให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาและเรียนรู้ข้ัน ตอ่ ไป วิธีการประเมนิ ใชไ้ ดท้ ้ังการสงั เกต การสอบพดู คุย สอบถาม หรือการใช้แบบทดสอบกไ็ ด้ ➢ การประเมนิ ความกา้ วหน้า (Formative Assessment) เปน็ การประเมินเพ่ือพัฒนาการ เรียนรู้ (assessment for learning) ท่ีดาเนินการอย่างต่อเนื่องตลอดการเรียนการสอนโดยมิใช่ใช้แต่การ ทดสอบระหว่างเรียนเป็นระยะ ๆ อย่างเดียว แต่เป็นการท่ีครูเก็บข้อมูลการเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างไม่เป็น ทางการด้วย ขณะที่ให้ผู้เรียนทาภาระงานตามท่ีกาหนด ครูสังเกต ซักถาม จดบันทึก แล้ววิเคราะห์ข้อมูลว่า ผเู้ รียนเกดิ การเรียนรู้หรือไม่ จะตอ้ งให้ผเู้ รยี นปรบั ปรงุ อะไรหรือผสู้ อนปรบั ปรุงอะไรเพ่ือให้เกิดความก้าวหน้า ในการเรียนรู้ตามมาตรฐาน/ตัวช้ีวัด การประเมินระหว่างเรียนดาเนินการได้หลายรูปแบบ เช่น การให้ ข้อแนะนา ข้อสังเกตในการนาเสนอผลงาน การพูดคุยระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนเป็นกลุ่มหรือรายบุคคล การ สัมภาษณ์ ตลอดจนการวิเคราะห์ผลการสอบ เปน็ ต้น ➢ การประเมินสรุปผลการเรียนรู้ (Summative Assessment) มักเกิดข้ึนเม่ือจบหน่วย การเรียนรู้เพื่อตรวจสอบผลการเรียนรู้ของผู้เรียนตามตวั ชี้วดั และยังใช้เป็นข้อมูลในการเปรยี บเทียบกับการ ประเมินก่อนเรียนทาให้ทราบพัฒนาการของผู้เรียน การประเมินสรุปผลการเรียนรู้ยังเป็นการตรวจสอบ ผลสัมฤทธ์ิของผู้เรียนตอนปลายปี/ปลายภาคอีกด้วย การประเมินสรุปผลการเรียนรู้ใช้วิธีการและเคร่ืองมือ ประเมนิ ได้อย่างหลากหลาย โดยปกติ มักดาเนินการอย่างเปน็ ทางการมากกวา่ การประเมินระหว่างเรียน วธิ ีการประเมนิ ในการประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน ผู้สอนควรใช้วิธีการวัดและประเมินผลอย่างหลากหลาย เหมาะสม สอดคล้องกับตัวชี้วัด/มาตรฐานการเรียนรู้ เพื่อให้ได้ข้อมูลท่ีสะท้อนความรู้ความสามารถและ ศกั ยภาพของผู้เรียน โดยผ้สู อนสามารถเลือกวิธกี ารประเมินจากวิธีตา่ ง ๆ ต่อไปน้ี ๑. การสังเกตพฤติกรรม เป็นการเก็บข้อมูลจากการดูการปฏิบัติกิจกรรมของผู้เรียนโดยไม่ ขัดจังหวะการทางานหรือการคิดของผู้เรียน การสังเกตพฤติกรรมเป็นส่ิงที่ทาได้ตลอดเวลา แต่ควรมี กระบวนการที่ชัดเจน และมีจุดประสงค์ที่ชัดเจนว่าต้องการประเมินอะไร โดยอาจใช้เครื่องมือ เช่น แบบ ประเมินค่า แบบตรวจสอบรายการ สมุดจดบันทึก เพ่ือประเมินผู้เรียนตามตัวชี้วัด และควรทาการสังเกต บ่อยครั้งเพือ่ ขจัดความลาเอียง

๑๐๕ ๒. การสอบปากเปล่า เป็นการให้ผู้เรียนได้แสดงออกด้วยการพูด ตอบประเด็นเก่ียวกับการ เรียนรู้ตามมาตรฐาน ผู้สอนเก็บข้อมูล จดบันทึก รูปแบบการประเมินน้ีผู้สอนและผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กัน สามารถมีการอภิปราย โต้แย้ง ขยายความ ปรับแก้ไขความคิดกันได้ มีข้อท่ีพึงระวังคือ อย่าเพิ่งขัดความคิด ขณะทผ่ี ู้เรยี นกาลงั พูด ๓. การพดู คุย เป็นการสอ่ื สาร ๒ ทางอีกประเภทหน่งึ ระหวา่ งผูส้ อนกบั ผเู้ รยี น สามารถ ดาเนินการเปน็ กลุ่มหรือรายบุคคลก็ได้ โดยท่ัวไปมักใช้อย่างไม่เป็นทางการเพื่อตดิ ตามตรวจสอบว่าผูเ้ รียน เกิดการเรยี นรเู้ พยี งใด เป็นข้อมูลสาหรบั พัฒนา วธิ ีการนี้อาจใชเ้ วลา แต่มปี ระโยชนต์ อ่ การค้นหา วนิ จิ ฉยั ขอ้ ปัญหา ตลอดจนเรอ่ื งอ่นื ๆ ที่อาจเป็นปญั หา อุปสรรคตอ่ การเรียนรู้ เชน่ วธิ ีการเรยี นรทู้ แ่ี ตกตา่ งกนั เป็นต้น ๔. การใช้คาถาม การใช้คาถามเป็นเร่ืองปกติมากในการจัดการเรียนรู้ แต่ข้อมูลงานวิจัยบ่งชี้ ว่าคาถามทคี่ รูใช้เป็นด้านความจา และเป็นเชิงการจดั การทั่ว ๆ ไปเป็นส่วนใหญ่ เพราะถามง่าย แตไ่ มท่ า้ ทาย ให้ผู้เรียนต้องทาความเข้าใจและเรียนรู้ให้ลึกซึ้ง การพัฒนาการใช้คาถามให้มีประสิทธิภาพแม้จะเป็นเรื่องท่ี ยาก แต่สามารถทาได้ผลรวดเร็วขึ้น หากผู้สอนมีการเปล่ียนแปลงวิธีการประเมินในชั้นเรียน โดยทาการ ประเมินเพื่อพัฒนาให้แข็งขัน (Clarke, 2005) Clarke ยังได้นาเสนอวิธีการฝึกถามให้มีประสิทธิภาพ ๕ วิธี ดังน้ี วิธีท่ี ๑ ให้คาตอบท่ีเป็นไปได้หลากหลาย เป็นวิธีที่ง่ายท่ีสุดในการเริ่มต้นเปลี่ยนการถาม แบบความจาใหเ้ ปน็ คาถามทต่ี ้องใช้การคิดบ้างเพราะมีคาตอบท่ีเป็นไปได้หลายคาตอบ (แต่พงึ ระวงั ว่าการใช้ คาถามหมายความว่าผู้เรียนต้องผ่านการเรียนรู้ มีความเข้าใจพ้ืนฐานตามตัวช้ีวัดท่ีกาหนดให้เรียนรู้มาแล้ว) คาถามแบบน้ีทาให้ผู้เรียนต้องใช้การตัดสินใจว่า คาตอบใดถูก หรือใกล้เคียงท่ีสุดเพราะเหตุใด และที่ไม่ถูก เพราะเหตุใด นอกจากนี้ การใช้คาถามแบบน้ีจะทาให้ผู้เรียนเรียนรู้ย่ิงข้ึนอีกหากมีกิจกรรมให้ผู้เรียนทาเพื่อ พสิ ูจนค์ าตอบ วิธีท่ี ๒ เปลี่ยนคาถามประเภทความจาใหเ้ ป็นคาถามประเภทที่ผู้เรียนตอ้ งแสดงความ คิดเห็นพร้อมเหตุผล การใช้วิธนี ้ีจะตอ้ งใหผ้ เู้ รยี นไดอ้ ภปิ รายกนั ผู้เรยี นต้องใช้การคดิ ท่สี ูงข้นึ กว่าวธิ แี รก เพราะผเู้ รียนจะต้องยกตัวอย่างสนับสนุนความเห็นของตน เมอื่ ใหป้ ระโยคทีผ่ ู้เรยี นจะตอ้ งสะท้อนความ คิดเหน็ ผเู้ รยี นจะตอ้ งปกป้องหรืออธิบายทัศนะของตน การฝึกด้วยวิธกี ารน้บี อ่ ย ๆ จะเปน็ การพฒั นาผู้เรยี น ใหเ้ ปน็ ผูฟ้ ังท่ดี ี มจี ติ ใจเปดิ กว้างพร้อมรบั ฟัง และเปล่ยี นแปลงความคิดเหน็ โดยผ่านกระบวนการอภิปราย ครู ใชว้ ธิ กี ารนี้กดดันให้เกดิ การอภิปรายอยา่ งมคี ุณภาพสูงระหว่างเดก็ ต่อเด็ก และให้ข้อมูลเพือ่ การพัฒนาแก่ทกุ คนในชัน้ เรยี น วิธที ่ี ๓ หาสงิ่ ตรงกนั ขา้ ม หรือสิ่งที่ใช/่ ถูก สง่ิ ท่ีไม่ใช่/ผิด และถามเหตุผล วธิ กี ารน้ใี ชไ้ ดด้ ี กับเนอ้ื หาที่เปน็ ข้อเทจ็ จรงิ เช่น จานวนในวิชาคณิตศาสตร์ การสะกดคา โครงสรา้ งไวยากรณใ์ นวชิ าภาษา เปน็ ตน้ เม่อื ไดร้ บั คาถามวา่ ทาไมทาเช่นน้ีถูก แต่ทาเช่นนี้ผิด หรอื ทาไมผลบวกนถ้ี กู แตผ่ ลบวกน้ีผดิ หรือ ทาไมประโยคนถ้ี ูกไวยากรณ์แตป่ ระโยคนี้ผดิ ไวยากรณ์ เป็นต้น จะเปน็ โอกาสใหผ้ ู้เรียนคิดและอภิปราย มากกวา่ เพยี งการถามว่าทาไมโดยไม่มี การเปรียบเทยี บกนั และวิธีการนี้จะใช้กบั การทางานคู่มากกวา่ ถามท้ัง ห้อง แลว้ ให้ยกมือตอบ วธิ ีที่ ๔ ให้คาตอบประเด็นสรุปแล้วตามด้วยคาถามให้คิด เป็นการให้ผู้เรียนต้องอธิบาย เพิ่มเตมิ วธิ ที ี่ ๕ ตั้งคาถามจากจุดยืนที่เห็นต่าง เป็นวิธีที่ต้องใช้ความสามารถมากท้ังผู้สอนและ ผู้เรียน เพราะมีประเด็นที่ต้องอภิปรายโต้แย้งเชิงลึกเหมาะท่ีจะใช้อภิปรายในประเด็นที่เกี่ยวกับสภาพ เศรษฐกจิ สังคม ปัญหาสขุ ภาพ ปัญหาเชงิ จริยธรรม เปน็ ตน้

๑๐๖ นอกจากนี้ การใช้ Bloom’s Taxonomy เปน็ กรอบแนวคดิ ในการต้ังคาถามกเ็ ป็นวิธีการที่ดีใน การเกบ็ ข้อมลู การเรียนรู้จากผู้เรียน ๕. การเขียนสะท้อนการเรียนรู้ (Journals) เป็นรปู แบบการบันทึกการเขียนอีกรูปแบบหน่ึง ที่ให้ผู้เรียนเขียนตอบกระทู้ หรือคาถามของครู ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับความรู้ ทักษะท่ีกาหนดในตัวชี้วัด การเขียนสะท้อนการเรียนรู้นี้นอกจากทาให้ผู้สอนทราบความก้าวหน้าในผลการเรียนรู้แล้ว ยังใช้เป็น เคร่อื งมือประเมินพฒั นาการด้านทักษะการเขยี นได้อกี ด้วย ๖. การประเมินการปฏิบัติ (Performance assessment) เป็นวิธีการประเมินงานหรือ กิจกรรมท่ีผู้สอนมอบหมายให้ผู้เรียนปฏิบัติงานเพ่ือให้ทราบถึงผลการพัฒนาของผู้เรียน การประเมิน ลักษณะน้ี ผู้สอนต้องเตรียมสิ่งสาคัญ ๒ ประการ คือ ภาระงาน (Tasks) หรือกิจกรรมท่ีจะให้ผู้เรียน ปฏิบัติ เช่น การทาโครงการ /โครงงาน การสารวจ การนาเสนอ การสร้างแบบจาลอง การท่องปากเปล่า การสาธิต การทดลองวทิ ยาศาสตร์ การจัดนทิ รรศการ การแสดงละคร เปน็ ตน้ และเกณฑก์ ารให้คะแนน (Scoring Rubrics) การประเมินการปฏิบัติ อาจจะปรับเปลี่ยนไปตามลักษณะงานหรือประเภทกิจกรรม ดงั นี้  ภาระงานหรือกิจกรรมที่เน้นข้ันตอนการปฏิบัติและผลงาน เช่น การทดลอง วิทยาศาสตร์ การจัดนิทรรศการ การแสดงละคร แสดงเคลื่อนไหว การประกอบอาหาร การประดิษฐ์ การสารวจ การนาเสนอ การจัดทาแบบจาลอง เป็นต้น ผู้สอนจะต้องสังเกตและประเมินวิธีการทางานท่ี เปน็ ข้ันตอนและผลงานของผู้เรียน  ภาระงานหรือกิจกรรมที่มุ่งเน้นการสร้างลักษณะนิสัย เช่น การรักษาความสะอาด การรกั ษาสาธารณสมบัติ/สงิ่ แวดล้อม กจิ กรรมหนา้ เสาธง เป็นต้น จะประเมนิ ดว้ ยวธิ ีการสังเกต จดบันทึก เหตุการณ์เก่ยี วกบั ผเู้ รียน  ภาระงานท่ีมีลักษณะเปน็ โครงการ/โครงงาน เป็นกิจกรรมที่เน้นข้ันตอนการปฏบิ ัติและ ผลงานที่ต้องใช้เวลาในการดาเนินการ จึงควรมีการประเมินเป็นระยะ ๆ เช่น ระยะก่อนดาเนินโครงการ/ โครงงาน โดยประเมนิ ความพรอ้ มการเตรียมการและความเปน็ ไปได้ในการปฏิบัติงาน ระยะระหว่างดาเนิน โครงการ/โครงงาน จะประเมินการปฏิบัติจริงตามแผน วิธีการและขั้นตอนที่กาหนดไว้ และ การปรับปรุง ระหว่างการปฏิบัติ สาหรับระยะส้ินสุดการดาเนินโครงการ/โครงงาน โดยการประเมินผลงาน ผลกระทบ และวิธกี ารนาเสนอผลการดาเนนิ โครงการ/โครงงาน  ภาระงานทเ่ี น้นผลผลิตมากกวา่ กระบวนการขั้นตอนการทางาน เช่น การจดั ทาแผนผัง แผนที่ แผนภมู ิ กราฟ ตาราง ภาพ แผนผังความคดิ เปน็ ตน้ อาจประเมนิ เฉพาะคุณภาพของผลงานก็ได้ ในการประเมินการปฏิบัติงาน ผู้สอนต้องสร้างเคร่ืองมือเพื่อใช้ประกอบการประเมิน เช่น แบบมาตรประมาณคา่ แบบบันทกึ พฤติกรรม แบบตรวจสอบรายงาน แบบบนั ทกึ ผลการปฏบิ ตั ิ เปน็ ต้น ๗. การประเมนิ ดว้ ยแฟ้มสะสมงาน (Portfolio assessment) แฟ้มสะสมงานเป็นการ เกบ็ รวบรวมชน้ิ งานของผู้เรียนเพือ่ สะท้อนความกา้ วหน้าและความสาเรจ็ ของผู้เรียน เชน่ แฟ้มสะสมงานท่ี แสดงความก้าวหน้าของผู้เรียน ต้องมีผลงานในช่วงเวลาต่าง ๆ ที่แสดงถึงความกา้ วหนา้ ของผู้เรยี น หาก เปน็ แฟม้ สะสมงานดีเดน่ ต้องแสดงผลงานทส่ี ะท้อนความสามารถของผูเ้ รยี น โดยผเู้ รยี นต้องแสดงความ คดิ เห็นหรือเหตผุ ลท่ีเลือกผลงานนน้ั เก็บไว้ตามวัตถุประสงค์ของแฟ้มสะสมงาน แนวทางในการจัดทาแฟ้มสะสม งานมีดังน้ี  กาหนดวัตถุประสงค์ของแฟ้มสะสมงานว่าต้องการสะท้อนเก่ียวกับความก้าวหน้าและ ความสาเร็จของผู้เรยี นในเรอ่ื งใดด้านใด ท้ังน้อี าจพจิ ารณาจากตวั ชว้ี ัด/มาตรฐานการเรยี นรู้

๑๐๗  วางแผนการจัดทาแฟ้มสะสมงานที่เน้นการจัดทาช้ินงาน กาหนดเวลาของการจัดทา แฟ้มสะสมงาน และ เกณฑก์ ารประเมนิ  จดั ทาแผนแฟม้ สะสมงานและดาเนนิ การตามแผนท่ีกาหนด  ใหผ้ ู้เรียนเกบ็ รวบรวมชิน้ งาน  ให้มีการประเมินชิ้นงานเพื่อพัฒนาชิ้นงาน ควรประเมินแบบมีส่วนร่วม โดย ผู้ประเมิน ได้แก่ ตนเอง เพอ่ื น ผสู้ อน ผู้ปกครอง บคุ คลทเ่ี กีย่ วข้อง  ให้ผู้เรียนคัดเลือกช้ินงาน ประเมินช้ินงาน ตามเงื่อนไขท่ีผู้สอนและผู้เรียนร่วมกัน กาหนด เชน่ ชน้ิ งานที่ยากทสี่ ุด ชนิ้ งานท่ีชอบท่สี ุด เปน็ ตน้ โดยดาเนนิ การเปน็ ระยะ อาจจะเป็นเดอื นละ คร้งั หรอื บทเรียนละครงั้ กไ็ ด้  ให้ผู้เรียนนาชิ้นงานที่คัดเลือกแล้วจัดทาเป็นแฟ้มที่สมบูรณ์ ซึ่งควรประกอบด้วย หนา้ ปก คานา สารบญั ชิน้ งาน แบบประเมนิ แฟ้มสะสมงาน และอน่ื ๆ ตามความเหมาะสม  ผู้เรยี นต้องสะท้อนความรสู้ ึกและความคิดเห็นต่อชิน้ งานหรือแฟ้มสะสมงาน  สถานศึกษาควรจัดให้ผู้เรียนแสดงแฟ้มสะสมงานและชิ้นงานเม่ือส้ินภาคเรียน/ ปีการศึกษาตามความเหมาะสม ๘. การวัดและประเมินด้วยแบบทดสอบ เป็นการประเมินตัวชี้วัด ด้านองค์ความรู้ (Knowledge) เช่น ข้อมูล ความรู้ ขั้นตอน วิธีการ กระบวนการต่าง ๆ เป็นต้น ผู้สอนควรเลือกใช้ แบบทดสอบให้ตรงตามวตั ถุประสงค์ของการวัดและประเมินน้นั ๆ เช่น แบบทดสอบเลือกตอบ แบบทดสอบถูก-ผิด แบบทดสอบจับคู่ แบบทดสอบเติมคา แบบทดสอบความเรียง เป็นต้น ท้ังน้ีแบบทดสอบที่จะใช้ต้องเป็นแบบทดสอบที่มีคุณภาพ มีความเท่ียงตรง (Validity) และเชื่อมั่นได้ (Reliability) ๙. การประเมินด้านจิตพิสัย (Affective Domain) เป็นการประเมินคุณธรรม จริยธรรม คุณลักษณะและเจตคติ ที่ควรปลูกฝังในการจัดการเรียนรู้ ซ่ึงวัดและประเมินเป็นลาดับข้ันจากต่าสุดไป สงู สุด ดงั นี้  ข้ันรบั รู้ เปน็ การประเมินพฤติกรรมที่แสดงออกวา่ รูจ้ ัก เต็มใจ สนใจ  ขนั้ ตอบสนอง เป็นการประเมินพฤติกรรมท่แี สดงวา่ เชื่อฟงั ทาตาม อาสา ทาพอใจท่ี จะทา  ขนั้ เหน็ คณุ ค่า (ค่านยิ ม) เป็นการประเมินพฤติกรรมทีแ่ สดงความเชือ่ ซง่ึ แสดงออกโดย การกระทาหรือปฏิบัติอย่างสม่าเสมอ ยกย่องชมเชย สนับสนุน ช่วยเหลือหรือทากิจกรรมท่ีตรงกับความเชือ่ ของตน ทาด้วยความเชอื่ ม่นั ศรัทธา และปฏเิ สธท่จี ะกระทาในสิ่งทีข่ ัดแย้งกบั ความเช่อื ของตน  ข้ันจัดระบบคุณค่า เป็นการประเมินพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรม อภิปราย เปรยี บเทียบจนเกิดอุดมการณ์ในความคิดของตนเอง  ข้ันสร้างคุณลักษณะ เป็นการประเมินพฤติกรรมท่ีมีแนวโน้มว่าจะประพฤติปฏิบัติ เช่นนนั้ อย่เู สมอในสถานการณเ์ ดียวกัน หรอื เกดิ เป็นอุปนิสยั การวัดและประเมินผลด้านจิตพิสัย ควรใช้การสังเกตพฤติกรรมการปฏิบัติเป็นหลัก และสังเกตอย่างต่อเนื่องโดยมีการบันทึกผลการสังเกต ทั้งน้ีอาจใช้เครื่องมือการวัดและประเมินผล เช่น แบบประเมินคา่ แบบตรวจสอบรายการ แบบบนั ทกึ พฤติกรรม แบบรายงานพฤติกรรมตนเอง เปน็ ต้น นอกจากน้ีอาจใช้แบบวดั ความรู้และความรู้สึก เพือ่ รวบรวมข้อมูลเพ่ิมเติม เช่น แบบ วัดความรู้โดยสร้างสถานการณ์เชิงจริยธรรม แบบวัดเจตคติ แบบวัดเหตุผลเชิงจริยธรรม แบบวัดพฤติกรรม เชงิ จรยิ ธรรม เป็นต้น

๑๐๘ ๑๐. การประเมินตามสภาพจริง (Authentic assessment) เป็นการประเมินด้วยวิธีการ ที่หลากหลายดังท่ีกล่าวมาแล้วข้างต้น เพื่อให้ได้ผลการประเมินที่สะท้อนความสามารถท่ีแท้จริงของผู้เรียน จึงควรใช้การประเมินการปฏิบัติ (Performance assessment) ร่วมกับการประเมินด้วยวิธีการอ่ืน ภาระ งาน(Tasks) ควรสะท้อนสภาพความเป็นจริง หรือใกล้เคียงกับชีวิตจริงมากกว่าเป็นการปฏิบัติกิจกรรมท่ัว ๆ ไป ดังนั้น การประเมินสภาพจริงจะต้องออกแบบการจัดการเรียนรู้และการประเมินผลไปด้วยกัน และกาหนด เกณฑก์ ารประเมนิ (Rubrics) ใหส้ อดคลอ้ งหรอื ใกล้เคยี งกับชีวิตจริง ๑๑. การประเมินตนเองของผู้เรียน (Student self - assessment) การประเมินตนเอง นับเป็นท้ังเคร่ืองมือประเมินและเครื่องมือพัฒนาการเรียนรู้ เพราะทาให้ผู้เรียนได้คิดใคร่ครวญว่าได้เรียนรู้ อะไร เรียนรู้อย่างไร และผลงานท่ีทานั้นดีแล้วหรือยัง การประเมินตนเองจึงใช้เป็นวิธหี นึ่งที่จะช่วยพัฒนา ผู้เรียนให้เป็นผู้ท่ีสามารถเรียนรู้ด้วยตนเอง การใช้การประเมินตนเองของผู้เรียนให้ประสบความสาเร็จได้ดี จะต้องมีเป้าหมายการเรียนรู้ท่ีชัดเจน มีเกณฑ์ที่บ่งบอกความสาเร็จของช้ินงาน / ภาระงาน และมาตรการการ ปรบั ปรงุ แก้ไขตนเอง เป้าหมายการเรียนรู้ท่กี าหนดชัดเจนและผู้เรียนไดร้ ับทราบหรือรว่ มกาหนดดว้ ย จะทาให้ ผู้เรียนทราบวา่ ตนถกู คาดหวังใหร้ ู้อะไร ทาอะไร มหี ลักฐานใดท่ีแสดงการเรยี นรตู้ ามความคาดหวงั นั้น หลกั ฐานท่มี คี ุณภาพควรมเี กณฑเ์ ชน่ ไรเพื่อเป็นแนวทางให้ผู้เรยี นพจิ ารณาประเมนิ ซึ่งหากเกดิ จากการ ทางานร่วมกนั ระหวา่ งผเู้ รยี นกบั ผูส้ อนด้วยจะเป็นการเพิ่มแรงจงู ใจในการเรยี นรูเ้ พ่ิมมากขึน้ การท่ีผูเ้ รยี นได้ ใช้การประเมนิ ตนเองบ่อย ๆ โดยมีกรอบแนวทางการประเมนิ ทช่ี ัดเจนน้ี จะช่วยสง่ เสรมิ ใหผ้ เู้ รยี นประเมินได้ ค่อนข้างจริงและซ่อื สัตย์ คาวิจารณ์ คาแนะนาของผเู้ รยี นมักจะจรงิ จังมากกว่าของครู การประเมนิ ตนเอง จะเกดิ ประโยชน์ย่ิงขึ้น หากผู้เรียนทราบส่ิงทตี่ ้องปรบั ปรงุ แกไ้ ขไดต้ ั้งเป้าหมาย การปรบั ปรุงแก้ไขของตน แล้วฝึกฝน พฒั นาโดยการดูแล สนับสนนุ จากผูส้ อนและความร่วมมอื ของครอบครัว เคร่ืองมือท่ีใช้ในการประเมินตนเองมีหลายรูปแบบ เช่น การอภิปราย การเขียนสะท้อน ผลงาน การใชแ้ บบสารวจ การพูดคุยกบั ผู้สอน เปน็ ตน้ ๑๒. การประเมินโดยเพื่อน (Peer assessment) เป็นเทคนิคการประเมินอีกรูปแบบหนึ่งท่ี น่าจะนามาใช้เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้เข้าถึงคุณลักษณะของงานที่มีคุณภาพ เพราะการท่ีผู้เรียนจะบอกได้ว่า ช้ินงานนั้นเป็นเช่นไร ผู้เรียนต้องมีความเข้าใจอย่างชัดเจนก่อนว่าเขากาลังตรวจสอบอะไรในงานของเพื่อน ฉะนนั้ ผสู้ อนต้องอธิบาย ผลท่คี าดหวังให้ผูเ้ รียนทราบก่อนทจี่ ะลงมอื ประเมิน การท่ีจะสร้างความมั่นใจว่าผู้เรียนเข้าใจการประเมินรูปแบบน้ี ควรมีการฝึกผู้เรียนโดย ผู้สอนอาจหาตัวอย่าง เช่น งานเขียน ให้นักเรียนเป็นกลุ่มตัดสินใจว่าควรประเมินอะไร และควรให้ คาอธิบายเกณฑ์ที่บ่งบอกความสาเร็จของภาระงานน้ัน จากน้ันให้นักเรียนประเมินภาระงานเขียนนน้ั โดยใช้ เกณฑท์ ช่ี ว่ ยกนั สรา้ งขน้ึ หลงั จากน้ันครตู รวจสอบการประเมินของนักเรยี นและใหข้ ้อมลู ย้อนกลับแกน่ ักเรียน ท่ปี ระเมินเกินจรงิ การใชก้ ารประเมินโดยเพ่ือนอยา่ งมีประสิทธิภาพ จาเปน็ ต้องสรา้ งสงิ่ แวดล้อมการเรยี นรู้ที่ สนบั สนนุ ใหเ้ กดิ การประเมินรูปแบบน้ี กลา่ วคอื ผเู้ รยี นต้องรู้สกึ ผ่อนคลาย เชื่อใจกนั และไม่อคติ เพอื่ การ ให้ข้อมูลย้อนกลับจะไดซ้ ่ือตรง เปน็ เชงิ บวกที่ให้ประโยชน์ ผู้สอนท่ีใหผ้ ้เู รยี นทางานกลมุ่ ตลอดภาคเรยี นแลว้ ใช้เทคนคิ เพ่ือนประเมินเพ่ือนเป็นประจา จะสามารถพฒั นาผเู้ รียนให้เกิดความเขา้ ใจซ่ึงกนั และกัน อนั จะ นาไปสกู่ ารให้ขอ้ มูลย้อนกลบั ท่เี กง่ ขึน้ ได้ เกณฑ์การประเมนิ (Rubrics) และตัวอย่างชนิ้ งาน (Exemplars) จะประเมินภาระงานท่มี คี วามซบั ซอ้ นอย่างไรดี รู้ไดอ้ ย่างไรวา่ ภาระงานน้ันดเี พียงพอแล้ว เชน่ การนาเสนอผลงานหน้าชัน้ เรียนทีจ่ ะต้องดูท้งั ความถกู ต้องของเนอื้ หาสาระ กระบวนการท่ีใช้ในการทางาน

๑๐๙ ความสามารถในการสื่อสาร การใช้ภาษา การออกเสยี ง เป็นตน้ คาตอบกค็ ือใชเ้ กณฑ์การประเมนิ เพราะ เกณฑ์การประเมินเป็นแนวทางใหค้ ะแนนท่ปี ระกอบด้วยเกณฑ์ด้านต่าง ๆ เพ่ือใช้ประเมินค่า ผลการปฏิบัติ ของผู้เรยี นในภาระงาน/ชิน้ งาน ท่ีมคี วามซับซ้อน เกณฑ์เหลา่ น้คี ือสง่ิ สาคัญทีผ่ ู้เรยี นควรรแู้ ละปฏิบัตไิ ด้ นอกจากน้ยี ังมีระดบั คุณภาพแตล่ ะเกณฑ์และคาอธิบายคุณภาพทุกระดับ ดังตัวอยา่ งตารางท่ี ๔.๒ เป็น รปู แบบการสรา้ งเกณฑ์การประเมนิ แบบแยกประเดน็ (Analytic rubrics) เปน็ รูปแบบกลางผู้สอนสามารถ นาไปปรับใชไ้ ด้กบั วชิ าตา่ ง ๆ ตารางท่ี ๔.๒ แสดงตวั อย่างการประเมนิ แบบแยกประเดน็ เกณฑ์ ระดับการประเมิน ช่ือเรือ่ ง ๔๓๒ ๑ ๐ เนอ้ื หา ไมม่ ีขอ้ มูล นา่ สนใจ น่าสนใจแต่ ท่วั ๆ ไป ไมเ่ กีย่ วข้องกับ เพยี งพอต่อการ การลาดบั ตดั สนิ ใจความ ทนั สมัย ไมท่ ันสมยั ไม่น่าสนใจ สาระทีเ่ รียน ไมม่ ีข้อมลู หลักเกณฑ์ เหมาะสมกบั สอดคลอ้ งกับ ไมส่ อดคลอ้ ง เพียงพอต่อการ ทางภาษา ตดั สนิ เนือ้ เร่อื ง เนื้อหา กับเน้อื หา ไมม่ ีข้อมูล ข้อมูลถกู ต้อง ขอ้ มลู ถูกต้อง มีข้อมลู ที่ผิดบา้ ง ขอ้ มูลสว่ นใหญ่ เพียงพอต่อการ ตัดสิน สมบูรณ์ ตรงประเดน็ และยังไม่ ไมถ่ ูกต้องและ ไมม่ ีข้อมูล ตรงประเด็น แตข่ าด สมบูรณ์ ขาดหาย เพียงพอต่อการ ตดั สนิ รายละเอียด ใจความชดั เจน ใจความสับสน ใจความไม่ ไม่ต่อเน่ือง ลาดับเหตกุ ารณ์ บา้ งแต่ยงั ชัดเจน ขาด ขาดความ สมเหตุ สมผล สามารถเขา้ ใจได้ ความสมเหตุ สมเหตุสมผล ขาดความสม สมผล เหตุ สมผลไป บ้าง ประโยคสมบรู ณ์ เขยี นประโยคได้ เขยี นประโยค เขยี นประโยค ถกู ต้องตาม สมบรู ณ์ แต่ยดึ สมบรู ณ์บา้ ง ผดิ หลักเกณฑ์ หลักเกณฑ์ หลกั เกณฑ์ทาง ไม่สมบรู ณบ์ ้าง ทางภาษา สือ่ ทางภาษา ภาษา ส่อื ความ ผิดหลักเกณฑ์ ความไม่ได้ สอื่ ความได้ ได้ ทางภาษาอย่าง ชัดเจน มาก สอื่ ความไม่ ชดั นอกจากเกณฑ์การประเมนิ แบบแยกประเดน็ แลว้ ยังมีเกณฑก์ ารประเมินแบบภาพรวม (Holistic Rubric) เช่น ต้องการประเมินการเขียนเรียงความแต่ไม่ได้พจิ ารณาแยกแต่ละประเด็น ว่าเขยี น นาเรอื่ ง สรปุ เร่ือง การผูกเร่ืองแต่ละประเด็นเป็นอย่างไร แต่เป็นการพจิ ารณาในภาพรวมและให้คะแนนใน ภาพรวม ดังตวั อย่างในตารางท่ี ๔.๓

๑๑๐ ตารางท่ี ๔.๓ แสดงตวั อย่างเกณฑ์การประเมนิ แบบภาพรวมสาหรบั ประเมินการเขียนเรยี งความ คะแนน เกณฑ์ ๕ เขียนบทนาและบทสรุปได้ดี ทาให้งานเขียนมีใจความสัมพันธ์กัน หัวข้อเร่ืองมีรายละเอียด ๔ สนับสนนุ อย่างชัดเจน การผกู เรอ่ื งเป็นลาดับขั้นตอน รปู ประโยคถกู ต้อง มสี ะกดคาผดิ บ้าง ๓ เลก็ นอ้ ย สานวนภาษาสละสลวย ๒ ......................................................................... ๑ มีบทนา บทสรุป เน้ือหาสอดคล้องกับหัวข้อเร่ือง รายละเอียดสนับสนุนน้อย เนื้อหา บางสว่ นไม่ชัดเจน การผกู เร่อื งเป็นลาดับ รูปประโยคถกู ต้อง มีสะกดคาผิดอยูบ่ ้าง สานวน ภาษาสละสลวยบางแหง่ ......................................................................... ไม่มีบทนาและหรือบทสรุป เน้ือหาอ้อมค้อม ไม่ตรงประเด็นนัก มีรายละเอียดสนับสนุน น้อย และไม่สมเหตสุ มผล เขยี นสะกดคาผิดมาก เกณฑ์การประเมินนอกจากจะใช้เพ่ือประเมินชิ้นงาน/ภาระงานแล้ว ยังสามารถใช้เป็น เครื่องมอื ใน การสอนได้อย่างดี โดยใหผ้ ู้เรยี นได้รับทราบวา่ ผสู้ อนคาดหวังอะไรบา้ งจากชิ้นงานทม่ี อบหมาย หรือให้ผู้เรียนร่วมในการสร้างเกณฑ์ก็จะทาให้เกิดการมีส่วนร่วมและรับผิดชอบ ผู้สอนท่ีใช้เกณฑ์การ ประเมินเป็นประจาจะพูดตรงกันว่า เกณฑ์การประเมินให้ภาพท่ีชัดเจนดีกว่าคาส่ัง และหากมีตัวอย่าง ชิ้นงานประกอบให้ผู้เรียนได้ช่วยกันพิจารณา อภิปรายโดยใช้เกณฑ์ท่ีร่วมกันสร้างข้ึน ก็จะย่ิงทาให้ผู้เรียน สามารถแยกแยะไดว้ ่าชนิ้ งานท่ดี มี ีคุณภาพเป็นอยา่ งไร ตัวอย่างชิ้นงาน (Exemplars) คือ ผลงานของผู้เรียน ซ่ึงผู้สอนอาจเก็บรวบรวมจากงานที่ ผู้เรียนทาส่งในแต่ละปีการศึกษา เพื่อเป็นแบบอย่างให้เห็นว่าลักษณะงานแบบใดท่ีดีกว่า ตัวอย่างช้ินงาน ควรมหี ลาย ๆ ระดับ เพื่อผูเ้ รยี นจะไดเ้ หน็ ความแตกต่าง เกณฑ์การประเมินยังใช้เป็นเคร่ืองมือส่ือสารระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน ผู้สอนกับผู้ปกครอง และผู้เรียนกับผู้ปกครอง การมีภาพความคาดหวังท่ีชัดเจนจะช่วยให้ผู้สอนสามารถให้ข้อมูลย้อนกลับที่เป็น ประโยชนแ์ กผ่ เู้ รยี น และเป็นประเด็นสาหรบั พดู คยุ เพอ่ื การพัฒนาการเรียนรู้ได้ดียงิ่ ข้ึน สมรรถนะหลักของผูเ้ รียน : ประเมนิ อย่างไร แนวคิดและหลักกำรของกำรวัดและประเมินผลฐำนสมรรถนะ (Competency-Based Assessment: CBA) กำรวัดและประเมินฐำนสมรรถนะ เป็นกำรตรวจสอบว่ำผู้เรียนเกิดสมรรถนะ หรือมีควำมก้ำวหน้ำ ในสมรรถนะน้ัน ๆ โดยพจิ ำรณำจำกกำรแสดงออกทำงพฤติกรรมหรือกำรกระทำในกำรใช้ชีวิต กำรแกป้ ญั หำ และกำรปฏิบัติงำน เน้นใช้กำรประเมินเพ่ือพัฒนำท่ีเป็นส่วนหน่ึงของกระบวนกำรเรียนรู้ เพื่อช่วยให้ผู้เรียน ก้ำวหน้ำในกำรเรียนรู้เป็นรำยบุคคล และใช้หลักฐำนท่ีแสดงควำมเช่ียวชำญตำมสมรรถนะท่ีกำหนดสำหรับ กำรประเมินเพื่อสรุปผล กำรวดั และประเมินผลฐำนสมรรถนะจะตอ้ งดำเนนิ กำรใหส้ อดคลอ้ งกบั หลกั สตู ร กำรวดั และประเมินผลฐำนสมรรถนะ มีหลักกำรและแนวทำง ดงั นี้

๑๑๑ 1. ให้ควำมสำคัญกับกำรประเมินเพื่อพัฒนำ (Formative Assessment) โดยถือว่ำกำรประเมิน เป็นกิจกรรมในกระบวนกำรเรียนกำรสอนตำมปกติ ผู้เรียนมีกำรประเมินตนเองระหวำ่ งเรียน (Assessment as Learning) เพ่ือนำผลกำรประเมินมำใช้ในกำรปรับปรุงวิธีกำรเรียนรู้ของตนให้ดีย่ิงขึ้น ก้ำวหน้ำข้ึน ครู สงั เกตและเกบ็ ข้อมลู กำรเรยี นรู้ของผูเ้ รียน เพอ่ื นำผลกำรประเมินมำใช้ในกำรปรบั ปรุงกำรสอนของตน และ พัฒนำกำรเรยี นรู้ของ ผู้เรยี นใหด้ ขี ึ้น (Assessment for Learning) 2. กำรประเมินเพ่ือพัฒนำใช้วิธีกำรประเมินตำมสภำพจริง (Authentic Assessment) จำกส่ิงที่ ผู้เรียนได้ปฏบิ ัติจริง เช่น กำรประเมินโดยใช้แฟ้มสะสมผลงำน (Portfolio) กำรประเมินจำกชิ้นงำน จำกกำร ปฏบิ ตั งิ ำน รวมไปถงึ กำรประเมนิ ตนเองและกำรประเมินโดยเพื่อน 3. กำรประเมินตัดสินผล (Summative Assessment) จะมุ่งวัดสมรรถนะองค์รวมที่แสดงถึง ควำมสำมำรถในกำรประยุกต์ใช้K (Knowledge) S (Skill) A (Attitude and Values) ในกำรปฏิบัติงำนใน สถำนกำรณต์ ำ่ ง ๆ 4. กำรประเมินเพื่อตัดสินผล เป็นกำรประเมินผลกำรเรียนรู้ (Assessment of Learning) โดยใช้ วิธีกำรวัดจำกพฤติกรรม กำรกระทำ กำรปฏิบัติของผู้เรียนในสถำนกำรณ์ต่ำง ๆ (Performance Test) ที่ แสดงออกถึงควำมสำมำรถในกำรประยุกต์ใช้ K S A ตำมเกณฑ์กำรปฏิบัติ (Performance Criteria) และ หลกั ฐำนกำรเรยี นรู้ อืน่ ๆ (Evidence) เปน็ กำรประเมินแบบอิงเกณฑ์ไมใ่ ชอ่ ิงกลมุ่ 5. กำรประเมินฐำนสมรรถนะ มกี ำรใช้สถำนกำรณ์เป็นฐำน เพ่ือให้บรบิ ทกำรประเมินเปน็ สภำพจริง หรือใกลเ้ คยี งสภำพจรงิ มำกทส่ี ดุ 6. ผเู้ รียนจะไดร้ ับกำรประเมินเมื่อพร้อม หำกไม่ผ่ำนกำรประเมินตำมเกณฑ์ท่ีกำหนด ผ้เู รยี นจะต้อง ได้รับ กำรสอนซ่อมเสริมหรือได้รบั ควำมชว่ ยเหลือด้วยวิธีกำรต่ำง ๆ ที่เหมำะสมกับปัญหำและควำมต้องกำร ของผู้เรียนจนสำมำรถผ่ำนได้ตำมเกณฑ์ จงึ จะกำ้ วไปสู่กำรเรยี นรู้ในขนั้ หรอื ระดับทสี่ ูงข้ึน 7. กำรรำยงำนผล เป็นกำรให้ข้อมูลพัฒนำกำรของผู้เรียนในด้ำนต่ำง ๆ ท่ีช่วยให้ผู้ปกครอง และ ผู้เกี่ยวข้องได้ข้อมูลเกี่ยวกับกำรเรียนรู้และกำรพัฒนำกำรของผูเ้ รียน ตำมควำมเป็นจริงอย่ำงรอบด้ำน ซึ่งแต่ ละสถำนศกึ ษำสำมำรถพัฒนำขน้ึ ตำมควำมเหมำะสมกบั หลกั สตู รสถำนศกึ ษำ การประเมินผลการเรียนรู้ท่ีท่านใช้อยู่ในปัจจุบันเน้นการประเมินแบบใด ใช้เครื่องมือประเภท ให้ผู้เรียนเลือกตอบ หรือใช้เครื่องมือประเภทให้ผู้เรียนสร้างคาตอบเอง จะเห็นว่าสมรรถนะหลักของผู้เรียน เป็นตัวแทนตัวชี้วัด/มาตรฐานการเรียนรู้ที่กาหนดในการพัฒนาผู้เรียนน่ันเอง ดังนั้นการออกแบบภาระงาน การประเมิน ตอบสนองให้เกิดการพัฒนาผู้เรียนตามตัวชี้วัด/มาตรฐานการเรียนรู้หรือไม่ ผู้เรียนได้เป็นผู้ลงมือ ปฏบิ ตั ิและสรา้ งความรู้หรือไม่ และในกระบวนการเรียนการสอนได้มีการใหข้ ้อมลู ย้อนกลบั ทีจ่ ะนาให้ผู้เรียน ได้พัฒนาครอบคลุมมิติต่าง ๆ ของสมรรถนะหลักของผู้เรียนอย่างเพียงพอหรือไม่ จาเป็นต้องมีการ เปลีย่ นแปลงใดอีกเพือ่ ใหส้ ามารถพัฒนาผูเ้ รียนให้บรรลุผลตามตัวชวี้ ดั และมาตรฐานการเรียนรู้ การประเมินสมรรถนะหลักของผูเ้ รียนจึงควรใชว้ ิธกี ารประเมินที่เน้นการปฏบิ ตั ิและบูรณาการอย่ใู น กระบวนการเรียนการสอนแล้ว ไม่เป็นการแยกประเมนิ ตา่ งหากอีก การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ตามกลมุ่ สาระการเรียนรทู้ ้งั ๘ กล่มุ สาระ เปน็ การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ตามตวั ชีว้ ัดในหลกั สตู ร ซ่ึงจะนาไปสู่การสรุปผลการเรียนรู้ของผู้เรยี นตามมาตรฐานการเรียนรตู้ ่อไป ภารกจิ ของสถานศึกษาในการดาเนนิ การประเมินผลการเรียนรู้ตามกล่มุ สาระการเรียนรู้ มีรายละเอยี ดดังนี้ ๑. กาหนดสดั สว่ นคะแนนระหวา่ งเรียนกบั คะแนนปลายปี/ปลายภาค โดยให้ความสาคัญของ คะแนนระหวา่ งเรียนมากกวา่ คะแนนปลายปี/ปลายภาค เช่น ๖๐:๔๐ , ๗๐:๓๐ , ๘๐:๒๐ เปน็ ต้น

๑๑๒ ๒. กาหนดเกณฑ์การตดั สินผลการเรยี น โดยพจิ ารณาความเหมาะสมตามระดบั ชัน้ เรียน เช่น ระดบั ประถมศึกษาอาจกาหนดเป็นระดับผลการเรยี น หรอื ระดบั คุณภาพการปฏบิ ัติของผูเ้ รยี นเปน็ ระบบ ตวั เลข ระบบตวั อักษร ระบบร้อยละและระบบคณุ ภาพสะท้อนมาตรฐาน สาหรับระดับมธั ยมศึกษากาหนด เป็นระดับผลการเรียน ๘ ระดับ และกาหนดเงื่อนไขตา่ ง ๆ ของผลการเรยี น เช่น การประเมนิ ท่ยี ังไม่สมบรู ณ์ (ได้ ร) การไมม่ สี ิทธิเขา้ รบั การสอบ (ได้ มส ) เปน็ ต้น นอกจากน้ี สถานศกึ ษาอาจกาหนดคณุ ลกั ษณะ ของความสาเร็จตามมาตรฐานการศึกษาแตล่ ะชั้นปีเปน็ ระดับคณุ ภาพเพมิ่ อีกก็ได้ ๓. กาหนดแนวปฏิบตั ิในการสอนซอ่ มเสริม การสอบแก้ตัว กรณผี ้เู รยี นมรี ะดับผลการเรยี น “๐” และแนวดาเนินการกรณีผู้เรยี นมีผลการเรยี นท่ีมีเง่ือนไข คือ “ ร ” “ มส.” ๔. กาหนดแนวปฏิบัตใิ นการอนมุ ตั ผิ ลการเรียน ๕. กาหนดแนวทางในการรายงานผลการประเมนิ ต่อผเู้ กยี่ วขอ้ ง เช่น ผปู้ กครอง ๖. กาหนดแนวทาง วธิ ีการในการกากบั ตดิ ตามการบนั ทึกผลการประเมนิ ในเอกสารหลกั ฐาน การศกึ ษา ทั้งแบบทห่ี ลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ และแบบท่สี ถานศึกษา กาหนด เกณฑ์การวดั และประเมินผลการเรียนรู้ ๑. การตดั สนิ ผลการเรยี น หลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ไดก้ าหนดโครงสรา้ ง เวลาเรยี น มาตรฐาน การเรียนร/ู้ ตัวช้ีวดั การอา่ น คดิ วเิ คราะห์และเขียน คณุ ลักษณะอนั พึงประสงคแ์ ละกิจกรรม พัฒนาผู้เรียนท่สี ถานศกึ ษาต้องจัดใหผ้ ้เู รยี นเกดิ การเรยี นรู้ มคี ณุ ภาพเตม็ ตามศักยภาพและใหส้ ถานศึกษา กาหนดหลกั เกณฑ์ การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ เพ่ือตัดสินผลการเรียนของผู้เรยี น ดังน้ี ๑) ผู้เรยี นต้องมีเวลาเรยี นไม่นอ้ ยกวา่ ร้อยละ ๘๐ ของเวลาเรียนทัง้ หมด ๒) ผูเ้ รยี นต้องได้รับการประเมินทกุ ตัวชวี้ ัด และผา่ นตามเกณฑท์ ส่ี ถานศกึ ษากาหนด ๓) ผู้เรียนตอ้ งได้รับการตดั สินผลการเรียนทกุ รายวิชา ๔) ผเู้ รยี นตอ้ งไดร้ บั การประเมนิ และมผี ลการประเมินผา่ นตามเกณฑ์ทสี่ ถานศึกษากาหนด ในการอ่าน คิดวเิ คราะห์และเขียน คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ และกิจกรรมพฒั นาผ้เู รยี น ๒. การให้ระดับผลการเรยี น สถานศึกษาตอ้ งกาหนดเกณฑ์การตดั สินผลการเรียน ซ่ึงสามารถอธิบายผลการตดั สนิ ว่า ผู้เรยี นต้อง มีความรู้ ทกั ษะและคุณลักษณะโดยรวมอยใู่ นระดบั ใด จึงจะยอมรับวา่ ผ่านการประเมนิ การตดั สนิ ผลการเรียนรายวิชาของกลุม่ สาระการเรียนรู้ สถานศึกษาสามารถให้ระดับผล การเรียน ๘ ระดับ หรือระดบั คณุ ภาพการปฏิบตั ขิ องผเู้ รียนเปน็ ระบบตวั เลข ระบบตวั อกั ษร ระบบ รอ้ ยละ และระบบทใ่ี ช้คาสาคญั ที่สะท้อนมาตรฐาน

๑๑๓ กรณีที่สถานศกึ ษาใหร้ ะดับผลการเรยี นด้วยระบบตา่ ง ๆ สามารถเทียบกันไดด้ ังน้ี คะแนนร้อยละ ระบบตวั เลข ระบบคณุ ภาพ แบบ ๑ แบบ ๒ แบบ ๓ ๘๐-๑๐๐ ๔ ดเี ย่ียม ดเี ยย่ี ม ๗๕-๗๙ ๓.๕ ๗๐-๗๔ ๓ ดี ดี ๖๕-๖๙ ๒.๕ ผ่าน ๖๐-๖๔ ๒ พอใช้ ๕๕-๕๙ ๑.๕ ผ่าน ๕๐-๕๔ ๑ ผา่ น ๐-๔๙ ๐ ไม่ผา่ น ไมผ่ ่าน ไมผ่ า่ น การประเมนิ การอา่ น คดิ วิเคราะหแ์ ละเขยี น หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กาหนดใหม้ ีการประเมินการอา่ น คดิ วเิ คราะห์และเขยี น ดงั นนั้ สถานศกึ ษาต้องวางแผนการพัฒนาความสามารถ ดา้ นการอ่าน คิดวเิ คราะหแ์ ละ เขยี น ควบคูไ่ ปกับการจดั การเรยี นรูใ้ นรายวชิ าต่าง ๆ สถานศกึ ษาอาจกาหนดขน้ั ตอนดาเนินการ ดงั แผนภาพท่ี ๓.๒ ประชมุ ชีแ้ จงแนวการสง่ เสรมิ /พัฒนา กาหนดเกณฑ์ คณะกรรมการพฒั นาและประเมิน การประเมนิ และแนวทางการวดั ผลประเมินผล การอ่าน คดิ วิเคราะหแ์ ละเขียน ดาเนินการสง่ เสริม/พฒั นา ควบคกู่ บั การจดั กจิ กรรม ครูผสู้ อน การเรยี นรู้ ๘ กลุ่มสาระ/โครงการ/กิจกรรมสง่ เสรมิ วัดผล ประเมนิ ผล บนั ทึกผล (สรปุ ผล) ครูผสู้ อน ครูทีป่ รึกษา/ครูประจาช้ัน ประมวลผล สรุปผล หรอื ผูท้ ่ไี ดร้ บั มอบหมาย ไมผ่ า่ น ผา่ น คณะกรรมการพฒั นาและประเมินการ ซ่อมเสรมิ ดเี ยย่ี ม อา่ น คดิ วเิ คราะหแ์ ละเขยี น ดี - ครปู ระจาชนั้ ผ่าน - ครทู ปี่ รึกษา บนั ทึกผล - นายทะเบียน

๑๑๔ เกณฑก์ ารวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ ๑. การตัดสินผลการเรียน หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑ ได้กาหนดโครงสรา้ ง เวลาเรยี น มาตรฐานการเรยี นร้/ู ตวั ช้ีวัด การอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน คุณลักษณะอันพึงประสงคแ์ ละกจิ กรรม พัฒนาผเู้ รยี น ทสี่ ถานศึกษาต้องจัดใหผ้ ้เู รยี นเกิดการเรยี นรู้ มีคุณภาพเตม็ ตามศกั ยภาพและให้สถานศึกษา กาหนดหลักเกณฑ์การวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ เพื่อตัดสินผลการเรียนของผู้เรียน ดังน้ี ๑) ผ้เู รยี นต้องมีเวลาเรยี นไม่นอ้ ยกว่าร้อยละ ๘๐ ของเวลาเรยี นทั้งหมด ๒) ผเู้ รียนตอ้ งไดร้ ับการประเมนิ ทกุ ตวั ชว้ี ัด และผา่ นตามเกณฑท์ ีส่ ถานศึกษากาหนด ๓) ผเู้ รยี นตอ้ งได้รบั การตดั สินผลการเรียนทุกรายวชิ า ๔) ผู้เรียนตอ้ งไดร้ ับการประเมนิ และมีผลการประเมินผา่ นตามเกณฑท์ ี่สถานศึกษากาหนด ในการอ่าน คิดวเิ คราะหแ์ ละเขียน คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ และกจิ กรรมพัฒนาผเู้ รียน ๒. การให้ระดบั ผลการเรียน สถานศึกษาตอ้ งกาหนดเกณฑ์การตดั สินผลการเรยี น ซงึ่ สามารถอธบิ ายผลการตดั สินวา่ ผ้เู รียนตอ้ งมีความรู้ ทกั ษะและคณุ ลักษณะโดยรวมอยู่ในระดบั ใด จึงจะยอมรบั ว่าผา่ นการประเมิน การตดั สินผลการเรยี นรายวชิ าของกลุม่ สาระการเรยี นรู้ สถานศกึ ษาสามารถให้ระดับผล การเรียน ๘ ระดบั หรอื ระดบั คุณภาพการปฏบิ ัตขิ องผเู้ รียนเปน็ ระบบตัวเลข ระบบตัวอักษร ระบบ รอ้ ยละ และระบบทใ่ี ช้คาสาคัญท่ีสะท้อนมาตรฐาน กรณที ่สี ถานศกึ ษาใหร้ ะดบั ผลการเรียนด้วยระบบตา่ ง ๆ สามารถเทยี บกันไดด้ ังนี้ คะแนนรอ้ ยละ ระบบตัวเลข ระบบคุณภาพ แบบ ๑ แบบ ๒ แบบ ๓ ๘๐-๑๐๐ ๔ ดเี ย่ยี ม ดเี ย่ยี ม ๗๕-๗๙ ๓.๕ ๗๐-๗๔ ๓ ดี ดี ๖๕-๖๙ ๒.๕ ผา่ น ๖๐-๖๔ ๒ พอใช้ ๕๕-๕๙ ๑.๕ ผ่าน ๕๐-๕๔ ๑ ผา่ น ๐-๔๙ ๐ ไมผ่ ่าน ไม่ผ่าน ไมผ่ า่ น การประเมนิ การอ่าน คดิ วเิ คราะหแ์ ละเขยี น และคุณลักษณะอนั พึงประสงค์น้นั ใหร้ ะดับผลการ ประเมนิ เป็นผ่านและไม่ผา่ น กรณที ่ผี า่ นใหร้ ะดบั ผลการเรียนเป็นดเี ยี่ยม ดีและผ่าน สถานศึกษาสามารถกาหนดความหมายของผลการประเมินคุณภาพดีเยยี่ ม ดแี ละผา่ น ได้ดังน้ี

๑๑๕ ๑. การประเมินอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน ดีเย่ยี ม หมายถึง สามารถจบั ใจความสาคญั ไดค้ รบถ้วน เขยี นวิพากษ์วจิ ารณ์ เขียนสร้างสรรค์ แสดงความคิดเหน็ ประกอบอยา่ งมีเหตผุ ล ได้ถูกต้องและสมบูรณ์ ใช้ภาษาสุภาพและเรียบเรยี ง ไดส้ ละสลวย ดี หมายถงึ สามารถจับใจความสาคัญได้ เขยี นวพิ ากษว์ จิ ารณ์ และเขยี นสร้างสรรค์ได้โดยใช้ภาษาสภุ าพ ผา่ น หมายถงึ สามารถจับใจความสาคัญและเขียนวพิ ากษ์วจิ ารณ์ ไดบ้ า้ ง ๒. การประเมนิ คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ ดเี ยี่ยม หมายถึง ผู้เรยี นมีคุณลักษณะในการปฏบิ ัติจนเปน็ นิสยั และ นาไปใชใ้ นชีวติ ประจาวันเพ่ือประโยชน์สุขของตนเองและสังคม ดี หมายถึง ผเู้ รยี นมคี ณุ ลักษณะในการปฏิบัตติ ามกฎเกณฑ์ เพอื่ ใหเ้ ปน็ ทย่ี อมรบั ของสงั คม ผ่าน หมายถึง ผเู้ รียนรบั รแู้ ละปฏิบตั ิตามกฎเกณฑแ์ ละเง่ือนไข ที่สถานศึกษากาหนด การประเมนิ กจิ กรรมพฒั นาผู้เรียน จะตอ้ งพิจารณาท้งั เวลาการเข้ารว่ มกจิ กรรม การปฏิบตั กิ ิจกรรม และผลงานของผ้เู รยี นตามเกณฑ์ทีส่ ถานศึกษากาหนดและให้ผลการประเมินเปน็ ผ่านและไมผ่ ่าน

๑๑๖ ภำคผนวก

๑๑๗ ภำคผนวก ก อภธิ านศพั ท์

๑๑๘ อภิธานศพั ท์ สาระท่ี 1 การดารงชีวติ และครอบครวั กระบวนการกลุ่ม กระบวนการในการทางานกลุ่ม มขี น้ั ตอน ดังนี้ การเลือกหน้ากลมุ่ การกาหนดเปา้ หมาย หรอื วัตถุประสงค์ของงาน วางแผนการทางาน แบง่ งานตามความสามารถของแตล่ ะบุคคล ปฏิบตั ิ ตามบทบาท หนา้ ท่ี ประเมินผล และปรับปรุงการทางาน การดารงชีวติ เป็นการทางานในชวี ติ ประจาวันเอชว่ ยเหลอื ตนเอง ครอบครัว ชุมชน และสงั คมทว่ี ่าด้วย งานบ้าน งานเกษตร งานชา่ ง งานประดิษฐ์ งานธุรกิจ และงานอ่ืน ๆ การทางานเพื่อการดารงชวี ิต เปน็ การทางานท่จี าเป็นเกี่ยวกับความเปน็ อยใู่ นชวี ติ ประจาวัน ชว่ ยเหลือตนเอง ครอบครัว และ สงั คมได้ในสภาพเศรษฐกจิ พอเพยี ง ไมท่ าลายสงิ่ แวดล้อม เน้นการปฏิบตั จิ รงิ จนเกิดความม่นั ใจและภูมใิ จใน ผลสาเรจ็ ของงาน เพอื่ ให้คน้ พบความสามารถ ความถนดั และความสนใจของตนเอง ทางานบรรลเุ ป้าหมาย ทางานถูกวธิ ี ทางานเปน็ ขนั้ ตอน ทางานเป็นระบบ มีความคดิ สร้างสรรค์ มปี ระสิทธภิ าพ รักษาสิง่ แวดลอ้ ม ฯลฯ ทักษะกระบวนการแก้ปัญหา เป็นกระบวนการท่ีต้องการใหผ้ ูเ้ รียนได้เกิดความคิดหาวธิ กี ารแกป้ ญั หาอย่างมีขั้นตอน การสังเกต การวิเคราะห์ การสรา้ งทางเลือก และการประเมนิ ทางเลือก ทกั ษะการจัดการ ความพยายามของบคุ คลทีจ่ ะจัดระบบงาน (ทางานเป็นรายบคุ คล) และจัดระบบคน (ทางานเปน็ กลุ่ม) เพ่ือให้ทางานสาเร็จตามเป้าหมายอย่างมปี ระสิทธิภาพ ทกั ษะกระบวนการทางาน การลงมอื ทางานดว้ ยตนเอง โดยมุ่งเน้นการฝึกวิธกี ารทางานอย่างส่าเสมอ ทัง้ การทางาน เป็น รายบุคคล และการทางานเป็นกลุ่ม เพ่ือให้สามารถทางานไดบ้ รรลุเปา้ หมายได้แกก่ ารวเิ คราะห์งาน การ วางแผนในการทางาน การปฏิบัตงิ านและการประเมนิ ผลการทางาน ทักษะการทางานรว่ มกัน การทางานเปน็ กลุ่ม สามารุทกงานร่วมกับผู้อน่ื ได้อยา่ งมีความสขุ โดยมงุ่ เนน้ ให้ผ้เู รยี นได้ทางาน อยา่ งมีกระยวนการตามขั้นตอนการทางาน และฝึกหลกั การทางานกล่มุ โดยรู้จักบทบาท หนา้ ท่ีภายในกล่มุ มที กั ษะในการฟงั พูด มีคณุ ธรรมในการทางานรว่ มกัน สรุปผลและนาเสนอรายงาน ทักษะการแสวงหาความรู้ วธิ กี ารและภารกิจท่มี ุ่งเนน้ ให้ผ้เู รียนได้แสวงหาข้อมูลความร้ตู ่าง ๆ เกี่ยวกบั เร่ืองหรอื เนื้อหา นน้ั ๆ ได้แก่ การศึกษาคน้ ควา้ การรวบรวม การสังเกต การสารวจ แลละการบันทึก สาระท่ี 2 การอาชีพ การจาลองอาชีพ เป็นการจดั กิจกรรมเพอื่ การเรียนร้เู กีย่ วกับอาชีพทส่ี ถานศกึ ษาจดั ทาให้เสมือนจรงิ เพ่อื ให้ผ้เู รยี น มี ทักษะการทางานอาชีพ เหน็ คุณคา่ ของงานอาชัพสจุ รติ และเหน็ แนวทางในการประกอบอาชพี เช่น การจัด นทิ รรศการ บทบาทสมมุติ ฯลฯ

๑๑๙ การประเมินทางเลือกอาชีพ เปน็ การร้จู กั ตนเองด้านความรู้ ความสามารถ ทัศนคติ ศักยภาพ วิสยั ทัศน์ แนวโนม้ ดา้ นอาชพี ท่ี ตอ้ งการของตลาดแรงงาน ทเ่ี หมาะสมกบั ความสนใจ ความถนดั และทักษะทางด้านอาชพี การอาชพี เป็นสาระท่เี กี่ยวขอ้ งกับทักษะทีจ่ าเป็นทจ่ี าเปน็ ต่ออาชีพ เห็นความสาคัญของคณุ ธรรม จริยธรรม และเจตคติที่ดตี ่ออาชีพ ใช้เทคโนโลยีไดเ้ หมาะสม เหน็ คณุ ค่าของอาชีพสุจรติ และเหน็ แนวทางในการ ประกอบอาชีพ ทักษะท่จี าเป็นตอ่ อาชพี ประกอบดว้ ย ทักษะกระบวนการทางาน ทักษะการจัดการ ทกั ษะกระบวนการแกป้ ัญหา ทักษาการ ทางานร่วมกัน และทักษาการแสวงหาความรู้

๑๒๐ ภำคผนวก ข คำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมกำรดำเนนิ งำนพัฒนำหลักสูตรสถำนศึกษำ

๑๒๑

๑๒๒

๑๒๓


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook