โจ๊กกลอน มผด. ๕/๑ อวัยวะที่ใช้ดมกลิน่ …….. ชาวไทยกินเปน็ อาหารมอื้ หลัก …….. คาทใี่ ชไ้ ว้เรียกสุดที่รกั …….. รูปร้จู ักลักษณะคล้ายวงกลม ........
คำเฉลย โจก๊ กลอน มผด. ๕/๑ จมูกขำ้ วสำลี เฉลย โจก๊ กลอน มผด. ๕/๑ จมกู อวัยวะท่ใี ชด้ มกลน่ิ ขา้ ว ชาวไทยกินเป็นอาหารมื้อหลกั สามี = สา คาทใี่ ช้ไว้เรียกสุดท่รี กั วงรี = ลี รูปรู้จักลกั ษณะคล้ายวงกลม คำอธิบำย จมูกขา้ วสาลี คอื สว่ นท่ีอยู่ตรงปลายเมลด็ ข้าว เปน็ แหล่งของสารอาหารสาคัญ อดุ มไปด้วยกรดอะมิโนจาเป็น ท่ีร่างกายไม่สามารถสร้างข้ึนเองได้ อีกทั้งยังมีโฟเลตและวิตามินสูง ซ่ึงเป็นแหล่งอาหารที่สาคัญของคุณแม่เพราะ สามารถป้องกันโรคโลหิตจางในแม่และความพิการทางระบบประสาทของลูกในท้อง โดยพบว่าจมูกข้าวสาลี 28 กรัม จะให้ปริมาณโฟเลตสงู ถงึ 78.7 ไมโครกรัม ซึง่ เท่ากับ 20% ของความตอ้ งการโฟเลตต่อวนั กรดโฟลิคหรือโฟเลต (folic acid or folate) จะช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็ก สร้าง DNA และ RNA ช่วยป้องกัน ความผิดปกติของ neural tube defects ในทารก ถ้าสตรีตั้งครรภ์ขาดโฟเลตอาจทาให้เกิดภาวะโลหิตจางชนิด megaloblastic anemia รกลอกตัวก่อนกาหนด และทารกพิการได้โฟเลตมีปริมาณน้อยในอาหารและถูกทาลายได้ งา่ ยด้วยความร้อน สตรีควรได้รบั folic acid 0.4 มิลลิกรัมตอ่ วันในชว่ ง 4-6 สัปดาห์กอ่ นตงั้ ครรภ์และไดร้ ับตอ่ เนอ่ื งจน อายุครรภ์ได้ 12 สัปดาห์หรือตลอดการตั้งครรภ์และในช่วงให้นมบุตร จะช่วยลดอุบัติการณ์การเกิด neural tube defects ในทารกไดอ้ าหารทมี่ โี ฟเลตมาก ไดแ้ ก่ เคร่ืองในสตั ว์ ผักใบเขียว ถว่ั ตา่ ง ๆ ส้ม องุ่น และนม และนอกจากนี้สตรีตัง้ ครรภค์ วรไดร้ ับสารอาหารให้ครบ 5 หมู่ รวมทัง้ วิตามินและแรธ่ าตุ ดงั น้ี 1) โปรตีน ในระยะตั้งครรภ์ร่างกายต้องการโปรตีนเพิ่มข้ึนประมาณ 1.5 กรัมต่อน้าหนัก 1 กิโลกรัมต่อวัน หรือเฉลี่ยเพ่ิมขึ้น 7 กรัมต่อวัน เพื่อเพ่ิมกรดอะมิโนซ่ึงจาเป็นต่อการสร้างเซลล์และการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ และในระยะ 3-4 เดือนก่อนคลอดร่างกายต้องการโปรตีนสูงสุด ถ้าได้รับไม่เพียงพออาจส่งผลให้ทารกมีเซลล์สมอง น้อย สมองเล็ก สติปัญญาต่า อาหารโปรตีนท่ีควรรับประทาน ได้แก่ เน้ือสัตว์ นม ถั่วเมล็ดแห้งและผลิตภัณฑ์ เช่น เต้าหู้ เป็นต้น สตรีตั้งครรภ์ควรบริโภคปลาเพราะเป็นโปรตีนท่ีย่อยง่าย มีไขมันต่าและมีกรดไขมันท่ีจาเป็นช่วยในการ สร้างระบบประสาทและสมองของทารก และบริโภคไข่เพราะมีวิตามินเอ วิตามินบีและเลซิตินช่วยสร้างสารส่ือ ประสาทของระบบประสาท 2) คำร์โบไฮเดรต สตรีตั้งครรภ์ควรได้รับเท่ากับก่อนต้ังครรภ์ แต่ควรลดอาหารประเภทแป้งและน้าตาล เนื่องจากระบบย่อยอาหารทางานได้น้อยลง และไม่ควรเพิ่มคาร์โบไฮเดรตมากในไตรมาสท่ี 3 เพราะการทางานของ insulin ลดลง อาจทาให้เกิดภาวะน้าตาลในเลือดสูงได้ง่าย อาหารประเภทแป้ง เช่น ข้าว ก๋วยเต๋ียว ขนมจีน ขนมปัง เผอื ก เปน็ ตน้
3) ไขมัน สตรีตั้งครรภ์ควรบริโภคอาหารที่มีไขมันลดลงเพราะย่อยยาก อาจทาให้ท้องอืด แน่นอึดอัดท้องได้ ง่าย อาหารไขมันที่ควรรับประทาน ได้แก่ นม เนย เพราะมีวิตามินเอ วิตามินดี แคลเซียมและอาหารท่ีมีกรดไขมันท่ี จาเป็น คือ DHA (Docosahexaenoic acid) หรือ Omega-3 fatty acid ซ่ึงเป็นหน่วยที่เล็กท่ีสุดของไขมันที่ร่างกาย ไม่สามารถสร้างเองได้ตอ้ งได้รบั จากอาหาร สาร DHA น้มี ีความสาคญั ในกาสร้างและพัฒนาสมอง ระบบประสาท และ จอประสาทตาของทารกในครรภ์ รวมทงั้ ยงั ช่วยลดความเส่ยี งของการคลอดก่อนกาหนดดว้ ย สตรตี ั้งครรภ์จงึ ควรได้รับ DHA ในปริมาณที่เพียงพอ (300 มิลลิกรมั ต่อวนั ) (Moore, 2016) ถา้ สตรีตั้งครรภ์รับประทานอาหารครบตามสัดส่วน จะได้รับสาร DHA อย่างเพียงพอ ไม่จาเป็นต้องซ้ืออาหารเสริมมารับประทานเพิ่ม อาหารท่ีมี DHA สูง เช่น ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดนี ปลาทูน่า ไขแ่ ดง เป็นต้น 4) ผัก ถ่ัว และผลไม้ เป็นอาหารท่ีให้กากใย มีแร่ธาตุและวิตามินที่จาเป็นต่อร่างกายหลายชนิด ช่วยในการ ขับถ่ายอุจจาระ สตรีตั้งครรภ์ควรรับประทานผักและผลไม้เพ่ิมข้ึนและควรล้างให้สะอาดก่อนเพราะอาจมีสารพิษ ตกคา้ ง และควรบรโิ ภคผกั สกุ ควรหลกี เลยี่ งผลไมท้ ี่ให้พลงั งานสงู และมีน้าตาลมาก เชน่ ทเุ รียน ขนุน ลาไย เป็นตน้ 5) วิตำมินและแร่ธำตุ วิตามินเป็น chemical substances ที่จาเป็นช่วยให้ร่างกายทางาน และมีการเผา ผลาญพลังงานได้ตามปกติ ส่วนแร่ธาตุต่าง ๆ ช่วยในการสร้างเม็ดเลือด กระดูกและเน้ือเย่ือ ร่างกายต้องการวิตามิน และธาตุต่าง ๆ เพ่ิมข้ึนในระหว่างการตั้งครรภ์ เพื่อให้สตรีตั้งครรภ์ มีสุขภาพดีและช่วยให้ทารกในครรภ์มีการ เจรญิ เติบโตเปน็ ปกติ วติ ามนิ มี 2 ชนิด คือ วิตามนิ ที่ละลายในไขมนั และวิตามินที่ละลายในนา้ 5.1) วิตำมินท่ีละลำยในไขมัน ถ้าได้รับมากเกินไปจะสะสมในร่างกาย มีผลเสียต่อสุขภาพของสตรีตั้งครรภ์ และทารกในครรภไ์ ด้ วิตามินที่ละลายในไขมนั ได้แก่ 1. วิตำมินเอ ช่วยในการสร้างเซลล์และเนื้อเย่ือบุผิว (epithelial tissue) การเจริญเติบโต และ ระบบภูมิคุ้มกันของทารกในครรภ์ ถ้าขาดวิตามินเออาจเกิดโรคตาฟางกลางคืน (night blind- ness) ภูมิต้านทานโรคต่าทาให้ติดเช้ือได้ง่าย ถ้าได้รับมากเกินไป (มากกว่า 700 ไมโครกรัมต่อ วนั ) อาจทาใหแ้ ทง้ บุตรและทารกพิการได้ จงึ ไม่แนะนาให้สตรใี ชว้ ิตามินเอเสริมในระยะต้ังครรภ์ อาหารท่ีมีวิตามินเอมาก คือ ผักสีเขียว สีเหลืองท่ีมีแคโรทีน (carotene) เป็นส่วนประกอบ ไดแ้ ก่ ข้าวโพด มันฝรัง่ ฟกั ทอง ขนนุ กล้วยหอม ผักบุ้ง และผักคะน้า 2. วิตำมินดี ช่วยในการดูดซึมแคลเชียมและฟอสฟอรัส ช่วยสร้างกระดูกและฟันในคนไทย ไม่พบ การขาดวิตามินดเี พราะแสงแดดชว่ ยในการสังเคราะห์วติ ามินดีได้ อาหารที่มีวติ ามนิ ดีมาก ได้แก่ นา้ มนั ตบั ปลา นม ไข่แดง ตับ ปลา และเนย 3. วิตำมินอี ช่วยในการเจริญของเนื้อเยื่อ ทาให้ผนังเซลล์และเม็ดเลือดแดงแข็งแรง อาหารที่มี วิตามินอีมาก ได้แก่ น้ามันถั่วเหลือง น้ามันดอกคาฝอย ไข่แดง ปลา เน้ือ ข้าวกล้อง ผักใบเขียว และธญั ญพชื 4. วิตำมินเค ช่วยในการแข็งตัวของเลือดและควบคุมการผลิต prothrombin ถ้าขาดทาให้เลือด ไหลไม่หยุด ถ้ามีมากเกินไปอาจเป็นโรคโลหิตจางได้ อาหารที่มีวิตามินเคมาก ได้แก่ ผักใบเขียว ถ่ัวเหลืองและมะเขือเทศ
5.2) วิตำมินทลี่ ะลำยในนำ จะไม่สะสมในร่างกาย ควรไดร้ ับทุกวนั วิตามินกลุ่มนี้มปี ระโยชน์ต่อสตรีตง้ั ครรภ์ และทารกในครรภ์ วติ ามนิ ทล่ี ะลายในน้าไดแ้ ก่ 1. วิตำมินซี ช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อของร่างกายและการดูดซึมธาตุเหล็ก หากขาดอาจเกิดโรค ลักกะปิดลักกะเปิด อาหารท่ีมีวิตามินซีมาก ได้แก่ ผลไม้รสเปร้ียว ฝร่ัง แตงโม มะเขือเทศ และ ผักใบเขยี ว 2. วิตำมินบี 1 (thiamin) ช่วยในการเผาผลาญพลังงาน ถ้าขาดจะเกิดโรคเหน็บชา อาหารที่มี วติ ามนิ บี 1 มากได้แก่ เนอ้ื สตั ว์ ตับ ถ่วั นม และธัญญพืช 3. วิตำมินบี 2 (riboflavin) ช่วยในการเผาผลาญกรดอมิโน อาหารที่มีวิตามินบี 2 มากได้แก่ เนือ้ สัตวต์ ่าง ๆ ถ่ัว เนย ไข่ ผักใบเขยี ว เมล็ดธญั พชื และข้าวซ้อมมือ 4. วิตำมินบี 6 (pyridoxine) ช่วยในการเผาผลาญกรดอะมิโน สตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะทุพ โภชนาการควรไดร้ ับ 2 มลิ ลกิ รมั ต่อวนั อาหารทมี่ ีวิตามนิ บี 6 มาก ได้แก่ เนอื้ น้านมถ่วั เหลอื ง ไข่ และขา้ วซอ้ มมอื 5. วิตำมินบี 12 (cobalamin) ช่วยสร้างกรดนิวคลิอิค (nucleic acid) และสร้างโปรตีนที่ช่วย สร้างเม็ดเลือดแดง วิตามินบี 12 และโฟเลตทาหน้าที่สังเคราะห์ DNA รวมท้ังป้องกันการเกิด ภาวะโลหิตจางชนิด megaloblastic อาหารท่ีมีวิตามินบี 12 มากได้แก่ นม เน้ือ ปลา ตับ และ เนยแข็ง 6) แคลเซียมและฟอสฟอรัส จาเป็นในการสรา้ งกระดูกและฟนั ของทารก และช่วยรกั ษาสมดลุ ของแคลเซียม ในร่างกายสตรีตั้งครรภ์ ถ้าได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอ อาจเกิดอาการตะคริวได้ง่าย ถ้าขาดร่วมกับการขาดวิตามินเอ และดอี าจเกดิ ภาวะโรคกระดูกอ่อนในทารก จากหลักฐานเชงิ ประจักษ์พบว่าการได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอในระยะ ต้ังครรภ์ช่วยป้องกันการเกิดภาวะความดันโลหิตสูงร่วมกับการตั้งครรภ์ได้ ร่างกายจะดูดซึมแคลเซียมได้ดียิ่งขึ้นถ้า ได้รับพร้อมอาหารท่ีมีโปรตีน วิตามินซี และวิตามินดีร่วมด้วย สตรีตั้งครรภ์ควรได้รับแคลเซียม 800-1,000 มิลลิกรัม ต่อวัน ซ่ึงอาจได้รับแคลเซียมเสริมในรูปของยา เช่น calcium carbonate, calcium citrate เป็นต้น อาหารที่มี แคลเซียมและฟอสฟอรัสมากได้แก่ นม เนย งาดา ปลาไส้ตนั ปลาทะเล กงุ้ แห้ง กะปิ และผกั ใบเขยี ว 7) ธำตเุ หลก็ ชว่ ยในการสรา้ งเม็ดเลือดของสตรีตั้งครรภ์และเก็บสารองไวใ้ นตับของทารกในครรภ์ในไตรมาส ที่ 3 ของการต้ังครรภ์ ก่อนการต้งั ครรภส์ ตรวี ยั เจรญิ พนั ธทุ์ ไ่ี มเ่ ป็นโรคธาลสั ซีเมยี ควรไดร้ ับการเสรมิ ธาตเุ หล็กอย่างน้อย 60 มิลลิกรัมต่อสัปดาห์ ถ้าสตรีตั้งครรภ์ได้รับธาตุเหล็กไม่เพียงพออาจเกิดภาวะโลหิตจาง เสี่ยงต่อการคลอดก่อน กาหนด ทารกมีภาวะโลหิตจาง มีน้าหนักตัวน้อยกว่าเกณฑ์ และทารกตายปริกาเนิด (perinatal death) ได้ (Abu- Ouf, & Mohammed, 2015) ในระหว่างตั้งครรภ์การดูดซึมธาตุเหล็กเข้าสู่ร่างกายอาจไม่เพียงพอ สตรีตั้งครรภ์จึง ควรได้รับยาเสริมธาตุเหล็กในรูปของ elemental iron เพื่อป้องกันและรักษาการขาดธาตุเหล็ก ดังนั้นสตรีต้ังครรภ์ ปกตคิ วรได้รับธาตุเหล็ก 60 มิลลิกรมั ตอ่ วนั ตั้งแต่ไตรมาสท่ี 2 หรอื ไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ถา้ ไมม่ ีอาการแพ้ท้อง แล้ว สตรีท่ีต้ังครรภ์แฝดควรได้รับธาตุเหล็ก 120 มิลลิกรัมต่อวัน สตรีที่มีภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กควรได้ 200 มิลลิกรัมต่อวันและสตรีท่ีรับประทานมังสวิรัติควรเพิ่มไข่ นมและถั่ว แต่สตรีตั้งครรภ์ท่ีมีโรคธาลัสซีเมียชนิด รนุ แรงไม่ควรไ
ด้รับยาเสริมธาตุเหล็กเพราะจะทาให้ร่างกายมีธาตุเหล็กมากเกิน ควรให้กรดโฟลิคแทนเพื่อช่วยในการสร้างเม็ดเลือด แดง ยาเสริมธาตุเหล็กท่ีมีจาหน่ายในท้องตลาดจะต้องมี elemental iron 60 มิลลิกรัม แต่จะมีส่วนประกอบอ่ืน แตกต่างกนั 8) ไอโอดีน สตรีต้ังครรภ์ต้องการไอโอดีนเพิ่มขึ้นจาก 150 ไมโครกรัมต่อวันในสตรีวัยเจริญพันธุ์ทั่วไป เป็น 250 ไมโครกรัมต่อวัน ไอโอดีนช่วยในกรเพิ่มอัตราการเผาผลาญอาหาร ควบคุมการเจริญเติบโตและพัฒนาการทาง สมองและประสาทของตัวอ่อนตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงอายุ 2 ปี ในไตรมาสแรกของการต้ังครรภ์ ทารกในครรภ์ต้องการ ไอโอดีนเพื่อช่วยในการเสริมสร้างสมองและอวัยวะ ซึ่งทารกจะได้รับไอโอดีนผ่านทางรกเท่าน้ัน ถ้าสตรีตั้งครรภ์ขาด ไอโอดีนเพียงเล็กน้อยจะส่งผลต่อพัฒนาการทางสมองของทารกในครรภ์ได้ ถ้าขาดระดับปานกลางทาให้ทารกมี สติปัญญาด้อย การเรียนรู้ไม่เต็มศักยภาพ ระดับไอคิวของทารกลดลง 10-15 จุด (Delange, 2001) และถ้าขาดอย่าง รุนแรงอาจมีผลให้ทารกตายในครรภ์ แท้ง คลอดก่อนกาหนดหรือพิการ แคระแกรน (cretinism) ปัญญาอ่อนและหู หนวก แต่ถ้าทารกในครรภ์ได้รับไอโอดีนมากเกินไปอาจเกิดภาวะ congenital goiter ได้นอกจากนั้นถ้าสตรีมีภาวะ ขาดไอโอดีนนาน ๆ อาจทาให้มีบุตรยาก และเกิดโรคคอพอก (goiter,hypothyroidism) (Zimmermann, 2009) ดังนั้นสตรีจึงควรได้รับไอโอดีนอย่างเพียงพอตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ความเส่ียงต่อการเกิดมดลูกหดรัดตัวและการคลอด กอ่ นกาหนดได้ 9) นำ จาเป็นในกระบวนการแลกเปลี่ยนสารอาหาร ขจัดของเสียและควบคุมอุณหภมู ิของรา่ งกาย การได้รับ น้าเพียงพอจะช่วยให้ระบบขับถ่ายทาหน้าที่ได้ดี สตรีตั้งครรภ์ควรได้รับน้าอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว หรือประมาณ 1,500-2,000 มิลลิลิตร ถา้ มีภาวะขาดน้าอาจทาใหเ้ พม่ิ ความเสี่ยงต่อการเกิดมดลูกหดรัดตวั และการคลอดก่อนกาหนด ได้
อ้ำงอิง จันทรรตั น์ เจรญิ สนั ต.ิ (2561). การพยาบาลและการผดุงครรภ:์ สตรใี นระยะตั้งครรภ์. เชยี งใหม:่ สยามพมิ พ์นานา. Amarin Baby & Kids. (2561). 15 อาหารม่ีมีโฟเลตสูง ที่แม่ท้องและลูกในท้องควรทาน. สบื ค้น 24 กรกฎาคม 2565, จาก https://www.amarinbabyandkids.com/pregnancy/high-folate-food.
Search
Read the Text Version
- 1 - 6
Pages: