Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ธรรมธารา วารสารวิชาการทางพระพุทธศาสนา ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 (ฉบับรวมที่ 11) ปีที่ 2563

ธรรมธารา วารสารวิชาการทางพระพุทธศาสนา ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 (ฉบับรวมที่ 11) ปีที่ 2563

Description: เรื่อง พระพุทธศาสนามหายาน: เหตุใดคำสอนของพระพุทธเจ้าจึงมีความหลากหลาย (2)
โดย ซาซากิ ชิซุกะ, พระมหาพงศ์ศักดิ์ ฐานิโย(แปล)

Keywords: พระพุทธศานา

Search

Read the Text Version

พระพุทธศาสนามหายาน: เหตุใดค�ำสอนของพระพทุ ธเจ้าจึงมีความหลากหลาย (2) 175 Mahāyāna Buddhism: Reasons for Diversity in the Buddha’s Teachings (2) พระพทุ ธศาสนามหายาน: เหตใุ ดค�ำสอนของพระพทุ ธเจา้ จึงมคี วามหลากหลาย (2) Mahāyāna Buddhism: Reasons for Diversity in the Buddha’s Teachings (2) ซาซากิ ชิซกุ ะ Sasaki Shizuka มหาวิทยาลยั ฮานาโซะโนะ (花園大学) เกยี วโต ประเทศญ่ปี นุ่ Hanazono University, Kyoto, Japan ตอบรับบทความ (Received) : 16 ม.ิ ย. 2563 เร่ิมแก้ไขบทความ (Revised) : 30 มิ.ย. 2563 รบั บทความตพี ิมพ์ (Accepted) : 5 ก.ค. 2563 เผยแพรอ่ อนไลน์ (Available Online) : 14 ก.ค. 2563

176 ธรรมธารา วารสารวชิ าการทางพระพทุ ธศาสนา ปที ่ี 6 ฉบบั ที่ 2 (ฉบับรวมท่ี 11) ปี 2563 พระพุทธศาสนามหายาน: เหตใุ ดคำ� สอนของพระพทุ ธเจา้ จงึ มีความหลากหลาย (2)* ซาซากิ ชซิ ุกะ พระมหาพงศ์ศักดิ์ ฐานโิ ย (แปล) บทคัดยอ่ แม้จะมีพระพุทธศาสนานิกายต่างๆ เกิดข้ึนในยุคพระเจ้าอโศก แต่นิกายท้ังหลายเหล่าน้ันยังสามารถด�ำรงอยู่ร่วมกันภายใต้ชื่อ “พระพุทธศาสนา” เหมือนๆ กัน ทั้งนี้เป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยน นิยามความหมายของ “สังฆเภท” และผลจากการปรับเปล่ยี นนี้ ท�ำให้ พระพุทธศาสนายอมรับแนวคิดท่ีมีความหลากหลาย ตราบเท่าท่ีหมู่ สงฆ์ยงั คงทำ� สงั ฆกรรมร่วมกนั เมื่อโลกของพระพุทธศาสนาในยุคน้ันเริ่มมีแนวความคิดใน การยอมรับแนวคิดท่ีแตกต่าง รวมถึงการตีความค�ำสอนในรูปแบบท่ี แตกตา่ งออกไปเชน่ น้ี ยอ่ มสามารถอธบิ ายไดถ้ งึ ปรากฏการณก์ ารกำ� เนดิ ขนึ้ ของพระพุทธศาสนามหายาน พระพุทธศาสนามหายานมีแนวคิดเก่ียวกับการบรรลุความเป็น พระพทุ ธเจา้ โดยไม่จ�ำกัดว่าเปน็ บรรพชติ หรือคฤหัสถ์ แนวคิดน้ีอยบู่ น พน้ื ฐานการศกึ ษาเรอื่ งราวในอดีตของพระศากยมนุ พี ทุ ธเจ้า เมอื่ ครง้ั ท่ี

พระพุทธศาสนามหายาน: เหตใุ ดค�ำสอนของพระพทุ ธเจ้าจงึ มคี วามหลากหลาย (2) 177 Mahāyāna Buddhism: Reasons for Diversity in the Buddha’s Teachings (2) พระองค์เสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ ซ่ึงท�ำให้พบว่า การท่ีพระ- โพธสิ ตั วจ์ ะบรรลธุ รรมเปน็ พระพทุ ธเจา้ ไดน้ นั้ พระโพธสิ ตั วจ์ ะตอ้ งพบกบั พระพุทธเจ้าในอดีต ดังน้ัน พระพุทธศาสนามหายานในยุคต้นจึงได้ อธิบายถึงวิธีการต่างๆ ที่จะท�ำให้สามารถพบกับพระพุทธเจ้าได้ ดังที่ ปรากฏอย่ใู นพระสตู รมหายานต่างๆ คำ� สำ� คัญ : พระพทุ ธศาสนา มหายาน พระพทุ ธเจา้ พระโพธิสตั ว์ ความหลากหลาย * แปลจาก Shizuka Sasaki (佐々木閑), Bessatsu NHK hyappun de meicho shūchū kōgi Daijō Bukkyō kōshite Budda no oshie wa 100henyō shita 別冊 NHK 分 de 名著 集中講義 大乗仏教 こうしてブッダ の教えは変容した (วรรณกรรมช่ือดงั ใน 100 นาทีของ NHK พระพทุ ธศาสนา มหายาน: เหตใุ ดคำ� สอนของพระพทุ ธเจา้ จงึ มีความหลากหลาย) (Tokyo: NHK Publishing, 2017)

178 ธรรมธารา วารสารวชิ าการทางพระพุทธศาสนา ปที ่ี 6 ฉบับที่ 2 (ฉบับรวมที่ 11) ปี 2563 Mahāyāna Buddhism: Reasons for Diversity in the Buddha’s Teachings (2) Sasaki Shizuka Abstract Despite the existence of various Buddhist schools during King Aśoka’s period, those schools were able to coexist under the same umbrella term “Buddhism.” This was the consequence of changing the definition of “saṅghabheda.” As a result of this change, Buddhism accepted the diversity of any doctrines as long as monastic orders participated in the same group rituals. Once the world of Buddhism as a whole came to recognize and accept the diverse and innovative doctrines, it became possible to satisfactorily explain the phenomenon of the emergence of Mahāyāna Buddhism. Mahāyāna Buddhism expounded that Buddhahood could be attained by anyone, regardless of whether they were monks or laypeople. This idea was based on studying the previous

พระพทุ ธศาสนามหายาน: เหตใุ ดค�ำสอนของพระพุทธเจ้าจึงมคี วามหลากหลาย (2) 179 Mahāyāna Buddhism: Reasons for Diversity in the Buddha’s Teachings (2) births of Śākyamuni Buddha when he was a bodhisattva. It was found that bodhisattvas can become Buddhas after encountering previous Buddhas. Consequently, Early Mahāyāna Buddhism explained different concepts of how to meet Buddhas which could be found in many Mahāyāna Sūtras. Keywords : Buddhism, Mahāyāna, Buddha, bodhisattva, diversity

180 ธรรมธารา วารสารวชิ าการทางพระพทุ ธศาสนา ปที ี่ 6 ฉบบั ท่ี 2 (ฉบับรวมท่ี 11) ปี 2563 บทท่ี 1 จาก “พระพุทธศาสนาของพระศากยมนุ ”ี สู่ “พระพุทธศาสนามหายาน” (ตอนจบ) “พระพุทธศาสนายคุ แบ่งนกิ าย” ให้ก�ำเนดิ ความหลากหลายในพระพุทธศาสนา1 อาจารย์ : “พระพุทธศาสนายุคแบ่งนิกาย”2 ในที่น้ี หมายเอา พระพุทธศาสนาที่แบ่งออกเป็นกลุ่มต่างๆ ถึง 20 กลุ่ม (นิกาย) แต่อย่างไรก็ตาม ใช่ว่ากลุ่มต่างๆ เหล่านี้จะแบ่งแยกขาดออกจากกัน โดยสิ้นเชิง เพราะต่างยอมรับการมีอยู่ซ่ึงกันและกัน และต่างใช้ค�ำว่า “นกิ าย OO” “นกิ าย XX” ตง้ั แตใ่ นสมยั ของพระเจา้ อโศกนนั่ เอง ประเดน็ ที่ส�ำคัญ คือ นิกายแต่ละนิกายต่างยืนยันว่า นิกายของตนสืบสายมา แตด่ ง้ั เดมิ 3 แตใ่ นขณะเดยี วกนั กย็ อมรบั การมอี ยขู่ องนกิ ายอนื่ ๆ ทไี่ มใ่ ช่ นกิ ายตนเชน่ กนั ถา้ จะยกตวั อยา่ งในปจั จบุ นั ทพี่ อจะเขา้ ใจไดง้ า่ ยๆ กค็ ง เหมอื นกบั การทพี่ รรคการเมอื งใหญพ่ รรคหนงึ่ ประกอบดว้ ยกลมุ่ ยอ่ ยๆ มารวมกันเปน็ พรรคใหญ่พรรคเดยี วน่ันเอง บางท่านอาจจะมีค�ำถามว่า ท�ำไมพระพุทธศาสนาที่แต่เดิมมี เพียงค�ำสอนของพระศากยมุนีเพียงหน่ึงเดียว ถึงแบ่งแยกออกเป็น นิกายต่างๆ ได้ ในประเด็นค�ำถามน้ี อาจกล่าวได้ว่า เป็นเร่ืองธรรมดา 1 หัวขอ้ นเี้ ริ่มจากหน้า 22 เป็นตน้ ไป 2 ผแู้ ปล : ภาษาญปี่ นุ่ ใชค้ ำ� วา่ 部派仏教 (buha bukkyō) หมายถงึ พระพทุ ธ- ศาสนาในยคุ ทไี่ ดแ้ บง่ แยกออกเปน็ นกิ ายตา่ งๆ ประมาณ 18-20 นกิ าย บางแหง่ ไดใ้ ช้ค�ำว่า 小乗仏教 (shōjō bukkyō) หรอื “พระพุทธศาสนาหนิ ยาน” ซงึ่ เป็นค�ำ ทเี่ กดิ ขน้ึ ภายหลงั จาก “พระพทุ ธศาสนามหายาน” ไดถ้ อื กำ� เนดิ ขนึ้ แลว้ โดยคำ� วา่ 小乗 (shōjō) หมายถึง ยานล�ำเล็ก 3 ผแู้ ปล : ภาษาญีป่ ุน่ ใช้ค�ำว่า 正統 (seitō)

พระพุทธศาสนามหายาน: เหตใุ ดค�ำสอนของพระพทุ ธเจา้ จงึ มคี วามหลากหลาย (2) 181 Mahāyāna Buddhism: Reasons for Diversity in the Buddha’s Teachings (2) ท่ีหลังจากอาจารย์ได้ละโลกไปแล้วกว่าร้อยปี ศิษยานุศิษย์ย่อมเกิด แนวความคิดและอรรถาธิบายในหลักค�ำสอนที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้น จึงเป็นเร่ืองธรรมดาที่อาจเกิดขึ้นได้ และมีความเป็นไปได้ว่า การแบง่ แยกนกิ ายอาจเกดิ ขนึ้ กอ่ นหน้าน้นั แต่มาเด่นชัดจรงิ ๆ ในสมยั ของพระเจา้ อโศกน่ันเอง4 นักศึกษา : ถ้าเกิดอรรถาธิบายในหลักค�ำสอนท่ีแตกต่างกัน ออกไปจริงๆ น่าจะต้องเกิดวิวาทะซึ่งกันและกัน จนท�ำให้แบ่งแยก แตกนิกายกันออกไปมากกว่า แต่ท�ำไมจึงไม่เป็นเช่นนั้น อีกท้ังยังเกิด เป็นรูปแบบของการยอมรับซ่ึงกันและกัน และสามารถด�ำรงอยู่ร่วมกัน ไดอ้ กี ครับ ? อาจารย์ : เป็นปรากฏการณ์ท่ีแปลกใช่ไหมครับ ถ้าต่างฝ่ายต่าง เริม่ ตน้ กนั ด้วยวิวาทะที่ยนื ยนั วา่ “อรรถาธิบายของเราถูกต้อง สว่ นของ ท่านนั้นผิด” โดยทั่วไปแล้ว คงจะต้องเกิดความแตกแยกร้าวฉานกัน แตท่ วา่ กลบั ไมเ่ ปน็ เชน่ นนั้ และยงั สามารถดำ� รงอยรู่ ว่ มกนั ไดอ้ กี หากจะ กล่าวโดยสรุปแล้ว อาจกล่าวได้ว่าปรากฏการณ์นี้มีสาเหตุมาจาก “การปรบั เปล่ยี นนิยามความหมายของสังฆเภท5” สงั ฆเภท หมายถงึ การกระทำ� ทที่ ำ� ใหห้ มสู่ งฆใ์ นพระพทุ ธ-ศาสนา แตกแยกกนั ซงึ่ แตเ่ ดมิ นน้ั เปน็ การกระทำ� ทห่ี มายเอาการยกอรรถาธบิ าย ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อค�ำสอนของพระศากยมุนี และรวบรวมสมัครพรรค 4 ผแู้ ปล : หลงั จากพระศากยมนุ ปี รนิ พิ พานไดร้ าว 100 ปี พระพทุ ธศาสนา ได้แบง่ ออกเปน็ 2 นิกาย คอื เถรวาทและมหาสางฆิกะ และภายหลังจากน้นั ได้ แบ่งแยกออกไปจากท้ัง 2 นิกายดังกล่าวอีก จนมาปรากฏเด่นชัดในสมัยของ พระเจ้าอโศกประมาณ 18-20 นิกาย 5 ผู้แปล : ภาษาญ่ีปนุ่ ใช้ค�ำว่า 破僧 (hasō)

182 ธรรมธารา วารสารวชิ าการทางพระพุทธศาสนา ปีท่ี 6 ฉบบั ท่ี 2 (ฉบบั รวมท่ี 11) ปี 2563 พวกที่เห็นด้วยกับตนเอง แล้วแยกกลุ่มออกไปสร้างหมู่สงฆ์ของ ตนเองข้ึนโดยเอกเทศ ซึ่งในยุคสมัยที่พระศากยมุนียังด�ำรงพระชนม์- ชีพอยู่ ได้มีบทลงโทษหนักส�ำหรับผู้ท่ีวางแผนท�ำสังฆเภท ด้วยการ ถกู จำ� กดั บริเวณ6 นักศึกษา : เท่าที่ฟังมาถึงตอนน้ี แสดงว่าหมู่สงฆ์ใน “พระพุทธ- ศาสนายคุ แบง่ นกิ าย” ตา่ งมคี วามคดิ วา่ นกิ ายของตนเทา่ นน้ั เปน็ นกิ าย ท่ีสืบทอดค�ำสอนมาจากพระศากยมุนี ดังนั้น จึงมองว่านิกายอ่ืนๆ ทีไ่ มใ่ ชน่ กิ ายของตนเป็นผูท้ �ำสังฆเภท ใช่ไหมครับ ? อาจารย์ : หากเปน็ แตเ่ ดมิ คงจะเปน็ เชน่ นนั้ และในความเปน็ จรงิ สภาพเช่นนี้น่าจะเกิดข้ึนกับบางส่วนในพระพุทธศาสนาท่ีต่างฝ่าย ต่างกล่าวหาซ่ึงกันและกันว่า “ส่ิงท่ีท่านท�ำอยู่น้ันเป็นการท�ำสังฆเภท” แต่อย่างไรก็ตาม ก็ไม่มีใครที่สามารถตัดสินลงไปได้อย่างเด็ดขาดว่า เป็นการท�ำสังฆเภทจริงหรือไม่ ดังน้ัน ด้วยสภาพดังกล่าว จึงเป็นเหตุ 6 ผแู้ ปล : การทำ� สงั ฆเภท คอื การทำ� ใหห้ มสู่ งฆแ์ ตกแยก เปน็ การทำ� ลาย ความเปน็ หนง่ึ ของพระพทุ ธศาสนา ซงึ่ ถอื วา่ เปน็ โทษรา้ ยแรงทส่ี ดุ ประการหนง่ึ ใน พระพุทธศาสนา โดยผู้ท่ีวางแผนหรือขวนขวายเพ่ือท�ำสังฆเภทนี้จะต้องอาบัติ สังฆาทเิ สส ซงึ่ เป็นอาบัตหิ นักประเภทหน่ึงทร่ี องลงมาจากอาบัตปิ าราชกิ และที่ กลา่ ววา่ “ผขู้ วนขวายเพอ่ื ทำ� สงั ฆเภท” (สงฆฺ สสฺ เภทาย ปรกกฺ เมยยฺ ) จะตอ้ งอาบตั ิ สังฆาทิเสสน้ัน เป็นเพราะว่าบุคคลดังกล่าวยังถือว่าอยู่ในหมู่สงฆ์ แต่ส�ำหรับ “ผู้ท่ีลงมือท�ำสังฆเภทไปแล้ว” ถือว่าไม่ได้อยู่ในหมู่สงฆ์อีกต่อไป ดังน้ัน จึงไม่มี ความหมายที่จะปรับอาบัติในบุคคลดังกล่าวอีกแต่อย่างใด อนึ่ง เก่ียวกับเร่ือง “สงั ฆเภท” น้ี ยงั ไดป้ รากฏในเรอ่ื ง “อนนั ตรยิ กรรม” (กรรมหนกั ในฝา่ ยอกศุ ล) ไดแ้ ก่ มาตุฆาต (ฆ่ามารดา) ปิตุฆาต (ฆ่าบิดา) อรหันตฆาต (ฆ่าพระอรหันต์) โลหิตุ- ปบาท (ท�ำพระโลหิตพระพุทธเจ้าใหห้ อ้ ขึ้น) และประการสุดท้าย คือ “สังฆเภท”

พระพุทธศาสนามหายาน: เหตใุ ดคำ� สอนของพระพทุ ธเจา้ จึงมคี วามหลากหลาย (2) 183 Mahāyāna Buddhism: Reasons for Diversity in the Buddha’s Teachings (2) ให้ทางศาสนจักรและพระเจ้าอโศก ต้องหาข้อสรุปท่ีท�ำให้หมู่สงฆ์ใน พระพุทธศาสนาสามารถเป็นหน่ึงเดียวกันได้ และข้อสรุปดังกล่าวท่ี อาจท�ำให้บอบช้�ำ7 คือ การปรับเปลี่ยนนิยามความหมายของค�ำว่า “สังฆเภท” นัน่ เอง นักศึกษา : ไม่ทราบว่า การปรับเปลี่ยนนิยามความหมายที่ว่าน้ี มกี ารปรับเปล่ียนอย่างไรที่เปน็ รูปธรรมหรอื ครบั ? อาจารย์ : เก่ียวกับในเร่ืองน้ี ถือว่าเป็นงานวิจัยของผมโดยตรง ทเี ดยี ว ซง่ึ นยิ ามความหมายใหมข่ องคำ� วา่ “สงั ฆเภท” ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในยคุ นน้ั คือ “แม้ต่างจะมีแนวความคิดหรืออรรถาธิบายในค�ำสอนของพระ- ศากยมุนที แี่ ตกต่างกนั ก็ตาม แต่ถา้ อาศยั อยู่รว่ มกันในเขตสมี าเดียวกนั มีการลงอุโบสถ8 หรือท�ำสังฆกรรม9 ร่วมกัน ก็ไม่เรียกว่าเป็นการท�ำ สังฆเภท” การลงอุโบสถ คือ การประชุมกันของหมู่สงฆ์ทุกๆ กึ่งเดือน เพ่ือระลึกนึกถึงศีลของตน ส่วนการท�ำสังฆกรรม คือ การประชุมกัน ของหมู่สงฆ์ เพื่อตัดสินใจในกรณีที่ส�ำคัญต่างๆ สรุปความว่า ขอเพียง 7 ผแู้ ปล : ภาษาญปี่ นุ่ ใชค้ ำ� วา่ 苦肉の策 (kuniku no saku) หมายถงึ วธิ กี าร ท่ีจะเอาชนะคู่ต่อสู้หรือฝ่ายตรงข้าม แม้วิธีการน้ันจะท�ำให้ตนเองต้องบอบช�้ำ หรอื เจ็บปวดก็ตาม ก็จ�ำต้องยอมทำ� 8 ผู้แปล : ภาษาญี่ปุ่นใช้ค�ำว่า 布薩 (husatsu) ซ่ึงเป็นค�ำเลียนเสียง ของค�ำว่า “อุโปสถ” หรือ “โปสถ” ในภาษาบาลี “อุปวสถ” ในภาษาสันสกฤต “อุโปษธ” หรือ “โปษธ” ในภาษาสนั สกฤตผสมในพทุ ธศาสนา (Buddhist Hybrid Sanskrit) 9 ผู้แปล : ภาษาญี่ปุ่นใช้ค�ำว่า 羯磨 (konma หรือ katsuma) ซึ่งเป็นค�ำ เลียนเสียงของคำ� ว่า “กมฺม” ในภาษาบาลีหรอื “กรฺม” ในภาษาสนั สกฤต ซง่ึ ในท่ี นหี้ มายเอาการทำ� สังฆกรรมต่างๆ ในพระพทุ ธศาสนาของหมูส่ งฆ ์

184 ธรรมธารา วารสารวิชาการทางพระพุทธศาสนา ปีท่ี 6 ฉบับท่ี 2 (ฉบบั รวมท่ี 11) ปี 2563 หมู่สงฆ์ได้เข้าร่วมในการประชุมหรือท�ำสังฆกรรมร่วมกัน แม้ว่าต่าง ฝ่ายต่างยืนยันในจุดยืนของตนเองเกี่ยวกับอรรถาธิบายท่ีแตกต่างกัน ก็ตาม กไ็ มถ่ ือวา่ เป็นการท�ำสงั ฆเภทแต่อย่างไร นีค่ อื นิยามความหมาย ท่ีเปลีย่ นแปลงไป นกั ศกึ ษา : เปน็ อยา่ งนนี้ เี่ อง ไมใ่ ชเ่ ปน็ การทำ� ใหแ้ นวความคดิ ทว่ี า่ “สังฆเภทเป็นการกระท�ำท่ีไม่ดี” หมดไป แต่เป็นการปรับเปลี่ยนนิยาม ความหมายท่ีว่า “สังฆเภทคืออะไร” เพื่อเป็นการป้องกันการแตกแยก ไม่ทราบวา่ มเี อกสารหรอื หลักฐานอะไรเก่ียวกบั เรอ่ื งน้ี ที่เกดิ ขน้ึ ในสมยั พระเจา้ อโศกเหลอื อยู่บ้างไหมครบั ? อาจารย์ : ใน “มหาสางฆิกวินัยปิฎก”10 ซ่ึงเป็นคัมภีร์เก่าคัมภีร์ หน่ึงได้กล่าวไว้ว่า “ในหมู่สงฆ์ แม้จะมีผู้ท่ียืนยันการอรรถาธิบายท่ี แตกต่างไปจากพระศากยมุนีเกิดข้ึน ก่อให้เกิดความขัดแย้งก็ตาม แต่ตราบใดที่ยังอาศัยอยู่ร่วมกัน ท�ำสังฆกรรมร่วมกัน ย่อมไม่ถือว่า เป็นการท�ำสังฆเภท แต่ถ้าเมื่อใดแยกกันท�ำสังฆกรรม เม่ือน้ันย่อม เปน็ การทำ� สงั ฆเภท” สำ� หรบั ยคุ สมยั ที่ “มหาสางฆกิ วนิ ยั ปฎิ ก” ถกู รจนาขนึ้ น้ันยังไม่เป็นที่เด่นชัด แต่เน้ือหาที่ปรากฏใน “มหาสางฆิกวินัยปิฎก” มคี วามสอดคลอ้ งกบั “จารกึ พระเจา้ อโศก” ดว้ ยเหตนุ ้ี จงึ อาจกลา่ วไดว้ า่ “มหาสางฆิกวินัยปิฎก” ถูกรจนาขึ้นในสมัยพระเจ้าอโศก ก็คงจะไม่ ผิดอะไร (ส�ำหรับหลักฐานที่ผู้เขียนคิดว่า “มหาสางฆิกวินัยปิฎก” และ “จารึกพระเจ้าอโศก” เกิดขึ้นในยุคสมัยเดียวกันนั้น สามารถศึกษา 10 ( )『摩訶僧祇律』 makasōgiritsu เป็นคัมภีร์พระวินัยปิฎกของนิกาย มหาสางฆิกะ (摩訶僧祇部 makasōgibu หรือ 大衆部 daishubu) ซึง่ เป็นหนึง่ ใน พระพทุ ธศาสนายคุ แบง่ นิกาย

พระพุทธศาสนามหายาน: เหตใุ ดค�ำสอนของพระพุทธเจ้าจึงมคี วามหลากหลาย (2) 185 Mahāyāna Buddhism: Reasons for Diversity in the Buddha’s Teachings (2) เพมิ่ เตมิ ท่ี “Buha Bukkyō kara Daijō Bukkyō e 部派仏教から大乗仏教へ (จากพระพุทธศาสนายุคแบ่งนิกายสู่พระพุทธศาสนามหายาน).” ใน Gōtama wa ikanishite Budda to natta no ka ゴータマは、いかにして ブッダとなったのか (พระสมณโคดมเป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไร ?) โดย NHK Publishing) นอกจากน้ี ยงั มคี มั ภรี ์ “อภธิ รรมโกศ” (Abhidharmakośa)11 แตง่ ขนึ้ หลังจาก “มหาสางฆิกวินัยปิฎก” นานนับหลายศตวรรษ ซ่ึงเป็น คัมภีร์เชิงพุทธปรัชญา ได้กล่าวถึงนิยามของสังฆเภท 2 ประเภทท่ีว่า สังฆเภทมอี ยู่ 2 ประเภท ประเภทท่ี 1 คือ สังฆเภทที่เกดิ ข้นึ จากการยก อรรถาธบิ ายทเี่ ปน็ ปฏปิ กั ษต์ อ่ คำ� สอนของพระศากยมนุ ี เรยี กวา่ จกั รเภท (cakrabheda)12 สว่ นประเภทที่ 2 คอื สงั ฆเภททเ่ี กดิ ขนึ้ จากการไมล่ งทำ� สงั ฆกรรมรว่ มกนั เรียกว่า กรรมเภท (karmabheda)13 นอกจากนี้ยังมีเน้ือหาท่ีอธิบายเพิ่มเติมต่อจากนี้ที่ว่า ในสมัยที่ พระศากยมุนียังมีพระชนม์ชีพอยู่ สังฆเภทประเภทที่เกิดขึ้นจากการ ยกอรรถาธิบายอันเป็นปฏิปักษ์ต่อค�ำสอนของพระศากยมุนี รวบรวม สมัครพรรคพวก และท�ำสงฆ์ให้แตกแยกกันนั้น เป็นสิ่งท่ีมีอยู่ (ผู้แปล : เช่น กรณีเทวทตั ) แต่เมอื่ พระศากยมนุ ีเสด็จดับขนั ธปรนิ พิ พานไป ยอ่ ม คงเหลือแต่เพียงสังฆเภทประเภทที่เกิดขึ้นจากการไม่ลงท�ำสังฆกรรม รว่ มกันเท่านนั้ 11 『倶舎論』(kusharon) มีชื่อเต็มว่า『阿毘達磨倶舎論』(abidatsuma kusharon) เป็นคัมภีร์ที่แต่งขึ้นในคริสต์ศตวรรษท่ี 5 โดยท่านวสุพันธุ (世親 seshin) ถอื เปน็ คมั ภรี อ์ ภธิ รรมคมั ภรี ห์ นง่ึ ในพระพทุ ธศาสนาทอี่ ธบิ ายหลกั คำ� สอน ของ “พระพทุ ธศาสนาของพระศากยมนุ ”ี นบั ตงั้ แตใ่ นอดตี คมั ภรี น์ ถี้ อื เปน็ คมั ภรี ์ ทสี่ ำ� คัญส�ำหรบั ผศู้ ึกษาพระพุทธศาสนา 12 ผแู้ ปล : ภาษาญปี่ นุ่ ใชค้ ำ� วา่ 破法輪 (hahōrin) 13 ผแู้ ปล : ภาษาญีป่ นุ่ ใช้ค�ำวา่ 破羯磨 (hakonma)

186 ธรรมธารา วารสารวชิ าการทางพระพทุ ธศาสนา ปที ่ี 6 ฉบบั ที่ 2 (ฉบบั รวมท่ี 11) ปี 2563 นกั ศกึ ษา : เปน็ ขอ้ ความทเี่ ขา้ ใจยากนะครบั อาจารยช์ ว่ ยอธบิ าย ให้ผมเข้าใจงา่ ยๆ อกี สักหน่อยไดไ้ หมครบั ? อาจารย์ : สรุปความว่า “การยกอรรถาธิบายท่ีเป็นปฏิปักษ์ต่อ ค�ำสอนของพระศากยมุนี และสร้างหมู่สงฆ์ของตนเอง สามารถท�ำได้ เฉพาะในช่วงท่ีพระศากยมุนีทรงมีพระชนม์ชีพอยู่เท่านั้น แต่หลังจาก น้ัน ย่อมไม่สามารถท�ำได้ เพราะพระศากยมุนีเสด็จดับขันธปรินิพพาน ไปเสยี แลว้ ดงั นนั้ ในปจั จบุ นั จงึ สามารถกอ่ สงั ฆเภทไดเ้ พยี งการไมล่ งทำ� สงั ฆกรรมรว่ มกนั เท่านน้ั ” นี่เป็นสิ่งทผี่ มตอ้ งการจะสอ่ื นกั ศกึ ษา : แตแ่ มห้ ลงั จากทพ่ี ระศากยมนุ เี สดจ็ ดบั ขนั ธปรนิ พิ พาน ไปแลว้ กต็ าม กย็ งั สามารถปฏเิ สธคำ� สอนของพระศากยมนุ ไี ด้ หรอื แมแ้ ต่ การยกแนวความคดิ อน่ื ขน้ึ มา กถ็ อื เปน็ ปฏปิ กั ษต์ อ่ พระศากยมนุ ไี ดไ้ มใ่ ช่ หรือครับ ? แล้วตกลงที่ว่า “ไม่สามารถท�ำได้หลังจากท่ีพระศากยมุนี เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว” หมายถึงอะไรกันแน่ครับ เรื่องนี้ผม ไมเ่ ข้าใจจริงๆ อาจารย์ : เปน็ เรอื่ งธรรมดาครบั ทจ่ี ะไมเ่ ขา้ ใจ เพราะจะวา่ ไปแลว้ กเ็ ปน็ เพยี งการกลา่ วเพอ่ื ใหเ้ กดิ ความชอบธรรมในการปรบั เปลยี่ นนยิ าม ความหมายของสังฆเภทเท่านั้นเอง ซ่ึงในอดีต การท�ำสังฆเภทน้ันเป็น สง่ิ ทเ่ี กดิ ขน้ึ จากการตอ่ ตา้ นคำ� สอนของพระศากยมนุ ที เี่ รยี กวา่ “จกั รเภท” แต่มาตอนนี้ เมื่อกล่าวถึงสังฆเภท กลับหลงเหลือเพียง “กรรมเภท” ดังน้ัน การหาข้อกล่าวอ้างเพ่ือสนับสนุนความชอบธรรมดังกล่าว จึง

พระพทุ ธศาสนามหายาน: เหตุใดค�ำสอนของพระพุทธเจ้าจึงมคี วามหลากหลาย (2) 187 Mahāyāna Buddhism: Reasons for Diversity in the Buddha’s Teachings (2) เป็นส่ิงที่ล�ำบากพอสมควร แต่จากสิ่งท่ีปรากฏในข้อความท่ียกมานี้ ท�ำให้เราเห็นถึงความจ�ำเป็นท่ีหลีกเล่ียงไม่ได้ในการปรับเปล่ียนนิยาม ความหมายของสังฆเภทในพระพทุ ธศาสนายคุ นนั้ รู้สึกเร่ืองท่ีกล่าวมาน้ีจะยืดยาวมาพอสมควร ผมขอสรุปใจความ ส�ำคัญอีกครั้งหน่ึงนะครับ แรกเดิมเดิมที ค�ำสอนของพระศากยมุนี มีเพียงหน่ึงเดียว แต่ในยุคของพระเจ้าอโศกได้มีการปรับเปล่ียน นิยามความหมายของสังฆเภท ท�ำให้เกิดสภาพการณ์ท่ีว่า “แม้จะมี อรรถาธิบายต่างๆ นานาในค�ำสอนของพระพุทธศาสนา แต่ก็ไม่ได้ ปฏเิ สธฝา่ ยตรงขา้ มทม่ี แี นวความคดิ ทแ่ี ตกตา่ งไปจากฝา่ ยตนเอง อกี ทง้ั ยังยอมรับซ่ึงกันและกันอีกด้วย” ด้วยเหตุนี้ จึงท�ำให้ “พระพุทธศาสนา ยุคแบง่ นกิ าย” บังเกดิ ขน้ึ มาถึงตรงนี้คงพอจะเขา้ ใจใช่ไหมครับ เมื่อมองเข้ามาจากภายนอก “พระพุทธศาสนายุคแบ่งนิกาย” ดูเหมือนว่าจะมีความเป็นเอกภาพ เนื่องจากใช้ชื่อ “พระพุทธศาสนา” เหมือนกันทุกนิกาย แต่จากแนวคิดท่ีแตกต่างกันในแต่ละนิกาย ท�ำให้ เห็นถึงสภาพการณ์แบ่งแยกท่ีเกิดขึ้นภายใน กล่าวคือ เมื่อมีการ ปรับเปลี่ยนนิยามความหมายของสังฆเภท จึงเป็นการประกาศถึง “การยอมรับอรรถาธบิ ายท่แี ตกตา่ ง” ในเวลานั้น จึงอาจกล่าวได้ว่าเปน็ จดุ เรมิ่ ตน้ ของการปลดลอ็ ก และพระพทุ ธศาสนาไดเ้ รม่ิ กา้ วเขา้ สหู่ นทาง แหง่ “ความหลากหลาย” นน่ั เอง นักศึกษา : ถือได้ว่าเป็นเหตุการณ์ใหญ่ท่ีเกิดข้ึนในยุคพระเจ้า อโศกเลยนะครับ อาจารย์ : แต่เดิมค�ำสอนของพระศากยมุนีที่มีเพียงหน่ึงเดียว

188 ธรรมธารา วารสารวิชาการทางพระพทุ ธศาสนา ปีที่ 6 ฉบบั ที่ 2 (ฉบับรวมที่ 11) ปี 2563 บัดน้ีได้แตกแขนงออกไป อาจจะมีผู้ท่ีรู้สึกว่า “เป็นเร่ืองไม่สู้ดีนัก” แต่ถ้าลองคิดว่า การท่ีพระพุทธศาสนาปรับไปเป็นศาสนาท่ีสมบูรณ์ ไปด้วยทางเลือกที่หลากหลาย จึงท�ำให้พระพุทธศาสนาสามารถ ช่วยเหลือผู้คนได้มากขึ้น เม่ือเป็นเช่นนี้ จึงอาจกล่าวได้ว่าเป็นผลดี มากกว่าผลเสีย ในปจั จบุ นั พระพทุ ธศาสนาถอื เปน็ หนง่ึ ใน 3 ศาสนาใหญท่ เ่ี คยี งคู่ มากับศาสนาคริสต์และอิสลาม ถ้าสมมติว่าไม่มีการปรับเปล่ียนนิยาม ความหมายของสังฆเภทในยุคพระเจ้าอโศกแล้ว คงจะเป็นการยากท่ี พระพทุ ธศาสนาจะสามารถขยายไปทั่วโลกไดเ้ ช่นน้ี ถ้าถูกตอ้ งอย่างมีเหตุมีผล14 นั่นคือค�ำสอนของพระศากยมุนี อาจารย์ : คราวนี้ เรามาเขา้ ประเดน็ ในเรอื่ งทว่ี า่ “เหตใุ ดพระพทุ ธ- ศาสนามหายาน15 จึงก�ำเนิดขึ้น” หลังจากท่ีมีความเคล่ือนไหวของ “พระพทุ ธศาสนายคุ แบง่ นกิ าย” นานนบั หลายศตวรรษ จนมาถงึ ยคุ กอ่ น หลังคริสตกาลเล็กน้อย กล่าวคือ นับย้อนหลังจากนี้ไปราว 2,000 ปี ได้มีการเปล่ียนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นภายใน “พระพุทธศาสนายุคแบ่ง นิกาย” ท่ีแตกแขนงออกไปกว่า 20 นิกาย น่ันคือ การก�ำเนิดขึ้นของ “พระพุทธศาสนามหายาน” มีทฤษฎีท่ีกล่าวถึงเส้นทางการก�ำเนิดของ “พระพุทธศาสนา มหายาน” อยู่หลายทฤษฎี แต่มีทฤษฎีหน่ึงที่มีอิทธิพลอย่างยิ่ง ซึ่งเป็น 14 ผู้แปล : ภาษาญ่ีปุ่นใช้ค�ำว่า 論理 (ronri) แปลว่า มีเหตุมีผล สมเหตุ สมเหตุ เปน็ ตรรกะ 15 ผู้แปล : ภาษาญ่ีปุ่นใช้ค�ำว่า 大乗仏教 (daijō bukkyō) ซ่ึงค�ำว่า 大乗 (daijō) แปลว่า ยานลำ� ใหญ ่

พระพุทธศาสนามหายาน: เหตใุ ดค�ำสอนของพระพุทธเจ้าจงึ มคี วามหลากหลาย (2) 189 Mahāyāna Buddhism: Reasons for Diversity in the Buddha’s Teachings (2) ทฤษฎีท่ีย้อนหลังกลับไปก่อนหน้านี้หลายสิบปี จนมาส้ินสุดเมื่อ 15 ปี ท่ีแล้ว (ผู้แปล : พ.ศ. 2545) ท่ีกล่าวว่า “พระพุทธศาสนามหายาน” กบั “พระพทุ ธศาสนายคุ แบง่ นกิ าย” ไมม่ คี วามเกยี่ วขอ้ งสมั พนั ธก์ นั กลา่ วคอื “พระพทุ ธศาสนามหายาน” ไมไ่ ดเ้ กดิ ขนึ้ จากหมสู่ งฆภ์ ายใน “พระพทุ ธ- ศาสนายคุ แบง่ นกิ าย” หากแต่เกดิ ข้ึนจากคฤหัสถ์ผคู้ รองเรอื นท่วั ไป ท�ำไมจึงเกิดแนวความคิดเช่นนี้ นั่นเป็นเพราะทฤษฎีดังกล่าว ไม่เช่ือว่า ในโลกพระพุทธศาสนาที่เคยมีเพียงแนวค�ำสอนเพียงหน่ึง เดียว จะสามารถให้กำ� เนดิ แนวความคดิ ใน “พระพทุ ธศาสนามหายาน” ท่ีมากมายและหลากหลายได้เพียงน้ี แต่ในช่วงใกล้นี้ (ผู้แปล : ต้ังแต่ พ.ศ. 2545 เป็นต้นมา) ทฤษฎีที่ว่าด้วย “พระพุทธศาสนามหายาน” เกิดขึ้นจากส่วนใดส่วนหนึ่ง “พระพุทธศาสนายุคแบ่งนิกาย” กลับเป็น ทฤษฎีที่ยอมรบั กนั โดยทวั่ ไป นักศึกษา : ไม่ทราบว่า ส�ำหรับตัวอาจารย์เอง มีความคิดว่า “พระพุทธศาสนามหายาน” เกิดจากทใี่ ดหรือครับ ? อาจารย์ : ดงั ทไี่ ดก้ ลา่ วไปแลว้ ในขา้ งตน้ จากผลการวจิ ยั ของผมที่ พบปรากฏการณ์ “การปรบั เปลยี่ นนยิ ามความหมายของสงั ฆเภท” และ หากใช้ผลการวิจัยนี้เป็นฐานต้ังต้น มีความเป็นไปได้สูงว่า “พระพุทธ- ศาสนามหายาน” เกิดข้ึนมาจากภายใน “พระพุทธศาสนายุคแบ่ง นกิ าย” ดงั นนั้ แนน่ อนวา่ สำ� หรบั ตวั ผมเองนน้ั สนบั สนนุ ทฤษฎที ว่ี า่ ดว้ ย “พระพทุ ธศาสนามหายานเกดิ จากภายในพระพทุ ธศาสนายคุ แบง่ นกิ าย” ซึ่งข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับกระบวนการก�ำเนิดของ “พระพุทธศาสนา มหายาน” มีดงั ตอ่ ไปนี้

190 ธรรมธารา วารสารวชิ าการทางพระพุทธศาสนา ปที ่ี 6 ฉบบั ที่ 2 (ฉบับรวมที่ 11) ปี 2563 ในสมัย “พระพุทธศาสนายุคแบ่งนิกาย” ที่ได้มีการปรับเปลี่ยน นิยามความหมายของสงั ฆเภท ภายหลงั จากน้ัน แม้จะมีอรรถาธิบายที่ แตกตา่ งกนั ในคำ� สอนออกมากต็ าม แตก่ ย็ งั ไมถ่ งึ ขนาดทจี่ ะทำ� ใหม้ แี นว ค�ำสอนแปลกใหม่ออกมาเสยี ทีเดียว แต่ทว่า เม่ือล่วงกาลผ่านไป เริ่มมีกลุ่มท่ีมีแนวความคิดว่า “แมจ้ ะไมไ่ ดเ้ ปน็ คำ� สอนทถี่ กู บนั ทกึ ไวใ้ นพระสตู รทสี่ บื ทอดมาตงั้ แตอ่ ดตี แตห่ ากมคี วามสมเหตสุ มผลแลว้ กส็ ามารถคดิ ไดว้ า่ เปน็ คำ� สอนของพระ- ศากยมุนไี มใ่ ช่หรือ” เกิดข้ึน กล่าวคือ “แม้จะสร้างพระสูตรใหม่ที่ไม่ได้มีมาแต่ดั้งเดิม และ เผยแพร่ค�ำสอนเหล่านั้นในฐานะค�ำสอนของพระศากยมุนี ก็ย่อม สามารถท�ำได้” เม่ือแนวความคิดน้ีได้รับการยอมรับแล้ว ก็ยากที่จะ หยดุ กระแสแนวคดิ เหลา่ นไ้ี ด้ และเมอื่ มบี คุ คลทยี่ นื ยนั แนวคำ� สอนใหมท่ ี่ ไม่เคยมีมาก่อนหน้าน้ี ในฐานะของค�ำสอนของพระศากยมุนีมากข้ึน ตามล�ำดับ จนท�ำให้เกิดพระพุทธศาสนาท่ีแตกต่างไปจากเดิม คือ “พระพุทธศาสนามหายาน” นั่นเอง นักศึกษา : แต่การท่ีจะสร้างพระสูตรใหม่ ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนนั้น อยา่ งไรกเ็ ปน็ เรอ่ื งตอ้ งหา้ มไมใ่ ชห่ รอื ครบั และถา้ มปี รากฏการณท์ ไ่ี มส่ ดู้ ี เชน่ นเี้ กดิ ขน้ึ พระพทุ ธศาสนาในยคุ นน้ั กน็ า่ จะมกี ารวพิ ากษว์ จิ ารณห์ รอื มาตรการปอ้ งกนั อะไรบา้ งอยา่ งออกมา ทจี่ ะทำ� ใหส้ ถานการณด์ ขี น้ึ ไมใ่ ช่ หรือครับ ? อาจารย์ : เมื่อนิยามความหมายของสังฆเภทเปลี่ยนไป และ ได้รับการปลดล็อกไปแล้วนั้น เป็นเรื่องท่ีเกิดขึ้นจริง แต่ในช่วงแรกคง

พระพทุ ธศาสนามหายาน: เหตุใดค�ำสอนของพระพุทธเจา้ จงึ มีความหลากหลาย (2) 191 Mahāyāna Buddhism: Reasons for Diversity in the Buddha’s Teachings (2) ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรที่สูงมากนัก เพราะผู้ที่มีแนวความคิด ท่วี ่า “อรรถาธบิ ายทแ่ี ตกตา่ งกันไปบ้างเปน็ เร่อื งท่ีรบั ได้ แต่ถงึ ขนาดท่ีมี การเปลี่ยนแปลงค�ำสอนดั้งเดิมน้ันเป็นเร่ืองไม่สมควร” คงมีอยู่ไม่น้อย ในเวลาน้นั แต่เม่ือกาลผ่านไป ก็ยากท่ีจะหยุดแนวความคิดเช่นนี้ จนเป็น เหตุท�ำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ซ่ึงสาเหตุส�ำคัญท่ีถือเป็นจุด พลกิ ผนั ผมคดิ วา่ นา่ จะเปน็ แนวความคดิ ทวี่ า่ “ถา้ แนวคดิ นนั้ มเี หตมุ ผี ล กส็ ามารถกลา่ วไดว้ า่ เปน็ คำ� สอนของพระศากยมนุ ไี ด”้ และแนน่ อนวา่ ผทู้ ี่ คดิ วา่ แนวความคดิ ดงั กลา่ วเปน็ แนวความคดิ ทอี่ นั ตราย กค็ งมอี ยเู่ ชน่ กนั แตเ่ ม่ือกระแสน้�ำอันเชยี่ วกรากทะลักออกมาจากเข่อื นเสียแลว้ ก็ยากท่ี จะมใี ครสามารถหยุดกระแสความคิดเชน่ นไ้ี ด้ มีพระสูตรหน่ึงใน “พระพุทธศาสนาของพระศากยมุนี” ที่เกิดข้ึนมาก่อน “พระพุทธศาสนามหายาน” นั่นคือ “มหาปรินิพพาน- สูตร”16 (ในพระสูตรของมหายานเอง ก็มีพระสูตรที่ช่ือเดียวกัน แต่ไม่ใช่พระสูตรที่ว่านี้ โดยจะกล่าวรายละเอียดในบทท่ี 6) ซึ่งจาก เน้ือหาที่ปรากฏ ท�ำให้เราเห็นถึงกระแสความคิดดังกล่าว ส�ำหรับ “มหาปรินิพพานสูตร” มีท้ังต้นฉบับภาษาบาลี17 และฉบับแปลจีน 16 『涅槃経』(nehangyō) เปน็ พระสตู รทก่ี ลา่ วถงึ การเดนิ ทางครงั้ สดุ ทา้ ย ของพระศากยมุนี กอ่ นที่พระองคจ์ ะเสดจ็ ดับขันธปรินพิ พาน และมวี จนะทอี่ าจ กลา่ วไดว้ า่ เปน็ มรดก เชน่ “มตี นเปน็ เกาะ มตี นเปน็ ทพ่ี ง่ึ มธี รรมเปน็ เกาะ มธี รรม เปน็ ที่พึ่ง” (自洲法洲 jishū hōshū) เปน็ ต้น ปรากฏอย่ใู นพระสูตรนี้ 17 (『パーリ語』 pārigo) หมายถึง ภาษาบาลีซ่ึงภาษาคัมภีร์ (聖典語 seitengo) เป็นภาษาอินเดียโบราณที่อยู่ในตระกูลภาษาอินโด-ยูโรเปียน ที่ใน สมัยนั้นใช้เป็นภาษาพูด ส�ำหรับประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาสายใต้ (南方 諸国 nanpō shokoku) เชน่ ประเทศไทยหรอื ศรลี งั กา พระพทุ ธศาสนาไดเ้ ผยแผ่ เขา้ ไปโดยอาศัยภาษาบาลนี ี้ และประเทศทงั้ หลายเหลา่ นี้ ยังคงใชภ้ าษาบาลีใน

192 ธรรมธารา วารสารวชิ าการทางพระพทุ ธศาสนา ปีท่ี 6 ฉบับที่ 2 (ฉบบั รวมท่ี 11) ปี 2563 โบราณ18 ซึ่งในต้นฉบับภาษาบาลีได้มีการกล่าวเพียงว่า “ในการตรวจ สอบค�ำสอนว่าเป็นค�ำสอนด้ังเดิมหรือไม่น้ัน ให้ตรวจสอบว่ามีความ สอดคลอ้ งกบั พระดำ� รสั ของพระศากยมนุ หี รอื ไม”่ แตใ่ นขณะทฉ่ี บบั แปล จนี โบราณไดม้ กี ารกลา่ วเพม่ิ เตมิ วา่ “ถา้ มคี วามสมเหตสุ มผล กส็ ามารถ พจิ ารณาไดว้ า่ เปน็ คำ� สอนของพระศากยมนุ ”ี และเมอื่ เปน็ เชน่ น้ี กระแส ความคิดในเร่ืองดงั กลา่ วจึงคอ่ ยๆ เพิม่ ขึน้ ไปตามล�ำดับ จนกระทง่ั ขยายไปสแู่ นวความคดิ ทวี่ า่ “แมจ้ ะไมไ่ ดม้ กี ารบนั ทกึ ใน พระสูตรตั้งแต่ในอดีตก็ตาม แต่ถ้ามีความสมเหตุสมผลและสอดคล้อง กับค�ำสอนของพระศากยมุนีแล้ว ก็สามารถกล่าวได้ว่าเป็นค�ำสอนใน พระพทุ ธศาสนาไดเ้ ชน่ กนั ” ซง่ึ ในจดุ นเ้ี อง หากเราจะกลา่ ววา่ เปน็ จดุ พลกิ ผันครั้งใหญ่ ก็คงจะไม่ผิดอะไร และในเวลานั้นเอง ประตูทุกบานท่ีเปิด ไปสู่ “พระพุทธศาสนามหายาน” จึงได้เปดิ ออกพรอ้ มๆ กนั นักศึกษา : แม้จะเป็นเช่นน้ีก็ตาม แต่กลุ่มบุคคลที่ให้ก�ำเนิด “พระพทุ ธศาสนามหายาน” รสู้ กึ อยา่ งไรกบั การยนื ยนั แนวคำ� สอนทแี่ ตก ต่างไปจากท่มี มี าแตด่ ้งั เดมิ มีความทะเยอทะยาน19 หรอื แผนการไม่ด2ี 0 ท่ีคดิ จะตอ่ ต้านค�ำสอนของพระศากยมนุ ีหรือไมค่ รบั ? การท่องสวดอยตู่ ราบถงึ ทกุ วนั นี ้ 18 ผูแ้ ปล : ภาษาญีป่ นุ่ ใช้คำ� วา่ 漢文 (kanbun) เปน็ ภาษาจนี ทใี่ ชใ้ นสมยั โบราณ ส�ำหรับคัมภีร์พระพุทธศาสนา ได้มีพระภิกษุผู้มีความรู้ความสามารถ อาทิ พระกุมารชพี (鳩摩羅什 kumarajū) พระเสวยี นจง้ั (玄奘 genjō) แปลคัมภีร์ จากภาษาสนั สกฤตมาสู่ภาษาจนี โบราณ ซ่งึ ฉบบั แปลจนี โบราณน้ี ไม่ใชม่ ีเฉพาะ คมั ภรี ใ์ นฝา่ ย “พระพทุ ธศาสนามหายาน” เทา่ นนั้ แตย่ งั มคี มั ภรี ท์ ส่ี บื ทอดมาตง้ั แต่ “พระพทุ ธศาสนาของพระศากยมนุ ”ี มาถงึ คมั ภรี ใ์ นฝา่ ย “พระพทุ ธศาสนายคุ แบง่ นกิ าย” อีกดว้ ย 19 ผูแ้ ปล : ภาษาญปี่ ุ่นใชค้ �ำวา่ 野心 (yashin) 20 ผ้แู ปล : ภาษาญปี่ ุ่นใชค้ ำ� ว่า 悪巧 (warudakumi)

พระพุทธศาสนามหายาน: เหตใุ ดค�ำสอนของพระพทุ ธเจ้าจึงมคี วามหลากหลาย (2) 193 Mahāyāna Buddhism: Reasons for Diversity in the Buddha’s Teachings (2) อาจารย์ : ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้นครับ กลุ่มบุคคลท่ีให้ก�ำเนิด “พระพุทธศาสนามหายาน” คงไม่มีความคิดท่ีจะบิดเบือนค�ำสอนของ พระศากยมุนแี ต่อยา่ งใด ค�ำสอนของ “พระพทุ ธศาสนามหายาน” มที ง้ั แนวคิดที่เหมือนและแตกต่างกับ “พระพุทธศาสนาของพระศากยมุนี” แตอ่ ยา่ งไรกต็ าม คำ� สอนเหลา่ นนั้ ลว้ นเกดิ ขนึ้ จากพนื้ ฐานประสบการณ์ ทางศาสนา21 ของกลุ่มผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมทั้งส้ิน และในกลุ่มผู้ ประพฤติปฏิบัติธรรมเหล่านั้น ย่อมมีผู้เกิดแรงบันดาลใจหรือประกาย ความคิดที่ว่า “ค�ำสอนน้ีเป็นค�ำสอนที่พระพุทธเจ้า22 ประสงค์จะ ประทานแกพ่ วกเรา และเราไดเ้ ขา้ ถงึ คำ� สอนทถี่ กู ตอ้ งนนั้ ของพระพทุ ธ- ศาสนาแลว้ ” เปน็ เหตใุ หเ้ กดิ ความเชอื่ มนั่ ทว่ี า่ “คำ� สอนทแ่ี ทจ้ รงิ ของพระ- ศากยมนุ คี ือส่งิ น”ี้ นักศึกษา : ถ้าภายในกลุ่มบุคคลที่ให้ก�ำเนิดแนวคิดใหม่นั้น ก็คง ไมม่ คี วามคดิ หรอื กลา่ วหาคำ� สอนเหลา่ นน้ั วา่ ไมถ่ กู ตอ้ งแตอ่ ยา่ งใด แตถ่ า้ “พระพุทธศาสนามหายาน” เกิดจาก “พระพุทธศาสนายุคแบ่งนิกาย” แล้วล่ะก็ ไม่ทราบว่า “พระพุทธศาสนายุคแบ่งนิกาย” กลุ่มใดที่เป็น ผูส้ ร้าง “พระพุทธศาสนามหายาน” หรอื ครบั ? 21 ผู้แปล : ภาษาญี่ปุน่ ใชค้ �ำว่า 宗教体験 (shūkyō taiken) 22 ブッダ (budda) หรอื 仏陀 (budda หรอื butsuda) มาจากภาษาสนั สกฤต ที่หมายถึง “ผู้ตื่น” หรือ “ผู้รู้” เป็นช่ือที่ใช้ส�ำหรับพระศากยมุนีภายหลังจากท่ี พระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว แต่เดิม ไม่ใช่ช่ือท่ีใช้ส�ำหรับพระศากยมุนีเท่านั้น แม้แต่ พระพทุ ธสาวกกเ็ รยี กว่า “พทุ ธะ” เชน่ กนั แตต่ ่อมา เม่ือคำ� สอนของ “พระพทุ ธ- ศาสนาของพระศากยมุนี” ได้ตั้งม่ันแล้ว จึงเปลี่ยนมาใช้ส�ำหรับพระศากยมุนี เท่าน้ัน เราเรียกขานพระศากยมุนีภายหลังจากตรัสรู้แล้วว่า “พระพุทธเจ้า” สว่ นกอ่ นการตรัสรู้ เราเรียกขานพระองค์ว่า “พระโพธสิ ตั ว์”

194 ธรรมธารา วารสารวชิ าการทางพระพทุ ธศาสนา ปที ี่ 6 ฉบับที่ 2 (ฉบับรวมท่ี 11) ปี 2563 อาจารย์ : เกย่ี วกบั คำ� สอนของมหายานนน้ั ไมใ่ ชว่ า่ จะเกดิ ขนึ้ จาก กลุ่มใดเพียงกลุ่มเดียวของ “พระพุทธศาสนายุคแบ่งนิกาย” แต่ผมคิด ว่าเกิดขึ้นจากหลายๆ กลุ่ม กล่าวคือ กลุ่มคนที่หลากหลายในสถานท่ี ตา่ งๆ ไดส้ ร้างพระสูตรใหม่ๆ ข้ึนดว้ ยประกายความคดิ ต่างๆ นานา ในยคุ นนั้ เมอ่ื ชอื่ “พระพทุ ธศาสนามหายาน” กย็ งั ไมป่ รากฏ ดงั นน้ั ความคิดท่ีว่าตนเองได้สร้างแนวค�ำสอนท่ีไม่ถูกต้องขึ้นมา ก็คงไม่มี เช่นกัน และเม่ือพระพุทธศาสนารูปแบบใหม่ๆ ดังกล่าว ได้ถือก�ำเนิด ขนึ้ ในแตล่ ะยคุ แตล่ ะพน้ื ท่ี โดยเรม่ิ ตน้ จากกระแสเลก็ ๆ แตเ่ มอื่ ลว่ งกาล ผ่านไป กระแสเล็กๆ ทั้งหลายเหล่านั้นได้ไหลมารวมกัน จนเกิดเป็น แม่นำ้� สายใหญ่ ท่ีเรียกวา่ “พระพทุ ธศาสนามหายาน” เป้าหมายสงู สดุ ของ “พระพทุ ธศาสนามหายาน” คอื “การตรัสรู้เปน็ พระพุทธเจา้ ” นกั ศกึ ษา : เกยี่ วกบั เรอ่ื งราวการกำ� เนดิ ขนึ้ ของ “พระพทุ ธศาสนา มหายาน” พอทจ่ี ะเขา้ ใจได้ แตผ่ มมคี ำ� ถามขอ้ หนง่ึ คอื ทำ� ไม “พระพทุ ธ- ศาสนามหายาน” จงึ มแี นวคดิ ทวี่ า่ แมเ้ ปน็ คฤหสั ถผ์ คู้ รองเรอื นกส็ ามารถ บรรลุธรรม23 ได้ครับ ? หรือจะเป็นเพราะต้องการลดระดับเคร่ืองกั้น เพอ่ื ให้มศี าสนกิ ชนเพิ่มข้ึน ผมคดิ วา่ แน่จะเปน็ เช่นนน้ั 23 ผแู้ ปล : แมก้ ารบรรลธุ รรมจะมเี ปน็ ระดบั ข้ัน ตัง้ แต่พระโสดาบันไปถงึ พระอรหนั ต์ ดงั ทป่ี รากฏอยทู่ วั่ ไปในคมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนา ซง่ึ แนน่ อนวา่ คฤหสั ถ์ ผู้ครองเรือนย่อมสามารถบรรลุธรรมในขั้นต้น เช่น พระโสดาบัน เป็นต้นได้ แต่การบรรลุธรรมในท่ีนี้ ผู้เขียนหมายเอาการบรรลุข้ันสูงสุด โดยที่การบรรลุ ธรรมข้นั สูงสดุ ใน “พระพุทธศาสนายุคแบง่ นิกาย” คือ การบรรลุอรหัตตผล เป็น พระอรหันต์ ส่วนการบรรลุธรรมข้ันสูงสุดของ “พระพุทธศาสนามหายาน” คือ การบรรลสุ มั มาสัมโพธญิ าณเป็นพระพทุ ธเจา้

พระพุทธศาสนามหายาน: เหตุใดค�ำสอนของพระพทุ ธเจ้าจงึ มคี วามหลากหลาย (2) 195 Mahāyāna Buddhism: Reasons for Diversity in the Buddha’s Teachings (2) อาจารย์ : เราไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นเช่นน้ันท้ังหมด เพราะดังที่ ไดก้ ลา่ วไปแลว้ กอ่ นหนา้ นว้ี า่ ชวี ติ ความเปน็ อยใู่ นของผปู้ ระพฤตปิ ฏบิ ตั ิ ธรรมใน “พระพุทธศาสนาของพระศากยมุนี” อยู่บนพื้นฐานของการ อาศัยทานจากผู้อ่ืนเป็นส�ำคัญ ดังนั้น จึงมีความจ�ำเป็นที่จะต้องได้รับ การสนบั สนุนจากคฤหสั ถ์ผคู้ รองเรือน ในยุคที่ “พระพุทธศาสนามหายาน” ถือก�ำเนิดข้ึนนั้น เป็นยุคท่ี ราชวงศ์เมารยะก�ำลังจะล่มสลาย จึงอาจกล่าวได้ว่าก�ำลังเข้าสู่กลียุค โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ทางแควน้ คนั ธาระซง่ึ อยทู่ างตอนเหนอื ของอินเดีย ได้มีชาวต่างถ่ินอพยพเข้ามา24 จนท�ำให้ตกอยู่ในสภาพส่ันคลอนคร้ัง ใหญ่ และแน่นอนว่าเมื่อสังคมตกอยู่สภาพเช่นน้ัน การด�ำเนินชีวิตใน ฐานะของนักบวชก็คงจะกลายเป็นเรื่องยากในเวลานั้น เพราะล�ำพัง ประชาชนทั้งหลายจะดูแลตนเองให้อยู่รอดปลอดภัยก็หนักพอแรงอยู่ แลว้ การจะมาทำ� นบุ ำ� รงุ หมสู่ งฆห์ รอื นกั บวชจงึ ไมใ่ ชเ่ รอ่ื งงา่ ย แตน่ น่ั กไ็ ม่ ได้หมายความว่า นกั บวชท้งั หลายจะเลิกล้มความตั้งใจในการประพฤติ ปฏิบตั ธิ รรมเพอื่ ใหบ้ รรลุธรรมไปเสยี สมมตวิ า่ คณุ เป็นนกั บวชในยุคนน้ั คุณจะทำ� อยา่ งไรเพอ่ื ให้สามารถกา้ วขา้ มสถานการณ์นั้นไปได้ ? 24 異民族が流入 (iminzoku ga nyūryū) ภายหลังจากที่พระเจ้าอโศก สวรรคต ราชวงศ์เมารยะไดต้ กตำ�่ ลง ในช่วง 2 ศตวรรษกอ่ นครสิ ตกาลถึงครสิ ต์- ศตวรรษท่ี 1 ชาวตา่ งถนิ่ เชน่ กรซี อหิ รา่ น ไดร้ กุ ลำ้� เขา้ มาในอนิ เดยี อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ชาวตา่ งถนิ่ เหลา่ นนั้ ไดข้ า้ มชอ่ งเขาไค-เบอะ (Khyber Pass) เขตแนวชายแดนของ อัฟกานิสถานและปากีสถานในปัจจุบัน เข้ามาสู่คันธาระ (เป็นชื่อเรียกเก่าของ ดินแดนทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของปากีสถานในปัจจุบัน) ซ่ึงในสมัยน้ันถือ ได้ว่าเป็นปากประตูทางเข้าสู่อินเดีย และผลจากการที่ชาวต่างถ่ินเหล่าน้ันได้ ใช้เส้นทางดังกล่าวเป็นเส้นทางหลักในการรุกล้�ำเข้าสู่อินเดีย จึงท�ำให้ดินแดน ทางตอนเหนือของอินเดียในยุคนั้น อาทิ คันธาระ ตกอยู่ในสภาพส่ันคลอน ครง้ั ใหญ ่

196 ธรรมธารา วารสารวชิ าการทางพระพทุ ธศาสนา ปีท่ี 6 ฉบับที่ 2 (ฉบับรวมที่ 11) ปี 2563 นักศึกษา : ก็คงจะลาสิกขา แล้วก็ลองแสวงหาวิธีการท่ีท�ำให้ สามารถบรรลุธรรมได้ โดยท่ีอยู่ในเพศคฤหัสถ์ ...... เป็นอย่างนี้นี่เอง ด้วยเหตุนี้ เราจึงอาจกล่าวได้ว่า “พระพุทธศาสนามหายาน” เกิดข้ึน เพราะความจ�ำเป็นในยคุ นนั้ ใชไ่ หมครับ ? อาจารย์ : อย่างไรก็ตาม มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานมากแล้ว และไมม่ หี ลกั ฐานอะไรทแี่ นช่ ดั มายนื ยนั ได้ แตจ่ ากสถานการณใ์ นยคุ นนั้ ที่ปรากฏ ก็คงพอท�ำให้เราสันนิษฐานได้เช่นนี้ และแน่นอนว่าน่ีเป็น เพียงการคาดเดาเท่าน้ัน นอกจากนี้ ยังมีความเป็นไปได้ที่มีเหตุผลว่า “พระพทุ ธศาสนามหายาน” จะเป็นผู้เปิดประตูไปสคู่ ฤหัสถ์ผู้ครองเรือน ซึ่งในเรือ่ งนี้ ถือเปน็ ประเด็นทว่ี งการวิจยั ด้านพุทธศาสตรค์ วรทำ� ใหเ้ กิด ความกระจ่างต่อไป อย่างไรในเบื้องต้น ความสามารถในการบรรลุธรรมน้ัน ไม่ได้ จำ� กัดอยูเ่ พียงนักบวชเทา่ น้นั แตไ่ ด้มีความปรารถนาที่จะขยายวงกวา้ ง ไปส่คู ฤหสั ถผ์ คู้ รองเรือนดว้ ย และส่งิ นีถ้ ือเป็นแรงขบั เคลือ่ นทีท่ �ำใหเ้ กดิ “พระพทุ ธศาสนามหายาน” นอกจากนี้ ยังมีประเด็นท่ีส�ำคัญในการที่เราพิจารณาถึงการ ก�ำเนิดข้ึนของ “พระพุทธศาสนามหายาน” กล่าวคือ ใน “พระพุทธ- ศาสนาของพระศากยมุนี” เราเรียกผู้ที่ประพฤติปฏิบัติธรรมจนกระท่ัง บรรลุธรรมขั้นสูงสุดว่า “พระอรหันต์” ซึ่ง “พระอรหันต์” คือ ผู้ท่ีศึกษา ค�ำสอนของพระศากยมุนี จนกระทั่งบรรลุธรรม อย่างไรก็ตาม แม้จะ กล่าววา่ “บรรลุธรรม” ก็ตาม หากจะกลา่ วถึงในเรอ่ื งระดบั ข้นั การบรรลุ ธรรมแลว้ ละ่ ก็ ยงั ถอื วา่ อยใู่ นระดบั ทร่ี องกวา่ พระศากยมนุ มี ากนกั ซง่ึ ใน “พระพุทธศาสนาของพระศากยมุนี” ไม่ว่าใครก็มุ่งหวังความเป็น

พระพทุ ธศาสนามหายาน: เหตุใดค�ำสอนของพระพุทธเจ้าจงึ มคี วามหลากหลาย (2) 197 Mahāyāna Buddhism: Reasons for Diversity in the Buddha’s Teachings (2) พระอรหันต์ด้วยกันท้ังสิ้น โดยไม่มีใครที่จะกล่าวว่า “เราจะตั้งความ ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า” ซ่ึงพระพุทธเจ้า คือ บุคคลดังเช่นพระ- ศากยมนุ ี เปน็ ผทู้ เ่ี ขา้ ถงึ สภาวธรรมอนั บคุ คลผมู้ อี จั ฉรยิ ภาพพเิ ศษเทา่ นนั้ จึงจะสามารถเขา้ ถงึ ได้ แตส่ ำ� หรบั “พระพทุ ธศาสนามหายาน” จดุ สงู สดุ ของผบู้ รรลธุ รรม คือ “การได้เป็นพระพุทธเจา้ ” ซง่ึ แนวคดิ ในเร่ือง 成仏 (jōbutsu) มาจาก ตรงน้ี เมื่อได้ยินค�ำว่า 成仏 ผู้คนส่วนใหญ่มักคิดว่า เป็นการท่ีคนเรา เมื่อตายไปแล้ว ได้ส้ินจากเครื่องพันธนาการในโลกและได้ไปสู่สถานที่ อันสงบ แต่น่ีเป็นความเข้าใจผิด เพราะแรกเร่ิมเดิมทีเป็นค�ำท่ีหมายถึง “การบรรลุธรรมเป็นพระพุทธเจ้า”25 ซึ่งใน “พระพุทธศาสนาของพระ- ศากยมนุ ”ี ยงั ไมม่ แี นวคดิ ในเรอื่ ง “หนทางเปน็ พระพทุ ธเจา้ ทเ่ี ปดิ สำ� หรบั ทกุ คน” แต่มาปรากฏในแนวคิดของ “พระพุทธศาสนามหายาน” นกั ศกึ ษา : ผมคดิ มาโดยตลอดวา่ คำ� วา่ “พระพทุ ธเจา้ ” นน้ั หมายเอา เฉพาะ “พระศากยมนุ ”ี ซง่ึ มีเพยี งหนง่ึ ไม่มีสอง อาจารย์ : ครบั สงิ่ ทคี่ ณุ กำ� ลงั กลา่ วถงึ นี้ เปน็ แนวคดิ ใน “พระพทุ ธ- ศาสนาของพระศากยมุนี” ซึ่งใน “พระพุทธศาสนาของพระศากยมุนี” 25 ผ้แู ปล : คำ� ว่า 成仏 (jōbutsu) แปลว่า บรรลุความเปน็ พทุ ธะ ซึ่งคำ� ว่า 仏 (hotoke) เปน็ อกั ษรทใี่ ชเ้ ฉพาะในประเทศญป่ี นุ่ ทม่ี าจากอกั ษร 佛 ในภาษาจนี ซ่ึงหมายถึง พระพุทธเจ้า แต่ในทัศนะของชาวญี่ปุ่นโดยมากหมายเอาผู้ที่ เสียชีวิต และในบางวงการยังใช้ค�ำว่า 仏 (hotoke) ในฐานะศัพท์แสลงที่หมาย ถึงศพผู้ตายอีกด้วย (นอกจากน้ียังใช้แทนช่ือประเทศหรือภาษาฝร่ังเศส ท่ีมา จากค�ำว่า 仏蘭西 (furansu) ซ่ึงเป็นค�ำเลียนเสียงของค�ำว่า France ในภาษา องั กฤษ)

198 ธรรมธารา วารสารวชิ าการทางพระพุทธศาสนา ปีที่ 6 ฉบบั ที่ 2 (ฉบบั รวมที่ 11) ปี 2563 มีแนวความคิดท่ีว่า “พระพุทธเจ้าสามารถมีได้เพียง 1 พระองค์ เท่านั้น” และเมื่อพระพุทธเจ้าได้เสด็จดับขันธปรินิพพานไป จะเข้าสู่ ห้วงเวลาที่ว่างเว้นจากพระพุทธเจ้ายาวนานนับหลายพันล้านปี กว่า จะมีพระพุทธเจ้าอีกพระองค2์ 6 บังเกิดข้ึน เป็นวัฏจักรเช่นน้ีเป็นเรื่อยๆ กล่าวคือ พระศากยมุนี เป็นพระพุทธเจ้าที่ในช่วงหลายพันล้านปีจะมี มาบงั เกิดข้ึนสกั พระองค์หนงึ่ แต่ใน “พระพุทธศาสนามหายาน” มีแนวคิดท่ีว่า สามารถที่จะ มีพระพุทธเจ้าได้หลายพระองค์ (ผู้แปล : ในเวลาเดียวกัน) ขอเพียง มีความวิริยอุตสาหะ ไม่ว่าผู้ใดก็สามารถเป็นหน่ึงในพระพุทธเจ้า เหลา่ นนั้ ได้ สว่ นวา่ ทำ� ไมถงึ ไดม้ แี นวคดิ ทวี่ า่ “พวกเราปรารถนาความเปน็ พระพุทธเจ้า” หรือ “พวกเราสามารถเป็นพระพุทธเจ้าได้” ในประเด็น ปัญหาน้ี ยังคงไม่ได้รับค�ำตอบท่ีเด่นชัด แต่ก็พอจะกล่าวได้ว่า แนวคิด ดังกล่าวน่าจะมาคู่กับแนวคิดท่ีว่า “แม้คฤหัสถ์ผู้ครองเรือน ก็สามารถ ประพฤตปิ ฏบิ ตั ธิ รรมเพอ่ื การบรรลธุ รรมได”้ ดงั ทไ่ี ดก้ ลา่ วไปแลว้ ขา้ งตน้ ดงั นน้ั เมอ่ื นำ� แนวคดิ ทง้ั สองมาผนวกเขา้ ดว้ ยกนั จงึ ทำ� ใหแ้ นวคดิ อนั เปน็ อุดมคติที่ว่า “ไม่ว่าคฤหัสถ์หรือบรรพชิต ทุกคนสามารถเข้าถึงสภาวะ สงู สดุ คือ ความเป็นพระพุทธเจา้ ไดเ้ ช่นกนั ” บังเกิดขน้ึ 26 別のブッダ (betsu no budda) หมายเอา พระเมตไตรยโพธิสัตว์ (弥勒菩薩 miroku bosatsu) ผทู้ จ่ี ะมาบงั เกดิ ในโลก ภายหลงั จากการเสดจ็ ดบั ขนั ธ- ปรินิพพานของพระศากยมุนีได้ 5,670 ล้านปี ซึ่งปัจจุบันอยู่ท่ีสวรรค์ช้ันดุสิต (兜率天 tosotsuten) และจะมาบงั เกดิ เปน็ พระเมตไตรยพทุ ธเจา้ (弥勒仏 miroku butsu) ภายหลังจากที่พระเมตไตรยพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานไป โลกก็ จะว่างเว้นจากพระพุทธเจ้าไปอีกยาวนาน กว่าจะมีพระพุทธเจ้าอีกพระองค์มา บงั เกดิ ขึ้น

พระพทุ ธศาสนามหายาน: เหตุใดคำ� สอนของพระพุทธเจ้าจงึ มคี วามหลากหลาย (2) 199 Mahāyāna Buddhism: Reasons for Diversity in the Buddha’s Teachings (2) ในจักรวาล27 มีพระพทุ ธเจา้ อยู่หลายพระองคเ์ ช่นนน้ั หรือ ? นกั ศึกษา : ถ้ามีโอกาสทีจ่ ะบรรลุธรรมแลว้ การม่งุ เป้าหมายท่ีจะ บรรลุธรรมเป็นพระพุทธเจ้าก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องสุดวิสัยนะครับ แล้วฝั่ง “พระพุทธศาสนามหายาน” ได้อธิบายเกี่ยวกับเร่ืองที่คฤหัสถ์ผู้ครอง เรอื นสามารถบรรลุธรรมเป็นพระพทุ ธเจ้าไว้อยา่ งไรครับ ? อาจารย์ : เรื่องราวอาจจะดูซับซ้อนข้ึนสักหน่อยนะครับ แต่ถ้า ลองล�ำดับเหตุการณ์ดูแล้ว เมื่อมีความคิดว่า “การท่ีจะบรรลุเป็น พระพทุ ธเจา้ ไดน้ ั้น ควรทำ� สง่ิ ใดบ้าง” ส่งิ แรกท่ผี ุดขนึ้ มาน่าจะเปน็ ความ คดิ ท่ีว่า “พระศากยมุนีสามารถบรรลเุ ปน็ พระพทุ ธเจ้าได้ เมื่อเปน็ เชน่ นี้ ถ้าเราด�ำเนินบนเส้นทางเดียวกับท่าน ก็ย่อมสามารถบรรลุเป็น พระพทุ ธเจา้ ไดเ้ ชน่ กนั และถา้ เราไดศ้ กึ ษาประวตั ขิ องทา่ น กค็ งจะทราบ” แน่นอนว่าวิธีการคิดเช่นน้ีก็คงจะไม่ผิดอะไร ถ้าเราด�ำเนินชีวิต และฝกึ ฝนอบรมตนเชน่ เดยี วกบั พระศากยมนุ ี คงมสี กั วนั หนง่ึ ทจี่ ะบรรลุ เปน็ พระพทุ ธเจา้ ไดเ้ ชน่ กนั ซง่ึ คมั ภรี ์ “พทุ ธประวตั ”ิ 28 ทบี่ นั ทกึ ประวตั ขิ อง พระศากยมนุ ี แม้ว่าจะมอี ยู่ แตไ่ มว่ ่าจะอา่ นมากเพียงใดกต็ าม กไ็ ม่พบ วธิ ปี ระพฤตปิ ฏบิ ตั พิ เิ ศษเฉพาะของพระศากยมนุ ี ทท่ี ำ� ใหท้ า่ นบรรลเุ ปน็ 27 ผ้แู ปล : ภาษาญป่ี ่นุ ใช้คำ� ว่า 世界 (sekai) ซึง่ โดยทัว่ ไปหมายถึง “โลก” ทเี่ ราอาศยั อยู่ แตใ่ นบางบรบิ ทกห็ มายเอา “จกั รวาล” บา้ ง “วงการ” บา้ ง แตใ่ นทน่ี ้ี ผเู้ ขยี นน่าจะหมายเอา “จักรวาล” หรอื “โลกธาตุ” 28 伝 (butsuden) คมั ภรี ท์ บี่ นั ทกึ ประวตั ขิ องพระศากยมนุ นี นั้ ในคมั ภรี ฝ์ า่ ย บาลี ไดแ้ ก่ “นิทานกถา” หรือ “มหาปรนิ พิ พานสูตร” และในคัมภีร์ฝ่ายสันสกฤต ของพระพทุ ธศาสนา ไดแ้ ก่ “มหาวัสต”ุ เปน็ ตน้ ในคัมภรี ์เหลา่ น้ีได้บันทกึ ประวัติ ของพระศากยมุนีในฐานะบุคคลในประวัติศาสตร์ นอกจากน้ียังมี “ชาดก” ท่ีได้ กลา่ วถึงการฝกึ ฝนอบรมตนของพระศากยมุนีในอดตี ชาติ

200 ธรรมธารา วารสารวิชาการทางพระพุทธศาสนา ปที ่ี 6 ฉบับที่ 2 (ฉบบั รวมที่ 11) ปี 2563 พระพุทธเจา้ ได้ สิ่งที่ผู้คนในยุคน้ันให้ความสนใจ คือ “อดีต” ของพระศากยมุนี ดังที่ได้กล่าวไปแล้วในเบื้องต้น พระพุทธศาสนามีแนวคิดในเรื่อง “สังสารวัฏ”29 และ “หลักเหตุและผล”30 เป็นพื้นฐานในการมองโลก และชีวิต ดังน้ัน จึงมีแนวความคิดว่า “จะต้องมีอะไรสักอย่างในอดีต ชาติของพระศากยมุนี ซึ่งเป็นเหตุในอดีตชาติช่วงไกล31 ที่เชื่อมโยงกับ วธิ กี ารทที่ ำ� ใหเ้ ปน็ พระพทุ ธเจา้ ” ในพระพทุ ธศาสนา เราเรยี กผปู้ ระพฤติ ปฏิบัติธรรมก่อนที่จะบรรลุเป็นพระพุทธเจ้า หรือผู้ท่ีปรารถนาจะเป็น พระพทุ ธเจา้ วา่ “พระโพธสิ ตั ว”์ 32 ซง่ึ ผคู้ นในยคุ นนั้ ไดค้ น้ หาวธิ กี ารทที่ ำ� ให้ เปน็ พระพทุ ธเจา้ ของพระศากยมนุ ี ในอดตี ชาตทิ ย่ี งั เปน็ พระโพธสิ ตั วอ์ ยู่ นนั่ เอง 29 ผู้แปล : ภาษาญีป่ นุ่ ใชค้ �ำว่า 輪廻 (rinne) 30 ผแู้ ปล : ภาษาญปี่ นุ่ ใชค้ ำ� วา่ 縁起 (engi) หมายถงึ “ปฏจิ จสมปุ บาท” บา้ ง “อิทัปปัจจยตา” บ้าง “ปัจจยาการ” ซึ่งมี 12 ประการ มีอวิชชาเป็นต้น มีชรามรณะเป็นท่ีสุด แต่ในที่นี้ ผู้เขียนหมายเอา “ความเชื่อมโยงของหลักและ ผล” โดยทัว่ ไป ไม่ได้ระบชุ ดั ลงไปถึงเหตแุ ละผล 12 ประการดังกล่าว 31 ผู้แปล : ภาษาญี่ปุน่ ใช้คำ� วา่ 遠因 (enin) 32 菩薩 (bosatsu) มาจากภาษาสนั สกฤตทวี่ า่ “โพธสิ ตตฺ วฺ ” ซง่ึ เปน็ คำ� ยอ่ ของ คำ� เลยี นเสยี ง (音写 onsha) ทวี่ า่ 菩提薩埵 (bodaisatta) แตเ่ ดมิ เปน็ คำ� ทหี่ มายเอา “พระศากยมุนี” ท่ีประพฤติปฏิบัติธรรมในอดีตชาติ แต่ต่อมาในภายหลัง ได้หมายเอาผู้ท่ีต้ังใจประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อให้เข้าถึงความเต็มเปี่ยม (ผู้ที่ต้ังความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า) รวมไปถึงผู้ท่ีเข้าถึงสภาวธรรมข้ันสูง เช่น อวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ (観音菩薩 kannon bosatsu) หรือมัญชุศรีโพธิสัตว์ (文殊菩薩 monju bosatsu) ซงึ่ เป็นผทู้ ีม่ ฐี านะควรแกก่ ารเคารพศรทั ธารองลงมา จากพระพทุ ธเจา้

พระพุทธศาสนามหายาน: เหตุใดค�ำสอนของพระพุทธเจ้าจงึ มคี วามหลากหลาย (2) 201 Mahāyāna Buddhism: Reasons for Diversity in the Buddha’s Teachings (2) นักศึกษา : แม้จะกล่าวเช่นน้ีก็ตาม แต่พระศากยมุนีเริ่มต้นเป็น พระโพธิสัตว์ตั้งแต่เมื่อใด และพระศากยมุนีในอดีตชาติท่ียังเป็นพระ- โพธิสตั วอ์ ยนู่ นั้ ไดป้ ระพฤติปฏบิ ตั ิอยา่ งไรบา้ ง เรอื่ งราวเหลา่ นยี้ ากทจ่ี ะ มีผูร้ เู้ ห็นไม่ใชห่ รือครับ ? อาจารย์ : แนวคิดในเร่ืองกาลเวลาของอินเดียนั้น กล่าวถึง ทุกสรรพชีวิตว่าตกอยู่ในวงจรการเวียนว่ายตายเกิดอย่างไม่มีท่ีสิ้นสุด ดังนั้น การท่ีพระศากยมุนีจะเริ่มต้นประพฤติปฏิบัติธรรมในฐานะของ พระโพธิสัตว์เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าเม่ือใดนั้น แน่นอนว่าคงไม่มี ใครทราบอย่างแน่ชัด แต่ถ้ากล่าวไปเช่นน้ัน การท่ีจะเดินไปบนหนทาง เดยี วกบั พระศากยมนุ คี งหมดไป เมอื่ เปน็ เชน่ น้ี ผคู้ นทงั้ หลายทต่ี งั้ ความ ปรารถนาที่จะเปน็ พระพทุ ธเจ้าจงึ ไดม้ ีความคิดเช่นนี้ พระศากยมุนี แต่เดิมก็เป็นปุถุชน33 (คนธรรมดา) เช่นเดียวกับ พวกเรา และในวงจรการเวยี นวา่ ยตายเกิด ย่อมต้องเคยตกไปสู่ภมู ิของ สัตว์นรก34 หรือภูมิของเปรต35 คร้ันต่อมา ได้มีโอกาสพบพระพุทธเจ้า พระองค์ใดพระองค์หน่ึงในอดีตอันไกลโพ้น ซ่ึงในจุดน้ีเองถือเป็นการ เริ่มต้นปดิ ฉากวถิ ีชวี ติ ของปถุ ชุ นคนธรรมดา แล้วก้าวเข้าสู่วิถีชวี ติ พเิ ศษ เพอื่ มุ่งเปา้ หมายไปสูค่ วามเป็นพระพทุ ธเจา้ นักศึกษา : รู้สึกว่าเร่ืองราวจะขยายขอบเขตออกไปกว้างเลย นะครับ แล้วก่อนท่ีจะมีพระศากยมุนี ท�ำไมถึงต้องมีการกล่าวถึง พระพุทธเจา้ พระองค์อ่นื อกี หรือครับ เรอื่ งน้ผี มไมเ่ ข้าใจจรงิ ๆ ...... 33 ผ้แู ปล : ภาษาญ่ปี ่นุ ใชค้ �ำวา่ 凡夫 (bonpu) 34 ผแู้ ปล : ภาษาญีป่ นุ่ ใชค้ �ำวา่ 地獄 ( jigoku) 35 ผู้แปล : ภาษาญป่ี ุ่นใช้ค�ำวา่ 餓鬼 (gaki)

202 ธรรมธารา วารสารวชิ าการทางพระพทุ ธศาสนา ปีท่ี 6 ฉบบั ท่ี 2 (ฉบบั รวมที่ 11) ปี 2563 อาจารย์ : การตั้งสมมติฐานว่า มีพระพุทธเจ้าพระองค์อื่นอยู่ ก่อนหน้าท่ีจะมีการบังเกิดข้ึนของพระศากยมุนี และคิดว่า “พระ- ศากยมุนีคงต้องมีโอกาสที่จะพบกับพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นในอดีต” กด็ เู ปน็ ความคดิ ทม่ี เี หตผุ ล สมมตวิ า่ มเี ดก็ คนหนงึ่ มคี วามตงั้ ใจทจี่ ะเปน็ นักฟุตบอลมืออาชีพ คุณคิดว่าท�ำไมเด็กคนน้ันจึงมีความคิดท่ีจะเป็น นกั ฟุตบอลมอื อาชพี ? นักศึกษา : น่ันคงเป็นเพราะ ได้มีโอกาสเห็นการแข่งขันของนัก ฟุตบอลเจลีก (J. League) หรือฟุตบอลยุโรปในโทรทัศน์ แล้วก็คงมี ความคิดทอ่ี ยากจะเป็นเช่นนน้ั บ้าง อาจารย์ : ใช่ครับ การท่ีเราปรารถนาจะเป็นเหมือนใครสักคน เราจำ� เปน็ จะตอ้ งมตี น้ แบบในอดุ มคตกิ อ่ น คงจะไมม่ ใี ครทอี่ ยดู่ ๆี แลว้ จะ มคี วามคดิ วา่ “อยากเปน็ นกั ฟตุ บอล” หรอื “อยากเปน็ พระพทุ ธเจา้ ” โดย ปราศจากทมี่ าทไี่ ป ดงั นน้ั “พระพทุ ธศาสนามหายาน” จงึ มแี นวความคดิ ที่ว่า พระศากยมุนีได้มีโอกาสพบพระพุทธเจ้าพระองค์อ่ืนในอดีต จึง เกิดความปรารถนาท่ีว่า “ตนเองก็อยากเป็นดังบุคคลเช่นน้ี” ซึ่งเป็นจุด เริม่ ตน้ ของท้งั หมด และแนวความคิดเชน่ น้ีก็ดูจะเปน็ ธรรมชาติ นอกจากนี้ พระศากยมนุ ที ไ่ี ดม้ โี อกาสพบกบั พระพทุ ธเจา้ ในอดตี คงได้ต้ังความปรารถนาต่อหน้าพระพุทธเจ้าพระองค์น้ันว่า “ข้าพเจ้าก็ อยากเปน็ เช่นพระองค์ ดงั นั้น ขา้ พเจา้ จะตง้ั ใจเพียรพยายาม” ซ่ึงความ ปรารถนาดงั กลา่ ว เรยี กวา่ “ปณธิ าน”36 และในขณะนนั้ เอง พระพทุ ธเจา้ พระองค์น้ันได้กล่าวรับรองอนาคตและให้ก�ำลังใจแก่พระศากยมุนีว่า “ในอนาคต เธอจะได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน ขอให้ต้ังใจเพียร 36 ผู้แปล : ภาษาญปี่ ่นุ ใชค้ �ำวา่ 誓願 (seigan)

พระพทุ ธศาสนามหายาน: เหตุใดคำ� สอนของพระพุทธเจา้ จงึ มีความหลากหลาย (2) 203 Mahāyāna Buddhism: Reasons for Diversity in the Buddha’s Teachings (2) พยายามตอ่ ไป” ซงึ่ การกลา่ วรบั รองนี้ เรยี กวา่ “พทุ ธพยากรณ”์ 37 สำ� หรบั “ปณิธาน” และ “พุทธพยากรณ”์ นเี้ ปน็ สง่ิ ท่เี ปลีย่ นพระศากยมนุ ใี หเ้ ปน็ “พระโพธิสัตว์” ผู้ต้ังความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า และภายหลังจาก นั้น แม้พระโพธิสัตว์จะต้องเวียนว่ายตายอยู่ก็ตาม แต่ก็ได้ประพฤติ ปฏิบัติธรรมควบคู่ไปด้วย นี่เป็นแนวคิดบนพื้นฐานของ “พระพุทธ- ศาสนามหายาน” นักศึกษา : น่ีถือเป็นแนวคิดท่ียอดเยี่ยมจริงๆ นะครับ แล้ว พระพทุ ธเจา้ พระองคแ์ รกทใี่ หพ้ ทุ ธพยากรณแ์ กพ่ ระศากยมนุ ี ไดม้ ปี รากฏ ในคัมภีร์อะไรหรอื ไม่ครับ ? อาจารย์ : มีพระพุทธเจ้าพระนามว่า “ทีปังกร”38 ปรากฏอยู่ใน เรอ่ื งราว “พทุ ธพยากรณข์ องพระทปี งั กรพทุ ธเจา้ ”39 ซง่ึ มกี ารบนั ทกึ ไวว้ า่ ในอดีตอันไกลโพ้น คร้ังเมื่อพระศากยมุนียังเป็นปุถุชนคนธรรมดา พระทีปังกรพุทธเจ้าได้ปรากฏข้ึนและพยากรณ์ว่า “ในอนาคต เธอจะ ได้เป็นบรรลุธรรมเป็นพระพุทธเจ้า” จึงมีความเป็นไปได้ว่า แนวคิดใน เรอื่ ง “ปณธิ าน” และ “พทุ ธพยากรณ์” น่าจะมาจากเรื่องราวดงั กล่าวนี้ นอกจากน้ี แนวความคิดดังกล่าวได้ขยายออกไปถึงเรื่องราวที่ พระศากยมุนีได้พบพระพุทธเจ้า และได้รับก�ำลังใจจากพระพุทธเจ้า หลายพระองค์ ซ่ึงในสังสารวัฏอันยาวนานคงไม่อาจกล่าวได้ว่า 37 ผู้แปล : ภาษาญี่ปุ่นใช้ค�ำว่า 授記 (juki) แปลว่า การพยากรณ์ แต่ใน บรบิ ทนหี้ มายเอาการพยากรณข์ องพระพทุ ธเจา้ ทใ่ี หแ้ กพ่ ระโพธสิ ตั ว์ ผแู้ ปลจงึ ขอ ใชค้ ำ� ว่า “พทุ ธพยากรณ์” แทนการแปลโดยตรง 38 燃灯仏 (nentō butsu) หรือ 錠光仏 (jōkō butsu) ซึ่งค�ำว่า “ทีปังกร” มีความหมายวา่ “ผมู้ รี ัศมสี วา่ งไสว” 39 ผูแ้ ปล : ภาษาญี่ปนุ่ ใชค้ ำ� วา่ 燃灯仏授記 (nentō butsu juki)

204 ธรรมธารา วารสารวชิ าการทางพระพทุ ธศาสนา ปีท่ี 6 ฉบบั ที่ 2 (ฉบับรวมที่ 11) ปี 2563 พระศากยมนุ พี บพระพทุ ธเจา้ เพยี งพระองคเ์ ดยี วเทา่ นน้ั นนั่ หมายความ ว่า ภายหลังจากพระศากยมุนีได้พบกับพระพุทธเจ้าเป็นคร้ังแรกและ ตง้ั ปณธิ านแลว้ ในวงจรการเวยี นเกดิ เวยี นตาย ยงั ไดม้ โี อกาสพบและได้ รบั กำ� ลงั ใจจากพระพุทธเจ้าพระองค์อนื่ ๆ เปน็ เชน่ นีเ้ รอื่ ยไป จนกระทัง่ ตนเองได้บรรลธุ รรมเปน็ พระพทุ ธเจ้า นักศึกษา : ใน “พระพุทธศาสนาของพระศากยมุนี” การที่ พระพุทธเจ้าจะมาบังเกิดขึ้นแต่ละพระองค์ ต้องใช้เวลายาวนานหลาย พันล้านปี ดังนั้น การท่ีจะกล่าวว่ามีโอกาสพบพระพุทธเจ้าหลายต่อ หลายครัง้ จงึ เป็นเรอื่ งท่ไี ม่น่าจะเกดิ ขึน้ ได้ง่ายๆ อาจารย์ : เป็นเชน่ นั้นจริงๆ ครบั ถา้ เราลองพิจารณาบนพนื้ ฐาน ของ “พระพุทธเจ้าของพระศากยมุนี” ในวงจรการเวียนว่ายตายเกิด โอกาสท่จี ะได้พบพระพทุ ธเจา้ นนั้ แทบจะไม่มี ในกรณีของพระศากยมุนี ท่านใช้เวลาอันยาวนานเกินกว่าท่ีจะ จินตนาการได้ จนในท่ีสุดก็สามารถพบกับพระพุทธเจ้าได้ แต่ถ้าสมมติ วา่ พวกเราอาศยั เสน้ ทางเดยี วกนั กบั พระศากยมนุ ที า่ นบา้ ง กค็ งมคี วาม จ�ำเป็นที่จะต้องใช้อาศัยความเพียรพยายามอย่างยิ่งเช่นเดียวกับท่าน ซึ่งเป็นส่ิงที่ยากล�ำบาก แล้วเราไม่มีหนทางอ่ืนอีกหรือ ท่ีท�ำให้ปุถุชน คนธรรมดาอยา่ งเราสามารถบรรลธุ รรมเปน็ พระพทุ ธเจา้ ได้ และคำ� ถาม นี้เอง ถือได้ว่าเป็นต้นก�ำเนิดที่ท�ำให้ “พระพุทธศาสนามหายาน” บงั เกดิ ข้ึน

พระพุทธศาสนามหายาน: เหตุใดค�ำสอนของพระพทุ ธเจา้ จงึ มีความหลากหลาย (2) 205 Mahāyāna Buddhism: Reasons for Diversity in the Buddha’s Teachings (2) ค�ำนงึ ถึงวิธกี ารเพ่ือใหไ้ ดพ้ บพระพทุ ธเจ้าทีไ่ มอ่ าจไดพ้ บ นกั ศกึ ษา : ผมเขา้ ใจเกย่ี วกบั ทศั นะในการมองโลกของ “พระพทุ ธ- ศาสนามหายาน” แล้ว แต่รู้สึกว่าเราจะหลุดออกมาจากหัวข้อที่คุยกัน เกี่ยวกับเร่ืองที่ว่า “ท�ำอย่างไร เราจึงจะสามารถเป็นพระพุทธเจ้าได้ ท้งั ๆ ทยี่ งั เปน็ คฤหัสถผ์ ู้ครองเรือนอย่”ู แล้วนะครบั ...... อาจารย์ : ครับ ผมเข้าใจ เรามาเข้าประเด็นท่ีว่ากัน ก่อนหน้านี้ ผมได้กล่าวถึงว่า พระศากยมุนีได้พบกับพระพุทธเจ้าในอดีต และภาย หลังจากที่ได้ตั้งความปรารถนาแล้ว ท่านก็ได้อยู่ในวงจรของสังสารวัฏ ในฐานะของพระโพธิสัตว์ แต่ในสังสารวัฏท่ีต้องเวียนว่ายตายเกิด ไม่ได้หมายความว่าเราจะได้เกิดเป็นมนุษย์เสมอไป เมื่อเราสามารถ ไปเกดิ เปน็ เทวดา40 ในเทวภมู 4ิ 1 ได้ เรากส็ ามารถตกไปอยใู่ นตริ จั ฉานภมู 4ิ 2 เกิดเป็นสัตวเ์ ดรจั ฉานไดด้ ว้ ยเชน่ เดียวกนั อย่างไรก็ตาม ถ้าในอดีตชาติได้ตั้งความปรารถนาไว้กับ พระพุทธเจ้าแล้ว แม้จะต้องไปเกิดในอัตภาพของกระต่ายก็ตาม ก็อยู่ในฐานะของกระต่ายพระโพธิสัตว์ แน่นอนว่ากระต่ายไม่สามารถ ที่จะออกบวชได้ ดังน้ัน การใช้ชีวิตท่ีถูกต้องในฐานะของกระต่าย จึงถือเป็นการประพฤติปฏิบัติเพ่ือความเป็นพระพุทธเจ้าของพระ- โพธิสัตว์น่ันเอง เมื่อพิจารณาถึงจุดน้ี คงพอท�ำให้เราได้ค�ำตอบแล้วว่า เหตุใด “พระพุทธศาสนามหายาน” จึงมีแนวคิดในเรื่องที่สามารถเป็น พระพุทธเจ้าได้โดยท่ีไมต่ ้องออกบวช 40 ผูแ้ ปล : ภาษาญปี่ ุ่นใชค้ ำ� วา่ 神 (kami) 41 ผแู้ ปล : ภาษาญ่ปี นุ่ ใช้คำ� ว่า 天道 (tendō) 42 ผแู้ ปล : ภาษาญปี่ ่นุ ใชค้ �ำว่า 畜生道 (chikushōdō)

206 ธรรมธารา วารสารวชิ าการทางพระพุทธศาสนา ปที ่ี 6 ฉบบั ท่ี 2 (ฉบบั รวมที่ 11) ปี 2563 นักศึกษา : ถ้าคิดว่าตนเองได้เป็นพระโพธิสัตว์แล้ว ไม่ว่าจะต้อง ไปเกิดเป็นสัตว์หรือมนุษย์ก็ตาม ถ้าด�ำเนินชีวิตได้อย่างถูกต้องแล้ว ก็สามารถกล่าวได้ว่าเป็นการประพฤติปฏิบัติธรรมน่ันเอง แต่อย่างไร กต็ าม เม่ือพจิ ารณาจากการทพ่ี ระศากยมนุ ีได้ออกบวชและบรรลุธรรม เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว อย่างไรเสีย ในท่ีสุดแล้วการออกบวชก็ยังคงเป็น สงิ่ จ�ำเปน็ สดุ ทา้ ยไมใ่ ชห่ รือครบั ? อาจารย์ : จริงอยู่ท่ีพระศากยมุนีได้ออกบวชและได้บรรลุธรรม เปน็ พระพทุ ธเจา้ แตน่ นั่ กเ็ ปน็ เพยี งขนั้ ตอนสดุ ทา้ ยเทา่ นน้ั ซงึ่ เมอ่ื เทยี บ กับระยะเวลาอันยาวนานแล้ว ก็เปรียบเสมือนกับยอดภูเขาน�้ำแข็ง เพียงส่วนหน่ึงท่ีโผล่พ้นมหาสมุทรข้ึนมา แต่ยังมีส่วนมหึมาท่ีจมอยู่ ใต้มหาสมุทร ซ่ึงก็คืออดีตชาติอันยาวนานนั่นเอง ถ้าลองพิจารณา อยู่ว่า แม้พระศากยมุนีในอดีตชาติเองก็เคยถือก�ำเนิดเป็นส่ิงมีชีวิต รปู แบบตา่ งๆ และไดด้ ำ� เนนิ ชวี ติ อยา่ งถกู ตอ้ ง ควบคไู่ ปกบั การประพฤติ ปฏิบัติธรรม และเป็นเพราะอดีตชาติที่ได้สั่งสมมาเช่นน้ีเอง จึงท�ำให้ สามารถบรรลุธรรมได้ ดังน้ัน แม้จะไม่ได้ออกบวชก็ตาม เราก็สามารถ ดำ� เนินบนเสน้ ทางเดยี วกันกบั พระศากยมุนีได้เช่นกนั นักศึกษา : แม้จะกล่าวว่า “การด�ำเนินชีวิตท่ีถูกต้อง คือ การ ประพฤติปฏิบัติธรรม” ก็ตาม แต่ส�ำหรับตัวผมแล้วยังยากที่จะยอมรับ รบั แนวคดิ นไี้ ด้ อาจารยช์ ว่ ยอธบิ ายไดเ้ หน็ อยา่ งเปน็ รปู ธรรมไดไ้ หมครบั วา่ “คฤหสั ถผ์ คู้ รองเรือนควรดำ� เนนิ ชวี ติ อยา่ งไร”

พระพทุ ธศาสนามหายาน: เหตุใดค�ำสอนของพระพทุ ธเจา้ จึงมคี วามหลากหลาย (2) 207 Mahāyāna Buddhism: Reasons for Diversity in the Buddha’s Teachings (2) อาจารย์ : ดังท่ีได้กล่าวไปแล้วก่อนหน้าน้ีว่า “พระพุทธศาสนา มหายาน” มแี นวคดิ ทวี่ า่ “การสงั่ สมกศุ ลกรรม43 คอื การประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ เพอื่ ความเป็นพระพุทธเจา้ ” ซงึ่ ถ้ากล่าวให้เข้าใจงา่ ยๆ กค็ ือ “จงด�ำเนนิ ชวี ิตโดยม่งุ ประโยชนผ์ อู้ นื่ 44” นั่นเอง แน่นอนว่า “พระพุทธศาสนาของพระศากยมุนี” ก็มีแนวคิดใน เรอื่ ง “ประโยชนผ์ ู้อืน่ ” เช่นกัน แตน่ ั่นเปน็ แนวคดิ ของ “ประโยชนผ์ ูอ้ น่ื ท่ี อยบู่ นพนื้ ฐานของประโยชนต์ นเอง45” กลา่ วคอื การเรมิ่ ตน้ ทจ่ี ะประพฤติ ปฏบิ ตั ธิ รรมอยา่ งเขม้ ขน้ ของตนเอง ไดท้ ำ� ใหผ้ คู้ นทงั้ หลายทด่ี ำ� เนนิ ชวี ติ อยู่บนความทุกข์ได้รู้สึกว่า “ยังมีหนทางที่ช่วยให้พ้นทุกข์ได้อยู่” นี่คือ “ประโยชน์ผู้อ่ืน” ใน “พระพุทธศาสนาของพระศากยมุนี” ถ้าจะกล่าว อกี ทกี ค็ อื เปน็ “ประโยชนผ์ อู้ น่ื ” ในลกั ษณะของการเปน็ ตน้ แบบทด่ี แี ละ นำ� พาใหผ้ อู้ นื่ ใหป้ ระพฤตติ าม แตส่ ำ� หรบั “ประโยชนผ์ อู้ น่ื ” ใน “พระพทุ ธ- ศาสนามหายาน” เป็นการกระท�ำในทางตรง คือ “การช่วยเหลือผู้อื่น โดยการเสยี สละตนเอง” เปน็ พนื้ ฐาน จะขอยกตัวอย่างเปรียบเทียบความแตกต่างของทั้ง 2 รูปแบบ โดยยกตัวอย่างชีวิตของสัตว์ขึ้นมา น่าจะท�ำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น พ่อไก่ แม่ไก่ได้หาเหยื่อต่อหน้าลูกเจี๊ยบ เมื่อลูกเจี๊ยบได้เห็น ก็ได้เรียนรู้วิธีใน การหาเหยื่อ กล่าวคือ เป็นการแสดงถึงวิธีหาเหย่ือให้ลูกเจี๊ยบได้เห็น แลว้ ในทสี่ ดุ กเ็ ชอื่ มโยงกบั การชว่ ยเหลอื ลกู เจยี๊ บนนั่ เอง นคี่ อื “ประโยชน์ ผู้อ่ืน” ใน “พระพุทธศาสนาของพระศากยมุนี” ในอีกด้านหน่ึงของ “ประโยชนผ์ อู้ น่ื ” ใน “พระพทุ ธศาสนามหายาน” นนั้ เปน็ เหมอื นกบั การ 43 ผู้แปล : ภาษาญี่ปุ่นใช้ค�ำว่า 善行 (zengyō) ซึ่งตรงข้ามกับ “อกุศล- กรรม” ทวี่ ่า 悪行 (akugyō) 44 ผแู้ ปล : ภาษาญ่ปี ่นุ ใช้คำ� วา่ 利他 (rita) 45 ผแู้ ปล : ภาษาญป่ี ุ่นใชค้ ำ� ว่า 自利 (jiri)

208 ธรรมธารา วารสารวิชาการทางพระพทุ ธศาสนา ปที ่ี 6 ฉบบั ท่ี 2 (ฉบับรวมท่ี 11) ปี 2563 ช่วยเหลือเสือที่อดอยาก โดยการสละชีวิตตนเองให้เสือที่อยู่ต่อหน้า วา่ “จงกินเน้ือของเราเพ่อื ยืดชวี ติ ของท่านออกไป” น่ันเอง นักศึกษา : พอฟังค�ำว่า “ประโยชน์ผู้อื่น” โดยท่ัวไปก็จะเข้าใจว่า เป็นแนวคดิ ของ “พระพทุ ธศาสนามหายาน” นะครบั อาจารย์ : นนั่ เปน็ เพราะพระพทุ ธศาสนาในญป่ี นุ่ เปน็ “พระพทุ ธ- ศาสนามหายาน” จงึ ทำ� ใหไ้ มค่ อ่ ยเหน็ ภาพของ “ประโยชนผ์ อู้ น่ื ทอี่ ยบู่ น พื้นฐานของประโยชน์ตนเอง” ใน “พระพุทธศาสนาของพระศากยมุนี” สำ� หรบั “ประโยชนผ์ อู้ นื่ ในรปู แบบของการเสยี สละตนเอง” ใน “พระพทุ ธ- ศาสนามหายาน” น้ันเป็นการมุ่งไปที่การช่วยเหลือผู้อื่นเป็นส�ำคัญ จึงท�ำให้รู้สึกว่าเป็นรูปแบบท่ียอดเยี่ยม แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าพิจารณา กลับไปถึงต้นสายแล้วจะพบว่าเป็น “ประโยชน์ผู้อื่นที่เป็นไปเพ่ือ ประโยชน์ตนเอง” ในการบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าของตนเองนั่นเอง กล่าวคอื เป็นโครงสรา้ งของ “ประโยชนผ์ ู้อื่น → ประโยชน์ตนเอง” เมื่อเป็นเช่นน้ี “การสั่งสมกุศลกรรมในชีวิตประจ�ำวัน คือ การ ประพฤติปฏิบัติเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า” ใน “พระพุทธศาสนา มหายาน” จงึ เปน็ “กุศลกรรมขน้ั อกุ ฤษฏ4์ 6” นกั ศกึ ษา : แลว้ กศุ ลกรรมขัน้ อกุ ฤษฏ์ทวี่ า่ นี้ คอื อะไรหรอื ครับ ? อาจารย์ : นนั่ คอื แนวความคดิ ในเรอื่ งทวี่ า่ “การไดพ้ บพระพทุ ธเจา้ และสักการะบูชาพระองค์ เป็นหนทางที่ลัดท่ีสุดเพื่อบรรลุความเป็น พระพุทธเจา้ ” 46 ผแู้ ปล : ภาษาญี่ปนุ่ ใช้คำ� วา่ 究極 (kyūkyoku)

พระพุทธศาสนามหายาน: เหตุใดค�ำสอนของพระพทุ ธเจ้าจงึ มคี วามหลากหลาย (2) 209 Mahāyāna Buddhism: Reasons for Diversity in the Buddha’s Teachings (2) นักศึกษา : ตกลงหมายความว่ายังไงหรือครบั ? อาจารย์ : เป็นเพราะว่า “กุศลกรรมในชีวิตประจ�ำวันเป็นพลัง ทนี่ ำ� ไปสกู่ ารบรรลเุ ปน็ พระพทุ ธเจา้ ” ซง่ึ ถา้ เปน็ แตเ่ ดมิ คงจะตอ้ งบำ� เพญ็ “ประโยชนผ์ อู้ น่ื ” เพอ่ื ชว่ ยเหลอื ผคู้ นรอบขา้ ง แตเ่ มอื่ เปน็ “กศุ ลกรรมใน ชีวิตประจำ� วนั ” ก็สามารถปรับเปล่ียนมาเป็นวิธกี ารแบบอ่ืนได้เชน่ กัน ยกตัวอย่างเช่น เมื่อมีแนวความคิดว่า “การสักการะบูชา พระพุทธเจ้าจัดเป็นกุศลกรรม” เหมือนกับการท่ีเราได้ไปเคารพผู้ตาย ที่สุสานและคิดว่าการกระท�ำนี้จัดเป็นกุศลกรรม ดังนั้น ผลท่ีตามมาก็ คือแนวคิดที่ว่า “เราสามารถเป็นพระพุทธเจ้าได้ด้วยการสักการะบูชา พระพุทธเจ้า” นนั่ เอง นักศึกษา : แม้จะกล่าวว่า “การได้พบพระพุทธเจ้าและสักการะ บูชาพระองค์ เป็นหนทางที่ลัดที่สุดเพื่อบรรลุความเป็นพระพุทธเจ้า” แล้วเราตอ้ งไปทใี่ ดจงึ จะสามารถพบพระพุทธเจา้ ไดห้ รือครับ ? อาจารย์ : ประเด็นส�ำคัญอยู่ตรงน้ันครับ อุปสรรคที่ใหญ่ท่ีสุดใน แนวคำ� สอนของ “พระพทุ ธศาสนามหายาน” กค็ อื “การทไี่ มอ่ าจพบพระ- พุทธเจ้าได้จริงๆ” เม่ือเป็นเช่นนี้ “พระพุทธศาสนามหายาน” จึงได้มี แนวคิดต่างๆ นานา เพื่อค้นหาค�ำตอบท่ีว่า “ท�ำอย่างไรจึงจะสามารถ พบพระพุทธเจ้าท่ีไม่อาจพบได้” หรือ “ท�ำอย่างไรจึงจะท�ำให้ผู้คน ทั้งหลายยอมรับในเร่ืองการได้พบพระพุทธเจ้าท่ีไม่ได้พบจริงๆ” สิ่งน้ี เองทีเ่ ป็นความนา่ สนใจและเนอ้ื แท4้ 7 ของ “พระพุทธศาสนามหายาน” 47 ผแู้ ปล : ภาษาญ่ปี นุ่ ใชค้ ำ� ว่า 真骨頂 (shinkocchō)

210 ธรรมธารา วารสารวชิ าการทางพระพุทธศาสนา ปที ี่ 6 ฉบับท่ี 2 (ฉบบั รวมท่ี 11) ปี 2563 สำ� หรบั ประเทศญป่ี นุ่ ในปจั จบุ นั มพี ระสตู รในสายของ “พระพทุ ธ- ศาสนามหายาน” เปน็ จำ� นวนมาก อาทิ ปรชั ญาปารมติ าสตู ร48 สทั ธรรม ปุณฑรีกสูตร49 อวตังสกสูตร50 อมิตาภสูตร51 มหาปรินิพพานสูตร52 ซึ่งเป็นพระสูตรที่ถูกสร้างขึ้นแตกต่างกันจากยุคหนึ่งไปสู่อีกยุคหน่ึง โดยเหตุผลของการรจนาข้ึนนั้น แท้ท่ีจริงแล้วอยู่ท่ีการค้นหาค�ำตอบ ในเร่ืองดังกล่าวน่ันเอง ส�ำหรับลักษณะเฉพาะและความแตกต่างของ พระสตู รแตล่ ะพระสูตรน้ัน จะนำ� มากลา่ วในลำ� ดบั ต่อไป (โปรดติดตามบทท่ี 2 ในวารสารฉบับตอ่ ไป) 48 ผู้แปล : ภาษาญีป่ ุ่นใชค้ �ำว่า 般若経 (hannyakyō) 49 ผแู้ ปล : ภาษาญ่ปี ุ่นใช้คำ� วา่ 法華経 (hokekyō) 50 ผู้แปล : ภาษาญปี่ นุ่ ใชค้ ำ� วา่ 華厳経 (kegonkyō) 51 ผแู้ ปล : ภาษาญ่ีปุ่นใช้คำ� ว่า 阿弥陀経 (amidakyō) 52 ผู้แปล : ภาษาญี่ป่นุ ใช้ค�ำวา่ 涅槃経 (nehankyō)

พระพุทธศาสนามหายาน: เหตุใดคำ� สอนของพระพุทธเจ้าจึงมคี วามหลากหลาย (2) 211 Mahāyāna Buddhism: Reasons for Diversity in the Buddha’s Teachings (2) บรรณานกุ รม • ภาษาตา่ งประเทศ 1. หนังสอื Sasaki, Shizuka (佐々木閑). Gōtama wa ikanishite Budda to natta no ka ゴータマは、いかにしてブッダとなったのか (พระสมณโคดม เปน็ พระพทุ ธเจ้าไดอ้ ย่างไร?). Tokyo: NHK Publishing, 2013. __________________________. Bessatsu NHK hyappun de meichoshūchū kōgi Daijō Bukkyō kōshite Budda no oshie wa henyō shita 100 別冊 NHK 分 de 名著 集中講義 大乗仏教 こうしてブッダの教 えは変容した (วรรณกรรมชอื่ ดงั ใน 100 นาทขี อง NHK พระพทุ ธ- ศาสนามหายาน: เหตุใดค�ำสอนของพระพุทธเจ้าจึงมีความ หลากหลาย ?). Tokyo: NHK Publishing, 2017.