1 ความหมายของคอมพวิ เตอร์ คอมพิวเตอร์มาจากภาษาละตินว่า Computare ซึ่งหมายถึง การนับ หรือ การคานวณ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายของคอมพิวเตอร์ไว้ว่า\"เคร่ืองอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติทาหนา้ ทีเ่ หมือนสมองกล ใชส้ าหรับแกป้ ญั หาตา่ งๆท่ีงา่ ยและซบั ซอ้ นโดยวิธีทางคณิตศาสตร์\" คอมพิวเตอร์จึงเป็นเคร่ืองจักรอิเล็กทรอนิกส์ท่ีถูกสร้างขึ้นเพ่ือใช้ทางานแทนมนุษย์ ในด้านการคิดคานวณและสามารถจาข้อมูล ท้ังตัวเลขและตัวอักษรได้เพื่อการเรียกใช้งานในคร้ังต่อไป นอกจากนี้ ยังสามารถจัดการกับสัญลักษณ์ได้ด้วยความเร็วสูง โดยปฏิบัติตามขั้นตอนของโปรแกรม คอมพิวเตอร์ยังมีความสามารถในด้านต่างๆ อีกมาก อาทิเช่น การเปรียบเทียบทางตรรกศาสตร์ การรับส่งข้อมูล การจัดเก็บข้อมลู ในตวั เครอ่ื งและสามารถประมวลผลจากข้อมูลต่างๆได้ทม่ี าของข้อมลู : http://www.thaiwbi.com/course/Intro_com/Intro_com/wbi1/hie/page11.htm คณุ ลักษณะการทางานของคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็ตาม จะมีลักษณะการทางานของส่วนต่างๆท่ีมีความสัมพันธ์กันเปน็ กระบวนการ โดยมอี งคป์ ระกอบพืน้ ฐานหลกั คอื Input Process และ output ซึ่งมีข้ันตอนการทางานดังภาพ ขน้ั ตอนท่ี 1 : รับข้อมลู เข้า (Input) เร่ิมต้นด้วยการนาข้อมูลเข้าเคร่ืองคอมพิวเตอร์ ซ่ึงสามารถผ่านทางอุปกรณ์ชนิดต่างๆ แล้วแต่ชนิดของข้อมูลที่จะปูอนเข้าไป เช่น ถ้าเป็นการพิมพ์ข้อมูลจะใช้แผงแปูนพิมพ์ (Keyboard) เพื่อพิมพ์ข้อความหรือโปรแกรมเข้าเคร่ือง ถ้าเป็นการเขียนภาพจะใช้เครื่องอ่านพิกัดภาพกราฟิก (Graphics Tablet) โดยมีปากกาชนิดพิเศษสาหรับเขียนภาพ หรือถ้าเป็นการเล่นเกมก็จะมีก้านควบคุม (Joystick) สาหรับเคล่ือนตาแหน่งของการเลน่ บนจอภาพ เปน็ ต้น ขัน้ ตอนท่ี 2 : ประมวลผลขอ้ มลู (Process) เม่ือนาข้อมูลเข้ามาแล้ว เครื่องจะดาเนินการกับข้อมูลตามคาส่ังท่ีได้รับมาเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามท่ีต้องการ การประมวลผลอาจจะมีไดห้ ลายอยา่ ง เชน่ นาขอ้ มูลมาหาผลรวม นาข้อมูลมาจัดกลุ่ม นาข้อมูลมาหาคา่ มากทส่ี ุด หรอื น้อยท่สี ุด เปน็ ตน้ ข้ันตอนที่ 3 : แสดงผลลพั ธ์ (Output) เป็นการนาผลลัพธ์จากการประมวลผลมาแสดงให้ทราบทางอุปกรณ์ที่กาหนดไว้ โดยทั่วไปจะแสดงผ่านทางจอภาพ หรือเรียกกันโดยทั่วไปว่า \"จอมอนิเตอร์\" (Monitor) หรือจะพิมพ์ข้อมูลออกทางกระดาษโดยใชเ้ ครอ่ื งพมิ พก์ ไ็ ด้ท่ีมาของข้อมลู : http://www.thaiwbi.com/course/Intro_com/Intro_com/wbi1/hie/page12.htm
2 องค์ประกอบของคอมพวิ เตอร์ องค์ประกอบพน้ื ฐานของระบบคอมพิวเตอร์ประกอบไปด้วย 1. ฮารด์ แวร์ (Hardware) 2. ซอฟต์แวร์ (Software) 3. บคุ ลากร (Peopleware) 4. ข้อมูล (Data) ฮารด์ แวร์ (Hardware) หมายถึง อุปกรณต์ า่ งๆ ทป่ี ระกอบขึ้นเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ มีลักษณะเป็นโครงรา่ งสามารถมองเห็นด้วยตาและสัมผัสได้ (รูปธรรม) เช่น จอภาพ คีย์บอร์ด เครื่องพิมพ์ เมาส์ เป็นต้น ซ่ึงสามารถแบง่ ออกเป็นส่วนตา่ งๆ ตามลักษณะการทางาน ได้ 4 หน่วย คือ หน่วยรับข้อมูล (Input Unit) หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit : CPU) หน่วยแสดงผล (Output Unit) หน่วยเก็บขอ้ มลู สารอง(Secondary Storage) โดยอปุ กรณแ์ ต่ละหนว่ ยมหี น้าท่กี ารทางานแตกตา่ งกนั ซอฟต์แวร์ (Software) หมายถึง ส่วนท่ีมนุษย์สัมผัสไม่ได้โดยตรง (นามธรรม) เป็นโปรแกรมหรือชุดคาส่ังที่ถูกเขียนข้ึนเพื่อสั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทางาน ซอฟต์แวร์จึงเป็นเหมือนตัวเช่ือมระหว่างผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์และเคร่ืองคอมพิวเตอร์ ถ้าไม่มีซอฟต์แวร์เราก็ไม่สามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ทาอะไรได้เลยซอฟตแ์ วรส์ าหรับเครอื่ งคอมพวิ เตอรส์ ามารถแบง่ ออกได้เป็น 1.ซอฟต์แวร์สาหรับระบบ (System Software) คือ ชุดของคาสั่งที่เขียนไว้เป็นคาสั่งสาเร็จรูป ซึ่งจะทางานใกล้ชิดกับคอมพิวเตอร์มากท่ีสุด เพ่ือคอยควบคุมการทางานของฮาร์ดแวร์ทุกอย่าง และอานวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ในการใช้งาน ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมระบบที่รู้จักกันดีก็คือ DOS, Windows, Unix, Linuxรวมทั้งโปรแกรมแปลคาส่ังที่เขียนในภาษาระดับสูง เช่น ภาษา Basic, Fortran, Pascal, Cobol, C เป็นต้นนอกจากน้ีโปรแกรมท่ีใช้ในการตรวจสอบระบบเช่น Norton’s Utilities ก็นับเป็นโปรแกรมสาหรับระบบด้วยเชน่ กนั 2. ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software) คือ ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมท่ีนาให้คอมพิวเตอร์ทางานต่างๆ ตามท่ีผู้ใช้ต้องการ ไม่ว่าจะด้านเอกสาร บัญชี การจัดเก็บข้อมูล เป็นต้น ซอฟต์แวร์ประยุกต์สามารถจาแนกได้เป็น 2 ประเภท คอื 2.1 ซอฟต์แวร์สาหรบั งานเฉพาะดา้ น คือ โปรแกรมซึ่งเขียนขึ้นเพ่ือการทางานเฉพาะอย่างท่ีเราต้องการ บางท่ีเรียกว่า User’s Program เช่น โปรแกรมการทาบัญชีจ่ายเงินเดือน โปรแกรมระบบเช่าซ้ือโปรแกรมการทาสินค้าคงคลัง เป็นต้น ซึ่งแต่ละโปรแกรมก็มักจะมีเงื่อนไข หรือแบบฟอร์มแตกต่างกันออกไปตามความต้องการ หรือกฎเกณฑ์ของแต่ละหน่วยงานที่ใช้ ซ่ึงสามารถดัดแปลงแก้ไขเพิ่มเติม (Modifications)ในบางส่วนของโปรแกรมได้ เพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ และซอฟต์แวร์ประยุกต์ท่ีเขียนข้ึนนี้โดยส่วนใหญ่มกั ใชภ้ าษาระดับสูงเปน็ ตัวพัฒนา 2.3 ซอฟต์แวร์สาหรับงานท่ัวไป เป็นโปรแกรมประยุกต์ที่มีผู้จัดทาไว้ เพ่ือใช้ในการทางานประเภทต่างๆ ท่ัวไป โดยผู้ใช้คนอ่ืนๆ สามารถนาโปรแกรมน้ีไปประยุกต์ใช้กับข้อมูลของตนได้ แต่จะไม่สามารถทาการดัดแปลง หรอื แก้ไขโปรแกรมได้ ผู้ใช้ไม่จาเป็นต้องเขียนโปรแกรมเอง ซ่ึงเป็นการประหยัดเวลาแรงงาน และค่าใช้จ่ายในการเขียนโปรแกรม นอกจากน้ี ยังไม่ต้องเวลามากในการฝึกและปฏิบัติ ซึ่งโปรแกรมสาเรจ็ รูปนี้ มกั จะมกี ารใช้งานในหน่วยงานมราขาดบุคลากรท่มี ีความชานาญเป็นพิเศษในการเขียนโปรแกรม
3 บุคลากร (Peopleware) หมายถึง บุคลากรในงานด้านคอมพิวเตอร์ ซ่ึงมีความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ สามารถใชง้ าน ส่ังงานเพือ่ ให้คอมพิวเตอร์ทางานตามทตี่ อ้ งการ แบ่งออกได้ 4 ระดับ ดังนี้ 1.ผู้จัดการระบบ (System Manager) คือ ผู้วางนโยบายการใช้คอมพิวเตอร์ให้เป็นไปตามเปูาหมายของหน่วยงาน 2.นกั วิเคราะหร์ ะบบ (System Analyst)คือ ผู้ทีศ่ ึกษาระบบงานเดิมหรอื งานใหม่และทาการวิเคราะห์ความเหมาะสม ความเป็นไปไดใ้ นการใช้คอมพิวเตอร์กับระบบงาน เพ่ือให้โปรแกรมเมอร์เป็นผู้เขียนโปรแกรมใหก้ บั ระบบงาน 3. โปรแกรมเมอร์ (Programmer)คือ ผู้เขียนโปรแกรมสั่งงานเคร่ืองคอมพิวเตอร์เพ่ือให้ทางานตามความตอ้ งการของผู้ใช้ โดยเขียนตามแผนผังทน่ี กั วเิ คราะหร์ ะบบไดเ้ ขียนไว้ 4. ผู้ใช้ (User)คือ ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ทั่วไป ซึ่งต้องเรียนรู้วิธีการใช้เคร่ือง และวิธีการใช้งานโปรแกรม เพ่ือให้โปรแกรมท่ีมีอยู่สามารถทางานได้ตามที่ต้องการเนื่องจากเป็นผู้กาหนดโปรแกรมและใช้งานเคร่ืองคอมพิวเตอร์ มนุษย์จึงเป็นตัวแปรสาคัญในอันที่จะทาให้ผลลัพธ์มีความน่าเช่ือถือ เน่ืองจากคาส่ังและขอ้ มูลทใี่ ช้ในการประมวลผลได้รับจากการกาหนดของมนษุ ย์ (Peopleware) ท้ังส้นิ ข้อมลู (Data) ข้อมูลเป็นองคป์ ระกอบทีส่ าคญั อย่างหน่ึงในระบบคอมพิวเตอร์ เป็นสิ่งที่ต้องปูอนเข้าไปในคอมพิวเตอร์ พร้อมกับโปรแกรมที่นักคอมพิวเตอร์เขียนข้ึนเพ่ือผลิตผลลัพธ์ท่ีต้องการออกมา ข้อมูลท่ีสามารถนามาใช้กับคอมพิวเตอร์ได้ มี 5 ประเภท คือ ข้อมูลตัวเลข (Numeric Data) ข้อมูลตัวอักษร (TextData) ข้อมูลเสียง (Audio Data) ข้อมูลภาพ (Images Data) และข้อมูลภาพเคลื่อนไหว (Video Data) ในการนาข้อมูลไปใชน้ ัน้ เรามีระดับโครงสร้างของขอ้ มลู ดงั นี้ โครงสร้างข้อมูล (Data Structure) บติ (Bit) คือ ขอ้ มลู ท่มี ีขนาดเลก็ ทสี่ ุด เปน็ ข้อมูลท่ีเคร่อื งคอมพิวเตอร์สามารถเขา้ ใจและนาไปใชง้ านได้ ซง่ึ ไดแ้ ก่ เลข 0 หรอื เลข 1 เทา่ นั้น ไบต์ (Byte) หรือ อกั ขระ (Character) ไดแ้ ก่ ตวั เลข หรอื ตวั อกั ษร หรือ สญั ลักษณ์พิเศษ 1 ตวั เช่น 0, 1, …, 9, A, B, …, Z และเคร่ืองหมายตา่ งๆ ซึ่ง 1 ไบต์จะเท่ากบั 8 บติ หรือ ตวั อักขระ 1 ตวั เป็นตน้ ฟิลด์ (Field) ไดแ้ ก่ ไบต์ หรอื อกั ขระตงั้ แต่ 1 ตัวขนึ้ ไปรวมกันเปน็ ฟลิ ด์ เชน่ เลขประจาตวั ชื่อพนักงาน เป็นต้น เรคคอร์ด (Record) ไดแ้ ก่ ฟลิ ด์ตงั้ แต่ 1 ฟิลด์ ขน้ึ ไป ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องรวมกนั เปน็ เรคคอร์ด เชน่ ชอื่ นามสกลุ เลขประจาตวั ยอดขาย ข้อมลู ของพนักงาน 1 คน เป็น 1 เรคคอร์ด ไฟล์ (Files) หรือ แฟ้มขอ้ มูล ไดแ้ ก่ เรคคอรด์ หลายๆ เรคคอรด์ รวมกนั ซ่ึงเป็นเร่ืองเดียวกนั เช่น ข้อมูล ของประวัตพิ นักงานแตล่ ะคนรวมกันทงั้ หมดเป็นไฟล์หรอื แฟมู ข้อมลู เกีย่ วกับประวตั ิพนักงานของบรษิ ัท เป็นตน้ ฐานข้อมลู (Database) คือ การเกบ็ รวบรวมไฟล์ข้อมลู หลายๆ ไฟล์ที่เกี่ยวข้องกนั มารวมเขา้ ด้วยกัน เชน่ ไฟล์ข้อมลู ของแผนกต่างๆ มารวมกนั เปน็ ฐานข้อมูลของบรษิ ทั เป็นต้น
4การวัดขนาดขอ้ มูล ในการพิจารณาวา่ ขอ้ มลู ใดมีขนาดมากน้อยเพยี งไร เรามีหนว่ ยในการวัดขนาดของข้อมูลดังตอ่ ไปนี้ 8 Bit = 1 Byte 1,024 Byt = 1 KB (กโิ ลไบต์) 1,024 KB = 1 MB (เมกกะไบต์) 1,024 MB = 1 GB (กิกะไบต)์ 1,024 GB = 1TB (เทระไบต์)ท่มี าของข้อมูล : http://innovation.kpru.ac.th/web17/551121727/innovation/index.php/4 การแบง่ ประเภทของคอมพวิ เตอร์ จากประวัติความเป็นมาของคอมพิวเตอร์ จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีทางด้านคอมพิวเตอร์มีการพัฒนาเปลีย่ นแปลงไปอยา่ งรวดเร็วมาก ทาให้ปัจจบุ ันมีเครอ่ื งคอมพิวเตอรใ์ ห้เลอื กใชม้ ากมายหลายรูปแบบตามความต้องการของผ้ใู ช้ การแบ่งประเภทของคอมพวิ เตอร์นน้ั สามารถจาแนกออกได้เปน็ 3 กล่มุ หลัก ดงั นี้ 1.ประเภทของคอมพวิ เตอร์ตามหลักการประมวลผล 2.ประเภทของคอมพวิ เตอร์ตามวตั ถุประสงค์ของการใช้งาน 3.ประเภทของคอมพวิ เตอร์ตามความสามารถของระบบแบ่งตามหลักการประมวลผล จาแนกไดเ้ ป็น 3 ประเภท คือ คอมพิวเตอร์แบบแอนะล็อก (Analog Computer) หมายถึง เครื่องมือประมวลผลข้อมูลท่ีอาศัย หลักการวัด (Measuring Principle) ทางานโดยใช้ข้อมูลท่ีมีการเปลี่ยนแปลงแบบต่อเนื่อง (Continuous Data) แสดงออกมาในลักษณะสัญญาณท่ีเรียกว่า Analog Signal เครื่องคอมพิวเตอร์ ประเภทนี้มักแสดงผลด้วยสเกลหน้าปัทม์ และเข็มชี้ เช่น การวัดค่าความยาว โดยเปรียบเทียบกับ สเกลบนไม้บรรทัด การวัดคา่ ความรอ้ นจากการขยายตวั ของปรอทเปรยี บเทยี บกับสเกลข้างหลอดแก้ว นอกจากนี้ยงั มีตัวอยา่ งของ Analog Computer ที่ใช้การประมวลผลแบบเป็นขั้นตอน เช่น เคร่ืองวัด ปริมาณการใช้น้าด้วยมาตรวัดน้า ท่ีเปล่ียนการไหลของน้าให้เป็นตัวเลขแสดงปริมาณ อุปกรณ์วัด ความเร็วของรถยนต์ในลกั ษณะเข็มช้ี หรือเครอื่ งตรวจคลย่ื สมองทแี่ สดงผลเป็นรูปกราฟ เปน็ ตน้ คอมพิวเตอร์แบบดิจิทัล (Digital Computer) ซ่ึงก็คือคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการทางานท่ัวๆ ไปน่ันเอง เปน็ เครอ่ื งมือประมวลผลขอ้ มูลทอ่ี าศยั หลักการนับ ทางานกับข้อมูลที่มีลักษณะการเปล่ียนแปลงแบบ ไม่ต่อเน่ือง (Discrete Data) ในลักษณะของสัญญาณไฟฟูา หรือ Digital Signal อาศัยการนับ สัญญาณข้อมูลท่ีเป็นจังหวะด้วยตัวนับ (Counter) ภายใต้ระบบฐานเวลา (Clock Time) มาตรฐาน ทาให้ผลลัพธ์เป็นที่น่าเช่ือถือ ท้ังสามารถนับข้อมูลให้ค่าความละเอียดสูง เช่นแสดงผลลัพธ์เป็น ทศนิยมได้หลายตาแหน่ง เป็นต้นเนื่องจาก Digital Computer ต้องอาศัยข้อมูลท่ีเป็นสัญญาณไฟฟูา (มนุษยส์ ัมผสั ไมไ่ ด)้ ทาให้ไม่สามารถรับข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต้นทางได้โดยตรง จึงจาเป็นต้องเปลี่ยน ข้อมูลต้นทางที่รับเข้า (Analog Signal) เป็นสัญญาณไฟฟูา (Digital Signal) เสียก่อน เมื่อ ประมวลผลเรียบร้อยแล้วจึงเปลี่ยนสัญญาณไฟฟูากลับไปเป็น Analog Signal เพื่อสื่อความหมายกับ มนุษย์ต่อไปโดยส่วนประกอบสาคัญท่ีเรียกว่า ตัวเปลี่ยนสัญญาณข้อมูล (Converter) คอยทาหน้าที่ ในการเปล่ยี นรปู แบบของสัญญาณขอ้ มูล ระหวา่ ง Digital Signal กบั Analog Signal
5 คอมพิวเตอร์แบบลูกผสม (Hybrid Computer) เคร่ืองประมวลผลข้อมูลที่อาศัยเทคนิคการทางาน แบบผสมผสาน ระหว่าง Analog Computer และ Digital Computer โดยท่ัวไปมักใช้ในงานเฉพาะ กิจ โดยเฉพาะงานด้านวทิ ยาศาสตร์ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ในยานอวกาศ ที่ใช้ Analog Computer ควบคุมการหมุนของตัวยาน และใช้ Digital Computerในการคานวณระยะทาง เป็นต้นการทางาน แบบผสมผสานของคอมพิวเตอร์ชนิดนี้ ยังคงจาเป็นต้องอาศัยตัวเปล่ียนสัญญาณ (Converter) เชน่ เดิมแบ่งตามวัตถปุ ระสงค์ของการใชง้ าน จาแนกไดเ้ ป็น 2 ประเภท คอื เครื่องคอมพิวเตอร์เพ่ืองานเฉพาะกิจ (Special Purpose Computer) หมายถึง เคร่ืองประมวลผล ข้อมูลที่ถูกออกแบบตัวเคร่ืองและโปรแกรมควบคุม ให้ทางานอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นการเฉพาะ (Inflexible) โดยทั่วไปมักใช้ในงานควบคุม หรืองานอุตสาหกรรมที่เน้นการประมวลผลแบบรวดเร็ว เช่นเคร่อื งคอมพวิ เตอร์ควบคมุ สัญญาณไฟจราจร คอมพิวเตอร์ควบคุมลิฟท์ หรือคอมพิวเตอร์ควบคุม ระบบอตั โนมัตใิ นรถยนต์ เป็นต้น เคร่ืองคอมพิวเตอร์เพ่ืองานอเนกประสงค์ (General Purpose Computer) หมายถึง เครื่องประมวลผลข้อมูลท่ีมีความยืดหยุ่นในการทางาน (Flexible) โดยได้รับการออกแบบให้สามารถ ประยุกต์ใช้ในงานประเภทต่างๆ ได้โดยสะดวก โดยระบบจะทางานตามคาส่ังในโปรแกรมท่ีเขียน ข้ึนมา และเมื่อผู้ใช้ต้องการให้เคร่ืองคอมพิวเตอร์ทางานอะไร ก็เพียงแต่ออกคาสั่งเรียกโปรแกรมท่ี เหมาะสมเข้ามาใช้งาน โดยเราสามารถเก็บโปรแกรมไว้หลายโปรแกรมในเครื่องเดียวกันได้ เช่น ในขณะหน่ึงเราอาจใช้เคร่ืองน้ีในงานประมวลผลเก่ียวกับระบบบัญชี และในขณะหนึ่งก็สามารถใช้ใน การออกเชค็ เงนิ เดอื นได้ เป็นต้นแบ่งตามความสามารถของระบบ จาแนกออกได้เป็น 4 ชนิด โดยพิจารณาจาก ความสามารถในการเก็บข้อมลู และ ความเรว็ ในการประมวลผล เป็นหลกั ดงั นี้ ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ (Super Computer) หมายถึง เครื่องประมวลผลข้อมูลที่มีความสามารถใน การประมวลผลสูงท่ีสุด โดยท่ัวไปสร้างข้ึนเป็นการเฉพาะเพ่ืองานด้านวิทยาศาสตร์ที่ต้องการการ ประมวลผลซับซ้อน และต้องการความเร็วสูง เช่น งานวิจัยขีปนาวุธ งานโครงการอวกาศสหรัฐ (NASA) งานส่อื สารดาวเทยี ม หรอื งานพยากรณ์อากาศ เปน็ ตน้ เมนเฟรมคอมพวิ เตอร์ (Mainframe Computer) หมายถึง เครือ่ งประมวลผลข้อมูลทีม่ ีส่วนความจา และความเร็วนอ้ ยลง สามารถใช้ข้อมูลและคาสั่งของเครื่องรุ่นอ่ืนในตระกูล (Family) เดียวกันได้ โดย ไม่ต้องดัดแปลงแก้ไขใดๆ นอกจากน้ันยังสามารถทางานในระบบเครือข่าย (Network) ได้เป็นอย่างดี โดยสามารถเช่ือมต่อไปยังอุปกรณ์ที่เรียกว่า เคร่ืองปลายทาง (Terminal) จานวนมากได้ สามารถ ทางานได้พร้อมกันหลายงาน (Multi Tasking) และใช้งานได้พร้อมกันหลายคน (Multi User) ปกติ เครอ่ื งชนดิ นีน้ ยิ มใชใ้ นธุรกจิ ขนาดใหญ่ มีราคาตั้งแต่สิบล้านบาทไปจนถึงหลายร้อยล้านบาท ตัวอย่าง ของเครื่องเมนเฟรมที่ใชก้ ันแพร่หลายก็คือ คอมพิวเตอร์ของธนาคารทเี่ ช่อื มต่อไปยังตู้ ATM และสาขา ของธนาคารทั่วประเทศนัน่ เอง มินิคอมพิวเตอร์ (Mini Computer) ธุรกิจและหน่วยงานที่มีขนาดเล็กไม่จาเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ ขนาดเมนเฟรมซึง่ มีราคาแพง ผูผ้ ลติ คอมพิวเตอรจ์ ึงพัฒนาคอมพิวเตอร์ใหม้ ขี นาดเล็กและมีราคาถูกลง เรียกว่า เคร่อื งมินคิ อมพิวเตอร์ โดยมีลักษณะพิเศษในการทางานร่วมกับอุปกรณ์ประกอบรอบข้างท่ีมี ความเร็วสูงได้ มีการใช้แผ่นจานแม่เหล็กความจุสูงชนิดแข็ง (Harddisk) ในการเก็บรักษาข้อมูล
6 สามารถอ่านเขียนข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว หน่วยงานและบริษัทที่ใช้คอมพิวเตอร์ขนาดนี้ ได้แก่ กรม กอง มหาวทิ ยาลยั หา้ งสรรพสนิ ค้า โรงแรม โรงพยาบาล และโรงงานอุตสาหกรรมตา่ งๆ ไมโครคอมพิวเตอร์ (Micro Computer) หมายถึง เครื่องประมวลผลข้อมูลขนาดเล็ก มีส่วนของ หน่วยความจาและความเร็วในการประมวลผลน้อยท่ีสุด สามารถใช้งานได้ด้วยคนเดียว จึงมักถูก เรียกวา่ คอมพิวเตอรส์ ว่ นบคุ คล (Personal Computer : PC) ปัจจุบัน ไมโครคอมพิวเตอร์มีประสิทธิภาพสูงกว่าในสมัยก่อนมาก อาจเท่ากับหรือมากกว่าเคร่ืองเมนเฟรมในยุคกอ่ น นอกจากนนั้ ยงั ราคาถูกลงมาก ดังนนั้ จึงเป็นทีน่ ิยมใช้มาก ทั้งตามหน่วยงานและบริษัทห้างร้าน ตลอดจนตามโรงเรียน สถานศึกษา และบ้านเรือน บริษัทที่ผลิตไมโครคอมพิวเตอร์ออกจาหน่ายจนประสบความสาเรจ็ เปน็ บรษิ ทั แรก คอื บรษิ ทั แอปเปิลคอมพิวเตอร์ เครอื่ งไมโครคอมพวิ เตอร์ จาแนกออกได้เป็น 2 ประเภทใหญๆ่ คอื1.แบบติดตงั้ ใช้งานอยู่กบั ท่ีบนโต๊ะทางาน (Desktop Computer)2.แบบเคลื่อนย้ายได้ (Portable Computer) สามารถพกพาติดตัว อาศัยพลังงานไฟฟูาจากแบตเตอร่ีจากภายนอก สว่ นใหญม่ ักเรยี กตามลกั ษณะของการใชง้ านวา่ Laptop Computer หรือ Notebook Computerทมี่ าของข้อมูล : http://innovation.kpru.ac.th/web17/551121727/innovation/index.php/3 วงจรการทางานของคอมพิวเตอร์ ในการทางานของคอมพิวเตอร์ จะมีข้ันตอนการทางานพื้นฐาน 4 ขั้นตอน ซึ่งประกอบด้วย การรับข้อมูล การประมวลผล การแสดงผล และการจัดเก็บข้อมูล หรือท่ีเรียกย่อๆว่า IPOS cycle (Input ProcessOuput Storage cycle) 1.รับข้อมูล (Input) คอมพิวเตอร์จะทาหน้าที่รับข้อมูลเพื่อนาไปประมวลผล อุปกรณ์ที่ทาหน้าที่รับขอ้ มูลทนี่ ิยมใชใ้ นปจั จุบัน ได้แก่ แปูนพมิ พ์(Keyboard) และเมาส(์ Mouse) เปน็ ตน้ 2.ประมวลผล (Process) เม่ือคอมพิวเตอร์รับข้อมูลเข้าสู่ระบบแล้ว จะทาการประมวลผลตามโปรแกรมหรือคาสั่งทีก่ าหนด เชน่ การคานวณภาษี การคานวณเกรดเฉลี่ย เป็นต้น 3.แสดงผล (Output) คอมพิวเตอร์จะแสดงผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลไปยังหน่วยแสดงผลอุปกรณ์ทาหน้าที่แสดงผลที่ใช้แพร่หลายในปัจจุบัน ได้แก่ จอภาพ (Monitor) และเคร่ืองพิมพ์(Printer) เป็นตน้
7 อปุ กรณ์ทท่ี างานตามโครงสร้างทางกายภาพ โดยหลักการแล้ว ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ ประกอบไปด้วยอุปกรณ์ท่ีทางานตามหน้าท่ี 4 ส่วนดว้ ยกนั คอื 1.) ส่วนรบั ข้อมลู (Input Unit) 2.) ส่วนประมวลผลข้อมลู (Central Processing Unit) 3.) สว่ นแสดงผล (Output Unit) 4.) หนว่ ยความจา (Memory Unit)สว่ นประกอบของคอมพิวเตอร์ > ส่วนรับข้อมูล(Input Unit)หนว่ ยรับขอ้ มลู (Input Unit)ทาหนา้ ทีร่ บั ขอ้ มลู จากผู้ใช้เขา้ สหู่ นว่ ยความจาหลกั ปจั จบุ ันมสี อื่ ตา่ ง ๆ ใหเ้ ลือกใช้ได้มากมาย แบ่งเป็นประเภทตา่ ง ๆ ได้ดงั น้ี อปุ กรณแ์ บบกด (Keyed Device) เช่น แปนู พิมพ์ (Keyboard) แบ่งเปน็ 4 กลุ่มดว้ ยกนั คอื - แปูนอักขระ (Character Keys) - แปูนควบคุม (Control Keys) - แปูนฟังก์ชัน (Function Keys)
8- แปูนตวั เลข (Numeric Keys) อุปกรณ์ช้ีตาแหน่ง (Pointing Device) เช่น เมาส์ (Mouse) ลูกกลมควบคุม (Track ball) แท่งช้ี ควบคมุ (Track Point) แผ่นรองสัมผัส (Touch Pad) จอยสตกิ (Joy stick) เป็นต้น จอภาพระบบไวต่อการสัมผัส (Touch-Sensitive Screen) เช่น จอภาพระบบสัมผัส (Touch screen) ระบบปากกา (Pen-Based System) เช่น ปากกาแสง (Light pen) เครื่องอ่านพิกัด (Digitizing tablet)
9 อุปกรณ์กวาดข้อมูล (Data Scanning Device) เช่น เอ็มไอซีอาร์ (Magnetic Ink Character Recognition - MICR) เคร่ืองอ่านรหัสบาร์โค้ด (Bar Code Reader) สแกนเนอร์ (Scanner) เคร่ือง รู้จาอักขระด้วยแสง (Optical Character Recognition - OCR) เครื่องอ่านเครื่องหมายด้วยแสง (Option Mark Reader -OMR) กล้องถ่ายภาพดิจิตอล (Digital Camera) กล้องถ่ายทอดวีดีโอ ดจิ ิตอล (Digital Video) อุปกรณร์ ู้จาเสียง (Voice Recognition Device) เชน่ อุปกรณว์ เิ คราะห์เสียงพูด (Speech Recognition Device)สว่ นประกอบของคอมพิวเตอร์ > สว่ นแสดงผล (Output Unit)หน่วยแสดงผล (Output Unit) ทาหน้าที่แสดงผลลัพธจ์ ากคอมพวิ เตอร์ โดยมากจะแบง่ ออกเป็น 2 ประเภท ๑.หนว่ ยแสดงผลช่ัวคราว (Soft Copy)หมายถงึ การแสดงผลออกมาให้ผใู้ ช้ได้รับทราบในขณะนัน้ แต่เมื่อเลิกการทางานหรือเลิกใช้แล้วผลน้ันก็จะหายไป ไม่เหลือเป็นวัตถุให้เก็บได้ ถ้าต้องการเก็บผลลัพธ์นั้นก็สามารถส่งถ่ายไปเก็บในรูปของข้อมูลในหน่วยเก็บขอ้ มูลสารอง เพ่อื ให้สามารถใช้งานได้ในภายหลงั ไดแ้ ก่ จอภาพ (Monitor)
10 อุปกรณ์ฉายภาพ (Projector) อุปกรณ์เสยี ง (Audio Output) 2. หนว่ ยแสดงผลถาวร (Hard Copy)หมายถงึ การแสดงผลทีส่ ามารถจับต้อง และเคลือ่ นยา้ ยไดต้ ามต้องการ มักจะออกมาในรูปของกระดาษ ซ่ึงผู้ใช้สามารถนาไปใช้ในท่ตี า่ ง ๆ หรือให้ผ้รู ่วมงานดใู นทีใ่ ด ๆ กไ็ ด้ อปุ กรณ์ที่ใช้เชน่ เคร่ืองพมิ พ์ (Printer) เคร่ืองพลอตเตอร์ (Plotter)
11สว่ นประกอบของคอมพิวเตอร์ >สว่ นประมวลผลข้อมูล (Central Processing Unit) หน่วยประมวลผลกลาง(central processing unit) หรอื ท่ีนิยมเรียกส้ัน ๆ ว่า ซีพียู (CPU)เป็นวงจรอิเล็กทรอนิคท่ีทางาน หรือประมวลผล ตามชุดของคาสั่งเครื่องจากซอฟต์แวร์ คาน้ีเร่ิมใช้ในอุตสาหกรรมคอมพวิ เตอร์ตั้งแตต่ น้ ศตวรรษ 1960s หน่วยประมวลผลเปรียบเสมือนเป็นสมองของคอมพวิ เตอร์ ในการทาหน้าท่ีตัดสินใจหรือคานวณ จากคาส่งั ท่ีไดร้ ับมา เชน่ การเปรียบเทยี บ การกระทาการทางคณติ ศาสตร์ ฯลฯโดยมีกระบวนการพนื้ ฐานคือ 1. อ่านชุดคาสั่ง (fetch) Fetch - การอ่านชุดคาส่ังขึ้นมา 1 คาสั่งจากโปรแกรม ในรูปของรหัสเลข ฐานสอง (Binary Code from on-off of BIT) 2. ตีความชุดคาสั่ง (decode) Decode - การตีความ 1 คาส่ังนั้นด้วยวงจรถอดรหัส (Decoder circuit) ตามจานวนหลกั (BIT) ว่ารหัสนจ้ี ะใหว้ งจรอน่ื ใดทางานดว้ ยขอ้ มลู ท่ใี ด 3. ประมวลผลชดุ คาส่ัง (execute) Execute - การทางานตาม 1 คาสั่งนั้น คือ วงจรใดในไมโครโปร เซสเซอร์ ทางาน เช่น วงจรบวก วงจรลบ วงจรเปรยี บเทยี บ วงจรย้ายข้อมลู ฯลฯ 4. อ่านขอ้ มูลจากหน่วยความจา (memory) Memory - การติดต่อกับหน่วยความจา การใช้ข้อมูลท่ี อยู่ในหนว่ ยจาชว่ั คราว (RAM, Register) มาใช้ในคาสงั่ นั้นโดยอ้างท่อี ยู่ (Address) 5. เขียนขอ้ มูล/ส่งผลการประมวลกลับ (write back) Write Back - การเขียนข้อมูลกลับ โดยมหี นว่ ย จา Register ช่วยเก็บท่อี ยขู่ องคาสัง่ ต่อไป ภายหลังมีคาสง่ั กระโดดบวกลบท่ีอยู่
12 โปรเซสเซอร์ (Processor) หรือ ชิป (chip) นับเป็นอุปกรณ์ ท่ีมีความสาคัญมากที่สุด ของฮาร์ดแวร์เพราะมีหน้าที่ในการประมวลผลข้อมูลท่ีผู้ใช้ปูอน เข้ามาทางอุปกรณ์อินพุต ตามชุดคาสั่งหรือโปรแกรมที่ผู้ใช้ต้องการใช้งาน หน่วยประมวลผลกลางประกอบด้วยส่วนประสาคัญ 3 สว่ น คือ 1. หนว่ ยคานวณและตรรกะ (Arithmetic & Logical Unit : ALU)หน่วยคานวณตรรกะ ทาหน้าท่ีเหมือนกับเครื่องคานวณอยู่ในเคร่ืองคอมพิวเตอร์โดยทางานเกี่ยวข้องกับ การคานวณทางคณิตศาสตร์ เช่น บวก ลบ คูณ หาร นอกจากน้ีหน่วยคานวณและตรรกะของคอมพิวเตอร์ ยังมีความสามารถอีกอย่างหนึ่งท่ีเคร่ืองคานวณธรรมดาไม่มี คือ ความสามารถในเชิงตรรกะศาสตร์ หมายถึงความสามารถในการเปรียบเทียบตามเง่ือนไข และกฎเกณฑ์ทางคณิตศาสตร์ เพ่ือให้ได้คาตอบออกมาว่าเง่ือนไข นั้นเป็น จริง หรือ เท็จ เช่น เปรียบเทียบมากว่า น้อยกว่า เท่ากัน ไม่เท่ากัน ของจานวน 2 จานวนเป็นต้น ซึ่งการเปรียบเทียบนี้มักจะใช้ในการเลือกทางานของเครื่องคอมพิวเตอร์ จะทาตามคาสั่งใดของโปรแกรมเปน็ คาสงั่ ต่อไป 2. หนว่ ยควบคุม (Control Unit)หน่วยควบคุมทาหน้าที่ควบคุมลาดับข้ันตอนการการประมวลผลและการทางานของอุปกรณ์ต่างๆ ภายในหน่วยประมวลผลกลาง และรวมไปถึงการประสานงานในการทางานร่วมกันระหว่างหน่วยประมวลผลกลางกับอุปกรณ์นาเข้าข้อมูล อุปกรณ์แสดงผล และหน่วยความจาสารองด้วย เม่ือผู้ใช้ต้องการประมวลผล ตามชุดคาสั่งใด ผู้ใช้จะต้องส่งข้อมูลและชุดคาสั่งน้ัน ๆ เข้าสู่ระบบ คอมพิวเตอร์เสียก่อน โดยข้อมูล และชุดคาส่ังดังกล่าวจะถูกนาไปเก็บไว้ในหน่วยความจาหลักก่อน จากนั้นหน่วยควบคุมจะดึงคาสั่งจาก ชุดคาส่ังที่มีอยู่ในหน่วยความจาหลักออกมาทีละคาส่ังเพื่อทาการแปล ความหมายว่าคาส่ังดังกล่าวสั่งให้ ฮาร์ดแวร์ส่วนใดทางานอะไรกบั ข้อมูลตัวใด เม่ือทราบความหมายของ คาสั่งนั้นแล้ว หน่วยควบคุมก็จะส่ง สัญญาณคาสั่งไปยังฮาร์ดแวร์ ส่วนทที่ าหน้าที่ ในการประมวลผลดงั กล่าว ใหท้ าตามคาส่ังนั้น ๆ เชน่ ถ้าคาสั่ง ท่เี ข้ามานั้นเป็นคาส่ังเก่ียวกับการคานวณ หน่วยควบคุมจะส่งสัญญาณ คาส่ังไปยังหน่วยคานวณและตรรกะ ให้ทางาน หน่วยคานวณและตรรกะก็จะไปทาการดึงข้อมลู จาก หน่วยความจาหลักเข้ามาประมวลผล ตามคาส่ังแล้วนาผลลัพธ์ท่ไี ด้ไปแสดงยังอุปกรณ์แสดงผล หน่วยควบคุมจึงจะส่งสัญญาณคาส่ังไปยัง อุปกรณ์แสดงผลลัพธ์ ที่กาหนดให้ดงึ ข้อมลู จากหน่วยความจาหลกั ออกไปแสดงใหเ้ หน็ ผลลัพธ์ดังกล่าว อกี ต่อหนึง่ 3. หนว่ ยความจาหลัก (Main Memory)คอมพิวเตอร์จะสามารถทางานได้เม่ือมีข้อมูล และชุดคาส่ังท่ีใช้ในการประมวลผลอยู่ในหน่วยความ จาหลักเรียบร้อยแล้วเท่าน้ัน และหลักจากทาการประมวลผลข้อมูลตามชุดคาสั่งเรียบร้อยแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้ จะถูกนาไปเก็บไว้ทีห่ น่วยความจาหลัก และกอ่ นจะถกู นาออกไปแสดงที่อปุ กรณ์แสดงผลส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ > หน่วยความจา (Memory Unit) หน่วยความจาหลกั (Main Memory Unit)เป็นอุปกรณ์ท่ีใชใ้ นการจดจาขอ้ มูล และโปรแกรมต่าง ๆ ท่ีอยู่ระหว่างการประมวลผลของคอมพิวเตอร์บางครั้งอาจเรยี กวา่ หน่วยเก็บข้อมูลหลกั (Primary storage) สามารถแบง่ ออกไดเ้ ป็น 2 ประเภท คอื 1. หนว่ ยความจาหลกั แบบอ่านได้อย่างเดียว (Read Only Memory - ROM)เป็นหน่วยความจาแบบสารกึ่งตัวนาชั่วคราวชนิดอ่านได้อย่างเดียว ใช้เป็นสื่อบันทึกในคอมพิวเตอร์ เพราะไม่สามารถบันทึกซ้าได้ (อย่างงา่ ยๆ) เปน็ ความจาที่ซอฟต์แวร์หรือขอ้ มลู อยแู่ ลว้ และพร้อมที่จะนามาต่อกับไมโครโพรเซสเซอร์ได้โดยตรง หน่วยความจาประเภทนี้แม้ไม่มีไฟเลี้ยงต่ออยู่ ข้อมูลก็จะไม่หายไปจากน่วยความจา(nonvolatile)
13โดยทั่วไปจะใช้เก็บข้อมูลท่ีไม่ต้องมีการแก้ไขอีกแล้วเช่น เก็บโปรแกรมไบออส (Basic Input outputSystem : BIOS) หรอื เฟิรม์ แวรท์ คี่ วบคมุ การทางานของคอมพิวเตอร์ใช้เก็บโปรแกรมการทางานสาหรับเคร่ืองคิดเลขใช้เก็บโปรแกรมของคอมพิวเตอร์ที่ทางานเฉพาะด้าน เช่น ในรถยนต์ท่ีใช้ระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมวงจร ควบคุมในเครื่องซกั ผ้า เป็นต้น 2 หน่วยความจาหลักแบบแก้ไขได้ (Random Access Memory - RAM)เป็นหน่วยความจาหลัก ท่ีใช้ในระบบคอมพิวเตอร์ยุคปัจจุบัน หน่วยความจาชนิดน้ี อนุญาตให้เขียนและอ่านขอ้ มูลไดใ้ นตาแหนง่ ตา่ งๆ อยา่ งอสิ ระ และรวดเร็วพอสมควร ซง่ึ ต่างจากส่อื เก็บข้อมูลชนิดอื่นๆ อย่างเทป หรือดิสก์ ทม่ี ีขอ้ จากัดในการอ่านและเขยี นข้อมูล ท่ีต้องทาตามลาดับก่อนหลังตามที่จัดเก็บไว้ในสื่อ หรือมีข้อกาจัดแบบรอม ท่ีอนุญาตให้อ่านเพียงอย่างเดียว ข้อมูลในแรม อาจเป็นโปรแกรมที่กาลังทางาน หรือข้อมูลท่ีใช้ในการประมวลผล ของโปรแกรมที่กาลังทางานอยู่ ข้อมูลในแรมจะหายไปทันที เม่ือระบบคอมพิวเตอร์ถูกปิดลงเนือ่ งจากหน่วยความจาชนิดนี้ จะเก็บขอ้ มลู ไดเ้ ฉพาะเวลาทีม่ ีกระแสไฟฟูาหล่อเลี้ยงเท่านัน้internal storge หรือเป็นหน่วยเก็บข้อมูลและโปรแกรมช่ัวคราว( temporary storage) เม่ือปิดเคร่ืองคอมพิวเตอร์ข้อมูลหรือโปรเเกรมทุกอย่าง ที่เก็บในแรมจะหายไป เนื่องจากไม่มีกระแสไฟฟูาหล่อเล้ียง หน่วยเก็บข้อมูลประเภทน้ีจึงเรียกว่า volatile ดังนั้นจัดเก็บข้อมูลอย่างถาวร ไว้ใช้งานในภายหลัง จึงจาเป็นจะต้องมีหนว่ ยเก็บข้อมูลภายนอกท่เี รยี กว่า external storage หรือ secondary storage หรือ auxiliary storage ซ่ึงสามารถจัดเก็บข้อมูลสาหรับการประมวลผลไว้ได้ถึงแม้ว่าจะไม่มีกระเเส ไฟฟูาหล่อเล้ียง( non-volatile) ก็ตามกระบวนการในการเก็บข้อมูล เรียกว่า การเขียนหรือการบันทึกข้อมูล ( writing หรือ recording data)เนื่องจากว่า อุปกรณ์เก็บข้อมูลสารอง จะบันทึกข้อมูลในรูปของส่ือต่างๆท่ีสามารถนามาเรียกในภายหลังได้กระบวนการดึงข้อมูลมาใช้เรียกว่า retrieving data เเละถ้าเป็นการอ่านข้อมูลจะเรียกว่า reading dataเพราะอุปกรณ์เกบ็ ข้อมลู สารองจะอา่ นข้อมูลและถ่ายโอนไปยังหนว่ ยความจาหลัก เพื่อการประมวลผลต่อไปการใช้งานคอมพิวเตอร์ในหน่วยงานต่างๆ จะมีความต้องการอุปกรณ์ในการจัดเก็บข้อมูลท่ีแตกต่างกันออกไปเชน่ บริษทั ประกันและธนาคาร อาจมีความตอ้ งการอุปกรณ์ท่สี ามารถจัดเกบ็ ขอ้ มูลของลูกค้าได้จานวนมาก ในขณะทธี่ ุรกิจขนาดกลางและขนาดยอ่ มอาจต้องการอุปกรณ์ ในการจดั เกบ็ ข้อมูลไม่มากนัก
14 หนว่ ยเกบ็ ข้อมลู สารอง (Secondary Storage Unit)อปุ กรณ์เกบ็ ข้อมลู สารอง สามารถจาแนกไดเ้ ปน็ 2 ประเภทหลัก ๆ ดงั นี้ จานแมเ่ หลก็ ( magnetic disk storage) จานแม่เหล็กเป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูลสารองท่ีนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายกับเคร่ืองคอมพิวเตอร์ทุกประเภท จานแม่เหล็กประกอบด้วยแผ่นพลาสติกหรือโลหะท่ีเคลือบด้วยสารแม่เหล็ก ข้อมูลสามารถบันทึกและอ่านจากผิว หน้าท่ีเคลือบด้วยสารแม่เหล็กนี้ จานแม่เหล็กเป็นอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลที่มีความจุสูง มีความเชอื่ ถอื ได้ และยงั สามารถเข้าถึงขอ้ มลู ได้อยา่ งรวดเรว็ ประเภทของจานแมเ่ หล็ก เชน่ ฮาร์ดดิสก์ ( hard disk ) ฟลอปปดี้ ิสก์ ( floppy disks) ฟลอปปด้ี ิสก์ นยิ มเรยี กโดยทัว่ ไปว่า ดิสกเ์ กตต์ ( diskettes) หรอื ดิสก์ ( disks) เป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูลสารองท่ีสามารถพกพาและเคลื่อนย้ายได้สะดวก ฟลอปปีดิสก์ ในรุ่นแรก ๆ จะมีขนาด 8 น้ิว และ 5.25 นิ้วแต่ปัจจุบันนิยมใช้ขนาด 3.5 น้ิวแต่เดิมฟลอปปีดิสก์เรียกว่า ฟลอปปี ( floppies) เพราะดิสก์มีลักษณะที่บางและยืดหยนุ่ แต่ปจั จุบนั ลกั ษณะของดสิ ก์ได้พัฒนาขึ้นเร่ือย ๆ เป็นดิสก์ท่ีหุ้มด้วยแผ่นพลาสติกแข็ง แต่เน้ือดิสก์ภาย ในยังคงอ่อนเหมือนเดิม จึงเรียกฟลอปป้ีเชน่ เดมิทมี่ าของข้อมลู : https://sites.google.com
15วงจรหลกั การทางานของ CPU มหี น่วยสาคัญอยู่ 2 หลักการ คอื 1. หนว่ ยควบคุม คอื เป็นหนว่ ยทีท่ าหน้าทป่ี ระสานงานและควบคมุ การทางานของคอมพิวเตอร์ควบคุมใหอ้ ปุ กรณร์ ับข้อมลู ส่งข้อมูลไปที่หน่วยความจา ติดต่อกับอุปกรณ์แสดงผลเพ่ือสั่งให้นาข้อมูลจากหน่วยความจาไปยงั อุปกรณ์แสดงผล 2. หน่วยคานวณและตรรกะ คือ เป็นหน่วยที่ทาหน้าท่ีในการคานวณต่างๆทางคณิตศาสตร์ ได้แก่ บวกลบ คูณ หาร หลกั การทางานของ CPU โดยวงรอบของการทาคาสั่งของซีพียูประกอบด้วยขั้นตอนการทางานพื้นฐาน4 ขัน้ ตอนดังนี้ 1. ข้ันตอนการรับเข้าข้อมูล ( fatch ) เร่ิมแรกหน่วยควบคุมรับรหัสคาสั่งและข้อมูลท่ีจะประมวลผลจากหนว่ ยความจา 2. ขั้นตอนการถอดรหัส ( decode ) เมื่อรหสั คาสัง่ เข้ามาอยูใ่ นซพี ยี ูแล้ว หน่วยควบคุมจะถอดรหัสคาส่ังแล้วสง่ คาสัง่ และข้อมลู ไปยงั หนว่ ยคานวณและตรรกะ 3. ข้ันตอนการทางาน ( execute ) หน่วยคานวณและตรรกะทาการคานวณโดยใช้ข้อมูลท่ีได้รับการถอดรหสั คาสั่ง และทราบแลว้ วา่ ต้องการทาอะไร ซพี ียกู ็จะทาตามคาส่ังน้นั 4. ขั้นตอนการเกบ็ ( store ) หลังจากทาคาสัง่ กจ็ ะเกบ็ ผลลพั ธท์ ีไ่ ดไ้ ว้ในหนว่ ยความจาทีม่ าของข้อมลู : https://sites.google.com/site/cynkt02/cpu/hlak-kar-thangan-khxng-cpu-1
16 ชนิดของ printer 1. Dotmatrix printer เคร่ืองพิมพ์ประเภทนี้ในสมัยก่อนเคยเป็นที่นิยม ลักษณะการพิมพ์เป็นแบบใช้หัวเข็ม และไมไ่ ด้ใช้ตลับหมึกแต่ใช้ผ้าหมึกแทนการใช้งาน มักใช้พิมพ์งานที่ต้องการทาสาเนา เนื่องจากเคร่ืองพิมพ์ลักษณะนี้มีแรงกด และสามารถพิมพ์กระดาษต่อเนื่องได้ และอายุการใช้งานค่อนข้างนาน แต่มีข้อเสียอยู่ท่ีคุณภาพงานพิมพ์ต่าเมื่อเทียบกับprinter ประเภทอ่ืนๆ และมีเสียงดงั ขณะพมิ พ์งาน 2. Inkjet printer เครื่องพิมพ์อิงค์เจท็ นี้ ในปัจจบุ นั ค่อนข้างไดร้ บั ความนยิ มค่อนข้างมาก เนอื่ งจากราคาที่ไมส่ ูงจนเกนิ ไป คุณภาพงานพิมพ์เปน็ ที่ยอมรบั และการใช้งานได้คอ่ นข้างหลากหลาย ลกั ษณะการพมิ พ์จะเปน็ การพน่ หมึกพิมพ์เป็นหยดๆ ลงบนกระดาษการใชง้ าน สามารถพิมพง์ านไดห้ ลากหลาย เอกสาร, ภาพถ่าย, โปสการ์ด แตโ่ ดยทว่ั ไปมักมีขนาดไม่เกิน A๓และมสี ินค้าให้เลือกหลายรุ่นตามระดับราคา และฟงั กช์ นั ท่ตี อ้ งการ 3. Laser printer ลักษณะการพิมพ์ของ printer ประเภทนี้ ใช้เทคโนโลยีเดียวกับเคร่ืองถ่ายเอกสารคือยิงเลเซอร์ไปสร้างภาพบนกระดาษในการสร้างรูปภาพ หรือตัวอักษร ซ่ึงผลลัพธ์ที่ออกมาจะมีคุณภาพสูงมากกว่าเครอื่ งพมิ พ์แบบพน่ หมึก
17การใชง้ าน เหมาะสาหรับการพมิ พ์ทต่ี อ้ งการคุณภาพท่ีสูงมากข้ึน เอกสารต่างๆ หรืองานที่ต้องการความคมชัดและสวยงามมากกวา่ การพิมพอ์ งิ คเ์ จท็ โดยท่ัวไป แตเ่ คร่อื ง print ประเภทนี้มรี าคาสูง และต้นทุนในการใช้งานและบารงุ รักษากส็ งู มากขน้ึ ด้วย 4.Plotter เป็นเคร่ืองพิมพ์ชนิดท่ีใช้ปากกาในการเขียนข้อมูลต่างๆ ลงบนกระดาษที่ทามาเฉพาะงานพลอ็ ตเตอร์ทางานโดยใช้วิธีเลื่อนกระดาษ โดยสามารถใช้ปากกาได้ 6-8 สี ความเร็วในการทางานของ พล็อตเตอร์มีหน่วยวัดเป็นนิ้วต่อวินาที (Inches Per Second : IPS) ซ่ึงหมายถึงจานวนน้ิวที่พล็อตเตอร์สามารถเล่ือนปากกาไปบนกระดาษการใชง้ าน เหมาะสาหรับงานเก่ียวกับการเขยี นแบบทางวิศวกรรม และงานตกแต่งภายใน ใช้สาหรับวิศวกรรมและสถาปนิก งานพิมพ์ขนาดใหญ่มีหน้ากว้าง เหมาะสาหรับทางานด้านปูายหรือโฆษณา 5. Multifunction printer เครือ่ งพมิ พป์ ระเภทนี้เป็น printer ท่ีรวบรวมฟังก์ชันที่หลากหลายในการทางานไว้ในเครอ่ื งตวั เดยี ว เชน่ สามารถ scan, copy หรือรับ-สง่ แฟก็ ซ์ ได้ในตัวเอง ทาให้มีความสะดวกสบายในการใช้งานทค่ี ่อนข้างมาก แตท่ ง้ั นีร้ าคากม็ กั จะสงู ตามความสามารถท่มี ากขึ้นด้วยการใชง้ าน ที่หลากหลายนี้ เหมาะสาหรับผทู้ ต่ี ้องการความคุ้มคา่ และสะดวกสบายในการทางาน ซง่ึ สามารถเลือกฟังก์ชันจากรุน่ ทม่ี ไี ดต้ ามต้องการ นอกจากประเภทของ printer ต่างๆ ท่ีกล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมีเคร่ืองพิมพ์ที่สาหรับพิมพ์งานเฉพาะดา้ น อกี หลายแบบดว้ ยกัน เชน่ เครอ่ื งพมิ พ์ฟลิ ์ม เครอื่ งพมิ พส์ ติกเกอร์-ปูายต่างๆ เป็นตน้ทม่ี าของข้อมลู : http://print-smart.blogspot.com/2012/05/printer.html
18 ชนดิ ของ monitor จอวีจเี อขาวดาย่อมาจาก video graphics array (หนังสือบางเล่มว่า video gate array) ที่แปลว่า ขบวนปรับภาพแบบวีดิทัศน์ หมายถึง มาตรฐานที่กาหนดไว้สาหรับจอภาพสี จอภาพชนิดน้ีสามารถแสดงสีได้ถึง 256 สีในเวลาเดียวกัน พัฒนามาจากจอภาพรุ่นเก่า ท่ีเรียกว่า ซีจีเอ (CGA) และ อีจีเอ (EGA) จอวีจีเอนี้ให้ภาพท่ีคมชัดกว่าแสดงภาพไดแ้ ม่นตรงกวา่ ความละเอยี ด (reso- lution) ของจอนัน้ สามารถกาหนดได้สูงถงึ 640 x 480 จุด(pixels) ในปัจจุบัน ย่ิงพัฒนาไปได้ไกลกว่านี้ คือกาหนดความคมชัดได้สูงถึง 1, 024 x 768 จุด เรียกว่าSVGA วีจีเอ (VGA) ชนิดขาวดา จอภาพชนิดน้ีสามารถจะแสดงความแก่/อ่อนของสีเทาได้อีก 4, 6, 8 หรือบางทถี ึง 32 สีดว้ ยกัน จอนี้ แมจ้ ะแสดงไดเ้ พยี งขาว เทา ดา แตก่ ็ยังดกี ับสายตามากกว่าจอสี จอสัมผัส (touchscreen)หนา้ จอสัมผัสจะสามารถร้ตู าแหน่งท่ีเราสัมผสั ไดน้ ้ันจะต้องอาศัยระบบพน้ื ฐานซง่ึ มี 3 ประเภท ตัวตา้ นทาน (resistive)ระบบตัวต้านทานประกอบด้วย ช่องกระจกเคลือบด้วยตัวนาและตัวต้านทานโดยท้ังสองชั้นน้ีไม่ได้อยู่ติดกันโดยมตี ัวก้นั และช้ันตัวตา้ นทานที่ปรับค่าไดอ้ ยบู่ นสดุ ในขณะท่หี นา้ จอกาลงั ทางานจะมีกระแสไฟฟูาไหลผ่านท้ังสองชั้น เมื่อผู้ใช้สัมผัสหน้าจอ ทาให้ช้ันท้ังสองช้ันสัมผัสกันตรงตาแหน่งท่ีเราสัมผัส เกิดการเปลี่ยนแปลงของกระแสไฟฟาู ท่ไี หลผา่ น และถกู บนั ทึกไว้และคานวณหาตาแหน่งโดยทนั ที เมอ่ื รู้วา่ สมั ผัสตรงสว่ นใดแล้ว จะมีไดรเวอร์พเิ ศษท่ที าหน้าท่แี ปลการสมั ผัสไปเปน็ สัญญาณหรือรหัสสง่ ไปใหร้ ะบบปฏิบตั กิ าร ตวั เกบ็ ประจุ (capacitive)ระบบตวั เก็บประจุ จะเปน็ ช้นั ท่ีไว้สาหรบั เกบ็ ประจุไฟฟูาซึ่งจะวางอยู่บนช่องกระจกของหน้าจอ เม่ือผู้ใช้สัมผัสหน้าจอ ประจุไฟฟูาบางส่วนจะถูกส่งไปยังตัวผู้ใช้ทาให้ประจุไฟฟูาที่มีอยู่ในตัวเก็บประจุลดลง การลดลงนี้จะเป็นตัวบอกตาแหน่งของการสัมผัสซ่ึงจะมีวงจรที่คอยตรวจสอบอยู่ท่ีมุมของหน้าจอทั้งสี่มุม ต่อจากนั้น
19คอมพิวเตอร์จะคานวณ จากผลต่างของประจุไฟฟูาในแต่ละมุม จนได้ตาแหน่งตรงท่ีผู้ใช้สัมผัสแล้วจึงส่งไปให้ไดรเวอร์ คลน่ื เสยี งท่ผี ิวของหนา้ จอ (surface acoustic wave)ระบบคล่ืนเสียง บนหน้าจอของระบบคล่ืนเสียงที่ผิวหน้าจอจะมีตัวรับ และส่งสัญญาณอยู่ตลอดแนวต้ังและแนวนอน ของแผน่ กระจกของหนา้ จอ และตวั ตวั สะทอ้ น ซง่ึ จะทาหน้าที่ ส่งสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ท่ีมาจากตัวส่งสญั ญาณไปยงั ตวั อน่ื ตวั รับสัญญาณจะเป็นตัวบอกถ้าคลื่นถูกรบกวนโดยการสัมผัสของผู้ใช้ และจะสามารถระบตาแหน่งทส่ี ัมผัสได้ การใช้ระบบคลื่นทาให้หน้าจอสามารถแสดงภาพได้อย่างชัดเจนมากกว่าท้ังสองระบบขา้ งตน้ จอภาพ Monitorเป็นอุปกรณ์แสดงผลท่ีมีชื่อเรียกมากมาย เช่น Monitor, CRT (Cathode Ray Tube) สามารถแบ่งได้หลายรูปแบบ เช่น แบ่งเป็นจอแบบตัวอักษร (Text) กับจอแบบกราฟิก (Graphic) โดยจอภาพแบบตัวอักษรจะมีหน่วยวดั เปน็ จานวนตวั อกั ษรตอ่ บรรทดั เช่น 80 ตัวอกั ษร 25 บรรทดั สาหรับจอภาพแบบกราฟกิ จะมีหน่วยวดั เป็นจดุ (Pixel) เช่น 640 pixel x 480 pixelลักษณะภายนอกของจอภาพก็คล้ายๆ กับจอโทรทัศน์น่ันเอง สิ่งที่แสดงออกทางจอภาพมีทั้งข้อความ ภาพนิ่งและภาพเคล่ือนไหว โดยรับข้อมูลจากการ์ดแสดงผล (Video Card, Video Adapter) ซ่ึงเป็นวงจรอิเลก็ ทรอนิกส์ ท่ีเสยี บบนเมนบอร์ด ทาหน้าท่ีนาข้อมูลจากหน่วยประมวลผล มาแปลงเป็นสัญญาณภาพ แล้วส่งใหจ้ อภาพแสดงผลปัจจุบันมีการพัฒนาจอภาพออกมาหลากหลายลักษณะ โดยเน้นที่จานวนสี ความละเอียด ความคมชัด การประหยดั พลงั งาน โดยสามารถแบ่งประเภทจอภาพ ทใ่ี ชใ้ นปัจจบุ นั ได้กล่มุ ใหญๆ่ ดงั น้ี จอภาพสีเดยี ว (Monochrome Monitor)จอภาพที่รับสัญญาณจากการ์ดควบคุม ในลักษณะของสัญญาณดิจิตอล คือ 0 กับ 1 โดยการกวาดลาอิเล็กตรอนไปตกหน้าจอ แล้วเกิดเป็นจุดเรืองแสง จะให้สัญญาณว่าจุดไหนสว่าง จุดไหนดับ จอภาพสีเดียวเวลานี้ไมม่ ผี ู้นิยมแลว้ จอภาพหลายสี (Color Monitor)จอภาพท่ีรับสัญญาณดจิ ิตอล 4 สัญญาณ คอื สัญญาณของสแี ดง, เขียว, น้าเงนิ และสัญญาณความสว่าง ทาให้สามารถแสดงสไี ด้ 16 สี ถึง 16 ลา้ นสี จอภาพแบบแบน (LCD; Liquid Crystal Display)จอภาพผลกึ เหลวใช้งานกบั คอมพวิ เตอรป์ ระเภทพกพาเป็นส่วนใหญ่ เป็นแบง่ ไดเ้ ป็นActive matrix จอภาพสีสดใสมองเห็นจากหลายมุม เนื่องจากให้ความสว่าง และสีสันในอัตราท่ีสูง มีช่ือเรียกอีกช่อื วา่ TFT – Thin Film Transistor และเน่อื งจากคณุ สมบตั ดิ งั กล่าว ทาใหร้ าคาของจอประเภทนีส้ งู ดว้ ย
20Passive matrix color จอภาพสคี ่อนข้างแห้ง เน่ืองจากมีความสว่างนอ้ ย และสสี นั ไม่มากนกั ทาให้ไม่สามารถมองจากมุมมองอื่นได้ นอกจากมองจากมุมตรง เรียกอีกช่ือได้ว่า DSTN – Double Super TwistedNematic การทางานของจอภาพ เร่ิมจากการกระตุ้นอุปกรณ์หลอดภาพให้ร้อน เกิดเป็นอิเล็กตรอนข้ึน และถูกยิงด้วยปืนอิเล็กตรอน ให้ไปยังจุดท่ีต้องการแสดงผลบนจอภาพ ซึ่งที่จอภาพจะมีการเคลือบสารฟอสฟอรัสเรืองแสง เมื่ออิเล็กตรอนเหล่าน้ีวิ่งไปชน ก็จะทาให้เกิดแสงสว่าง ซึ่งจะประกอบกันเป็นรูปภาพ ในการยิงลาแสดงอิเล็กตรอน มันจะเคลื่อนท่ีไปตามแนวขวาง จากน้ันเม่ือกวาดภาพ มาถึงสุดขอบด้านหนึ่ง ปืนลาแสงก็จะหยุดยงิ และ ปรบั ปนื อเิ ล็กตรอนลงมา 1 line และ เคลือ่ นท่ีไปยังขอบอีกด้านหนึ่ง และทาการยิ่งใหม่ ลักษณะการยิงจึงเปน็ แบบฟนั เลอื่ ย ปัจจุบันกระแสจอแบน ได้เข้ามาแซงจอธรรมดา โดยเฉพาะประเด็นขนาดรูปทรง ท่ีโดดเด่น ประหยัดพื้นท่ีในการวาง รวมทั้งจุดเด่นของจอภาพแบน ก็คือประหยัดพลังงาน โดยจอภาพขนาด 15 - 17 นิ้ว ใช้พลังงานเพียง 20 - 30 วัตต์ และจะลดลงเหลือ 5 วัตต์ในโหมด Standby ในขณะท่ีจอธรรมดา ใช้พลังงานถึง 80 - 100 วัตต์ จอภาพแบบแอลซีดีเป็นเทคโนโลยีที่เริ่มพัฒนาประมาณสิบกว่าปีน้ีเอง เร่ิมจากการพัฒนามาใช้กับนาฬิกาและเครื่องคิดเลข เป็นจอแสดงผลตัวเลขขนาดเล็ก ใช้หลักการปรับเปล่ียนโมเลกุลของผลึกเหลว เพื่อปิดกั้นแสงเมื่อมีสนามไฟฟูาเหน่ียวนา แอลซีดีจึงใช้กาลังไฟฟาู ต่า เหมาะกบั ภาคแสดงผลที่ใช้กับแบตเตอร่ีหรือถ่านไฟฉายก้อนเล็ก ๆ แอลซีดีในยุคแรกตอบสนองต่อสัญญาณไฟฟูาช้า จึงเหมาะกับงานแสดงผลตัวเลขยังไม่เหมาะท่ีจะนามาทาเป็นจอภาพเมอ่ื เทคโนโลยกี า้ วหน้าข้นึ ผผู้ ลิตแอลซีดสี ามารถผลิตแผงแสดงผลท่มี ขี นาดใหญ่ข้ึนจนสามารถเป็นจอแสดงผลของคอมพิวเตอร์ประเภทแล็ปท็อป โน้ตบุ๊ค และยังสามารถทาให้แสดงผลเป็นสี อย่างไรก็ตามจอภาพแอลซีดียงั เปน็ จอภาพทมี่ ขี นาดเลก็ แตม่ ีแนวโน้มท่ีจะพัฒนาให้มขี นาดใหญข่ ึ้นจอภาพแอลซีดีทีแ่ สดงผลเป็นสีต้องใช้เทคโนโลยีสูง มกี ารสรา้ งทรานซิสเตอร์เป็นล้านตัวเพ่ือให้ควบคุมจุดสีบนแผน่ ฟิล์มบาง ๆ ใหจ้ ุดสีเป็นตารางสีเ่ หล่ยี มเล็ก ๆ การแสดงผลจึงเป็นการแสดงจุดสีเล็ก ๆ ท่ีผสมกันเป็นสีต่างๆ ได้มากมาย การวางตัวของจุดสีดาเล็ก ๆ เรียกว่าแมทริกซ์ (matrix) จอภาพแอลซีดีจึงเป็นจอแสดงผลแบบตารางส่ีเหลยี่ มเล็ก ๆ ท่ีมจี ดุ สีจานวนมากจอภาพแอลซีดีเรม่ิ พฒั นามาจากเทคโนโลยแี บบพาสซีฟแมทริกซ์ท่ีใช้เพียงแรงดันไฟฟูาควบคุมการปิดเปิดแสงให้สะทอ้ นจดุ สีมาเป็นแบบแอกตฟี แมทริกซท์ ี่ใช้ทรานซิสเตอร์ตัวเล็ก ๆ เท่าจานวนจุดสี ควบคุมการปิดเปิดจุดสเี พอื่ ให้แสงสะทอ้ นออกมาตามจุดที่ต้องการ ข้อเด่นของแอกตีฟแมทริกซ์คือมีมุมมองท่ีกว้างกว่าเดิมมาก การ
21มองด้านข้างก็ยังเห็นภาพอย่างชัดเจน จอภาพแอลซีดีแบบแอกตีฟแมทริกซ์มีแนวโน้มท่ีเข้ามาแข่งขันกับจอภาพแบบซีอาร์ทไี ด้จอภาพแบบแอลซีดซี ึง่ มีลกั ษณะแบนราบจะมีขนาดเล็กและบาง เมื่อเปรียบเทียบกับจอภาพแบบซีแอลที หากจอภาพแบบแอกตีฟแมทริกซ์สามารถพัฒนาให้มีขนาดใหญ่กว่า 15 น้ิวได้ การนามาใช้แทนจอภาพซีอาร์ที ก็จะมหี นทางมากข้นึความสาเร็จของจอภาพแอลซีดที ่จี ะเข้ามาแขง่ ขนั กับจอภาพแบบซอี าร์ท่ีอยู่ในเง่ือนไขสองประการ คือ จอภาพแอลดีซีมีราคาแพงกว่าจอภาพซีอาร์ที และมีขนาดจากัด ในอนาคตแนวโน้มด้านราคาของจอภาพแอลซีดีจ ะลดลงได้อีกมาก และเทคโนโลยีสาหรบั อนาคตมีโอกาสเป็นไปได้สูงมากท่ีจะทาใหจ้ อภาพแอลซดี ขี นาดใหญ่ จอภาพแบบซีอาร์ทีการแสดงผลบนจอภาพเป็นเรื่องท่ีจาเป็นสาหรับการใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ วิวัฒนาการของการแสดงผลได้พัฒนาก้าวหน้าข้ึน มาตรฐานการแสดงผลที่ใช้กับไมโครคอมพิวเตอร์มีพื้นฐานมาจากการพัฒนาของบริษัทไอบีเอ็ม ในยุคต้นความตอ้ งการของการแสดงผลส่วนใหญ่ยังเป็นแบบตัวอักษรโดยมีภาวะการทางาน (mode)แยกจากการแสดง กราฟิก แต่ในปัจจุบันซอฟต์แวร์จานวนมากสามารถแสดงผลในภาวะกราฟิก เช่น ระบบปฎบิ ตั งิ านวนิ โดวส์ ต้องใช้ภาวะการแสดงผลในรูปกราฟิกล้วน ๆ ผู้ใช้สามารถกาหนดขนาดช่องหน้าต่าง หรือการแสดงผลไดต้ ามทต่ี อ้ งการ จอภาพจึงเปน็ ส่วนสาคญั มากสว่ นหนง่ึ สาหรับผใู้ ชง้ านในยุคปจั จบุ ันทมี่ าของข้อมูล : http://baypakpoom.blogspot.com/
22 ชนดิ ของ keyboard1. desktop keyboard เปน็ คีย์บอร์ดมาตรฐานแบบ 101 ปุม2. desktop keyboard with hot key เปน็ คยี บ์ อร์ดที่มีปุมพิเศษเพิ่มเขา้ มามากกวา่ แบบมาตรฐาน3. wireless keyboard เปน็ คยี ์บอร์ดไรส้ ายเชอื่ มต่อกับคอมพิวเตอร์ผา่ นทางการเชอ่ื มต่อไร้สาย4. security keyboard เปน็ คยี บ์ อร์ดท่ีมีระบบรักษาความปลอยภยั5. notebook keyboard เปน็ คยี ์บอร์ดขนาดเล็กและบาง
23นอกเหนือจากแปูนปกติแล้วยังมีแปูนพิเศษท่ีมักจะอยู่แถวบนสุดของคีย์บอร์ด จะเป็นพวกปุม F1-F12 หรือคีย์บอร์ดบางรุ่นจะมีปุมปรังเสียง ปุม Play ปุม Stop ให้เราใช้งานเพิ่มความสะดวกเพิ่มเข้ามาอีกด้วย ส่วนทางขวาของคียบ์ อร์ดร่นุ ใหญ่ ๆ จะมีปุมตัวเลข 0 - 9 แยกออกมาตา่ งหากเพือ่ ความสะดวกในการพมิ พ์ตวั เลข ๖.คยี ์บอรด์ ตดิ ตั้งภายใน ( Built-in keyboard )เปน็ คยี ์บอร์ดทีป่ รบั ขนาดของแปนู พิมพใ์ ห้เล็กลง พบเห็นในการใช้งานกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ประเภทพกพาเช่น โน๊ตบุ๊คหรือเดสก์โน๊ต ซ่ึงมีพ้ืนที่ในการใช้งานค่อนข้างจากัด แปูนพิมพ์นี้จะถูกติดต้ังมาพร้อมกับการผลิตเครื่องอยูแ่ ลว้ ๗.คีย์บอร์ดเสมือน ( Virtual keyboard )เป็นอุปกรณ์ท่ีพัฒนาขึ้นสาหรับใช้ร่วมกับเครื่องพีดีเอเช่นเดียวกันกับคีย์บอร์ดพกพา แต่ต่างกันตรงที่มีการจาลองภาพใหเ้ ปน็ เสมอื นคยี ์บอร์ดจรงิ โดยอาศยั การทางานของแสงเลเซอร์ยิงลงไปบนโต๊ะหรืออุปกรณ์รองรับสัญญาณท่ีเป็นพื้นผิวเรียบ เม่ือต้องการใช้งานก็สามารถพิมพ์หรือปูอนข้อมูลท่ีเห็นเป็นภาพเหมือนแผงแปูนพิมพ์นน้ั เข้าไปไดเ้ ลย ตัวรับแสงในอปุ กรณจ์ ะตรวจจบั ไดเ้ องวา่ ผูใ้ ช้วางนว้ิ ไหนไปกดตรงตวั อักษรใด
24 ๘.คยี บ์ อรด์ เออรโ์ กโนมิกส์ ( Ergonomic keyboard )เปน็ คียบ์ อร์ดทีม่ ีการออกแบบโดยคานงึ ถึงความสะดวกสบายและความปลอดภยั ของผู้ใช้งานเป็นหลักเน่ืองจากการปูอนข้อมูลเป็นเวลานาน ๆ อาจจะทาให้เกิดความเมื่อยล้าจากการพิมพ์จนเกิดการบาดเจ็บเน่ืองจากเส้นอักเสบได้ จงึ มีการออกแบบแปนู พิมพ์ใหม่ เชน่ เพ่ิมอปุ กรณส์ าหรับการวางมอื และออกแบบทิศทางสาหรับการจัดวางแปูนพิมพ์ใหม่ให้สัมพันธ์กับสรีระของมนุษย์มากข้ึน ปัจจุบันจะพบเห็นคีย์บอร์ดชนิดน้ีเข้ามาแทนท่ีคีย์บอรด์ มาตรฐานกันมากขน้ึ เนอื่ งจากชว่ ยลดปัญหาในเรอ่ื งการบาดเจ็บของขอ้ มือได้เปน็ อย่างดีท่ีมาของข้อมูล :http://mantiser.blogspot.com/2012/11/keyboard_23.html https://sites.google.com/site/learningcomputerkeyboards/courses
Search
Read the Text Version
- 1 - 24
Pages: