Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ฝนหลวง2

ฝนหลวง2

Published by phanamwang.aem, 2021-03-03 02:16:11

Description: ฝนหลวง2

Search

Read the Text Version

ประวัติโครงการฝนหลวง เมอ่ื คราวท่พี ระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดาเนินเยี่ยมพสกนิกร เมื่อปี พ.ศ. 2498 ในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ได้ทรงรบั ทราบถึงความเดอื ดร้อน ทุกขย์ ากของราษฎร และเกษตรกรที่ขาด แคลนนา อุปโภค บริโภค และการเกษตร จึงได้มีพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทาน โครงการพระราชดาริ \" ฝนหลวง \" ให้กับ ม.ร.ว. เทพ ฤทธิ์ เทวกุล ไปดาเนินการ ซ่ึงต่อมา ได้เกิดเป็นโครงการค้นคว้าทดลอง ปฏิบัติการฝนเทียมหรือฝนหลวงขึน ในสังกัด สานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อปี 2512 ด้วยความสาเร็จของโครงการ จึงได้ตราพระราชกฤษฎีกา ก่อตัง สานกั งานปฏบิ ัติการฝนหลวง ขนึ ในปี พ.ศ. 2518 ในสงั กดั กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพือ่ เป็นหน่วยงานรองรับโครงการ พระราชดารฝิ นหลวง และทรงใช้เคร่ืองบินของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขึนบินจาก สนามบินหนองตะกู บ้านวังกะทะ ต.หนองสาหร่าย อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เพื่อทดลองโปรยสารทาฝนหลวง จนประสบความสาเร็จเป็นครังแรกของ ประเทศไทย ท่ีต้องจารึกไว้ในประวัติ

“ฝนหลวง” คืออะไร ? มาดูกนั การทาฝนหลวงเป็นกรรมวธิ กี ารเหน่ยี วนานาจากฟา้ จะตอ้ งใหเ้ ครอ่ื งบนิ ทมี่ ีอัตราการบรรทุกมากๆ บรรจุ สารเคมขี นึ ไปโปรยในท้องฟ้า โดยดูจากความชนื ของจานวนเมฆ และสภาพของทิศทางลมประกอบกนั ปัจจยั สาคัญที่ ทาให้เกดิ ฝนคอื ความร้อนชืนปะทะความเยน็ และมแี กนกล่ันตัวที่มปี ระสทิ ธิภาพในปรมิ าณทเ่ี หมาะสม กลา่ วคือ เมือ่ มวลอากาศร้อนชืนทรี่ ะดบั ผิวพืนขึนสูอ่ ากาศเบืองบน อุณหภูมิของมวลอากาศ จะลดตา่ ลงจนถึงความสงู ที่ระดับ หนง่ึ หากอณุ หภูมทิ ีล่ ดตา่ ลงนันมากพอก็จะทาใหไ้ อนาในมวลอากาศอม่ิ ตัว จะเกดิ ขบวนการกลน่ั ตัวเองของไอนาใน มวลอากาศขึนบนแกนกล่ันตวั เกิดเปน็ ฝนตกลงมา ฉะนันสารเคมที ่ีใชจ้ งึ ประกอบดว้ ย สูตรรอ้ น เพ่อื ใช้กระตนุ้ เร่งเรา้ กลไกการหมุนเวยี นของบรรยากาศ สตู รเยน็ ใชเ้ พือ่ กระต้นุ กลไกการรวมตัวของละอองเมฆ ใหโ้ ตขึนเป็นเมด็ ฝน และ สูตรทใ่ี ชเ้ ปน็ แกนดูดซับความชืน เพ่ือใชก้ ระตนุ้ กลไก ระบบการกลน่ั ตวั ให้มีประสิทธิภาพสงู ขนึ

ทฤษฎีตน้ กำเนิด \"หลักการ คือ การเหน่ียวนานาจากฟ้า ให้โปรยสารดูดซับความชืน (เกลือทะเล) จาก เคร่ืองบิน เพ่ือดูดซับความชืนในอากาศ แล้วใช้สารเย็นจัด (นาแข็งแห้ง) เพ่ือให้ความชืนกล่ันตัวและ รวมตวั เป็นเมฆ“ วตั ถุประสงค์ของโครงการฝนหลวง จากความเป็นมาของโครงการฝนหลวงนนั จะเหน็ ได้วา่ วัตถุประสงคห์ ลกั ของโครงการดงั กลา่ วเกดิ ขนึ เพอื่ บรรเทาความทุกข์ยากของประชาชนในประเทศ โดยเฉพาะการทท่ี อ้ งถ่นิ หลายแห่งทปี่ ระสบปญั หาพืนดินแห้งแลง้ หรอื การขาดแคลนนาเพอ่ื การอุปโภค บรโิ ภค และทาการเกษตร นอกจากนีภาวะความตอ้ งการใชน้ าของประเทศ ทนี่ บั วันจะทวปี รมิ าณความ ต้องการสงู ขนึ เพราะการขยายตัวเจรญิ เตบิ โตทางดา้ นอตุ สาหกรรม เกษตรกรรม

สารเคมีสาหรับทาฝนหลวง 1. สารเคมปี ระเภททาใหอ้ ุณหภมู ิสูงข้นึ (Exothermic Chemicals) เปน็ สารเคมปี ระเภท คายความรอ้ นหรอื ทาใหอ้ ณุ หภูมิสูงขึน (สตู รร้อน) เมื่อใช้สารเคมีประเภทนี จะทาใหเ้ กิดการเปลีย่ นแปลง ของสภาพบรรยากาศโดยเปลย่ี นแปลงพลังความรอ้ น ด้วยการเพม่ิ ความรอ้ นอยา่ งฉับพลนั ทเ่ี กิดจาก ปฏกิ ริ ยิ า (Sensible heat) และความรอ้ นแฝงทเ่ี กดิ จากการกล่ันตัว ของไอนารอบอนุภาคสารเคมี ท่ีเป็นแกนกลน่ั ตวั ดว้ ย เมอื่ ได้รบั ความร้อนจากแสงอาทิตย์เพมิ่ เติม มวลอากาศในบริเวณทโี่ ปรยสารเคมีจะ สงู ขนึ และเกดิ การลอยตวั สารประเภททนีมี 3 ชนิด คือ • แคลเซยี มคาร์ไบด์ (Calcium Carbide) • แคลเซียมคลอไรด์ (Calcium Chloride) CaCl2 • แคลเซยี มออกไซด์ (Calcium Oxide) CaO

สารเคมสี าหรับทาฝนหลวง (ต่อ) 2. สารเคมีประเภททาใหอ้ ณุ ภมู ิตาลง (Endothemic Chemicals) (สูตรเยน็ ) เป็นสารเคมีประเภท ดดู กลนื ความร้อนแลว้ ทาใหอ้ ณุ ภูมิต่าลง (Endothemic Chemicals) เม่ือใชส้ ารเคมีประเภทนี ประสทิ ธิภาพในการ ดูดซับความชืนจะสูง ทาให้การกลน่ั ตวั สงู ขนึ และทาให้เม็ดนาในกอ้ นเมฆมีขนาดใหญ่เร็วขึน เกดิ ความรอ้ นแฝงให้ เกิดการลอยตัวขนึ ของมวลอากาศ และทาใหเ้ กิดขบวนการกลั่นตัวอย่างตอ่ เนอื่ ง นอกจากนขี บวนการชนและรวมตวั กันของเมด็ นา ให้เจริญใหญข่ นึ เปน็ เม็ดนาขนาดใหญน่ กลายเปน็ ฝนตกลงมา นับเปน็ ขันตอนที่เรียกว่าเป็นการขยาย ขนาดเมฆ และเพ่มิ ปรมิ าณให้สงู ขนึ สารประเภททนีมี 3 ชนดิ คอื • ยูเรีย (Urea) CO(NH2)2) • แอมโมเนยี มไนเตรท (Ammonium Nitrate) NH4NO3 • น้าแข็งแหง้ (Dry Ice) CO2(Solid))

สารเคมสี าหรับทาฝนหลวง (ต่อ) 3. สารเคมที ที าหน้าทีแกนกลนั้ ทดี ูดซับความช้นื ประเภทเดียว (Condensation Nuclei) สารเคมีประเภทนี จะคายความร้อนแฝงในขบวนการกลัน่ ตวั ทาใหเ้ กดิ การลอยตัวขนึ ของมวล อากาศ ก่อให้เกดิ ขบวนการกลั่นตัวอยา่ งตอ่ เนือ่ งเช่นเดยี วกัน สารเคมปี ระเภทนี ไดแ้ ก่ • เกลือ (Sodium Chloride) NaCl สารเคมีทีนยิ มนามาใชท้ าฝนหลวง คอื โซเดยี มคลอไรด์ • สารเคมสี ูตร ท.1 : สารเคมที เี ปน็ สารผสมสารประกอบหลายชนิด (ปจั จบุ นั ไมใ่ ชใ้ นการทาฝนหลวง)

กระบวนการทาฝนหลวง

กระบวนการทาฝนหลวง กระบวนการทาฝนหลวง แบ่งออกเปน็ 3 ขั้นตอนหลกั ๆ ได้แก่ 1. ขนั้ ก่อกวน (Triggering) เปน็ การดัดแปลงสภาพอากาศโดยการกอ่ กวนสมดลุ ผ่านการโปรยสารเคมี ประเภทคายความร้อน ไดแ้ ก่ แคลเซียมคลอไรด์ (Calcium Chloride, CaCl2) แคลเซยี มคารไ์ บด์ (Calcium Carbide, CaC2) และแคลเซียมออกไซด์ (Calcium Oxide, CaO) เพือ่ ทาใหม้ วลอากาศในบรเิ วณท่ีโปรยสารเคมนี มี ีอุณหภมู ิ สูงขึน และเกิดการลอยตวั ขึนมาเปน็ เมฆที่มีปริมาณมากกว่าท่ีเกดิ ขึนตามเองธรรมชาติ หรืออาจใชส้ ารเคมปี ระเภททีท่ า หนา้ ที่ดูดซับความชืนอย่างโซเดียมคลอไรด์ (Sodium Chloride, NaCl) เพ่อื ชกั นาใหไ้ อนาในอากาศมาเกาะทีผ่ ลกึ เกลือ และกอ่ ตวั เปน็ เมฆ โดยจะเร่มิ กอ่ กวนในช่วงเวลาเช้าทางดา้ นเหนือลมของพนื ทเี่ ปา้ หมาย ในระดับ 7,000 ฟุต ซ่ึงใน อากาศตอ้ งมีความชืนสัมพทั ธป์ ระมาณ 60%

กระบวนการทาฝนหลวง (ต่อ) 2. ขนั้ เลี้ยงใหอ้ ้วน (Fatten) เป็นการโปรยสารสตู รรอ้ น (แคลเซยี มคลอไรด์) เขา้ สยู่ อดเมฆ เพือ่ เรง่ การเจรญิ เติบโตของเมฆและเมด็ นาในก้อนเมฆ ทาใหเ้ มฆหนาแน่นมากขึนกอ่ นจะลอยถึงเปา้ หมาย เป็นการดัดแปลงสภาพอากาศและก้อนเมฆโดยการกระตุ้นให้ก้อนเมฆท่กี ่อตวั แล้วมขี นาดใหญ่และ หนาแน่นมากขนึ ผา่ นการโปรยสารเคมปี ระเภทดูดกลนื ความรอ้ น เช่น ยเู รีย (Urea; Co (NH2)2) แอมโมเนยี ไนเทรต (Ammonium nitrate; NH4NO3) นาแขง็ แหง้ (Dry ice; CO2(s)) ซึ่งอาจใช้ แคลเซียมคลอไรด์ (Calcium Chloride, CaCl) ร่วมดว้ ย เพอื่ ใหป้ ระสิทธภิ าพในการกล่นั ตัวเปน็ หยด นาสูงขึน และทาให้การเจรญิ ของเมด็ นาในก้อนเมฆมีขนาดใหญ่เร็วขึนจนกลายเปน็ ฝนตกลงมา ถือว่า เป็นขันตอนทสี่ าคญั ท่สี ดุ ของการทาฝนหลวง

กระบวนการทาฝนหลวง (ตอ่ ) 3. ขน้ั โจมตี (Attack) เป็นการดดั แปลงสภาพอากาศในก้อนเมฆโดยตรง เพ่อื ชักนาให้เมฆฝนที่ตกอยู่แลว้ เคลอื่ นเข้าสู่ พืนทท่ี ่ีตอ้ งการ โดยจะใชเ้ ครอื่ งบินโปรยสารเคมปี ระเภทดดู ความรอ้ น เช่น ยเู รยี นาแข็งแห้ง เขา้ ไปโดยตรงท่ฐี านเมฆ และโปรยสารเคมีประเภทดูดซบั ความชนื อย่างโซเดียมคลอไรดท์ ี่ยอดเมฆ ซึง่ เปน็ การโจมตีแบบเมฆอนุ่ เพอื่ เหนย่ี วนาให้ ฝนท่ีกาลังตกอยเู่ คล่ือนเขา้ สู่บริเวณทต่ี อ้ งการ นอกจากนียังสามารถโจมตแี บบเมฆเย็น เพ่ือเพิ่มปริมาณฝนให้สูงขนึ ได้อกี ดว้ ย โดยการโจมตีเมฆเยน็ ด้วยซิลเวอร์ไอโอไดด์ (Silver Iodide, Agl) เม่ือเม็ดนาเย็นจากเมฆเยน็ มาเกาะทีแ่ กนของ ซิลเวอรไ์ อโอไดด์ จะเกิดเป็นผลกึ นาแขง็ และมาเจอกบั เมฆอ่นุ ผลกึ นาแข็งกจ็ ะกลายเปน็ เมด็ ฝนในทสี่ ุด และหากโจมตี เมฆอุน่ กับเมฆเยน็ ควบค่กู ัน ก็จะทาให้เกิดฝนตกหนักอย่างต่อเนอ่ื ง และการโจมตีแบบแซนดว์ ิช เป็นการโปรยสารสตู ร แกน (เกลอื แปง้ ) บริเวณไหล่เมฆ และโปรยสตู รเยน็ (ยูเรีย) ชิดฐานเมฆ เพือ่ เรง่ ให้เมฆตกเปน็ ฝนขณะทลี่ อยอยูเ่ หนือพืนที่ เป้าหมาย

ประโยชน์ของฝนหลวง ด้านการเกษตร : มกี ารร้องขอฝนหลวงเพอื่ แก้ไขปัญหาขาดแคลนนาในช่วงทเ่ี กดิ ภาวะฝนแล้ง หรอื ฝนทงิ ชว่ งยาวนาน ซง่ึ มผี ลกระทบตอ่ แหลง่ ผลติ ทางการเกษตรท่กี าลังให้ผลผลิตในพืนท่ีตา่ ง ๆ ดา้ นการอุปโภค บริโภค : การทาฝนหลวงได้ชว่ ยตอบสนองภาวะความต้องการ นากิน นาใช้ ท่ที วคี วามรุนแรงมากใน ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื เน่อื งจากคุณสมบัตขิ องดินในภมู ิภาคนีเป็นดนิ ร่วนปนทรายไมส่ ามารถอ้มุ ซบั นาได้ จึงไม่ สามารถเกบ็ กกั นาไดด้ ีเทา่ ท่ีควร ดา้ นการแกไ้ ขปญั หาคุณภาพนา้ : เน่ืองจากใตพ้ นื ดินของภาคอีสานมแี หล่งหนิ เกลอื เปน็ จานวนมากและครอบคลุมพนื ที่ กว้างขวาง หากยามใดอา่ งเกบ็ นาขนาดเล็กและขนาดกลางเกดิ มปี ริมาณนาเหลือนอ้ ย ย่อมสง่ ผลใหน้ าเกิดนากร่อยหรอื เคม็ ได้ ดังนนั การทาฝนหลวงมีความจาเป็นมากในการชว่ ยบรรเทาปญั หาดงั กล่าว

ประโยชน์ของฝนหลวง (ต่อ) ด้านการป้องกนั และบาบัดภาวะมลพิษของสงิ แวดลอ้ ม : หากนาในแมน่ าเจา้ พระยาลดนอ้ ยลงเม่อื ใด นาเคม็ จาก ทะเลอา่ วไทยกจ็ ะไหลหนุนเนื่องเข้าไปแทนท่ที าให้เกดิ นากร่อย และสร้างความเสยี หายแกเ่ กษตรกรเปน็ จานวนมาก ดงั นันการทาฝนหลวง จงึ ช่วยบรรเทาภาวะดงั กลา่ ว อกี ทังการทาฝนหลวงยังช่วยในเร่ืองของส่ิงแวดลอ้ มที่เปน็ พษิ อันเกิดจากการระบายนาเสียทงิ ลงสแู่ มน่ าเจ้าพระยา โดยปรมิ าณนาจากฝนหลวงจะช่วยผลกั สงิ่ แวดลอ้ มท่ีเปน็ พิษ ใหอ้ อกสู่ท้องทะเล ทาใหภ้ าวะมลพิษจากนาเสยี เจือจางลง ด้านการเพิมปรมิ าณน้าในเขือนภมู ิพลและเขอื นสริ กิ ิต์ิเพอื ผลติ กระแสไฟฟ้า : เน่อื งจากบา้ นเมอื งเราเรมิ่ ประสบ ปัญหาการขาดแคลนพลงั งานไฟฟ้ามากขนึ เนื่องจากมคี วามต้องการใชไ้ ฟฟ้าในปรมิ าณทสี่ ูงมาก ดงั นนั เมื่อเกดิ ภาวะวกิ ฤติ โดยระดบั นาเหนือเข่อื นมรี ะดับต่ามากจนไมเ่ พียงพอต่อการใช้พลังงานนาในการผลติ กระแสไฟฟ้า การทาฝนหลวงจงึ มีความสาคัญในดา้ นดงั กล่าวดว้ ยเชน่ กัน เปน็ ต้น

ประโยชน์ของฝนหลวง (ต่อ) ด้านการป้องกนั และบาบัดภาวะมลพิษของสงิ แวดลอ้ ม : หากนาในแมน่ าเจา้ พระยาลดนอ้ ยลงเม่อื ใด นาเคม็ จาก ทะเลอา่ วไทยกจ็ ะไหลหนุนเนื่องเข้าไปแทนท่ที าให้เกดิ นากร่อย และสร้างความเสยี หายแกเ่ กษตรกรเปน็ จานวนมาก ดงั นันการทาฝนหลวง จงึ ช่วยบรรเทาภาวะดงั กลา่ ว อกี ทังการทาฝนหลวงยังช่วยในเร่ืองของส่ิงแวดลอ้ มที่เปน็ พษิ อันเกิดจากการระบายนาเสียทงิ ลงสแู่ มน่ าเจ้าพระยา โดยปรมิ าณนาจากฝนหลวงจะช่วยผลกั สงิ่ แวดลอ้ มท่ีเปน็ พิษ ใหอ้ อกสู่ท้องทะเล ทาใหภ้ าวะมลพิษจากนาเสยี เจือจางลง ด้านการเพิมปรมิ าณน้าในเขือนภมู ิพลและเขอื นสริ กิ ิต์ิเพอื ผลติ กระแสไฟฟ้า : เน่อื งจากบา้ นเมอื งเราเรมิ่ ประสบ ปัญหาการขาดแคลนพลงั งานไฟฟ้ามากขนึ เนื่องจากมคี วามต้องการใชไ้ ฟฟ้าในปรมิ าณทสี่ ูงมาก ดงั นนั เมื่อเกดิ ภาวะวกิ ฤติ โดยระดบั นาเหนือเข่อื นมรี ะดับต่ามากจนไมเ่ พียงพอต่อการใช้พลังงานนาในการผลติ กระแสไฟฟ้า การทาฝนหลวงจงึ มีความสาคัญในดา้ นดงั กล่าวดว้ ยเชน่ กัน เปน็ ต้น

อา้ งอิง https://wing46.rtaf.mi.th/royalrain/index.php/rainmakingstory/mrainmaking5/72-mrain https://www.trueplookpanya.com/knowledge/content/66756/-blo-sciche-sci- https://www.scimath.org/article-chemistry/item/7581-2017-10-17-02-41-20


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook