Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสารเพิ่มเติมการพัฒนาทักษะส่วนบุคคล

เอกสารเพิ่มเติมการพัฒนาทักษะส่วนบุคคล

Published by chamchomdao, 2019-08-30 03:40:32

Description: การพัฒนาทักษะส่วนบุคคล
การพูด
การใช้สื่อวัสดุอุปกรณ์

Keywords: การพูด,การใช้สื่อ,การใช้วัสดุ

Search

Read the Text Version

การฝึ กอบรมบุคลากรทางการลูกเสือ การพัฒนาทักษะส่วนบุคคล ปริญญา แช่มชมดาว สานักงานลูกเสือแห่งชาติ

1 การพัฒนาทกั ษะส่วนบุคคล เวลา 90 นาที นายปริญญา แช่มชมดาว ขอบข่ายวชิ า 1. หลกั การพดู ในที่ชมุ ชน (บญั ญตั ิ 10 ประการ) 1) ถ้ารู้ดี ก็พดู ได้ 2) เตรียมพร้อมไว้ก็พดู ดี 3) พดู ทงั้ ที ต้องเชื่อมนั่ 4) แตง่ กายนนั้ ต้องเหมาะสม 5) ปรากฏโฉม กระฉบั กระเฉง 6) ไมต่ ้องเกร็ง ใช้ทา่ ทาง 7) สบตาบ้าง อยา่ งทว่ั ถงึ 8) ภาษาซง่ึ เข้าใจง่าย 9) นา้ เสยี งไซร้ เป็ นธรรมชาติ 10) อยา่ ให้ขาด รูปธรรม 2. บคุ ลกิ ภาพ คณุ ลกั ษณะ และข้อควรปฏิบตั ิ ในการพดู ของผ้อู านวยการฝึกอบรม 3. โอกาสในการพดู และวิธีการพดู ของผ้อู านวยการฝึกอบรม 1) กลา่ วต้อนรับที่หน้าเสาธงในพิธีเปิ ดการฝึกอบรมครัง้ แรก 2) การกลา่ วต้อนรับในห้องเรียนครัง้ แรก 3) การกลา่ วปราศรัยหน้าซุ้มก่อนเข้าคา่ ยพกั ในการฝึกอบรม 4) การปราศรัยหน้าเสาธงประจาวนั (ตอนเช้า) 5) การกลา่ วเปิ ด – ปิ ด การชมุ นมุ รอบกองไฟ 6) กลา่ วเปิ ดงาน หรือการปราศรัยในงานเลยี ้ งสงั สรรค์ 7) การกลา่ วปิ ดการฝึกอบรมในวนั สดุ ท้ายของการฝึกอบรม (Final Talk) 8) การกลา่ วให้โอวาทกอ่ นเดนิ ทางไกล 9) การกลา่ วในการรับมอบนายหมถู่ าวร 10) การกลา่ วในโอกาสมอบเคร่ืองหมายว้ดู แบดจ์ 4. ทกั ษะการใช้สอื่ และโสนทศั นปู กรณ์ประกอบการพดู และการประเมนิ ผลการใช้สอื่ 5. วสิ ยั ทศั น์และวธิ ีการปฏบิ ตั งิ านของผ้อู านวยการฝึกอบรม จุดหมาย เพื่อสร้างความตระหนกั ตอ่ หน้าท่ีในฐานะเป็ นผ้อู านวยการฝึกอบรม มีทกั ษะการพดู ในโอกาสตา่ งๆ ที่สามารถทา ให้ผ้ฟู ังเข้าใจและปฏิบตั ิได้ตามเจตนารมณ์ของผ้พู ดู ตลอดจนให้เห็นคณุ ค่าและประโยชน์ของการพูด การใช้ส่ือ และ โสตทศั นปู กรณ์ รวมถึงการมีวิสยั ทศั น์ในการปฏิบตั ิงานตามบทบาทหน้าที่ของผ้อู านวยการฝึ กอบรมนาไปสคู่ วามสาเร็จ ของการฝึ กอบรม

2 วัตถปุ ระสงค์ เม่ือจบบทเรียนนีแ้ ล้ว ผ้เู ข้ารับการฝึ กอบรม ควรจะมีความสามารถ ดังนี้ 1. บอกหลกั การพดู ในท่ชี มุ ชน และนาไปใช้ได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพได้ 2. มีพฒั นาการด้านบคุ ลกิ ภาพ คณุ ลกั ษณะ และ บอกข้อควรปฏบิ ตั ิ ในการพดู ของผ้อู านวยการฝึกอบรมได้ 3. บอกโอกาสและวิธีการในการพูดของผ้อู านวยการฝึ กอบรม และสามารถพดู ตามโอกาสต่างๆ ได้อย่างมี ประสทิ ธิภาพ 4. ใช้สอ่ื และโสตทศั นปู กรณ์ประกอบการพดู และการประเมินผลการใช้สอื่ ได้ 5. มวี ิสยั ทศั น์และ บอกวิธีการปฏบิ ตั ิงานในฐานะผ้อู านวยการฝึกอบรม ได้ วธิ ีการสอน/กจิ กรรม 90 นาที 1. นาเข้าสบู่ ทเรียน และชีแ้ จงวตั ถปุ ระสงค์ 10 นาที 2. มอบหมายงาน (เร่ือง โอกาสในการพดู ) ให้แตล่ ะกลมุ่ ปฏบิ ตั ิ 30 นาที 3. นาเสนอผลงานจากข้อ 2. (ผ้แู ทนกลมุ่ พดู ) ให้ข้อเสนอแนะ (กลมุ่ ละ 3 นาท)ี 20 นาที 4. บรรยายสรุปบทเรียน 25 นาที 5. ซกั ถาม 5 นาที ส่ือการสอน 1. เครื่องฉายโปรเจคเตอร์ พร้อมจอภาพ 2. คอมพิวเตอร์ (Note Book) 3. โปรแกรม Power Point ประกอบ File การบรรยาย 4. ไมค์โครโฟน พร้อมขาตงั้ ยาว จานวน 1 ชดุ 5. ใบงาน/ฉลาก เรื่อง โอกาสในการพดู จานวน 5 สถานะ การประเมินผล 1. การสงั เกต 2. การซกั ถาม 3. ผลการปฏิบตั ิงานตามใบงาน

3 เอกสารเพมิ่ เตมิ เร่ือง การพัฒนาทกั ษะส่วนบุคคล เนื้อหาวชิ าโดยละเอยี ด 1. หลักการพดู ในท่ชี มุ ชน การพดู เปน็ ได้ท้ังเครื่องสรา้ งและเคร่ืองทาลายมติ รภาพและมนุษย์สัมพันธ์ ดังน้ัน ผู้ที่เป็นผู้อานวยการ ฝกึ อบรม จะต้องมีศิลปะในการพูด ดงั คากลอนของทา่ นสนุ ทรภู่ :- .........จะพูดจาปราศรยั กบั ใครน้นั อยา่ ตะคัน้ ตะคอกใหเ้ คอื งหู ไมค่ วรพดู ก็อยา่ พดู ถึงมงึ กู คนจะหลลู่ ว่ งลามไมข่ ามใจ แม้จะเรยี นวิชาทางคา้ ขาย อยา่ ปากรา้ ยพูดจาอัชฌาสัย จะซือ้ งา่ ยขายดมี กี าไร ดว้ ยเขาไมเ่ คอื งจติ ระอิดระอา........ ดังนั้นทุกครั้งที่ผู้อานวยการฝึกอบรมจะพูดจาปราศรัยไม่ว่าจะเป็นการประชุมวิทยาการหรือพูด ปราศรยั หนา้ เสาธง หรอื งานต่างๆ ควรจะตอ้ งมีหลักการดังน้ี ถ้ารู้ดีก็พูดได้ หมายถึง ควรพูดในเรื่องท่ีรู้ เร่ืองท่ีตนศึกษามา เป็นเรื่องท่ีจดจาได้อย่างแม่นยา หรือ เป็นเร่อื งท่ีตนเองประสบมาโดยตรง และตรงกบั ประเด็นท่จี ะพูดในโอกาสน้ัน เตรียมพรอ้ มไวก้ พ็ ูดดี หมายถงึ ผ้พู ดู จะตอ้ งมกี ารเตรียมตัว เตรียมส่ิงต่างๆ เตรียมคาพูด เตรียมปรับ อารมณ์ เตรียมเคร่อื งมอื สือ่ วสั ดุ ทีใ่ ช้ประกอบในการพูดให้พร้อม ทดสอบการพดู หลายๆ ครัง้ จนม่ันใจ พูดท้งั ทตี ้องเชื่อม่ัน หมายถึง ผู้พูดจะต้องมีความเช่ือม่ันในตนเอง ไม่หวาดระแวงหรือตระหนก หรือ ต่ืนเตน้ จนเกินเหตุ ความเชื่อม่นั จะเกิดได้จากการท่มี ีการเตรียมตัวทดี่ ีตามทีก่ ล่าวไว้เบ้ืองต้น แต่งกายนั้นต้องเหมาะสม หมายถึง ในฐานะผู้อานวยการฝึก ท่านจะเป็นผู้ท่ีตกเป็นเป้าสายตาของ มวลสมาชกิ ท่รี ่วมเปน็ วิทยากร ท่ีสาคญั คือผู้เข้ารบั การฝกึ อบรม ดงั นั้น จึงต้องคิดไวเ้ สมอว่า ผู้อานวยการฝึกคือ ผู้จะต้องเป็นแบบอย่างที่ดีและมวลสมาชิกและผู้เข้ารับการฝึกอบรม การแต่งกายจึงเป็นเร่ืองสาคัญท่ีไม่อาจ ละเลย สารวจตรวจตราอยา่ ให้ขาดตกบกพรอ่ ง ปรากฏโฉมกระฉับกระเฉง หมายถึง การปรากฏตัวต่อชุมชน ต่อท่ีประชุม หน้าเสาธง หรือในกรณี ใดๆ ตามสถานการณ์ ต้องแสดงให้ว่าผู้พูดนั้นมีความกระฉับกระเฉง ไม่ซึมเซา เพื่อสร้างความเช่ือถือและ เชือ่ มั่นให้แกผ่ ู้ฟัง ไม่ต้องเกร็งใช้ท่าทาง หมายถึง ในขณะท่ีพูดอาจจะต้องใช้ท่าทางประกอบในการพูด ในการเอ่ยอ้าง โดยเฉพาะการใชม้ อื ทง้ั นี้ต้องใช้ให้เหมาะสม ไมม่ ากเกนิ ไป ควรใช้เป็นคร้งั คราว ตามสถานการณ์ สบตาบ้างอย่างท่ัวถึง หมายถึง การใช้สายตาเพ่ือการส่ือสารระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง ที่สาคัญเป็นการ สังเกตอากัปกิริยาของผู้ฟัง ท่ีแสดงถึงความพึงพอใจ ความเข้าใจ หรือกาลังโต้แย้ง เบื่อหน่าย ที่ผู้พูดจะต้อง ปรบั วิธกี ารพูด เรอื่ งที่จะพดู ตลอดจนน้าเสยี ง เปน็ ตน้

4 ภาษาซึ่งเข้าใจง่าย หมายถึง การใช้ภาษาของผู้พูดควรเหมาะกับเพศ วัย ระดับความรู้ ของฟัง ไม่ ควรใช้อักษรยอ่ เป็นต้น น้าเสียงไซร้เป็นธรรมชาติ หมายถึง การเสียงในขณะพูด ไม่ใช่เป็นการท่องจา เสียงไม่ดังเกินไป ไม่ พูดเร็วหรือช้าเกินไป เสียงท่ีเปล่งออกไปมีสูงมีต่าตามเหตุการณ์ของเนื้อหาที่พูด ไม่ตะโกนหรือตะเบ็งเสียง ปรบั น้าเสยี งให้นมุ่ นวล จะเปน็ คาพูดท่ีนา่ ฟังและสวยงามสาหรับผูฟ้ ัง อย่าใหข้ าดรปู ธรรม หมายถึง เมือ่ ผ้พู ดู พดู ถึงส่งิ ใดแล้วทาให้ผู้ฟังเกิดจินตนาการตามคาพูดได้ถูกต้อง กับส่ิงท่ีผู้พูดนั้นพูดออกไป ผู้ฟังสามารถมองเห็นภาพได้อย่างชัดเจน เกิดความเข้าใจและได้อรรถรสในการฟัง เกิดความประทับใจตอ่ ผพู้ ูด 2. บคุ ลกิ ภาพ คุณลักษณะ และขอ้ ควรปฏิบตั ใิ นการพดู ของผู้อานวยการฝึกอบรม คุณลักษณะของผู้อานวยการฝึกอบรมท่ีประสบความสาเร็จ จากการศึกษาของนักจิตวิทยาและ นักวิจัย ได้แบง่ คุณลกั ษณะของผเู้ ปน็ ผนู้ าออกเป็น 3 ด้าน ไดแ้ ก่ 1. ด้านกายภาพ 2. ดา้ นสตปิ ัญญา 3. ด้านบุคลกิ ภาพของผู้นา คุณลักษณะของผ้นู าทช่ี ่วยให้กลมุ่ ดาเนินงานประสบความสาเร็จตามเป้าหมาย ไดแ้ ก่ 1. ความเฉลยี วฉลาด 2. ความพร้อม 3. ความเขา้ ใจในงาน 4. ความคดิ ริเรม่ิ และมุ่งมน่ั ในการแกป้ ัญหา 5. ความเชื่อมัน่ ในตนเอง 6. ความตอ้ งการทจ่ี ะรับผดิ ชอบ 7. ความเหนอื กว่าและความสามารถควบคุม อย่างไรก็ตามการท่ผี ู้นาจะมคี ุณลักษณะอยา่ งไรนั้นข้ึนอยู่กบั สถานการณด์ ว้ ย สรุปไดด้ งั นี้ ...ผู้นาจะเป็นผู้นาคนอื่นมิใช่สามารรถจะเป็นได้โดยการอาศัยแต่เพยงการมีคุลักษณะทางกายภาพ และบคุ ลกิ ภาพของผู้นานั้นเพราะว่าคุณลักษณะของผู้จะมีความสัมพันธ์หรือเข้ากันได้กับลักษณะของกิจกรรม และเปา้ หมายของผูต้ ามด้วย.... คณุ ลักษณะผู้นาท่ีดี ประกอบด้วย ตัดสินใจเด็ดขาด มีเป้าหมายชัดเจน รู้จักใช้คน ซ่ือสัตย์ สนับสนุน ทีมงาน มนษุ ยสัมพนั ธด์ ี ร้จู ักรบั ฟังความคดิ เหน็ ของทีมงาน บุคลิกภาพดี มีศลิ ปะในการเจรจา และมีความเป็น ผู้นา นอกจากนีแ้ ล้วยังต้องมีคณุ ลกั ษณะและบุคลกิ ภาพทดี่ ี ได้แก่

5 1. มภี าวะผูน้ า คือ มีลกั ษณะภาวะของการเป็นผ้อู านวยการฝึก เป็นบุคคลท่ีมีความสามารถสูง เก่ง มี ความรู้ มีทักษะทางลูกเสือเป็นอย่างดี มีความสามารถพัฒนางานองค์กรให้เจริญก้าวหน้า มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ประพฤติตน ปฏบิ ัติตนเปน็ แบบอย่างที่ดี 2. ความเกง่ 5 ประการ กลา่ วโดยสรุปไดว้ ่า ผู้อานวยการฝึกอบรมนอกจากมีบุคลิกภาพการเป็นผู้นา ที่ดีแล้ว ยังต้องมีความรู้ความสามารถ ซ่ึงเป็นความเก่ง 5 ประการ ได้แก่ เก่งงาน เก่งคิด เก่งคน เกง่ แก้ปัญหา เก่งเทคโนโลยี 3. ความต้องการในการฝึกอบรม หมายถึง ผู้อานวยการฝึกอบรมต้องมีความรู้ทางด้านการฝึกอบรม (Training Need) 5 ประการ ได้แก่ ประการท่ี 1 ดา้ นความรูค้ วามเข้าใจในวชิ าการทางลกู เสือ (Understanding) ประการที่ 2 ทักษะทางการลูกเสือ (Scouting Skills) ประการที่ 3 ทักษะดา้ นมนุษยสัมพันธ์ (Relationship Skills) ประการที่ 4 ทักษะด้านการวางแผน (Planning Skills) ประการท่ี 5 ทกั ษะการนาไปใช้ (Implementing Skills) 4. ทักษะการพดู ศลิ ปะการพดู วธิ กี ารพดู ของผู้อานวยการฝกึ อบรมท่ีดีควรยึดหลักสาคัญของการพูด ไดแ้ ก่ พูดตรงไปตรงมา พูดใหต้ รงประเด็น พูดอย่าวกวน พดู ไม่ออ้ มคอ้ ม ผฟู้ งั ฟงั แล้วเกดิ ความเข้าใจ หลักการและวิธีการพูดของผู้อานวยการฝึกอบรม จะต้องมีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์ วิธีการพูดต่อที่ชุมชน หรือมีศิลปะในการพูดต่อทีชุมชน ก่อนที่จะพูดเร่ืองอะไร จะต้องใช้วิธีการดึงดูดความ สนใจมายังตัวผู้พูดโดยใช้เทคนิคที่เหมาะสมกับสถานการณ์นั้นๆ ถ้าไม่อาจยืนพูดต่อหน้าชุมชนได้อย่า ปรารถนาเป็นผนู้ า หลักในการพดู ขอเสนอแนะไว้ ดังน้ี รูปแบบการพดู 3 แบบ ไดแ้ ก่ 1. การพดู แบบบอกเล่าหรือบรรยาย เป็นการพูดแบบนาเนื้อหามาบอกเล่าบรรยายให้ฟัง เหมือนการ สอนในโรงเรียน หรอื ในมหาวทิ ยาลัย ซึ่งขาดแรงจูงใจและผู้ฟังไม่เกดิ ความสนกุ ในการรับฟงั 2. การพูดแบบจูงใจ หรือชักชวน เป็นการพูดที่ดึงดูดให้ผู้ฟังคล้อตามคาพูด เป็นรูปแบบการพูดท่ี นักการเมืองนามาใช้ 3. การพูดแบบบันเทิง หมายถึง การพูดท่ีพูดแล้วผู้ฟังเกิดความสนุกสนาน เป็นการพูดของนักแสดง ตวั ตลก หรอื นกั พูดแบบ Talk Show การพูดท่ีดีควรนารูปแบบการพูดทั้ง 3 รูปแบบ มาผสมผสานกัน จะสามารถทาให้การพูดของเรา ประสบผลสาเรจ็ วิธกี ารพดู วิธีการพูด กลา่ วไดโ้ ดยสรปุ มี 4 วิธี ดังน้ี

6 วิธีท่ี 1 การท่องจามาพูด วิธีนี้ผู้พูดจะพูดทุกตัวอักษรท่ีท่องจามา เป็นวิธีที่ไม่นิยมใช้ เพราะจะทาให้ นา้ เสยี งของผพู้ ดู ไม่เป็นธรรมชาติ สายตาไมส่ อดส่าย การพูดมกั จะเกิดความล้มเหลว วิธีท่ี 2 อ่านจากร่างหรือต้นฉบับ เป็นการพูดที่เตรียมไว้ให้อ่าน เช่น การกล่าวเปิดการประชุม เปิด สมั มนา เปน็ ต้น วิธีท่ี 3 พูดจากความเข้าใจ เป็นวิธีที่จะยืดหรือหดได้ สามารถปรับได้ตามสถานการณ์ แต่ผู้พูดอาจ หลงลมื สิ่งทีจ่ ะพูด เสียดายในส่ิงท่ีไม่ได้พูด และกลับย้อนมาพูด ซ่ึงเป็นการสร้างความไม่น่าเช่ือถือแก่ผู้ฟังและ อาจเกิดภาวะสบั สนได้ ดงั น้ันอยา่ เสียดายสง่ิ ที่ไมไ่ ดพ้ ูดและหลีกเล่ียงทจ่ี ะย้อนกลบั ไปพดู วิธีที่ 4 พูดอย่างกะทันหัน ไม่รู้ตัว เช่น ได้รับเชิญให้พูดอวยพร ในงานมงคลสมรส หากไม่เคยพูดมา กอ่ นจะเกิดความผิดพลาดไดง้ ่าย คาพูดจะตะกุกตะกัก จึงควรมกี ารเตรียมคาคม คากลอนส้นั ไวบ้ า้ ง เป็นตน้ 3. โอกาสในการพดู และวิธีการพูดของผู้อานวยการฝกึ อบรมขน้ั ความรูช้ ้นั สงู 1) กล่าวตอ้ นรบั ที่หน้าเสาธงในพธิ ีเปิดการฝกึ อบรมครั้งแรก 2) การกลา่ วต้อนรับในหอ้ งเรยี นครั้งแรก 3) การกลา่ วปราศรัยหนา้ ซมุ้ ก่อนเขา้ ค่ายพกั ในการฝึกอบรม 4) การปราศรยั หนา้ เสาธงประจาวนั (ตอนเชา้ ) 5) การกลา่ วเปิด – ปิด การชมุ นุมรอบกองไฟ 6) กลา่ วเปดิ งาน หรอื การปราศรัยในงานเล้ยี งสงั สรรค์ 7) การกลา่ วปดิ การฝึกอบรมในวันสดุ ทา้ ยของการฝึกอบรม (Final Talk) 8) การกลา่ วใหโ้ อวาทกอ่ นเดนิ ทางไกล 9) การกลา่ วในการรบั มอบนายหมู่ถาวร 10) การกล่าวในโอกาสมอบเครอื่ งหมายวดู้ แบดจ์ 11) การกลา่ ววนั ประชมุ วทิ ยากรก่อนการฝกึ อบรมเพอื่ มอบหมายงาน 12) การกลา่ วในการประชมุ วทิ ยากรกอ่ นการปดิ การฝึกอบรม 1 วัน 4. ทกั ษะการใช้สอ่ื และโสนทัศนปู กรณ์ประกอบการพดู และการประเมนิ ผลการใชส้ ื่อ การใช้สื่อในการฝกึ อบรม การนาเอาสื่อมาใช้ในการฝึกอบรมผู้บังคับบัญชาลูกเสือน้ัน วิทยากรจะต้องมีการวางแผนล่วงหน้า อย่างดี เปน็ การเตรยี มตัวเอง ซ่ึงจะต้องเลอื กส่ือ วสั ดุ อุปกรณช์ นดิ ใดและจะใช้อย่างไรจึงจะสัมฤทธิ์ผล อย่างมี ประสิทธิภาพมากทส่ี ดุ ข้ันตอนการวางแผนการเลอื กผลิตและใชส้ ือ่ 1. มีจุดหมาย หมายถึง ผู้ใช้ส่ือต้องระบุว่าต้องการให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมมีความสามารถทา อะไรได้บ้าง หลงจากการฝึกอบรมแลว้

7 2. วิเคราะห์ผู้เข้ารับการอบรมเป็นรายบุคคล เพราะผู้เข้ารับการฝึกอบรมมีความแตกต่างกัน เชน่ ดา้ นคณุ ลักษณะและพื้นฐานการศกึ ษา ดงั น้นั วิทยากรตอ้ งคานึงถงึ เป็นอย่างย่ิง สิ่งที่จะต้องนามาวิเคราะห์ ได้แก่ - ลกั ษณะภายนอก เชน่ อายุ เพศ สขุ ภาพ และจานวน เป็นตน้ - ทัศนคติท่มี ีตอ่ กิจการลกู เสอื ความจาเป็น ความสนใจ เปน็ ต้น - พ้นื ฐานทางการศกึ ษา เปน็ เรื่องทส่ี าคญั สาหรับการฝึกอบรมอยา่ งย่ิง - สถานะภาพทางสังคมเศรษฐกจิ อาชพี ศาสนา เชื้อชาติ ฯลฯ 3. ลาดับเนื้อหา เป็นสิ่งที่วิทยากรต้องคานึงอยู่เสมอว่า ทาอย่างไรจึงจะทาให้ผู้เข้ารับการ อบรมมคี วามรคู้ วามเข้าใจเน้อื หาท่ีตนเสนอ เกิดความรู้ ทักษะ การจัดเนือ้ หาอาจแบ่งไดเ้ ป็น 4 แบบ ไดแ้ ก่ - ลาดับเนือ้ หาโดยใช้เวลากาหนด - ลาดับเน้อื หาโดยขัน้ ตอนของเนอ้ื หา - ลาดับเนือ้ หาโดยหัวขอ้ เรอ่ื ง - ลาดบั เน้ือหาตามความยากงา่ ย 4. วิธีเลือก ต้องเลือกใช้ส่ือให้เหมาะสม และการเลือกสื่อที่ดีต้องคานึงถึงองค์ประกอบ เช่น ของจรงิ ภาพน่งิ ภาพเคลือ่ นไหว แสง เสียง ตวั อักษร ขนาดหอ้ ง ตลอดจนความสามารถของผู้เข้ารับการอบรม องค์ประกอบทุกอย่างท่ีกล่าวมาแล้วเป็นสิ่งท่สี าคัญมากสาหรบั การเลือกสื่อ 5. การผลติ ส่อื ทผ่ี ลิตผู้บรรยายหรือวิทยากรควรดาเนินการผลิตเอง หรืออาจควบคุมการผลิต ดว้ ยตวั เองอย่างใกล้ชดิ เพอ่ื ให้งานทผ่ี ลิตมีคณุ ภาพดี มคี วามสมบูรณ์ มากที่สุด ท่ีสาคัญจะต้องมีคู่มือการใช้สื่อ อปุ กรณ์น้ัน เพื่อให้วิทยากรท่านอ่นื ๆ ได้นาไปใช้ได้อยา่ งถูกตอ้ ง 6. การใช้อุปกรณ์ วิทยากรต้องศึกษาคู่มือการใช้ และต้องทดลองใช้ก่อนจนแน่ใจว่าใช้สอนได้ และใชไ้ ดอ้ ยา่ งถูกวิธี ตามข้ันตอน นอกจากน้ันแลว้ ยังมีองค์ประกอบที่ต้องคานึงถึง ได้แก่ สถานที่ ส่ือประกอบ การซ้อมใช้ การจดั บรรยากาศให้เหมาะสมกับเนอ้ื หา 7. วัดและประเมินผลประสิทธิภาพของส่ือ เพ่ือค้นหาประสิทธิภาพของสื่อนั้น วิทยากรอาจ เป็นผปู้ ระเมินเอง หรอื ให้ผู้เข้ารับการฝกึ อบรมร่วมประเมินด้วย การประเมินน้ีผู้สอนหรือวิทยากรต้องแน่ใจว่า ตนเองใช้ได้ถกู ตอ้ ง และนาผลท่ีไดจ้ ากการประเมนิ มาพฒั นาปรบั ปรงุ ส่ือนนั้ ๆ ให้สมบูรณย์ ิง่ ข้นึ ตอ่ ไป 8. ประเภทของสื่อท่ีนิยมใช้ - แผ่นภาพ แผนภมู ิ และแผนสถิติ - ภาพสไลด์จากโปรแกรมประยุกต์ เชน่ Microsoft Power Point, Multi Vision - ภาพยนตร์ คลิป - เคร่ืองขยายเสยี ง - สิง่ พมิ พ์ - ห่นุ จาลอง - ฯลฯ

8 5. วิสยั ทศั น์และวธิ กี ารปฏิบัติงานของผู้อานวยการฝกึ อบรม ผู้อานวยการฝกึ แต่ละคนจะต้องมีหลักการทางาน มียุทธวิธีการทางานเพ่ือจะได้ยึดเป็นแนวทางนาไป ปฏิบัติในการทางานนัน้ เพ่ือให้งานน้ันบรรลุเปา้ หมายท่ีกาหนดไว้ โดยประหยัดคน ประหยดั งาน ประหยัดเวลา วธิ ีการทางานของผู้อานวยการฝกึ อบรม อาจกาหนดไดด้ ังน้ี 1. ยึดหลักการ ในการฝึกอบรม ผู้อานวยการฝึกจะต้องยึดจุดหมาย วัตถุประสงค์ของ หลักสูตรลูกเสือประเภทน้ัน และยึดวัตถุประสงค์ของบทเรียนนั้นเป็นหลัก หากิจกรรมและวิธีการสอนมา นาเสนอใหต้ อบสนองจดุ หมาย วตั ถุประสงคเ์ หลา่ นนั้ 2. มีระบบการทางาน ระบบการทางานที่ดี ได้แก่ “วงล้อเดมม่ิง Deming Wheel” ได้แก่ การวางแผน (Plan), การทา (Do), การตรวจสอบ (Check) และ การแกไ้ ขเพ่อื พฒั นา (Act) 3. ยึดความถูกต้อง ได้แก่ ถูกต้องตามพระราชบัญญัติลูก พ.ศ. 2551 ถูกต้องตาม กฎ- ขอ้ บังคับต่างๆ ของคณะลูกเสือแห่งชาติ ถูกต้องตามขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงานของไทย ถูกตอ้ งตามกฎหมายบา้ นเมอื ง และถูกตอ้ งตามหลกั ศาสนาทตี่ นเองเคารพนบั ถือ 4. ยึดคุณภาพ ผู้อานวยการฝกึ อบรมทท่ี างานตามยทุ ธวิธีท่ีกล่าวมาแล้ว โดยยึดหลักการ มี ระบบการทางาน ยึดความถูกต้อง 5. ยดึ คณุ ธรรม ไดแ้ ก่ - ปฏบิ ตั ิตามคาปฏิญาณและกฎของลูกเสือ - ปฏบิ ัตติ ามหลักศาสนาทต่ี นเองเคารพนับถอื โดยเคร่งครัด - สาหรบั ผู้ที่นบั ถอื ศาสนาพุทธควรยึดหลัก อทิ ธิบาท4 สงั คหะวตั ถ4ุ และพรหมวหิ าร4 วิสัยทัศน์ของผูอ้ านวยการฝีกทด่ี ี ไดแ้ ก่ 1. มองการณไ์ กล 2. ทันสมยั ทันเหตุการณ์ ทนั คน ทันเวลา 3. ปรับปรงุ เปล่ียนแปลง และพัฒนาอยตู่ ลอดเวลา 4. มองคนออก บอกคนได้ ใช้คนเป็น เน้นความถูกตอ้ ง และการพัฒนา ……………............................................................................................................


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook