Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore นางสาวชื่นกมล แซ่เฮ้อ

นางสาวชื่นกมล แซ่เฮ้อ

Description: นางสาวชื่นกมล แซ่เฮ้อ

Search

Read the Text Version

เทคโนโลยดี ิจิทัลเพือ่ การจดั การอาชพี เสนอ อาจารยเ์ กสร เทียนใต้ จดั ทาโดย นางสาวชื่นกมล แซ่เฮ้อ นกั ศกึ ษาพาณิชยกรรม ปวส.105 สาขาเทคโนโลยีธุรกจิ ดิจทิ ัล รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนงึ่ ของวิชาเทคโนโลยดี ิจทิ ัลเพ่ือการจดั การอาชีพ รหัสวชิ า 3001-2001 ภาคเรยี นที่ 1/2563 วทิ ยาลัยอาชีวศึกษาเถนิ เทคโนโลยี อ.เถิน จ.ลาปาง

ก คานา รายงานเลม่ น้ีเป็นส่วนหนึ่งของวชิ าเทคโนโลยดี ิจิทัลเพื่อการจัดการอาชพี รหัสวิชา 3001-2001 จัดทาข้ึน เพื่อศึกษาความรู้เก่ียวกับเรื่อง ความรู้เก่ียวกับคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์โทรคมนาคม ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และสารสนเทศ และการสบื คน้ ข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต หวังว่ารายงานเล่มนีจ้ ะให้ความรแู้ ก่ผู้ศึกษาไม่มากก็น้อย หากมขี อ้ ผดิ พลาดประการใดขออภัย ณ ทีน่ ดี้ ้วย จัดทาโดย นางสาวชืน่ กมล แซ่เฮ้อ

ข หนา้ สารบญั 1-5 5-13 เร่อื ง 14-20 ความรู้เกีย่ วกบั คอมพวิ เตอรแ์ ละอปุ กรณ์โทรคมนาคม ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์และสารสนเทศ การสบื ค้นข้อมูลบนอินเทอรเ์ น็ต

1 1.ความรเู้ ก่ียวกับคอมพวิ เตอรแ์ ละอปุ กรณ์โทรคมนาคม 1.1ความหมายของคอมพิวเตอร์และอปุ กรณ์โทรคมนาคม คอมพิวเตอร์ (อังกฤษ: computer) มาจากภาษาละตินว่า Computare หมายถึง เครื่องคานวณทาง อิเล็กทรอนิกส์ท่ีสร้างข้ึน สามารถเก็บข้อมูลพร้อมด้วยคาส่ังแล้วแสดงผลออกมาในรูปแบบต่างๆ ได้รวดเร็วและ ถกู ต้อง คอมพิวเตอร์ (Computer) คืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่นาไปใช้งานได้หลากหลายตามวัตถุประสงค์ของ ผู้ใช้แต่ละคนทางานโดยการรับคาส่ังจากมนษุ ย์หากซ่ึงคาส่งั ท่ีสั่งใหค้ อมพิวเตอร์ทางานผดิ คอมพิวเตอร์ก็จะทางาน ผิด ตรงขา้ มกนั ถา้ คาสัง่ นน้ั ถูกตอ้ ง คอมพิวเตอรก์ ็จะทางานไดอ้ ยา่ งถูกต้องและใหผ้ ลลพั ธท์ นี่ ่าพอใจ 1.2 หลกั การทางานของคอมพิวเตอร์และอุปกรณโ์ ทรคมนาคม เครอื่ งคอมพิวเตอรม์ ขี ้ันตอนการทางาน 3 ขน้ั ตอน คอื 1. รับโปรแกรมและข้อมูล หมายถึง ชุดของคาส่ังที่จะให้คอมพิวเตอร์ทางาน ส่วนข้อมูล อาจเป็นตัวเลข หรอื ตวั หนงั สือก็ได้ ทีต่ ้องการใหค้ อมพวิ เตอร์ทาการประมวลผล 2. การประมวลผล หมายถึง การจัดระเบยี บแบบแผนของขอ้ มูล เพอื่ ให้ได้ผลลพั ธต์ ามทต่ี ้องการ ซ่ึงทาได้ โดยการคานวณเปรยี บเทยี บ วเิ คราะห์โดยใช้สูตรทางวทิ ยาศาสตร์ หรือ คณิตศาสตร์ โดยอาศยั คาส่ังหรือโปรแกรม ท่เี ขียนข้ึน 3. แสดงผลลพั ธ์ คือ การนาผลลพั ธ์ทไี่ ดจ้ ากการประมวลผลเสร็จเรียบรอ้ ย แสดงออกในรปู แบบตา่ ง ๆ ที่ ผูใ้ ช้เข้าใจ และนาไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้ 1.3 องค์ประกอบพนื้ ฐานของคอมพิวเตอร์ องคป์ ระกอบของคอมพวิ เตอร์ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่เราเห็นๆ กันอยู่นี้เป็นเพียงองค์ประกอบส่วนหนึ่งของระบบคอมพิวเตอร์เท่านั้น แต่ ถ้าต้องการให้เคร่ืองคอมพิวเตอร์แต่ละเคร่ืองสามารถทางานได้อย่างมีประสิทธิภาพตามท่ีเราต้องการนั้น จาเป็นตอ้ งอาศัยองค์ประกอบพื้นฐาน 4 ประการมาทางานร่วมกัน ซึ่งองคป์ ระกอบพนื้ ฐานของระบบคอมพิวเตอร์ ประกอบไปด้วย

2 ฮารด์ แวร์ (Hardware) หมายถึง อปุ กรณ์ตา่ งๆ ที่ประกอบข้ึนเป็นเครอื่ งคอมพวิ เตอร์ มีลักษณะเปน็ โครงร่างสามารถมองเห็นด้วย ตาและสัมผัสได้ (รูปธรรม) เช่น จอภาพ คีย์บอร์ด เคร่ืองพิมพ์ เมาส์ เป็นต้น ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นส่วนต่างๆ ตามลักษณะการทางาน ได้ 4 หน่วย คือ หน่วยรับข้อมูล (Input Unit) หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit: CPU) หน่วยแสดงผล (Output Unit) หน่วยเก็บข้อมูลสารอง (Secondary Storage) โดย อุปกรณแ์ ตล่ ะหนว่ ยมีหน้าทก่ี ารทางานแตกตา่ งกนั ซอฟต์แวร์ (Software) หมายถึง ส่วนที่มนุษย์สัมผัสไม่ได้โดยตรง (นามธรรม) เป็นโปรแกรมหรอื ชุดคาส่ังทถ่ี ูกเขียนขึ้นเพ่ือสงั่ ให้ เคร่อื งคอมพิวเตอร์ทางาน ซอฟตแ์ วรจ์ งึ เป็นเหมือนตัวเชื่อมระหว่างผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์และเครื่องคอมพวิ เตอร์ ถ้าไมม่ ีซอฟต์แวร์เรากไ็ มส่ ามารถใช้เครื่องคอมพวิ เตอร์ทาอะไรได้เลย ซอฟตแ์ วร์สาหรบั เครอื่ งคอมพิวเตอรส์ ามารถ แบ่งได้ ดังนี้ ซอฟต์แวร์สาหรับระบบ (System Software) คือ ชุดของคาส่ังท่ีเขียนไว้เป็นคาสั่งสาเร็จรูป ซ่ึงจะ ทางานใกล้ชิดกับคอมพิวเตอรม์ ากทส่ี ดุ เพอื่ คอยควบคมุ การทางานของฮารด์ แวรท์ ุกอยา่ ง และอานวยความสะดวก ให้กับผู้ใช้ในการใช้งาน ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมระบบท่ีรู้จักกันดีก็คือ DOS, Windows, UNIX, Linux รวมท้ัง โปรแกรมแปลคาสั่งท่ีเขียนในภาษาระดับสูง เช่น ภาษา Basic, FORTRAN, Pascal, COBOL, C เป็นต้น นอกจากน้ีโปรแกรมท่ีใช้ในการตรวจสอบระบบเช่น Norton’s Utilities ก็นับเป็นโปรแกรมสาหรับระบบด้วย เช่นกัน ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software) คือ ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมที่ส่ังคอมพิวเตอร์ทางาน ต่างๆ ตามที่ผู้ใช้ต้องการ ไม่ว่าจะด้านเอกสาร บัญชี การจัดเก็บข้อมูล เป็นต้น ซอฟต์แวร์ประยุกต์สามารถจาแนก ได้เปน็ 2 ประเภท คอื - ซอฟต์แวร์สาหรับงานเฉพาะด้าน คือ โปรแกรมซึ่งเขียนข้ึนเพ่ือการทางานเฉพาะอย่างที่เราต้องการ บางท่ีเรียกว่า User’s Program เช่น โปรแกรมระบบเช่าซ้ือ โปรแกรมการทาสินค้าคงคลัง เป็นต้น ซึ่งแต่ละ โปรแกรมก็มกั จะมเี งือ่ นไข หรือแบบฟอรม์ แตกตา่ งกันออกไปตามความต้องการ หรอื กฎเกณฑ์ของแตล่ ะหน่วยงาน ที่ใช้ ซึ่งสามารถดัดแปลงแก้ไขเพิ่มเติม (Modifications) ในบางส่วนของโปรแกรมได้ เพ่ือให้ตรงกับความต้องการ ของผใู้ ช้ และซอฟตแ์ วร์ประยุกตท์ เ่ี ขยี นขึ้นนโี้ ดยส่วนใหญ่มกั ใช้ภาษาระดับสงู เป็นตวั พฒั นา - ซอฟต์แวร์สาหรับงานท่ัวไป เป็นโปรแกรมประยุกต์ท่ีมีผู้จัดทาไว้ เพ่ือใช้ในการทางานประเภทต่างๆ ทั่วไป โดยผู้ใช้คนอ่ืนๆ สามารถนาโปรแกรมนี้ไปประยุกต์ใช้กับข้อมูลของตนได้ แต่จะไม่สามารถทาการดัดแปลง หรอื แกไ้ ขโปรแกรมได้ ผู้ใช้ไมจ่ าเป็นต้องเขียนโปรแกรมเอง ซึง่ เป็นการประหยัดเวลา แรงงาน และค่าใช้จา่ ยในการ เขยี นโปรแกรม นอกจากนี้ ยงั ไมต่ อ้ งใช้เวลามากในการฝึกและปฏิบัติ ซึ่งโปรแกรมสาเรจ็ รปู นี้ มักจะมีการใช้งานใน หน่วยงานท่ีขาดบุคลากรท่ีมีความชานาญเป็นพิเศษในการเขียนโปรแกรม ดังน้ัน การใช้โปรแกรมสาเร็จรูปจึงเปน็ ส่ิงทีอ่ านวยความสะดวกและเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ตัวอย่างโปรแกรมสาเร็จรูปท่ีนิยมใช้ได้แก่ MS-Office, Lotus, Adobe Photoshop, SPSS, Internet Explorer และ เกมสต์ ่างๆ เป็นตน้

3 1.4 ความหมายและหนา้ ที่ของแปน้ พมิ พ์ แปน้ พิมพ์ (Keyboard) แป้นพิมพ์ หรอื (Keyboard) เป็นสว่ นหน่งึ ของไมโครคอมพิวเตอร์ ทีเ่ ราจะต้องใช้บ่อย ถา้ เราแยกองค์ประกอบของ คอมพิวเตอรก์ ็จะมอี งคป์ ระกอบ 3 ส่วนคือ 1. หน่วยรับข้อมลู หรอื Input Unit 2. หนว่ ยประมวลผลหรือ Processing Unit 3. หนว่ ยแสดงขอ้ มูล หรือ Output Unit แป้นพิมพ์มีความสาคัญเป็นอย่างยิ่งในการท่ีจะพิมพ์คาสั่ง เพ่ือสั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ปฏิบัติงาน จึงน่าจะรู้ องคป์ ระกอบของแป้นพมิ พ์ และป่มุ หรือแปน้ ตา่ ง ๆ วา่ ทาหนา้ ท่อี ะไร ถ้าเราแบ่งแปน้ พมิ พ์ (keyboard) แบ่งออกได้ 3 ส่วนคอื 1. คยี ์พิเศษ (Function Key) 2. คีย์ตัวเลข (Numeric Key) 3. คีย์อกั ขระ (Character Key) 1.5 ความหมายและวธิ กี ารใช้เมาส์ เมาส์ (Mouse) คืออุปกรณ์ท่ีใช้ในการควบคุมตัวชี้บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ เรียกว่า ตัวชี้เมาส์ (Mouse pointer) ซงึ่ ปจั จุบันถูกออกแบบมาให้มีรูปร่างลักษณะสสี ันต่างๆ กนั บางรุ่นมีไฟประดับให้สวยงาม เพ่ือใหเ้ หมาะ กับการใชง้ านในแต่ละประเภทและความช่นื ชอบของผู้ใช้ ภายในตัวเมาส์จะมีอุปกรณส์ าหรับตรวจจับตาแหน่งการ เคล่ือนไหวของลูกกลิ้งหรืออุปกรณ์ตรวจจับการเปล่ียนแปลงของแสงโดยตัวตรวจจับจะส่งสัญญาณไปท่ี คอมพิวเตอร์เพื่อแสดงผลของตัวช้บี นหนา้ จอคอมพวิ เตอรส์ ัญลักษณข์ องตวั ชี้เมาส์ สามารถเปลี่ยนรปู แบบได้หลาย แบบข้นึ อยู่กับสถานการณด์ งั ตอ่ ไปน้ี

4 1.6 วธิ ีการใชแ้ ละการบารงุ รักษาเครือ่ งคอมพวิ เตอรแ์ ละอปุ กรณ์โทรคมนาคม 1.6.1 ความปลอดภัยในการใช้คอมพวิ เตอร์ 1. ความปลอดภยั ของคอมพวิ เตอร์ (1) อย่าจับต้องอปุ กรณภ์ ายในหากเคร่ืองคอมพวิ เตอรย์ งั เปดิ อยู่ (2) อยากเปิดปิดสวิตช์เครื่องคอมพิวเตอร์บ่อยๆ ถ้าโปรแกรมมีปัญหาให้ กด reset แทน การปดิ เปดิ 2. ความปลอดภัยของผู้ใช้ อันตรายที่เกิดจากไฟฟ้าดูด การใช้ปลั้กเสียบคอมพิวเตอร์ต้องใช้ปล๊ักเสียบ 3 ขา เพราะขาท่ีสามของปลั๊กเสียบคอมพิวเตอร์มีสายต่อกับส่วนท่ีเป็นโลหะของอุปกรณ์จ่ายไฟ ซ่ึงยึดติดกับกล่อง ของคอมพิวเตอร์เรยี กว่าสายดิน 1.6.2 สภาพแวดล้อมและการตดิ ต้ังเคร่ืองคอมพิวเตอร์ สภาพแวดล้อมโดยท่ัวไป อาจมีผลต่อสภาพจิตใจของพนักงานโดยตรง โดยเฉพาะงานที่ต้องอยู่กับเคร่ือง คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ รวมท้ังส่วนประกอบของระบบอื่นท่ีเก่ียวข้องกับคอมพิวเตอร์ด้วย เช่น เมาส์ เครอื่ งพิมพ์ เปน็ ตน้ ขอ้ ควรปฏิบตั เิ กี่ยวกับการจดั สภาพแวดล้อมสาหรับงานคอมพวิ เตอร์ มดี ังนี้ 1. การติดต้ังตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ แป้นพิมพ์ เมาส์ และอุปกรณ์ประกอบอ่ืนควรให้เกิดความสะดวกใน การใช้งาน ทาใหก้ ารใชง้ านเปน็ ธรรมชาติมากทส่ี ดุ ไมค่ วรใหเ้ กิดอาการเซ็ง มีแนวทางปฏิบัตดิ งั น้ี 1) สถานที่ติดตั้งเครื่องและอุปกรณ์ ควรมีพื้นท่ีกว้างขวางมากพอท่ีจะทาให้ผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถเคล่อื นไหวไดส้ ะดวก 2) แป้นพิมพ์ ควรวางให้อยู่ตรงหน้าของผู้ใช้และตรงกับหน้าจอด้วย เพราะจะสามารถปล่อยแขนให้ห้อย ลงแนบกบั ลาตัวได้ทันทที ี่รสู้ ึกเมื่อย และทาใหไ้ มต่ ้องเก่งไรในขณะป้อนข้อมูล 3) เมาส์ ควรวางในระดบั เดียวกบั แป้นพมิ พ์ และวางในด้านท่ีถนดั 2. การจัดวางคอมพิวเตอร์และเก้าอ้ี ที่นั่งที่เหมาะสมนอกจากต้องสัมผัสกันระหว่างโต๊ะกับเก้าอ้ีที่ใช้งาน แล้ว ยังควรให้เหมาะสมกับคนที่ใช้เคร่ืองคอมพิวเตอร์โต๊ะและเก้าอ้ีแบบปรับความสูงได้จะให้ประโยชน์มากกว่า เพราะสามารถปรบั ระดับในกรณีท่ีต้องใช้งานคอมพิวเตอร์ชดุ เดยี วกันหลายๆคน ปัจจัยที่ควรคานึงถึงเมื่อต้องปรบั ระดบั ของโต๊ะหรือเกา้ อี้ คือ 1) ระดับความสูงของโต๊ะและเก้าอ้ีประมาณ 28-31 น้ิว และ 16-21 น้ิว ตามระดับ เพ่ือทาให้ศอกกับ ขอ้ มือของผใู้ ช้ในขนานกบั พื้น 2) ไม่ทาให้ผ้ใู ชม้ อี าการเกรง บรเิ วณชว่ งแขน มอื 3) น่ังทางานให้ช่วงล่างของแผน่ หลังพงิ สนิทกบั พนักเก้าอี้ 4) ควรจดั สรรพ้ืนทวี่ างบนโต๊ะไว้บางสว่ น 3. การเคลอ่ื นไหวมือและแขนเป็นส่ิงท่ีเกิดขนึ้ บ่อยท่สี ุด และหลีกเล่ียงไม่ได้ในการทางานดังนัน้ ควรให้การ เคลอื่ นไหวเป็นธรรมชาตทิ ี่สดุ เพราะจะทาให้ทางานไดเ้ ปน็ เวลานาน จึงควรปฏบิ ัติดงั น้ี 1) ในขณะปอ้ นข้อมลู ควรใช้ปลายนิ้วและขอ้ มอื อยใู่ นระดับและแนวเดยี วกัน 2) อย่าใหข้ ้อศอกอยู่ชิดและห่างลาตวั เกนิ ไป 3) ในขณะใช้แป้นพมิ พ์ เมาส์ หรอื อุปกรณอ์ ื่นๆ ควรใหม้ อื อยใู่ นท่าท่ีเปน็ ธรรมชาติ

5 4) ควรมกี ารบรหิ ารนิว้ มอื ในขณะป้อนขอ้ มลู ดว้ ยวิธีการกามอื ให้แนน่ แล้วคลายออก 5) ควรจบั เมาส์เบาๆและวางนวิ้ ช้ีกบั น้วิ กลางบนปุม่ กดทง้ั สองของมือ 4. มมุ มองจอภาพและการถนอมสายตา หมายถงึ ระดบั ของการมองจอภาพรวมท้ังการจัดแสงสว่างภายใน ห้องเพ่อื ใหไ้ ม่เมื่อยสายตาไหล่และบริเวณลาคอ มีแนวทางปฏิบัตดิ ังน้ี 1) ใหจ้ อภาพอยู่ตรงหน้าผ้ใู ช้งานโดยหา่ งจากตาของผู้ใชป้ ระมาณ 20 ถงึ 36 นิ้ว 2) ระดบั ขอบบนของจอภาพต้องไมส่ งู กวา่ ระดบั สายตาของผใู้ ช้ 3) ใหเ้ กดิ แสงสะทอ้ นจากสภาพสูตรอาผ้ใู ชน้ อ้ ยท่ีสุด 4) อยา่ ปรับความสว่างของจอภาพ 5) หอ้ งทางานควรปรบั ความสวา่ งได้ 6) ควรพักสายตาเปน็ ระยะๆ 1.6.3 ขอ้ ควรระวงั เกย่ี วกับการใช้คอมพิวเตอร์ 1) ไมค่ วรนาเอาอปุ กรณส์ ารองของข้อมูลออกจากเคร่ืองอ่าน 2) ไมค่ วรปิดเคร่อื งคอมพวิ เตอรข์ นาดท่ีไฟของฮาร์ดดสิ ก์ติดอยู่ 3) ไมค่ วรเปดิ จอภาพท้ิงไวน้ านๆ 4) เมอ่ื ปิดเคร่อื งคอมพวิ เตอร์แล้วไม่ควรเปิดเครื่องคอมพวิ เตอรท์ นั ที 5) ไมค่ วรเสยี บสายไฟคา้ งไวท้ ี่เตา้ เสียบ 6) การเกบ็ ข้อมลู ไมค่ วรเก็บชุดเดียวควรทาแฟม้ สารองขอ้ มูลไว้หลายชดุ 2. ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอรแ์ ละสารสนเทศ 2.1 ระบบเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์ ระบบเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ ( Computer Network ) หมายถึง การเชอื่ มต่อคอมพิวเตอร์ต้งั แต่ 2 เครื่อง ขึ้นไปเข้าด้วยกันด้วยสายเคเบิล หรือส่ืออื่นๆ ทาให้คอมพิวเตอร์สามารถรับสง่ ข้อมูลแก่กันและกันไดใ้ นกรณีที่เป็น การเชื่อมต่อระหว่างเคร่ืองคอมพิวเตอร์หลายๆ เคร่ืองเข้ากับเคร่ืองคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ท่ีเป็นศูนย์กลาง เรา เรยี กคอมพิวเตอร์ทเี่ ป็นศนู ย์กลางน้ีว่า โฮสต์ (Host) และเรยี กคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่เขา้ มาเช่อื มต่อวา่ ไคลเอนต์ (Client)ระบบเครือขา่ ย (Network) จะเชือ่ มโยงคอมพวิ เตอรเ์ ข้าดว้ ยกนั เพ่อื การติดตอ่ สื่อสาร เราสามารถสง่ ข้อมูล ภายในอาคาร หรือข้ามระหว่างเมืองไปจนถึงอีกซีกหนึ่งของโลก ซึ่งข้อมูลต่างๆ อาจเป็นทั้งข้อความ รูปภาพ เสียง ก่อให้เกิดความสะดวก รวดเร็วแก่ผู้ใช้ ซ่ึงความสามารถเหล่านี้ทาให้เครือข่ายคอมพิวเตอร์มีความสาคัญ และ จาเปน็ ตอ่ การใชง้ านในแวดวงต่างๆ แล้วทาไมเราถึงต้องใช้เครือข่าย หรือระบบคอมพิวเตอร์เครือข่าย การท่ีเรานาเอาเครื่องคอมพิวเตอร์มา เชอ่ื มต่อกนั เราจะสามารถใช้ประโยชน์จากระบบ หรอื ระบบสามารถทาอะไรได้บา้ ง ทาใหใ้ ชท้ รพั ยากร ของเคร่ือง คอมพวิ เตอร์ รว่ มกันได้ (Resources Sharing) ซงึ่ เป็นการช่วย ประหยัดค่าใช้จ่าย และเพมิ่ ความสะดวก ในการใช้ งาน เช่น การใช้พ้ืนที่บนฮาร์ดดิสก์ และเคร่ืองพิมพ์ร่วมกันสามารถบริหารจัดการการทางานของคอมพิวเตอร์ทุก เครื่อง ได้จากศูนย์กลาง (Centralized Management) เช่น สร้างเวิร์กกรุป กาหนดสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูล และ สามารถทาการ สารองข้อมูล ของแต่ละเครื่องได้ สามารถทาการสื่อสาร ภายในเครือข่าย (Communication) ได้ หลายรูปแบบ เช่น อีเมล์, แชท (Chat), การประชุมทางไกล (Teleconference), และ การประชุมทางไกล แบบ

6 เห็นภาพ (Video Conference)มีระบบรักษาความปลอดภัย ของข้อมูล บนเครือข่าย (Network Security) เช่น สามารถ ระบุผู้ท่ีมีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูล ในระดับต่างๆ ป้องกันผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาติ เข้าถึงข้อมูล และให้การคุ้มครอง ข้อมูลที่สาคัญ ให้ความบันเทิงไม่รู้จบ (Entertainment)เช่น สามารถสนุกกับ การเล่นเกมส์ แบบผู้เล่นหลายคน หรอื ที่เรียกว่า มลั ติ เพลเยอร(์ Multi Player) ท่กี าลงั เปน็ ทนี่ ิยมกันอย่ใู นเวลานีไ้ ด้ ใช้งานอินเทอร์เน็ตร่วมกัน (Internet Sharing) เพียงต่อเข้าอินเทอร์เน็ต จากเคร่ืองหนึ่งในเครือข่าย โดย มแี อคเคาท์เพียงหนง่ึ แอคเคาท์ ก็ทาใหผ้ ู้ใชอ้ ีกหลายคน ในเครือขา่ ยเดยี วกัน สามารถใช้งานอนิ เทอร์เน็ตได้ เสมอื น กับมหี ลายแอคเคาท์ ฯลฯ ระบบเครอื ขา่ ยชนิดต่างๆ ระบบเครือขา่ ย สามารถเรยี กได้ หลายวิธี เชน่ ตามรปู แบบ การเชือ่ มต่อ (Topology) เช่น แบบบัส (bus), แบบดาว (star), แบบวงแหวน (ring)หรือจะเรึยกตามขนาด หรือระยะทางของระบบก็ได้ เช่นแลน (LAN), แวน (WAN), แมน (MAN) นอกจากนี้ ระบบเครอื ขา่ ย ยังสามารถ เรยี กไดต้ าม เทคโนโลยีทไี่ ช้ ในการส่งผา่ นข้อมูล เช่น เครือข่าย TCP/IP, เครอื ขา่ ยIPX, เครอื ขา่ ย SNA หรือเรียกตาม ชนดิ ของข้อมูล ที่มีการสง่ ผ่าน เช่นเครอื ข่าย เสียง และวดิ ีโอ เรายังสามารถจาแนกเครือข่ายได้ ตามกลุ่มท่ีใช้เครือข่าย เช่น อินเตอร์เน็ต (Internet), เอ็กซ์ตร้าเน็ต (Extranet), อนิ ทราเนต็ (Intranet), เครอื ขา่ ยเสมือน (Virtual Private Network) หรือเรียก ตามวิธีการ เชอื่ มต่อ ทางกายภาพ เช่นเครือข่าย เส้นใยนาแสง, เครือข่ายสายโทรศัพท์, เครือข่ายไร้สาย เป็นต้น จะเห็นได้ว่า เรา สามารถจาแนก ระบบเครือข่าย ได้หลากหลายวิธี ตามแต่ว่า เราจะพูดถึง เครือข่ายนั้นในแง่มุมใด เราจาแนก ระบบเครอื ขา่ ย ตามวิธีท่ีนยิ มกัน 3 วิธคี อื รปู แบบการเชอ่ื มต่อ (Topology), รปู แบบการสอ่ื สาร (Protocol), และ สถาปัตยกรรมเครอื ขา่ ย (Architecture) การจาแนกระบบเครือข่าย ตามรูปแบบการเช่ือมต่อ (Topology)จะบอกถึงรูปแบบ ที่ทาการ เชื่อมต่อ อปุ กรณ์ ในเครือข่ายเขา้ ดว้ ยกัน ซ่งึ มรี ูปแบบท่ีนยิ มกนั 3 วิธคี อื แบบบสั (bus) ในระบบเครือข่าย โทโปโลยแี บบ BUS นับว่าเป็นแบบโทโปโลยีท่ีได้รับความนิยมใช้กันมากที่สดุ มา ต้ังแต่ อดีตจนถึงปัจจุบัน เหตุผลอย่างหน่ึงก็คือสามารถติดต้ังระบบ ดูแลรักษา และติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมได้ง่าย ไม่ต้อง ใช้เทคนิคที่ยุ่งยากซับซ้อน ลักษณะการทางานของเครือข่ายโทโปโลยีแบบ BUS คืออุปกรณ์ทุกช้ินหรือโหนดทุก โหนด ในเครอื ขา่ ยจะตอ้ งเชอ่ื มโยงเข้ากบั สายส่อื สารหลกั ทีเ่ รยี กว่า \"บสั \" (BUS) เม่ือโหนดหนงึ่ ตอ้ งการจะสง่ ข้อมูล

7 ไปให้ยังอีกโหนด หน่ึงภายในเครือข่าย ข้อมูลจากโหนดผู้ส่ง จะถูกส่งเข้าสู่สายบัส ในรูปของแพ็กเกจ ซ่ึงแต่ละ แพ็กเกจจะประกอบด้วยตาแหน่งของ ผู้ส่งและผู้รับ และข้อมูล การสื่อสารภายในสายบัส จะเป็นแบบ 2 ทิศทาง แยกไปยังปลายท้ัง 2 ด้านของบัส โดยตรงปลายทั้ง 2 ด้านของบัสจะมีเทอร์มิเนเตอร์ (Terminator) ทาหน้าท่ี ดูดกลืนสัญญาณ เพื่อป้องกันไม่ให้สัญญาณข้อมูลน้ันสะท้อนกลับ เข้ามายังบัสอีก เป็นการป้องกันการชนกันของ สัญญาณ ข้อมูลอื่น ๆ ท่ีเดินทางอยู่บนบัส สัญญาณข้อมูลจากโหนดผู้ส่ง เมื่อเข้าสู่บัสจะไหลผ่านไปยังปลายทั้ง 2 ข้างของบัส แต่ละโหนดท่เี ชอ่ื มตอ่ เข้ากับบัส จะคอยตรวจดูวา่ ตาแหน่งปลายทาง ท่ีมากับแพก็ เกจข้อมลู นน้ั ตรงกบั ตาแหน่งของตนหรือไม่ ถ้าใช่ก็จะรับข้อมูลนั้นเข้ามาสู่โหนดตน แต่ถ้าไม่ใช่ ก็จะปล่อยให้สัญญาณข้อมูลน้ันผา่ นไป จะเห็นว่าทุก ๆ โหนดภายในเครือข่ายแบบ BUS น้ันสามารถรับรู้สัญญาณข้อมูลได้ แต่จะมีเพียงโหนดปลายทาง เพียงโหนดเดยี วเท่านั้น ท่จี ะรับข้อมลู น้ันไปได้ การควบคมุ การสอ่ื สารภายในเครือข่ายแบบ BUS มี 2 แบบคอื แบบควบคุมดว้ ยศนู ยก์ ลาง (Centralized) ซ่ึงจะมีโหนดหนึ่ง ที่ทาหน้าที่เป็นศูนย์กลางควบคุมการสื่อสารภายในเครือข่าย ซ่ึงส่วนใหญ่จะเป็นไฟล์เซิร์ฟเวอร์ การควบคุมแบบกระจาย (Distributed) ทุก ๆ โหนดภายในเครอื ขา่ ย จะมีสิทธใิ นการควบคุมการสื่อสาร แทนที่จะ เป็นศูนย์กลางควบคุมเพียงโหนดเดียว ซึ่งโดยท่ัวไปคู่โหนดที่กาลังทาการส่ง-รับ ข้อมูลกันอย ู่จะเป็นผู้ควบคุมการ ส่ือสารในเวลานัน้ ข้อดีข้อเสยี ของโทโปโลยแี บบบัส แบบดาว (star) เป็นหลักการส่งและรับข้อมูล เหมือนกับระบบโทรศัพท์ การควบคุมจะทาโดยสถานีศูนย์กลาง ทาหน้าท่ี เป็นตวั สวติ ช่ิง ขอ้ มลู ท้งั หมดในระบบเครอื ข่าย จะต้องผา่ นเคร่ืองคอมพิวเตอร์ศนู ย์กลาง (Center Comtuper)เป็น การเชื่อมโยงการติดต่อสื่อสาร ที่มีลักษณะคล้ายกับรูปดาว (STAR)หลายแฉก โดยมีศูนย์กลางของดาว หรือฮับ เป็นจุดผ่านการติดต่อกันระหว่างทุกโหนดในเครือข่าย ศูนย์กลาง จึงมีหน้าท่ีเป็นศูนย์ควบคุมเส้นทางการสื่อสาร ทง้ั หมด นอกจากนศี้ นู ยก์ ลางยังทาหน้าท่ี เป็นศนู ยก์ ลางขอ้ มลู อีกดว้ ย การสื่อสารภายในเครือข่ายแบบ STAR จะเป็นแบบ 2 ทิศทาง โดยจะอนุญาตใหม้ ีเพียงโหนดเดียวเทา่ น้นั ที่สามารถส่งข้อมูลเข้าสู่เครือข่ายได้ จึงไม่มีโอกาสที่หลายๆ โหนดจะส่งข้อมูลเข้าสู่เครือข่ายในเวลาเดียวกัน เพื่อ ป้องกันการชนกันของสัญญาณข้อมูล เครือข่ายแบบ STAR เป็นโทโปโลยี อีกแบบหน่ึง ที่เป็นที่นิยมใช้กันใน ปัจจุบัน ข้อดีของเครือข่ายแบบSTAR คือการติดต้ังเครือข่ายและการดูแลรักษาทาได้ง่าย หากมีโหนดใดเกิดความ เสยี หาย กส็ ามารถตรวจสอบไดง้ า่ ย และศนู ยก์ ลางสามารถตดั โหนดน้นั ออกจากการสื่อสาร ในเครือขา่ ยได้

8 แบบวงแหวน (ring) เครือข่ายแบบ RING เป็นการส่งข่าวสารที่ส่งผ่านไปในเครือข่าย ข้อมูลข่าวสารจะไหลวนอยู่ในเครือข่าย ไปในทิศทางเดียว เหมือนวงแหวน หรือ RING นั่นเอง โดยไม่มีจุดปลาย หรือเทอร์มิเนเตอร์ เช่นเดียวกับเครือขา่ ย แบบ BUS ในแตล่ ะโหนดหรอื สเตชั่น จะมีรพี ีตเตอร์ประจาโหนด 1 เครอ่ื ง ซ่ึงจะทาหน้าท่ีเพิ่มเตมิ ขา่ วสารที่จาเป็น ต่อการสื่อสาร ในส่วนหัวของแพ็กเกจข้อมูล สาหรับการส่งข้อมูลออกจากโหนด และมีหน้าที่รับแพ็กเกจข้อมูล ท่ี ไหลผ่านมาจากสายส่ือสาร เพื่อตรวจสอบว่าเป็นข้อมูล ที่ส่งมาให้โหนดตนหรือไม่ ถ้าใช่ก็จะคัดลอกข้อมูลทั้งหมด นั้น ส่งตอ่ ไปให้กบั โหนดของตน แตถ่ ้าไมใ่ ชก่ จ็ ะปล่อยข้อมลู น้นั ไปยงั รพี ตี เตอร์ของโหนดถัดไป โทโปโลยี แบบผสม (Hybrid Topology) เป็นเครือข่ายการส่ือสารข้อมูลแบบผสมระหว่างเครือขา่ ยแบบใดแบบหน่ึงหรือมากกวา่ เพอ่ื ความถูกต้อง แนน่ อน ทัง้ น้ีข้ึนอยู่กับความต้องการและภาพรวมขององคก์ ร

9 2.2 เทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยี หมายถึง วิธีการปฏิบัติที่มีการจัดลาดับอยากมีรูปแบบและขั้นตอนเพ่ือท่ีจะทาให้เกิด ประสิทธิภาพในเรอื่ งของความรวดเรว็ ความน่าเชอื่ ถือ ความถูกตอ้ ง เป็นต้น สารสนเทศ หมายถึง ข้อมูลดิบที่ได้ผ่านการประมวลผลจากคอมพิวเตอร์มาแล้ว คือ ผ่านการคานวณ การจัดเรียง การเปรยี บเทียบ เปน็ ตน้ เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง วิธีการปฏิบัติท่ีมีการจัดลาดับอย่างมีรูปแบบและข้ันตอนเพื่อท่ีจะทาให้ เกิดประสิทธิภาพในเร่ืองของความรวดเร็ว ความน่าเชื่อถือ ความถูกต้อง ซ่ึงเป็นเทคโนโลยีท่ีมีการนาคอมพิวเตอร์ การสื่อสาร การโทรคมนาคม และเทคโนโลยีสาหรับการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมมาทางานร่วมกัน เพื่อทาให้ เกดิ การแลกเปลีย่ นสารสนเทศ โดยนาขอ้ มลู ป้อนเข้าสูเ่ คร่ืองคอมพวิ เตอร์ และทาการประมวลผลเพ่ือให้ไดผ้ ลลัพธ์ ตามตอ้ งการ 2.3 บทบาทของระบบสารสนเทศ บทบาทความสาคญั ของเทคโนโลยีสารสนเทศ ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทาให้มีการพัฒนาคิดค้นส่ิงอานวยความสะดวกสบาย ต่อการดาชีวิตเป็นอันมาก เทคโนโลยีได้เข้ามาเสริมปัจจัยพื้นฐานการดารงชีวิตได้เป็นอย่างดี เทคโนโลยีทาให้การ สร้างที่พักอาศัยมีคุณภาพมาตรฐาน สามารถผลิตสินค้าและให้บริการต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของ มนุษย์มากขึ้น เทคโนโลยีทาให้ระบบการผลิตสามารถผลิตสินค้าได้เป็นจานวนมากมีราคาถูกลง สินค้าได้คุณภาพ เทคโนโลยีทาให้มีการติดต่อส่ือสารกันได้สะดวก การเดินทางเช่ือมโยงถึงกันทาให้ประชากรในโลกติดต่อรับฟัง ขา่ วสารกนั ได้ตลอดเวลา พัฒนาการของเทคโนโลยีทาให้ชีวิตความเป็นอยู่เปล่ียนไปมาก ลองย้อนไปในอดีตโลกมีกาเนินมา ประมาณ 4600 ลา้ นปี เชือ่ กันว่าพฒั นาการตามธรรมชาติทาใหเ้ กดิ สิ่งมีชวี ิตถือกาเนินบนโลกประมาณ 500 ลา้ นปี ท่ีแล้ว ยุคไดโนเสาร์มีอายุอยู่ในช่วง 200 ล้านปี สิ่งมีชีวิตที่เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ ค่อย ๆ พัฒนามา คาดคะเนว่าเมื่อ ห้าแสนปีที่แล้วมนุษย์สามารถส่งสัญญาณท่าทางสื่อสารระหว่างกันและพัฒนามาเป็นภาษา มนุษย์สามารถสร้าง ตัวหนังสือ และจารึกไว้ตามผนึกถ้า เมื่อประมาณ 5000 ปีที่แล้ว กล่าวได้ว่ามนุษย์ต้องใช้เวลานานพอสมควรใน การพัฒนาตัวหนังสือท่ีใช้แทนภาษาพูด และจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่า มนุษย์สามารถจัดพิมพ์หนังสือ ได้เม่ือประมาณ 5000 ปีท่ีแล้ว กล่าวได้ว่าฐานทางประวัติศาสตร์พบว่า มนุษย์สามารถจัดพิมพ์หนังสือได้เมื่อ ประมาณ 500 ถึง 800 ปที แี่ ลว้ เทคโนโลยีเริ่มเข้ามาช่วยในการพิมพ์ ทาให้การส่ือสารด้วยข้อความและภาษาเพิ่มข้ึนมาก เทคโนโลยี พัฒนามาจนถึงการสื่อสารกัน โดยส่งข้อความเป็นเสียงทางสายโทรศัพท์ได้ประมาณร้อยกว่าปีที่แล้ว และเม่ือ ประมาณห้าสิบปีที่แล้ว ก็มีการส่งภาพโทรทัศน์และคอมพิวเตอร์ทาให้มีการใช้สารสนเทศในรูปแบบข่าวสารมาก ขึ้น ในปจั จุบันมสี ถานทว่ี ิทยุ โทรทัศน์ หนังสอื พมิ พ์ แ ละสือ่ ตา่ ง ๆ ทใี่ ช้ในการกระจา่ ยข่าวสาร มกี ารแพร่ภาพทาง โทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเพื่อรายงานเหตุการณ์สด เห็นได้ชัดว่าเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทอย่างมาก บทบาทของ การพฒั นาเทคโนโลยรี วดเร็วขนึ้ เมื่อมกี ารพัฒนาอปุ กรณท์ างดา้ นคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ จะเหน็ ได้วา่ ในช่วง สห่ี า้ ปีทีผ่ ่านมาจะมผี ลิตภณั ฑใ์ หม่ ซงึ่ มคี อมพวิ เตอร์เข้าไปเกย่ี วข้องให้เหน็ อย่ตู ลอดเวลา

10 2.4 ระบบสารสนเทศที่ใชค้ อมพวิ เตอร์ ระบบสารสนเทศทใี่ ช้คอมพิวเตอร์ (Computer-Based Information Systems : CBIS) ระบบสารสนเทศที่ใช้คอมพิวเตอร์ประกอบด้วย ฮาร์ดแวร์ (Hardware), ซอฟต์แวร์ (Software), ข้อมูล (Data), บุคคล (People), ขบวนการ (Procedure) และการสื่อสารข้อมูล (Telecommunication) ซึ่งถูกกาหนด ขึ้นเพ่ือทาการรวบรวม, จัดการ จัดเก็บและประมวลผลข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ แสดงส่วนประกอบของระบบ สารสนเทศทใี่ ช้คอมพิวเตอร์ 1. ฮาร์ดแวร์ คืออุปกรณ์ทางกายภาพ ท่ีใช้ในการรวบรวม การนาเข้า และการจัดเก็บข้อมูล, ประมวลผล ขอ้ มูลให้เป็นสารสนเทศ และแสดงสารสนเทศที่เป็นผลลพั ธ์ออกมา 2. ซอฟต์แวร์ ประกอบด้วยกลุ่มของโปรแกรมท่ีใช้ในการปฏิบัติงานร่วมกับฮาร์ดแวร์และใช้ในการ ประมวลผลขอ้ มลู เปน็ สารสนเทศ 3. ข้อมูล ในส่วนน้ีหมายถึงข้อมูลและสารสนเทศท่ีถูกเก็บอยู่ในฐานข้อมูล โดยฐานข้อมูล (Database) หมายถงึ กลุ่มของค่าความจริงและสารสนเทศที่มีความเกย่ี วขอ้ งกนั นัน่ เอง 4. บุคคล หมายถึงบุคคลทใี่ ชง้ านและปฏิบัติงานร่วมกับระบบสารสนเทศ 5. ขบวนการ หมายถึงกลุ่มของคาส่ังหรือกฎ ที่แนะนาวิธีการปฏิบัติงานกับคอมพิวเตอร์ในระบบ สารสนเทศ ซึ่งอาจได้แก่การแนะนาการควบคุมการเข้าใชง้ านคอมพิวเตอร์, วิธีการสารองสารสนเทศในระบบและ วธิ จี ดั การกับปัญหาท่ีอาจเกิดขน้ึ ได้ 6. การสื่อสารข้อมูล หมายถึงการส่งสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์เพื่อติดต่อสื่อสาร และช่วยให้องค์กรสามารถ เชื่อมระบบคอมพิวเตอร์เข้ากับระบบเครือข่าย (Network) ที่มีประสิทธิภาพได้ โดยเครือข่ายใช้ในการเชื่อมต่อ คอมพวิ เตอรแ์ ละอุปกรณ์คอมพวิ เตอร์ไวด้ ้วยกัน อาจจะเป็นภายในอาคารเดยี วกนั ในประเทศเดียวกนั หรอื ทวั่ โลก เพอ่ื ให้สามารถสื่อสารข้อมลู อิเล็กทรอนิกสไ์ ด้ 2.5 ระบบสารสนเทศเพอ่ื การจัดการ ความหมายของระบบสารสนเทศเพ่ือการจัดการ ระบบสารสนเทศเพ่ือการจัดการ (Management Information Systems) (MIS) เป็นระบบเก่ียวกับการ จัด หาคน หรือข้อมูลท่ีสัมพันธ์กับข้อมูล เพ่ือการดาเนินงานขององค์การ เช่น การใช้ MIS เพื่อช่วยเหลือกิจกรรม ของลูกจ้าง เจ้าของกิจการ ลกู ค้า และบคุ คลอ่ืนท่ีเจา้ มาเก่ียวข้องกับองค์การ การประมวลผลของข้อมูลจะชว่ ยแบ่ง ภาระการ ทางานและยังสามารถนา สารสนเทศมา ช่วยในการตัดสินใจของผู้บริหาร หรือMIS เป็นระบบซ่ึงรวม ความสามารถของผู้ใช้งานและคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน โดยมีจุดมุ่งหมาย เพ่ือให้ได้มาซ่ึงสารสนเทศเพ่ือการ ดาเนินงานการจัดการ และการตัดสินใจในองค์การ หรือ MIS หมายถึงการเก็บรวบรวมข้อมูล การ ประมวลผล และการสร้างสารสนเทศข้ึนมาเพื่อช่วยในการตัดสินใจ การประสานงาน และการควบคุม นอกจากนั้นยังช่วย ผู้บริหาร และ พนักงานในการวิเคราะห์ปญั หา แก้ปัญหา และสร้างผลติ ภณั ฑ์ใหม่ โดย MIS จะต้องใช้อุปกรณ์ทาง คอมพิวเตอร์ (Hardware) และ โปรแกรม (Software) ร่วมกับผู้ใช้ (Peopleware) เพื่อก่อให้เกิดความสาเร็จใน การไดม้ าซ่งึ สารสนเทศที่มีประโยชน์

11 การใช้งานระบบสารสนเทศเพ่ือการจัดการ (Management Information Systems) ได้ขยายขอบเขต เก่ียว ข้องกับ หลายหน้าท่ีในองค์การและเป็นประโยชน์กับบุคคลหลายระดับ ต้ังแต่การใช้งานส่วนบุคคล กลุ่ม องค์การ และระหว่างหน่วยงาน MIS ช่วยให้ผ้ใู ช้สารสนเทศสามารถแก้ไขปัญหาทางธรุ กิจที่ย่งุ ยาก และซับซ้อนได้ อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนสร้างโอกาสทางธุรกิจ ให้กับหลายองค์การ ดังท่ี Kroenke และHatch (1994) กล่าวถึง ความสาคญั และผลกระทบของระบบสารสเทศที่มตี ่อธรุ กจิ ดงั ต่อไปน้ี 1. ระบบสารสนเทศช่วยสรา้ งคุณค่าเพมิ่ ใหก้ ับการทางาน 2. บุคลากรทุกคนต้องมีความรู้เก่ียวกับ MIS เน่ืองจากปัจจุบันมีการพัฒนาและการใช้งาน สารสนเทศท่ัวองค์การ ตลอดจนการขยาย ตัวของเทคโนโลยีสารสนเทศและการปรับรูปของระบบงานอย่าง ต่อเน่อื ง 3. การประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศ เพ่ือตอบสนองต่อความต้องการของธุรกิจและการบรรลุ เปา้ หมายขององค์การมากข้ึน ปจั จุบันเทคโนโลยี MIS มีพัฒนาการมากขึ้นจนมีความสาคญั ตอ่ เราในหลายระดบั ท่ีแตกตา่ งจาก อดีต เราจะเห็นว่า เทคโนโลยีสารสนเทศมีความจาเป็นและความสาคัญสาหรับผู้ศึกษาและปฏบิ ัติงานในสาขาต่าง ๆ เช่น การบัญชี การเงิน การตลาด และการจัดการทรัพยากรบคุ คล แม้กระทั่งวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และศิลป ศาสตร์ ดังนั้นบุคลากรที่จะปฏิบัติงาน ในทุกสาขา จึงสมควรมีความรู้และความเข้าใจในหลักการของ MIS เพื่อให้ การทางานมีประสทิ ธิภาพและประสบผลสาเรจ็ ในอาชพี ได้ Laudon และ Laudon (1994) กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงที่มีผลต่อสภาพแวดล้อมในการแข่งขันทาง ธรุ กจิ มี 2 ประการคือ 1. การรวมตัวของระบบเศรษฐกิจโลก (Emergence of the Global Economy) ก่อให้เกิด กระบวนการโลกาภิวัตน์ ของตลาด (Globalization of Markets) ท่ีเกิดการบูรณาการของทรัพยากรทางธุรกิจ และการแข่งขันทั่วโลก ธุรกิจขยาย งานครอบคลุมพื้นท่ีกว้างขวางจากระดับท้องถ่ินสู่ ระดับประเทศ จาก ระดับประเทศสู่ระดับภูมิภาค และจากระดับภูมิภาคสู่ ระดับโลก โดยที่การขยายตัวของธุรกิจไม่เพียงแต่เป็นการ กระจายสินค้า และบริการอย่างเป็นระบบและทั่วถึง แต่ครอบคลุม การจัดต้ัง การจัด เตรียม ทรัพยากร การผลิต และดาเนินงาน ดังน้ันองค์การธุรกิจในยุค โลกาภิวัตน์จึง ต้องมีโครงสร้าง องค์การและการ ประสานงานที่สอดรบั และสามารถควบคมุ อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ 2. การปรับรูปของระบบเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (Transformation of Industrial Economies) ประเทศ อุตสาหกรรม ชั้นนา เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา ยุโรปตะวันตก และญี่ปุ่นปรับตัวจากระบบ เศรษฐกิจ อุตสาหกรรมเข้าสู่ ระบบเศรษฐกิจท่ีอาศัยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ซ่ึงจะเห็นได้จากประมาณร้อยละ 70 ของรายได้ ประชาชาติของประเทศที่พัฒนาแล้ว จะมาจากธุรกิจบริการ และธุรกิจท่ีใช้เทคโนโลยี สารสนเทศ ในการสร้าง มูลค่าเพ่ิม (Value Added) การปรับรูปของระบบเศรษฐกิจจากอุตสาหกรรมเข้าสู่ธุรกิจบริการ ส่งผลกระทบต่อ การค้าและการลงทุน เช่น การแข่งขันทวีความรุนแรงและซับซ้อนขึ้น วงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ และบริการส้ันลง ธุรกิจต้องตอบสนองและสร้างความพอใจแก่ลูกค้า เป็นต้น ทาให้ธุรกิจต้องการบุคลากรท่ีมี ความรู้ (Knowledge Worker) ในการสร้างคณุ ค่าเพิ่มให้แก่องคก์ าร สง่ ผลใหธ้ รุ กจิ ตอ้ งพัฒนา ทรัพยากรบุคคลอยา่ งตอ่ เน่อื ง

12 ระบบสารสนเทศเพ่ือการจัดการ หมายถึง ระบบท่ีรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลจากแหล่งข้อมูล ตา่ ง ๆ ทั้งภายใน และภายนอกองค์การอย่างมีหลักเกณฑ์ เพือ่ นามาประมวลผลและจดั รูปแบบให้ได้ สารสนเทศที่ ช่วยสนับสนุนการทางาน และการตัดสินใจในด้านต่าง ๆ ของผู้บริหารเพื่อให้การดาเนินงานของ องค์การ เป็นไป อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ โดยท่ีเราจะเปน็ ว่า MIS จะประกอบด้วยหน้าท่ีหลกั 2 ประการคือ 1. สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ท้ังจากภายในและภายนอกองค์การ มาไว้ด้วยกัน อย่างเปน็ ระบบ 2. สามารถทาการประมวลผลข้อมลู อย่างมีประสทิ ธิภาพ เพอื่ ใหไ้ ด้สารสนเทศท่ีชว่ ยสนบั สนุน การ ปฏิบัติงานและการบริหารงานของผู้บริหาร หนา้ ทหี่ ลกั ของระบบสารสนเทศเพอื่ การจดั การ ชุมพล ศฤงคารศิริ (2537 : 2) ให้ความหมายของระบบสารสนเทศเพ่ือการจัดการ คือ เป็น ระบบที่รวม (integrate) ผู้ใช้ (user) เคร่ืองคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ต่าง ๆ (machine) เพื่อจัดทาสารสนเทศ สาหรับสนับสนนุ การปฏิบตั งิ าน (operation) การจัดการ (management) และการตัดสนิ ใจ (decision making) ในองค์กรจาก ความหมายที่กล่าวมาสามารถสรุปความหมายของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการได้คือ การ รวบรวมและการจัดเก็บข้อมูล จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับองค์การ ทั้งจากภายใน และภายน อก หน่วยงาน เพ่ือนามาประมวลผล และจัดรูปแบบ ให้ได้สารสนเทศท่ีเหมาะสมกับองค์การ ในการช่วยในการ ตัดสินใจ ประสานงาน และควบคมุ ของผู้บรหิ าร ในอนั ทีจ่ ะ ดาเนินงานได้อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ 2.6 การประยกุ ต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ การประยกุ ตใ์ ช้เทคโนโลยีสารสนเทศ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ คือ การนาเอาเทคโนโลยีสารสนเทศไปกระจายเผยแพร่ไปยังผ้ใู ชไ้ ด้ อย่างท่ัวถึงและมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจ พัฒนาอาชีพ หรือด้านการศึกษาเช่น การนา สารสนเทศทางด้านการวิจัยพฤติกรรมของมนุษย์มาช่วยในการวางแผนการตลาด เป็นต้น นอกจากนี้การนา เทคโนโลยสี ารสนเทศท่ีมีประสทิ ธิภาพไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในด้านต่างๆ ยิ่งเป็นการพัฒนาสงั คมและประเทศชาติ ให้ดียงิ่ ขนึ้ ดังนน้ั จึงมีการประยุกตใ์ ช้เทคโนโลยีสารสนเทศในด้านต่างๆ ดังน้ี การประยกุ ต์ใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศดา้ นการศกึ ษา การนาเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาประยุกต์ใช้ในด้านศึกษา เป็นการเรียน การสอนสมัยใหม่ที่เป็นท่ีนิยม ในปัจจุบันเพื่อ พัฒนาและกระตุ้นให้ผู้เรียนน้ันเกิดความสนใจในการเรียนและศึกษาส่ิงใหม่ท่ีอยู่นอกกรอบ ห้องเรยี น ดงั น้นั เทคโนโลยสี ารสนเทศจึงมบี ทบาทความสาคญั ต่อด้านการศกึ ษาเป็นอยา่ งมาก เทคโนโลยีสารสนเทศด้านการศึกษามดี งั ต่อไปน้ี วีดที ศั น์ เปน็ ระบบทีน่ าภาพวิดีโอมาบันทกึ เป็นไฟลใ์ นระบบคอมพิวเตอรแ์ ละเผยแพรผ่ ่านระบบอนิ เทอรเ์ น็ตเพื่อให้ ผเู้ รยี นศกึ ษาในนอกเวลาเรียน

13 คอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน เป็นการนาเอาเทคโนโลยี รวมกับการออกแบบโปรแกรมการสอน มาใช้ช่วยสอน ซ่ึงเรียกกันโดยท่ัวไปว่า บทเรยี น ปจั จุบันมักอยูใ่ นรปู ของส่ือประสมซึ่งหมายถึงนาเสนอไดท้ ้ังภาพ ขอ้ ความ เสยี ง ภาพเคลอ่ื นไหว การสืบคน้ ข้อมลู เปน็ การคน้ หาขอ้ มลู ความรู้ อกี วิธหี นึง่ ของผู้เรยี นโดยแสวงหาความรจู้ ากนอกหอ้ งเรียน เพอ่ื พฒั นาตนเอง ใหก้ ้าวทันโลก ทันเหตกุ ารณ์ โดยค้นหาดว้ ยเว็บไซต์ตา่ งๆ เช่น Google Sanook เปน็ ต้น อนิ เทอร์เน็ต อินเทอร์เน็ตได้เข้ามามีบทบาทต่อชีวิตประจาวันมากมายและเป็นสิ่งที่สาคัญต่อหลายๆองค์กร และ หลายๆหน่วยงาน เพราะอินเทอร์เน็ตนั้นมีประโยชน์ในด้านต่างๆ เช่น ด้านการศึกษา ด้านการค้า ด้านการสื่อสาร เป็นต้น เมื่ออินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทต่อการศึกษาจึงเป็นสิ่งที่ช่วยให้การศึกษานั้นดีข้ึนเพราะอินเทอร์เน็ต สามารถติดต่อสื่อสารได้ คน้ หาคาตอบในเรอ่ื งทีต่ อ้ งการ ท้งั ในรปู แบบขอ้ มลู และวดี โี อ ปัจจุบันได้มีการนาวีดีโอ ส่ือการเรียนการสอน ส่ือประสม ไปเผยแพร่บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อให้ ผู้เรยี นไดศ้ กึ ษาหาความร้เู พ่มิ เติม การประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศด้านธุรกจิ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศด้านธุรกิจ เป็นการเพ่ิมประสิทธิภาพในการผลิตและการบริการของ ธุรกิจ เพือ่ ดึงดดู ลูกค้าให้สนใจและเกดิ ความประทบั ใจเม่ือได้ใชบ้ ริการ การพาณชิ ยอ์ ิเล็กทรอนกิ ส์ (E-commerce) คือ การทากิจกรรมทางธุรกิจโดยผ่านชอ่ งทางอิเล็กทรอนิกส์ทุกช่องทาง เช่น อินเทอร์เน็ต โทรทัศน์ วิทยุ เปน็ ตน้ ปัจจุบนั ไดม้ ีการขายสินค้าบนระบบเครอื ขา่ ยอินเทอร์เน็ตเพ่ือกระจายสนิ ค้าให้กับลกู ค้าได้เรว็ ข้ึน การประยกุ ตใ์ ช้เทคโนโลยีสารสนเทศด้านการสื่อสาร การส่ือสารเป็นสิ่งที่ทาให้คนเราเกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน สามารถกระทาในสิ่งที่สื่อสารกันได้อย่าง ถูกต้อง โดยมีอุปกรณ์หรือเครื่องมือที่ใช้ในการสื่อสาร เป็นตัวกลางในการสื่อสาร เช่น โทรศัพท์มือถือ วิทยุ คอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ เปน็ ต้น การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศด้านการสื่อสารนั้น เป็นการนาเอาเคร่ืองมือหรืออุปกรณ์ที่ใช้เป็น ตัวกลางในการส่ือสารมาใช้ให้เกิดประโยชน์อันสูงสุด เช่น การใช้โทรทัศน์ในการโฆษณาเพ่ือดึงดูดและกระตุ้นให้ ลูกค้าเกิดความสนใจให้มาซ้ือสินค้าเพ่ิมมากข้ึน การใช้วิทยุประสัมพันธ์การทากิจกรรมต่างๆ การใช้คอมพิวเตอร์ ผลิตสือ่ สง่ิ พมิ พ์ต่างๆ การประชาสัมพนั ธ์ เว็บไซต์ เวบ็ บอรด์ รวมไปถงึ การแชทในรปู แบบต่างๆ

14 3.การสบื ค้นขอ้ มลู บนอินเทอร์เน็ต 3.1 ความรู้เบอ้ื งตน้ เก่ียวกบั อินเทอร์เนต็ อินเทอร์เน็ต (อังกฤษ: Internet) หมายถึง เครือข่ายคอมพิวเตอร์ท่ีมีขนาดใหญ่ มีการเชื่อมต่อระหว่าง เครือข่ายหลาย ๆ เครือข่ายทั่วโลก โดยใช้ภาษาที่ใช้สื่อสารกันระหว่างคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า โพรโทคอล (protocol) ผู้ใช้เครอื ขา่ ยนสี้ ามารถสือ่ สารถงึ กนั ไดใ้ นหลาย ๆ ทาง อาทิ อีเมล เว็บบอร์ด และสามารถสืบคน้ ข้อมูล และขา่ วสารตา่ ง ๆ รวมท้ังคดั ลอกแฟม้ ขอ้ มลู และโปรแกรมมาใช้ได้ ความสามารถของอินเทอร์เนต็ 1. ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic mail=E-mail) เป็นการส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ผ่านเครือข่าย อินเทอรเ์ นต็ โดยผสู้ ง่ จะต้องสง่ ขอ้ ความไปยังท่ีอยขู่ องผู้รับ และแนบไฟล์ไปได้ 2. เทลเน็ต (Telnet) การใช้งานคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหน่ึงที่อยู่ไกล ๆ ได้ด้วยตนเอง เช่น สามารถเรียกขอ้ มลู จากโรงเรยี นมาทาท่ีบ้านได้ 3. การโอนถา่ ยข้อมูล (File Transfer Protocol ) ค้นหาและเรยี กข้อมลู จากแหล่งต่างๆมาเก็บไว้ ในเครื่องของเราได้ ทง้ั ขอ้ มูลประเภทตวั หนังสือ รปู ภาพและเสียง 4. การสืบค้นข้อมูล (Gopher,Archie,World wide Web) การใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตในการ คน้ หาข่าวสารทม่ี ีอยมู่ ากมาย ใชส้ ืบค้นขอ้ มลู จากแหล่งข้อมลู ต่างๆ ท่ัวโลกได้ 5. การแลกเปล่ียนข่าวสารและความคิดเห็น (Usenet) เป็นการบริการแลกเปลี่ยนข่าวสารและ แสดงความคิดเห็นท่ีผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตท่ัวโลก แสดงความคิดเห็นของตน โดยกลุ่มข่าวหรือนิวกรุ๊ป (Newgroup)แลกเปล่ียนความคดิ เห็นกัน 6. การส่ือสารด้วยข้อความ (Chat,IRC-Internet Relay chat) เป็นการพูดคุย โดยพิมพ์ข้อความ ตอบกนั ซ่งึ เป็นวิธีการส่ือสารท่ีได้รับความนยิ มมากอีกวิธีหน่ึง การสนทนากนั ผ่านอินเทอร์เนต็ เปรยี บเสมือนเรานั่ง อยูใ่ นหอ้ งสนทนาเดยี วกัน แม้จะอยูค่ นละประเทศหรอื คนละซีกโลกกต็ าม 7. การซื้อขายสินค้าและบริการ (E-Commerce = Electronic Commerce) เป็นการซ้ือ - สินค้าและบรกิ าร ผ่านอนิ เทอร์เนต็ 8. การให้ความบันเทิง (Entertain) บนอินเทอร์เน็ตมีบรกิ ารด้านความบันเทิงหลายรูปแบบต่างๆ เช่น รายการโทรทัศน์ เกม เพลง รายการวิทยุ เป็นต้น เราสามารถเลือกใช้บริการเพ่ือความบันเทิงได้ตลอด 24 ช่ัวโมง 3.2 เวบ็ ไซตแ์ ละโปรแกรมเวบ็ เบราเซอร์ เบราเซอร์ (Browser) เป็นช่ือที่ใช้เรียกโปรแกรมที่เราใช้ท่องเว็บกัน ซึ่งชื่อน้ีหลายท่านไม่คุ้นและไม่รู้จัก ส่วนมากเวลาถามว่าใช้อะไรเลน่ เน็ตกม็ ักจะได้คาตอบวา่ IE บา้ ง Chrome บา้ ง Firefox บ้าง แตพ่ อถามว่าใช้เบรา เซอร์อะไร กลบั ได้รับคาตอบคือ งงๆๆๆ อะไรคือเบราเซอร์? เบราเซอร์ (Browser) คือโปรแกรมหรอื ซอฟต์แวร์ท่ใี ช้ท่องเวบ็ หรือใช้ดูข้อมลู ท่ีอยใู่ นเวบ็ ไซต์ เบราเซอร์มี ความสามารถในการเปิดดูไฟลต์ า่ งๆ ท่ีสนบั สนุนเช่น Flash JavaScript PDF Media ตา่ งๆ ซง่ึ เบราเซอรม์ ีหลาย ตัวและความสามารถของแต่ละตัวก็แตกต่างกันขึ้นอยู่กับวา่ ผู้พัฒนาเบราเซอร์ พัฒนาให้มีความสามารถอะไรบ้าง เบราเซอรม์ กั ใชเ้ ปิดดูเวบ็ เป็นส่วนใหญ่ และการใชง้ านต่างๆในระบบเครือขา่ ยอินเตอร์เน็ตกม็ ักจะทาผ่านเบราเซอร์

15 เช่น การดูภาพยนตร์ผ่าน Youtube การส่งเมล์ การซื้อขายสินค้าในระบบ e-commerce การใช้ส่ือสังคม ออนไลน์ (Social Media) การดาวนโ์ หลดไฟล์ การเลน่ เกมผา่ นเน็ต การเรียนออนไลน์ เป็นต้น ลว้ นแลว้ แตท่ า ผา่ นเบราเซอรท์ ง้ั สิ้น 3.3 วิธีการสบื คน้ ข้อมลู โดยใชส้ ารบนเว็บ วธิ กี ารสืบคน้ ขอ้ มลู บนอินเทอรเ์ นต็ การสบื คน้ ข้อมูลบนอนิ เทอรเ์ น็ต ในโลกไซเบอร์สเปซมีข้อมูลมากมายมหาศาล การที่จะค้นหาข้อมูลจานวนมากมายอย่างน้ีเราไม่อาจจะ คลิกเพื่อค้นหาข้อมูลพบได้ง่ายๆ จาเป็นจะต้องอาศัยการค้นหาข้อมูลด้วยเคร่ืองมือค้นหาท่ีเรียกว่า Search Engine เข้ามาช่วยเพื่อความสะดวกและรวดเร็ว เว็บไซต์ที่ให้บริการค้นหาข้อมูลมีมากมายหลายที่ทั้งของคนไทย และ ถา้ เราเปิดไปทีละหนา้ จออาจจะต้องเสยี เวลาในการคน้ หา และอาจหาข้อมูลทเี่ ราต้องการไม่พบ การทเี่ ราจะ ค้นหาข้อมูลให้พบอย่างรวดเร็วจึงต้องพึ่งพา Search Engine Site ซ่ึงจะทาหน้าที่รวบรวมรายชื่อเว็บไซต์ต่างๆ เอาไว้ โดยจัดแยกเป็นหมวดหมู่ ผู้ใช้งานเพียงแต่ทราบหัวข้อท่ีต้องการค้นหาแล้วป้อน คาหรือข้อความของหัวข้อ น้ันๆ ลงไปในช่องท่ีกาหนด คลิกปุ่มค้นหา เท่าน้ัน รอสักครู่ข้อมูลอย่างย่อๆ และรายช่ือเว็บไซต์ที่เก่ียวข้องจะ ปรากฏใหเ้ ราเขา้ ไปศกึ ษาเพิม่ เติมได้ทนั ที การคน้ หาขอ้ มลู มกี ่วี ิธี ? 1. การค้นหาในรูปแบบ Index Directory 2. การค้นหาในรปู แบบ Search Engine การคน้ หาในรูปแบบ Index Directory วิธีการค้นหาข้อมูลแบบ Index น้ีข้อมูลจะมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยมากกว่าการค้นหาข้อมูลด้วย วิธี ของ Search Engineโดยมันจะถูกคัดแยกข้อมูลออกมาเป็นหมวดหมู่ และจัดแบ่งแยก Site ต่างๆออก เป็น ประเภท สาหรับวิธีใช้งาน คุณสามารถที่จะ Clickเลือกข้อมูลที่ต้องการจะดูได้เลยใน Web Browser จากน้ันที่ หน้าจอก็จะแสดงรายละเอียดของหัวข้อปลีกย่อยลึกลงมาอีกระดับหน่ึง ปรากฏข้ึนมาให้เราเลอื กอีก ส่วนจะแสดง ออกมาให้เลือกเยอะแค่ไหนอันนี้ก็ข้ึนอยู่กับขนาดของฐานข้อมูลใน Index ว่าในแต่ละประเภท จัดรวบรวมเก็บ เอาไว้มากน้อยเพียงใด เม่ือคุณเข้าไปถึงประเภทย่อยที่คุณสนใจแล้ว ท่ีเว็บเพจจะแสดงรายชื่อของเอกสารที่ เกย่ี วข้องกับ ประเภทของข้อมูลนน้ั ๆออกมา หากคุณคดิ ว่าเอกสารใดสนใจหรอื ตอ้ งการอยากท่ีจะดู สามารถ Click ลงไปยงั Link เพ่ือขอเชื่อต่อทางไซต์กจ็ ะนาเอาผลของข้อมลู ดังกลา่ วออกมาแสดงผลทันที นอกเหนอื ไปจากนี้ ไซต์ ท่ีแสดงออกมานั้นทางผู้ให้บริการยังได้เรียบเรียงโดยนาเอา Site ท่ีมีความเก่ียว ข้องมากท่ีสุดเอามาไว้ตอนบนสุด ของรายช่ือท่ีแสดง การคน้ หาในรูปแบบ Search Engine วิธีการอีกอย่างท่ีนิยมใช้การค้นหาข้อมูลคือการใช้ Search Engine ซึ่งผู้ใช้ส่วนใหญ่กว่า 70% จะใช้ วิธีการค้นหาแบบนี้ หลักการทางานของ Search Engine จะแตกต่างจากการใช้ Indexลักษณะของมันจะเป็น ฐานข้อมูลขนาดใหญ่มหาศาลที่กระจัดกระจายอยู่ท่ัวไป บน Internet ไม่มีการแสดงข้อมูลออกมาเป็นลาดับขั้น ของความสาคัญ การใช้งานจะเหมือนการสืบค้นฐานข้อมูล อ่ืนๆคือ คุณจะต้องพิมพ์คาสาคัญ (Keyword) ซ่ึงเป็น การอธิบายถึงข้อมูลที่คุณต้องการจะเข้าไป ค้นหาน้ันๆเข้าไป จากน้ัน Search Engine ก็จะแสดงข้อมูลและ Site ตา่ งๆทเี่ กี่ยวขอ้ งออกมา

16 ขอ้ แตกตา่ งระหว่าง Index และ Search Engine คาตอบก็ คอื วิธีในการค้นหาข้อมูลแบบ Index เค้าจะ ใช้คนเป็นผู้จัดรวบรวมและทาระบบฐานข้อมูลข้ึนมา ส่วนแบบ Search Engine น้ันระบบฐานข้อมูลของมันจะ ได้รับการจัดสร้างโดยใช้ Software ที่มี หน้าที่เก่ียวกับงานทางด้านน้ีโดยเฉพาะมาเป็นตัวควบคุมและจัดการ ซึ่ง เจ้า Software ตัวน้ีจะมี ชื่อเรียกว่า Spiders การทางานข้องมันจะใช้วิธีการเดินลัดเลาะไปตามเครือข่ายต่างๆที่ เช่อื มโยงถงึ กนั อย่เู ตม็ ไปหมดใน Internet เพอื่ ค้นหา Website ทเ่ี กิดขึ้นมาใหม่ๆ รวมทง้ั ยงั สามารถตรวจสอบหา ความเปล่ียนแปลงของ ข้อมูลใน Site เดิมท่ีมีอยู่ ว่าท่ีใดถูกอัพเดตแล้วบ้าง จากน้ันมันก็จะนาเอาข้อมูลท้ังหมดที่ สารวจเข้ามา ได้เก็บใส่เข้าไปในฐานข้อมูลของตนอัตโนมัติ ยกตัวอย่างของผู้ให้บริการประเภทน้ีเช่น Excite , Lycos Infoserch เปน็ ตน้ การคน้ หาดว้ ยวธิ ี Search Engine นัน้ มักจะไดผ้ ลลัพธ์ออกมากว้างๆช้ีเฉพาะเจาะจงได้ ยาก บางคร้ังข้อมลู ท่ี คน้ หามาไดอ้ าจมีถึงเป็นรอ้ ยเป็นพนั Site แลว้ มีใครบ้างหละทีอ่ ยากจะมานัน้ คน้ หาและอ่านดู ท่ีจะเพจ ซ่ึงคง ต้องเสียเวลาเป็นวันๆแน่ ซ่ึงก็ไม่รับรองด้วยว่าคุณจะได้ข้อมูลที่คุณต้องการหรือไม่ ดังนั้นจึงมีหลัก ในการค้น หา เพ่ือใหไ้ ดข้ ้อมลู ใกล้เคยี งความเป็นจริงมากทสี่ ุด ซง่ึ จะขอกลา่ วในตอนหลัง ประเภทของ Search Engine Search Engine แต่ละแห่งมีวิธีการและการจัดเก็บฐานข้อมูลที่แตกต่างกันไปตามประเภทของ Search Engine ท่ีแต่ละเว็บไซต์นามาใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ดังนั้นการที่คุณจะเข้าไปหาข้อมูลหรือเว็บไซต์ โดยวิธีการ Search น้ัน อย่างน้อยคุณจะต้องทราบว่า เว็บไซต์ท่ีคุณเข้าไปใช้บริการ ใช้วิธีการหรือ ประเภทของ Search Engine อะไร เนื่องจากแต่ละประเภทมีความละเอียดในการจัดเก็บข้อมูลต่างกันไป ที่น้ีเราลองมาดูซิว่า Search Engine ประเภทใดท่ีเหมาะกับการคน้ หาข้อมูลของคณุ 1. Keyword Index เป็นการค้นหาข้อมูล โดยการค้นจากข้อความในเว็บเพจท่ีได้ผ่านการสารวจมาแลว้ จะอ่านข้อความ ข้อมูล อย่างน้อยๆ ก็ประมาณ 200-300 ตัวอักษรแรกของเว็บเพจน้ันๆ โดยการอ่านนี้จะหมาย รวมไปถึงอ่านข้อความท่ีอยู่ในโครงสร้างภาษาHTML ซ่ึงอยู่ในรูปแบบของข้อความท่ีอยู่ในคาสั่ง alt ซึ่งเป็นคาสั่ง ภายใน TAG คาส่งั ของรูปภาพ แต่จะไมน่ าคาสั่งของ TAG อ่ืนๆ ในภาษา HTML และคาสัง่ ในภาษา JAVA มาใชใ้ น การค้นหา วิธีการค้นหาของ Search Engine ประเภทนี้จะให้ความสาคัญกับการเรียงลาดับข้อมูลก่อน-หลัง และ ความถ่ีในการนาเสนอข้อมูลน้ัน การค้นหาข้อมูล โดยวิธีการเช่นน้ีจะมีความรวดเร็วมาก แต่มีความละเอียดในการ จัดแยกหมวดหมู่ของข้อมูลค่อนข้างน้อย เน่ืองจากไม่ได้คานึงถึงรายละเอียดของเนื้อหาเท่าที่ควร แต่หากว่าคุณ ตอ้ งการแนวทางดา้ นกวา้ งของขอ้ มูล และความรวดเร็วในการค้นหา วิธกี ารน้ีกใ็ ชไ้ ด้ผลดี 2. Subject Directories การจาแนกหมวดหมู่ข้อมูล Search Engine ประเภทนี้ จะจัดแบ่งโดยการ วิเคราะห์เนอ้ื หา รายละเอียด ของแต่ละเว็บเพจ ว่ามีเนอื้ หาเก่ยี วกบั อะไร โดยการจัดแบง่ แบบนีจ้ ะใช้แรงงานคนใน การพิจารณาเว็บเพจ ซึ่งทาให้การจัดหมวดหมู่ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของคนจัดหมวดหมู่แต่ละคนว่าจะจัดเก็บ ข้อมูลนั้นๆ อยู่ในเครือข่ายข้อมูลอะไร ดังน้ันฐานข้อมูลของ Search Engine ประเภทนี้จะถูกจัดแบ่งตามเน้ือหา ก่อน แล้วจึงนามาเป็นฐานข้อมูลในการค้นหาต่อไป การค้นหาค่อนข้างจะตรงกับความต้องการของผู้ใช้ และมี ความถูกต้องในการค้นหาสูง เป็นต้นว่า หากเราต้องการหาข้อมูลเก่ียวกับเว็บไซต์ หรือเว็บเพจท่ีนาเสนอข้อมูล เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ Search Engine ก็จะประมวลผลรายช่ือเว็บไซต์ หรือเว็บเพจท่ีเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ล้วนๆ มาให้ 3. Metasearch Engines จดุ เดน่ ของการค้นหาด้วยวิธกี ารน้ี คอื สามารถเชื่อมโยงไปยงั Search Engine ประเภทอนื่ ๆ และยงั มีความหลากหลายของข้อมลู แต่การค้นหาด้วยวิธนี ี้มีจดุ ดอ้ ย คือ วิธีการนจ้ี ะไมใ่ หค้ วามสาคัญ

17 กับขนาดเล็กใหญ่ของตัวอักษร และมักจะผ่านเลยคาประเภท Natural Language (ภาษาพูด) ดังน้ัน หากคุณจะ ใช้ Search Engine แบบน้ลี ะก็ ขอใหต้ ระหนกั ถงึ ขอ้ บกพร่องเหลา่ นด้ี ว้ ย หลกั การค้นหาขอ้ มลู ของ Search Enine สาหรับหลักในการคน้ หาข้อมูลของ Search Engine แตล่ ะตัวจะมลี ักษณะท่ีแตกต่างกันออกไป ขนึ้ อยู่กับ ว่าทางศูนย์บริการต้องการจะเก็บข้อมูลแบบไหน แต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีกลไกใน การค้นหาที่ใกล้เคียงกัน หาก จะแตกต่างก็คงจะเป็นเร่ืองประสิทธิภาพเสียมากกว่า ว่าจะมีข้อมูล เก็บรวบรวมไว้อยู่ในฐานข้อมูลมากน้อยขนาด ไหน และพอจะนาเอาออกมาบริการใหก้ ับผู้ใช้ ได้ตรงตามความต้องการหรือเปลา่ ซึ่งลักษณะของปัจจัยที่ใช้ค้นหา โดยหลกั ๆจะมดี ังน้ี 1. การค้นหาจากชื่อของตาแหน่ง URL ใน เว็บไซตต์ ่างๆ 2. การค้นหาจากคาท่ีมีอยู่ใน Title (ส่วนที่ Browser ใช้แสดงชื่อของเว็บเพจอยู่ทางด้าน ซ้ายบนของ หนา้ ต่างทแี่ สดง 3. การค้นหาจากคาสาคัญหรือคาส่งั keyword (อยใู่ น tag คาสง่ั ใน html ทีม่ ชี ่ือวา่ meta) 4. การค้นหาจากสว่ นท่ใี ชอ้ ธิบายหรือบอกลกั ษณะ site 5. คน้ หาคาในหน้าเวบ็ เพจด้วย Browser ซึ่งการค้นหาคาในหนา้ เวบ็ เพจนน้ั จะใชส้ าหรับกรณที ี่คุณเข้า ไปค้นหาข้อมูลท่ีเว็บ เพจใด เว็บเพจหน่ึง แล้วภายในมีข้อความปรากฏอยู่เต็มไปหมด จะน่ังไล่ดูทีละบรรทัดคงไม่ สะดวก ในลกั ษณะนเี้ ราใช้ใช้ browser ช่วยค้นหาให้ ขน้ึ แรกให้คุณนา mouse ไป click ท่ี menu Edit แล้วเลือก บรรทัดคาสั่ง Find in Page หรือกดปุ่ม Ctrl + F ท่ี keyboard ก็ได้ จากนั้นใส่คาท่ีต้องการค้นหาลงไปแล้วก็กด ปมุ่ Find Next โปรแกรมกจ็ ะวิง่ หาคาดังกล่าว หากพบมนั ก็จะกระโดดไปแสดงคานั้นๆ ซ่งึ คุณสามารถกดปุ่ม Find Next เพื่อค้นหาต่อได้ อกี จนกว่าคุณจะพบข้อมลู ที่ตอ้ งการ เทคนิค 11 ประการที่ควรรู้ในการค้นหาข้อมูลในการค้นหาข้อมูลด้วย Search Engine ส่วนใหญ่แล้ว ปัญหาที่ผู้ใช้งานทั่วไปมักจะพบเห็น หรือประสบอยู่เสมอๆก็คงจะหนีไปไม่พ้นข้อมูลที่ค้นหาได้มีขนาดมาก จนเกินไป ดังนั้นเพอ่ื ความสะดวกในการใช้งานคุณจึงน่าท่ีจะเรยี นรู้เทคนิคต่างๆเพื่อช่วยลดหรือ จากดั คาท่คี ้น หา ใหแ้ คบลงและตรงประเด็นกับเรามากที่สดุ ดังวิธีการต่อไปนี้ 1. เลือกรูปแบบการค้นหาให้ตรงกับส่ิงที่คุณต้องการมากที่สุด (อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ตอนต้นว่ามีอยู่ 2 แบบ ) สว่ นจะเลอื กใชว้ ิธีไหนก็ตามแตจ่ ะเหน็ วา่ เหมาะสม ยกตัวอยา่ งเชน่ ถ้าตอ้ งการจะคน้ หาข้อมลู ทม่ี ีลักษณะ ท่ัวไป ไมช่ ี้ เฉพาะเจาะจง ก็ควรเลอื กบริการสบื ค้นข้อมลู แบบ Index อยา่ งของ yahoo เพราะ โอกาสที่จะเจอน้ัน เปอรเ์ ซ็นตส์ งู กวา่ จะมาน่งั สมุ่ หาโดยใช้วธิ ีแบบ Search Engine 2. ใช้คามากกว่า 1 คาท่ีมีลักษณะเก่ียวข้องกันช่วยค้นหา เพราะจะได้ผลลัพธ์ท่ีมีขนาด แคบลงและช้ี เฉพาะมากขึ้น (ย่อมจะดกี วา่ หาคาเดียวโดดๆ) 3. ใช้บริการของผู้ให้บริการเฉพาะด้าน เช่นการค้นหาข้อมูลเก่ียวกับเร่ืองราวของ ภาพยนตร์ก็น่าที่จะ เลือกใช้ Search Engine ที่ใหบ้ ริการใกล้เคียงกบั เร่ืองพวกน้ี เพราะผลลัพธ์ทีไ่ ด้น่าจะเปน็ ทีน่ า่ พอใจกว่า 4. ใส่เครื่องหมายคาพูดครอบคลุมกลุ่มคาที่ต้องการ เพ่ือบอกกับ Search Engine ว่าเรา ต้องการผลการ คน้ หาท่มี คี าในกลุ่มน้นั ครบและตรงตามลาดับที่เราพิมพ์ทกุ คา เช่น \"free shareware\" เปน็ ต้น

18 5. การขึ้นต้นของตัวอักษรตัวเล็กเท่ากันหมด Search Engine จะเข้าใจว่าเราต้องการ ให้มันค้นหาคา ดังกล่าวแบบไม่ต้องสนใจว่าตัวอักษรที่ได้จะมีขนาดเล็กหรือใหญ่ ดังนั้นหากคุณต้องการอยากที่จะให้มันค้นหาคา ตรงตามแบบทีเ่ ขยี นไว้กใ็ ห้ใช้ ตวั อักษรใหญ่แทน 6. ใช้ตัวเชื่อมทาง Logic หรือตรรกศาสตร์เข้ามาช่วยค้นหา มีอยู่ 3 ตัวด้วยกันคือ - AND สั่งให้หาโดย จะต้องมีคานนั้ ๆมาแสดงดว้ ยเท่าน้นั ! โดยไมจ่ าเปน็ ว่าจะต้องติดกนั เชน่ phonelink AND pager เปน็ ตน้ - OR ส่ัง ให้หาโดยจะต้องนาคาใดคาหนึ่งที่พิมพ์ลงไปมาแสดง - NOT ส่ังไม่ให้เลือกคาน้ันๆมาแสดง เช่น food and cheese not butter หมายความว่า ให้ทาการหาเว็บที่เกี่ยวข้องกับ food และcheese แต่ต้องไม่มี butter เป็น ตน้ 7. ใช้เครื่องหมายบวกลบคัดเลือกคา + หน้าคาท่ีต้องการจริงๆ - (ลบ)ใช้นาหน้าคาท่ีไม่ต้องการ () ช่วย แยกกลมุ่ คา เชน่ (pentium+computer)cpu 8. ใชเ้ ป็นตัวร่วม เชน่ com* เป็นการบอกใหห้ าคาท่ีมคี าวา่ com ขนึ้ หนา้ สว่ นด้านท้ายเปน็ อะไรไม่ สนใจ *tor เปน็ การให้หาคาทล่ี งท้ายดว้ ย tor ด้านหนา้ จะเปน็ อะไรไมส่ นใจ 9.หลีก เลี่ยงการใช้ตัวเลข พยายามเลี่ยงการใช้คาค้นหาท่ีเป็นคาเด่ียวๆ หรือเป็นคาท่ีมีตัวเลขปน แต่ถ้า เลยี่ งไมไ่ ด้ คณุ กอ็ ย่าลมื ใสเ่ ครือ่ งหมายคาพดู (\" \") ลงไปดว้ ย เช่น \"windows 98\" 10. หลีก เล่ียงภาษาพูด หลีกเลี่ยงคาประเภท Natural Language หรือเรียกง่ายๆ ว่าคาหรือข้อความที่ เป็นภาษาพูด หรือเป็นประโยค คุณควรสรุปเป็นเพียงกลุ่มคาหรือวลี ที่มีความหมายรวมทั้งหมดไว้ Advanced Search อยา่ ลมื ท่จี ะใช้ Advanced Search เพราะจะมีส่วนช่วยคณุ ไดม้ าก ในการบีบประเด็นหวั ขอ้ ให้แคบลง ซึง่ จะทาให้คุณไดร้ ายชอื่ เว็บไซต์ ท่ีตรงกบั ความตอ้ งการของคุณมากขึน้ 11. อย่าละเลย Help ซ่ึงในแต่ละเว็บ จะมี ปุ่ม help หรือ Site map ไว้คอยช่วยเหลือคุณ แต่คนส่วน ใหญ่มกั จะมองข้าม ซ่งึ help/site map จะมปี ระโยชน์มากในการอธิบาย option หรือการใชง้ าน/แผนผงั ปลีกย่อย ของแต่ละเวบ็ ไซต์ 3.4 วธิ กี ารสบื คน้ ข้อมลู โดยใชเ้ ครอ่ื งมอื ชว่ ยคน้ เคร่ืองมือชว่ ยคน้ หรือ เซิรช์ เอ็นจนิ (Search Engine) Search Engine คือ เว็บไซต์ที่ให้บริการการค้นหาข้อมูล เว็บไซต์ดังกล่าวจะมีโปรแกรมชนิดหนึ่งท่ีเขยี น ขน้ึ เพอ่ื ช่วยในการ ค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต การทางานของSearch Engineนั้นจะเริ่มจากการหาเว็บไซต์ต่างๆใน อนิ เทอร์เนต็ วา่ มีเว็บไซต์ ์อะไรแล้วสร้างเป็นฐานข้อมูลของเว็บไซต์ต่างๆข้ึนมาเก็บไว้เพื่อใช้ในการค้นหาตามความต้องการของผู้ใช้ ฐานข้อมลู เหล่าน้ีจะต้องมีการปรับปรุงบ่อยๆเพราะมีเว็บไซต์เพ่ิมเติมอยู่ตลอดเวลานอกจากการสร้างฐานข้อมูล เก่ยี วกบั เวบ็ ไซต์ ์ข์ องตนเองแล้ว Search Engine ยังอาจจะใช้วธิ กี ารคน้ หาจากฐานข้อมลู ของ Search Engine ตัวอื่นๆ แล้วนามา

19 บริการก็ได้ ในการสร้างฐานข้อมูลของ Search Engine น้ันจะใช้โปรแกรมท่ีเรียกว่า สไปเดอร์ (Spider)หรอื โรบอต(Robot)ทาการสารวจไปยังเว็บไซต์ต่างๆทวั่ อนิ เทอร์เน็ตแล้วนาข้อมลู ของเวบ็ ไซตน์ ้ันมาเก็บไว้ ในฐานข้อมูลของตนเองเมือ่ ผใู้ ชป้ อ้ น Keyword ของข้อมูลที่ต้องการค้นหาเข้าไป Search Engine ก็จะนาไปค้นหาในฐานข้อมูลท่ีมีอยู่ ผลท่ี ได้จาก การคน้ หากค็ ือรายการของเวบ็ ไซตท์ ่ีมี Keyword ดังกล่าวอยู่ SearchEngine แต่ละตัวมีข้อดีในการสืบค้นและวิธีการในการสืบค้นท่ีแตกต่างกันตลอดจนมีการจัดทา สว่ นพเิ ศษตา่ งๆในการสืบค้น เพื่อช่วยผู้ใช้ และเพื่อให้ผู้ใช้สามารถสืบค้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ใช้ควรมีความรู้เกี่ยวกับการค้นหา ดังนี้ คือ 1. วิธีการใช้ Search Engine แต่ละเว็บไซต์Search Engine แต่ละตัวจะมีส่วนช่วยในการอธิบายวิธีใช้ใน สว่ นทเี่ รยี กว่า Help หรือAbout เชน่ Yahoo มวี ธิ ีกาหนดคาคน้ เพอ่ื ใหไ้ ดผ้ ลคน้ ทเี่ ฉพาะเจาะจงหรือตรงตอ่ ความต้องการ ดงั นี้ 1.1 ใช้เครือ่ งหมายดอกจันทร์ (*) เพื่อคน้ หาคาท่ีมีการสกดคล้ายกัน เช่น smok* หมายความว่า ใหค้ น้ หา คาท้งั หมดทข่ี ้นึ ด้วย 5 ตัวอกั ษรแรก เชน่ smoke smoker เปน็ ต้น1.2 ใชเ้ ครอ่ื งหมาย + สาหรบั กาหนดให้แสดงผล การคน้ เฉพาะเวบ็ ไซต์ ทีป่ รากฏคาทงั้ สองคา เช่น Secondary + education1.3 ใช้เครื่องหมาย “ ” สาหรับการค้นหาคาท่ีเป็นวลี เช่น “great barrier reaf” ฯลฯ 2.การใชต้ รรกบลู ีน (Boolean Logic)เพอื่ ให้สามารถกาหนดการค้นหาท่ีแคบเขา้ มา โดยใชค้ า AND OR NOT เข้าช่วยในการกาหนดคาค้นเพ่ือใหส้ ามารถค้นหาได้อย่างเฉพาะเจาะจงมากยง่ิ ขน้ึ การใช้ ANDการกาหนดใช้ AND จะใช้เม่ือต้องการกาหนดให้ค้นรายการท่ีปรากฏคาที่มีความเก่ียวข้องกัน ในรายการเดียวกัน เช่น water and soilการกาหนดแบบนี้หมายความว่าผลการค้นต้องการคือเฉพาะรายการท่ีมีคาว่า water และ soil เท่านั้น หากรายการใดท่ีมีแต่คาว่า water หรือ soil ไม่ต้องการการใช้คาว่า ORการใช้ OR เป็นการขยายคาค้นโดย กาหนดคาหลายทเ่ี หน็ ว่ามีความหามายคลา้ ยกนั หรอื สามารถสะกดได้หลายแบบ การใช้ NOTการใช้ NOT จะใช้ในเม่ือตอ้ งการจากัดการค้นเข้ามาคือไม่ต้องการรายการที่มีเนื้อหาสว่ นที่ไม่ ต้องการปรากฏอยู่ โดยกาหนดใหต้ ัดคาทไี่ มต่ ้องการออกเช่นwater not soilการกาหนดคาแบบนี้ หมายถงึ 1. ใหค้ ้นหารายการทีม่ คี าวา่ water แตห่ ากรายการใดมีคาว่า soil อยดู่ ้วย ไมต่ ้องการ 2. ผลสืบคน้ ทไ่ี ดท้ ุกรายการท่มี ีคาวา่ water และหากมคี าวา่ Sol ให้คดั ออกทกุ รายการ 3.5 ตัวอยา่ งเว็บไซตท์ ี่ใหบ้ รกิ ารสืบค้นข้อมูลทง้ั ของไทยและของต่างประเทศ การใชง้ าน และ Web Search engine ของไทยและต่างประเทศSearch Engine แบบไทย ๆ ข้อดีของ Search Engine ไทย ก็คือค้นหาคาท่ีใช้ภาษาไทยได้ และสามารถ Search เว็บไซต์ของไทยได้ Engines และเว็บไซต์ท่ีเป็นไดเรคทอรของไทย ถ้าไม่รู้จะเริ่มต้นท่ีไหนก็เร่ิมต้นท่ีนี่ก่อนได้ แต่ไม่ได้ให้บริการค้นหา ขอ้ มูลหรอื Search โดยตรง

20 Thaifind (www.kmutt.ac.th/menu6/Thaifind.html) เป็นเว็บไซต์ของสถาบันเทคโนโลยีพระจอม เกล้า ธนบุรี ที่ให้บริการค้นหาข้อมูลโดยใช้คียเ์ วริ ์ดได้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ และทาการค้นหาข้อมูงไหเ้ รา โดยใช้เครื่องมือค้นหาของไทย 10 ตัว ของสากลอีก 10 ตัวเรียกว่า เป็น Metasearch หรือ อภิมหา Search น่ัน แหละที่อยู่ของ Search Engine ไทยอรื น ๆ ท่นี า่ สนใจ มีดังนี้ Thaiseek (www.thaiseek.com) Thaisearch (www.thaisearch.com) Thaispy (www.thaispy.com) Atriumtech (www.atriumtech.com) Orientation (http://th.orientation.com) Nontrisearch (http://search.ku.ac.th) วธิ ีการคน้ หา เพยี งพิมพค์ าส้ันท่เี ราตอ้ งการค้นหา หรือทีเ่ ราเรยี กวา่ Key Word และกดปุม่ Search หรอื ค้นหา ประโยชน์ทีไ่ ดร้ บั จาก Search Engine ◦คน้ หาเว็บท่ีตอ้ งการไดส้ ะดวก รวดเร็ว ◦สามารถค้นหาแบบเจาะลกึ ได้ ไมว่ ่าจะเปน็ รปู ภาพ, ขา่ ว, MP3 และอนื่ ๆ อกี มากมาย ◦สามารถคน้ หาจากเว็บไซตเ์ ฉพาะทาง ที่มีการจัดทาไว้ เชน่ download.com เวบ็ ไซต์เก่ียวกับข้อมูลและ ซอร์ฟแวร์ เปน็ ต้น ◦มคี วามหลากหลายในการคน้ หาข้อมลู ◦รองรับการคน้ หา ภาษาไทย นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาในรูปแบบของ Search Bar ท่ีทาให้ผู้ใช้งานไม่จาเป็นต้องเข้าผ่านเว็บไซต์ Search Engine เหล่าน้ันโดยตรงแล้ว ตัวอย่าง Search Bar ที่ขอแนะนา เช่น Google Search Bar, Yahoo Search Bar เป็นตน้ สาหรบั รายละเอียดให้คลกิ เข้าไปอา่ นและ download ได้ท่ี Search Bar Ads by Google ลองใช้ Google Chrome เบราวเ์ ซอรท์ ีใ่ ห้คณุ คน้ หาหนา้ ท่ี คุณเคยเยี่ยมชม ดาวนโ์ หลดเดีย๋ วน้ี www.google.co.th/chrome เวบ็ ไซต์ที่ให้บรกิ าร Search Engine เครื่องมอื ในการค้นหาข้อมูลทางอนิ เตอรเ์ นต็ Search Engine เปน็ เครือ่ งมอื หรอื โปรแกรมในการคน้ หาเวบ็ ตา่ งๆ โดยมกี ารเกบ็ รายชือ่ เว็บไซต์ และขอ้ มลู ทเี่ ก่ียวขอ้ งตา่ งๆ ของเวบ็ ไซต์และนามาจัดเก็บไวใ้ น server เพื่อใหส้ ามารถคน้ หาและ แสดงผลได้สะดวก และรวดเร็วมากย่งิ ขนึ้ ทงั้ น้ี บาง search engine อาจไมไ่ ด้มกี ารเก็บขอ้ มูลใน server ของตวั เอง แตอ่ าจอาศยั ข้อมลู จากเจา้ ของ server นนั้ ๆ เคร่ืองมือหรอื โปรแกรมสาหรบั การสืบคน้ (Search Engine) มีอยู่มากมายและมใี ห้บรกิ าร อยู่ตามเว็บไซต์ตา่ งๆ ท่ีใชบ้ รกิ ารการสืบค้นข้อมลู โดยเฉพาะ การเลอื กใชน้ ้นั ขึ้นกับประเภทของขอ้ มูล

ค บรรณานกุ รม https://sites.google.com/site/sarsnthespheuxkarcadkarxachiph/3-5-tawxyang-websit-thi-hi- brikar-subkhn-khxmul-thang-khxng-thiy-laea-khxng-tang-prathes-1


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook