Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore งานเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการอาชีพ-ครูเกสร

งานเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการอาชีพ-ครูเกสร

Description: งานเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการอาชีพ-ครูเกสร

Search

Read the Text Version

เทคโนโลยสี ารสนเทศเพ่อื การจดั การอาชพี นาเสนอ อาจารย์เกสร เทยี นใต้ จดั ทาโดย นางสาวศริ มิ า เกษมสุขบารงุ ชนั้ ปวส.105 สาขาเทคโนโลยีธุรกิจดจิ ทิ ลั รหสั นักศึกษา 6332041003 รายงานเลม่ น้ีเปน็ สว่ นหนึง่ ของวชิ าเทคโนโลยีสารสนเทศเพอื่ การจัดการอาชพี รหัสวิชา 3001-2001 ภาคเรียนที่ 1/2563 วิทยาลยั อาชีวศกึ ษาเถนิ เทคโนโลยี ตาบลลอ้ มแรด อาเภอเถิน จงั หวัดลาปาง

ก คานา รายงานเล่มนจ้ี ดั ทาขึ้นเพอ่ื เปน็ ส่วนหนงึ่ ของวิชาเทคโนโลยสี ารสนเทศเพอ่ื การจัดการอาชพี ผู้จัดทาหวังว่ารายงานเลม่ น้จี ะเปน็ ประโยชนก์ บั ผูอ้ ่านหรอื นกั เรยี นนกั ศกึ ษาทกี่ าลงั หา ข้อมลู เรอื่ งนี้อยหู่ ากมขี อ้ ผดิ พลาดประการใด ผู้จดั ทาขอนอ้ มรบั ไวแ้ ละขออภยั ณ ทน่ี ้ีดว้ ย ผูจ้ ัดทา นางสาวศิรมิ า เกษมสขุ บารงุ

ข หนา้ ที่ สารบัญ 1-9 เรอื่ ง 9-10 10-16 ขอ้ มูลสารสนเทศและระบบเครอื ข่าย 16-22 อุปกรณเ์ ขา้ รหัส ไปยงั ผรู้ ับสารหรืออปุ กรณ์ถอดรหสั เพื่อชว่ ยปรบั ปรุงการบริหารขององคก์ ารสบื คน้ ข้อมูล การดาเนนิ การเกีย่ วกับขอ้ มลู สารสนเทศ

1 ความรู้เกี่ยวกับหลักการและกระบวนการสืบค้นจัดดาเนินการและสื่อสารข้อมูลสารสนเทศในงานอาชีพโดยใช้ คอมพวิ เตอร์ อปุ กรณ์โทรคมนาคม ระบบเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์และสารสนเทศและโปรแกรมสาเร็จรปู ท่ีเกีย่ วข้อง เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (อังกฤษ: information and communication[s] technology; ไอซที ี) เปน็ ศัพท์ท่มี ักใชใ้ นความหมายคลา้ ยกบั เทคโนโลยสี ารสนเทศ (ไอที) แต่ขยายขอบเขตเพ่มิ ขึ้นโดยเน้นเรื่อง บทบาทของการส่ือสารแบบรวมศูนย์ (ยูซี) [1] กับบูรณาการของส่ิงต่อไปนี้ได้แก่ โทรคมนาคม (ทั้งสายโทรศัพท์ และสัญญาณไร้สาย) คอมพิวเตอร์ตลอดจนถึงซอฟตแ์ วรว์ สิ าหกจิ มดิ เดิลแวร์ หน่วยเกบ็ ขอ้ มลู และระบบโสตทศั น์ ตา่ ง ๆ ซ่งึ ทงั้ หมดช่วยใหผ้ ใู้ ช้สามารถเขา้ ถงึ เก็บบันทึก สง่ ผ่าน และจัดดาเนนิ การสารสนเทศได้ [2] นกั วจิ ยั ทางวชิ าการเร่มิ ใช้ศัพท์ ไอซีที ตง้ั แต่คริสตท์ ศวรรษ 1980 เปน็ ต้นมา [3] แต่มนั เป็นทีน่ ยิ มหลงั จาก เดนนิส สตีเฟนสันใช้ศัพท์นี้ในรายงานเพ่ือแถลงต่อรฐั บาลสหราชอาณาจักร เมื่อ ค.ศ. 1997 [4] และปรากฏใน หลักสูตรแหง่ ชาติฉบับปรบั ปรงุ ขององั กฤษ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนอื เมอ่ื ค.ศ. 2000 นอกจากนีศ้ ัพท์ ไอซีที ในปัจจุบันน้กี ็ยงั หมายถึงการล่เู ขา้ ของเครือข่ายโทรศัพท์และระบบโสตทศั น์ เข้าสู่ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ผ่านทางเคเบิลสายเดียวหรือระบบเชื่อมต่อหนึ่งเดียว มีสิ่งจูงใจทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เพ่ือท่ีจะผสานระบบโสตทศั น์ การจัดการสิ่งปลูกสร้าง และเครือข่ายโทรศัพท์ เข้าสู่ระบบเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ โดยใชร้ ะบบเคเบิล การจัดการและการกระจายสัญญาณ แบบรวมศนู ยเ์ พยี งหน่งึ เดยี ว ซงึ่ ประหยดั ค่าใชจ้ า่ ยอย่าง ยิง่ เนื่องจากเครอื ข่ายโทรศัพท์จะถูกขจัดออกไป ขอ้ มลู สารสนเทศและระบบเครอื ขา่ ย 1.ความหมายของข้อมลู ข้อมูล ( Data) คือ ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ข้อมลู อาจจะอยู่ในรปู ของข้อความหรอื ตวั เลข ซ่ึงข้อความหรือตัวเลขเหลา่ น้อี าจเปน็ เรื่องทเ่ี กย่ี วข้องกับ คน พชื สัตว์ และสิง่ ของ เชน่ ปริมาณขา้ วทปี่ ระเทศไทย ผลิตไดใ้ นในปี 2545 เปน็ ขอ้ มลู ที่เป็นตวั เลข หรอื ความคิดเหน็ ของประชาชนเก่ยี วกบั การเลอื กต้งั เป็นขอ้ มูลที่อยู่ ในรูปขอ้ ความ เป็นตน้ 2.ชนดิ ของขอ้ มลู ขอ้ มลู ที่ใช้ในงานคอมพวิ เตอรจ์ ะมีทัง้ หมด 4 แบบ คือ 1. ขอ้ มูลตัวเลข (Number) จะประกอบด้วยตวั เลขเทา่ นน้ั เช่น 125 3648 เป็นตน้ มกั จะนามาใช้ในการ คานวณ 2. ขอ้ มลู อักระ (Text) ประกอบดว้ ยตัวอักษร ตวั เลขและอกั ขระพิเศษหรอื เครอ่ื งหมายพเิ ศษตา่ งๆหรอื ตวั เลขทไี่ มส่ ามารถนามาคานวณได้ เช่น บา้ นเลขที่ 13/2 เป็นต้น 3 ข้อมลู ภาพ (lmage) รบั ร้จู ากการมองเห็น เช่น ภาพถ่ายคน ภาพววิ ทิวทศั น์ตา่ งๆ 4 ขอ้ มลู เสยี ง (Sound) ร้จู ักทางหูและการได้ยิน เช่น เสยี งพูด เสียงเพลง เป็นต้น 3. ความหมายของสารสนเทศ สารสนเทศ หมายถึง ข้อมูลท่ีได้ผ่านกระบวนการประมวลผลแล้วอาจใช้วิธีง่ายๆ เช่น หาค่าเฉล่ียโดยใช้ เทคนิคข้ันสูง เช่น วิจัยดาเนินงาน เปน็ ต้น เพ่ือเปลย่ี นแปลงสภาพข้อมูลทัว่ ไปให้อยู่ในรูปท่ีมีความสมั พันธ์หรอื มี

2 ความเก่ียวข้องกัน เพ่ือนาไปใช้ประโยชน์ในการตัดสนิ ใจใหค้ าตอบปญั หาต่างๆ ได้สารสนเทศประกอบด้วยข้อมูล เอกสาร เสยี ง หรอื รูปตา่ งๆ แต่จดั เนือ้ เร่ืองใหอ้ ยู่ในรปู แบบท่มี คี วามหมาย สารสนเทศไมใ่ ชจ่ ากดั เฉพาะเพยี งตัวเลข เพียงอยา่ งเดียวเท่านน้ั ถ้ากล่าวง่ายๆ คือ ข้อมูลเป็นข้อมูลดิบ แต่สารสนเทศ เป็นข้อมูลที่ทาการประมวลผลแล้ว เช่น คะแนน สอบเต็ม 100คะแนน แตน่ ามาตัดเกรดแล้ว เกรดน้ันคอื สารสนเทศ หรือขอ้ มลู ท่นี ามาหาค่าเฉลย่ี หรอื สรปุ ผลแลว้ ข้อมูลน้ันก็คอื สารสนเทศ 4 ระบบสารสนเทศ ระบบสารสนเทศ หมายถึง ระบบของการจัดเก็บประมวลผลข้อมูลโดยอาศัยบุคคลและเทคโนโลยี สารสนเทศในการดาเนนิ การ เพื่อให้ได้สารสนเทศทเ่ี หมาะสมกบั งานหรอื ภารกิจแต่ละอยา่ งหรอื ระบบสารสนเทศ เป็นการนาขอ้ มลู มาจัดกระทาใหเ้ ปน็ หมวดหมู่ มีระเบยี บแบบแผน เพอื่ สะดวกต่อการค้นคนื หรือการเลอื กใช้ในการ ตัดสนิ ใจและการดาเนนิ งานขององค์กร 5 ประเภทของระบบสารสนเทศ 1 ระบบสารสนเทศแบบประมวลรายการ เป็นระบบสารสนเทศทเี่ กย่ี วกบั การบันทกึ และประมวลขอ้ มลู ทเี่ กดิ จากธรุ กรรม หรอื การปฏิบตั ิงานประจาแรงงาน ขั้นพื้นฐานขององค์กร เช่น การซื้อขายสนิ ค้า การบันทึกจานวนวัสดุคงคลัง เมื่อไหรก่ ต็ ามทมี่ กี ารทาธุรกรรมหรือ ปฏิบัติงานในลกั ษณะดังกล่าวข้อมลู ท่ีเก่ียวข้องจะเกิดข้นึ ทันที เช่น ทุกครั้งที่มกี ารขายสนิ ค้า ข้อมูลท่ีเกิดขึ้นก็คอื ช่อื ลกู ค้า ประเภทลูกคา้ จานวนและราคาของสนิ ค้าท่ีขายไป รวมท้ังวิธีการชาระเงินของลูกค้า 2 ระบบสารสนเทศเพอื่ การจัดการ คือระบบท่ีใหส้ ารสนเทศที่ผบู้ ริหารต้องการ เพื่อให้สามารถทางานไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ โดยจะรวมทง้ั สารสนเทศภายในและภายนอก สารสนเทศที่เกีย่ วพนั กับองคก์ รทั้งในอดตี และปัจจุบัน นอกจากนี้ ระบบนีจ้ ะตอ้ ง ให้สารสนเทศในช่วงเวลาที่เป็นประโยชน์ เพื่อให้ผู้บริหารสามารถตัดสินใจในการวางแผนการควบคุม และการ ปฏบิ ตั ิการขององค์กรไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง 3 ระบบสนบั สนุนการตดั สนิ ใจ เป็นระบบท่ีพัฒนาข้ึนจากระบบ mis อีกระดับหน่ึง ถึงแม้ว่าผู้ที่มีหน้าที่ในการตัดสินใจจะสามารถใช้ ประสบการณ์หรือใช้ข้อมูลท่มี ีอยู่แล้วในระบบ mis ของบริษัท สาหรับทาการตัดสินใจได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพใน งานปกติ แปลเบอร์ครั้งท่ีผู้ตัดสินใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บริหารระดับสูงและระดับกลางจะเผชิญการตัดสินใจท่ี ประกอบดว้ ยปัจจยั ที่ซบั ซอ้ นเกนิ กวา่ ความสามารถของมนษุ ยท์ ่ีจะประมวลเขา้ ดว้ ยกันได้อย่างถูกต้อง

3 4 ระบบสนับสนนุ การตัดสินใจแบบกลุ่ม เป็นระบบยอ่ ยหนง่ึ ในระบบสารสนเทศเพ่อื การจัดการ โดยท่ีระบบสนับสนนุ การตดั สินใจจะช่วยผบู้ ริหาร ในเรื่องการตัดสินใจในเหตุการณ์หรือกิจกรรมทางธุรกิจที่ไม่มีโครงการสร้างแน่นอน หรือก่ึงโครงสร้าง ระบบ สนบั สนนุ การตดั สินใจอาจจะใช้กบั บคุ คลเดยี วหรือช่วยสนับสนุนการตดั สินใจเปน็ กลมุ่ 5 ระบบสารสนเทศภมู ิศาสตร์ ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์คอื กระบวนการทางานเกย่ี วกบั ข้อมลู ในเชงิ พ้นื ที่ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ทใ่ี ช้ กาหนดขอ้ มูลและสารสนเทศ ทมี่ คี วามสัมพันธก์ ับตาแหน่งในเชิงพืน้ ท่ี เชน่ ทีอ่ ยู่ บา้ นเลขท่ี สมั พันธ์กบั ตาแหน่งใน แผนที่ ตาแหน่ง เส้นรุ้ง เส้นแวง ข้อมูลและแผนท่ใี น gis เป็นระบบข้อมูลสารสนเทศทีอ่ ยู่ในรูปของตารางข้อมูล และฐานข้อมูลที่มีส่วนสาคัญกับข้อมูลเชิงพ้ืนที่ ซึ่งรูปแบบและความสัมพันธ์ของข้อมูลเชิงพื้นที่ทั้งหลาย จะ สามารถนามาวิเคราะห์ด้วยgis และทาให้สื่อความหมายในเร่ืองการเปลย่ี นแปลงท่สี ัมพันธ์กับเวลาได้ เช่น การ แพร่ขยายของโรคระบาด การเคลื่อนยา้ ยถน่ิ ฐาน การบุกรกุ ทาลาย การเปลยี่ นแปลงของการใชพ้ ื้นที่เป็นต้น 6 ระบบสารสนเทศเพ่อื ผบู้ รหิ ารระดบั สงู เป็นระบบที่สร้างข้ึนเพื่อสนับสนุนสารสนเทศและการตัดสินใจสาหรับผบู้ ริหารระดับสงู โดยเฉพาะ หรือ สามารถกล่าวได้วา่ อะไรบบนี้คอื ส่วนหนึ่งของ dss ท่ีแยกออกมา เพอ่ื เนน้ การให้สารสนเทศท่สี าคญั ตอ่ การบริการ แกผ่ ู้บรหิ าร 7 ปญั หาประดิษฐ์ ระบบท่ีทาให้เครื่องคอมพิวเตอร์กลายเป็นผู้ชานาญการในสาขาใดสาขาหน่ึง คล้ายกับมนุษย์ ระบบ ผู้เช่ียวชาญที่มีส่วนคล้ายคลึงกับระบบอ่ืนๆ คือ เป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่ช่วยผู้บริหารแก้ไขปัญหาหรือทาการ ตัดสินใจได้ดีขึ้น อย่างไรก็ดี ระบบผู้เชี่ยวชาญจะแตกต่างกับระบบอ่ืนอยู่มาก เนื่องจากระบบผู้เชี่ยวชาญจะ เกี่ยวข้องกับการจัดการความรู้มากกว่าสารสนเทศ และถูกออกแบบให้ช่วยในการตัดสินใจโดยวิธีใช้วิธีเดียวกับ ผ้เู ชย่ี วชาญท่ีเปน็ มนุษย์ โดยใช้หลักการทางานดว้ ยระบบปญั ญาประดษิ ฐ์ 8 ระบบสานกั งานอตั โนมัติ เป็นระบบท่ีใช้บุคลากรน้อยที่สุด โดยอาศัยเคร่ืองมือแบบอัตโนมัติและระบบส่ือสารเชื่อมโยงข่าวสาร ระหว่างเคร่อื งมือเหลา่ นั้นเข้าด้วยกัน qas มีจุดมุ่งหมายให้เป็นระบบที่ไมใ่ ช้กระดาษ แต่จะทาการส่งข่าวสารถึง กันด้วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์แทน ซึ่งมีรูปแบบในการใช้งาน 2 ลักษณะคือ รูปแบบของระบบงานพิมพ์และการ ประมวลผลทางอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์

4 6 องค์ประกอบของระบบสารสนเทศ 1 ฮาร์ดแวร์ คือ เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการจัดการสารสนเทศ คอมพิวเตอร์ช่วยประมวลผล คัดเลือก คานวณ หรือพิมพ์รายงานผลตามที่ต้องการ คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่ทางานได้รวดเร็ว มีความแม่นยาในการ ทางาน และทางานได้อยา่ งต่อเน่ือง คอมพิวเตอร์และอปุ กรณต์ า่ งๆ 2 ซอฟต์แวรค์ ือ ลาดับขั้นตอนคาสงั่ ให้เครื่องคอมพิวเตอรท์ างานตามวัตถปุ ระสงค์ท่ีวางไว้ software จงึ หมายถึงชุดคาส่ังที่เรียงเป็นลาดับขั้นตอนส่ังให้คอมพิวเตอร์ทางานตามต้องการและประมวลผลเพื่อให้ได้ สารสนเทศทต่ี ้องการ 3 บุคลากร คือ ผู้ท่ีต้องมีความรู้ความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ บุคลากรภายในองค์กรเปน็ ส่วนประกอบท่จี ะทาให้เกิดระบบสารสนเทศด้วยกันทุกคนเช่น ร้านขายสินค้าแห่งหน่ึง บุคลากรท่ีดาเนินการใน ร้านคา้ ทกุ คน ตั้งแต่ผูจ้ ัดการถงึ พนกั งานขาย เปน็ สว่ นประกอบ 4 ขนั้ ตอนการปฏิบตั ิ คือ เป็นระเบียบวิธกี ารปฏบิ ัติงานในการจัดเก็บรกั ษาข้อมูลให้อย่ใู นรูปแบบที่จะทา ใหเ้ ป็นสารสนเทศได้ เช่น กาหนดให้มกี ารป้อนขอ้ มูลทกุ วัน ปอ้ นข้อมลู ใหท้ ันตามกาหนดเวลามกี ารแก้ไขขอ้ มูลให้ ถูกตอ้ งอยเู่ สมอ กาหนดเวลาในการประมวลผล การทารายงาน การดาเนนิ การต่างๆ ต้องมีข้ันตอน 5 ข้ันตอนใดมี ปัญหาระบบกจ็ ะมีปัญหาดว้ ย เพราะทกุ ขั้นตอนมีผลต่อระบบสารสนเทศ 5 ข้อมูล คือ เป็นวัตถุดิบท่ีทาให้เกิดสารสนเทศ ข้อมูลท่ีเป็นวัตถุดิบจะต่างกันขึ้นอยู่กับสารสนเทศท่ี ต้องการ เช่น ในสถานศึกษามักจะต้องการ สารสนเทศที่เก่ียวข้องกับข้อมูลนักเรียน ข้อมูลผลการเรียน ข้อมูล อาจารย์ ข้อมลู การใชจ้ ่ายตา่ งๆ ขอ้ มูลเป็นส่ิงทส่ี าคัญประการหนงึ่ ที่มบี ทบาทตอ่ การทาให้เกิดสารสนเทศ 6 เครือข่ายและการสื่อสารข้อมูล คือ ระหว่างคอมพิวเตอร์จานวนต้ังแต่ 2 เครื่องข้ึนไปสามารถ แลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ การเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่างๆในเครอื ข่าย จะใช้สื่อที่เป็นสายเคเบลิ หรือส่ือไรส้ าย เครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ที่รจู้ กั กันดี คือ internet 7 ความหมายของระบบเครือขา่ ย ระบบเครอื ข่าย หมายถึง ระบบท่ีมีการคอมพิวเตอร์มากกว่า 1 เครื่องมาเช่ือมต่อเข้าเป็นระบบเดยี วกัน เพื่อให้สามารถติดต่อสอ่ื สารถึงกนั ในระบบได้ และสามารถใช้ประโยชน์จากทรพั ยากรหรอื อปุ กรณ์ตา่ งๆในระบบ ร่วมกนั ได้ เครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ คอื การนากลมุ่ คอมพวิ เตอร์และอปุ กรณต์ า่ งๆมาเช่ือมต่อกันเปน็ เครอื ข่าย ผา่ นสือ่ กลางสง่ ขอ้ มลู ทอ่ี าจเปน็ สายเคเบลิ หรอื คลน่ื วทิ ยุเปน็ เส้นทางการส่งขอ้ มลู ให้สามารถส่อื สารระหว่างกันได้ ซง่ึ ทาใหผ้ ู้ใชง้ าน บนเครือข่ายสามารถใช้งานอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์และข้อมูลร่วมกันได้ ในทานองเดียวกับการส่ือสารกบั บุคคลอน่ื ๆในรปู แบบอิเล็กทรอนิกส์

5 8 ประเภทของเครอื ข่ายคอมพวิ เตอรเ์ ครอื ข่ายคอมพิวเตอรแ์ บ่งออกได้เปน็ 4 ชนิดดังน้ี 1 เครือขา่ ยท้องถิ่น หรอื เครือข่ายแลน เครือข่ายท้องถ่ินเป็นระบบเครือข่ายขนาดเล็กที่ใช้ในการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ในบริเวณใกล้เคียงเข้า ด้วยกนั ซงึ่ ระยะทางไกลสดุ ทีส่ ามารถรับสง่ ขอ้ มลู ได้ แบบไม่ตดิ ขัดประมาณ 100 เมตร มีการเชอ่ื มตอ่ แบบ client- server ระหว่างเครื่องลกู ข่าย กบั เคร่ืองบริการกลาง ทใ่ี หบ้ รกิ ารกับผ้ใู ช้จานวนไม่มาก ความสามารถในการทางาน ของระบบเครอื ขา่ ยถูกกาหนดไว้ทเ่ี คร่ือง server เพยี งเครอื่ งเดียวทค่ี วบคมุ ดว้ ย software ระบบเครือขา่ ย 2 เครือขา่ ยระดบั เมือง man เป็นเครือข่ายที่สื่อสารได้ระยะไกลกว่าเครือข่ายท้องถิ่น Lan และระยะไกลน้อยกว่าเครือข่าย ระดับประเทศ Wan สามารถรับส่งข้อมูลได้ไม่เกิน 60 กิโลเมตรซ่ึงเป็นเครือข่ายในเขตเมืองครอบคลุมพื้นท่ีใน อาเภอหรอื ในจงั หวดั เดียวกันโดยอาจเป็นการเชอ่ื มโยงคอมพวิ เตอร์ขององค์กรเข้าดว้ ยกนั เชน่ การตอ่ คอมพิวเตอร์ ของสาขาต่างๆในเขตเมือง เพอ่ื สื่อสารแบ่งปนั ข้อมลู ระหวา่ งกนั ในองค์กร 3 เครอื ข่ายระดับประเทศ Wan เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เช่ือมโยงระบบคอมพิวเตอร์ระหว่างองค์กร ระหว่างเมือง หรือระหว่าง ประเทศ ซึ่งเครือข่ายระดับประเทศ Wan การเช่อื มตอ่ ระยะทางไกลมาก จึงมคี วามเร็วในการส่อื สารไม่สูงมากนัก เครือขา่ ยระดับประเทศ จะทาให้ทุกบรษิ ัท ทุกองค์กร ทุกหนว่ ยงานเชอ่ื มโยงเครอื ข่ายคอมพิวเตอรข์ องตนเองเขา้ สู่ เครือข่ายกลาง เพื่อแลกเปลยี่ นข้อมลู ระหว่างกันและทางานร่วมกันในระบบท่ีต้องติดต่อสื่อสารระหว่างกนั เช่น ธนาคารทีม่ ีสาขาทั่วประเทศ มีบริการรบั ฝากถอนเงินผา่ นตู้ atm เป็นต้น 4 ระบบเครอื ข่ายไร้สาย เครือข่ายไร้สาย เป็นเทคโนโลยีเครือข่ายไร้สาย ซึ่งทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแนวคิดและวิธีการจดั การ ทางด้านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขององค์กรต่างๆ ทั้งในองค์กรเดิมที่มเี ครือข่ายคอมพิวเตอรอ์ ยู่แล้วและองค์กรที่ เกิดขน้ึ ใหมท่ ีก่ าลงั วางแผนตดิ ต้ังระบบเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอรซ์ ่งึ ไมใ่ ช่เทคโนโลยเี ครือข่ายคอมพวิ เตอรท์ มี่ าทดแทน เครอื ขา่ ยแบบใช้สญั ญาณ แต่เป็นเทคโนโลยที ี่สามารถขยายเครอื ขา่ ยแบบใช้สัญญาณได้ 9 รูปแบบของการเช่อื มต่อเครือขา่ ย 1 แบบบสั bus ลกั ษณะของโทโปโลยแี บบบัส จะมสี ายเคเบิลเสน้ หนึง่ ทใ่ี ชเ้ ปน็ สายแกนหลกั โดยโดยทุกๆ โหนดบนเครือข่ายจะตอ้ งเชอ่ื มตอ่ เข้ากบั สายเส้นน้ี จึงดเู หมือนกบั ราวแขวนเสื้อผา้ รปู แบบการเชื่อมต่อในลักษณะ นี้ มีโครงสร้างท่ีไม่ซับซ้อน ประหยัดสายสื่อสาร แต่ถ้าสายแกนหลักขาดหรือมีปัญหา จะส่งผลให้เครือข่า ยล้ม ทั้งหมด

6 2 แบบดาว star เป็นรปู แบบการเช่ือมต่อท่ีแตเ่ ดิมนน้ั นามาใชก้ ับเครอื่ งอนั ดับเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ ที่ ใช้เปน็ ศูนยก์ ลางแม่ข่าย และมีลกู ขา่ ยอยา่ งเครือ่ งเทอรม์ นิ ลั เชือ่ มต่อ แต่ในปจั จุบันโทโพโลยีแบบดาวนยิ มนามาใช้ เชอื่ มต่อบนเครอื ข่ายทั่วไป โดยจะมีอุปกรณ์ฮับ ท่ีใช้เป็นศูนยก์ ลางการควบคุมของสายสอื่ สารทัง้ หมด 3 แบบวงแหวน Ring เป็นการเชอื่ มตอ่ กนั ด้วยสายสญั ญาณจากโหนดหนง่ึ ไปยังโหนดหน่ึงตอ่ กันไปเรื่อยๆ จนกระทง่ั โหนดแรกและคนสดุ ท้ายไดเ้ ชื่อมโยงถึงกัน จึงเกิดเป็นรูปวงกลมหรอื วงแหวนขน้ึ มา โดยคอมพวิ เตอรห์ รอื โนแต่ละโหนดจะเช่ือมตอ่ กันในลกั ษณะจุดต่อจดุ สัญญาณจะถูกสง่ ทอดจากโหนดหนึ่งไปยังอีกจุดหน่ึงบนทิศทาง เดยี วกนั และจะสง่ ท่อตอ่ ไปเร่ือยๆ 4 แบบเมช Mesh เป็นการเช่ือมต่อเครือข่ายแบบเต็มรูปแบบ แต่ละโหนดจะส่ือสารผา่ นสายสัญญาณท่ี เชื่อมต่อถึงกันอย่างเต็มที่ และหากมีสายสญั ญาณบางล้ินขาดไป ก็สามารถเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่นแทน จึงจัดเปน็ รปู แบบการเช่อื มต่อเครือขา่ ยท่ีมีความคงทนสูงมาก แต่กส็ ิ้นเปลืองคา่ ใช้จา่ ยเก่ียวกบั สายสัญญาณมากเช่นกนั สมรรถนะ2 ใช้คอมพวิ เตอร์และอปุ กรณโ์ ทรคมนาคมในการสบื คน้ และส่อื สารข้อมลู สารสนเทศผา่ นระบบ การสื่อสาร คือกระบวนการสาหรับแลกเปลย่ี นสาร รูปแบบอย่างง่ายของสาร คือ จะต้องส่งจากผสู้ ง่ สารหรือ อปุ กรณเ์ ข้ารหสั ไปยงั ผู้รับสารหรอื อุปกรณ์ถอดรหัส องคป์ ระกอบขนั้ พนื้ ฐานของระบบ องค์ประกอบขน้ั พ้ืนฐานของระบบส่อื สารโทรคมนาคม สามารถจาแนกออกเปน็ ส่วนประกอบไดด้ ังตอ่ ไปน้ี 1. ผสู้ ง่ ข่าวสารหรอื แหลง่ กาเนดิ ข่าวสาร (source) อาจจะเป็นสญั ญาณตา่ ง ๆ เชน่ สัญญาณภาพ ขอ้ มลู และเสียงเป็นต้น ในการติดต่อส่ือสารสมัยก่อนอาจจะใช้แสงไฟ ควันไฟ หรือท่าทางต่าง ๆ ก็นับว่าเป็น แหลง่ กาเนดิ ขา่ วสาร จดั อยู่ในหมวดหมู่นเ้ี ช่นกนั 2. ผู้รบั ขา่ วสารหรอื จดุ หมายปลายทางของขา่ วสาร (sink) ซง่ึ จะรบั รจู้ ากสง่ิ ท่ีผูส้ ่งข่าวสาร หรือแหล่งกาเนิดข่าวสารส่งผ่านมาให้ตราบใดที่ การติดต่อส่ือสารบรรลุวัตถุประสงค์ ผู้รับสารหรือจุดหมาย ปลายทางของข่าวสารกจ็ ะไดร้ ับขา่ วสารน้ัน ๆ ถ้าผรู้ ับสารหรอื จุดหมายปลายทางไม่ได้รบั ขา่ วสาร กแ็ สดงวา่ การ สอื่ สารนั้นไม่ประสบความสาเรจ็ กล่าวคอื ไม่มีการสอื่ สารเกิดขนึ้ นน่ั เอง 3. ช่องสัญญาณ (channel) ในท่ีนี้อาจจะหมายถึงสอ่ื กลางหรอื ตวั กลางทีข่ ่าวสารเดนิ ทางผา่ น อาจจะ เปน็ อากาศ สายนาสญั ญาณตา่ ง ๆ หรือแม้กระทั่งของเหลว เช่น นา้ น้ามนั เปน็ ต้น เปรยี บเสมอื นเปน็ สะพาน ที่จะใหข้ ่าวสารขา้ มจากฝงั่ หนึง่ ไปยังอกี ฝัง่ หนึง่ 4. การเข้ารหัส (encoding) เป็นการชว่ ยให้ผู้สง่ ข่าวสารและผรู้ ับข่าวสารมคี วามเขา้ ใจตรงกนั ในการส่ือ ความหมาย จึงมีความจาเป็นต้องแปลงความหมายน้ี การเข้ารหัสจึงหมายถึงการแปลงข่าวสารให้อยู่ในรูป พลังงานท่ีพรอ้ มจะสง่ ไปในสื่อกลาง ทางผู้ส่งมคี วามเข้าใจต้องตรงกนั ระหว่างผู้ส่งและผรู้ ับ หรอื มรี หัสเดยี วกัน การสือ่ สารจงึ เกดิ ข้ึนได้

7 5. การถอดรหัส (decoding) หมายถึงการทีผ่ ู้รับข่าวสารแปลงพลังงานจากส่อื กลางให้กลับไปอยใู่ นรูป ข่าวสารท่ีสง่ มาจากผสู้ ง่ ข่าวสาร โดยมีความเข้าในหรือรหสั ตรงกัน 6. สญั ญาณรบกวน (noise) เป็นสิ่งทีม่ ีอยู่ในธรรมชาติ มกั จะลดทอนหรอื รบกวนระบบ อาจจะเกิดข้ึนได้ ท้งั ทางดา้ นผสู้ ่งขา่ วสาร ผูร้ ับข่าวสาร และช่องสัญญาณ แตใ่ นการศึกษาขั้นพื้นฐานมักจะสมมตใิ ห้ทางดา้ นผสู้ ง่ ขา่ วสารและผรู้ ับขา่ วสารไม่มีความผดิ พลาด ตาแหน่งทใี่ ชว้ เิ คราะห์มกั จะเปน็ ทีต่ ัวกลางหรอื ชอ่ งสญั ญาณ เมอื่ ไรที่ รวมสัญญาณรบกวนด้านผู้ส่งข่าวสารและด้านผู้รับข่าวสาร ในทางปฎิบัติมักจะใช้ วงจรกรอง ( filter) กรอง สญั ญาณแตต่ ้นทาง เพื่อใหก้ ารสื่อสารมคี ณุ ภาพดียิ่งขึ้นแล้วคอ่ ยดาเนินการ เช่น การเขา้ รหสั แหล่งขอ้ มลู เปน็ ต้น ข่ายการสือ่ สารขอ้ มลู หมายถึง การรบั สง่ ข้อมูลหรอื สารสนเทศจากท่ีหน่งึ ไปยังอีกทีห่ นึ่ง โดยอาศัยระบบการส่ง ขอ้ มลู ทางคลื่นไฟฟา้ หรือแสง อปุ กรณท์ ป่ี ระกอบเป็นระบบการสื่อสารข้อมูลโดยทวั่ ไปเรียกว่า ขา่ ยการสอื่ สารข้อมูล (Data Communication Networks) องคป์ ระกอบพ้นื ฐาน 1.หน่วยส่งข้อมูล (Sending Unit) หรือ ผู้ส่งข่าวสารหรือแหล่งกาเนิดข่าวสาร (Source) อาจจะเป็น สัญญาณต่าง ๆ เช่น สัญญาณภาพ ขอ้ มูล และเสยี งเปน็ ตน้ 2.ช่องทางการส่งข้อมลู (Transmisstion Channel)ในที่นี้อาจจะหมายถงึ สือ่ กลางหรอื ตวั กลางท่ีข่าวสาร เดินทางผ่าน อาจจะเป็นอากาศ สายนาสัญญาณต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งของเหลว เช่น น้า น้ามัน เป็นต้น เปรยี บเสมอื นเป็นสะพานทีจ่ ะใหข้ า่ วสารขา้ มจากฝง่ั หน่ึงไปยงั อกี ฝ่ังหนึง่ 3.หนว่ ยรับขอ้ มูล (Receiving Unit) หรือผูร้ บั ข่าวสาร เป็นจดุ หมายปลายทางของข่าวสาร ซงึ่ จะรับรู้จาก ส่ิงท่ีผู้ส่งข่าวสาร หรอื แหล่งกาเนิดข่าวสารสง่ ผ่านมาให้ตราบใดที่ การตดิ ต่อส่ือสารบรรลุวัตถุประสงค์ ผู้รับสาร หรือจุดหมายปลายทางของขา่ วสารก็จะไดร้ ับข่าวสารนน้ั ๆ วัตถปุ ระสงคห์ ลกั ของการนาการส่ือการขอ้ มลู มาประยกุ ต์ใช้ในองคก์ รประกอบด้วย 1.เพอ่ื รบั ขอ้ มูลและสารสนเทศจากแหล่งกาเนดิ ขอ้ มูล 2.เพอื่ สง่ และกระจายขอ้ มลู ไดอ้ ย่างรวดเร็ว 3.เพ่อื ลดเวลาการทางาน 4.เพอ่ื การประหยดั ค่าใช้จ่ายในการสง่ ข่าวสาร 5.เพอื่ ช่วยขยายการดาเนินการองค์การ เพอ่ื ช่วยปรบั ปรงุ การบรหิ ารขององค์การ สบื คน้ ข้อมลู คาวา่ \"การสืบค้น\" (Retrieval) หมายถึง การสบื เสาะคน้ หาเร่อื งใดเรอ่ื งหน่งึ ซ่ึงอาจจะได้รบั คาตอบในรูป ของบรรณานุกรม ต้นฉบับเอกสาร คาตอบที่เฉพาะเจาะจง ตัวเลข หรือข้อความของเรื่องน้ัน ในที่น้ีความหมาย

8 เนน้ หนักไปทางด้านการคน้ หาข้อมลู โดยใช้เครื่องมือชว่ ยคน้ ประเภทที่เป็นสือ่ อิเล็กทรอนกิ ส์ เชน่ ระบบฐานขอ้ มูล คอมพิวเตอร์ของห้องสมดุ ฐานข้อมูล CD-ROM/DVD ฐานข้อมูลออนไลน์ Internet และ search engine ต่าง ๆ เปน็ ตน้ .. การค้นหาขอ้ มลู ให้ไดร้ วดเรว็ ถกู ต้องแม่นยา และตรงตามความตอ้ งการ จาเปน็ ตอ้ งอาศยั ทกั ษะและพื้น ฐานความรู้เกี่ยวกับการสืบค้นข้อมูล เช่น วิธีการใช้เครื่องมือช่วยค้นแต่ละชนิด การใช้คาหรือวลี ( keyword) ให้ สอดคล้องกับเร่ืองที่กาลังค้นหา การเลือกรูปแบบการค้นให้เหมาะสม การใช้คาเชื่อม ( and, or, not, with, adjacent..) เพอ่ื กาหนดขอบเขตการคน้ ให้มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ซ่งึ จะทาใหไ้ ดผ้ ลการคน้ /รายการข้อมูล ท่ี ถูกต้องตรงตามความตอ้ งการมากทสี่ ุด ระบบเครือขา่ ย (Network) ระบบเครอื ข่ายจะหมายถึง การนาคอมพวิ เตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไปมาเชื่อมต่อกนั เพื่อจะทาการแชรข์ ้อมูล และ ทรัพยากรรว่ มกัน เช่น ไฟล์ขอ้ มลู และเครื่องพมิ พ์ \"ระบบเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ หรือระบบเน็ตเวริ ์ก คือกลุ่มของคอมพวิ เตอรแ์ ละอุปกรณต์ ่างๆ ท่ีถูกนามาเชื่อมตอ่ กันเพื่อให้ผู้ใช้ในเครือข่ายสามารถติดต่อสอ่ื สาร แลกเปล่ียนข้อมูล และใช้อุปกรณ์ต่างๆ ในเครือข่ายร่วมกันได\"้ เครือข่ายนั้นมีหลายขนาด ตั้งแต่ขนาดเล็กทีเ่ ช่ือมต่อกันด้วยคอมพิวเตอร์เพียงสองสามเครื่อง เพ่อื ใช้งานในบ้าน หรือในบริษัทเลก็ ๆ ไปจนถงึ เครอื ขา่ ยขนาดใหญ่ที่เชอ่ื มต่อกันทั่วโลก สว่ น Home Network หรอื เครือขา่ ยภายใน บ้าน ซ่ึงเป็นระบบ LAN ( Local Area Network) จะได้พบต่อไปนี้ เป็นระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กๆ หมายถึงการนาเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ มาเช่ือมต่อกันในบ้าน ส่ิงท่ีเกิดตามมาก็คือประโยชน์ในการใช้ คอมพวิ เตอร์ด้านตา่ งๆ เชน่ 1.การใช้ทรัพยากรร่วมกัน หมายถึง การใชอ้ ุปกรณต์ ่างๆ เช่น เครอื่ งพมิ พ์ร่วมกัน กลา่ วคือ มีเครื่องพิมพ์ เพียงเคร่ืองเดยี ว ทุกคนในเครอื ข่ายสามารถใช้เครอ่ื งพิมพ์น้ีได้ ทาใหส้ ะดวกและประหยดั คา่ ใชจ้ า่ ย เพราะไมต่ อ้ ง ลงทุนซ้ือเครอ่ื งพิมพ์หลาย 2. การแชร์ไฟล์ เม่ือคอมพิวเตอร์ถูกติดตั้งเป็นระบบเน็ตเวิร์กแล้ว การใช้ไฟล์ข้อมูลร่วมกันหรือการ แลกเปลยี่ นไฟลท์ าได้อยา่ งสะดวกรวดเรว็ ไมต่ อ้ งอุปกรณ์เก็บขอ้ มูลใดๆ ท้งั สิน้ ในการโอนยา้ ยข้อมูลตดั ปญั หาเร่ือง ความจุของสื่อบันทกึ ไปไดเ้ ลย ยกเว้นอปุ กรณใ์ นการจัดเก็บข้อมลู หลกั อยา่ งฮารด์ ดสิ ก์ หากพ้ืนที่เต็มกค็ งตอ้ งหามา เพม่ิ 3. การติดต่อส่ือสาร โดยคอมพิวเตอร์ท่ีเชื่อมต่อเป็นระบบเน็ตเวิร์ก สามารถติดต่อพูดคุยกับเครื่อง คอมพวิ เตอร์อื่น โดยอาศัยโปรแกรมสือ่ สารที่มีความสามารถใชเ้ ป็นเครื่องคอมพิวเตอรไ์ ดเ้ ชน่ เดยี วกัน หรือการใช้ อเี มล์ภายในกอ่ ใหเ้ ครือข่าย Home Network 4. การใช้อินเทอร์เน็ตร่วมกัน คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องท่ีเช่ือมต่อในระบบ เน็ตเวิร์กสามารถใช้งาน อนิ เทอรเ์ นต็ ไดท้ ุกเครื่อง โดยมโี มเด็มตัวเดยี ว

9 การสืบค้นขอ้ มูลห้องสมดุ การสืบคน้ หน้าหลัก การสืบค้นโดยหน้าหลัก จะประกอบไปด้วยช่องแสดงรายการต่างๆใช้พิมพ์คาค้นของคาทั่วไปหรือคา เฉพาะ โดยแสดงคาคน้ ขน้ึ ตน้ ท่ีพมิ พ์ และคาต่อไปตามลาดบั ข้ันตอนการสบื ค้น - เลอื กหัวขอ้ ของการสบื ค้นท่ชี ่องประเภทการสบื คน้ ตามความต้องการ เชน่ ผู้แต่ง, ชอ่ื เรือ่ ง, หัวเรอื่ ง หรือ เลขเรยี กหนงั สือ จากนั้นคลกิ เลอื กรายการที่ตอ้ งการ - คลิกเลือกฐานขอ้ มลู ทตี่ ้องการสืบคน้ เช่น หนงั สอื /วารสาร/โสตทศั นวสั ดุ หรือ ดรรชนีวารสาร - พิมพ์คาคน้ ทีต่ ้องการสืบคน้ ท่ีคอลัมภ์ พมิ พค์ าสืบค้นเพื่อหาชอื่ ทตี ้องการ คลกิ ท่ี สืบค้น การแสดงรายละเอียดรายการตวั เล่ม - คลิกทีห่ มายเลขประจาตวั เล่ม (Item Barcode) เพ่ือเลอื กดรู ายละเอยี ดของรายการตัวเลม่ น้ันๆ - รายการตวั เลม่ ให้รายละเอยี ดของแต่ละ Item รวมถงึ Copy number ท่ีมอี ยูใ่ นแต่ละระเบียนโดยจะให้ รายละเอียดดังนี้ · Barcode คือ หมายเลยประจาตัวเลม่ · Item Class คือ ประเภทของตัวเล่ม · Shelf Location คอื สถานทีจ่ ัดเก็บตัวเลม่ วา่ อยหู่ อ้ งสมดุ ไหน · Call Number คือ เลขเรียกหนังสือและบอกถงึ หมวดหมู่ของหนังสือบนชัน้ เกบ็ การสืบคน้ แบบสืบค้นทั่วไป การสืบค้นแบบสบื คน้ ทว่ั ไป จะใหป้ ระโยชนใ์ นการควบคุมคาค้น และ โครงสร้างรายการโยงของห้องสมดุ ลักษณะ การสืบค้นจะเอ้อื ให้ผู้ใช้สามารถสบื ค้นในความ หมายทีแ่ คบลงจากหวั ขอ้ ท่ัวไปให้เปน็ หัวขอ้ ทีเ่ ฉพาะเจาะจงหรือผ้ใู ช้ไม่รคู้ าทแ่ี น่นอนกส็ ามารถสืบคน้ ได้ ขัน้ ตอนการสบื คน้ - เลอื กประเภทการสบื ค้นเป็น สืบค้นทัว่ ไป จะปรากฏหนา้ จอ สืบค้นทั่วไป - เลือกหัวข้อของการสืบค้นที่ชอ่ งประเภทการสบื ค้น เชน่ ผแู้ ตง่ , ชอ่ื เรือ่ ง, หวั เรอื่ ง หรือ เลขเรียกหนังสือ จากนน้ั คลกิ เลอื กรายการท่ีต้องการ - คลกิ เลอื กฐานขอ้ มลู ที่ตอ้ งการสบื คน้ เชน่ หนงั สอื /วารสาร/โสต หรือ ดรรชนวี ารสาร - พิมพ์คาคน้ ท่ีต้องการสืบค้นที่คอลมั ภ์ คาหรอื วลี คลิกที่ สบื คน้

10 การสืบคน้ แบบคาสาคัญ การสบื คน้ โดยใชค้ าสาคญั ในการสืบคน้ จาก ช่อื ผู้แต่ง, ชอ่ื เรือ่ ง, หัวเรอื่ ง หรือ คาทุกคาจาก ทุก Field ทมี ี การจัดเก็บในฐานข้อมูล และสามารถสืบค้นโดยการเชื่อมคาแบบตรรกบูลีน และ, หรือ, ไม่ ในการเช่ือมคาได้ มากกว่า 2 คาคน้ ขัน้ ตอนการสบื ค้น - เลือกประเภทการสืบค้นรูปแบบคาสาคญั - เลือกฐานขอ้ มลู ที่ต้องการสบื คน้ - เลอื กประเภทคาคน้ เชน่ ผู้แตง่ , ชอื่ เรอ่ื ง หรอื หัวเรือ่ ง - ใส่คาค้นทช่ี อ่ งวา่ ง สามารถใสค่ าค้นไดม้ ากกวา่ 1 คา - สามารถเลอื กรูปแบบการผสมคาได้ เช่น และ, หรอื , ไม่ และ ใกล้เคยี ง · และ คอื ผลการสบื คน้ ท่ีปรากฏจะต้องมีคาสืบคน้ ทั้งหมดทุกคาสืบค้น ·หรือ คือ ผลการสบื คน้ ท่ปี รากฏจะต้องมคี าสืบค้นท้งั หมดทุกคาสืบค้น และผลการสืบค้นท่ีมีคาสืบค้นคา ใดคาหนึง่ ·ไม่ คือ ผลการสืบค้นท่ีปรากฏจะต้องมคี าสืบคน้ คาแรกแต่จะตอ้ งไมม่ คี าสืบค้นท2ี่ ·ใกลเ้ คยี ง คือ ผลการสืบคน้ ที่ปรากฏจะตอ้ งมคี าสบื คน้ คาแรกภายในคาคาสืบคน้ ท่ี 2 การสบื ค้นแบบเช่ียวชาญ การสืบค้นแบบ เช่ียวชาญเป็นการสืบค้นสาหรับผู้ใช้งานทมี่ ีความเช่ียวชาญในการสร้างคา และการผสม สาหรบั การสบื ค้น การสืบค้น - คลกิ เลือกการสืบคน้ เปน็ หลายฐานขอ้ มูล - เลอื กประเภทการสืบค้น เช่น ชอ่ื เร่อื ง, ผูแ้ ตง่ , หัวเรื่อง,ทกุ เขตข้อมลู - ใส่คาค้นท่ีช่องว่าง สามารถใส่คาคน้ ได้มากกวา่ 1 คา - สามารถเลอื กรปู แบบการผสมคาได้ เชน่ และ, หรือ, ไม่ และ ใกลเ้ คียง · และ คือ ผลการสบื คน้ ทีป่ รากฏจะต้องมคี าสบื ค้นท้ังหมดทกุ คาสบื ค้น ·หรือ คือ ผลการสบื ค้นท่ปี รากฏจะต้องมีคาสืบค้นท้ังหมดทุกคาสืบค้น และผลการสืบค้นท่มี ีคาสืบค้นคา ใดคาหนง่ึ ·ไม่ คือ ผลการสืบคน้ ทปี่ รากฏจะต้องมคี าสืบค้นคาแรกแต่จะต้องไมม่ ีคาสืบคน้ ที2่ ·ใกล้เคียง คอื ผลการสบื คน้ ท่ีปรากฏจะต้องมคี าสืบคน้ คาแรกภายในคาคาสบื ค้นท่ี 2 -เลอื กฐานข้อมูลที่ต้องการสืบคน้ โดยคลิกทช่ี ่อง หรือ คลกิ ทั้งหมด เพอ่ื เลือกสืบค้นทุก ฐานข้อมูลพรอ้ มกนั

11 การสบื คน้ แบบคาสาคัญรายการหลักเปน็ ลักษณะการสบื ค้นที่จะสืบค้นจาก รายการควบคุมรายการหลัก ซึง่ ไดแ้ ก่ ชื่อผู้แต่ง ชื่อเรื่อง และหัวเรอื่ ง โดยเราสามารถที่จะจากดั การสบื ค้นได้ด้วยการใช้ และ,หรือ,ไม่,ใกล้เคียงรูปแบบ ของคาคน้ ทกุ คา,คาหรือวลี,ตรงคา การสบื คน้ - คลกิ เลอื กการสืบค้นแบบเชย่ี วชาญ - เลอื กฐานขอ้ มลู - พมิ พ์คาค้นในชอ่ งว่าง · ตอ้ งการสบื คน้ โดยผู้แต่ง พิมพ์ a: · ตอ้ งการสืบคน้ โดยหัวเรือ่ ง พมิ พ์ s: · ตอ้ งการสืบคน้ โดยช่อื เรอ่ื ง พมิ พ์ t: - คลกิ สืบค้น เพอ่ื สืบคน้ รายการน้นั การสืบค้นแบบหลายฐานขอ้ มูล การสบื คน้ แบบ หลายฐานขอ้ มูล เป็นการสืบค้นจากหลายฐานขอ้ มูล ในเวลาเดยี วกัน ขัน้ ตอนการสืบค้น - เข้าส่หู นา้ จอการสืบคน้ และเลือกลกั ษณะการสบื ค้นแบบคาสาคญั รายการหลัก ในหน้าจอการสืบค้น - เลือกประเภทของคาสืบค้นท่ีช่อง ในหน้าจอการสืบค้นแบบคาสาคัญรายการหลัก โดยการกาหนดค่า ไดแ้ ก่ ชื่อเรื่อง,หัวเรื่องรายการหลกั ,หัวเร่อื งรายการหลกั LC(Library of Congress Subject),ผูแ้ ตง่ - เลอื กลักษณะคาสืบคน้ จาก รปู แบบข้อมลู ซึ่งได้แก่ · ทุกคา คือ ผลการสืบค้นจะต้องปรากฏคาสบื คน้ นนั้ ๆในสว่ นใดของผลการสืบคน้ กไ็ ด้ · คาหรือวลี คือ ผลการสืบค้นจะต้องปรากฏคาสืบค้นน้ันๆ โดยคาสืบค้นจะต้องอยู่ติดกันหรือเป็นวลี เดยี วกันเทา่ นน้ั · ตรงคา คือ ผลการสืบค้นจะต้องปรากฏคาสืบค้นน้ันๆ โดยคาสืบค้นจะปรากฏอยู่ส่วนต้นของผลการ สืบค้นเทา่ น้ัน - เลอื กคาเชือ่ มคาสบื ค้น โดยจะมคี วามหมายในการสบื ค้นตา่ งกันดังน้ี · และ คือ ผลการสบื คน้ ที่ปรากฏจะตอ้ งมีคาสืบคน้ ทัง้ หมดทุกคาสืบคน้ ·หรือ คือ ผลการสบื ค้นทป่ี รากฏจะต้องมีคาสืบค้นทัง้ หมดทุกคาสืบค้น และผลการสบื ค้นท่มี ีคาสบื ค้นคา ใดคาหน่ึง · ไม่ คอื ผลการสบื ค้นท่ปี รากฏจะตอ้ งมีคาสืบคน้ คาแรกแต่จะต้องไมม่ คี าสืบค้นที2่ · ใกลเ้ คยี ง คือ ผลการสบื คน้ ทป่ี รากฏจะต้องมีคาสบื ค้นคาแรกภายในคาคาสบื ค้นท่ี 2 - ใสค่ าสืบคน้ ใน คาหรือวลี และในการสร้างคาสืบค้นสามารถใช้ ฐานข้อมูลได้อกี ด้วย และสามารถกาหนด หนงั สอื /วารสาร/โสตหรือดรรชนีวารสาร ได้ จากนน้ั คลกิ ป่มุ สืบคน้ เพื่อทาการสืบคน้

12 การเตรยี มการคน้ คืนสารสนเทศ การเข้าถึง(Access)เป็นวิธีการที่ผู้ใช้สามารถค้น ค้นหา ค้นคืน และได้รับสารสนเทศ ท่ีเข้าถึงเป็น ทรพั ยากรสารสนเทศท่ีสถาบนั บริการสารสนเทศและแหล่งตา่ งๆ จัดเกบ็ ไว้บริการผ้ใู ช้ การค้นหา(Searching)เป็นการป้อนคาสง่ั โดยผคู้ ้นเตรยี มประโยคหรือคาค้นไว้ และปฏิสัมพันธ์กบั ระบบ ค้นคนื และพจิ ารณาผลที่ได้รับ ซ่ึงเปน็ ขน้ั ตอนในกระบวนการคน้ หา การค้นคืน (Retrieval)หมายถึง การได้รับสงิ่ ตอ้ งการกลบั คืนมาการค้นคืนสารสนเทศ จึงเปน็ การกระทา ใดๆที่คัดเลือกสารสนเทศจากแหลง่ เก็บเพื่อทาให้ได้รับสารสนเทศตามทต่ี ้องการซ่ึงอาจเป็นข้อมูล หรือรายการ เอกสาร ท่มี ีเนอ้ื หาทีต่ อ้ งการ หลักสาคัญของการค้นคืนสารสนเทศคือ การค้นหาและนาสารสนเทศที่ตรงตามความต้องการ ส่งให้ผู้ใช้อย่าง รวดเร็ว ทันกาล จึงเรยี กว่า ระบบการค้นคนื สารสนเทศ เชน่ บัตรรายการ สิ่งพมิ พ์ดรรชนี เปน็ ตน้ สรุป การจดั เกบ็ และค้นคนื สารสนเทศ คือ กระบวนการในการรวบรวมรายละเอียดของสารสนเทศและทรัพยากร สารสนเทศท่ีตอ้ งการกลบั คนื มาได้สะดวกและรวดเร็ว ดว้ ยวธิ ีและเทคนิกอยา่ งเป็นข้นั ตอน การเตรียมการในการคน้ คนื สารสนเทศ มีขนั้ ตอนในการปฏิบตั ิ ดงั นี้ 1.การเตรยี มรายละเอียดข้อมลู ทีต่ อ้ งการ WHO หมายถงึ เรื่องราวที่กาลังตอ้ งการคน้ หาเกย่ี วกบั ใคร ได้มกี ารปรกึ ษาบุคคลอนื่ กอ่ นหรอื ไม่และมีการพูดคุยกบั กล่มุ หรอื บคุ คลเป้าหมายใดบ้าง WHAT หมายถึง ต้องการสนเมศอะไรบ้างหรือประเภทใดบ้างที่ต้องการการคาดว่าทรัพยากรสารสนเทศ ใดมีประโยชน์สูงสุดต่อการค้นหา มีการตรวจสอบทรัพยากรท่ีมีอยู่ เพื่อย่นระยะเวลาในการค้นหาและรูปแบบ สารสนเทศท่ีตอ้ งการเปน็ อย่างไร WHERE หมายถึง ข้อมูลท่ีต้องการค้นหาเกิดข้ึนที่ไหน สามารถค้นพบได้แหล่งใด และในอนาคตจะ สามารถคน้ หาสารสนเทศทีต่ ้องการได้จากทไ่ี หน WHY หมายถึง จะต้องการสารสนเทศมากน้อยแค่ไหน จะนาทรัพยากรสารสนเทศท่ีรวบรวมมาได้มา สงั เคราะห์อย่างไร มีงบประมาณเท่าไร เพยี งพอ หรือไมท่ จ่ี ะสืบคน้ วธิ กี ารคน้ หาขอ้ มูลมี 2 แบบ ทั้งแบบ ออนไลน์ และแบบออฟไลน์ จะขอความช่วยเหลืออยา่ งไรถ้าเกิดปัญหา และการอา้ งองิ ทาอยา่ งไร 2.พจิ ารณาเลอื กฐานขอ้ มูลโดยให้คานึงถงึ -ขอบเขตเนือ้ หาสาระของสารสนเทศในฐานขอ้ มลู -ระยะเวลาของส่ารสนเทศทบ่ี ันทึกอยู่ในฐานข้อมูล -ราคาคา่ ใช้จา่ ยทตี่ อ้ งการสบื คน้ ฐานข้อมูล -ภาษาของสารสนเทศ

13 -จานวนสารสนเทศที่มีอยแู่ ละการเพิ่มขนึ้ ของขอ้ มูล -ลักษณะของสารสนเทศทใ่ี หเ้ ปน็ สารสงั เขป หรอื ข้อมลู เต็บรูป -บรกิ ารอานวยความสะดวกแกผ่ ู้ใช้ เชน่ การพิมพผ์ ลการสบื ค้น หรอื การสง่ ข้อมลู ผา่ น E-Mail การดาเนินการเก่ยี วกับข้อมูลสารสนเทศ การเก็บรวบรวมข้อมลู เป็นข้ันตอนหนึง่ ของกระบวนการทางสถิติทีม่ ีความสาคัญ เพอื่ ให้ได้มาซ่ึงข้อมูลที่ ตอบสนองวัตถุประสงค์ และสอดคลอ้ งกับกรอบแนวความคิด สมมุติฐาน เทคนิคการวัด และการวิเคราะห์ขอ้ มลู ซึ่งหมายรวมท้ัง การเก็บข้อมูล (Data Collection) คือ การเก็บข้อมูลขึ้นมาใหม่ และการรวบรวมข้อมูล (Data Compilation) ซึ่งหมายถึง การนาเอาข้อมูลต่างๆที่ผู้อื่นได้เก็บไว้แล้ว หรือรายงานไว้ในเอกสารต่างๆ มา ทาการศึกษาวเิ คราะหต์ อ่ การตรวจสอบข้อมลู เมือ่ เกบ็ รวบรวมข้อมลู ไดแ้ ล้ว จาเป็นต้องตรวจสอบความถูกตอ้ งของขอ้ มลู และมกี าร ตรวจทานหรือแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้อง ข้อมูลที่จัดเก็บต้องถูกต้องและเช่ือถือได้เพราะหากข้อมูลไม่น่าเชื่อถือแล้ว สารสนเทศที่ไดจ้ ากข้อมูลนั้นกไ็ มน่ ่าเชื่อถอื ด้วย การรวบรวมเป็นแฟม้ ข้อมูลการเก็บรวบรวมข้อมูลไว้เป็นแฟ้มข้อมลู น้ัน เป็นขั้นตอนทส่ี าคัญข้ันตอนหน่งึ การไปสารวจข้อมลู ไมว่ ่าในเรอื่ งอะไรสว่ นใหญจ่ ะรวบรวมข้อมลู มาหลายเรอ่ื ง จาเป็นต้องแบ่งแยกขอ้ มูลออกเปน็ กลุ่มเป็นเรื่องไวเ้ ปน็ แฟ้มขอ้ มลู เพ่ือให้การดาเนินการในขนั้ ตอนตอ่ ไปจะได้สะดวกและรวดเร็วขนึ้ การจัดเรียงข้อมูลข้อมูลที่เก็บไว้เป็นแฟ้มควรมีการจัดเรียงลาดับข้อมูล เพ่ือสะดวกต่อการค้นหาหรือ อ้างอิงในภายหลงั การจัดเรียงข้อมูลเปน็ วิธกี ารประมวลผลข้อมลู ใหเ้ ปน็ สารสนเทศวธิ ีหนึง่ การคานวณขอ้ มลู ท่ีจดั เกบ็ มีท้ังข้อมูลที่เป็นตวั อกั ษร ข้อความ และตัวเลข ดังนนั้ อาจมีความจาเปน็ ในการ คานวณจานวนที่ได้มาจากข้อมูล เชน่ หาคา่ เฉลี่ย หาผลรวม การทารายงานการสรุปทารายงานให้ตรงกับความต้องการของการใช้งาน จะทาให้การใช้สารสนเทศมี ประสิทธิภาพและรวดเรว็ ข้ึน เพราะการทารายงานเปน็ วิธีการท่ีจะจัดรูปแบบข้อมูลให้เปน็ สารสนเทศตามความ ต้องการ การจัดเก็บข้อมูลที่มีการสารวจหรือรวบรวมมา และมีการประมวลผลให้เป็นสารสนเทศ จาเป็นต้อง ดาเนินการจัดเก็บเอาไวเ้ พ่อื ใช้ในภายหลงั การจดั เก็บสมยั ใหม่มักเปลีย่ นข้อมูลใหอ้ ยใู่ นรปู แบบทีส่ ามารถจัดเกบ็ ใน สอื่ อเิ ลก็ ทรอนิกส์ เชน่ แผ่นบนั ทึกหรอื ซีดีรอม การทาสาเนาหากตอ้ งการใชข้ ้อมูลก็สามารถคัดลอกหรอื ทาสาเนาขึ้นใหม่ได้ การคัดลอกข้อมูลด้วยระบบ ทางคอมพิวเตอร์ทาไดง้ ่ายและรวดเร็ว การแจกจ่ายและการส่อื สารข้อมูลเมื่อต้องการแจกจ่ายข้อมูลใหผ้ อู้ ื่นใช้ สามารถกระทาการแจกจ่ายได้ โดยงา่ ย เทคโนโลยสี ่อื สารสมัยใหม่ทาให้จัดสง่ ข้อมลู ได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างย่งิ อินเทอรเ์ น็ตเป็นสอื่ ท่ีช่วย

14 ให้การเผยแพรท่ าได้กว้างขวางมากขึ้นนาเสนอและส่อื สารขอ้ มูลสารสนเทศในงานอาชพี โดยประยกุ ต์ใช้โปรแกรม สาเร็จรูป การประยุกต์ใชโ้ ปรแกรมสาเรจ็ รูปในการนาเสนอ และส่ือสารขอ้ มูลสารสนเทศตามลกั ษณะงานอาชพี 1 ความหมายของการนาเสนอและสื่อสารข้อมลู สารสนเทศ การนาเสนอขอ้ มูล Presentai tion หมายถึง การส่ือสารเพ่อื เสนอขอ้ มูล ความรู้ ความคิดเหน็ หรอื ความตอ้ งการ ไปสู่ผู้ฟงั ผฟู้ งั โดยใชเ้ ทคนิคหรือวิธีการต่างๆ ฉันจะทาใหบ้ รรลุผลสาเร็จตามจุดหมายของการนาเสนอ 2 จุดมุ่งหมายในการนาเสนอและส่ือสารข้อมูลสารสนเทศการประยุกต์ใช้โปรแกรมสาเร็จรูปในการ นาเสนอและสื่อสารข้อมลู สารสนเทศตามลกั ษณะงานอาชพี มจี ุดมงุ่ หมายในการนาเสนอ ดงั น้ี 2.1 เพอื่ ใหผ้ ูช้ ม ผฟู้ งั เขา้ ใจในสาระสาคญั ของการนาเสนอขอ้ มลู สารสนเทศ 2.2 ให้ผู้ชม ผูฟ้ ังเกดิ ความประทบั ใจและนาไปสู่ความเช่ือถือในขอ้ มลู สารสนเทศทีน่ าเสนอ 3 หลกั การพ้ืนฐานของการนาเสนอและส่อื สารขอ้ มลู สารสนเทศ การพ้นื ฐานของการนาเสนอผลงาน มีจดุ เน้นสาคญั ดงั นี้ 3.1 การดึงดูดความสนใจ โดยการออกแบบให้ส่ิงท่ีปรากฏต่อสายตานั้นชวนมอง และมีความสบายตา สบายใจข้ึนเพื่อชมการนาเสนอ ดงั นัน้ การเลอื กกลมุ่ ประกอบตา่ งๆ เชน่ สีพื้น แบบ สี แบบขนาดของตวั อักษร รปู ประกอบต้องเหมาะสมและสวยงาม 3.2 ความชดั เจนและความกระชบั ของเน้อื หา สว่ นทเ่ี ป็นขอ้ ความตอ้ งสั้นแต่ได้ใจความชัดเจน ส่วนท่เี ป็น ภาพประกอบต้องมีความสัมพันธ์อย่างสร้างสรรค์กับข้อความท่ีต้องการสื่อความหมาย การใช้ภาพประกอบ มี ประโยชน์มาก ดังคาพงั เพยภาษาองั กฤษท่วี ่า “A picture is worth a thousand words” หรือ “ ภาพภาคหนึ่ง นน้ั มีค่าเทียบเท่ากบั คาพูดหนง่ึ พันคา” แต่ประโยคน้คี งไมเ่ ปน็ จริงหากภาพนนั้ ไมม่ ีความสมั พันธอ์ ย่างสรา้ งสรรคก์ บั ความหมายที่ต้องการส่อื ดังนน้ั กอ่ นที่จะตดั สินใจใชภ้ าพใดประกอบ จึงควรตอบคาถามให้ไดเ้ สียก่อนว่าตอ้ งการใช้ ภาพเพ่อื สือ่ ความหมายอะไร และภาพทเ่ี ลอื กมาน้ัน สามารถทาหน้าทส่ี อ่ื ความหมายเช่นนั้นจรงิ หรอื ไม่ 3.3 ความเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย การสร้างจุดเน้นตามข้อ 1 และข้อ 2 ข้างต้นต้องคานึงถึง กลุม่ เปา้ หมายด้วย เชน่ กลุ่มเป้าหมายเป็นเดก็ การใชส้ ีสดๆ ภาพการ์ตูนมีความเหมาะสม แต่ถา้ กลุ่มเป้าหมายเปน็ ผู้ใหญ่และเนื้อหาทีน่ าเสนอเป็นเรอ่ื งวิชาการหรือธุรกจิ การใช้สีสนั มากเกนิ ไปและการใช้รปู การต์ นู อาจทาให้ดูไม่ น่าเชือ่ ถอื เพราะขาดภาพลักษณ์ของการเอาจริงเอาจงั ไป 3.4 หลกั การเลอื กใชโ้ ปรแกรมสาเรจ็ รูปเพ่อื การนาเสนอและสอื่ สารข้อมลู สารสนเทศ หลกั การเลือกใช้โปรแกรม และหลกั การนาเสนอและส่ือสารข้อมูลสารสนเทศ โดยใช้โปรแกรมดังนี้

15 1 ความเข้าใจกับงานที่ตอ้ งการนาเสนอก่อนการเลอื กระบบสารสนเทศมาใช้ในการนาเสนองานนั้น ต้อง เข้าใจถึงลักษณะงานท่ีต้องการนาเสนอก่อนว่าเปน็ งานลักษณะใด เช่น เป็นข้อความ หรือมีการคานวณหรอื เปน็ งานทีเ่ กี่ยวกบั การคน้ การเกบ็ รกั ษาขอ้ มลู เพอื่ เป็นแนวทางในการเลอื กระบบสารสนเทศท่เี หมาะสมกบั งานน้ันๆ 2 เลือกโปรแกรมสาเร็จรูปมาใช้เพ่ือทราบลักษณะของงานท่ีต้องการนาเสนอแล้ว จะเลือกระบบ สารสนเทศที่เหมาะสมกับการนาเสนองานน้ัน งานบางอย่างอาจใช้ระบบสารสนเทศในการนาเสนอไดห้ ลายอย่าง อาจตอ้ งเลือกว่าจะใช้ระบบใด ผ้ใู ช้ตอ้ งมีความเขา้ ใจในความสามารถของระบบนนั้ โดยเฉพาะในสว่ นของโปรแกรม ว่าแต่ละโปรแกรมมคี วามสามารถใดบ้าง เราอาจจะต้องทาการประเมินว่าโปรแกรมใดมีความเหมาะสมเพียงใด แล้วจงึ เรยี กโปรแกรมทเี่ หน็ วา่ เหมาะสมท่ีสดุ 3 จัดหาเครอ่ื งมอื ตามความตอ้ งการของโปรแกรม โปรแกรมแต่ละโปรแกรมมคี วามสามารถไมเ่ หมือนกัน ขนาดของโปรแกรมกไ็ ม่เทา่ กัน ทาใหค้ วามตอ้ งการของฮาร์ดแวร์ในการทางานตามโปรแกรมนั้นแตกตา่ งกนั ในคมู่ อื การใช้งานโปรแกรมหรอื ซอฟต์แวรน์ ั้น จะบอกขอ้ กาหนดของฮาร์ดแวร์ทีต่ ้องการสาหรับการใช้งานไว้ว่าจะต้องมี ส่วนประกอบอะไรบ้าง จะต้องจัดหาฮาร์ดแวร์ให้ได้ตามข้อกาหนดน้ันให้สามารถใช้งานซอฟต์แวร์ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ สาหรับระบบโปรแกรมสาเร็จรูปที่ใช้กับไมโครคอมพิวเตอร์นั้น ส่วนใหญ่สามารถนามาใช้กับ ไมโครคอมพิวเตอร์มาตรฐานท่ีขายทั่วไปได้เลย ยกเว้นอปุ กรณป์ ระเภทเครือ่ งพิมพเ์ ลอื กตามความต้องการว่าเป็น เครื่องจีนสีขาว/ดา หรือหลายสี จอภาพจะใช้ขนาดใหญ่กี่น้ิว หรือฮาร์ดดิสก์ที่อาจต้องดูขนาดความต้องการว่า ซอฟต์แวร์ขนาดเท่าใด และฮาร์ดดิสกจ์ ะพอใช้หรอื ไม่ เพราะในไมโครคอมพิวเตอรห์ น่งึ เครือ่ ง นั้นเรามกั จะบรรจุ โปรแกรมหรือซอฟตแ์ วรไ์ วห้ ลายชนิด และปริมาณแฟ้มข้อมูลทม่ี อี ยูเ่ ดมิ อาจมากจนกระทัง่ พ้ืนทที่ เี่ หลอื ไม่เพยี งพอ ตอ่ การใช้งานโปรแกรมสาเร็จรปู ใหมน่ ั้น 4 การใช้งานโปรแกรมในการใชง้ านน้นั นอกจากผ้ชู ายจะตอ้ งทาความเข้าใจการทางานของฮารด์ แวรว์ า่ ใช้ งานอย่างไรแลว้ รายละเอยี ดการใช้งานซอฟต์แวร์ กเ็ ป็นส่งิ สาคัญท่ผี ใู้ ช้จะตอ้ งทาความเข้าใจให้ชัดเจนก่อนการใช้ งาน สว่ นใหญ่จะศึกษาจากคมู่ อื ของโปรแกรมสาเร็จรปู นั้นเพ่ือความเข้าใจในความสามารถกอ่ น ปกติแลว้ คูม่ ือการ ใช้งานมาจากเจ้าของผู้ผลิตซอฟต์แวร์ ซ่ึงมักจะอธิบายถึงความสามารถตามฟังก์ชันท่ีมีอยู่ แต่มักจะไม่ค่อยมี ตวั อย่างการประยุกต์ใช้ผู้ใช้ต้องทดลองเองจงึ ได้มีผู้ทม่ี คี วามรู้ความสามารถในโปรแกรมนนั้ ๆ ทาคูม่ อื การใช้งานใน ลักษณะการประยกุ ต์ มีตัวอย่างของงานแสดงให้เห็น ทาใหส้ ามารถเรียนรไู้ ดอ้ ยา่ งเร็วขึ้นและในปจั จุบนั น้มี ีการทา คมู่ อื การใชง้ าน ในรูปของส่อื คอมพวิ เตอรท์ ีเ่ ข้าใจไดง้ ่ายยิ่งขึ้น เชน่ ทาเปน็ ซดี กี ารใช้งาน เปน็ ต้น ฉะน้นั ผู้ใช้งานท่ี ยังไม่มีประสบการณจ์ ึงควรเรยี นรจู้ ากคู่มอื การใชง้ าน ทาความเขา้ ใจใหช้ ัดเจนกอ่ น แล้วจึงลงมอื ปฏิบตั ดิ ้วยตนเอง 5 รปู แบบการนาเสนอและสื่อสารขอ้ มลู สารสนเทศโดยใชค้ อมพิวเตอร์ รปู แบบการนาเสนอข้อมูลโดยใชค้ อมพวิ เตอร์ปัจจบุ ันท่นี ิยมใช้กันมี 3 แบบคอื 1 การนาเสนอแบบ Web Page รูปแบบการนาเสนอทใี่ ช้บนอินเตอรเ์ นต็ การนาเสนอแบบนี้สามารถสรา้ ง การเชอื่ มโยงทีส่ ลบั ซบั ซอ้ นระหว่างส่วนตา่ งๆ ตลอดส่วนสามารถสรา้ งการเชื่อมโยงเอกสารทต่ี ่างรูปแบบน้นั ได้ เรา

16 ต้องใช้เวลาในการจัดทามากกว่าผู้จดั ทาต้องมคี วามรู้ความชานาญในโปรแกรมท่ีใช้สร้างเว็บเพจ และโปรแกรมท่ี นยิ มใช้มากท่ีสุดคือ โปรแกรม adobe dream weaver 2 การนาเสนอแบบ Slide Presentation เป็นการนาเสนอโดยใช้โปรแกรมนาเสนอ ซึง่ เปน็ โปรแกรมที่ใช้งานง่ายมาก มรี ปู แบบการนาเสนอให้เลอื กใชห้ ลาย แบบ สามารถเรียกใช้ตาราง แผนภูมิ หรือรูปภาพประกอบ และตกแต่งด้วยสีสัน สีพืน้ สีของอักษร รูปแบบของ ฟอนตข์ องตัวอักษรไดง้ ่ายและสะดวก ในปัจจุบันสือ่ นาเสนอรปู แบบ Slide Presentation หิรืสไลด์ ดิจิทลั มกั จะ สร้างด้วยโปรแกรมในกลุ่ม Presentation เช่น microsoft powerpoint , OfficeTLE lm press เทคนิคการ ออกแบบสื่อนาเสนอ สือ่ นาเสนอท่ีดี ควรมีความโดดเดน่ น่าสนใจ จะเนน้ ความคดิ “หน่ึงสไลดต์ อ่ หน่ึงความคดิ ” มกี ารสรุปประเด็น มสี าระสาคญั โดยมีแนวทาง 3 ประการในการออกแบบ ได้แก่ 1 สื่อความหมายได้รวดเร็ว สื่อนาเสนอท่ดี ีต้องสามารถสอื่ ความหมายใหผ้ ฟู้ ัง ผู้ชมได้อย่างรวดเร็ว การ ออกแบบสนี าเสนอในประเดน็ คอู่ อกแบบจะตอ้ งกล่มุ เป้าหมาย เนอ้ื หาสาระทตี่ ้องการนาเสนอ สถานที่และเวลาท่ี ต้องการนาเสนอเพื่อการออกแบบส่ือ เช่น กลุ่มเป้าหมายขนาดเล็ก ส่ือควรให้ความสาคัญกับผู้ฟังมากกวา่ เน้ือหา สามารถนาเทคนคิ หรอื Effect ตา่ งๆ โปรแกรมสร้างสื่อมาใชไ้ ด้อยา่ งเต็มท่ี กลุ่มเป้าหมายทมี่ ีลักษณะโตต้ อบ เช่น การนาเสนอทางวิชาการ การบรรยาย หรือการฝึกอบรม ส่ือนาเสนอควรให้ความสา คัญกับเนื้อหา รวมท้ังยัง สามารถนาเทคนิคหรือ Effect ต่างๆโปรแกรมสร้างส่ือมาใช้ได้อย่างเต็มที่เช่นกัน กลุ่มเป้าหมายเฉพาะกิจ เช่น ผู้บริหาร นักวิชาการ ส่ือนาเสนอจะต้องใหค้ วามสาคัญกบั เนื้อหาและผู้นาเสนอเปน็ สาคัญเน้ือหาความมุ่งเฉพาะ เป้าหมายของการนาเสนอ ดังน้ัน ส่ือนาเสนอไม่ควรเนน้ Effect แต่ควรให้ความสาคญั กบั ขนาดอักษร สีตัวอกั ษร และลักษณะของพ้นื สไลด์ 2 เนอ้ื หาเป็นลาดบั สือ่ นาเสนอทดี่ ีควรมีการจัดลาดับเน้ือหาเปน็ ลาดับ มรี ะเบียบ ดงู ่าย ไม่ซบั ซ้อนสิ่งทจี่ ะ ชว่ ยให้การออกแบบสอ่ื นาเสนอทีต่ ้องการจดั ลาดบั เน้ือหาใหเ้ ป็นระเบียบและดูง่าย คือ 2.1 รูปแบบเน้ือหา ส่ือนาเสนอแต่ละสไลด์ ควรหลีกเล่ียงการนาเสนอแบบย่อหน้า หากไม่ สามารถหลกี เล่ยี งได้ ควรใช้เทคนิคการเน้นแนวคิดหลกั ในแต่ละย่อหน้าด้วยสที ี่โดดเด่น เช่น พ้ืนหลงั สี ขาว ตัวอกั ษรสดี า ควรเนน้ แนวคดิ หลกั ดว้ ยสีแดง เป็นต้น แตล่ ะสไลดเ์ น้ือหาไมค่ วรเกนิ 6-8 บรรทดั ควร สรุปเน้ือหาใหเ้ ปน็ หัวเรอ่ื งและหวั ข้อหรอื แนวคิดหลกั 2.2 แบบอักษรการควบคุมการแสดงข้อความในแต่ละสไลด์ ควรให้ความสาคัญของขนาด ตวั อักษรดังน้ี หวั ขอ้ ใหญ่กาหนดขนาดอักษรใหญก่ ว่าหัวขอ้ ยอ่ ย เลอื กใชแ้ บบอกั ษรทเี่ หมาะสม เปลยี่ นลกั ษณะของตัวอกั ษรน้นั ใช้ตัวหนาในขอ้ ความท่ีต้องการเนน้ ใช้ชอ่ งว่างในการจัดกลุม่ ของเน้ือหา

17 ข้อความท่ีต้องการใหอ้ า่ นก่อน ควรจัดไว้ทีต่ าแหน่งมุมซา้ ยบนของหน้า พมิ พ์ตวั อกั ษรลงกรอบที่วางแบบไวแ้ ล้ว เลน่ หวั ขอ้ กอ่ นแลว้ จงึ อธบิ ายอยา่ งละเอยี ด ใชส้ ที ีแ่ ตกต่างกนั หรอื ตัวอกั ษรสสี ลบั กัน 3 ส่ือนาเสนอต้องระบุสายตาและน่าสนใจ ส่ือนาเสนอที่ดีน้ันจะต้องมีจุดเด่นน่าสนใจ สามารถดึงดูด สายตาของผดู้ ู ผู้ฟังได้ ซึ่งจุดเด่นน้ีได้มาจากขนาดของตัวอกั ษรท่ีใหญ่ หรือจากการใช้สีท่ีแตกต่างออกไป รวมถึง การเลือกใช้ภาพ การใช้สี และการใช้ Effect ควบคมุ การนาเสนอทีเ่ หมาะสมประกอบการนาเสนอ 3.1 การใช้ภาพ เนื่องจากภาพจะชว่ ยใหผ้ ูฟ้ ัง ผ้ชู ม สามารถจดจาไดน้ านกวา่ ตัวอักษร ดังน้นั การ แปลเนื้อหาใหเ้ ปน็ รูปภาพหรือผงั ภาพก็เปน็ เทคนคิ หนึ่งที่สามารถสร้างความน่าสนใจใหก้ ับส่อื ที่นาเสนอ การเลอื กใช้ภาพกค็ วรเลือกใชภ้ าพทมี่ ลี ักษณะที่เหมาะสมกนั และกัน คือถา้ ในสไลดน์ ั้นเลอื กใช้ภาพถ่ายก็ ควรใช้ภาพถ่ายกับ ภาพทุกภาพในสไลด์ แต่ถ้าเลือกใช้ภาพวาด ก็ควรใช้ภาพวาดทั้งสไลด์เช่นกัน ดังนัน้ จึงไม่ควรใช้ภาพวาดผสมกับภาพถ่าย ใส่เทคนิคทน่ี ่าสนใจให้กบั ภาพเพอ่ื สร้างจุดเด่น การเอียงภาพ การ เว้นช่องว่างระหว่างภาพ การเปลี่ยนสีภาพให้แตกต่างจากปกติ ควรระวังการเลือกใช้ภาพเป็นพน้ื หลัง สไลด์ เพราะอาจจะทาใหผ้ ้ชู มสนใจพ้ืนสไลด์มากกว่านี้หาที่ตอ้ งการนาเสนอ หรืออาจทาใหผ้ ูช้ มไม่สนใจ มองสไลดเ์ ลยก็ได้ เรื่องจากภาพทาใหต้ วั อกั ษรไมโ่ ดดเด่น ไม่นา่ มองหรอื อาจยาก 3.2 การใชส้ ี การเลือกใช้สี ควรเลือกใชส้ ที ่ตี ดั กนั ระหว่างสตี วั อักษร สวี ัตถุและสพี นื้ เชน่ เลอื กใช้ พื้นสไลด์สขี าวหรือสอี อ่ นๆ สีตัวอักษรก็ไม่ควรจะเป็นสีดา สีน้าเงนิ เขม้ หรอื สแี ดงเลอื ดหมู กรณีเลอื กใชส้ ี ในโทนร้อน เช่น สีแดงสด สีเหลืองสด สีเขียวสด สีวัตถุ สีแท่งกราฟหรือสีของตาราง ก็ควรเ ลือกใช้ให้ เหมาะสมกับสีตัวอักษร และสีพนื้ ด้วยการเลือกใช้สใี ดๆ ก็ควรเป็นสีในชุดเดียวกันสาหรบั สไลด์ทั้งหมด ไมค่ วรใช้หน่ึงสีสไลด์ 3.3 การใช้ Effect ควบคุมการนาเสนอ ไม่ควรใส่ Effect มากเกินไป เพราะจะส่งผลให้ผูฟ้ ัง ผู้ชม สนใจ Effect มากกว่าเนื้อหาทน่ี าเสนอ หรืออาจไมส่ นใจการนาเสนอเลยก็ได้ และ Effect พี่มากน้ี จะเป็นการรบกวนการจดจา การอ่านหรอื การชม เลอื กใช้ Effect ไมค่ วรเกิน 3 แบบ แบบในแต่ละสไลด์ ควรเลือกใช้ Effect แสดงข้อความเลื่อนจากขอบซ้ายมาขอบขวาของจอ ธรรมชาติการอ่านของคนไทย อา่ นข้อความจากบนลงลา่ งและอา่ นจากด้านซ้ายไปด้านขวา 3 การนาเสนอในรูปแบบเอกสาร เรื่องการนาเสนอน้ีจะมีหลายรูปแบบด้วยกัน คือ ใช้โปรแกรม microsoft word, microsoft excel และ microsoft powerpoint ข้นึ อยูก่ ับลักษณะการนาเสนอแบบใดที่จะ สะดวกและเข้าใจงา่ ย หรือเหมาะสมกบั สถานการณ์นน้ั ๆ ทั้งนี้สามารถท่ีจะนาโปรแกรมดงั กล่าวมาประยุกต์ใชใ้ น การนาเสนอและสื่อสารขอ้ มลู ตามลักษณะงานอาชพี ได้เป็นอย่างดแี ละมปี ระสทิ ธภิ าพ

18 6 อุปกรณด์ จิ ิทัลทชี่ ว่ ยในการนาเสนอผลงาน อปุ กรณ์ดจิ ิทลั ทส่ี ามารถถา่ ยทอดภาพและเสยี งในงานนาเสนอหา เพ่ือให้งานนาเสนอมคี ณุ ภาพ ผูช้ มและ ผ้ฟู ังได้อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ มดี งั น้ี EB-X14_600.jpg 1 โปรเจกเตอร์ เป็นอุปกรณ์ถ่ายภาพท่ีใช้ในการนาเสนอ โดยสามารถรองรับสัญญาณจาก คอมพิวเตอร์ เครื่องเล่น vcd เครื่องเล่น dvd และเครื่องกาหนดภาพอื่นๆ แล้วแสดงผล ขยายขนาดบน จอรบั ภาพช่วยใหม้ องเหน็ ได้ไกลขึ้นเพราะสาหรบั การนาเสนอขอ้ มลู ในหอ้ งประชมุ เพอื่ ให้ผเู้ ข้ารว่ มประชุมสามารถ มองเหน็ ภาพหรือข้อความไดอ้ ยา่ งชัดเจน1256574721.jpg 2 วิชวลไลเซอร์ เป็นอุปกรณ์ถ่ายภาพระบบดิจิทัลประเภทหนง่ึ ซึ่งพัฒนามาจากโอเวอร์เฮดหรอื เครือ่ ง ฉายขา้ มศีรษะ ใชแ้ สดงภาพวัตถุและเอกสารส่จู อภาพทีม่ อี ยจู่ รงิ ไดเ้ ลยโดยไมต่ ้องดัดแปลง อุปกรณน์ ี้เหมาะสาหรบั ใช้ในการนาเสนองานต่างๆ โดยเฉพาะครูหรืออาจารย์ที่สอนหนังสือ และใช้ได้ดีในการนาเสนอภาพน่ิงมากกวา่ ภาพเคลือ่ นไหว แต่ถา้ ทแ่ี สดงออกมานั้นกใ็ หค้ วามคมชัด มีสสี ดใส และมโี หมดของการแสดงภาพให้ปรบั การทางาน ด้วย การควบคมุ การทางานสามารถทาได้โดยใช้รโี มตslr-like.jpg 3 กล้องถา่ ยรปู ดจิ ทิ ลั เป็นอุปกรณ์รบั ภาพท่เี ปลี่ยนจากฟิลม์ มาเปน็ อุปกรณอ์ ิเลก็ ทรอนิกส์ ซ่ึงเมอื่ ถา่ ยรปู ท่ี ตอ้ งการแลว้ รปู จะถูกเกบ็ ลงในหนว่ ยความจา memory ทอ่ี ยใู่ นกล้อง เมือ่ ตอ้ งการดูรปู ทาได้โดยการถา่ ยข้อมูล จากหนว่ ยความจาลงบนเคร่ืองพิมพ์เคร่อื งคอมพิวเตอร์ ภาพท่ีได้จะมขี นาดที่ต้องการ สามารถยอ่ หรือขยาย ปรบั แสงหรอื เงาแลว้ แต่ความพอใจ หรอื จะเพิม่ รูปแบบกส็ ามารถทาได้ และเมื่อจะถ่ายใหม่ ก็สามารถใช้หน่วยความจา เดิมได้เลยcamcorder-hvr-HD1000P_1.jpg 4 กลอ้ งถ่ายวดี ิทัศน์ดจิ ิทลั เปน็ อุปกรณร์ ับภาพที่บนั ทึกข้อมลู ภาพน่ิง ภาพเคล่ือนไหว และเสียง เกบ็ ไวใ้ น หน่วยความจาแบบเฟลชภายในกล้อง สามารถย่อหรือขยาย ปรับแสงเงาของภาพได้ และในปัจจุบันสามารถ คดั ลอกขอ้ มลู ลงในแผน่ ซีดไี ดเ้ ลยโดยไม่ต้องโอนลงในเคร่ืองคอมพิวเตอร์ 5 คอมพิวเตอรต์ ั้งโต๊ะและคอมพิวเตอร์ขนาดสมุดบันทึกหรอื โน้ต เปน็ อปุ กรณท์ ีใ่ ชส้ รา้ งงานนาเสนอ เปน็ สื่อกลางในการเช่ือมโยงอุปกรณ์อื่นๆ เช่น โปรเจกเตอร์ เพ่ือนาเสนองาน และใช้นาเสนองานผ่านจอภาพของ คอมพวิ เตอร์cRQx9.jpg 6 เคร่ืองเล่นเสียง หรือเครื่องเล่น mp3 เป็นอุปกรณ์ซึ่งบรรจุข้อมูลเสียงที่ใช้เล่นในคอมพิวเตอร์และ สามารถถ่ายโอนข้อมูลเข้าไปในคอมพิวเตอร์ได้ โดยข้อมูลเสียงน้ันใช้เทคโนโลยีบบี อัดให้มขี นาดเล็กลงมากกวา่ ข้อมูลเสียง ปกติถึง 12 เท่า แม้ขนาดข้อมูลจะเล็กลง แต่คุณภาพเสียงไม่ได้เสยี อย่างไรก็ตาม หากเรานาข้อมลู เสียงจากเคร่อื งเลน่ mp3 ไปเล่นในเคร่ืองคอมพวิ เตอรร์ ่นุ เกา่ จบั ดา้ นเสยี งในขณะกระตกุ หรือใช้งานไม่ได้เลย images.jpg

19 7 โทรศัพท์เคล่ือนท่ีบางรุ่น เป็นอุปกรณ์ตัวกลางที่ผู้ใช้สามารถนาเสนองานท่ีสร้างด้วยโปรแกรม microsoft powerpoint ผา่ นเคร่ืองโปรเจคเตอร์ไดอ้ ย่างสะดวกงา่ ยตอ่ การติดตัง้ เพียงเชอ่ื มตอ่ โปรเจคเตอรเ์ ข้า กับโทรศัพทเ์ คลอื่ นทีผ่ า่ นสายเคเบลิ แลว้ เชื่อมต่อโทรศัพทเ์ คลือ่ นที่ดว้ ยบลูทธู นอกจากอุปกรณด์ ิจทิ ลั ท่ชี ว่ ยในการนาเสนอผลงานแล้ว ยังมีสว่ นประกอบท่สี าคญั ในการนาเสนองาน คือ คาบรรยาย บทพากย์ ซ่ึงเปน็ องคป์ ระกอบดา้ นโสตหรอื เสยี งน่นั เอง โดยมวี ิธกี ารและหลกั ในการพจิ ารณาดงั น้ี 1 การบรรยายสด เหมาะสาหรับการประชุมหรือสัมมนาที่ต้องการให้ผู้ชมมีส่วนร่วม เพราะ ผู้บรรยายในกรณีน้ีเป็นผ้ทู ่ีรเู้ รอ่ื งราวเก่ยี วกับเนื้อหาเปน็ อย่างดี รู้ว่าควรจะเน้นตรงจุดไหนหรือปฏิกริ ยิ า จากผู้ชมทาให้ผูบ้ รรยายรูว้ ่าผชู้ ม สามารถติดตามทาความเข้าใจได้เพียงพอหรอื ไม่ รู้ว่าส่วนไหนจะตอ้ ง อธิบายขยายความมากน้อยเพียงใด 2 การพากย์ เหมาะสาหรับเนือ้ หาท่สี ามารถถ่ายทอดได้โดยไมต่ ้องอาศยั มีส่วนร่วมของผู้ชม ขอ้ ดี คือสามารถเลือกใช้เสียงพากย์ท่ีมีความไพเราะน่าฟัง สามารถเลือกใช้ดนตรีเสียงประกอบ เพ่ือสร้าง บรรยากาศ แต่ข้อเสียคือ ไม่มีความยืดหยุ่น ไม่สามารถปรับให้เหมาะสมกับความรู้สึกของผู้ฟังได้ใน ขณะนัน้ 8 โปรแกรมสาเรจ็ รูปท่ใี ช้ในการนาเสนอและสอื่ สารขอ้ มลู สารสนเทศตามลกั ษณะงานอาชพี โปรแกรมสาเรจ็ รปู ทใ่ี ชใ้ นการนาเสนอและส่ือสารขอ้ มลู สารสนเทศตามลักษณะงานอาชพี มหี ลายโปรแกรมเชน่ 1 โปรแกรมประมวลผลคา (microsoft word) 2 โปรแกรมตารางคานวณ (microsoft excel) 3 โปรแกรมนาเสนอ (microsoft powerpoint ) 4 โปรแกรมฐานขอ้ มูล (microsoft access) 5 โปรแกรมการสรา้ งเวบ็ เพจ (adobe dreamweaver) 6 โปรแกรมการนาเสนอในรปู แบบส่ือประสม (adobe after effect) แต่ในทนี่ ี้จะกลา่ วถงึ เฉพาะโปรแกรมสาเร็จรูปท่ที กุ อาทติ ยส์ ามารถจะใชไ้ ด้ 1การประยุกต์ใช้โปรแกรมประมวลผลคา 2 การประยกุ ตใ์ ช้โปรแกรมตารางคานวณ 3 การประยุกตใ์ ชโ้ ปรแกรมการนาเสนอ

ค อ้างองิ https://sites.google.com/site/nattaporndeecha/home/wicha-thekhnoloyi- sarsnthes-pheux-kar-cadkar-xachiph