ชนเผา่ หยุ 回族
ประวตั แิ ละความเปน็ มา ชาวเผ่าหุยเป็นชนกลุ่มน้อยท่กี ระจัดกระจายมากท่ีสุดเผ่าหนึ่ง อาศัยอยู่กระจัดกระจายทั่วประเทศจีน แต่บริเวณท่ีมีชาวหุยรวมตัวกันอาศัยอยู่มากท่ีสุดคือบริเวณเขตปกครองตนเองเผ่าหุยเมืองหนิงเซ่ีย นอกจากนี้ในบริเวณมณฑลกานซู๋ ชิงห่าย ยูนนาน เหอเป่ย ซานตง เหอหนานก็มีชุมชนชาวหุยเล็กบ้างใหญ่บ้างอาศัยอยู่ประปรายจากการสารวจจานวนประชากรครั้งท่ี 5 ของจีนในปี 2000 ชนกลุ่มน้อยเผ่าหุยมีจานวนประชากรท้ังสิ้น 9,816,802 คน ชาวหุยอยู่ร่วมกับชาวฮ่ันมาเป็นเวลาช้านานปัจจุบันพูดภาษาฮั่น และหากอยู่ในชุมชนเผ่าอ่ืนก็จะเรียนรู้ภาษา ช่ือชนเผ่าหุยย่อมาจากช่ือเต็มว่า “หุยหุย” เป็นกลุ่มชนท่ีเกิดจากการรวมตัวกันของชนเผ่าเล็กเผ่าน้อยอาศัยอยู่ร่วมกัน มีพัฒนาการทางประวัติศาสตร์อารยธรรมร่วมกันเป็นเวลานาน และโดยเฉพาะอยา่ งยิง่ นับตงั้ แต่ศาสนาอิสลามเผยแผ่เข้าสู่ประเทศจนี เปน็ ต้นมา กลมุ่ คนเผ่าเล็กเผ่าน้อยเหล่านี้จงึ เกิดการรวมตัวกันเป็นชนเผ่าเดียวกันท่ีเด่นชัดขึ้นราวสมัยถังปี ค.ศ. 651 ศาสนาอิสลามเริ่มเผยแผ่เข้ามายังประเทศจีน พ่อค้าชาวอาหรับเปอร์เซียเดินทางเข้ามาประเทศจีนในบริเวณกว่างโจว เฉวียนโจว หางโจวหยางโจว และฉางอาน และได้ตั้งหลักปักฐานในบริเวณดังกล่าวเป็นจานวนไม่น้อย ชาวอิสลามเหล่าน้ีก่อสร้างมัสยิดในประเทศจีน ซ่ึงเป็นมัสยิดรุ่นแรกที่ก่อสร้างข้ึนในประเทศจีน และมีจานวนไม่น้อยท่ีหลังจากต้ังถ่ินฐานแล้วได้แต่งงานกับเผ่าพันธ์ุเดียวกันสร้างครอบครัวและตั้งหลักปักฐานแน่นอน จึงมีการก่อสร้างศาสนสถานอิสลามขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นมัสยิด สุสาน เป็นต้น ในขณะน้ันชาวฮั่นเรียกชนกลุ่มน้ีว่า “ฟานเค่อ” หรือ “ถู่เซิงฝานเค่อ” จนกระทั่งสมัยหยวนชนกลุ่มน้ีถูกเรียกว่า “หุยหุยฝานเค่อ” หรือ “หนานฝานหุยหุย” ต่อมารวมกับชนเผ่าเล็กน้อยอื่นๆเกิดเป็นสมาชิกส่วนสาคัญของเผ่า“หยุ ”ของเผ่าใกล้เคียง
คาเรียกชนเผ่า “หุยหุย” ปรากฏคร้ังแรกในบันทึก “เมิ่งซี” 《梦溪笔谈》ของเส่ินค่ัว และบันทึกชื่อ《黑鞑事略》 “สังเขปเฮยต๋า” ของเผิงต้าหย่า ในสมัยเป่ยซ่ง และหนานซ่ง โดยมีกล่าวถึงชนกลุ่มหุยเหอ หุยกู่ ที่เป็นอิสลามิกชน ในศตวรรษที่ 13 หัวเมืองซีเจิง ซีเหลียวในเขตมองโกลล่มสลาย ชาวหุยเหออพยพไปทางตะวันออก พร้อมๆกับชนเผ่าที่นับถือศาสนาอิสลามด้วยกัน ได้แก่ ชาวเปอร์เซียอาหรับ โดยอพยพเข้ามาต้ังถ่ินฐานในบริเวณทุ่งราบภาคกลาง ซีเป่ย เจียงหนาน ยูนนาน ประกอบอาชพี เล้ยี งสัตว์ ชา่ งงานฝมี ือ ค้าขาย นักศกึ ษา และขา้ ราชการ ชนกลุ่มน้ีถูกเรียกว่า “หุยหุย” นับเป็นชนเผ่าที่มีบทบาทและมีความสาคัญอย่างมากในสมัยหยวน จากนนั้ มาชาวหุยกใ็ ช้ชื่อ “หยุ ” เรยี กตัวเองตลอดมา
ภาษาและวฒั นธรรม ด้านภาษาและวฒั นธรรมด้วยเหตุท่ีชนเผ่าหุยตั้งแตอ่ ดตี เป็นตน้ มาก่อร่างสร้างเป็นกลุ่มข้นึ จากการรวมตัวกันของชนหลายเชอ้ื ชาติและหลายภาษาโดยมีศาสนาอสิ ลามเป็นส่ิงเช่อื มโยงดังน้ันชาวหุยจงึ ประกอบด้วยกลุม่ ชนท่ีมภี าษาพดู ทีห่ ลากหลาย ได้แก่ ชาวหยุ ท่ีอยู่ในพื้นที่ประเทศจีนมาแตโ่ บราณพดู ภาษาหุยกู่ภาษามองโกล ภาษาฮัน่ สว่ นชาวหุยทีอ่ พยพมาจากท่ีอื่นพูดภาษาเปอร์เซีย และภาษาอาหรบั แต่จากการอยู่อาศยั รวมกันกับชาวฮน่ั มีการแตง่ งานกับชาวฮั่นทาให้ภาษาและวัฒนธรรมของชาวหุยเร่ิมหลอมรวมเข้ากับวัฒนธรรมของชาวฮ่ันในท่สี ดุ มีบางกลุ่มใชภ้ าษาลกู ผสมระหวา่ งภาษาฮ่นั กบั ภาษาดั้งเดิม จนถงึ สมัยหมิงชาวหยุ ท่พี ูดกันหลายภาษาหันมาใชภ้ าษาฮ่นั เป็นภาษาสอื่ กลางระหว่างกัน มชี าวหุยบางกลมุ่ โดยเฉพาะบริเวณชายแดนยงั คงใช้ภาษาดั้งเดมิ หรือใชภ้ าษาทีเ่ ปน็ภาษาถิ่นของทอ้ งถนิ่ ที่อยนู่ ้นั ๆ ดา้ นวฒั นธรรมและวิทยาการ ชาวหยุ ไดส้ รา้ งคุณประโยชนแ์ กป่ ระเทศจีนเปน็ อยา่ งมาก นับต้งั แตส่ มยั หยวนเปน็ ตน้ มา ชาวหยุ นาความร้ดู ้านดาราศาสตร์แพทยศ์ าสตร์ วศิ วกรรมศาสตร์ คีตวิทยา เผยแพร่สู่ดินแดนประเทศจีน การประดิษฐ์เขม็ ทิศ กระดาษ แปง้ การสรา้ งเครื่องมือเกย่ี วกับดาราศาสตร์ทป่ี กั กง่ิ เช่นหอดูดาว เคร่อื งวัดตาแหน่งดวงดาว เครอ่ื งวัดบ่งทิศ เครื่องวดั เสน้ ศูนย์สูตรเครือ่ งวัดตาแหนง่ ลูกโลก ล้วนพฒั นาข้ึนมาจากความรู้ทีช่ าวหุยนาเข้ามาท้ังสิ้น ในสมยั หมิงมีการก่อตัง้ สถาบันปฏทิ ินชาวหุย นอกจากนีว้ ศิ วกรท่มี ชี อื่ เสยี งคอื เฮอ่เตียรต์ งิ เปน็ ผวู้ างรากฐานการก่อสร้างพระราชวังตา่ งๆ รวมทงั้ พระราชวงั ก้กู งก็เป็นวิศวกรชาวหยุ ท่านนี้ ในด้านการแพทย์ ชาวหยุ มีตารบั ยาและตาราการแพทย์ท่ีสาคญั อยา่ ง 《 回回药方》 “ตารบั ยาหุยหยุ ” กไ็ ดร้ ับการยอมรับและใช้มาจนถงึ ปัจจุบัน
ดา้ นวรรณคดี ด้านวรรณคดี มีบทประพันธ์อันทรงคุณค่าของปราชญ์ชาวหุยและเป็นท่ียอมรับมาจนปัจจุบัน เช่น บทประพันธ์ช่ือ 《雁门集》 “ประชุมบทเย่ียนเหมิน” บทประพันธช์ ่ือ《萨文锡逸诗》 “กลอนซ่าเหวนิ ซีอ้ี” บทประพันธ์ชอ่ื 《西湖十景词》 “ลานาทศทศั นาสายธาราซหี ู” เป็นตน้ ในสมยั หยวนมีปราชญ์ชาวหยุ ชื่อซ่านซือ จดบันทึกเรื่องราวเก่ียวกับดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์ อุทกศาสตร์ และการคานวณ ในสมัยหมิง มีปราชญ์สาขาปรัชญาชาวหุยเสนอแนวคิดเก่ียวกับการกาเนิดของสรรพส่ิงในโลกว่าเกิดจากการพัฒนาเปล่ียนแปลงอย่างเป็นข้ันตอน ด้านสังคมได้เสนอแนวคิดเกยี่ วกับทฤษฎีด้านคุณธรรม และต่อต้านระบบสังคมศักดินาต่อต้านความคิดเกี่ยวกับความเท่าเทียมของชายหญิง นับเป็นนักปรัชญาท่ีมีชือ่ เสียงคนหน่ึงในประวตั ิศาสตรก์ ารศกึ ษาของจีน
ดา้ นดว นตรี ดนตรขี องชาวหยุ ได้รบั ความนิยมมากในสมยั หยวน ถงึ ข้นั ได้รับยกยอ่ งให้เปน็ ดนตรีท่ีใช้บรรเลงในราชสานกั ดนตรหี ยุ จงึ ถอื ไดว้ า่ เป็นสว่ นหนง่ึ ของพัฒนาการดา้ นดนตรีของ จีน หนงึ่ ในแปดคีตกวีผู้ยิ่งใหญ่ในสมัยหยวนคือ หม่าจ่ิวเกา(马九皋) ก็เป็นชาวหยุ เพลงภาษาหุยที่ชื่อ《花儿》“ดอกไม้” ซ่ึงเป็นเพลงพื้นเมอื งท่ีมีช่อื เสยี ง และไดร้ บัความนิยมท่ัวไปในมณฑลกานซแู่ ละชงิ หา่ ยก็เป็นเพลงที่นามาจากท่วงทานองเพลงพื้นเมอื งของชาวหยุ ผลงานด้านจติ รกรรม ชาวหยุ มีจติ รกรที่มชี ่ือเสียงด้านการวาดภาพ ซ่ึงมชี ีวิตอย่ใู นช่วงราชวงศ์หยวน ชือ่ เกาเค่อกง(高克恭) และอีกท่านหนึง่ ที่มีชวี ิตอยูใ่ นสมัยชิงคือ กา่ ยฉี (改琦) ผลงานของจิตรกรชาวหุยทง้ั สองท่านน้ีปจั จบุ นัได้รบั ยกย่องให้เป็นมรดกด้านจติ รกรรมอันล้าค่าย่ิง
ด้านศาสนาและความเชือ่ ดา้ นศาสนาความเชื่อ ชาวหุยนบั ถอื ศาสนาอิสลาม โดยได้รบั อิทธิพลในเรือ่ งความเชอ่ื และ วัฒนธรรมเกยี่ วกับศาสนาอสิ ลามมาจากชาวอาหรับและเปอร์เซียมาแต่ครงั้ อดตี ชาวจนี ในสมัยถังและซ่งมีความรู้เก่ียวกับศาสนาน้อยมาก ชาวฮั่นจึงมองการกราบไหว้สิง่ ศักดส์ิ ิทธิ์ของชาวอสิ ลามว่าเป็นพวกไหว้ฟา้ ดิน ไหว้ผีสาง แต่ตอ่ มาในสมัยหยวน ชาวฮั่นเริ่มให้ความสนใจศาสนาอิสลามของชาวหุย โดยเรยี กศาสนาอิสลามทีช่ าวหุยนับถอื ว่า ศาสนาหุยหุย มสั ยิดอสิ ลามถกู เรยี กว่าโบสถ์หุยหยุ สถานที่ปฏบิ ัตธิ รรมทางศาสนาอสิ ลามถกู เรยี กชื่อวา่ วัดหุยหุย นกั บวชในศาสนาอิสลามก็เรียกว่าพระหยุ หุย ในสมยั ชิงเรยี กชนกลุ่มน้อยอ่ืนๆที่นับถือศาสนาอสิ ลามด้วยการเตมิ คาวา่ “หุย” ลงไป เช่น เรียกชนชาวตงเซียงวา่ “ตงเซยี งหุย”(东乡回) เรยี กชาวอยุ กรู ์ว่า “ฉานหยุ ” (缠回) เรียกชาวซาลาวา่ “ซาลาหุย” (撒拉回) จนมกั เกิดความสับสน ขนบธรรมเนยี มของชาวหยุ ชีวติ ของชาวหุยผกู พนั อยกู่ บั ศาสนาอสิ ลามต้ังแต่เกิดจนตาย เมอื่ มเี ดก็ แรกเกิดจะเชญิ อหี ม่าม(阿訇)มาตงั้ ชอ่ื ใหล้ กู เมอื่แตง่ งานก็เชญิ อหี ม่ามทาพธิ ีแตง่ งานให้ เมอ่ื เสียชวี ติ ก็เชิญอีหม่ามทาพธิ ศี พ ทพ่ี เิ ศษคือชาวหยุ จะไมร่ บั ประทานเนือ้ หมู ไม่บรโิ ภคเลือดสตั วแ์ ละไมบ่ ริโภคเน้อื สัตวท์ ต่ี ายเองตามธรรมชาติ ซง่ึ ถือเป็นบทบัญญัตขิ องคัมภีร์ กหู่ ลานจิง《古兰经》หมายถงึ “คัมภีรอ์ ลั กรุ อ่าน” ทเ่ี ป็นคัมภรี ์ศักดิส์ ทิ ธ์ขิ องชาวอิสลาม การปฏบิ ตั ิตามหลกั ศาสนา นานวันเขา้ กลายเป็นธรรมเนยี มปฏิบตั ิท่นี ับถือเคร่งครัดสืบทอดสรู่ ุ่นหลัง จนถงึ ยุคปฏิวตั ิวฒั นธรรม รฐั มีนโยบายลม้ ลา้ งความไม่เทา่ เทียมของระบบศักดนิ า รวมท้ังศาสนาความเช่อื ตา่ งๆ ชาวหุยและชนเผา่ ทนี่ บั ถือศาสนาอสิ ลามรวมพลังกนั ต่อต้านเพอ่ื ปกปอ้ งศาสนาของตนไว้ นับเป็นเหตกุ ารณ์การรวมเผ่าชาว
ด้านวฒั นธรรมการกนิ ด้านวัฒนธรรมการกิน เป็นท่ีทราบกันดีว่าชาวอิสลามไม่กินเนื้อหมูชาวหุยก็เช่นเดียวกัน แต่จะกินเน้ือวัว เน้ือแกะ และงู ไม่กินเนื้อม้า ลาล่อ สุนัข ไม่กินเลือดสัตว์ บ้านเรือนของชาวหุยสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบ เม่ือเข้าบ้านของชาวหยุ จะเห็นกาน้าแขวนไว้ทีข่ ่ือประตู ชาวหุยจะใช้กาน้านี้ไว้ล้างหน้าและล้างมือ ชาวหุยจะไม่ใช้อ่างล้างหน้า แต่จะใช้กาน้าท่ีแขวนไว้ท่ีขื่อประตูนี้สาหรับชาระล้างร่างกาย กาน้าชนิดน้ีชาวหุยได้รับอิทธิพลมาจากชาวอาหรับ ปัจจุบันโรงแรมที่พักในเมืองท่ีมีชาวหุยอาศัยอยู่ หากเป็นโรงแรมท่ีสร้างไว้ต้อนรับชาวหุยโดยเฉพาะแล้วจะตอ้ งแขวนกาน้าชนิดน้ไี ว้ที่หน้าโรงแรม เพือ่ เป็นเคร่ืองยนื ยันว่าเปน็ ทีพ่ ักแรมของชาวหุยอยา่ งแทจ้ ริง
เทศกาลสาคญั ชาวหุยมีเทศกาลสาคัญอยู่สองเทศกาลคือเทศกาลถือศีลอดและเทศกาลกุรปัง เทศกาลถือศีลอดจัดข้ึนในเดือนท่ีเก้าตามปฏิทินชาวหุยส่วนเทศกาลกุรปังจัดข้ึนหลังจากเทศกาลถือศีลอดส้ินสุดลง 70 วันคือประมาณวันท่ี 10 เดือนท่ี 12 เพราะเป็นวันสุดท้ายที่พระศาสดาเดินทางไปเมกกะ ชาวหุยจะฆ่าวัว ฆ่าแกะเพื่อบูชา และจัดงานเฉลิมฉลองกนั อย่างใหญโ่ ต
แหล่งอ้างอิงรองศาสตรจารย์ ดร.เมชฌ สอดสอ่ งกฤษ.18 /พฤษจิกายน/2554 . ภาษาและวฒั นธรรมจีน.(เว็บบล็อก).สืบค้นจาก https://metchs.blogspot.com
Search
Read the Text Version
- 1 - 10
Pages: