Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore กฎหมายในชีวิตประจำวัน

กฎหมายในชีวิตประจำวัน

Published by Weerawut Chainu, 2020-12-20 07:46:16

Description: 3

Search

Read the Text Version

กฎหมายในชีวติ ประจําวัน ความหมายและความจําเปน ของการมกี ฎหมาย กฎหมาย คือ การกระทําของรัฐเปน Stage action หรือ เปนคําสั่งหรือระเบียบขอบังคับของผู มีอํานาจในรัฐหรือประเทศนั้นไดออกหรือกําหนดมา เพื่อใชบังคับความประพฤติของบุคคล หรือ ประชาชนในรัฐหรือประเทศนั้นใหปฏิบัติตาม หากผูใดฝาฝนไมปฏิบัติตามแลว ผูน้ันจะตองไดรับผล อยา งใดอยางหนง่ึ ตามทีก่ ฎหมายกาํ หนดไว ซึ่งเราสามารถแบงลักษณะกฎหมายได 2 ลกั ษณะ คือ 1. กฎหมายที่เปนลายลักษณอักษร (Civil Law)เปนบทบัญญัติ หรือขอบังคับที่เกิดข้ึนโดยผูมี อํานาจในประเทศนนั้ ๆ เชน ประเทศไทยปกครองดว ยระบอบประชาธิปไตย ผูม อี ํานาจออกกฎหมายคือ รฐั สภา และสามารถบังคับที่ใชบังคับไดทั่วไป คือใชบังคับกับทุกคนในประเทศ หากมีการฝาฝน ผูน้ัน จะตอ งไดร บั ผลรายหรือถกู ลงโทษ 2. กฎหมายที่ไมเปนลายลักษณอักษร(Common Law) หรือ จารีตประเพณี ซึ่งก็คือ เหตุผลตาม ธรรมชาติ / สามญั สํานกึ / ส่งิ ที่ปรากฏใหเห็นเปน รปู รางไดตามความนิยม หรือลักษณะนิสัยใจคอของผู ยึด ถือปฏบิ ตั ิ เชน ประเพณีการแตง กาย ประเพณีการสาดนา้ํ วันสงกรานต เปนตน จารตี ประเพณีมีความคลายคลึงกับกฎหมายคือตางก็มีขอกําหนดบังคับความประพฤติของมนุษยวา ควรทําอยางนัน้ ไมควรทาํ อยางน้ี เพ่อื ใหส ังคมน้นั อยูก ันโดยสันตสิ ุข ดังน้ัน กฎหมายท่ีเปนลายลักษณอักษรและท่ีไมเปนลายลักษณอักษรมีความแตกตางกันอยูหลาย ประการ คือ กฎหมายที่เปนลายลักษณอักษรเปนเร่ืองของผูมี อํานาจในประเทศนั้นเปนผูกําหนดข้ึนมา และใชบังคับกันท่ัวไปทุกคน สวนกฎหมายท่ีไมเปนลายลักษณอักษรหรือจารีตประเพณีเปนขอบังคับ หรือกฎเกณฑท่ีใชบังคับเฉพาะกลุมใดกลุมหน่ึง หรือชุมชนใดชุมชนหนึ่งเทานั้น ประการสําคัญคือ จารีตประเพณีเปนเรื่องการกําหนด กฎเกณฑข้ึนมาโดยประชาชนกลุมใดกลุมหน่ึงในสังคมน้ันๆ ซึ่ง เปนหนวยยอยของประเทศชาติ อีกประการหนึ่ง กฎหมายนั้นเมื่อผูใดฝาฝนยอมไดรับผลรายและถูก บังคับ ลงโทษทันที แตการฝาฝนจารีตประเพณี ผูฝาฝนเพียงแตไดรับผลรายโดยการถูกตําหนิติเตียน จากชุมชน นั้นๆ เทาน้นั

กฎหมายทจ่ี ําเปน ในชวี ติ ประจาํ วัน ลําดับชั้นของกฎหมายดังกลาวมีรัฐธรรมนูญเปนกฎหมายสูงสุด รองลงมาคือ พระราชบัญญัติ และพระราชกําหนด รองลงมาอีก คือพระราช กฤษฎีกา กฎกระทรวง ระเบียบ ขอบังคับ จนถึงประกาศ และคาํ สง่ั ตา ง ๆ ตามลาํ ดบั ช้นั โดยถอื หลกั วา กฎหมายท่อี ยใู นลําดับลา งจะไปขัดหรือแยงกับกฎหมายท่ี อยูในลําดับตนไมได ฉะน้ันกฎหมายรัฐธรรมนูญ จึงเปนแมบทท่ีใชเปนหลักในการปกครองของ ประเทศ ถา หากปรากฏวาบทบัญญัติแหงกฎหมายใดมีขอความขัดหรือแยงกับรัฐธรรมนูญ บทบัญญัติ นั้นเปนอันใชบังคับไมได โดยองคกรที่จะทําหนาท่ีวินิจฉัยช้ีขาดวากฎหมายฉบับใดขัดหรือแยงกับ รฐั ธรรมนูญหรือไมก ค็ อื คณะตุลาการรฐั ธรรมนญู สําหรับผูมีอํานาจในการจัดใหมีรัฐธรรมนูญไดแก บุคคลหรือคณะบุคคลที่มีอํานาจอันสูงสุดและ แทจริงในรัฐ ในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยท่ีมีพระมหากษัตริยเปนประมุข ถือวา พระมหากษัตรยิ เปนผตู รารัฐธรรมนญู ขึ้น โดยคาํ แนะนําและยินยอมของสภาผแู ทนราษฎร กฎหมายที่จําเปน ในชีวิตประจําวัน ในบทนจี้ ะกลาวถงึ กฎหมายที่เปนในชีวิตประจําวนั ไดแ ก 1. กฎหมายทะเบยี นราษฎร 2. กฎหมายวา ดวยชือ่ บคุ คล 3. กฎหมายวาดวยบัตรประจาํ ตวั ประชาชน 4. กฎหมายเก่ียวกบั การรบั ราชการทหาร 5. กฎหมายเลอื กตง้ั 6. กฎหมายอาญา 7. ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย 1. กฎหมายทะเบียนราษฎร 1.1 คนเกดิ เม่ือมีคนเกิดในบาน ใหเจาบาน หรือบิดามารดา หรือผูที่ไดรับมอบหมาย เปนผูแจงตอนาย ทะเบียน ผรู ับแจงแหง ทองท่ี ท่เี กิดภายใน 15 วัน นับแตว ันเกิด 1. ใหแจงชื่อตัวของเด็กเกิดใหม พรอมกับการแจงเกิด และแจงช่ือสกุลดวย พรอมสําเนา ทะเบียนบา นทจี่ ะเพ่ิมชื่อเด็ก 2. แจงวัน เดือน ป และสถานท่ีเกิด ถามีหนังสือรับรองการเกิดจากสถานพยาบาล ใหนํามา แสดงดว ย เรยี บเรียงโดย ครูเวชพล อ่อนละมยั

3. แจงช่ือตัว - ช่อื สกลุ บิดา มารดาของเดก็ 4. แจงชื่อตัว ช่ือสกุลและที่อยูของผูแจงการเกิด ตามหลักฐานสําเนาทะเบียนบาน พรอมบัตร ประจําตวั ประชาชนที่นาํ มาแสดง (กรณผี แู จงไมใชบิดา - มารดา) กรณีเมื่อมีคนเกิดนอกบาน ใหบิดา หรือมารดา หรือผูท่ีไดรับมอบหมายเปนผูแจงตอนายทะเบียน ผูรับแจงแหงทองที่ ที่เกิด หรือแหงทองท่ีท่ีพึงไดใน 15 วัน นับแตวันเกิด หรือ ในกรณีจําเปนไม อาจแจง ไดตามกําหนด ใหแ จง ภายหลัง ได แตต องไมเ กนิ 30 วัน หลักฐาน 1. สาํ เนาทะเบียนบาน ( ฉบบั เจาบา น ) 2. บัตรประจําตัวประชาชนของผแู จง บตั รประจําตัวประชาชนของบดิ ามารดา ( ถา มี ) 3. หนังสือรับรองการเกิดจากโรงพยาบาล ( ถามี ) 4. หนังสอื ยนิ ยอมใหบตุ รใชชอื่ สกลุ ของบิดา ( กรณีไมจดทะเบยี นสมรส ) 5. เอกสาร \"การแจงเกดิ \" (ตอ งไปเอาทีเ่ ทศบาลฯ หรอื สถานทพี่ งึ่ ได ตามเง่ือนไขทกี่ าํ หนด) ขน้ั ตอนการติดตอ 1. ผแู จงย่นื เอกสารและหลกั ฐานตอ นายทะเบยี น 2. นายทะเบียนตรวจสอบหลักฐานกับทะเบียนบาน และลงรายการในสูติบัตร ท้ัง 3 ตอน แลว เพ่ิมชื่อเด็กในทะเบียน และสําเนาทะเบียนบาน ฉบับเจาบาน เมื่อดําเนินการเรียบรอยแลว จึงมอบ สตู ิบัตร ตอนที่ 1 และสําเนาทะเบยี นบา น ใหกับผแู จง 1.2 คนตาย เมื่อมีคนตายในบาน ใหเจาบานเปนผูแจงตอนายทะเบียน ผูรับแจงแหงทองที่ที่มีคนตายภายใน 24 ช่วั โมง นบั ตงั้ แตเ วลาตาย ในกรณไี มมีเจา บา นใหผพู บศพ จะตองแจง ภายใน 24 ชัว่ โมง นับแตเ วลา พบศพ เม่ือมีคนตายนอกบานใหผูที่ไปกับผูตาย หรือผูพบศพ เปนผูแจงตอนายทะเบียนผูรับแจงแหง ทองที่ ท่ีตาย หรือพบ ศพ หรือแหงทองที่ที่พึงแจงไดภายใน 24 ช่ัวโมง นับแตเวลาตาย หรือพบศพ ในกรณนี จี้ ะแจง ตอ พนักงานฝา ย ปกครอง หรอื ตํารวจกไ็ ด 1. แจงช่ือตัว ช่ือสกุล และที่อยู ของผูตายตามหลักฐานสําเนาทะเบียนบาน หรือบัตร ประจาํ ตวั ประชาชนทนี่ าํ ไปแสดง เรียบเรียงโดย ครเู วชพล อ่อนละมยั

2. แจงวัน เดือน ป และสถานที่ ที่ตาย พรอมสาเหตุการตาย ถามีหนังสือรับรองสถานที่ตาย จากสถานพยาบาลใหนําไปแสดงดวย และถาทราบช่ือ ตัว - ชื่อสกุลของบิดา มารดาของผูตายให แจงตอ นายทะเบยี นดวย 3. แจงการดําเนินการเก่ียวกับศพของผูตายดวยวา จะเก็บ ฝง เผา ทําลาย หรือยายศพไปไวท่ี ไหน เมือ่ ไร 4. แจงช่ือตัว ชื่อสกุล และที่อยูของผูแจงการตายตามหลักฐานสําเนาทะเบียนบาน หรือบัตร ประจาํ ตวั ประชาชนทีน่ ํามาแสดง หลกั ฐาน 1. สาํ เนาทะเบยี นบา น และบตั รประจําตวั ประชาชนผตู าย 2. หนังสือรบั รองการตายจากโรงพยาบาล (ทร. 421) 3. สําเนาทะเบยี นบา น และบัตรประจําตวั ประชาชนผแู จง 4. เอกสาร \"การแจง ตาย\" (ตองไปเอาทีเ่ ทศบาลฯ หรอื สถานที่พ่งึ ได ตามเง่ือนไขท่กี าํ หนด) กรณตี ายผิดธรรมชาติ การตายทีผ่ ดิ ธรรมชาติ ท่ีในบา น นอกบาน เชน ถูกฆาตาย ตกจากท่ีสูง อุบัติเหตุ งูกัด เปนตน ตอ งมีหลักฐานการชันสตู รพลกิ ศพจากเจาหนา ที่ตาํ รวจ การแจง ตายเกินกําหนด หมายถงึ กรณีคนตายแตไมไดแ จง การตาย ในเวลาที่กฎหมายกําหนด กรณีนี้ใหผูแจงการตาย ยน่ื คํารอ งตอนายทะเบยี นทอ งถ่นิ แหง ทองที่ ทม่ี กี ารตาย หรอื พบศพ โดยดําเนินการดังน้ี 1. เมื่อนายทะเบียนไดรับคํารองแลว ตรวจสอบคํารอง และเอกสารท่ีผูแแจงนําไปแสดง แลว ดาํ เนินการเปรียบเทยี บคดี ความผิดตามกฎหมายกําหนดไว 2. สอบสวนสาเหตุจากพยานบุคคล เพ่อื ใหทราบถึงวัน เวลา สถานที่ และสาเหตกุ ารตาย และ ผูร ูเห็นการตาย ตลอดจนสาเหตุทไ่ี มม าแจง ตายภายในเวลากําหนด 3. รวบรวมหลักฐาน และพิจารณา เมื่อเห็นวาเชื่อถือได สั่งอนุญาติใหรับแจง และดําเนินการ ตอไป 4. ผูใดไมมาแจงภายใน 24 ช่ัวโมง นับตั้งแตเวลาตายหรือพบศพ ตองระวางโทษปรับไมเกิน 1,000 บาท เรยี บเรียงโดย ครูเวชพล อ่อนละมัย

ขน้ั ตอนการตดิ ตอ 1. ผแู จง ย่ืนเอกสาร และหลักฐานตอ นายทะเบยี น เพอ่ื ตรวจสอบและลงรายการในมรณบตั ร 2.จําหนายชอื่ ผตู ายออกจากทะเบยี นบาน โดยจะประทับคาํ วา \"ตาย\" สแี ดงไวห นา รายการคนตาย 3. มอบมรณบตั ร ตอนท่ี 1 ทะเบียนบา น และบตั รประชาชนคืนผูแจง การแจง ยายเขา เม่ือมีผูยายเขา หรือยายออกใหเจาบานแจงตอนายทะเบียนผูรับแจงภายใน 15 วัน นับแต วันที่ผูนน้ั ยา ยออก โดยไม ตองเสยี คาธรรมเนียมใด ๆ ทงั้ สิ้น หลกั ฐาน 1. สาํ เนาทะเบยี นบาน ( ฉบับเจาบาน ) 2. บตั รประจาํ ตวั ประชาชนของเจาบา น 3. หนงั สือมอบอํานาจจากเจาบา น ( ถามี ) 4. บัตรประจาํ ตัวประชาชนของผูท ไ่ี ดร ับมอบหมายจากเจา บาน 5. ใบแจงการยา ยทอี่ ยู ( ท.ร.6 ) ตอนท่ี 1 และ 2 6. เอกสาร \"การแจงยาย\" (ตองไปเอาที่เทศบาลฯ หรือสถานที่พ่ึงได ตามเงื่อนไขท่ี กําหนด) กรณีทใี่ บแจง ยา ยที่อยสู ูญหาย หรอื ชาํ รดุ ผูยายเขาสามารถขอใบแทนไดท่ีนายทะเบียนผูรับแจงแหงทองที่ ท่ีออกใบแจงการยายที่อยู โดยยนื่ คํารอ งพรอมสําเนาการแจง ความประกอบเรอื่ ง หรอื นําใบแจงยายทอ่ี ยูซง่ึ ชํารุดไปแสดง ข้นั ตอนการติดตอ 1. ยื่นเอกสารและหลกั ฐานตอนายทะเบียนทองทท่ี ี่จะยา ยเขา 2. นายทะเบียนตรวจสอบหลักฐาน และรายการใบแจงการยา ยที่อยแู ละเพมิ่ ชื่อ ในทะเบียนบา น และสําเนาทะเบียน บาน ( ฉบับเจาบาน ) โดยตรวจสอบรายการใหถูกตองตรงกัน และมอบสําเนา ทะเบียนบาน และหลักฐานคืนให ผูแ จง การแจง ยายออก เม่ือมีผูยายเขา หรือยายออกใหเจาบานแจงตอนายทะเบียนผูรับแจงภายใน 15 วัน นับแต วันที่ผนู น้ั ยายออก โดยไม ตองเสยี คาธรรมเนยี มใด ๆ ทงั้ ส้นิ เรียบเรียงโดย ครเู วชพล อ่อนละมัย

หลักฐาน 1. สําเนาทะเบียนบา น ( ฉบบั เจา บาน ) 2. บตั รประจาํ ตวั ประชาชนของเจาบา น (กรณียายบคุ คลในบา นออก) 3. หนังสอื มอบอาํ นาจจากเจา บา น ( ถา มี ) 4. บัตรประจาํ ตัวประชาชนของผทู ไี่ ดร บั มอบหมายจากเจา บาน (กรณีมอบอํานาจ) 5. บัตรประจําตัวประชาชนของผูยายท่ีอยู กรณีแจงยายที่อยูของตนเอง ทั้งนี้ผูยายที่อยู สามารถรองขอทําหนาที่ เจาบา น เพอ่ื แจงยา ยทอ่ี ยขู องตนเองได 6. เอกสาร \"การแจงยาย\" (ตองไปเอาท่ีเทศบาลฯ หรือสถานที่พ่ึงได ตามเงื่อนไขที่ กาํ หนด) ข้ันตอนการตดิ ตอ 1. ย่ืนเร่ืองตอ นายทะเบยี นทองท่ีท่ีมีชื่ออยูในทะเบียนบาน ( ถึงแมวาเจาของบานไมสามารถไป แจงยา ยออกใหไ ด ผูท ่ี ่อี ยสู ามารถขอ ทําหนา ท่ีเจาบาน เพื่อยายชือ่ ตนเองออกได ) 2. นายทะเบยี นตรวจสอบหลกั ฐาน และรายการบุคคลทจ่ี ะยายออกลงรายการในใบแจงการยาย ทีอ่ ยู และจําหนา ยราย การบุคคล ทีย่ ายออกในทะเบียนบาน และสําเนาทะเบียนบาน ( ฉบับเจาบาน ) โดยจะประทบั คําวา “ยา ย” สีนา้ํ เงนิ ไวห นา รายการ และระบวุ ายายไปท่ใี ด 3.นายทะเบียนมอบหลักฐานการแจงคืนผูแจงพรอมทั้งใบแจงการยายที่อยูตอนที่ 1และ 2 เพ่ือ นาํ ไปแจง ยา ยเขา ตอ ไป การแจงยา ยปลายทาง โดยอัตโนมตั ิ ผูท ี่ยายที่อยู สามารถไปแจง ยายออก และยา ยเขา ณ สํานักทะเบยี นแหงท่ีอยูใหม โดยไมตอง เดินทางกลับไป แจงยายออกจากทะเบียนบานเดิม ทง้ั นผี้ ยู า ยท่ี อยคู วรเปน ผูแ จงยายดวยตนเอง หลกั ฐาน 1. สาํ เนาทะเบียนบา น (ฉบบั เจา บา น) ของบา นที่จะยา ยเขา 2. บัตรประจําตัวประชาชนของเจาบาน ท่ีจะยายไปอยูใหม พรอมคํายินยอมเปนหนังสือ เจา บาน 3. บัตรประจาํ ตัวประชาขน 4. เอกสาร \"การแจงยายปลายทาง\" (ตองไปเอาท่ีเทศบาลฯ หรือสถานที่พึ่งได ตามเงื่อนไขท่ี กาํ หนด) เรียบเรียงโดย ครเู วชพล ออ่ นละมัย

ขัน้ ตอนการตดิ ตอ 1. ยื่นหลกั ฐานตอ นายทะเบยี นทอ งท่ี ท่ีจะยายเขา 2. นายทะเบียนตรวจสอบหลักฐาน และลงรายการในใบแจงการยายที่อยู โดยใหผูแจงลง ลายมือช่ือ ในชองผูแจงยาย ออก และชองผูแจงยายเขาสําหรับชอง เจาบานผูยินยอมใหยายเขาให เขยี นชื่อ-สกุลตัวบรรจง และเสยี คา ธรรมเนยี ม 10 บาท 3. ใชเ วลาดําเนินการประมาณ 15 วัน (สํานักทะเบยี นทย่ี ังไมใ ชร ะบบคอมพิวเตอร) 4. ใชเวลาดําเนนิ การประมาณ 10 นาที (สํานักทะเบียนที่ใชร ะบบคอมพวิ เตอร) กรณที ก่ี ารแจง ยา ยออก - ยา ยเขา เกินกําหนด เมื่อมีคนในบานยายออก - ยายเขา เจาบานไมแจงยายภายใน 15 วัน นับต้ังแตวันท่ีมีคนยาย ออก - ยา ยเขา ตอ งระวางโทษ ปรับไมเกิน 1,000 บาท 2. กฎหมายวา ดว ยชอ่ื บุคคล ตาม พรบ.ชื่อบุคคล ป ๒๕๐๕ ไดกําหนดวา “ผูมีสัญชาติไทย ตองมีช่ือตัวและช่ือสกุล และ อาจจะมีช่ือรองกไ็ ด” หลักเกณฑในการตั้งช่ือตัว ช่ือรอง และช่ือสกุลนั้น ตองเปนไปตามที่กฎหมายกําหนดตาม พรบ.ชือ่ บคุ คล ป ๒๕๐๕ ซึ่งมดี ังน้ีคือ ๑. ช่ือตัว ชื่อรอง ตองไมพอ งหรอื มุงหมายใหคลา ยพระปรมาภิไธยพระนามของพระราชนิ ี หรือราชทินนาม และตองไมมคี าํ ความหมายหยาบคาย ๒. ผูที่ไดรับพระราชทานบรรดาศักดิ์ หรือผูท่ีเคยไดรับพระราชทานบรรดาศักดิ์น้ันโดย มิไดถ ูกถอด จะใชราชทนิ นาม บรรดาศักดิ์นั้นเปน ช่อื ตัว หรือชอ่ื รองกไ็ ด ๓. ชอ่ื สกุลตอ ง ๓.๑ ไมพ อ งหรือมงุ หมายใหคลายพระปรมาภิไธยพระนามของพระราชนิ ี ๓.๒ ไมพองหรือมุงหมายใหคลายกับราชทินนาม เวนแตราชทินนามของตน ของ บพุ การี หรือของผสู ืบสันดาน ๓.๓ ไมซ้ํากับชื่อสกุลท่ีไดรับพระราชทานจากพระมหากษัตริย หรือช่ือสกุลท่ีไดจด ทะเบียนไวแ ลว ๓.๔ ไมม ีคําความหมายหยาบคาย ๓.๕ ไมม พี ยัญชนะเกินกวา สิบพยัญชนะเวนแตก รณีใชร าชทินนาม เปน ชื่อสกลุ เรยี บเรียงโดย ครเู วชพล อ่อนละมยั

3. กฎหมายวา ดวยบัตรประจาํ ตวั ประชาชน ตามกฎหมายไทยไดกําหนดไว ผูท่ีมีสัญชาติไทย ซึ่งมีอายุต้ังแต ๑๗ ปบริบูรณขึ้นไป แตไม เกนิ ๑๗ ปบรบิ รู ณ ตองมีบัตรประชาชน เพ่ือที่จะทําใหสามารถทราบไดวาบุคคลผูน้ันเปนใคร อายุ เทา ใด เพ่ือความสะดวกในการคนหาตัวบคุ คล และประวัติของบคุ คลนน้ั ๆ การทําบตั รประจาํ ตัวประชาชน (กรณขี อมีบตั รครง้ั แรก) การบรกิ าร 1. ผูมีสัญชาติไทย อายุตั้งแต 15 ปบริบูรณ ตองขอมีบัตรประจําตัวประชาชน หากไมมาขอมี บตั รภายใน 60 วนั จะ ถกู ปรับไมเกนิ 500 บาท 2. ย่ืนคําขอทอ่ี าํ เภอ ก่ิงอาํ เภอ เขต หรอื เทศบาล ท่ตี นเองมชี ่ือในทะเบยี นบา น 3. ไมต อ งเสียคา ธรรมเนยี มแตอ ยางใด หลกั ฐาน 1. สาํ เนาทะเบียนบา น 2. แสดงหลักฐานอ่ืนท่ีทางราชการออกให เชน ใบเกิด ใบสุทธิ เพื่อแสดงวาเปนบุคคล เดียวกับผมู ชี อ่ื ในทะเบียนบา น 3. กรณีเปนบุตรบุคคลตางดาว ตองมีหนังสือสําคัญประจําตัวบุคคลตางดาว ของบิดา และมารดาแสดงดวย 4. กรณไี มมหี ลกั ฐานตามขอ 2 ใหนําเจาบา นหรือบุคคลทนี่ าเชือ่ ถอื มารับรอง 5. เอกสาร \"ขอทําบัตรประจําตัวประชาชน คร้ังแรก \" (ตองไปเอาท่ีเทศบาลฯ หรือ สถานท่ีพงึ่ ได ตามเงอ่ื นไขท่ีกาํ หนด) ข้ันตอนการติดตอ 1. ยืน่ หลกั ฐานตอ นายทะเบยี นทองที่ ที่จะทําบตั รประชาชน \"คร้งั แรก\" 2.นายทะเบียนตรวจสอบหลักฐาน และลงรายการในใบทําบัตรประชาชน \"คร้ังแรก\" โดยให ผูทําบัตรลงลายมือชื่อ ในชอง ทําบัตรประชาชน เจาบานผูยินยอมใหทําบัตร และเปล่ียนคํานําหนา (โดยเฉพาะผูหญิง จาก เด็กหญิง เปน นางสาว) โดยจะตองเขียนช่ือ-สกุลตัวบรรจง และเสีย คาธรรมเนียม 5 บาท 3.ใชเวลาดําเนนิ การประมาณ 15 วัน (สํานกั ทะเบยี นที่ยังไมใชระบบคอมพวิ เตอร) 4.ใชเวลาดําเนนิ การประมาณ 10 นาที (สาํ นักทะเบยี นท่ใี ชร ะบบคอมพวิ เตอร) เรียบเรียงโดย ครเู วชพล ออ่ นละมัย

การทาํ บตั รประจาํ ตัวประชาชน (กรณที ําบัตรเดมิ หาย, ชํารุด) 1. กรณที ่ีทําบัตรหาย, ชาํ รุด, เปล่ียนชือ่ ตวั - ชอ่ื สกุล หรอื บคุ คลทไ่ี ดรบั การยกเวนไมตองมีบัตร ประชาชนมาขอ ทาํ บตั ร เสยี คา ธรรมเนยี ม 20 บาท 2. บตั รหมดอายุ ไมเกบ็ คาธรรมเนียม แตถ าบัตรหมดอายเุ กดิ 60 วันจะตองถูกปรับ 30 บาท 3. สามารถไปขอยื่นคาํ ขอไดท อี่ าํ เภอ กิ่งอําเภอ เขต หรอื เทศบาล ทต่ี นเองมชี อ่ื ทะเบียนอยู หลักฐาน 1. ใหน ําทะเบยี นบา น, สําเนาบตั รประจําตัวประชาชนเดมิ ที่ไดถา ยเอกสารเกบ็ ไว 2. พยานบุคคลท่นี าเชือ่ ถอื เชน กํานัน, ผูใหญบา น หรอื ขาราชการ ข้นั ตอนการติดตอ 1.ย่นื เอกสารหลกั ตอ เจาหนาทีบ่ ริเวณโตะรับคํารอ ง 2. รบั บตั รคิว 3. แจงความบัตรหาย ณ อําเภอ กิ่งอําเภอ เขต หรือเทศบาล ท่ีตนเองมีชื่อทะเบียนอยู (หรือใบ แจงความบตั รหาย จากสถานีตาํ รวจก็ได) 4. กฎหมายเก่ียวกบั การรบั ราชการทหาร การรับราชการทหารเปนหนาที่ตามกฎหมายของพลเมืองไทย ซ่ึงเรื่องนี้มีกฎหมายท่ีเก่ียวของคือ พระราชบญั ญัตริ บั ราชการทหาร พ.ศ.๒๔๙๗ การรบั ราชการทหารมี ๔ ประเภท คือ ๑. การรับราชการทหารกองเกิน ๒. การรับราชการทหารกองประจาํ การ ๓. การรับราชการทหารกองหนุน ๔. การรับราชการทหารประจาํ การ ชายที่มีสัญชาติไทยตามกฏหมายมีหนาท่ีเขารับราชการทุกคนตามพระราชบัญญัติรับราชการ ทหาร พ.ศ. ๒๔๙๗ ทหารกองเกนิ หมายความวา ผซู ึ่งมีอายุตั้งแตสิบแปดปบริบูรณและยังไมถึงสามสิบปบริบูรณ ซ่ึงไดลงบญั ชที หารกองเกินแลว ทหารประจําการ หมายความวา ผูซึ่งข้ึนทะเบียนกองประจําการและไดเขารับราชการในกอง ประจําการจนกวา จะไดป ลด เรยี บเรียงโดย ครเู วชพล อ่อนละมัย

ทหารกองหนุน หมายความวา ทหารท่ีปลดออกจากกองประจําการโดยรับราชการในกอง ประจําการจนครบกําหนด หรือทหารกองเกินซึ่งสําเร็จการฝกวิชาทหารตามกฎหมายวาดวยการ สง เสริมการฝกวิชาทหาร และไดข ึ้นทะเบยี นกองประจาํ การแลว ปลดเปน กองหนุน (โดยปกตจิ ะพน ราชการทหารกองหนุนเมื่ออายุครบ ๔๖ ปบริบูรณ ยกเวนผูท่ีผานการฝกวิชาทหารตามกฎหมายวา ดวยการสงเสรมิ การฝกวิชาทหาร) ๑) การลงบัญชีทหารกองเกิน มีขั้นตอนการปฏิบัตดิ งั นี้ ๑. ชายซ่งึ มีสญั ชาตไิ ทย เมอ่ื อายุยา งเขาสบิ แปดปใ นพุทธศักราชใดใหไปแสดงตนเพ่ือ ลงบัญชที หารกองเกนิ ภายในพุทธศักราชนั้น ผูท่ีไมสามารถไปลงบัญชีทหารกองเกินดวยตนเองได ตอ งใหบ คุ คลซึ่งบรรลุนติ ภิ าวะและเช่อื ถือไดไปแจง แทน ใหน ายอาํ เภอสอบสวน เมื่อเห็นวาถกู ตอ ง ใหลงบัญชีทหารกองเกินไว ถาไมมีผูมาแจงแทน ใหถือวาผูน้ันหลีกเล่ียงขัดขืนไมมาลงบัญชี ทหารกองเกนิ ๒. ในเดือนกันยายนของทุกป ใหนายอําเภอจัดการประกาศใหผูท่ีมีอายุถึงเกณฑท่ี จะตอ งลงบัญชีทหารกองเกินไปลงบัญชที หารกองเกิน บุคคลที่ไดรับยกเวนไมตองไปแสดงตนตอนายอําเภอในการลงบัญชีทหาร กองเกินไดแก สามเณรเปรียญ หรือผูซึ่งอยูในระหวางถูกควบคุมหรือคุมขังของเจาพนักงาน แต ใหลงบัญชีทหารกองเกินไวตามหลักเกณฑ วิธีการและแบบขอรับการยกเวนท่ีกําหนดใน กฎกระทรวง ๒) การเรยี กคนเขากองประจาํ การ ทหารกองเกินเมื่ออายุยางเขาย่ีสิบเอ็ดปในพุทธศักราชใด ตองไปแสดงตนเพื่อรับ หมายเรียกที่อําเภอทองที่ ซึ่งเปนภูมิลําเนาทหารของตนภายในพุทธศักราชนั้น ผูใดไมสามารถไป รับหมายเรียกดวยตัวเองได ตองใหบุคคลซ่ึงบรรลุนิติภาวะและพอจะเชื่อถือไดไปรับหมายเรียก แทนถาไมม ผี ูแทนใหถ อื วาผูน น้ั หลีกเลี่ยงขดั ขนื ๓) บุคคลทีไ่ ดรับการยกเวนไมต อ งเขา รบั ราชการทหารกองประจาํ การ ไดแก ๑ พระภิกษุ สามเณร และนักบวชในพระพุทธศาสนาแหงนิกายจีนหรือญวน ซึ่งเปน นกั ธรรมตามที่กระทรวงศึกษาธกิ ารรับรอง ๒. นักบวชศาสนาอ่ืนซ่ึงมีหนาที่ประจําในกิจของศาสนาตามที่กําหนดใน กฎกระทรวงและผูวาราชจังหวัดออกใบสําคัญใหไว เรียบเรียงโดย ครเู วชพล ออ่ นละมยั

๓. บคุ คลซึ่งอยูในระหวางการฝกวิชาทหารตามหลักสูตรท่ีกระทรวงกลาโหมกําหนด ตามกฎหมายวา ดวยการสง เสรมิ การฝก วชิ าชีพทหาร ๔. นักเรียนโรงเรยี นเตรยี มทหารของกระทรวงกลาโหม ๕. ครูซ่ึงประจําทําการสอนหนังสือ หรือวิชาการตางๆ ที่อยูในความควบคุมของกระทรวง ทบวง กรม หรือราชการสวนทองถ่ิน ตามที่กําหนดในกฎกระทรวง และผูวาราชจังหวัดออก ใบสาํ คญั ใหไ ว ๖. นกั ศกึ ษาของศนู ยก ลางอบรมการศกึ ษาผใู หญของกระทรวงศกึ ษาธกิ าร ๗. นักศกึ ษาของศนู ยฝ กการบินพลเรือนของกระทรวงคมนาคม ๘. บคุ คลซ่ึงไดสัญชาตไิ ทยโดยการแปลงสญั ชาติ ๙. บุคคลซึ่งไดรับโทษจําคุกโดยคําพิพากษาถึงท่ีสุดใหจําคุกครั้งเดียวตั้งแตสิบปขึ้นไป หรือ เคยไดรับโทษจําคุกโดยคําพิพากษาถึงที่สุด ใหจําคุกหลายครั้งรวมกันต้ังแตสิบปข้ึนไป หรือเคย ถกู ศาลพิพากษาใหกักกัน 5. กฎหมายเลอื กตัง้ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกลาฯ ให ประกาศวาโดยที่เปนการสมควรมีพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญวาดวยคณะกรรมการการ เลือกตั้งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้มีบทบัญญัติบางประการเก่ียวกับการจํากัดสิทธิและ เสรีภาพของบคุ คล ซงึ่ มาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา 31 มาตรา 33 มาตรา 35 มาตรา 41 และมาตรา 45 ของรัฐธรรมนญู แหงราชอาณาจกั รไทย บญั ญัตใิ หก ระทาํ ไดโดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแหง กฎหมายจงึ ทรงพระกรุณาโปรดเกลา ฯ ใหตราพระราชบัญญัติข้ึนไวโดยคําแนะนําและยินยอมของ สภานติ ิบัญญตั แิ หงชาติ ดงั ตอ ไปน้ี มาตรา 1 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้เรียกวา “พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ วา ดว ยคณะกรรมการการเลือกต้ัง พ.ศ. 2550” มาตรา 2 พระราชบัญญัตปิ ระกอบรัฐธรรมนูญนี้ใหใชบังคับต้ังแตวันถัดจากวันประกาศในราช กิจจานเุ บกษา เปน ตนไป มาตรา 3 ใหยกเลิกพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญวาดวยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2541 มาตรา 4 ในพระราชบญั ญัตปิ ระกอบรัฐธรรมนญู นี้ เรยี บเรียงโดย ครเู วชพล อ่อนละมัย

“เลือกต้ัง” หมายความวา เลือกตั้งสมาชิกสภาผูแทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาทองถ่ิน หรอื ผบู ริหารทอ งถน่ิ แลว แตกรณี “หนว ยเลือกตง้ั ” หมายความรวมถงึ หนวยออกเสียงประชามติ “จังหวดั ” หมายความรวมถึง กรงุ เทพมหานคร “เลขาธิการ” หมายความวา เลขาธกิ ารคณะกรรมการการเลอื กตงั้ มาตรา 5 ใหป ระธานกรรมการการเลอื กตั้งรกั ษาการตามพระราชบญั ญตั ิประกอบ รัฐธรรมนูญนี้ และใหมีอํานาจออกระเบียบหรือประกาศโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการ เลือกตั้ง เพอ่ื ปฏิบัตกิ ารใหเปน ไปตามพระราชบัญญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญน้ี ระเบียบหรือประกาศตามวรรคหนง่ึ เมือ่ ไดประกาศในราชกิจจานเุ บกษาแลว ใหใ ชบ งั คบั ได 5.1. สทิ ธใิ นการเลือกตงั้ ผูมีสิทธิและบัญชีรายช่ือ มาตรา 20 ผูมีสิทธิเลือกต้ังตองมีคุณสมบัติและไมมีลักษณะตองหาม ตามบทบญั ญัติของรฐั ธรรมนญู และมหี นาที่ไปใชสิทธิ คา ใชจา ยและวิธีหาเสียง มาตรา 21 ในการเลอื กต้งั ครง้ั ใด ถา ผมู ีสิทธิเลือกตั้งไมอาจไปใชสิทธิ เลอื กตงั้ ไดเ น่ืองจากมีเหตุอนั สมควร ใหแจง เหตุท่ไี มอ าจไป การลงคะแนนเลือกต้ัง ใชสิทธิเลือกตั้งตอบุคคลซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้งแตงตั้งไวประจํา แตละเขตเลอื กตงั้ กอนวันเลอื กตั้งไมนอ ยกวา เจด็ วัน การนับคะแนนประกาศผล ในกรณีที่บุคคลซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้งแตงตั้งพิจารณาเห็น เหตุวา ท่ผี มู ีสทิ ธเิ ลอื กตง้ั แจง นนั้ มใิ ชเ หตุอันสมควร การลงทะเบียนผูอยูนอกเขต ใหรีบแจงให ผูมีสิทธิเลือกตั้งทราบไมนอยกวาสามวันกอนวัน เลือกตง้ั การเลือกต้ังสมาชิกวุฒิสภาระเบียบการพิจารณาการแจงเหตุตามวรรคหนึ่ง ใหเปนไปที่ คณะกรรมการการเลอื กตงั้ กาํ หนดโดยประกาศใน การคัดคานการเลือกตั้ง ราชกิจจานุเบกษา ในการนี้ใหคณะกรรมการการเลือกต้ังกําหนด รายละเอียดของเหตุทท่ี ําใหผ ูม ีสิทธเิ ลือกตง้ั ไมอาจไปใชส ิทธิ บทกําหนดโทษ เลือกตั้ง ไวเพื่อเปนแนวทางในการพิจารณาของบุคคลซ่ึงคณะกรรมการการ เลอื กต้ังแตง ตัง้ ไวด ว ย เรยี บเรียงโดย ครเู วชพล อ่อนละมัย

ในการแจงเหตุท่ีไมอาจไปใชสิทธิเลือกตั้งตามวรรคหน่ึง ผูมีสิทธิเลือกต้ังจะทําเปนหนังสือ ช้แี จงเหตดุ ังกลาวและ มอบหมาย ใหบุคคลใดไปย่ืนตอบุคคลซ่ึงคณะกรรมการการเลือกตั้งแตงต้ัง แทนหรือจดั สง หนงั สือชี้แจงเหตุนน้ั ทางไปรษณียก ็ ไดใหคณะกรรมการ การเลือกต้ังปดประกาศรายช่ือบุคคลที่จะรับแจงเหตุ สถานท่ีท่ีจะรับแจงเหตุ และวิธีการแจงเหตุไว ณ ศาลากลางจังหวัด ที่วาการอําเภอ สํานักงานเทศบาล ท่ีทําการองคการ บรหิ ารสว นตาํ บล ทที่ าํ การผูใหญบ าน และเขตชมุ ชน หนาแนนท่ีเหน็ สมควร มาตรา 22 เม่ือครบกําหนดสามสิบวันหลังจากวันเลือกต้ังแลว ใหคณะกรรมการการเลือกต้ัง ประกาศรายชื่อผูไมไปใชสิทธิเลือกตั้ง และมิไดแจงเหตุตามมาตรา 21 หรือแจงเหตุไวแลวแตเหตุ นน้ั มใิ ชเหตุอันสมควร เพอ่ื ใหผูไมไ ปใชสิทธิเลือกต้ังดังกลาวแจงเหตุ ท่ีไมอาจไปใชสิทธิเลือกต้ัง ตอ บุคคลซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้งแตงตั้งภายในหกสิบวันนับแตวนั ประกาศ และใหบ ุคคลซ่งึ คณะกรรมการการเลือกตั้งแตงต้ังพิจารณาใหแลวเสร็จภายในเกาสิบวันนับจากวันส้ินสุดของการ แจงเหตุดังกลาว แลวแจงผล การพิจารณาใหผูแจงเหตุทราบโดยเร็ว ทั้งน้ีใหนํามาตรา 21 วรรค สอง วรรคสาม และวรรคส่ีมาใชบังคับโดยอนุโลม มาตรา 23 ในกรณีที่ผูมีสิทธืเลือกต้ังไมไปใช สิทธิเลือกตั้งและมิไดแจงเหตุการไมไปใชสิทธิเลือกตั้งตามมาตรา 21 หรือมาตรา 22 หรือแจงเหตุ แลวแตเหตุนั้นมิใชเหตุอันสมควร ใหถือวาผูน้ันเปนบุคคลซึ่งไมไปใชสิทธิเลือกตั้งโดยไมแจงเหตุ อันสมควร ที่ทําใหไมอาจไปใชสิทธิเลือกตั้งไดตามมาตรา 68 วรรคสองของรัฐธรรมนูญ ใหผูน้ัน เสียสิทธิการไดรับความชวยเหลือ จากรัฐตามหลักเกณฑและวิธีการท่ีคณะกรรมการการเลือกตั้ง กาํ หนด 5.2 คาใชจายในการเลอื กตั้ง มาตรา 40 เม่ือไดมีการประกาศพระราชกฤษฎีกาใหมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผูแทนราษฎรใน เขตการเลอื กต้งั ใดจนถึงวัน ผูมีสิทธิและบัญชีรายช่ือ เลือกตั้ง การใชจายในการเลือกต้ังและวิธีการหาเสียงเลือกต้ังใหเปนไป ตามบทบญั ญัตใิ นสว นนี้ ผูสมัครและการรับสมัคร มาตรา 41 ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผูแทนราษฎรแตละคร้ังให คณะกรรมการการเลือกตงั้ ประกาศกําหนดจาํ นวนเงนิ คา ใชจาย คา ใชจา ยและวธิ ีหาเสียง ในการเลอื กตั้ง ดังตอ ไปน้ี เรียบเรียงโดย ครูเวชพล ออ่ นละมัย

การลงคะแนนเลือกตัง้ (1) จาํ นวนเงินคาใชจายของผูสมัครแตละคนท่ีจะใชจายในการเลือกต้ังแบบ แบงเขตเลือกตั้ง การนับคะแนนประกาศผล (2) จํานวนเงินคาใชจายของพรรคการเมืองท่ีจะใชจาย ในการเลอื กต้งั แบบบัญชรี ายช่อื ในกรณีทผ่ี ูสมัครในบัญชรี ายชอื่ ของ การลงทะเบียนผูอ ยูน อกเขต พรรคการเมืองใดไดใชจายไปเพื่อการเลือกตั้งเปนจํานวนเทาใดใหนับ รวมเปน คา ใชจ ายของพรรคการเมอื งดว ย การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ในการกําหนดจํานวนเงินคาใชจายในการเลือกต้ังตามวรรค หน่ึง ใหค ณะกรรมการการเลือกต้ังกําหนดโดยหารอื กบั หวั หนา การคัดคานการเลือกตง้ั พรรคการเมืองทกุ พรรคทสี่ งผสู มัครรับเลอื กตั้ง บทกาํ หนดโทษ หามมิใหผูสมัครหรือพรรคการเมืองใชจายในการเลือกตั้งเกินจํานวนคาใชจายท่ีกําหนดตามวรรค หนึ่ง ทั้งนคี้ าใชจ าย ดังกลาวใหรวมถึงบรรดาเงินหรือทรัพยสินอ่ืนใดท่ีบุคคลใดๆ จายหรือรับวาจะจายแทนหรือ นํามาใหใชโดยไมคิดคาตอบแทนเพื่อ ประโยชนในการหาเสียงเลือกต้ัง โดยความยินยอมของ ผูสมัครหรือพรรคการเมืองน้ันดวย ในกรณีท่ีนําทรัพยสินมาใหใช ใหคํานวณ ตามอัตราคาเชา หรือคาตอบแทนตามปกติในทองที่นนั้ ๆ มาตรา 42 ใหผูสมัครหรือพรรคการเมือง แลวแตกรณี แตงตั้งบุคคลใดท่ีเห็นสมควรเปน สมุหบัญชีเลอื กตง้ั เพ่ือทาํ หนา ทร่ี บั ผดิ ชอบในการจัดทําและรับรองความถูกตองของบัญชีรายรับและรายจายของผูสมัคร หรือของ พรรคการเมอื งในการเลือกตงั้ นั้น การจัดทําบัญชีรายรับและรายจายของสมุหบัญชีเลือกตั้งใหเปนไปตามหลักเกณฑและ วธิ ีการทค่ี ณะกรรมการการเลือกตั้ง กาํ หนดโดยประกาศในราชกจิ จานุเบกษา มาตรา 43 ภายในกําหนดเกาสิบวันหลังจากวันประกาศผลการเลือกต้ัง ผูสมัครแตละคนหรือ พรรคการเมืองทสี่ งผสู มัคร แบบบัญชีรายชื่อตองย่ืนบัญชีรายรับและรายจายที่สมุหบัญชีเลือกต้ังจัดทําขึ้นและผูสมัครหรือ หวั หนาพรรคการเมือง แลวแตกรณีไดรับรองความถูกตอง บัญชีรายรับและรายจายอยางนอยตองประกอบดวย คา ใชจายทัง้ หมดท่ีไดจ ายไปแลว เรียบเรียงโดย ครูเวชพล ออ่ นละมัย

และยังที่คางชําระรวมทั้งหลักฐานท่ีเกี่ยวของใหถูกตองครบถวนตามความเปนจริงตอ คณะกรรมการการเลือกต้งั เม่ือคณะกรรมการการเลือกต้ังไดดําเนินการตรวจสอบรายการคาใชจายตามวรรคหน่ึงแลวให ประกาศผลการตรวจสอบ รายการคาใชจายนัน้ ตามหลักเกณฑแ ละวธิ กี ารทคี่ ณะกรรมการการเลือกตั้งกําหนดในกรณีท่ีมี การคัดคานการเลือกตั้ง วาผูสมัครผูใดหรือพรรคการเมืองใดใชคาใชจายเก่ียวกับการเลือกตั้งเกิน จํานวนเงินคาใชจายท่ีคณะกรรมการการเลือกตั้ง กําหนด ใหเก็บรักษารายการคาใชจายและ หลักฐานดงั กลา วไวจ นกวาคณะกรรมการการเลอื กตง้ั จะไดพ ิจารณาเสร็จสิ้น มาตรา 44 หามมิใหผูสมัครหรือผูใดกระทําการอยางหนึ่งอยางใดเพ่ือจะจูงใจใหผูมีสิทธิ เลอื กตั้งลงคะแนนเสยี งเลอื กตัง้ ใหแกตนเอง หรือผูสมัครอ่ืน หรือพรรคการเมืองใด หรือใหงดเวนการลงคะแนนใหแกผูสมัคร หรือพรรคการเมอื งใด ดว ยวิธกี ารดังนี้ (1) จัดทําให เสนอให สัญญาวาจะให หรือจัดเตรียมเพ่ือจะใหทรัพยสิน หรือผลประโยชนอื่น ใดอนั อาจคาํ นวณเปนเงนิ ไดแกผ ูใด (2) ให เสนอให หรือสัญญาวาจะใหเงิน ทรัพยสิน หรือประโยชนอ่ืนใดไมวาจะโดยตรงหรือ โดยออ มแกชุมชน สมาคม มลู นธิ ิ วัด สถาบนั การศกึ ษา สถานสงเคราะห หรือสถาบนั อืน่ ใด (3) ทาํ การโฆษณา หาเสยี งดว ยการจัดใหม มี หรสพหรอื การร่ืนเรงิ ตางๆ (4) เล้ียงหรือรบั จะจดั เลีย้ งผใู ด (5) หลอกลวง บังคับ ขูเข็ญ ใชอิทธิพลคุกคาม ใสรายดวยความเท็จหรือจูงใจใหเขาใจผิดใน คะแนนนยิ มของผูสมคั รหรือ พรรคการเมอื งใด มาตรา 45 หามมิใหผูใดจัดยานพาหนะนําผูมีสิทธิเลือกตั้งไปยังท่ีเลือกต้ัง เพ่ือการเลือกต้ัง หรือนํากลับไปจากท่ีเลือกตั้ง หรือจัดใหผูมีสิทธิเลือกตั้งไปยังที่เลือกต้ัง หรือกลับจากที่ เลือกต้ังดดยไมตองเสียคาโดยสารยานพาหนะหรือคาจาง ซ่ึงตองเสียตามปกติ เพ่ือจูงใจหรือ ควบคุมใหผูมีสิทธิเลือกต้ังไปลงคะแนนใหแกผูสมัครหรือพรรคการเมืองใดบทบัญญัติ ในวรรค หนึ่ง มิใหใชบังคับแกการท่ีหนวยงานของรัฐจัดยานพาหนะ เพื่ออํานวยความสะดวกแกผูมีสิทธิ เลอื กตงั้ เรยี บเรียงโดย ครเู วชพล ออ่ นละมัย

มาตรา 46 หามมิใหผูใดซึ่งมิไดมีสัญชาติไทยเขามีสวนชวยเหลือในการหาเสียงเลือกตั้งหรือ กระทาํ การใดๆเพอ่ื ประโยชน แหงการเลือกต้ังโดยประการที่เปนคุณหรือเปนโทษแกผูสมัครหรือ พรรคการเมืองใด ท้ังน้ีเวนแตการกระทํานั้นเปนการ ชวยเหลือ ราชการหรือเปนการประกอบ อาชีพตามปกติโดยสจุ รติ ของผนู นั้ มาตรา 47 หามมใิ หเ จา หนา ท่ขี องรฐั ใชต าํ แหนง หนาทโ่ี ดยมชิ อบดว ยกฎหมายกระทําการใดๆ เพื่อเปนคุณหรือเปนโทษแก ผูสมัครหรือพรรคการเมืองการใชตําแหนงหนาที่โดยมิชอบดวย กฎหมายตามวรรคหน่งึ มิไดห มายความรวมถึงการปฏิบตั ิ หนาท่ีตามปกตทิ ีพ่ ึงตอ งปฏิบัตใิ นตําแหนง ของเจาหนาที่ของรัฐน้ัน หรือการแนะนําหรือชวยเหลือ ในการดําเนินการ ท่ีเก่ียวของกับการเลือกตั้งของผูสมัครรับเลือกตั้งหรือพรรคการเมืองโดยมิได เก่ียวของกับการปฏิบัติหนาที่ แมวาการ กระทําจะเปนคุณหรือโทษแกผูสมัครหรือพรรคการเมือง ใดในกรณีมีหลักฐานอันควรเช่ือไดวามีการฝาฝนบทบัญญัติตาม วรรคหน่ึงใหคณะกรรมการการ เลือกต้ังมอี ํานาจสงั่ ใหเจา หนา ท่ขี องรฐั ยตุ หิ รอื ระงบั การกระทําใดท่เี ห็นวาอาจเปน คุณหรือ โทษแก ผูสมัครหรือพรรคการเมืองใด ในการน้ีใหคณะกรรมการการเลือกต้ังแจงใหผูบังคับบัญชาสั่งให เจาหนาท่ีของรัฐ ท่ีมีพฤติกรรมอันอาจเปนคุณหรือโทษแกผูสมัครหรือพรรคการเมืองใดพนจาก หนาท่ีเปนการช่ัวคราวหรือสั่งใหประจํา กระทรวง ทบวง กรม ศาลากลางจังหวัดหรือท่ีวาการ อําเภอ ในเขตเลอื กตั้งหรือนอกเขตเลือกตง้ั หรือหามเขาเขตเลือกตงั้ ใดเขตเลอื กตงั้ หนึง่ ได มาตรา 48 หามมิใหผูใดทําการโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งโดยวิธีการใดๆ ไมวาจะเปนคุณหรือ เปนโทษแกผูสมัครหรือ พรรคการเมืองใดนับตั้งแตเวลา 18.00 นาฬิกา ของวันกอนวันเลือกตั้ง หน่งึ วันจนสนิ้ สุดวันเลือกตงั้ มาตรา 49 ใหคณะกรรมการการเลือกตั้งจัดใหมีการประชุมหารือระหวางหัวหนาพรรค การเมอื งท่ีสงผูสมัครรับเลือกต้ัง เพ่ือพิจารณากําหนดวิธีการในการใหรัฐสนับสนุนการเลือกตั้งใน เร่อื งดังตอ ไปนี้ (1) การกําหนดใหม กี ารจดั สถานท่ปี ดประกาศและท่ีติดแผน ปายเกี่ยวกับการเลอื กต้งั ในบรเิ วณ ซ่ึงเปนของรัฐ ใหเพียงพอและเทาเทียมกันในการโฆษณาหาเสียงเลือกต้ังของผูสมัครทุกคนและ พรรคการเมอื งทกุ พรรค (2) การพิมพและจัดสงเอกสารเกยี่ วกับการเลอื กต้งั ไปใหผูมีสิทธิออกเสยี งเลอื กตั้ง (3) การกําหนดใหมีสถานที่สําหรับใหผูสมัครและพรรคการเมืองใชในการโฆษณาหาเสียงได อยางเทาเทียมกัน ในการนี้รัฐอาจจัดใหมีการแสดงหรือการดําเนินการอื่นใดเพ่ือจูงใจใหผูมีสิทธิ เรียบเรียงโดย ครูเวชพล อ่อนละมยั

เลือกตั้งมาฟงการโฆษณาหาเสียงดวยก็ได แตตองมิใชเปนการจัดใหมีเพื่อการสนับสนุนผูสมัคร หรือพรรคการเมอื งใดโดยเฉพาะ (4) การกําหนดหลักเกณฑและระยะเวลาใหพรรคการเมืองโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งทาง วิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน หรือการไปออกอากาศทางวิทยุกระจายเสียงและวิทยุ โทรทัศน ซ่งึ จะตองจัดใหท ุกพรรคการเมอื งมโี อกาสเทา เทยี มกนั (5) การสนบั สนุนของรัฐในกิจการอนื่ ท่คี ณะกรรมการการเลือกต้ังประกาศกาํ หนด มาตรา 50 หามมิใหผูสมัคร พรรคการเมือง หรือผูใด นอกจากรัฐจัดที่ปดประกาศและท่ีติด แผนปายเก่ียวกับการเลือกตั้ง ในสาธารณสถานซ่ึงเปนของรัฐ จัดสรรเวลาออกอากาศทาง วิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศนใหแกพรรคการเมือง หรือกระทํากิจการอื่นท่ีคณะกรรมการ การเลอื กต้ังประกาศกาํ หนดใหรัฐสนับสนนุ มาตรา 43 ภายในกําหนดเกาสิบวันหลังจากวันประกาศผลการเลือกต้ัง ผูสมัครแตละคนหรือ พรรคการเมืองท่ีสงผูสมัครแบบบัญชี รายช่ือตองย่ืนบัญชีรายรับและรายจายท่ีสมุหบัญชีเลือกต้ัง จัดทาํ ข้ึนและผสู มคั รหรอื หัวหนาพรรคการเมือง แลวแตกรณี ไดรับรอง ความถูกตอง บัญชีรายรับ และรายจายอยางนอยตองประกอบดวยคาใชจายท้ังหมดท่ีไดจายไปแลวและยังท่ีคางชําระ รวมทั้ง หลกั ฐานทเี่ ก่ยี วของใหถูกตองครบถวนตามความเปนจรงิ ตอ คณะกรรมการการเลือกตง้ั เมื่อคณะกรรมการการเลือกต้ังไดดําเนินการตรวจสอบรายการคาใชจายตามวรรคหน่ึงแลว ใหประกาศผลการตรวจสอบ รายการคาใชจายน้ันตามหลักเกณฑและวิธีการที่คณะกรรมการการ เลือกต้งั กําหนด ในกรณีท่ีมีการคัดคานการเลือกต้ังวาผูสมัครผูใดหรือพรรคการเมืองใดใชคาใชจายเกี่ยวกับ การเลือกต้ังเกินจํานวนเงิน คาใชจายที่คณะกรรมการการเลือกต้ังกําหนด ใหเก็บรักษารายการ คา ใชจา ยและหลกั ฐานดังกลาวไวจ นกวาคณะกรรมการการเลือกต้ัง จะไดพิจารณาเสร็จส้ิน มาตรา 44 หามมิใหผูสมัครหรือผูใดกระทําการอยางหนึ่งอยางใด เพ่ือจะจูงใจใหผูมีสิทธิ เลอื กตั้งลงคะแนนเสียงเลือกตง้ั ใหแก ตนเอง หรือผสู มัครอ่นื หรือพรรคการเมืองใด หรือใหงดเวน การลงคะแนนใหแกผสู มคั ร หรอื พรรคการเมอื งใด ดว ยวิธีการดงั น้ี (1) จัดทํา ให เสนอให สัญญาวาจะให หรือจัดเตรียมเพื่อจะใหทรัพยสิน หรือผลประโยชนอ่ืน ใดอันอาจคาํ นวณเปนเงินไดแกผ ใู ด (2) ให เสนอให หรือสัญญาวาจะใหเงิน ทรัพยสิน หรือประโยชนอ่ืนใดไมวาจะโดยตรงหรือ โดยออ มแกช มุ ชน สมาคม มูลนธิ ิ วดั สถาบันการศกึ ษา สถานสงเคราะห หรอื สถาบันอน่ื ใด เรยี บเรียงโดย ครเู วชพล ออ่ นละมัย

(3) ทาํ การโฆษณา หาเสยี งดว ยการจดั ใหมมี หรสพหรือการรน่ื เริงตา งๆ (4) เลีย้ งหรือรับจะจัดเลยี้ งผูใด (5) หลอกลวง บังคับ ขูเข็ญ ใชอิทธิพลคุกคาม ใสรายดวยความเท็จ หรือจูงใจใหเขาใจผิดใน คะแนนนิยมของผสู มคั รหรอื พรรคการเมอื งใด มาตรา 45 หามมิใหผูใดจัดยานพาหนะนําผูมีสิทธิเลือกตั้งไปยังที่เลือกต้ัง เพ่ือการเลือกต้ังหรือ นํากลับไปจากท่ีเลือกต้ัง หรือจัดให ผูมีสิทธิเลือกต้ังไปยังท่ีเลือกต้ัง หรือกลับจากที่เลือกต้ังดดย ไมตองเสียคาโดยสารยานพาหนะหรือคาจาง ซ่ึงตองเสียตามปกติ เพื่อจูงใจหรือควบคุมใหผูมี สิทธิเลือกตงั้ ไปลงคะแนนใหแ กผูสมคั รหรอื พรรคการเมืองใด บทบัญญัติในวรรคหนึ่ง มิใหใชบังคับแกการที่หนวยงานของรัฐจัดยานพาหนะ เพ่ืออํานวย ความสะดวกแกผูม ีสทิ ธิเลือกตั้ง มาตรา 46 หามมิใหผูใดซ่ึงมิไดมีสัญชาติไทยเขามีสวนชวยเหลือในการหาเสียงเลือกต้ังหรือ กระทําการใดๆ เพ่ือประโยชนแหงการ เลือกต้ังโดยประการที่เปนคุณหรือเปนโทษแกผูสมัครหรือ พรรคการเมืองใด ทง้ั น้ี เวนแตก ารกระทําน้ันเปนการชว ยเหลอื ราชการ หรอื เปน การประกอบอาชพี ตามปกตโิ ดยสุจริตของผูน ั้น มาตรา 47 หามมิใหเจาหนาท่ีของรัฐใชตําแหนงหนาที่โดยมิชอบดวยกฎหมายกระทําการใดๆ เพื่อ เปนคุณหรือเปนโทษแกผูสมัคร หรือพรรคการเมืองการใชตําแหนงหนาท่ีโดยมิชอบดวยกฎหมาย ตามวรรคหนึ่งมิไดหมายความรวมถึงการปฏิบัติหนาท่ีตามปกติ ที่พึงตองปฏิบัติในตําแหนงของ เจาหนาท่ีของรัฐนน้ั หรือการแนะนาํ หรือชว ยเหลอื ในการดําเนินการท่ีเกีย่ วของกับการเลอื กตั้ง ของผูสมัครรับเลือกต้ังหรือพรรคการเมืองโดยมิไดเกี่ยวของกับการปฏิบัติหนาท่ี แมวาการกระทํา จะเปนคุณหรอื โทษแกผ ูส มคั ร หรือพรรคการเมอื งใด ในกรณีมีหลักฐานอันควรเชื่อไดวามีการฝาฝนบทบัญญัติตามวรรคหนึ่ง ใหคณะกรรมการ การเลือกต้ังมีอํานาจส่ังให เจาหนาที่ของรัฐ ยุติหรือระงับการกระทําใดท่ีเห็นวาอาจเปนคุณหรือ โทษแกผูส มคั รหรอื พรรคการเมืองใด ในการนี้ให คณะกรรมการการเลอื กตั้งแจง ใหผ ูบงั คบั บัญชา สั่งใหเ จาหนาท่ีของรฐั ท่ีมีพฤตกิ รรมอนั อาจเปนคุณหรือโทษแกผูสมัครหรือ พรรคการเมืองใดพน จากหนาที่เปนการช่ัวคราวหรือสั่งใหประจํากระทรวง ทบวง กรม ศาลากลางจังหวัดหรือท่ีวาการ อําเภอ ในเขตเลือกตัง้ หรอื นอกเขตเลือกต้ัง หรือหา มเขา เขตเลือกต้ังใดเขตเลอื กต้งั หน่ึงได เรยี บเรียงโดย ครูเวชพล อ่อนละมัย

มาตรา 48 หามมิใหผูใดทําการโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งโดยวิธีการใดๆ ไมวาจะเปนคุณหรือ เปนโทษแกผูสมัครหรือพรรคการเมือง ใดนับต้ังแตเวลา 18.00 นาฬิกา ของวันกอนวันเลือกต้ัง หนง่ึ วนั จนส้ินสดุ วนั เลอื กต้งั มาตรา 49 ใหคณะกรรมการการเลือกต้ังจัดใหมีการประชุมหารือระหวางหัวหนาพรรค การเมอื งทส่ี ง ผสู มัครรบั เลือกตัง้ เพอื่ พิจารณากาํ หนดวิธีการในการใหรัฐสนับสนุนการเลอื กตัง้ ในเรอื่ งดังตอ ไปน้ี (1) การกาํ หนดใหมกี ารจัดสถานที่ปด ประกาศและท่ตี ดิ แผนปา ยเกีย่ วกบั การเลือกตัง้ ในบริเวณ ซ่งึ เปน ของรัฐ ใหเพยี งพอและ เทา เทียมกนั ในการโฆษณาหาเสยี งเลอื กตง้ั ของผสู มคั รทกุ คนและพรรคการเมอื งทกุ พรรค (2) การพมิ พแ ละจัดสง เอกสารเกย่ี วกบั การเลอื กต้ังไปใหผ มู สี ทิ ธอิ อกเสียงเลือกตั้ง (3) การกําหนดใหมีสถานท่ีสําหรับใหผูสมัครและพรรคการเมืองใชในการโฆษณาหาเสียงได อยางเทาเทียมกัน ในการนี้รัฐอาจจัด ใหมีการแสดงหรือการดําเนินการอื่นใดเพ่ือจูงใจใหผูมีสิทธิ เลือกตั้งมาฟงการโฆษณาหาเสียงดว ยกไ็ ด แตต อ งมิใชเปนการจดั ใหมี เพ่อื การสนบั สนุนผสู มัครหรอื พรรคการเมอื งใดโดยเฉพาะ (4) การกําหนดหลักเกณฑและระยะเวลาใหพรรคการเมืองโฆษณาหาเสียงเลือกต้ังทาง วทิ ยกุ ระจายเสยี งและวิทยโุ ทรทศั น หรอื การไปออกอากาศทางวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน ซึ่งจะตองจัดใหทุกพรรคการเมืองมี โอกาสเทา เทยี มกนั (5) การสนับสนนุ ของรัฐในกิจการอนื่ ทค่ี ณะกรรมการการเลอื กต้ังประกาศกําหนด มาตรา 50 หา มมิใหผ ูส มคั ร พรรคการเมือง หรือผูใด นอกจากรฐั จดั ท่ปี ด ประกาศและทตี่ ิดแผน ปา ย เก่ียวกับการเลือกตั้ง ในสาธารณสถานซ่ึงเปนของรัฐ จัดสรรเวลาออกอากาศทางวิทยุกระจายเสียง และวทิ ยโุ ทรทัศนใหแกพ รรคการเมืองหรอื กระทํา กจิ การอน่ื ทีค่ ณะกรรมการการเลือกตัง้ ประกาศ กาํ หนดใหรัฐสนบั สนุน 5.3 การลงคะแนนเลือกตง้ั สําหรบั ผอู ยนู อกเขตเลือกตัง้ มาตรา 79 ในการเลือกต้ัง สําหรับผูอยูนอกเขตเลือกต้ังนอกจากที่บัญญัติไวโดยเฉพาะในสวน นี้แลว ใหเปนไปตามที่บัญญัติไวในผูมีสิทธิและบัญชีรายช่ือ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ น้ี เรยี บเรียงโดย ครเู วชพล ออ่ นละมัย

ผูสมัครและการรับสมัคร มาตรา 80 ผูมีช่ืออยูในทะเบียนบานในเขตเลือกต้ังเปนเวลานอยกวาเกา สิบวันนับถึงวันเลือกต้ัง ใหมีสิทธิลงคะแนนเลือกต้ัง คาใชจายและวิธีหาเสียง ผูสมัครรับเลือกต้ัง แบบแบงเขตเลือกต้ังและแบบบัญชีรายชื่อในเขตเลือกต้ังท่ีตนมีช่ืออยูในทะเบียนบานคร้ังสุดทาย เปนเวลา การลงคะแนนเลือกตั้ง ไมนอยกวาเกาสิบวัน การนับคะแนนประกาศผล ให คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอํานาจออกประกาศกําหนดหลักเกณฑ วิธีการและเง่ือนไขในการ อํานวยความสะดวก การลงทะเบียนผูอยูนอกเขต เพ่ือประกันการใชสิทธิออกเสียงลงคะแนน เลือกตั้งของผมู ีสทิ ธิเลอื กตง้ั ซ่ึงอยูนอกเขตเลอื กตงั้ ทตี่ นมชี ื่ออยใู นบญั ชรี ายชือ่ การเลือกต้ังสมาชิกวุฒิสภา ผูมีสิทธิเลือกต้ังหรือมีช่ืออยูในทะเบียนบานในเขตเลือกต้ังเปนเวลา นอยกวาเกาสิบวันนับถึงวันเลือกต้ัง การคัดคานการเลือกต้ัง มาตรา 81 ในกรณีที่ผูมีสิทธิเลือกตั้ง ไดรับคําสั่งจากทางราชการใหไปปฏิบัติหนาที่นอกเขตเลือกต้ังท่ีตนมีสิทธิเลือกตั้งหรือจะ บท กําหนดโทษ เดินทางไปนอกเขตเลือกตั้งที่ตนตองไปใชสิทธิลงคะแนนเลือกต้ัง ใหแจงความ ประสงคการขอใชสิทธิเลือกต้ังกอนวันเลือกต้ังตอ คณะกรรมการการ เลือกต้ังประจําเขตเลือกต้ังที่ ตนมีสิทธิออกเสียงลงคะแนนเลือกต้ังเม่ือคณะกรรมการการเลือกต้ังประจําเขตเลือกต้ังได ตรวจสอบการมีสิทธิเลือกตั้งของผูแจงความประสงคตามวรรคหนึ่ง แลว ถาเห็นวาถูกตอง ให กําหนดที่เลือกตั้งกลางท่ีผูน้ันจะใชสิทธิออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้ง และแจงใหคณะกรรมการ ประจาํ หนวยเลอื กตั้งทีผ่ นู นั้ มชี ื่อในบัญชีรายชื่อผูมีสิทธิเลือกต้ังทราบและหมายเหตุสถานท่ีที่ผูน้ัน จะไปใชสทิ ธเิ ลือกตั้งในเอกสารที่ เก่ียวขอ ง หลักเกณฑและวิธีการแจงความประสงคจะลงคะแนนเลือกต้ังนอกเขตเลือกตั้ง สถานท่ีและ จาํ นวนท่ีเลือกต้งั กลางและวนั ท่ี กําหนดใหมาใชสิทธิออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้ง ใหเปนไปตามท่ีคณะกรรมการเลือกต้ังประกาศ กําหนดใหคณะกรรมการการเลือกตั้งมีอํานาจแตงต้ังคณะกรรมการประจําท่ีเลือกต้ังกลาง รวมทั้ง กําหนดการจัดทําบัญชีรายช่ือ ผูเลือกต้ังของท่ีเลือกต้ังกลางและลักษณะที่เลือกตั้งกลาง หีบบัตร เลอื กตั้งหรอื ส่ิงท่ีใชแ ทนหีบบตั รเลอื กต้งั และบตั รเลือกตง้ั วิธีการ ลงคะแนน การเก็บรักษาหีบบัตรเลือกตั้งและกิจการอ่ืนที่จําเปนเพื่อใชเฉพาะในการลงคะแนน เลือกต้งั ในทเี่ ลอื กต้งั กลางไดตาม ความเหมาะสม หีบบัตรเลือกตั้งของที่เลือกตั้งกลางอาจกําหนดใหมีลักษณะที่แตกตางจากหีบบัตรเลือกต้ังตาม มาตรา 51 หรือใชวิธีอนื่ แทนการใชหีบบัตรเลอื กตัง้ เพอ่ื ใหเหมาะสมกบั ลกั ษณะการลงคะแนนได เรยี บเรียงโดย ครเู วชพล อ่อนละมยั

มาตรา 82 ในกรณที ่ผี มู สี ทิ ธเิ ลือกตัง้ เปน ทหารประจําการ ทหารกองประจําการ ตํารวจ สมาชกิ กอง อาสารักษาดินแดง หรือ ขาราชการ และไดรับคําสั่งจากทางราชการใหไปปฏิบัติหนาที่เก่ียวกับ การรักษาความสงบเรียบรอยหรือเกี่ยวกับความมั่นคง ปลอดภัยของประเทศนอกท่ีต้ังปกติที่ตนมี ภูมิลําเนา ถาผูบังคับบัญชาของบุคคลดังกลาวต้ังแตช้ันผูบังคับกองพันหรือเทียบเทา ข้ึนไปเห็นวา บุคคลดังกลาว ไมอาจไปลงคะแนนเลือกตั้งในหนวยเลือกต้ังที่บุคคลนั้นมีสิทธิได ใหแจงให คณะกรรมการการเลือกต้ัง ทราบเพื่อขอใชสิทธิเลือกต้ังกอนวันเลือกตั้ง และใหนําความในมาตรา 81 มาบงั คับใชโดยอนุโลม มาตรา 83 ผูมีสิทธิเลือกต้ังซ่ึงมีชื่ออยูในบัญชีรายชื่อผูมีสิทธิเลือกต้ังของเขตเลือกตั้งใดแตในวัน เลือกต้ังผูนั้นมีถ่ินท่ีอยูนอกราช อาณาจักร ใหมีสิทธิลงคะแนนเลือกตั้ง ณ ประเทศที่ตนมีถ่ินที่อยู ในวันเลือกต้ัง หรือประเทศท่ีคณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศ กําหนด การใชสิทธิลงคะแนน เลือกต้งั นอกราชอาณาจกั รตามวรรคหน่ึง ผมู ีสทิ ธิเลือกตง้ั จะตอ งแจง ความประสงคก ารใชสิทธิ ลงคะแนนเลอื กตง้ั ตอบุคคลที่คณะกรรมการการเลือกตั้งแตงตงั้ เพื่อรบั บัตรประจาํ ตวั ผูเลอื กตั้ง หลกั เกณฑแ ละวธิ กี ารแจง ความประสงคการขอใชส ิทธเิ ลอื กตง้ั นอกราชอาณาจักร ใหเปนไป ตามทีค่ ณะกรรมการการ เลือกต้งั กําหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา มาตรา 84 ในกรณีที่เห็นสมควรคณะกรรมการการเลือกต้ังจะจัดใหผูมีสิทธิเลือกต้ังท่ีแจงความ ประสงคตามมาตรา 83 ใชสิทธิ ออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งทางไปรษณียก็ได การออกเสียง ลงคะแนนเลือกต้ังทางไปรษณียใหเปนไปตามหลักเกณฑและวิธีการที่ คณะกรรมการการเลือกต้ัง กาํ หนด มาตรา 85 การออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งตามสวนท่ี 9 นี้ คณะกรรมการการเลือกต้ังอาจ ดําเนินการลวงหนาเพื่อนําบัตรเลือกตั้ง มานับรวมในวันเลือกต้ังได เวนแตมีความจําเปนเฉพาะ ทอ งท่คี ณะกรรมการการเลอื กตง้ั จะกาํ หนดเปนอยา งอ่ืนก็ได ในกรณีที่หีบบัตรเลือกต้ังหรือสิ่งท่ีใชแทนหีบบัตรเลือกตั้งจากนอกราชอาณาจักรสงมาถึง สถานที่นบั คะแนนของเขตเ ลอื กตงั้ ใดหลงั จากเร่ิมนบั คะแนนแลว ใหถือวาหีบบัตรเลือกตั้งหรือสิ่ง ท่ีใชแทนหีบบัตรเลือกตั้งนั้นสงมาถึงเกินกําหนดเวลา และมิใหนับ คะแนนบัตรเลือกตั้งจากหีบ บัตรเลือกตัง้ หรือส่ิงท่ใี ชแทนหบี บัตรเลือกตง้ั น้นั เรียบเรียงโดย ครูเวชพล ออ่ นละมยั

6. กฎหมายอาญา 6.1 ความหมายของกฎหมายอาญา กฎหมายอาญา คือ กฎหมายที่รวมเอาลักษณะความผิดตาง ๆ และกําหนดบทลงโทษมาบัญญัติ ข้ึน ดวยมีจุดประสงคจะรักษาความสงบเรียบรอยภายในสังคม การกระทําที่มีผลกระทบกระเทือน ตอสังคม หรือคนสวนใหญของประเทศถือวาเปนความผิดทางอาญาหากปลอยใหมีการแกแคน กันเองหรือ ปลอยใหผูกระทําผิดแลวไมมีการลงโทษจะทําใหมีการกระทําความผิดทางอาญามาก ขน้ึ สังคมกจ็ ะขาด ความสงบสุข ความรบั ผดิ ในทางอาญาหรือการกระทาํ ความผิดทางอาญาซึ่งจะเกดิ ผลรายทําใหถูกลงโทษ นอก จากจะตอ งเปน การกระทําทมี่ ีกฎหมายบัญญัตวิ า เปน ความผดิ แลว ผกู ระทําผดิ ยังตอ งทําไปดว ย เจตนาดว ย ยกเวนการกระทําบางชนิดท่มี กี ฎหมายเขยี นไวชัดเจนวา แมก ระทําโดยไมเ จตนา หรอื กระทํา โดยประมาทกต็ อ งรบั ผิด เจตนา คือ การกระทําผดิ ทางอาญาท่ผี ูกระทาํ รูอยูแลววาส่ิงท่ตี นทํานน้ั เปนความผิดแลว ยงั ทํา ลงไปทง้ั ๆ ท่ีรูสาํ นึกในการท่ีกระทาํ ประมาท คือ การกระทาํ ท่ีผกู ระทํามิไดต ง้ั ใจใหเ กดิ ผลรายแกใ คร แตเ นอื่ งจากกระทาํ โดยไมระมดั ระวงั หรือระมดั ระวังไมเ พยี งพอ ทาํ ใหเ กิดผลรา ยแกผอู ่ืน ไมเจตนา คือ การกระทําทผี่ กู ระทําต้งั ใจทาํ เพอื่ ใหเ กิดผลอยา งหนง่ึ แตผลเกิดข้นึ มากกวา ทีต่ ้งั ใจไว พยายามกระทาํ ความผดิ คอื ผูกระทาํ ความผดิ ไดล งมือกระทาํ ความผดิ แตกระทาํ ไปไมต ลอดหรือ กระทําไปตลอดแลวแตการกระทํานั้นไมบรรลผุ ล ตัวการ คอื กรณที ่ีความผดิ ไดเ กดิ ขนึ้ โดยการกระทาํ ของบุคคลตงั้ แต 2 คนขึ้นไป ผูทีไ่ ดร วม กระทํา ความผดิ ดว ยกนั นนั้ เปน ตวั การ ผูสนับสนุน คอื ผทู กี่ ระทาํ ดว ยประการใดๆอนั เปน การชว ยเหลือหรือใหความสะดวกในการท่ผี อู ืน่ กระทําความผดิ กอนหรือขณะกระทําความผิด ความผดิ ตอแผนดนิ คอื ความผดิ ในทางอาญาในเรือ่ งนนั้ เปนเรื่องที่นอกจากจะมผี ลตอตวั ผรู บั ผลรา ยแลวยังมผี ลกระทบตอสังคมเสียหายอีกดว ย และยอมความไมไ ด ความผดิ ตอ สว นตวั คอื ความผดิ ในทางอาญาซง่ึ ไมไดม ผี ลรา ยกระทบตอสงั คมโดยตรง หากตวั เรียบเรียงโดย ครเู วชพล ออ่ นละมยั

ผูรับผลรา ยไมติดใจเอาความแลว รฐั ก็ไมอ าจยนื่ มือเขาไปดาํ เนนิ คดกี บั ผูก ระทาํ ผิดไดแ ละถึงแมจ ะ ไดด ําเนนิ คดไี ปบางแลว เมื่อตวั ผเู สยี หายพอใจยตุ คิ ดเี พยี งใดกย็ อ มทําไดด ว ยการถอนคาํ รอ งทุกข ถอนฟอง หรอื ยอมความได สภาพบงั คบั ทางอาญา \"บุคคลจักตองรับโทษในทางอาญาตอเมือ่ ไดกระทําการอันกฎหมายทใี่ ชใ นขณะกระทาํ นนั้ บญั ญัตเิ ปน ความผิดและกาํ หนดโทษไวและโทษท่จี ะลงแกผูกระทาํ ความผดิ น้นั ตองเปนโทษที่ บัญญัติไวในกฎหมาย\" หลักดังกลาวนีเ้ ปนหลกั สภาพบังคับทางอาญาท่สี ําคญั ซ่ึงอาจจะถอื ไดว า เปน หัวใจของ กฎหมายอาญา หลักน้ีไดก ลา วถงึ ลกั ษณะสาํ คัญของกฎหมายอาญาเอาไว 4 ประการ คือ 1. กฎหมายอาญาตอ งชัดเจนแนนอน 2. หา มใชก ฎหมายจารีตประเพณีลงโทษทางอาญาแกบ ุคคล 3. หามใชกฎหมายที่ใกลเ คยี งอยางยง่ิ ลงโทษทางอาญาแกบ ุคคล 4. กฎหมายอาญาไมม ผี ลยอ นหลงั โทษทางอาญาหรือสภาพบังคับทางอาญานน้ั มีผลหรือมาตรการที่รุนแรงในเรื่องการจํากัดสทิ ธิ ในรา งกาย ดังนนั้ จะตองมีความชดั เจนแนน อนไมก าํ กวม ซง่ึ แตกตา งจากกฎหมายแพง กลาวคือ ในกฎหมายแพงนัน้ มีหลกั อยวู า จะปฏิเสธวา ไมม ีกฎหมายมาปรบั ใชไ มไ ดสวนกฎหมายอาญานั้น จะอุดชองวางของกฎหมายโดยการเทยี บเคยี งบทกฎหมายท่ีใกลเคยี งอยางยิง่ ในทางทเ่ี ปนโทษไมไ ด แตในทางทเ่ี ปน คุณแลว ยอ มกระทําไดบ คุ คลจะตอ งรับผดิ ในทางอาญาเมอ่ื มกี ารกระทาํ ดงั นี้ 1) กระทําโดยเจตนา เปน การกระทําโดยผกู ระทํารูสํานกึ คือ ผูก ระทํารูส าํ นกึ ในการ เคลอ่ื นไหวรางกายของตนเอง ในขณะเดยี วกนั ผกู ระทาํ ประสงคต อผลที่เกดิ ตามทีค่ ดิ ไว หรอื ผกู ระทาํ ยอ มเลง็ เหน็ ผลในการกระทํานัน้ ตัวอยางที่ 1 นายสมชายและนางสมทรงเกดิ มปี ากเสยี งทะเลาะกนั อยา งรนุ แรง และถึงขน้ั ทาํ รา ยรางกายกนั นางสมทรงเห็นวาตัวเองไมสามารถท่จี ะสูแรงของนายสมชายได จึงไดค วา มดี ปลายแหลมทอ่ี ยูขา งๆ แทงนายสมชายทท่ี อ งจํานวน 5 ครง้ั นายสมชายถงึ แกความตายทนั ที นางสมทรง มีความผดิ ฐานเจตนาฆานายสมชาย ตัวอยา งที่ 2 เกก ับกงุ เปน เพอื่ นกัน เกพ ูดจาตอวากงุ ทีไ่ ปเท่ยี วกบั เอกชายหนมุ คนรักของเก กงุ โกรธมากจงึ ใชร องเทา สนสูงของเธอฟากศรี ษะของเกจ นเลอื ดไหล กุงมคี วามผดิ ฐานเจตนาทาํ รา ยรางกายเก เรยี บเรียงโดย ครูเวชพล อ่อนละมยั

2) กระทําโดยไมเจตนา การกระทําโดยไมเ จตนาเปน การกระทําโดยรสู าํ นึก แตผกู ระทําไม ประสงคต อผลหรอื ไมอ าจเลง็ เห็นผลของการกระทาํ วา จะเกดิ ขึ้น ตัวอยาง นายโอภาสและนายสมชัยนั่งด่มื สุราดวยกนั จนเมา แลวเกดิ มปี ากเสียงกนั นาย โอภาสโตเถยี งสนู ายสมชัยไมไ ด นายโอภาสจงึ ชกนายสมชยั ลมลงศีรษะฟาดพน้ื ถึงแกความตาย นายโอภาส มคี วามผดิ ฐานฆา คนตายโดยไมเจตนา 3) กระทาํ โดยประมาท การกระทาํ ความผดิ ไมใชโ ดยเจตนา แตกระทาํ โดยปราศจากความ ระมดั ระวงั ซง่ึ บุคคลในภาวะเชน นน้ั จะตองมีตามวิสยั และพฤตกิ ารณแ ละผกู ระทําอาจใชค วาม ระมัดระวงั เชน วา นน้ั ไดแ ตห าไดใ ชใ หเ พยี งพอไม ตัวอยาง นายสันตนิ ํามีดคัตเตอรอ อกมาเลน โดยแกวง โยนเลน ไปมาหยอกลอ กบั นายยรรยงซึง่ เปน เพ่ือนรกั ปรากฏวา สนั ตโิ ยนมดี คตั เตอรไ ปถกู แขนนายยรรยงเปน แผลกวา ง นายสนั ตยิ อ มมีความผดิ ฐานประมาททําใหผ ูอนื่ ไดร บั อันตรายแกก ายหรือจติ ใจ โทษทางอาญา โทษสําหรับกระทาํ ความผิดทางอาญา มีดังน้ี โทษสงู สดุ ทางอาญา คือ โทษประหารชวี ติ ซ่ึงผูท ถ่ี ูกประหารชวี ิตจะถกู นาํ ไปฉดี ยาหรือ สารพษิ ใหต าย 1. ประหารชวี ติ โทษทางอาญา 2. จาํ คุก 3. กักขัง 4. ปรับ 5. รบิ ทรพั ยส ิน เรียบเรียงโดย ครเู วชพล ออ่ นละมัย

7. ประมวลกฎหมายแพง และพาณิชย ประมวลกฎหมายแพงและพาณชิ ย หมายถงึ กฎหมายทีร่ วมเอาบทบญั ญตั ิทีเ่ ก่ียวกับเรือ่ ง ในทางแพงและพาณิชยมาไวดวยกันเปนหมวดหมู จัดระเบียบใหเขากัน การจัดทํากฎหมายแพง และ พาณิชยของไทย เริ่มตั้งแตสมัยรัชกาลที่ 5 จนกระท่ังถึงปจจุบันนี้ ซ่ึงเปนฉบับแกไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2535 ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย มีเนื้อหาอยทู ั้งหมด 6 บรรพ ทห่ี มายถงึ 6 หมวดหมใู หญ ๆ เรียง ตามลําดบั ดงั น้ี บรรพที่ 1 วา ดว ยหลักท่ัวไป บรรพท่ี 2 วาดวยหนี้ บรรพท่ี 3 วาดวยเอกเทศสญั ญา บรรพที่ 4 วาดว ยทรัพยสิน บรรพท่ี 5 วาดวยครอบครวั บรรพที่ 6 วา ดว ยมรดก คําวา \"บรรพ\" หมายถึง หมวดหมูใหญของกฎหมาย หมวดหมูท่ียอยลงมาจากบรรพ คือ ลักษณะ เชน บรรพ 1 หลักทว่ั ไป แบงออกเปนลักษณะบคุ คล ลกั ษณะทรัพย ลักษณะนติ กิ รรม เปน ตน หลักกฎหมายวาดวยครอบครัว 1. การหมัน้ ชายและหญิงจะทําการหมัน้ กันไดตอ เมือ่ ตา งมีอายุ 17 ปบริบูรณ ถาฝายหนง่ึ ฝา ยใด อายไุ มถงึ 17 ปบริบูรณ การหมั้นนั้นยอมเปนโมฆะ การหมั้นจะตองมีของหมั้นและจะตองสงมอบหรือโอน ทรัพยสิน อันเปนของหม้ันแกหญิงและตกเปนสิทธิแกหญิงทันที การหมั้นจะตองไดรับความ ยนิ ยอมดงั ตอไปนี้ 1. บิดาและมารดาในกรณีที่มีทั้งบิดามารดา 2. บิดาหรือมารดาในกรณีท่ีบิดาหรือมารดาตายหรือฝายใดฝายหนึ่งถูกถอนอํานาจ ปกครอง 3. ผรู บั บตุ รบญุ ธรรม ในกรณีท่ีผเู ยาวเปน บุตรบุญธรรม 4. ผูปกครอง ในกรณีท่ีไมมีบุคคลซ่ึงอาจใหความยินยอมตามขอ 1 2 3 ไดการหม้ันที่ ทําโดย ปราศจากความยนิ ยอมดังกลาวเปนโมฆยี ะ เรยี บเรียงโดย ครูเวชพล ออ่ นละมยั

2. การสมรส การสมรสจะทําไดตอเม่ือชายและหญิงมีอายุ 17 ปบริบูรณ แตในกรณีท่ีมีเหตุอันสมควรศาล อาจ อนุญาตใหทําการสมรสกอนได และการสมรสจะถือวาชอบดวยกฎหมาย ก็ตอเมื่อมีการจด ทะเบยี น สมรสกนั แลว ประโยชนของการจดทะเบยี นสมรส 1. เปนหลักประกันความม่ันคงวา เม่ือคูสมรสไดจดทะเบียนสมรสกันแลว สามีหรือ ภรรยาจะ ไปจดทะเบียนสมรสอีกไมได ถามีการจดทะเบียนสมรสอีกฝายหน่ึงยกข้ึนกลาวอางได โดยไมตอ งรอ ใหศ าลพพิ ากษาเสยี กอ น 2. ไดรับลดหยอนภาษเี งนิ ได 3. ชายหญิงท่ีอายุ 17 ปบริบูรณ แตยังไมถึง 20 ปบริบูรณ เม่ือจดทะเบียนสมรสโดย ชอบดวย กฎหมายแลว ก็กลายเปนผูบรรลุนิติภาวะคือ สามารถทํากิจการงานไดโดยไมตองไดรับ ความยินยอม จากบิดามารดาหรือผูปกครอง แมจะหยากันในภายหลังก็ยังบรรลุนิติภาวะอยูอยาง เดมิ 3. ทรัพยสินระหวา งสามีภรรยา ทรัพยสนิ ระหวางสามภี รรยา 2 ประเภท 3.1 สินสวนตัว ไดแกทรัพยสินที่ ฝายใดฝายหนึ่งมีอยูกอนสมรส เปนเคร่ืองใชสอยสวนตัว เคร่ืองแตงกาย หรือเครื่องประดับกายตามสมควรแกฐานะ หรือเครื่องมือเครื่องใชที่จําเปนในการ ประกอบอาชีพหรอื วิชาชีพของคสู มรสฝา ยใดฝายหนึง่ ฝายใดฝายหนง่ึ ไดม าระหวางสมรส โดยการ รบั มรดก หรือโดยการใหโ ดยเสนห า ของหมนั้ 3.2 สนิ สมรส ไดแก ทรัพยสินท่ี คูสมรสไดมาในระหวางสมรส ฝายใดฝายหนึ่งไดมาระหวางสมรสโดย พินัยกรรม หรือโดยการใหเปนหนังสือ เม่ือพินัยกรรมหรือหนังสือยกใหระบุวาเปนสินสมรส เปน ดอกผลของสนิ สว นตัว ถา กรณเี ปนทส่ี งสยั วาทรพั ยสินอยางหนงึ่ อยางใดเปน สินสมรสหรอื มิใช ให สันนิษฐาน ไวกอนวา เปนสนิ สมรส 4. ความสมั พนั ธใ นครอบครวั 4.1 สามีภรรยาตองอยูกินกันฉันสามีภรรยา และตองชวยเหลืออุปการะเลี้ยงดูกันตาม ความสามารถ และฐานะของตน 4.2 บุตรมีสิทธิใชน ามสกลุ ของบดิ าและมีสิทธริ ับมรดกของบิดา เรียบเรียงโดย ครูเวชพล อ่อนละมยั

4.3 บิดามารดาตองอุปการะเลี้ยงดูบุตร จนกระทั่งบุตรบรรลุนิติภาวะตองใหการศึกษาแกบุตร แมบตุ รจะอายุ 20 ปแลว แตพ ิการและหาเล้ียงตัวเองไมได ก็ยังตองอุปการะ เม่ือบุตรบรรลุนิติภาวะ แลว ตอ งอปุ การะเลีย้ งดบู ดิ ามารดา 4.4 บตุ รจะฟอ งบุพการขี องตนไมได 4.5 บดิ ามารดามีอํานาจปกครองบุตร ซง่ึ ยงั ไมบรรลุนติ ิภาวะ 4.6 บุคคลท่ีจะรับผูอื่นเปนบุตรบุญธรรมไดตองมีอายุไมต่ํากวา 25 ป และตองแกกวาผูที่จะมา เปน บุตรบญุ ธรรมอยางนอย 15 ป 4.7 บตุ รบญุ ธรรมยอมมีฐานะเชนเดียวกบั บุตรท่ชี อบดวยกฎหมายของผูรับบตุ รบญุ ธรรม นติ กิ รรม การใด ๆ อนั ทาํ ลงโดยชอบดวยกฎหมายและดวยใจสมัครมงุ โดยตรงตอ การผูกนิติสัมพันธขึ้น ระหวางบุคคล เพื่อจะกอ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซ่ึงสิทธิ (ประมวลกฎหมายแพงและ พาณชิ ย มาตรา 149) 2. นิติกรรมและสญั ญา ปจ จุบนั ความจาํ เปน ของบุคคลตา ง ๆ ในการกอ นิติสัมพนั ธมคี วามแพรหลายมากขึ้น โดย บุคคลน้ันอาจเกี่ยวพันในฐานะของผูใหสัญญาหรือผูรับสัญญา ซึ่งแลวแตสถานะ เจตนารมย หรือ วัตถุประสงค ในการทําสัญญาน้ัน ซึ่งกอ นทจี่ ะมีการกอนติ ิสมั พนั ธนั้น ควรทราบความหมาย ประเภท องคประกอบตาง ๆ ในการกอ นติ สิ มั พนั ธ เพอ่ื ประโยชนในการนาํ ไปใชต อไป นติ ิกรรม มีความหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย คอื การใด ๆ อันทําลงโดยชอบดวย กฎหมายและดวยใจสมัคร มุงโดยตรงตอการผูกนิติสัมพันธข้ึนระหวางบุคคลเพื่อกอ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงบั ซึง่ สิทธิ (ป.พ.พ.ม. 149) กลาวโดยยอ นิติกรรม คือ การกระทาํ ของบุคคลโดยชอบดวยกฎหมายและมุงตอผลใน กฎหมาย ท่ีจะเกิดข้ึนเพ่ือการกอสิทธิ เปลี่ยนแปลงสิทธิ โอนสิทธิ สงวนสิทธิ สงวนสิทธิ และ ระงับซ่ึงสิทธิ เชน สัญญาซ้อื ขาย สัญญากเู งนิ สัญญาจา งแรงงาน สัญญาใหและพนิ ัยกรรม เปนตน ประเภทของนติ ิกรรม จาํ แนกได 2 ประเภท คอื นติ ิกรรมฝายเดยี ว ไดแ ก นติ ิกรรมซึ่งเกดิ ขนึ้ โดยการแสดงเจตนาของบคุ คลฝายหนง่ึ ฝา ยเดยี ว และ มีผลตามกฎหมาย ซ่งึ บางกรณีก็ทาํ ใหผทู ํานติ ิกรรมเสยี สิทธิได เชน การกอ ตัง้ มูลนธิ ิ คาํ มนั่ เรียบเรียงโดย ครเู วชพล อ่อนละมัย

โฆษณาจะใหร างวัล การรับสภาพหน้ี การผอนเวลาชําระหนี้ใหลูกหนี้ คําม่ันจะซ้ือหรือจะขาย การทาํ พินัยกรรม การบอกกลา วบงั คับจาํ นอง เปนตน นติ ิกรรมสองฝา ย (นิติกรรมหลายฝาย) ไดแ ก นิตกิ รรมซง่ึ เกิดขึ้นโดยการแสดงเจตนาของ บุคคลตงั้ แตสองฝายขึ้นไปและทกุ ฝา ยตางตองตกลงยินยอมระหวา งกัน กลา วคือ ฝา ยหนึง่ แสดงเจตนาทาํ เปน คาํ เสนอ แลว อีกฝายหนง่ึ แสดงเจตนาเปน คาํ สนอง เมอื่ คาํ เสนอและคาํ สนองถกู ตอ งตรงกันจึงเกดิ มีนิติ กรรมสองฝายขน้ึ หรือเรียกกันวา สญั ญา เชน สัญญาซ้อื ขาย สญั ญากยู ืม สัญญาแลกเปล่ยี น สญั ญา ขายฝาก จํานอง จํานาํ เปน ตน 1.เปนการกระทําการ การทนี่ ติ ิกรรมจะเกดิ ข้นึ ไดตอ งมีการกระทําของบคุ คล 2.เปนการกระทําท่ีชอบดวยกฎหมาย หมายถึง ส่ิงท่ีกระทําไปนั้นจะตองไมขัดตอกฎหมาย ความสงบเรยี บรอ ย หรอื ศีลธรรมอนั ดีของประชาชน 3.ตองทาํ โดยสมคั รใจ บุคคลน้ันไดกระทําไปโดยความสมัครใจของตนเอง คือ มีเจตนาที่จะทํา นน่ั เอง 4.ตองการกอใหเกิดผลทางกฎหมาย กลาวคือมีเปาหมายหรือวัตถุประสงคที่จะกอใหเกิดผล ในทางกฎหมาย 5.เปน ผลผูกพันระหวางบคุ คล การทํานติ กิ รรม ความผูกพันทางกฎหมายยอ มเกดิ ระหวางบคุ คล เทานัน้ 6.ผลน้ันก็คือความเคล่ือนไหวแหงสิทธิ คือ มีการ กอ เปล่ียนแปลง โอน สงวน ระงับ ซึ่งสิทธิ ตางๆ องคป ระกอบของนิติกรรม นติ ิกรรมสามารถแยกองคประกอบไดเปน 1.องคป ระกอบทเ่ี ปนสาระสาํ คญั ไดแก บุคคล นิติกรรมจะเกิดขึ้นไดตองมีบุคคลในการทํานิติกรรม ซึ่งบุคคลท่ีจะทํานิติกรรมน้ันตอง มีความรสู าํ นกึ ในสิ่งทตี่ นกระทาํ และมคี วามสามารถในการทาํ นิตกิ รรมตางๆ ไดตามท่กี ฎหมายบัญญตั ิ วัตถุประสงค การทํานิติกรรมยอมมีวัตถุประสงคเพื่อใหเกิดความเคล่ือนไหวทางกฎหมายใน อันที่จะกอ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือ ระงับซ่ึงสิทธิ (ป.พ.พ. ม.149)และวัตถุประสงคที่จะกระทํา ตอ งไมเปน การพนวิสยั หรือขัดตอ ความสงบเรยี บรอ ยหรอื ศลี ธรรมอนั ดขี องประชาชน (ป.พ.พ. ม.150) เรยี บเรียงโดย ครเู วชพล อ่อนละมัย

แบบ ในการทํานิติกรรมตองกระทําดวยวิธีการอยางใดอยางหนึ่ง ไมวาจะมีกฎหมายบังคับให ทํา หรือเปนวิธีการท่ีเกิดจากความสมัครใจของผูทํานิติกรรมก็ตาม ซ่ึงแบบของนิติกรรมตามที่กฎหมาย บงั คบั ไวแบงเปน 5 ชนิด ดังนี้ 1.สงมอบทรัพย 2.ทําเปนหนังสือ 3.จดทะเบียนตอเจาพนักงาน 4.ทําเปน หนังสือหรอื จดทะเบียนตอพนักงานเจา หนาที่ 5.แบบพเิ ศษ เจตนา การทํานิติกรรมจะตองเกิดจากเจตนาของผูทํานิติกรรม ท่ีสมัครใจใหเกิดผลทาง กฎหมาย เจตนาถือเปนองคประกอบภายใน แยกออกได 3ประการ คือ 1.เจตนาที่จะกระทํา หมายถึง เจตนาท่ีมุงถึงความประพฤติภายนอกของบุคคล ท่ีจะเคลื่อนไหวหรือไมเคล่ือนไหวรางกาย เพื่อให บุคคลอ่ืนทราบถึงเจตนาท่ีประสงคจะแสดง 2.เจตนาที่จะแสดงออก หมายถึง ความรูสึกภายในของผู แสดงเจตนา และเจตนาท่ีจะแสดงออกนี้ยอมมีอยู เมื่อขอความหรือการกระทําถูกตองตรงกับเจตนา ภายในจิตใจของบุคคล 3.เจตนาท่ีจะแสดงนิติกรรม หมายถึง เจตนาอันมุงโดยตรงเพื่อจะใหเกิดผลใน กฎหมาย 2.องคป ระกอบเสรมิ ไดแ ก เง่อื นไข คอื การนําเอาเหตุการณที่ไมมีความแนนอนในอนาคต มากําหนดเก่ียวกับความเปนผล หรือการสน้ิ ผลของนติ กิ รรม เง่อื นเวลา คือการนาํ เอาเวลาอันเปนเหตกุ ารณใ นอนาคตทีแ่ นนอน มากาํ หนดเก่ียวกับความเปน ผลหรอื สนิ้ ผลของนติ กิ รรม 3. ทรพั ย มาตรา 137 ทรพั ย หมายความวา วตั ถุมีรูปรา ง มาตรา 138 ทรพั ยสนิ หมายความรวมท้งั ทรพั ยและวตั ถุไมมรี ปู รา ง ซง่ึ อาจมรี าคาและอาจถอื เอาได มาตรา 139 อสังหาริมทรัพย หมายความวา ท่ีดินและทรัพยอันติดอยูกับท่ีดินมีลักษณะเปนการถาวร หรือประกอบเปน อันเดียวกับทีด่ ินนั้น และหมายความรวมถึงทรพั ยสิทธิอันเก่ียวกับที่ดนิ หรือทรัพยอัน ตดิ อยกู ับทีด่ นิ หรอื ประกอบเปนอันเดียวกับท่ดี นิ นัน้ ดว ย มาตรา 140 สังหารมิ ทรพั ย หมายความวา ทรัพยส ินอื่นนอกจากอสังหาริมทรัพย และหมายความรวมถึง สทิ ธอิ ันเก่ยี วกับทรัพยส ินน้ันดวย มาตรา 141 ทรพั ยแบงได หมายความวา ทรพั ยอ ันอาจแยกออกจากกันเปน สว นๆ ไดจริงถนัดชัดแจง แต ละสวนไดร ปู บริบรู ณล าํ พังตัว มาตรา 142 ทรัพยแบงไมได หมายความวา ทรัพยอันจะแยกออกจากกันไมไดนอกจากเปล่ียนแปลง ภาวะของทรัพย และหมายความรวมถงึ ทรพั ยท ี่มีกฎหมายบญั ญัตวิ าแบงไมไดดวย เรียบเรียงโดย ครเู วชพล อ่อนละมยั

มาตรา 143 ทรัพยนอกพาณิชย หมายความวา ทรัพยที่ไมสามารถถือเอาได และทรัพยท่ีโอนแกกันมิได โดยชอบดวยกฎหมาย มาตรา 144 สว นควบของทรัพย หมายความวา สวนซึ่งโดยสภาพแหงทรัพยหรือโดยจารีตประเพณีแหง ทองถ่ินเปนสาระสําคัญในความเปนอยูของทรัพยน้ัน และไมอาจแยกจากกันไดนอกจากจะทําลาย ทํา ใหบุบสลาย หรือทําใหทรัพยน้ันเปล่ียนแปลงรูปทรงหรือสภาพไป เจาของทรัพยยอมมีกรรมสิทธิ์ใน สว นควบของทรพั ยน นั้ มาตรา 145 ไมยืนตนเปนสวนควบกับที่ดินท่ีไมนั้นข้ึนอยู ไมลมลุกหรือธัญชาติอันจะเก็บเกี่ยวรวง ผลไดค ราวหนงึ่ หรอื หลายคราวตอปไ มเปนสว นควบกับท่ีดิน มาตรา 146 ทรัพยซึ่งติดกับที่ดินหรือติดกับโรงเรือนเพียงช่ัวคราวไมถือวาเปนสวนควบกับที่ดินหรือ โรงเรือนน้ัน ความขอน้ีใหใชบังคับแกโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสรางอยางอื่น ซึ่งผูมีสิทธิในที่ดินของผูอ่ืน ใชสทิ ธนิ นั้ ปลกู สรางไวในที่ดนิ น้นั ดวย มาตรา 147 อปุ กรณ หมายความวา สังหาริมทรัพยซ่ึงโดยปกตินิยมเฉพาะถิ่นหรือโดยเจตนาชัดแจงของ เจาของทรัพยท่ีเปนประธาน เปนของใชประจําอยูกับทรัพยท่ีเปนประธานเปนอาจิณเพื่อประโยชนแก การจัดดูแล ใชสอย หรือรักษาทรัพยที่เปนประธาน และเจาของทรัพยไดนํามาสูทรัพยท่ีเปนประธาน โดยการนํามาติดตอหรือปรับเขาไว หรือทําโดยประการอื่นใดในฐานะเปนของใชประกอบกับทรัพยที่ เปนประธานน้ัน อุปกรณท่ีแยกออกจากทรัพยที่เปนประธานเปนการช่ัวคราวก็ยังไมขาดจากการเปน อุปกรณของทรัพยท่ีเปนประธานนั้น อุปกรณยอมตกติดไปกับทรัพยที่เปนประธาน เวนแตจะมีการ กําหนดไวเปน อยา งอื่น มาตรา 148 ดอกผลของทรัพย ไดแก ดอกผลธรรมดาและดอกผลนิตินัย ดอกผลธรรมดา หมายความวา สิ่งท่ีเกิดขึ้นตามธรรมชาติของทรัพย ซ่ึงไดมาจากตัวทรัพย โดยการมีหรือใชทรัพยน้ันตามปกตินิยม และสามารถถอื เอาไดเม่ือขาดจากทรัพยน้ัน ดอกผลนิตินัย หมายความวา ทรัพยหรือประโยชนอยางอื่น ทีไ่ ดม าเปนคร้ังคราวแกเจาของทรัพยจากผูอื่นเพ่ือการท่ีไดใชทรัพยนั้น และสามารถคํานวณและถือเอา ไดเปนรายวนั หรอื ตามระยะเวลาที่กาํ หนดไว มาตรา 137 ทรัพย หมายความวา วัตถมุ ีรูปราง มาตรา 138 ทรพั ยส ิน หมายความรวมทั้งทรัพยและวตั ถไุ มมรี ูปราง ซง่ึ อาจมีราคาและอาจถือเอาได มาตรา 139 อสังหาริมทรัพย หมายความวา ท่ีดินและทรัพยอันติดอยูกับที่ดินมีลักษณะเปนการถาวร หรอื ประกอบเปน อันเดยี วกับทดี่ นิ นนั้ และหมายความรวมถงึ ทรัพยสทิ ธอิ ันเก่ียวกับทดี่ นิ หรือทรัพยอัน ติดอยกู ับท่ีดินหรอื ประกอบเปน อนั เดยี วกบั ทดี่ นิ นน้ั ดว ย เรียบเรียงโดย ครูเวชพล ออ่ นละมัย

มาตรา 140 สังหาริมทรัพย หมายความวา ทรัพยสินอื่นนอกจากอสังหาริมทรัพย และหมายความ รวมถงึ สิทธิอันเกีย่ วกับทรพั ยสินนัน้ ดวย มาตรา 141 ทรัพยแบงได หมายความวา ทรัพยอนั อาจแยกออกจากกนั เปนสว นๆ ไดจริงถนัดชัดแจง แต ละสวนไดร ูปบรบิ ูรณล าํ พังตวั มาตรา 142 ทรัพยแบงไมได หมายความวา ทรัพยอันจะแยกออกจากกันไมไดนอกจากเปล่ียนแปลง ภาวะของทรัพย และหมายความรวมถงึ ทรพั ยทม่ี ีกฎหมายบัญญตั วิ า แบงไมไ ดด ว ย มาตรา 143 ทรพั ยน อกพาณชิ ย หมายความวา ทรัพยท่ไี มสามารถถือเอาได และทรัพยท่ีโอนแกกันมิได โดยชอบดวยกฎหมาย มาตรา 144 สวนควบของทรัพย หมายความวา สวนซึ่งโดยสภาพแหงทรัพยหรือโดยจารีตประเพณี แหงทองถ่ินเปนสาระสําคัญในความเปนอยูของทรัพยน้ัน และไมอาจแยกจากกันไดนอกจากจะทําลาย ทาํ ใหบ บุ สลาย หรอื ทําใหท รัพยนน้ั เปลี่ยนแปลงรปู ทรงหรอื สภาพไป เจา ของทรัพยยอมมีกรรมสิทธิ์ใน สวนควบของทรัพยนน้ั มาตรา 145 ไมยืนตนเปนสวนควบกับท่ีดินที่ไมน้ันขึ้นอยู ไมลมลุกหรือธัญชาติอันจะเก็บเกี่ยวรวง ผลไดค ราวหน่ึงหรือหลายคราวตอปไมเ ปนสวนควบกบั ท่ีดิน มาตรา 146 ทรัพยซึ่งติดกับท่ีดินหรือติดกับโรงเรือนเพียงช่ัวคราวไมถือวาเปนสวนควบกับที่ดินหรือ โรงเรือนน้ัน ความขอน้ีใหใชบังคับแกโรงเรือนหรือส่ิงปลูกสรางอยางอื่น ซ่ึงผูมีสิทธิในที่ดินของผูอ่ืน ใชสทิ ธนิ น้ั ปลูกสรา งไวใ นท่ดี ินน้ันดว ย มาตรา 147 อปุ กรณ หมายความวา สังหาริมทรัพยซึ่งโดยปกตินิยมเฉพาะถ่ินหรือโดยเจตนาชัดแจงของ เจาของทรัพยที่เปนประธาน เปนของใชประจําอยูกับทรัพยท่ีเปนประธานเปนอาจิณเพ่ือประโยชนแก การจัดดูแล ใชสอย หรือรักษาทรัพยที่เปนประธาน และเจาของทรัพยไดนํามาสูทรัพยที่เปนประธาน โดยการนํามาติดตอหรือปรับเขาไว หรือทําโดยประการอื่นใดในฐานะเปนของใชประกอบกับทรัพยท่ี เปนประธานนั้น อุปกรณที่แยกออกจากทรัพยท่ีเปนประธานเปนการช่ัวคราวก็ยังไมขาดจากการเปน อุปกรณของทรัพยท่ีเปนประธานนั้น อุปกรณยอมตกติดไปกับทรัพยท่ีเปนประธาน เวนแตจะมีการ กําหนดไวเปน อยา งอนื่ มาตรา 148 ดอกผลของทรัพย ไดแก ดอกผลธรรมดาและดอกผลนิตินัย ดอกผลธรรมดา หมายความวา ส่ิงที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของทรัพย ซึ่งไดมาจากตัวทรัพย โดยการมีหรือใชทรัพยน้ันตามปกตินิยม และสามารถถอื เอาไดเมื่อขาดจากทรัพยนั้น ดอกผลนิตินัย หมายความวา ทรัพยหรือประโยชนอยางอื่น เรยี บเรียงโดย ครูเวชพล อ่อนละมยั

ที่ไดม าเปนคร้ังคราวแกเจาของทรัพยจากผูอื่นเพื่อการท่ีไดใชทรัพยนั้น และสามารถคํานวณและถือเอา ไดเ ปน รายวนั หรือตามระยะเวลาที่กาํ หนดไว กจิ กรรมสงเสริมการเรยี นรู ผลการเรยี นรทู ่ีคาดหวงั 2. บอกสาระสําคญั ของกฎหมายที่จําเปน ในชวี ิตประจาํ วันแตละประเภทได 3. สรปุ ปญ หาของการใชก ฎหมายในสังคมไทยได คําช้ีแจง 1. แบงนักศึกษาออกเปน กลุมละ 6 คน จัดทําปายนิเทศเก่ียวกับกฎหมายที่จําเปนใน ชีวิตประจําวัน ตามหัวขอที่แตละกลุมเลือกได เพื่อเปนการเผยแพรความรูใหเพื่อน ๆ นักศึกษาใน วิทยาลยั ไดท ราบทวั่ กัน 2. ใหนักศกึ ษาแตละคนศกึ ษาขา วหนังสือพิมพท่ีเกี่ยวของกับกฎหมายประจําวันมาคน ละ 1 ฉบับเพ่ือนํามาวิเคราะหในชั้นเรียน ตามความคิดเห็นของแตละบุคคล (เชน ขาวการฆาชิงทรัพย การวางระเบิด การขายสินคาปลอดภาษี ฯลฯ โดยใหวิเคราะหวาเปนความผิดประเภทใด เจตนาหรือไม ควรไดร บั การลดหยอ นอยา งไร) ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... แบบฝกหัด ก. จงตอบคําถามตอไปน้ี 1. ตาม พ.ร.บ. ทะเบยี นราษฎร หากมีการเกิด การตาย ควรดําเนนิ การอยา งไร 2. การขอมีบตั รประจําตัวประชาชนจะดาํ เนนิ การเมื่อใด บคุ คลใดบา งทไี่ ดร ับการยกเวน 3. กฎหมายทจ่ี ําเปนในชวี ิตประจําวันมีอะไรบาง 4. องคประกอบความผดิ ตามกฎหมายอาญามอี ะไรบา ง 5. จงระบโุ ทษทางอาญา วามีอะไรบาง เรยี บเรียงโดย ครเู วชพล อ่อนละมัย

6. กรณีเชน ใดบางที่กฎหมายยกเวน ความผดิ ได 7. ตามกฎหมายแพง และพาณชิ ยร ะบคุ วามสมั พันธร ะหวางสามภี ริยาไวอยางไรบาง 8. ทรัพยมีกป่ี ระเภท อะไรบาง 9. ปญหาการใชกฎหมายมอี ะไรบา ง 10. กฎหมายและศลี ธรรมมีความสมั พันธก ันอยางไร ข. จงเลือกคาํ ตอบทถ่ี กู ตองท่สี ุดเพยี งคาํ ตอบเดียว 1. การขอมบี ตั รประจาํ ตัวประชาชน ควรทําเมือ่ มีอายคุ รบเทาใด ก. 15 ป ข. 17 ป ค. 18 ป ง. 21 ป 2. บุคคลใดตอไปนที้ ไี่ ดรบั การยกเวน โดยใชบัตรอืน่ แทนบัตรประจําตวั ประชาชนได ก. พระสงฆ ข. ขา ราชการ ค. ทหาร ง. ถูกทกุ ขอ 3. เหตกุ ารณใ ดตอ ไปนีท้ จี่ ะตอ งแจง ตอเจา หนาท่ีภายใน 15 วัน ก. คนเกดิ ข. การสรา งบา น ค. ยา ยทีอ่ ยู ง. ถูกทกุ ขอ 4. หากเราไปพบศพที่ถกู นํามาทิ้งไวขา งทาง เราควรปฏบิ ตั อิ ยางไร ก. แจง เจาหนาตาํ รวจภายใน 24 ช่วั โมง ข. แจงเจา หนา ท่ตี าํ รวจภายใน 7 วัน ค. แจง เจาพนกั งานฝายปกครองภายใน 15 วัน ง. แจง เจา พนกั งานฝายปกครองภายใน 30 วัน 5. ในกรณีท่ีเกิดเหตุการณตายในทองที่หางไกล การคมนาคมไมสะดวก กฎหมายระบุใหขยายเวลาการ แจง เหตไุ ดภายในกีว่ นั ก. 5 วัน ข. 7 วนั ค. 10 วนั ง. 15 วนั 6. ขอ ใดถูกตอ ง ก. ชายไทยอายุ 21 ป จอ งแจงขึ้นทะเบยี นทหารกองเกิน ข. พระสงฆไมต องไปตรวจเลอื กเพอ่ื รบั ราชการทหาร เรยี บเรียงโดย ครเู วชพล ออ่ นละมยั

ค. เมือ่ ปลดจากทหารกองประจําการ จะกลายเปนทหารกองหนนุ จนถงึ อายุ 46 ป ง. ผใู ดไมรับราชการทหารกองประจําการมโี ทษจําคกุ ไมเ กิน 5 ป 7. ตามรฐั ธรรมนูญฉบบั ปจจบุ นั (ฉบบั ท่ี 16) กาํ หนดจาํ นวนสมาชิกสภาผแู ทนราษฎรตามขอใด ก. จํานวนประชากรท่ัวประเทศและจาํ นวนตามบญั ชีรายช่ือ 100 คน ข. จํานวนประชากรในแตล ะทองถนิ่ รวมท้งั ตามบัญชรี ายชื่อ 400 คน ค. จํานวนเขตเลือกต้งั ท่ัวประเทศ 400 คนและจํานวนตามบัญชีรายชือ่ 100 คน ง. จาํ นวนประชากร 175,000 คน ตอผแู ทน 1 คน 8. ผูม ีสิทธเิ ลอื กต้ังตามรัฐธรรมนูญฉบบั ปจ จบุ นั ตอ งมอี ายเุ ทาใด ก. 18 ป ข. 20 ป ค. 21 ป ง. 25 ป9. บุคคลใดตอไปน้ีไมมีสิทธิไป เลือกตงั้ ก. กรรมการการเลือกตงั้ ข. นักศึกษา ค. ทหารเกณฑ ง. วิกลจรติ จิตฟนเฟอน 10. บคุ คลใดตอไปน้ี ไมเหมาะสมทจ่ี ะลงสมคั รรบั เลอื กต้งั เปน สมาชิกสภาผูแ ทนราษฎร ก. เคยเปนสมาชกิ สภาผูแทนราษฎรมาแลว ข. เคยถกู ยึดทรพั ยเพราะรํ่ารวยผดิ ปกติ ค. รบั ราชการอยูในปจ จุบนั ง. ถกู ทุกขอ 11. ขอใดไมใชความผดิ ทางอาญา ก. ความผิดฐานลกั ทรัพย ข. ความผิดฐานทํารายรางกายโดยไมมี อนั ตราย ค. ความผดิ เก่ยี วกับสญั ญา ง. ความผดิ ฐานทอดท้ิงเดก็ 12. ขอ ใดกลา วผดิ ก. หลกั ทว่ั ไปความผดิ ทางอาญายอมความกันไมไ ด ข. กฎหมายอาญาจะตองมีการตีความโดยเครงครดั ค. โทษสงู สดุ ทางอาญาคือการประหารชวี ิต ง. โทษปรับและรบิ ทรพั ยสนิ เปน การลงโทษทางแพง 13. นาย ก. ไมพอใจท่ีนาย ข. ตีสุนัขของตน จึงชักปนออกมายิ่งเพื่อตองการขู แตกระสุนปนไปถูก เด็กชายแดงลกู ชายาย ข. เสยี ชวี ติ นาย ก. มคี วามผดิ ในลักษณะใด ก. ความผดิ ฐานฆาคนตายโดยเจตนา เรียบเรียงโดย ครเู วชพล อ่อนละมัย

ข. ความผดิ ฐานฆาคนตายโดยไมเ จตนา ค. ความผดิ ฐานฆา คนตายโดยประมาท ง. ความผดิ ฐานฆาคนตายโดยการเคียดแคน 14. นายสมชาย จุดไฟเผาขยะหนาบานแตดับไมสนิท ไฟจึงลุกลามไหมบานตนเองและชุมชน นาย สมชายมคี วามผดิ หรอื ไมอ ยา งไร ก. มคี วามผดิ ฐานกระทําโดยประมาท ข. มีความผดิ ฐานกระทําโดยเจตนา ค. มคี วามผดิ ฐานกระทาํ โดยไมเ จตนา ง. มคี วามผดิ ฐานกระทาํ การโดยสาํ คัญผิด 15. ขนุ ศึกสะทา นภพ เปน นักมวยท่ชี กคูตอสูเ สียชีวติ ขณะทาํ การแขง ขนั มคี วามผิดหรอื ไมอ ยางไร ก. มีความผดิ ฐานฆา คนตายโดยไมประมาท ข. มีความผดิ ฐานกระทําการโดยไมเ จตนา ค. ไมม คี วามผดิ เพราะกฎหมายยกเวน ความผดิ ซ่ึงกระทําตามกติกาการแขง ขัน ง. ไมม คี วามผิด เพราะไมไ ดมเี จตนาใหคแู ขงขนั เสยี ชีวิต 16. เด็กชายยอดยศ อายุ 11 ป ถูกเด็กชายยิ่งยวด นองชาย อายุ 9 ป ยิงเสียชีวิตขณะเลนตํารวจจับผูราย โดยใชปนจริงของบดิ ามาเปน อาวุธ เดก็ ชายยงิ่ ยวดจะไดร ับโทษสถานใด ก. ไมไดร ับโทษเพราะไมม ีเจตนา ข. รับโทษฐานฆา คนตายโดยไมเจตนา ค. ไดร ับการยกเวนโทษเพราะเปนพน่ี อ งกัน ง. ไดร ับการยกเวนโทษ เพราะเปน เด็กอายุไมเ กิน 14 ป 17. ขอใดถือเปนอสงั หาริมทรพั ย ก. ที่ดิน ข. สิทธิจํานาํ ค. รถยนต ง. นาฬิกา 18. ดําซ้ือรถจักรยานเกาคันหนึ่งมาจากรานซอมจักรยานในตลาด ขาวจําไดวารถคันดังกลาวเปนของ ตนเองท่ีหายไปเมื่อ 3 เดือนท่ีแลว ขาวควรทาํ อยางไรจงึ จะไดร ถคนื ก. แจงความวาดาํ รับซอ้ื ของโจร ข. ขอคืนจากดําวาเปน รถของตนที่หายไป ค. ซ้อื คือจากดาํ ในราคาทีด่ าํ ซือ้ มา ง. ทาํ ท้ัง 3 กรณี เรียบเรียงโดย ครูเวชพล ออ่ นละมัย

19. ขอใดคือปญ หาการใชก ฎหมาย ข. การแปลความตามกฎหมาย ก. ความลาชา ของกฎหมาย ง. ถูกทุกขอ ค. ผูใชกฎหมาย ข. กฎหมายทะเบียนราษฎร 20. กฎหมายใดท่ถี อื วา สําคัญตอ ประชาชนมากท่ีสุด ง. กฎหมายอาญา ก. รัฐธรรมนญู ค. กฎหมายเลอื กตง้ั เรียบเรียงโดย ครูเวชพล อ่อนละมยั


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook