Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ใบความรู้ สัปดาห์ที่ 13 วิชา ศิลปศึกษา รหัสวิชา ทช 21003

ใบความรู้ สัปดาห์ที่ 13 วิชา ศิลปศึกษา รหัสวิชา ทช 21003

Published by kungchay17, 2021-12-01 04:52:37

Description: ใบความรู้ สัปดาห์ที่ 13
วิชา ศิลปศึกษา รหัสวิชา ทช 21003
ระดับ มัธยมศึกษาตอนต้น
ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอชานุมาน
สำนักงาน กศน.จังหวัดอำนาจเจริญ

Search

Read the Text Version

ใบความรู้ ครง้ั ท่ี 13 วชิ าศิลปศกึ ษา ทช 21003 ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนต้น ประวัติความเป็นมานาฎศลิ ปไ์ ทย นาฏศิลป์ไทยเป็นศลิ ปะการแสดงประจำชาติ เป็นสมบตั ขิ องชาตทิ ีม่ ีคุณค่าสูง เป็นทรัพย์สนิ ทางปัญญาท่ีบรรพบรุ ุษ ได้สรา้ งสรรคไ์ วแ้ ละไดร้ ับการถา่ ยทอดสบื ตอ่ กันมาอยา่ งต่อเนือ่ ง ทงั้ ยงั เป็นแบบแผนทยี่ ึดถือปฏบิ ตั แิ สดงถึงความ เป็นเอกลักษณ์ของชาติ สืบทอดตั้งแต่อดีตจนถงึ ปจั จุบัน การแสดงนาฏศลิ ปเ์ ป็นการแสดงที่ใชท้ า่ รำประกอบ เพ่ือ สอ่ื ใหผ้ ้ชู มเขา้ ใจเร่ืองราวของการแสดง ใหไ้ ดร้ ับความเพลิดเพลินมคี วามสุขท่ไี ดช้ มได้ฟงั เปน็ การแสดงท่ีมีความ วิจิตรงดงามมลี ลี าอ่อนชอ้ ยตามแบบอยา่ งไทย ทำใหเ้ ป็นทช่ี ่ืนชอบของผชู้ ม ความประณีตงดงามในศิลปวัฒนธรรม แขนงนี้ คนไทยทุกคนควรจะตระหนัก เห็นคุณคา่ ร่วมกนั อนุรักษ์ สืบทอดสบื สานและร่วมส่งเสริม เพื่อให้ ศลิ ปะการแสดงนาฏศิลป์ไทยคงอยู่ค่ชู าติไทยตลอดไป ความหมายของ “นาฏศลิ ปไ์ ทย” คำว่า “นาฏศลิ ป์” ตามพจนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. 2525 มคี วามหมายว่า ศิลปะแห่งการละคร หรือการฟอ้ นรำ ประทิน พวงสำลี (2541, 1) กลา่ วไวว้ ่า นาฏศลิ ป์ หมายถึง การร้องรำทำเพลง การให้ความบันเทงิ ใจอนั รว่ มด้วย ความโน้มเอยี งของอารมณแ์ ละความร้สู ึก ส่วนสำคัญสว่ นใหญ่ ของนาฏศลิ ป์ อยทู่ ี่การละครเป็นเอก หากแต่ศลิ ปะ ประเภทน้จี ำต้องอาศัยดนตรี และขบั ร้อง เขา้ รว่ มดว้ ยเพื่อเป็นการส่งเสรมิ ให้เกดิ คุณค่าในศิลปะย่ิงข้ึนตามสภาพ หรอื ตามอารมณต์ ่างๆ กนั สดุ แตจ่ ะมุ่งหมาย นอกจากนยี้ ังต้องถือเอาความหมาย การร้องการบรรเลงเขา้ ร่วมดว้ ย ธนติ อยูโ่ พธ์ิ (2516, 1) ได้กล่าววา่ นาฏศิลป์ หมายถึง การฟ้อนรำ จาตุรงต์ มนตรศี าสตร์ (2517, 1) กล่าวไว้วา่ คำว่า “นาฏศิลป์” เป็นคำสมาส แยกไดเ้ ป็น 2 คำ คือ นาฏ และ ศิลป์ นาฏ หมายถึง การฟ้อนรำ ศิลป์ ได้แก่ ส่ิงที่มนุษยส์ รา้ งขึ้นมา ในเม่ือธรรมชาตไิ ม่สามารถอำนวยให้แต่ตอ้ งสร้าง ให้ประณตี ดีงาม และสำเรจ็ สมบรู ณ์ ศลิ ปะเกิดขน้ึ ด้วยทักษะ คือ ความชำนาญในการปฏบิ ตั ิ ซึ่งพอจะประมวลความไดว้ า่ นาฏศิลป์ หมายถึงการฟ้อนรำที่มนษุ ยป์ ระดิษฐ์ขึน้ ในเม่ือธรรมชาตไิ ม่อำนวยให้ แต่ ต้องประณีตลึกซ้งึ ตรงึ ตาตรึงใจ ทัง้ เพียบพร้อมไปดว้ ย ความวิจิตรบรรจงอนั ละเอียดอ่อนและปฏิบัติให้สมบูรณ์ได้ โดยเกิดจากความชำนาญถือเอาความหมายของ การร้องและการบรรเลงเข้ารว่ มด้วย

พาณี สีสวย (2523, 6-7) ได้กล่าวถงึ คำว่า นาฏศิลป์ หมายถงึ ศิลปะในการฟอ้ นรำ หรอื ความร้แู บบแผนของ การฟ้อนรำ เปน็ ส่ิงทม่ี นุษยป์ ระดิษฐ์ขึน้ ดว้ ยความประณีตงดงาม มแี บบแผน ให้ความบนั เทงิ อันโนม้ นา้ วอารมณ์ และความรูส้ กึ ของผูช้ มให้คล้อยตาม ศลิ ปะประเภทนี้ตอ้ งอาศัย การบรรเลงดนตรแี ละการขบั ร้องเข้าร่วมด้วย อมรา กล่ำเจริญ (2542, 3) ไดก้ ล่าวถงึ คำวา่ นาฏศิลป์ หมายถงึ การฟ้อนรำทมี่ นุษย์ ประดษิ ฐข์ ้ึนจากธรรมชาติ ด้วยความประณีตอนั ลกึ ซึ้ง เพยี บพร้อมไปดว้ ยความวจิ ิตรบรรจง อนั ละเอยี ดอ่อน นอกจากหมายถึงการฟ้อนรำ ระบำรำเตน้ แล้วยังหมายถึงการรอ้ งและการบรรเลง รานี ชัยสงคราม (2544, 39) กลา่ วไวว้ ่า นาฏศลิ ป์ หมายถึง การรอ้ งรำทำเพลง การให้ความบนั เทิงใจด้วยความ โน้มเอียงของอารมณ์และความรู้สึก สว่ นสำคัญสว่ นใหญข่ องนาฏศิลปอ์ ยทู่ ่ีการละครเปน็ เอก หากแตน่ าฏศลิ ป์นนั้ จะตอ้ งอาศัยดนตรแี ละการขับรอ้ งเขา้ รว่ มดว้ ย เรณู โกศนิ านนท์ (2544, 51) ได้กล่าวถึง คำว่า นาฏศลิ ป์ หมายถงึ ศิลป์แหง่ การฟ้อนรำอนั เปน็ พื้นฐานท่ีแสดง ถงึ อารยธรรมความร่งุ เรืองของชาติทรี่ ุ่งเรืองหรืออารยธรรมทเ่ี กา่ แก่ ยอ่ มมีวฒั นธรรมทางดา้ นดนตรีนาฏศิลป์ของ ตนเอง ทม่ี าของนาฏศลิ ป์ไทย การแสดงละคร ฟ้อน รำระบำ เตน้ เปน็ ศลิ ปะที่มนุษยป์ ระดิษฐ์ข้ึนมาตง้ั แตม่ นุษย์ เริม่ อย่รู ่วมกนั เปน็ ชมุ ชนมี ววิ ฒั นาการและการพฒั นาการเป็นลำดับอย่างต่อเน่ืองท่ีไปส่กู ารละเล่นร้องรำทำเพลงแล้วมาเป็นการแสดงท่เี ลน่ เปน็ เร่อื งเป็นราว ท่มี าของการแสดงเหลา่ น้ีได้มี ผู้สันนิษฐานถึงมูลเหตุของที่มาไวห้ ลายประการ ซ่งึ อาจประมวลได้ ดงั นี้ 1. เกิดจากการเลียนแบบธรรมชาติ โดยเฉพาะการเคลอ่ื นไหวอริ ิยาบถตามธรรมชาติของมนษุ ย์ เช่น แขน ขา หน้าตา หรอื การแสดงความรู้สกึ อารมณ์ต่างๆ ของมนษุ ย์ท่ีแสดงออกมาในกริ ิยาอาการตา่ งๆ เชน่ ความโกรธ ความรัก โศกเศร้า เสยี ใจ มนุษย์ได้ใชล้ ักษณะทา่ ทางตา่ งๆ เหลา่ นใี้ นการส่ือความหมายและนำมาดดั แปลงให้ น่มุ นวลน่าดูชดั เจนไปกวา่ ธรรมชาติ จนเกดิ เป็นศิลปะ การฟ้อนรำขน้ึ และใชเ้ ป็นการแสดงโดยมวี ิวัฒนาการมาเปน็ ลำดบั จนกระทัง่ เกดิ เปน็ ท่าทางการร่ายรำท่ีงดงามทีเ่ ปน็ พน้ื ฐานของการฟ้อนรำทางนาฏศิลป์ เรยี กว่า ภาษาท่ารำ ทางนาฏศลิ ป์ เช่น 2. เกิดจากการมนุษยค์ ดิ ประดิษฐเ์ ครือ่ งบนั เทงิ ใจ เมอ่ื หยุดพกั จากภารกจิ ประจำวัน เปน็ การผ่อนคลายความเหนด็ เหน่อื ยโดยเริ่มจากการเล่าเรื่องตา่ งๆ สู่กันฟงั เชน่ นิทาน นยิ าย ตอ่ มาได้มีววิ ัฒนาการโดยนำเอาดนตรมี า ประกอบการเลา่ เรื่องเหลา่ นั้นเรียกวา่ การขบั เสภา ภายหลังมีการประดษิ ฐ์ทา่ ทางต่างๆ และมกี ารพฒั นารูปแบบ ไปเปน็ การร่ายรำจนถงึ ขน้ั การแสดงเป็นเรื่องราว

3. เกดิ จากการละเล่นเลียนแบบของมนุษย์ ท่ีมักหาความสนุกสนานเพลดิ เพลนิ จากการเลยี นแบบแม้เร่ืองราวของ ตนเอง เช่น เลียนแบบท่าทางของพ่อ แม่ ครู ผ้ใู หญ่ หรอื เลียนแบบธรรมชาติสงิ่ แวดล้อมตา่ งๆ เช่น การเลน่ งูกิน หาง การเลน่ ขายของ การเลน่ มอญซ่อนผ้า ความสนุกของการเล่นเลยี นแบบอยทู่ ่ีการได้เล่นเป็นคนอนื่ ซ่ึงถอื เปน็ การเรียนรู้ในเร่อื งของ การแสดงขนั้ ต้นของมนุษย์ ท่ีนำไปสู่การสรา้ งสรรค์การแสดงนาฏศลิ ป์ ๔. เกดิ จากการเซน่ บวงสรวงบูชาเทพเจ้า ในสมยั ก่อนมนษุ ย์มีความเชอ่ื ในเรื่องเทพเจ้าพระผ้เู ปน็ เจา้ สงิ่ ศักดส์ิ ิทธิ์ และจะเคารพบูชาในสงิ่ ทีต่ นนับถอื เมื่อมนุษย์เกดิ ความหว่ันกลัว จะมีการเคารพสักการบูชาสิง่ ศกั ดิ์สทิ ธิ์ เรม่ิ จาก การอธษิ ฐานบวงสรวงบชู าด้วยอาหาร ต่อมา มีการบวงสรวงบชู าด้วยการร่ายรำ มีการเล่นเคร่ืองดนตรีดดี สีตีเป่า และมีการรอ้ งประกอบ เพอ่ื ให้เทพเจา้ พอใจมคี วามกรุณาผ่อนผันหนักเป็นเบาหรือประทานให้ประสบความสำเรจ็ ในสง่ิ ที่ปรารถนา จากความเชื่อเหลา่ นี้ จงึ ไดเ้ กิดลทิ ธทิ างศาสนาและตำนานเก่ยี วกบั เทพเจ้า ในสมัยสุโขทัย มีหลักฐานสำคญั คือ หลักศลิ าจารึกท่ีปรากฏคำวา่ “ระบำรำเต้นเล่นทุกวัน” ทำให้เขา้ ใจได้ว่า สมัยสุโขทยั น้ีมรี ะบำเกิดข้นึ แตค่ ำว่า ละครยงั ไม่ปรากฏและในสมัยน้ี มวี ฒั นธรรมของอนิ เดยี แพรห่ ลายเข้ามามากมายโดยเฉพาะศลิ ปะการฟอ้ นรำ อนิ เดยี เปน็ ชาติท่ีมคี วามเจริญก่อนวัฒนธรรมจงึ แพร่หลายเข้าไปในชมพูทวีป การฟ้อนรำของอนิ เดียมีตำราแต่ โบราณ เรยี กว่า “นาฏยศาสตร์” ประเทศไทย ก็ได้รบั อทิ ธิพลทางอารยธรรมนใ้ี นดา้ นการฟ้อนรำ โดยได้นำมา ดดั แปลงแต่งเติมใหเ้ หมาะสมตรงกบั ความนิยม ตำนานการฟอ้ นรำของอินเดยี ในกาลครั้งหน่งึ ที่ป่าตาระกะเปน็ สถานที่อดุ มดว้ ยพืชผลนานาชนิด มีความสงบร่มรน่ื สวยงาม บรรดาฤๅษีทั้งชาย และหญิงตา่ งพากนั ไปตั้งอาศรมบำเพ็ญพรตอยกู่ ันเป็นจำนวนมาก ต่อมาบรรดาฤๅษเี หล่านัน้ ไดป้ ระพฤติผดิ เทว บัญญัตมิ ักมากไปดว้ ยกามราคะ ร้อนถึงพระอิศวร เม่อื ทรงทราบเหตดุ งั นีจ้ ึงชวนพระนารายณล์ งไปปราบพญา อนนั ตนาคราช ซึ่งเป็นบลั ลังก์ ของพระนารายณก์ ็ขอตามเสดจ็ ไปดว้ ย พระอิศวรทรงแปลงรา่ งเป็นดาบสหนุ่มรูป งาม ส่วนพระนารายณ์ทรงแปลงร่างเปน็ ดาบสสินีสาวกสาว ทงั้ สองพระองค์กเ็ สด็จมายังบรเิ วณปา่ ตาระกะและ บริเวณอาศรมของฤๅษี บรรดาฤๅษหี ญิงท้ังปวงแลเหน็ ดาบสหนุม่ รูปงามเดนิ เขา้ มาต่างก็เกิดอารมณ์รกั พากันเข้ารมุ ลอ้ มพดู จาย่วั ยวนตา่ งๆ สว่ นพวกฤๅษีชายแลเห็นดาบสสนิ ีสาวสวยต่างเข้ารมุ ลอ้ มเกย้ี วพาราสจี งึ ทำใหเ้ กิดความหงึ หวงกนั ท้งั สองฝา่ ย ประหตั ประหารกันเองจนได้รบั ความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส พระอิศวรและพระนารายณ์ตา่ ง กลายรา่ งกลับคืนตามเดิมพร้อมท้งั กล่าวสัง่ สอน ใหร้ ู้สำนึกผิดชอบชว่ั ดี ได้มยี กั ษค์ ่อมตนหน่ึงชอ่ื มยุ ะละคะ (หรืออสูรมูลาคน)ี เข้ามาขัดขวางพยายาม จะช่วยเหลอื เหลา่ บรรดาฤๅษพี วก นน้ั พระอิศวรจงึ ลงโทษโดยเอาพระบาทเหยยี บยกั ษต์ นนน้ั ไว้ แล้วแสดงท่าทางการร่ายรำด้วยความงดงามอยา่ งท่ี ไม่เคยมปี รากฏมาในโลก

พญาอนันตนาคราชท่ีไดต้ ามเสดจ็ มาในคราวน้นั ได้เห็นการรา่ ยรำของพระอิศวรเกิดความประทบั ใจชนื่ ชมใคร่ อยากจะเห็นพระอิศวรทรงฟ้อนรำอีก จึงได้กราบทลู ปรึกษาพระนารายณ์ และพระนารายณ์ได้ทรงแนะนำให้พญา อนนั ตนาคราชไปบำเพ็ญตบะ พญาอนนั ตนาคราช จงึ ไปน่ังบำเพ็ญตบะที่เขาไกรลาศซึ่งเป็นสถานที่ที่พระอิศวร ประทับอยแู่ ละเพ่งกระแสจติ อย่างแนวแน่ จนในที่สุดพระอิศวรก็ได้เสด็จลงมา พญาอนันตนาคราชจึงกราบทูล ความประสงคแ์ ก่พระอศิ วร พระองค์จึงได้ประทานพรให้แสดงท่าทางการรา่ ยรำต่างๆ เหมอื นครง้ั ก่อนตามท่ี พญา อนันตนาคราชทลู ขอ (ซ่ึงต่อมาราว พ.ศ. 1800 ชาวอินเดยี ไดส้ รา้ งเทวสถานและไดส้ ลัก รปู ทา่ รำตา่ งๆ ของพระ อิศวรครบ ๑๐๘ ทา่ เรียกว่า “เทวรปู ปางนาฏราช”) ของคนไทย ดังน้ันการศึกษาเรอ่ื งราวของนาฏศิลปไ์ ทยจงึ จำเป็นทผี่ ู้เรียนต้องเขา้ ใจเร่ืองราวทม่ี าของการฟ้อนรำ ของอินเดียควบคไู่ ปด้วย ต่อมาพระอศิ วรทรงมีประสงค์ที่จะให้เหลา่ บรรดาเทวดานางฟา้ ท้ังหลายได้เห็นการรา่ ยรำของพระองค์ จึงประกาศ ใหป้ ระชุมเทวสภา พระอิศวรกแ็ สดงการรา่ ยรำท่ามกลางที่ประชุม เทวสภาด้วยท่าทาง อันสงา่ สวยงาม เปน็ ท่นี ยิ ม ยนิ ดโี ดยทวั่ กัน พระนารทฤๅษีซงึ่ อยู่ในท่ีนนั้ ไดจ้ ดบันทกึ สร้างเป็นตำราการฟอ้ นรำขนึ้ พระภรตฤๅษเี ป็นผบู้ ัญญตั ิ วธิ กี ารแสดงละคร โดยแต่งเป็นโศลกบรรยายทา่ รำต่างๆ ของพระอศิ วรท้งั 108 ทา่ ให้รำเบิกโรงด้วยลีลารำตาม โศลกท่ขี ับเป็นทำนองตัง้ แต่ต้นจนจบ แลว้ จับเร่อื งให้แสดงเรอ่ื งกวนน้ำอมฤต ซ่งึ ตำนานการแสดงละครของพระ ภรตฤๅษนี ี้มีชือ่ วา่ นาฏยศาสตร์ บางท่ีกเ็ รยี กว่า ภรตศาสตร์ ตามชอ่ื ของทา่ นผู้แต่ง (พระภรตฤๅษีผู้รจนานาฏย ศาสตร์ คนไทยนบั ถือเป็นปรมาจารย์ทางดา้ นนาฏศลิ ป)์ พระภรตฤๅษีปฐมาจารย์ทางด้านนาฏศลิ ป์ ทม่ี าของภาพ : สุนทรียศิลป์ 5, องคก์ ารค้าครุ ุสภา ตำราของรำไทย ตำรานาฏยศาสตร์ท่ีพวกพราหมณช์ าวอนิ เดียนำเข้ามาในประเทศไทย รปู แบบเปน็ อยา่ งไร ไมม่ ีหลักฐานแน่ชัด แต่ มเี ค้าพอสันนิษฐานได้ว่าตำรานาฏศาสตร์ที่พวกพราหมณช์ าวอินเดีย นำเข้ามานนั้ คงจะได้แปลเปน็ ภาษาไทย เฉพาะบางสว่ นน่าจะเป็นหลักฐานไดว้ ่าตำรารำของไทย แต่เดมิ นา่ จะแปลมาแต่ตำรานาฏยศาสตร์ของอนิ เดยี แต่ จะแปลไว้อย่างไรขอ้ นี้ไม่ทราบเพราะตำราของไทยได้สูญหายไปเมื่อครัง้ กรงุ ศรีอยธุ ยาเสียแก่พม่า ตำรารำที่ได้ รวบรวมไว้มเี ก่าทสี่ ดุ ทส่ี รา้ งขึ้นในสมยั รชั กาลท่ี 1 เปน็ ตำราทา่ รำต่างๆ เขียนเป็นรูประบายสีปดิ ทอง 1 เลม่ มี ลกั ษณะชำรุด ขาดหาย อีกเล่มหนึง่ เป็นตำราท่ารำตา่ งๆ มีลกั ษณะเป็นระเบยี บเดยี วกนั แสดงว่าตำรารำ ทไ่ี ด้มา จาก พระราชวังบวรฯ นา่ จะเปน็ การคดั ลอกมาจากตำรารำเล่มในรัชกาลท่ี 1 และเปน็ หลักฐานใหร้ ู้ได้อีกว่าท่ารำ ตา่ งๆ ท่ขี าดไปจากเลม่ รัชกาลท่ี 1 นัน้ เปน็ ท่าใดบา้ ง โดยอาศยั หลกั ฐานทไ่ี ดจ้ ากตำรารำทั้งสองเลม่ น้ีเข้าใจวา่ ตำรา รำแบบน้ี น่าจะมีมาตง้ั แต่สมัยกรงุ ศรีอยธุ ยา ครน้ั ถงึ สมยั รัชกาลที่ 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟา้ จุฬาโลก โปรดให้ครูละคร ทำตำราทา่ รำขนึ้ ใหม่ไว้เป็นแบบแผน ครน้ั ต่อมาจึงโปรดใหเ้ จ้านายในวังคัดลอกตำรานัน้ ไว้เปน็ แบบฉบบั สำหรบั ละคร

ความสำคญั ของนาฏศลิ ปไ์ ทย นาฏศิลปน์ อกจากจะเป็นเคร่ืองมือบนั เทิงใจสำหรบั มนษุ ย์แลว้ นาฏศิลปย์ งั เปน็ การแสดงออกทางศลิ ปวัฒนธรรมที่ ดีของชาติ และมีความสำคญั ตอ่ วถิ ีชีวติ ของมนษุ ย์ในพิธีกรรมตา่ งๆ ตลอดทัง้ ยังสามารถสะทอ้ นให้เห็นถึงความ แตกต่างของสังคม ซ่ึงส่งผลให้นาฏศิลป์ มีความสำคญั ดังน้ี 1. นาฏศิลป์แสดงถึงความเป็นเอกลกั ษณ์ประจำชาติ ท่ีแสดงให้เหน็ ถึงเอกลักษณเ์ ฉพาะ ทส่ี ะทอ้ นถึงระดบั จติ ใจ สภาพความเป็นอยู่ ความรู้ความสามารถ ความเปน็ ไทย ความเจริญรงุ่ เรือง วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ซงึ่ อารย ธรรมเหล่านีม้ กี ำเนดิ จากศิลปะทม่ี ีคุณค่า ทำใหเ้ กิดความคดิ ทีจ่ ะช่วยกนั สร้างสรรค์ ความเจรญิ กา้ วหน้าให้แก่ บ้านเมือง และตระหนักถึงความสำคญั ทจ่ี ะต้องรักษานาฏศิลปไ์ วเ้ ป็นสมบตั ิทางวัฒนธรรมของชาติ ดงั ท่เี รณู โกศิ นานนท์ (2535, 6) กลา่ วถงึ นาฏศิลปไ์ ทยท่ีแสดงถงึ ความเป็นไทยไว้ดังน้ี 1.1) ทา่ รำออ่ นช้อยงดงามและแสดงอารมณ์ตามลกั ษณะที่แทจ้ ริงของคนไทยมีความหมายกว้างขวาง 1.2) จะต้องมีดนตรปี ระกอบดนตรนี จ้ี ะแทรกอารมณห์ รือรำกบั เพลงทมี่ ีแต่ทำนองก็ได้ หรอื มีเนื้อร้องและให้ทา่ ไป ตามเนื้อร้องนั้นๆ 1.3) คำร้อง หรือเน้ือรอ้ งจะต้องเปน็ คำประพนั ธ์ สว่ นมากจะเป็นกลอนแปด ซ่งึ จะนำไปร้องกับเพลงชัน้ เดียวหรอื เพลงสองชั้นได้ทุกเพลง คำร้องนท้ี ำใหผ้ ูส้ อน หรอื ผรู้ ำกำหนดท่ารำไปตามเนื้อรอ้ ง 1.4) เครอื่ งแตง่ กายละครไทย ซึง่ ผิดแผกกบั เครอ่ื งแต่งกายละครของชาติอน่ื มแี บบอย่างของตนโดยเฉพาะขนาด ยืดหยนุ่ ไดต้ ามสมควร เพราะการสวมจะใชก้ ลงึ ด้วยด้ายแทนท่ีจะเยบ็ สำเร็จรปู การแต่งกายของละครไทยอาจจะ คล้ายของเขมรก็เพราะได้แบบอย่างจากไทยไป 2. นาฏศิลป์เป็นแหลง่ รวมของศลิ ปะแขนงตา่ งๆนาฏศลิ ปไ์ ม่ไดจ้ ำกัดเฉพาะเร่ืองของ การร้องรำทำเพลงเทา่ นนั้ แต่ นาฏศลิ ป์ยงั ไดร้ วมเอาศลิ ปะประเภทอืน่ ๆ มาใช้รว่ มในการแสดงด้วย เชน่ ศิลปะในการประพนั ธ์หรือวรรณคดี ศิลปะการออกแบบเคร่ืองแต่งกาย ตลอดจนไฟฟา้ แสงเสียงกร็ วมอย่ดู ้วย ดงั นั้นจงึ กล่าวได้วา่ นาฏศิลป์มี ความสำคัญคือ เป็นแหลง่ รวมของศิลปะสาขาต่างๆ เข้าดว้ ยกนั ด้วยความประณตี ละเอียดออ่ นและรอบคอบสุขุม ถึงจะสามารถทำใหก้ ารแสดงนาฏศิลปส์ มบรู ณ์แบบสวยงาม จากความสำคัญของนาฏศลิ ป์ทกี่ ล่าวมาในข้างต้น จงึ ไดจ้ ดั ใหม้ กี ารเรยี นการสอนนาฏศลิ ป์เพื่อสร้างความตระหนกั และส่งเสรมิ ลกั ษณะนสิ ัยทีด่ ีแก่นกั เรียน ดงั นี้ ความมุ่งหมายของการเรียนนาฏศิลป์โดยทว่ั ไปกเ็ พอ่ื - ใหน้ กั เรยี นมคี วามรู้ความเข้าใจในศิลปะมากยิ่งขึน้ - เพอ่ื เป็นการดำรงไวซ้ ่ึงสิทธิแห่งความเป็นเจา้ ของในสมบตั ิอนั มีค่า และเพื่อใหม้ นุษย์ รซู้ ้ึงถึงคุณคา่ ของศิลปะของ ตนเอง

- สง่ เสริมการอนุรกั ษ์ศิลปวัฒนธรรมไทย - ฝึกปฏิบตั เิ พ่อื เกดิ ความรู้ความชำนาญ สง่ เสริมการแสดงออกได้อยา่ งถูกต้องเหมาะสม - เพื่อฝกึ หัดอบรมให้เกิดความรู้ ความชำนาญ มีความแตกฉานสามารถปรบั ปรุงสง่ เสริมใหไ้ ด้รบั การยกยอ่ ง ชมเชย - เพ่ือทำนุบำรุงและสง่ เสริมศิลปวัฒนธรรมของชาติใหค้ งอยแู่ ละเจริญก้าวหนา้ - เพือ่ ปลกู ฝงั และส่งเสริมค่านิยมทางศิลปะ เหน็ คุณค่าของนาฏศิลปท์ ี่เปน็ มรดกทางวฒั นธรรม ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถ่ิน และภูมิปัญญาไทย ประโยชนข์ องการเรยี นนาฏศิลป์ไทย 1. มโี อกาสได้แสดงออกและมคี วามเพลดิ เพลนิ 2. ปลกู ฝังให้มนี ิสยั รกั ในศลิ ปะแขนงน้ี 3. เป็นการสืบสานและรว่ มกันรกั ษานาฏศลิ ปข์ องไทยให้เป็นสมบตั ิอนั มีคา่ ประจำชาติสบื ไป 4. เป็นการสันทนาการท่ีดีทางหนงึ่ ถงึ แมว้ ่าจะไม่ได้แสดงเองก็ตามเพราะขณะที่ไปชมการแสดงก็จะมคี วามเข้าใจ เกดิ ความสนกุ สามารถวิจารณไ์ ด้ถูกต้อง 5. ช่วยสง่ เสริมความถนดั หากมคี วามสนใจ มีความถนัด และมีใจรักอาจเป็นแนวทางประกอบอาชีพได้ 6. ร่วมแสดงและทำงานร่วมกับบคุ คลอื่นได้ เปน็ ผู้มีมนุษยสัมพนั ธ์ท่ีดี 7. ช่วยในการสรา้ งบคุ ลิกภาพ ให้มกี ารเคลื่อนไหวไม่ขัดตา ทา่ ทางสง่างาม นา่ ดู ไมเ่ ก้อเขนิ และเหนียมอาย เม่ืออยู่ ตอ่ หนา้ คนจำนวนมาก 8. เป็นการออกกำลังกายที่ได้บรหิ ารทุกส่วนของร่างกาย ทำใหก้ ล้ามเนื้อแข็งแรงด้วย สรปุ นาฏศิลป์ เปน็ ศลิ ปะแห่งการละครหรือฟ้อนรำ เปน็ สิ่งท่มี นุษย์สรา้ งขน้ึ ด้วยความประณตี งดงาม มแี บบแผน ให้ ความบนั เทงิ และยงั แสดงให้เหน็ ถึงอารยธรรมของชาติท่ีเจรญิ รงุ่ เรือง มีวฒั นธรรมทางด้านดนตรี – นาฏศิลป์ สืบ ตอ่ กนั มา


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook