ช้ันดนิ และซากดกึ ดาบรรพ์ จัดทาโดย นายเปรมชัย กองธรรม
คำนำ หนงั สือฉบบั นีไ้ ดจ้ ดั ทำขนึ้ เพ่ือสง่ เป็นรำยงำนซง่ึ เป็นสว่ นหนง่ึ ของวชิ ำ นวตั กรรมและเทคโนโลยีทำงวิทยำศำสตรศ์ กึ ษำ โดยในรำยวิชำนีม้ ีเนือ้ หำ เก่ียวกบั กำรใชง้ ำนโปรแกรมและกำรผลิตส่อื เพ่ือกำรสอนนกั เรยี นรวมถึงกำร นำเสนอผลงำนสว่ นตวั ซง่ึ เป็นประโยชนต์ อ่ ผเู้ รยี นเป็นอยำ่ งย่ิง โดยเนือ้ หำของ หนงั สอื เลม่ นีจ้ ะกลำ่ วถงึ เร่อื งชนั้ ดินและซำกดกึ ดำบรรพ์ ซง่ึ อยใู่ นรำยวิชำ วิทยำศำสตร์ ของชนั้ ประถมศกึ ษำปีท่ี 6 ซง่ึ เป็นเนือ้ หำท่ีผจู้ ดั ทำสนใจท่ีจะ จดั ทำขนึ้ มำเพ่ือนำเสนอแกผ่ ทู้ ่ีสนใจไดศ้ กึ ษำตอ่ ไป
สารบัญ หนำ้ ตดั ดนิ ................................................................ 1. กระบวนกำรสรำ้ งดนิ .................................................. 3. ประเภทของดิน.......................................................... 6. ลกั ษณะและสมบตั ิของดนิ .......................................... 7. ประโยชนข์ องดิน........................................................18. ซำกดกึ ดำบรรพ.์ .........................................................20. กระบวนเกิดซำกดกึ ดำบรรพ.์ ...................................... 23. ประเภทของซำกดกึ ดำบรรพ.์ ....................................... 25. ประโยชนข์ องซำกดกึ ดำบรรพ.์ ...................................... 29.
หน้าตดั ดิน 1 ทรัพยากรธรณี มีส่วนสาคญั ต่อความเจริญกา้ วหนา้ ของสงั คมมนุษยเ์ ช่น ถ่าน หิน นา้ มนั เหลก็ ดีบุก ทองแดง ตะกว่ั เงิน ทอง มนุษยไ์ ดใ้ ชป้ ระโยชนจ์ ากแร่ ธาตุเหล่าน้ี โดยดดั แปลงมาเป็นเคร่ืองใชเ้ ป็นอุปกรณ์ในการ ประกอบการงาน ใชเ้ ป็นส่วนประกอบของสิ่งประดิษฐต์ ่างๆ ใชใ้ นกิจการดา้ นอุตสาหกรรม ใช้ เป็นเช้ือเพลิง ใหค้ วามร้อนและพลงั งาน จึงนบั ไดว้ า่ ทรัพยากรแร่ธาตุต่างๆ เหล่าน้ี ช่วยใหม้ นุษยไ์ ดม้ ีโอกาสอยดู่ ี กินดี มี ฐานะมน่ั คงในทางเศรษฐกิจ ดิน(soil) หมายถึง เทหวตั ถุธรรมชาติที่ปกคลุมผวิ โลกเกิดจากการ แปลงสภาพหรือสลายตวั ของหินแร่ธาตุ และอินทรียว์ ตั ถุผสม คลุกเคลา้ กนั ตามธรรมชาติรวมตวั กนั เป็นช้นั บางๆเมื่อมีนา้ และ อากาศที่เหมาะสมกจ็ ะ ทาใหพ้ ืชเจริญเติบโตและยงั ชีพอยไู่ ด้ ส่วนประกอบของดิน ดินมีส่วนประกอบท่ีสาคญั อยู่ 4 ส่วน ดงั น้ี คือ 1. ส่วนท่ีเป็นอนินทรียส์ าร ไดแ้ ก่ แร่ หิน ทราย เป็นตน้ 2. ส่วนที่เป็นนา้ คือ ความช้ืนในดิน 3.ส่วนท่ีเป็นอากาศ คือ ช่องวา่ งระหวา่ งเมด็ ดินที่มีอากาศแทรกอยู่ 4.ส่วนที่เป็นอินทรียส์ าร ไดแ้ ก่ ซากพืช ซากสตั วท์ ่ีสลายตวั มากนอ้ ย แตกต่างกนั และส่ิงมีชีวติ ในดิน ซ่ึงทา กิจกรรมต่าง ๆ ท่ีเป็นประโยชน์ ต่อพืช เช่น ไสเ้ ดือนและแมลงในดิน เป็นตน้
2 หนา้ ตดั ของดิน เป็นผลมาจากการเปล่ียนแปลงในดินทาใหเ้ กิดลกั ษณะ ต่างๆ ปรากฏอยตู่ ้งั แต่ผวิ ดินลงไปถึงช้นั วตั ถุตน้ กาเนิดดิน ตงั น้นั หนา้ ตดั ดินจึงเป็น ลกั ษณะทวั่ ไปของดินในดา้ น ปริมาณ การสะสม การสูญเสีย การแปรสภาพ และ การเคลื่อนยา้ ย เป็นตน้ ส่วนของหนา้ ตดั ดิน คือส่วนในแนวด่ิงตลอดช้นั ดินท้งั หมด นบั ต้งั แต่ผวิ พ้ืนบนสุดท่ีแตะกบั ส่วนท่ีเป็นอากาศ หรือในบางกรณีอาจจะเป็นส่วน ของนา้ ที่ไม่ลึกมากนกั และไม่ถาวร จนถึงส่วนล่างสุดซ่ึงโดยทวั่ ไปแลว้ มกั เป็นส่วน ที่พืชยนื ตน้ ประจาถ่ินไม่สามารถหยง่ั รากส่วนใหญ่ลงไปได้ หรือส่วนที่เป็นช้นั หิน แขง็ ในหนา้ ตดั ของดินน้ีอาจแบ่งเป็นช้นั ดินต่าง ๆ ออกเป็น 5 กลุ่มดว้ ยกนั แทนดว้ ยตวั อกั ษรภาษาองั กฤษตวั ใหญ่ ไดแ้ ก่ O , A , B , C และ R
กระบวนการสร้างดิน 3 วตั ถุต้นกาเนิดดนิ แร่ หิน >>> หินอคั นี, หินตะกอน, หินแปร อินทรียวตั ถุ >>> ซากพชื , ซากสตั ว์ ดินเกิดจากอนุภาคของหินและแร่ท่ีผุ พงั ผสมกบั ซากพชื ซากสตั ว์ โดยมีนา้ และ อากาศแทรกอยตู่ ามช่องวา่ งในดิน ปัจจัยในการเกดิ ดนิ : ภูมิอากาศ สิ่งมีชีวติ ภูมิประเทศ วตั ถุตน้ กาเนิด เวลา
4 “ช้นั ไถพรวน” โดยทว่ั ไปมีความหนาประมาณ 15-30 ซม. จากผิวหนา้ ดิน ช้นั ดินบนน้ีเป็นช้นั ท่ีเหมาะสมต่อการเพาะปลูก เพราะเป็นช้นั ที่มี อินทรียวตั ถุหรือฮิวมสั สูงกวา่ ช้นั ดินอื่นๆ โดยปกติจะมีสีคล้าหรือดากวา่ ช้นั อ่ืนๆ รากพชื ส่วนใหญจ่ ะชอนไชหาอาหารอยใู่ นช่วงช้นั น้ีในดิน จะ เคลื่อนท่ีไปมาทาใหฮ้ ิวมสั ผสมกบั เศษหินและแร่กลายเป็นดินที่ อุดม สมบูรณ์ เรียกวา่ ดนิ ช้ันบน
5 ส่วนช้นั ที่มีอินทรียวตั ถุนอ้ ยกวา่ รากพชื ที่ชอนไชลงมาถึงช้นั น้ีส่วนใหญ่จะเป็น รากของไมผ้ ลหรือไมย้ นื ตน้ ท่ีมีขนาดใหญ่ ท้งั น้ีเพือ่ ยดึ เกาะดินไวใ้ หพ้ ืชทรงตวั อยไู่ ด้ ไม่โค่นลม้ ลงไดง้ ่ายเม่ือมีลมพดั แรง โดยทวั่ ไปรากพชื เจริญเติบโตและดูดธาตุอาหารเฉพาะในส่วนที่เป็นดินบนและ ดินล่าง ซ่ึงดินแต่ละชนิดมีความลึกไม่เท่ากนั ดินท่ีลึกจะมีพ้ืนท่ีใหพ้ ืชหยงั่ ราก และดูดธาตุอาหารไดม้ ากกวา่ ดินที่ต้ืน การปลูกพชื ใหไ้ ดผ้ ลดีจึงควรคานึงถึง ความลึกของดินดว้ ยเรียกวา่ ดนิ ช้ันล่าง
6 เราสามารถจาแนกตามลกั ษณะของเน้ือดิน มี 3 ประเภทใหญ่ ๆ ดงั ต่อไปน้ี 1. ดนิ เหนียว (Clay) คือ ดินท่ีมีเน้ือละเอียดท่ีสุด ยดื หยนุ่ เม่ือเปี ยกนา้ เหนียวติดมือ ป้ันเป็นกอ้ นหรือ คลึงเป็นเสน้ ยาวได้ พงั ทลายไดย้ าก การอุม้ นา้ ดี จบั ยดึ และแลกเปล่ียนธาตุอาหารพชื ไดค้ ่อนขา้ งสูง จึงมีธาตุอาหารพชื อยมู่ าก 2. ดนิ ทราย (Sand) เป็นดินท่ีเกาะตวั กนั ไม่แน่น ระบายนา้ และอากาศไดด้ ีมาก อุม้ นา้ ไดน้ อ้ ย พงั ทลาย ง่าย มีความอุดม สมบูรณ์ต่าเพราะความสามารถในการจบั ยดึ ธาตุอาหารมีนอ้ ย พชื ท่ีข้ึนอยใู่ น บริเวณดินทรายจึงขาดนา้ และธาตุอาหารไดง้ ่าย 3. ดนิ ร่วน (Loam) คือ ดินที่มีเน้ือค่อนขา้ งละเอียด นุ่มมือ ยดื หยนุ่ พอควร ระบายนา้ ไดด้ ีปานกลางมี แร่ธาตุอาหารพชื มากกวา่ ดินทรายเหมาะสาหรับใชเ้ พาะปลูก
ลกั ษณะและสมบตั ิของดิน 7 สมบตั ิที่สาคญั ของดินแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ๆ ไดแ้ ก่ 1) สมบตั ิทางกายภาพ 2) สมบตั ิทางเคมี 3) สมบตั ิทางชีวภาพ 4) สมบตั ิดา้ นธาตุอาหารพชื
8 1. สมบตั ิทางกายภาพของดิน ดินแต่ละท่ี แต่ละแห่งอาจจะมีความ เหมือนหรือต่างกนั เช่นสีของดิน เน้ือดิน เป็นตน้ ลกั ษณะของดินมีผล ต่อการดูดซบั น้าหรือการอุม้ น้าของดิน เน้ือดินเป็นสมบตั ิทางกายภาพของดินท่ีมีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช เพราะพชื แต่ละชนิดชอบเน้ือดินท่ี แตกต่างกนั 1. ดินที่มีเน้ือละเอียด จะมีเน้ือดินเนียนละเอียดมีช่องวา่ งระหวา่ งเมด็ ดินเลก็ มาก เน้ือดินจบั ตวั กนั แน่น ทา ใหน้ ้าซึมผา่ นไปไดช้ า้ จึงอุม้ น้าไดม้ าก 2. ดินท่ีมีเน้ือปานกลาง จะมีเน้ือดินหยาบ และเน้ือละเอียดผสมอยเู่ ท่าๆกนั ทาใหเ้ น้ือดินโปร่ง ช่องวา่ ง ระหวา่ งเมด็ ดินไม่เลก็ และไม่ใหญเ่ กินไป ทาใหน้ ้าซึมผา่ นไดพ้ อควร จึงอุม้ น้าไดป้ านกลาง 3. ดินที่มีเน้ือดินหยาบ จะมีเน้ือดินหยาบ เมด็ ดินมีขนาดใหญ่ จึงมีช่องวา่ ง ระหวา่ งเมด็ ดินกวา้ งเน้ือดินไม่ จบั ตวั กนั ทาใหน้ ้าซึมผา่ นไปไดเ้ ร็วมากจึงอุม้ น้าไดน้ อ้ ย
9 เนื่องจากดินเก่ียวขอ้ งโดยตรงกบั การเพาะปลูก การเจริญเติบโตของพืช จึงข้ึนอยกู่ บั คุณสมบตั ิ ต่างๆ หลายประการของดิน คุณสมบตั ิทาง กายภาพของดิน หมายถึง คุณสมบตั ิของดินที่เราสามารถตรวจสอบไดด้ ว้ ย การแลเห็น หรือจบั ตอ้ งได้ เช่น เน้ือดิน ความโปร่งหรือแน่นทึบของ ดิน ความสามารถใน การอุม้ นา้ ของดิน และสีของดิน เป็นบางคร้ังเรียกวา่ คุณสมบตั ิทางฟิ สิกส์ เน้ือดิน (Soil Texture) คุณสมบตั ิที่เรียกวา่ เน้ือ ดินน้นั ไดแ้ ก่ ความเหนียว ความหยาบ หรือละเอียดของ ดิน ท่ีเรามีความรู้สึก เม่ือเราหยบิ เอาดินที่เปี ยกพอหมาดๆ ข้ึนมา บ้ีดว้ ยนิ้วหวั แม่มือกบั นิ้วช้ี ความรู้สึกท่ีเกิดข้ึนวา่ ดินบางกอ้ นเหนียว บางกอ้ นหยาบ และสากมือน้นั เน่ืองจาก อนุภาคของแร่หรืออนินทรียสารที่เป็นองคป์ ระกอบอยู่ ในดินน้นั มีขนาดต่างกนั อยรู่ ่วมกนั ท้งั หยาบและละเอียด เป็นปริมาณสดั ส่วนแตกต่างกนั ออกไปในแต่ละเน้ือดิน
ชนิดเนื้อดนิ กลุ่มเนื้อดนิ 10 1.ดินเหนียว 2.ดินเหนียวปนทราย 3. ดินเหนียวปนตะกอน กลุ่มดินเหนียวท่ีมีอนุภาคดินเหนียวต้งั แต่ ๔๐% ข้ึนไป 4. ดินร่วนปนดินเหนียว 5. ดินร่วนเหนียวปน ตะกอน 6. ดินร่วนเหนียวปนทราย กลุ่มดินค่อนขา้ งเหนียว หรือดินร่วนเหนียวมี อนุภาคมีอนุภาคดิน เหนียวระหวา่ ง ๒๐-๔๐% 7. ดินร่วน 8. ดินร่วนปนตะกอน 9. ดินตะกอน กลุ่มดินร่วน มีอนุภาคดินเหนียวต่ากวา่ ๓๐% 10. ดินร่วนปนทราย 11. ดินทรายปนดินร่วน 13. ดินทราย กลุ่มดินทราย มีอนุภาคดินเหนียวต่ากวา่ ๒๐% มีอนุภาคทราย มากกวา่ ๔๐% ข้ึนไป
11 สีของดิน : ดินแต่ละบริเวณจะมีสีที่แตกตา่ งกนั ไป เช่น สีดา นา้ ตาล เหลือง แดง หรือ สี เทา รวมถึงจุด ประสีต่างๆ ซ่ึงข้ึนอยกู่ บั ชนิดของแร่ที่เป็นองคป์ ระกอบในดิน สภาพแวดลอ้ มในการเกิดดิน ระยะเวลา การพฒั นา หรือวสั ดุอ่ืนๆ ท่ีมีอยใู่ นดิน
12 ดนิ สีขาวหรือสีเทาอ่อน แสดงว่า ดินสีนา้ ตาลเข้มหรือสีดา แสดงว่า ดินสีเหลืองหรือสีแดง แสดงว่า - อาจเกิดจากวตั ถุตน้ กาเนิดดิน มาจาก - ดินน้นั มีอินทรียวตั ถุอยใู่ นดินมาก หรือ - เป็นดินท่ีมีอตั ราการผพุ งั สลายตวั สูง หินท่ีมีสีจาง หรือเป็ทรายมาก หรือ บริเวณ เป็นดินท่ีเกิดจากการผพุ งั สลายตวั ของหิน-แร่ ที่ เนื่องจาก มีพวกออกไซดข์ องเหลก็ เคลือบ ท่ีมีสีจางน้นั เกิดกระบวนการทางดินท่ีทา มีสีเขม้ เช่น หินภูเขาไฟพวกบะซอลท์ แกบโบร ผวิ อนุภาคมาก ใหธ้ าตุต่างๆ ถูกชะลา้ งออกไปจากช้นั ดิน จนหมด เช่น ช้นั ดิน E หรือเกิดจากการ - มกั มีความอุดมสมบูรณ์สูง เน่ืองจากมี - มกั เกิดในในบริเวณท่ีสูงตามเนินเขา สะสมของปูน (lime) หรือยปิ ซมั (gypsum) อินทรียวตั ถุมาก หรือที่ราบไหล่เขา หรือเกลือชนิดต่างๆ กไ็ ด - ถา้ เป็นดินท่ีลุ่มต่าหนา้ ดินมีสีคล้าและดิน - ดินเหล่าน้ีมีการระบายน้าดีถึงดีมาก ถา้ - มกั เป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่า มี ช้นั ล่างมีสีเทา เน่ืองจากสภาพอบั อากาศ จะตอ้ ง ดินมีการระบายน้าในหนา้ ตดั ดินดีอยเู่ สมอ การระบายน้าดี เตรียมการระบายน้า ส่วนใหญ่จะมีสีแดง แต่ถา้ การระบายน้าของ ดินไม่ดีเท่ากรณีแรก ดินจะมีสีเหลือง
ดินสีเทาปนนา้ เงิน แสดงว่า 13 - ดินบริเวณน้นั อยใู่ นสภาวะที่มีน้า ดนิ สีประ (mottle color) หรือ ขงั ตลอด ดินทม่ี หี ลายสีผสมกนั แสดงว่า - มีการระบายน้าไม่เพยี งพอ ทาให้ -ดินบริเวณน้นั อยใู่ นสภาพที่มีน้าแช่ขงั สลบั สภาพท่ีดิน สารประกอบของเหลก็ อยใู่ นรูปที่มีสี แหง้ โดยทว่ั ไปมกั ปรากฏเป็นจุดประสีเหลืองหรือสีแดง เทา บนวสั ดุพ้นื สีเทา เป็นผลมาจาก การเปล่ียนแปลงของ สารประกอบของเหล็ก ท่ีจะแสดงสีเทาเมื่ออยใู่ นสภาวะที่มี น้าขงั (ขาดออกซิเจน) และเปล่ียนรูปเป็นสารที่ใหส้ ีแดง เม่ืออยใู่ นสภาวะดินแหง้ (มีออกซิเจนมาก) มกั จะพบในดิน นาซ่ึงมีความสูงจากระดบั น้าทะเลพอสมควร ซ่ึงน้าระบาย จากหนา้ ตดั จนแหง้ ไดใ้ นฤดูแลง้ หลงั การเก็บเกี่ยว
2. สมบัตทิ างเคมี 14 เป็นลกั ษณะภายในของดินที่เราไม่สามารถจะมองเห็นหรือสมั ผสั ไดโ้ ดยตรง ไดแ้ ก่ 1.ความเป็ นกรดเป็ นด่างของดนิ ความเป็นกรดเป็นด่างของดิน หรือที่เรียกกนั วา่ \"พีเอช\" (pH) เป็นคา่ ปฏิกิริยาดิน วดั ไดจ้ าก ความเขม้ ขน้ ของปริมาณไฮโดรเจนไอออน (H+) ในดิน โดยทวั่ ไปคา่ พีเอชของดิน จะบอกเป็นคา่ ตวั เลขต้งั แต่ 1 ถึง 14 - ถา้ ดินมีค่าพีเอชนอ้ ยกวา่ 7 แสดงวา่ ดินน้นั เป็นดินกรด ยง่ิ มีคา่ นอ้ ยกวา่ 7 มาก กจ็ ะเป็นกรดมาก - แต่ถา้ ดินมีพีเอชมากกวา่ 7 จะเป็นดินด่าง - ส่วนดินท่ีมีพีเอชเท่ากบั 7 พอดีแสดงวา่ ดินเป็นกลาง แต่โดยปกติแลว้ พเี อชของดินทวั่ ไปจะมีค่าอยใู่ ช่วง 5 ถึง 8 พเี อชของดนิ มีความสาคญั ต่อการปลูกพืชมาก... เพราะเป็นตวั ควบคุมการละลายธาตุอาหารในดินออกมาอยใู่ นสารละลายหรือน้าในดิน ถา้ ดินมีพีเอชไม่เหมาะสม ธาตุ อาหารในดินอาจจะละลายออกมาไดน้ อ้ ย ไม่เพียงพอต่อความตอ้ งการของพชื หรือในทางตรงกนั ขา้ มธาตุอาหารบางชนิดอาจจะ ละลายออกมามากเกินไปจนเป็ นพิษต่อพืชได้ พืชแต่ละชนิดชอบท่ีจะเจริญเติบโตในดินที่มีช่วงพีเอชตา่ งๆ กนั สาหรับพืชทว่ั ๆ ไปมกั จะเจริญเติบโตในช่วงพีเอช 6-7 ซ่ึง เป็นช่วงท่ีธาตุอาหารพืชต่างๆ มีความเป็นประโยชนส์ ูงกวา่ ช่วงพีเอชอ่ืนๆ
15 2.ความสามารถในการดูดซับธาตุอาหารพืช เราทราบแลว้ วา่ ดินประกอบดว้ ยของแขง็ ที่มีขนาดอนุภาคต่างๆ กนั ต้งั แต่อนุภาคขนาดทราย ซ่ึงมีเสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลางประมาณ 2 มิลลิเมตร จนถึงขนาดดินเหนียว ที่มีเสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลางนอ้ ยกวา่ 0.002 มิลลิเมตร จากการศึกษาพบวา่ อนุภาคท่ีมี มากท่ีสุดในกลุ่มอนุภาคขนาดดินเหนียวน้ีกค็ ือ แร่ดินเหนียว (clay minerals) ซ่ึงถือกนั วา่ เป็นส่วนสาคญั ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การเกิดปฏิกิริยาทางเคมี ต่างๆ ในดิน แร่ดินเหนียว จดั เป็นแร่ที่มีขนาดเลก็ มากมองดว้ ยตาเปล่าไม่เห็น มีโครงสร้างพ้ืนฐานเป็นช้นั ท่ีมีรูปร่างแบนบางเหมือนแผน่ กระดาษ และมี การเช่ือมโยงระหวา่ งกนั ในลกั ษณะของการเรียงซอ้ นทบั กนั เป็นช้นั ๆ จนเกิดเป็นผลึกท่ีมีรูปทรงต่างๆ กนั เช่น เป็นแผน่ บาง เป็นเส้น เป็นหลอด หรือเป็นท่อ แร่ดินเหนียวมีหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มเคโอลิน เสมกไทต์ อิลไลต์ คลอไรต์ และอ่ืนๆ นกั วทิ ยาศาสตร์สามารถแยกชนิดของแร่ดินเหนียว ไดโ้ ดยการศึกษาดว้ ยกลอ้ งจุลทรรศนอ์ ิเลก็ ตรอน การทดสอบการเล้ียวเบนของรังสีเอก็ ซ์ หรือใชก้ ารวเิ คราะห์ทางเคมีบางอยา่ ง เนื่องจากท่ีพ้นื ผวิ ของแร่ดินเหนียวน้ีมีประจุไฟฟ้าลบ จึงทาใหเ้ กิดปฏิกิริยาการดูดยดึ และและเปลี่ยนธาตุอาหารต่างๆ ท่ีละลายอยใู่ นดินซ่ึงมี ประจุไฟฟ้าเป็นบวกได้ ดงั น้นั ถา้ ในดินมีแร่ดินเหนียวมากกจ็ ะมีประจุลบมาก จึงสามารถดูดยดึ ธาตุอาหารที่มีประจุบวกไดไ้ ดม้ ากดว้ ย แร่ดิน เหนียวจึงเป็นส่วนสาคญั ในการควบคุมความเป็นประโยชนข์ องธาตุอาหารพชื ความรุนแรงของสภาพความเป็นกรด นอกจากน้ียงั มีส่วนควบคุม หรือตา้ นทานการเปล่ียนแปลงของดินต่อสภาพแวดลอ้ มอีกดว้ ย
3. สมบัตทิ างชีวภาพ 16 การเกิดและอยอู่ าศยั ท่ีอยบู่ นดิน ไดแ้ ก่ - พืช - สตั ว์ - จุลินทรียด์ ิน
4. สมบตั ิด้านธาตุอาหารของพืช 17 ในจานวนธาตุอาหารที่พืชจาเป็นตอ้ งใชเ้ พื่อการเจริญเติบโตออกดอก ออกผล ซ่ึงมีอยู่ 16 ธาตุน้นั มี 3 ธาตุ ท่ีพืชไดม้ าจาก อากาศและน้า คือ คาร์บอน ( C) ไฮโดรเจน (H) และออกซิเจน (O) ส่วนอีก 13 ธาตุน้นั พืชตอ้ งดูดดึงข้ึนมาจากดินซ่ึงธาตุ เหล่าน้ีไดม้ าจากการผพุ งสลายตวั ของส่วนที่เป็นอนินทรียวตั ถุและอินทรียวตั ถุหรือฮิวมสั ในดิน สามารถแบ่งตามปริมาณ ท่ีพืชตอ้ งการใชไ้ ด้ เป็น 2 กลุ่มคือ มหธาตุ และจุลธาตุ 1. มหธาตุ (macronutrients) มหธาตุหรือธาตุอาหารท่ีพืชตอ้ งการใชใ้ นปริมาณมาก ท่ีไดม้ าจากดินมีอยู่ 6 ธาตุ ไดแ้ ก่ ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) โพแทสเซียม (K) แคลเซียม (Ca) แมกนีเซียม (Mg) และกามะถนั (S) แบ่งไดเ้ ป็น 2 กลุ่ม - ธาตุอาหารหลกั หรือ ธาตุป๋ ุย ไดแ้ ก่ ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) โพแทสเซียม (K) เนื่องจากสามธาตุน้ีพืช ตอ้ งการใชใ้ นปริมาณมาก แต่มกั จะไดร้ ับจากดินไม่คอ่ ยเพียงพอกบั ความตอ้ งการ ตอ้ งช่วยเหลือโดยใส่ป๋ ุยอยเู่ สมอ - ธาตุอาหารรอง ไดแ้ ก่ แคลเซียม (Ca) แมกนีเซียม (Mg) และกามะถนั (S) เป็นกลุ่มที่พืชตอ้ งการใชใ้ นปริมาณท่ี นอ้ ยกวา่ และไม่ค่อยมีปัญหาขาดแคลนในดินทว่ั ๆ ไปเหมือนสามธาตุแรก
ประโยชน์ของดนิ 18 ดินเป็นทรัพยากรธรรมชาติชนิดหมุนเวยี นที่มีส่วนเก้ือหนุนต่อสิ่งมีชีวติ ทาใหส้ ่ิงมีชีวติ สามารถดารงอยใู่ นโลกได้ โดยใชผ้ ลผลิตท่ี เกิดจากดินหรือไดจ้ ากใตด้ ิน นอกจากน้ีดินยงั เป็นแหล่งกาเนิดและแหล่งผลิตปัจจยั สาคญั ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การดารงชีวติ ซ่ึงไดแ้ ก่ อาหาร เคร่ืองนุ่งห่ม ที่อยอู่ าศยั และยารักษาโรค รวมถึงบริเวณผวิ โลกส่วนที่ลึกยงั ประกอบดว้ ยทรัพยากรที่มีค่า เช่น น้ามนั ปิ โต เลียม แร่ธาตุชนิดต่างๆ เป็นตน้ ประโยชนข์ องดิน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ไดแ้ ก่ 1. ประโยชนข์ องดินต่อมนุษย์ การท่ีมนุษยด์ ารงชีพอยไู่ ดจ้ าเป็นตอ้ งอาศยั ปัจจยั ส่ีไดแ้ ก่ อาหาร เคร่ืองนุ่งห่ม ที่อยอู่ าศยั และยา รักษาโรค ปัจจยั ท้งั หมดน้ีเป็นสิ่งท่ีมนุษยไ์ ดม้ าจากดินท้งั สิ้นไม่ทางตรงกท็ างออ้ ม - อาหารของมนุษย์ ไดม้ าจากพืชและสัตว์ พชื ตอ้ งอาศยั ดินในการยงั ชีพและเจริญเติบโต สตั วก์ ไ็ ดอ้ าหารจากพืชและสัตว์ ดว้ ยกนั ดงั น้นั มนุษยจ์ ึงไดร้ ับอาหารจากดินในทางออ้ ม - เครื่องนุ่งห่มของมนุษยส์ ่วนมากไดม้ าจากเสน้ ใยของพชื หรือจากขนสัตว์ นน่ั คือมนุษยไ์ ดเ้ คร่ืองนุ่งห่มจากดินในทางออ้ ม - ที่อยอู่ าศยั และสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ของมนุษยไ์ ดม้ าจากวสั ดุท่ีกาเนิดจากดิน เช่น ไม้ อิฐ ซีเมนต์ และเหลก็ เป็นตน้ - ยารักษาโรค เราไดย้ ารักษาโรคตน้ ตารับท่ีมาจากพชื สมุนไพรต่างๆ นอกจากน้ี จุลินทรียต์ ่างๆ ที่ใชใ้ นการผลิตยา เช่น ยาเพนนิซิลลิน กเ็ ป็นจุลินทรียท์ ี่อาศยั อยใู่ นดิน
19 2. ประโยชน์ของดินต่อพืช ดินมีความจาเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช โดยสามารถสรุปไดด้ งั น้ี - ดินเป็นท่ียดึ เกาะของรากพืช เพ่ือใหพ้ ืชยนื ตน้ อยไู่ ด้ - ดินเป็นท่ีกกั เกบ็ น้า สาหรับใชใ้ นการเจริญเติบโตของพืช - ดินใหแ้ ร่ธาตุอาหารต่างๆ ที่จาเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช - ดินใหอ้ ากาศแก่รากพืช
ซากดกึ ดาบรรพ์ 20
ซากดกึ ดาบรรพ์ หรือ “ฟอสซิล” (Fossil) คือ หินท่ีเกบ็ รักษาซากส่ิงมีชีวติ โบราณหรือร่องรอยของการดารงชีวติ ของส่ิงมีชีวติ 21 เหล่าน้ีไดเ้ ป็นอยา่ งดี ไม่วา่ จะเป็นพชื สตั ว์ แบคทีเรีย ส่วนของละอองเกสร หรือแมแ้ ต่รอยเทา้ ต่าง ๆ ซ่ึงถูกแปรสภาพและเกบ็ รักษาไวด้ ว้ ยกระบวนการทางธรรมชาติในช้นั หินใตเ้ ปลือกโลก ก่อนจะกลายมาเป็นหลกั ฐานทางธรณีวทิ ยาที่สาคญั ใหเ้ ราได้ ทาการศึกษาและทาความเขา้ ใจต่อโลกและส่ิงมีชีวติ ในอดีต ซากสิ่งมีชีวติ จะกลายเป็นซากดึกดาบรรพ์ เม่ือมีอายตุ ้งั แต่ 1 หมื่นปี ข้ึนไป ดงั น้นั ซากดึกดาบรรพท์ ี่ถูกขดุ พบสามารถแสดง ร่องรอยของสิ่งมีชีวติ ต้งั แต่บรมยคุ อาร์เคียน (Archean Eon) เมื่อเกือบ 4 พนั ลา้ นปี ก่อนเร่ือยมาจนถึงยคุ สมยั โฮโลซีน (Holocene Epoch) ซ่ึงเป็นยคุ สมยั ของเรา
คาว่า ฟอสซิล (Fossil) มาจากภาษาละตนิ หมายถงึ ถูกขุดขนึ้ มา 22 ซากดึกดาบรรพท์ ี่มีอายเุ ก่าแก่ท่ีสุดท่ีเคยถูกขดุ พบ คือ ซากของสาหร่ายโบราณท่ีอาศยั อยใู่ นมหาสมุทร เมื่อราว 3 พนั ลา้ นปี ก่อน สาหรับประเทศไทย กรมทรัพยากรธรณีเป็นหน่วยงานหลกั ที่ศึกษาและ รับผดิ ชอบเรื่องซากดึกดาบรรพ์ ที่ผา่ นมาคน้ พบซากฟอสซิลท่ีเป็นประโยชน์ต่อการศึกษา ประวตั ิศาสตร์ทางบรรพชีวนิ วทิ ยา ท้งั ซากดึกดาบรรพข์ องพืชและสตั ว์
23 กระบวนการเกดิ ซากดกึ ดาบรรพ์ (Fossilization) การเกิดซากดึกดาบรรพเ์ ป็นกระบวนการทางธรรมชาติที่เกิดข้ึนไดย้ ากยง่ิ เน่ืองจากซากของส่ิงมีชีวติ เม่ือตายไป จะตอ้ งถูกเกบ็ รักษาไว้ โดยไม่ถูกยอ่ ยสลายภายในระยะเวลาอนั ส้นั ดงั น้นั ซากของมนั ตอ้ งถูกปกคลุมดว้ ยเศษหิน ดินตะกอน ลาวาหรือแมแ้ ต่น้ามนั ดิน (Tar) อยา่ งรวดเร็ว ทาใหซ้ ากส่ิงมีชีวติ ถูกเกบ็ รักษาไวใ้ ตช้ ้นั หินไดเ้ ป็นอยา่ งดี ดงั น้นั โดยส่วนมาก ซากดึกดาบรรพท์ ่ีมีสภาพสมบูรณ์ มกั เกิดข้ึนบนพ้ืนที่ริมฝ่ังแม่น้า ในทอ้ งทะเลสาบและมหาสมุทร เน่ืองจากมีตะกอนขนาดเลก็ สะสมอยเู่ ป็นจานวนมาก ส่งผลใหซ้ าก ฟอสซิลไม่ถูกทาลายและเกบ็ รักษาไวใ้ นช้นั หินไดเ้ ป็นอยา่ งดี
24 กระบวนการเกิดซากดึกดาบรรพ์ ประกอบดว้ ย 2 ข้นั ตอนหลกั คือ 1.กระบวนการแทรกซึมของแร่ธาตุ (Permineralization) เกิดข้ึนเมื่อซากส่ิงมีชีวติ ถูกทบั ถมภายใตด้ ิน ตะกอนเป็นเวลานาน ทาใหแ้ ร่ธาตุในตะกอนเหล่าน้ี แทรกซึมเขา้ ไปภายในช่องวา่ งของร่างกาย ท้งั ใน เน้ือและกระดูกของสิ่งมีชีวติ 2.กระบวนการกลายเป็ นหิน (Petrification) เกิดข้ึนจากการท่ีสารอินทรียภ์ ายในซากของสิ่งมีชีวติ ถูก แทนที่ดว้ ยสารละลายซิลิกา (Silica) หรือสารละลายแคลเซียมคาร์บอเนต (Calcium Carbonate) ซ่ึงยบั ย้งั การเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ชะลอการยอ่ ยสลายทางธรรมชาติ ทาใหส้ ามารถคงสภาพของโครงร่าง สิ่งมีชีวติ ไวไ้ ด้ โดยไม่เกิดการสูญสลาย
ประเภทท้งั 4 ของซากดกึ ดาบรรพ์ 25 1.ซากดกึ ดาบรรพ์ของสัตว์ไม่มกี ระดูกสันหลงั ส่วนใหญ่เป็นสตั วท์ ะเลท่ีมีชีวติ อยใู่ นยคุ ก่อนยคุ แคมเบรียน (Cambrian Period) เช่น ฟองน้า (Sponge) ปะการัง (Coral) ไทรโลไบต์ (Trilobite) แอมโมไนต์ (Ammonite) ไครนอยด์ (Crinoid) และหอยกาบคู่ (Pelecypod) รวมไปถึงสตั วไ์ ม่มี กระดูกสนั หลงั ที่อาศยั อยบู่ นบกอยา่ งเช่นแมลงชนิดต่าง ๆ
26 2.ซากดกึ ดาบรรพ์ของสัตว์มกี ระดูกสันหลงั กลุ่มสตั วท์ ่ีมีแกนกระดูกช่วยพยงุ ร่างกาย เป็นกลุ่มสตั วว์ วิ ฒั นาการสูง ไดแ้ ก่ ปลา สตั วค์ ร่ึงบกคร่ึงน้า สตั วเ์ ล้ือยคลาน นก และสตั วเ์ ล้ียงลูกดว้ ยนม ต้งั แต่ปลายยคุ แคมเบรียนจนถึงปัจจุบนั ซากดึกดาบรรพข์ องสตั ว์ มีกระดูกสนั หลงั แบบสมบูรณ์น้นั หาไดย้ าก ส่วนมากพบเพยี งชิ้นส่วนของร่างกาย เช่น กระดูก หวั กะโหลก และฟันของสตั ว์
27 3.ซากดกึ ดาบรรพ์ของพืช เป็นซากของพชื ในยคุ แรกเริ่ม อยา่ งเช่น พวกสาหร่าย ซ่ึงดารงอาศยั อยบู่ นโลกต้งั แต่ยคุ พรีแคมเบรียน ซากดึกดา บรรพข์ องพชื ส่วนใหญ่ มกั พบในรูปของไมก้ ลายเป็นหิน ถ่านหิน ฟอสซิลของสปอร์และละอองเรณู นอกจากน้ี ยงั พบรอยพิมพซ์ ากใบไมท้ ่ีประทบั อยใู่ นหินดินดานหรือหินทรายไดอ้ ีกดว้ ย
28 4.ร่องรอยสัตว์ดกึ ดาบรรพ์ ร่องรอยท่ีเกิดข้ึนจากการกระทาของสตั วแ์ ละถูกประทบั ไวใ้ นช้นั หิน ซ่ึงแตกต่างจากซากฟอสซิลประเภทอ่ืน ๆ เน่ืองจากไม่ใช่ชิ้นส่วนของส่ิงมีชีวติ แต่การศึกษาร่องรอยเหล่าน้ี สามารถทาใหเ้ กิดความเขา้ ใจต่อเร่ืองราวของโลกและ พฤติกรรมของสตั วใ์ นอดีตไดเ้ ช่นกนั
29 ประโยชน์ของซากดกึ ดาบรรพ์ จากการศึกษาซากดึกดาบรรพใ์ นพ้ืนท่ีต่าง ๆ ทว่ั โลก ทาใหม้ นุษยส์ ามารถศึกษาและทาความเขา้ ใจ ต่อโลกท่ีเราอาศยั อยไู่ ดใ้ นหลากหลายดา้ น ท้งั ในส่วนของการบ่งบอกอายแุ ละลาดบั ของช้นั หิน รวมไปถึงจุดกาเนิด การเปลี่ยนแปลงและความกา้ วหนา้ ทางววิ ฒั นาการของสิ่งมีชีวิต ทาใหเ้ รา สามารถเขา้ ใจถึงกฎเกณฑก์ ารดารงชีวติ ของส่ิงมีชีวิตแต่ละชนิด ท้งั ท่ีสูญพนั ธุ์ไปแลว้ และที่ยงั ดารงอาศยั อยมู่ าจนถึงปัจจุบนั ตลอดจนการทาความเขา้ ใจตอ่ สภาพแวดลอ้ ม ภูมิประเทศและ สภาพภูมิอากาศ รวมถึงการเคล่ือนท่ีของแผน่ เปลือกโลกหรือการแปรสัณฐานของแผน่ ธรณีภาค (Plate tectonic) ในอดีตอีกดว้ ย
30 อ้ำงอิง http://www.chaiwbi.com/aggie2552/chaiwbi2552/unit03/3003.html www.bwc.ac.th/e-learning/virachai/chanit.html https://ngthai.com/science/26422/fossil-study/ https://www.ldd.go.th/museum/thai-7.html https://cogtech.kku.ac.th/innovations/soilanalysis/sdata1.htm
Thank you
Search
Read the Text Version
- 1 - 34
Pages: