Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore บทที่1การสร้างเจตคติ

บทที่1การสร้างเจตคติ

Published by prattana_un, 2018-05-23 00:46:46

Description: ประกอบด้วยหัวข้อ 1.หลักธรรมของศาสนาต่างๆ
2.ข้อปฏิบัติของหลักธรรมต่างๆ

Search

Read the Text Version

บทท่ี1 การสร้างเจตคติ อ.ปรารถนา องั คประสาทชยั คณะศลิ ปศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลตะวนั ออก

24สัปดาหท์ ี่ 1 ใบเตรยี มการสอน รหัสวิชา 0010001เวลา 3 ชว่ั โมง หนว่ ยท่ี 1 การสร้างแนวคิดและเจตคติของตนเอง เวลา 180 ชอื่ บทเรยี น 1.1 ปรัชญาในการดารงชีวิตของบุคคล นาที 1.2 หลกั ธรรมพน้ื ฐานในการดารงชวี ติ จดุ ประสงค์ 1.1 ปรัชญาในการดารงชีวติ ของบุคคล 1.1.1 ความหมายความสาคัญและอิทธิพลของปรัชญา ตอ่ การดารงชวี ติ ของบุคคล 1.1.2 ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งหลักธรรมทางศาสนากับ ปรัชญาในการดารงชวี ิต 1.1.3 สรุปหลกั ปรัชญาในการดารงชีวิตที่ควรยึดถือ และ ปฏบิ ตั ิ 1.2 หลักธรรมพน้ื ฐานในการดารงชวี ติ 1.2.1 หลกั ธรรมพื้นฐานของศาสนาพุทธเนอ้ื หาวชิ า1.1ปรัชญาในการดารงชวี ิตของบคุ คล 1.1.1 ความหมายความสาคัญและอิทธพิ ลของปรัชญาตอ่ การดารงชีวติ ของบุคคล คาวา่ “ปรชั ญา” เป็นศัพทท์ ี่พระเจ้าวรวงศเ์ ธอ กรมหมืน่ นราธปิ พงศ์ประพันธ์ (พระองคเ์ จ้าวรรณไวทยากร) ทรงบญั ญตั ิขึ้นเพื่อใช้คู่กับคาภาษาอังกฤษว่า “Philosophy” เปน็ คามาจากรากศัพทภ์ าษาสนั สกฤต2 คาคือ1. ปฺร : ประเสรฐิ2. ชฺญา : ความร,ู้ รู้, เขา้ ใจเม่ือรวมกนั แลว้ เปน็ “ปรฺ ชญฺ า” (ปรชั ญา) แปลวา่ ความรอู้ ันประเสริฐ เป็นวิชาท่ีวา่ ดว้ ยหลักแหง่ ความรู้และความจรงิ คาวา่ “ปรชั ญา” ตรงกับคาภาษาบาลีว่า “ปัญญา” ซึง่ มรี ากศพั ทม์ าจาก ป (อุปสรรค = ทว่ั ) + า(ธาตุ = ร)ู้ เม่ือรวมกนั แลว้ แปลวา่ รทู้ วั่ , รูร้ อบ

25 ในพจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ได้นิยามความหมายของคาวา่ “ปญั ญา” เอาไวว้ า่“ความรู้แจง้ , ความรอบรู้, ความสขุ ุม, ความฉลาด” และนยิ ามความหมายของคาวา่ “ปรชั ญา” ว่าเป็นวชิ าท่ีว่าด้วยหลักแหง่ ความรแู้ ละความจริง หมายความวา่ ปรชั ญามหี น้าทสี่ ืบเสาะหาความรเู้ กยี่ วกบั ความจริงของสรรพส่ิง ทัง้ ที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม จะเหน็ ไดว้ า่ ความหมายของคาวา่ “ปรัชญา” ทีใ่ ชอ้ ยใู่ นปัจจุบัน ไมต่ รงกับความหมายของคาว่า“ปญั ญา” เพราะการบัญญัติศัพท์คาวา่ “ปรัชญา” ไม่ไดบ้ ัญญตั มิ าจากคาวา่ “ปญั ญา” แต่บญั ญตั ิมาจากคาภาษาอังกฤษว่า “Philosophy” คาวา่ “Philosophy” ในภาษาอังกฤษมาจากคาภาษาฝรง่ั เศสโบราณวา่“Philosophie” ซงึ่ มาจากคาภาษาลาตินว่า “Phiosophia” (ฟลิ สโซฟิยา) ท่แี ผลงมาจากคาภาษากรกี วา่“Philosophia” (ฟลิ สโซเฟยี ) อกี ต่อหนงึ่ดังนั้น คาว่า “Philosophy” จึงมาจากคาภาษากรกี วา่ “Philosophia” ซงึ่ มีรากศพั ท์มาจากคา 2 คาคือ 1. Philos : Love of หรือ Loving of (ความรัก) 2. Sophia : Wisdom หรือ Knowledge (ความรู้, ปญั ญา, ความฉลาด) เม่อื รวมกนั แล้ว คาวา่ “Philosophy” จึงหมายถึง “Loving of Wisdom” ความรักปญั ญา, ความรักในความรู้, ความรกั ในการแสวงหาความรู้ หรอื การใฝ่ใจในการแสวงหาความรู้ จะอยา่ งไรก็ตาม เมื่อพจิ ารณาตามคาแปลระหว่าง คาวา่ “ปรัชญา” ทีม่ าจากภาษากรีก กับทมี่ าจากภาษาสนั สกฤตจะแตกต่างกัน กล่าวคือ ท่ีแปลจากภาษากรกี แปลวา่ ความรกั ในความรู้ หรือความรกั ปัญญาเพราะความรหู้ รือปัญญา เปน็ ของพระเจ้าแต่ผู้เดยี ว มนุษย์มสี ิทธเิ์ พยี งสามารถที่จะรกั หรอื สนใจท่ีจะแสวงหาเทา่ นนั้ ไมส่ ามารถเป็นเจ้าของได้ ส่วนที่แปลจากภาษาสันสกฤต แปลวา่ ความรอู้ ันประเสรฐิ หรือความรอบรู้ มนษุ ย์ทุกคนสามารถมีความรอบรู้ หรอื มคี วามรู้อันประเสรฐิ ได้ อันเน่ืองมาจากความรู้ทสี่ มบรู ณ์ สงู สดุ สิ้นความสงสยั(อ้างองิ http://www.baanjomyut.com/library_2/extension-3/history_of_philosophy/01.html)ปรชั ญา แบ่งออกเปน็ แขนงต่าง ๆ ได้ 4 แขนง 1. ภววิทยา (Ontology) เป็นแขนงหนึง่ ของปรัชญาท่มี ุ่งศกึ ษาสภาวะแหง่ ความเป็นจรงิ หรือธรรมชาติของสรรพส่ิงท้ังหลาย เพอื่ จะให้ได้มาซ่ึงคาตอบท่วี ่า อะไรคือความเป็นจรงิ อนั เปน็ที่สดุ (Ultimate Reality) ของสรรพส่งิ ทั้งหลายในจกั รวาลศึกษาถึงลักษณะของการมีอยู่เป็นอยขู่ องสิ่งท้งั หลายวา่ อะไรเปน็ สิง่ ท่จี ริงแท้ จติ หรือวตั ถเุ ป็นความจริงมลู ฐาน ภววทิ ยามขี อบข่ายกวา้ งขวางมาก เพราะเปน็ การแสวงหาความจริงเกี่ยวกบั ชวี ิตและสรรพส่งิ ทัง้ มวลในจกั รวาล

26 2. ญาณวิทยา (Epistemology) ปรชั ญาแขนงนมี้ ่งุ ศกึ ษาวเิ คราะห์หลักหรือทฤษฎีแห่งความรู้ คาถามหลักท่ีนักปรชั ญาแขนงน้ีสนใจคือ อะไรคอื ความรู้ท่ีถูกต้อง เรารู้ได้อย่างไรวา่ ถูกต้อง มีหลักอะไรท่จี ะชว่ ยตัดสนิ ความถูกผดิ ประสาทสัมผสั เป็นตวั ตัดสนิ หรอื เหตุผลหรือวิธีอืน่ ใดความรู้ มกี ี่ประเภทได้มาจากแหล่งใด เหล่านี้เปน็ ปญั หาทีป่ รัชญาแขนงญาณวิทยามงุ่ ศึกษาวเิ คราะห์ เนอื่ งจากการศึกษาเปน็ เร่อื งของการถ่ายทอดความรู้ ปรัชญาแขนงน้ีจึงมีสว่ นสัมพันธ์กับการศึกษาอยูม่ าก โดยเฉพาะอย่างย่ิงในส่วนท่เี กย่ี วกบั หลักสูตรและการสอน ญาณวทิ ยาไดใ้ หพ้ นื้ ฐานความเข้าใจเก่ียวกบั ความรู้ใน ๒ ลกั ษณะ คือ แบบตา่ ง ๆ ของการรู้ (เราร้ไู ดอ้ ยา่ งไร) และประเภทต่าง ๆ ของความรู้ วิธีการท่จี ะชว่ ยให้เรารสู้ ง่ิ ตา่ ง ๆ น้นั มอี ยูห่ ลายวิธี แต่วิธที ่จี ะให้ความรู้ที่แทจ้ ริงมากทสี่ ดุ น้นั มีอยู่ ๕ วธิ ีคือ (1) การร้โู ดยข้อมูลทางผัสสะ (Sense Data) ผสั สะ หมายถงึ การรหู้ รือการรบั รจู้ ากการใช้ประสาทสมั ผัสทางตา หู จมกู ล้ิน กาย ทางใดทางหน่ึงหรอื หลาย ๆ ทางพร้อมกนั ข้อมูลทางผัสสะเป็นวิธกี ารหนงึ่ ของการรับรู้เพ่ือนาไปสู่ความรูท้ เ่ี ชอ่ื ถอื ได้ (2) การรโู้ ดยสามัญสานกึ (Common Sense) สามญั สานกึ หมายถึงความรู้สกึ หรือการรับรขู้ องคนแตล่ ะคนทม่ี รี ว่ มกบั คนอนื่ โดยทไ่ี ม่จาเปน็ ต้องมาคิดคน้ ไตรต่ รองเสยี ก่อน มนุษย์เมอ่ื เผชญิ กบั เหตุการณ์หรือสถานการณบ์ างอยา่ งสามารถตดั สินไดว้ า่ อะไรผิด อะไรถูก อะไรควร อะไรไม่ควรไดท้ ันทีโดยอาศยั สามัญสานึก (3) การรู้โดยตรรกวธิ ี (Logic) ตรรกวิธีหรอื ตรรกวิทยา เปน็ วิธกี ารสาคญั ท่นี กั ปรัชญาใชใ้ นการตดั สินความถูกตอ้ งของความร้คู วามจริง เปน็ วิธีการท่อี าศยั หลกั ของเหตผุ ล ความน่าเชือ่ ถอื อยู่ท่เี หตผุ ล (4) การรโู้ ดยการหย่ังรู้ หรอื ญาณทัศน์ (Intuition) การรโู้ ดยการหย่งั ร้หู รือญาณทัศน์เปน็ การรู้โดยอาศัยความคิดหรือจินตนาการทอ่ี าศยั สตปิ ัญญาเป็นหลัก การหยงั่ รู้ของมนุษยน์ นั้ มหี ลายระดบั ขึน้ อย่กู บั ระดับความคิดและสตปิ ญั ญาของแตล่ ะคน ในระดับสงู สดุ ของการหยงั่ รูโ้ ดยใชส้ มาธิและปญั ญากค็ ือ การตรสั รูอ้ ย่างที่เกดิ ข้ึนกบั พระพุทธเจา้ มาแลว้ (5) การรู้โดยวธิ วี ิทยาศาสตร์ (Scientific Method) การรูโ้ ดยวธิ ีวิทยาศาสตร์ เป็นการรโู้ ดยอาศยัการสังเกตและการทดลองเพื่อพสิ จู นว์ ่าความรู้ทไ่ี ด้จากการสังเกตหรือการสมั ผัสเปน็ ความรู้ท่ถี กู ต้อง เมอื่ มกี ารทดลองซา้ ๆ จนไดค้ าตอบไมเ่ ปลี่ยนแปลงได้ ก็ถือไดว้ ่าเปน็ ความรทู้ ่แี ทจ้ ริงตราบเท่าที่ผลการพิสูจน์ยงั ไม่เป็นอย่างอนื่ ปรชั ญาโดยปกตจิ ะไม่ใชว้ ธิ ีวทิ ยาศาสตรเ์ พื่อผลิตความรู้ แต่อาจจะใชว้ ธิ ีวทิ ยาศาสตร์เพื่อทดสอบความถกู ตอ้ งของความคดิ หรือประสบการณ์ อกี ลกั ษณะหนึง่ ของญาณวิทยาคอื การจาแนกประเภทของความรู้โดยอาศยั แหลง่ ท่ีมาและวธิ กี ารไดม้ าซ่ึงความรู้ ออกเป็น 5 ประเภทคือ (1) ความรู้ประเภทคมั ภีร์ (Revealed Knowledge) ซึง่ เปน็ ความรทู้ ่พี ระผ้เู ปน็ เจ้าประทานให้แก่ศาสดา เพ่ือนาไปเผยแพร่แก่มวลมนษุ ย์ สว่ นมากจะเปน็ ความรู้ท่ปี ระมวลไวใ้ นพระคมั ภีรท์ างศาสนา

27 หลกั สูตรและการสอนในโรงเรียนและสถานศึกษามักจะมีการนาเอาความรปู้ ระเภทนี้บรรจไุ วใ้ นหลักสูตร โดยเฉพาะอย่างยิง่ ในส่วนท่ีเก่ยี วกบั การใช้ความรู้เพอ่ื การพัฒนาจิตใจ (2) ความรปู้ ระเภทตารา (Authoritative Knowledge) เปน็ ความรู้ทไี่ ด้จากการบอกเล่า บนั ทึกหรอื การถ่ายทอดจากผคู้ งแก่เรียน หรอื ผรู้ ใู้ นเรื่องตา่ ง ๆ ถือตัวผูท้ เ่ี ปน็ ปราชญห์ รอื ผเู้ ช่ียวชาญนน้ั ๆ เป็นแหล่งของความรู้ ผลงานของผู้รทู้ ี่เขียนเปน็ คามาไว้จึงเปน็ ประเภทหนง่ึ ของความรู้ท่ใี ช้อา้ งอิงกันโดยท่ัวไป แหล่งความรู้ประเภทนี้อาจจะสมบูรณ์ถกู ต้องหรือไม่ถูกตอ้ งทัง้ หมดกไ็ ด้ ข้นึ อยู่กบั ความเชือ่ ถือและการพิสจู น์โดยวิธกี ารอื่น ๆ (3) ความรู้ประเภทญาณทศั น์ (Intuitive Knowledge) เป็นความรทู้ เ่ี กิดจากการหย่ังรโู้ ดยญาณการหย่ังรูอ้ าจจะเกิดจากการครนุ่ คดิ ไตรต่ รองเพ่ือหาคาตอบเรื่องใดเร่ืองหนง่ึ เพ่ือให้พ้นสงสัยแต่คิดไม่ออกหรอื หาคาตอบไมไ่ ด้ แตจ่ ู่ ๆ กเ็ กดิ ความรู้ในเรอื่ งนั้นผุดขึ้นมาในความคดิ และได้คาตอบโดยไม่คาดฝนั ในบางกรณีเม่ือมีแรงดลใจหรอื จนิ ตนาการบางอย่างก็เกิดการหย่งั ร้ขู ึ้น ความรู้ท่ีได้จากญาณทัศน์นเ้ี ป็นจุดกาเนิดของความรเู้ ชิงปรัชญา ทฤษฎที างวิทยาศาสตร์ หรืองานสร้างสรรค์ทางด้านศลิ ปกรรมและวรรณกรรม (4) ความร้ปู ระเภทเหตผุ ล (Rational Knowledge) เป็นความรทู้ ไ่ี ด้มาจากการใช้ หลักของเหตผุ ลซงึ่ เป็นวธิ ีการทางตรรกวิทยา สว่ นใหญจ่ ะเป็นความรูท้ ่ีเกิดจากการอา้ งองิ ความจริงหรือความรู้ท่มี ีอยู่แล้ว เพ่อืนาไปสู่ความรูใ้ หม่ (5) ความรู้เชิงประจกั ษ์ (Empirical Knowledge) เป็นความรู้ท่ีไดจ้ ากวิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ และผัสสะประกอบกนั การสงั เกต การทดลอง การพสิ จู น์ความจริงดว้ ยวธิ ีการทเี่ หมาะสมโดยมกี ารเก็บรวบรวมวิเคราะห์ และแปลความหมายของขอ้ มลู ด้วยวธิ กี ารเชงิ วทิ ยาศาสตร์ เป็นแหล่งทมี่ าของความรู้ประเภทนี้ ซ่ึงเป็นรากฐานของการวจิ ัยค้นควา้ ในยุคปัจจุบนั 3. คณุ วิทยา (Axiology) ปรชั ญาแขนงท่ีมงุ่ วิเคราะหค์ ุณค่าหรือคา่ นิยมเกยี่ วกบั ความดีและความงาม มลี กั ษณะเปน็ ปชั ญาชีวิตท่ีมงุ่ ศึกษาแนวความคดิ และความเชือ่ ของมนุษย์เกย่ี วกบั ส่งิ ที่ดีงามและมีคุณค่าใน 2 แง่ คือ (1) จรยิ ศาสตร์ (Ethics) เป็นเรอ่ื งของความดี ความถูกต้องของแนวทาง ความประพฤติความหมายของชีวิต ชีวติ ทด่ี มี ีลกั ษณะอยา่ งไร อะไรคือสิ่งที่น่าพึงปรารถนาท่ีสดุ ของชีวติ ความดคี ืออะไร เอาอะไรมาเป็นเกณฑว์ ดั ความดีความชวั่ (2) สุนทรยี ศาสตร์ (Aesthetics) เปน็ เร่อื งของความงาม การาจะตัดสินวา่ อะไรสวย อะไรงาม ใช้เกณฑ์อะไร มีเกณฑท์ จ่ี ะวัดได้จรงิ หรอื ไม่ สนุ ทรยี ศาสตร์มงุ่ ศึกษาคณุ ค่าเก่ียวกับความงามของศิลปะ ความไพเราะแหง่ ดนตรี ความงามแหง่ ธรรมชาติ คุณวทิ ยามีความสาคญั ยิ่งต่อการศึกษา ทงั้ นเ้ี พราะการศึกษามิไดม้ หี น้าท่ีแต่เพียงการถ่ายทอดความรู้ไปสผู่ ู้เรยี นเทา่ นั้น แต่ยังมีหน้าทีส่ าคัญในการปลกู ฝงั ทัศนคติ และคา่ นยิ มทีด่ ีงามในตวั ผเู้ รียนด้วย หลักการดา้ นจรยิ ศาสตรแ์ ละสนุ ทรยี ศาสตร์ จึงมคี วามสาคัญและมีความสมั พนั ธก์ ับการจัดการศึกษาทกุ ระดบั เป็นอย่างมาก

28 4. ตรรกวทิ ยา (Logic) มุ่งศึกษากฎเกณฑ์การใช้เหตุผล การคดิ อยา่ งมรี ะบบระเบียบ การอ้างเหตผุ ลอยา่ งไรจึงจะสมเหตสุ มผล มหี ลักอะไรทีจ่ ะตัดสินความมีเหตุผล การอ้างเหตผุ ลมีไดก้ ว่ี ิธี เหลา่ นีเ้ ปน็เร่อื งทีต่ รรกวทิ ยามงุ่ ศกึ ษาวเิ คราาะห์วธิ กี ารหาเหตผุ ลทางตรรกวิทยา(อา้ งอิง http://www.baanjomyut.com/library/philosophy.html) 1.1.2 ความสัมพันธร์ ะหวา่ งหลกั ธรรมทางศาสนากบั ปรัชญาในการดารงชวี ติความสาคัญและอิทธพิ ลของปรชั ญาตอ่ การดารงชวี ิต 1.ปรชั ญาช่วยสรา้ งโลกทศั นท์ ่ีสมบรู ณ์ให้กบั มนษุ ย์ 2.ปรชั ญาช่วยวิพากษว์ ิเคราะห์ภาษาและความคิดรวบยอด (Concept) 3.ปรชั ญาช่วงแสวงหาคุณคา่ ให้กับชีวติความสาคญั ทเ่ี กย่ี วข้องระหว่างศาสนา และปรัชญาในการดารงชวี ติ 1. ความเกี่ยวข้องทางกาเนิดศาสนากบั ปรัชญาความเกย่ี วข้องทางกาเนดิ ศาสนากับปรชั ญาเกดิ ข้ึนมาในระยะใกล้ ๆ กัน ศาสนาเกิดกอ่ นปรชั ญาข้อสงั เกตเหตผุ ลในขณะทมี่ นษุ ย์มคี วามต้องการแสวงหาแนวทางแก้ปัญหาชีวิต (ศาสนา) ปรชั ญาก็เกดิ ตามมาดว้ ย ยกตวั อยา่ งเช่น ในยุคท่ีมนุษยน์ บั ถือสง่ิ ศักด์ิสิทธใิ์ นธรรมชาติ เช่น น้า ไฟ ลม (วรุณ อัคนี วาย)ุเปน็ ทีพ่ งึ่ เพ่ือแก้ปัญหาชวี ิตนั้น มนษุ ย์ในยุคนั้นต้องสงสยั ตามมาว่าส่ิงเหล่าน้ี เป็นอะไร ? มาจากไหน ? มจี ริงไหม ? ความสงสัยมกั จะเกิดตามมาเสมอหลังจากปฏิบัตติ ามหลักการทางศาสนาแลว้ เพ่อื ความกระจา่ งในเรื่องน้ีเราตอ้ งมองย้อนไปในอดีต คอื ศึกษาประวตั ศิ าสตร์ของศาสนาและปรัชญา ก็จะเกดิ ความเข้าใจได้กระจ่างขน้ึคลายความสงสัยได้ 2.ความเกยี่ วข้องทางหน้าท่ี หน้าที่ของศาสนา คือการแกป้ ัญหาชีวติ หรอื การปฏิบัติเพอื่ ความสขุ ของชวี ิต ส่วนหนา้ ทข่ี องปรชั ญาคอื ขจดั ความสงสยั เผยความจริงที่คลมุ เครือให้เปดิ เผย ย่อมเป็นไปไดว้ ่าข้อความบางตอนในศาสนาชวนให้สงสัย เมือ่ เนื้อหาของศาสนาชวนสงสัยกต็ ้องมีการวจิ ารณ์ มีการแสดงความเห็น การแสดงความเหน็ การวิจารณน์ ั่นเองเป็นวชิ าปรัชญา เพราะฉะนั้นศาสนาจึงมีความสัมพนั ธ์กบั ปรัชญาทางหน้าที่ ปรัชญาต้องคิดหาเหตุผลมาเปดิ เผยวา่ ทาไมจึงเป็นอยา่ งนน้ั หรือทาไมจึงต้องสอนอยา่ งน้ีการคดิ คน้ หาเหตุผลดังกลา่ วกเ็ ทา่ กับเปน็ การพสิ จู นค์ วามจรงิ ในศาสนาน่นั เอง ถ้าปรัชญาทาหนา้ ทด่ี ้วยความยุตธิ รรม และปรัชญาทาหน้าที่อยา่ งมีประสิทธิภาพข้อเทจ็ จรงิ ของศาสนาย่อมจะเปดิ เผย ในบทนจ้ี ะไดก้ ล่าวถงึ หลกั ธรรมในการดารงชีวิตได้แก่ คาสั่งสอน ขอใหผ้ ู้ศึกษา สงั เกตวา่ สาระสาคัญของชีวติ คือ หลักปรชั ญาและคาสอนทางศาสนา ปรัชญาน้ันจะให้โลกทัศน์หรือประทีปส่องทางชีวติ ของมนุษย์ สว่ นศาสนานัน้ จะให้แนวทางประพฤติปฏิบตั ิ อันจะทาให้มนุษย์ไดร้ ับความสุข ความสาเร็จในชีวติ(อา้ งองิ https://www.gotoknow.org/posts/367840)

29 1.1.3 สรปุ หลกั ปรัชญาในการดารงชีวิตทค่ี วรยึดถือและปฏิบตั ิหลักธรรมพืน้ ฐานที่สาคัญ หลักธรรมท่ใี ช้ในการดารงชวี ติ ของแต่ละศาสนา มสี าระสาคัญทีค่ ล้ายๆกัน ผ้ใู ดนับถือศาสนาใด ก็สามารถเลือกหลักธรรมะพ้นื ฐานมาเปน็ แนวทางในการดารงชวี ติ ได้ทั้งสิ้น สุดแลว้ แตใ่ ครจะเลือกหลักธรรมของศาสนาใด ซงึ่ จะขอกลา่ วถงึ หลักธรรมทสี่ าคัญๆ ของศาสนาที่ สาคญั ๆ ที่คนไทยนับถือเป็นส่วนใหญ่ คือ1.2 หลักธรรมพน้ื ฐานในการดารงชีวิต 1.2.1 หลักธรรมพ้นื ฐานของศาสนาพทุ ธ ศาสนาคริสตแ์ ละศาสนาอสิ ลามซึง่ ใชใ้ นการดารงชพีศาสนาพุทธ 1.ขนั ธ์ 5ขนั ธ์ แปลวา่ กอง พวก หมวด หมู่ขันธ์ 5 (เบญจขันธ)์ จงึ จะหมายถึงสถาวะธรรม 5 อย่าง สรรพสง่ิ ท้งั หลายในอนันตจักรวาลน้นั แยกประเภทได้เปน็ 3 สว่ น คือ 1. สว่ นทเ่ี ปน็ วตั ถทุ ั้งหลาย ได้แก่ สสารท้งั หลาย แสง สีท้งั หลาย เสยี ง กลน่ิ รส ความเย็น ความรอ้ น ความอ่อน ความแขง็ ความหย่อน ความตงึ อาการเคล่ือนไหวของสงิ่ ตา่ งๆ ชอ่ งว่างต่างๆ อากาศ ดนิ น้าไฟ ลม สภาพแห่งความเป็นหญงิ เป็นชาย เนอื้ สมองและระบบของเส้นประสาททั้งหลาย อันเปน็ ฐานให้จิตเกิดรวมทง้ั อาการแห่งความเกดิ ขึ้น ตง้ั อยู่ เส่อื มไป ดบั ไปของวตั ถุทงั้ หลายดว้ ยซึ่งรวมเรยี กว่ารปู ขนั ธ์ (ขนั ธ์ = กอง หมวด หมู่) 2. ส่วนท่ีเป็นความรสู้ ึกนกึ คิด และความคดิ ท้ังหลาย รวมเรยี กว่านามขนั ธ์ แยกได้ 4 ชนดิ คือ 2.1 เวทนาขนั ธ์ คอื ความรู้สึกเป็นสุขทางกาย ทุกขท์ างกาย โสมนสั (สขุ ทางใจ)โทมนสั (ทกุ ขท์ างใจ) อเุ บกขาหรอื อทุกขมสขุ เวทนา(เป็นกลางๆ ไมส่ ขุ ไม่ทกุ ข์) 2.2 สัญญาขันธ์ คอื ความจาไดห้ มายรูใ้ นสิ่งตา่ งๆ คือสว่ นท่ีทาหนา้ ที่ในการจาน่ันเอง (ไมใ่ ชเ่ นื้อสมอง แตเ่ ป็นสว่ นของความรู้สึกนึกคิด เนื้อสมองนั้นจัดเป็นรปู ขันธ์ เนอื้ สมองเปน็ เหมือนสานักงาน สว่ นนามขนั ธ์ทงั้ หลายเหมอื นผู้ทีท่ างานในสานักงานน้ัน) 2.3 สังขารขันธ์ คือสว่ นที่ปรงุ แต่งจิต คือสภาพท่ีปรากฎของจิตนนั่ เอง เชน่ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ทาน(สภาพของจิตที่สละส่ิงต่างๆ ออกไป) ความเมตตา กรุณา มทุ ิตา สมาธิ ความฟ้งุ ซ่าน ความหดหทู่ ้อถอย ความงว่ ง ความละอาย ความเกรงกลัว ความไมล่ ะอาย ความไม่เกรงกลัว เจตนาในการทาสิ่งตา่ งๆ ความลังเลสงสัย ความมัน่ ใจ ความเย่อหย่ิงถอื ตวั ความเพียร ปิติ ความยินดพี อใจ ความอจิ ฉาความตระหน่ี ศรัทธา สติ ปญั ญา การคดิ การตรึกตรอง 2.4 วิญญาณขนั ธ์ หรือจิต คือผู้ทร่ี ับรสู้ ิ่งท้ังปวง คือรบั รคู้ วามรูส้ ึกตา่ งๆ ตัง้ แต่ ข้อ 2.1 จนถงึ ข้อ 2.3 และเปน็ ผรู้ บั รูถ้ ึงสว่ นทเ่ี ป็นรูปขนั ธ์ท้งั หลายดว้ ย อนั ได้แก่เปน็ ผู้รับรู้

30สิง่ ท้งั หลาย ท่ีมากระทบทางตา หู จมกู ลนิ้ กาย น่ันเอง รวมถงึ เปน็ ผรู้ ับร้ใู นสภาวะแห่งนิพพานด้วย 3. นพิ พาน คอื สภาวะทพี่ ้นจากรูปขนั ธแ์ ละนามขันธท์ ้ังปวง หรอื สภาวะจติ ที่พน้ จากความยดึ ม่ันผูกพันธใ์ นสง่ิ ทั้งปวง รวมถึงไม่ยดึ มนั่ ในนิพพานด้วยนพิ พาน = นิ + วาน (ในภาษาบาลนี ้นั ว. กบั พ. ใช้แทนกนั ได้ วาน จงึ เท่ากบั พาน) นิ = พ้น วาน = สง่ิ ท่เี กี่ยวโยงไว้ ได้แก่ ตัณหาคอื ความทะยานอยาก และอปุ าทานคือความยึดม่ันถือมน่ั น่นั เอง นวิ าน หรอื นิพพาน แปลตามตัวจงึ หมายถงึ ความพ้นจากเคร่ืองเกยี่ วโยง(ตัณหาและอปุ าทาน) นนั่ เองสรุปแล้วขนั ธ์ 5 ประกอบด้วย 1. รปู ขนั ธ์ 2. เวทนาขนั ธ์ 3. สัญญาขันธ์ 4. สังขารขันธ์ 5. วิญญาณขันธ์ โดยทเี่ วทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สงั ขารขันธร์ วมเรียกว่าเจตสิก ซึง่ แปลว่าเปน็ สิง่ ท่ีเกดิ รว่ มกบั จิตเสมอ (ในภาษาบาลนี น้ั สระ อิ กับสระ เอ ใช้แทนกนั ได้ เจต จึงเทา่ กบั จติ นัน่ เอง) คือจติ และเจตสิกจะเกดิและดบั พร้อมกนั เสมอ จะแยกกันเกิดไม่ได้ เพราะเปน็ สงิ่ ทีเ่ ก่ียวเนอื่ งกนั อยู่ เพียงแตว่ ่าตอนนน้ั นามขันธต์ ัวไหนจะแสดงตวั เด่นกวา่ ตัวอ่ืนเท่าน้นั เอง(อา้ งอิง http://www.br.ac.th/CAI/Supaporn/Unit5_2_1_1.html)2.อริยสจั 4 หมายถึง ความจรงิ อนั ประเสริฐ หรือความจรงิ ของอริยบคุ คล มีองค์ 4 คอื 1. ทุกข์ คอื ความจรงิ วา่ ด้วยทุกข์ ความไมส่ บาย กายไมส่ บายใจ ทกุ ข์มี 2 ประเภท คอื ทกุ ข์ประจาได้แก่ ความคิด ความแก่ ความตาย และทุกขจ์ ร ได้แก่ ความโศกเศรา้ เปน็ ตน้ 2. สมุทยั คอื ความจริงว่าดว้ ยเหตแุ หง่ ทกุ ข์ ได้แก่ ตณั หาหรือความทะยานอยาก มี 3 ประการ คือกาม ตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา 3. นิโรธ คอื ความจริงว่าดว้ ยการดับทุกข์ หมายถึง การดับหรอื การละตัณหา 4. มรรค คอื ความจริงวา่ ด้วยวถิ ที างแห่งความดับทุกข์ ทางที่จะดบั ทุกข์น้ัน คือ “ มรรคมีองค์ 8 ” หรอื อรยิ มรรคแปลวา่ ทางอันประเสรฐิ ทางน้ันมีทางเดยี วแต่มีองคป์ ระกอบ 8 ประการ คือ1. สมั มาทิฎฐิ ความเห็นชอบ ปัญญา2. สมั มาสังกัปปะ ดารชิ อบ ปญั ญา3. สัมมาวาจา การพดู ชอบ ศีล4. สัมมากัมมันตะ การกระทาชอบ ศีล5. สัมมาอาชีวะ การเลีย้ งชีพชอบ ศลี6. สัมมาวายามะ ความพยายามชอบ สมาธิ

317. สัมมาสติ ความระลึกชอบ สมาธิ8. สัมมาสมาธิ ความตัง้ จิตมั่นชอบ สมาธิมรรคมีองค์ 8 ยอ่ แล้วเรยี กวา่ “ ไตรสิกขา ” ซ่งึ ได้แก่ ศลี สมาธิ และปัญญาคณุ ประโยชนข์ องอริยสัจ 4 1. สอนใหเ้ ราไม่ประมาท 2. สอนใหเ้ ราแกป้ ัญหาด้วยปญั ญาและเหตผุ ล 3. สอนให้เราแก้ปัญหาดว้ ยตนเอง 4. ชว่ ยให้เราเห็นสงิ่ ตา่ งๆ ตามความเป็นจริง(อ้างองิ http://www.mmv.ac.th/Result/online/Renu/ariya4.htm) 3.ไตรลักษณไ์ ตรลกั ษณ์ แปลวา่ \"ลกั ษณะ 3 อยา่ ง\" หมายถึงสามญั ลักษณะ หรือลกั ษณะทเี่ สมอกนัหรอื ข้อกาหนด หรอื สงิ่ ที่มีประจาอยู่ในตัวของสงั ขารทั้งปวงเปน็ ธรรมทีพ่ ระพุทธเจา้ ไดต้ รัสรู้ 3 อย่าง ได้แก่ 1. อนิจจตา (อนิจจลกั ษณะ) - อาการไม่เทีย่ ง อาการไม่คงท่ี อาการไม่ย่ังยนื อาการทีเ่ กิดขนึ้ แลว้ เสื่อมและ สลายไป อาการท่ีแสดงถึงความเป็นส่งิ ไม่เที่ยงของขันธ์. 2. ทกุ ขตา (ทุกขลักษณะ) - อาการเปน็ ทุกข์ อาการท่ถี ูกบีบคั้นดว้ ยการเกดิ ขน้ึ และสลายตัว อาการท่ี กดดนั อาการฝนื และขัดแยง้ อยู่ในตัว เพราะปัจจัยทป่ี รงุ แต่งให้มสี ภาพเป็นอย่างนั้นเปลยี่ นแปลงไป จะ ทาให้คงอยใู่ นสภาพน้นั ไม่ได้ อาการท่ไี ม่สมบรู ณ์ มีความบกพร่องอยู่ในตวั อาการที่แสดงถึงความเปน็ ทุกข์ของขันธ์. 3. อนัตตตา (อนตั ตลกั ษณะ) - อาการของอนัตตา อาการของส่งิ ท่ไี มใ่ ช่ตัวตน อาการท่ไี ม่มีตวั ตน อาการที่ แสดงถึงความไม่ใช่ใคร ไมใ่ ชข่ องใคร ไม่อยใู่ นอานาจควบคุมของใคร อาการทแี่ สดงถึงไม่มีตวั ตนที่ แทจ้ รงิ ของมนั เอง อาการท่ีแสดงถึงความไม่มีอานาจแท้จริงในตวั เลย อาการที่แสดงถึงความดอ้ ย สมรรถภาพโดยสนิ้ เชงิ ไมม่ ีอานาจกาลังอะไร ต้องอาศัยพึ่งพิงส่งิ อ่นื ๆ มากมายจงึ มีขน้ึ ได้. ลักษณะ 3 อยา่ งน้ี เรยี กอีกอยา่ งหน่งึ ว่า สามญั ญลกั ษณะ คอื ลักษณะท่ีมีเสมอกันแก่สงั ขารทงั้ ปวงและเรยี กอีกอยา่ งหน่งึ ว่า ธรรมนยิ าม คอื กฎธรรมดา หรือข้อกาหนดท่แี น่นอนของสงั ขาร

32 หวั ข้อ อธบิ ายแตล่ ะหัวข้อให้สอดคล้องกบั มคอ.3 และมคอ.5 วิธสี อนและ กิจกรรม 1. บรรยาย ซักถาม สอื่ การสอน 2. แบ่งกลุ่มวิเคราะหป์ ัญหาและแก้ไขปัญหาของสงั คมจากขา่ วหนงั สอื พิมพ์ 3. มอบหมายงานโครงการจิตอาสางานทมี่ อบหมาย หนังสอื อ้างอิงการวัดผล เอกสารประกอบ เอกสารประกอบการสอนเร่ือง “ หลักธรรมพืน้ ฐานทใ่ี ช้ในการ ดารงชีวิต” วัสดโุ สตทัศน์ เครื่องฉายภาพข้ามศรี ษะ,สไลดน์ าเสนอดว้ ยคอมพวิ เตอร์ (PowerPoint) หนว่ ยเรียนท่ี 1 การสร้างแนวคิดเจตคติของ ตนเอง 1.แบ่งกลมุ่ วเิ คราะหป์ ัญหาและแก้ไขปัญหาของสังคมจากข่าวหนังสอื พิมพแ์ ละการ นาเสนอโดยการอภิปรายเป็นกล่มุ 2.แบ่งกลุม่ ใหน้ ักศึกษาคน้ คว้าเก่ียวกับหลักธรรมของศาสนาต่างๆ เชน่ ศาสนาพุทธ ศาสนาครสิ ต์ ศาสนาอสิ ลาม ฯลฯ 3.มอบหมายงานโครงการจติ อาสาเป็นกลุม่ 1.การสังเกตพฤติกรรมขณะทากจิ กรรม 2.การซกั ถาม 3.ประเมินจากผลงานทม่ี อบหมาย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook