Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พื้นฐานเกษตร

พื้นฐานเกษตร

Published by สุภาวิตา ทองน้อย, 2019-10-28 22:54:16

Description: พื้นฐานเกษตร

Search

Read the Text Version

ความรพู ื้นฐาน เร่ือง สาํ หรบั การปลูกพชื โดย ผศ.ดร.สุเทพ ทองแพ ภาควิชาปฐพีวทิ ยา คณะเกษตร มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร

1 ความรูพ้นื ฐาน เรื่อง ดนิ – ปยุ – น้ํา สําหรบั การปลูกพชื คาํ นํา การปลูกพืชในปจจุบันมักจะพบเสมอวา พืชไมคอยเจริญเติบโตหรือไมใหผลผลิตตามที่ ตองการ เมือ่ เปนเชนนก้ี ม็ กั จะคดิ กันวา เปน เพราะดินขาดปยุ จงึ ไปซ้ือปุยมาใส ซึ่งเม่ือใสแลวบางครั้ง พืชอาจจะเตบิ โตดขี ึ้นแตไมอ อกดอกออกผลหรอื บางทีพืชกไ็ มโตดีขึ้น หรืออาจจะแยกวาเดิม หรือบางที ตายไปเลยก็มี นั่นเปนเพราะอะไร? กอนอ่ืนตองทําความเขาใจกอนวาการท่ีพืชไมเจริญเติบโตหรือไม ออกดอกผลนั้นอาจจะมีสาเหตุมาจากอยางอื่นท่ีไมเก่ียวกับดิน เชนพืชไดรับแสงนอยไป อุณหภูมิไม เหมาะสม (สําหรับพืชบางชนิด) หรือพืชเปนโรค เปนตน แตถาเปนปญหาที่เก่ียวกับดินจริงๆ ก็ไมใชวา จะเปนเพราะดินขาดปุยหรือขาดธาตุอาหารเสมอไป เพราะบางครั้ง ดินมีธาตุอาหารครบถวนดี แตพืช ดูดกินธาตุเหลาน้ีไมได เนื่องจากดินมีปญหาอื่นๆ ท่ีตองแกไขเสียกอน หรือบางทีดินอาจจะขาดธาตุ อาหารบางธาตุ แตใสปุยท่ีใหธาตุอาหารไมตรงตามท่ีขาด พืชก็ไมเจริญเติบโต หรือบางทีเลือกชนิดปุย ถูกตอง แตวิธีใสไมถูกตองทําใหพืชดูดกินธาตุอาหารไดนอยหรือไมไดเลยซึ่งก็อาจทําใหไมไดผลอีก เชนกัน ดังน้ันการที่จะปลูกพืชใหไดผล ควรจะตองมาทําความรูจักและเขาใจเก่ียวกับ พืช-ดิน-ปุย เสียกอ น พชื ตองการอะไรจากดนิ ? สิง่ ท่ีพืชตองการจากดนิ แบงออกไดเปน 4 ประการ คอื 1) ทีย่ ึดเกาะ เพ่อื ใหพ ืชทรงลําตน อยไู ด และเปน ที่อยขู องราก 2) อากาศ เพอ่ื ใหรากพชื รวมทัง้ จุลนิ ทรีย (สิง่ มีชีวิตเล็ก ๆ ในดนิ ) ไดม อี ากาศหายใจ 3) น้ํา เพ่ือเปนแหลง น้ําของพืช และเปนตวั ละลายธาตอุ าหาร และทาํ ใหพชื ดดู กินธาตอุ าหาร ได 4) ธาตอุ าหาร ทพี่ ืชตองการจากดินอยา งนอยมี 14 ธาตุ ซึ่งถาพืชไดร ับไมพ อเพียงหรอื แตล ะ ธาตุมีอยูในสัดสวนท่ีไมเหมาะสม พืชจะไมสามารถเจริญเติบโตหรือมีการเจริญเติบโตผิดปกติได ธาตุ 14 ธาตมุ ดี ังน้ี :-

2 (1) ไนโตรเจน (เอ็น,N) เรียกธาตุอาหารหลัก (2) ฟอสฟอรสั (พ,ี P) พืชสวนใหญต อ งการมาก (3) โพแทสเซยี ม (เค, K) (4) แคลเซยี ม (Ca) เรียกธาตุรอง พืชตองการ (5) แมกนเี ซยี ม (Mg) คอนขา งมาก (6) กาํ มะถัน (S) (7) เหล็ก (Fe) (8) แมงกานีส (Mn) (9) ทองแดง (Cu) (10) สังกะสี (Zn) เรียกจุลธาตุหรอื ธาตอุ าหารเสริม (11) นกิ เกลิ (Ni) พืชสว นใหญต องการนอ ย (12) โบรอน (B) (13) โมลบิ ดนิ ั่ม (Mo) (14) คลอรีน (Cl) โดยปกติในดินยังมีธาตุอีกหลายธาตุ ท่ีไมใชธาตุอาหารพืช เชน อะลูมิน่ัม ซิลิกอน โซเดียม เปนตน ซ่ึงถามีธาตุเหลานี้อยูมากหรือดินมีสภาพไมเหมาะสมธาตุเหลานี้บางธาตุอาจจะละลาย ออกมามากจนเปนพิษตอพืช หรือทําใหดินมีสมบัติท่ีไมเหมาะกับการเจริญเติบโตของพืช เชน ธาตุ อะลูมิน่มั และโซเดียม รปู ที่ 1 แสดงความสัมพนั ธระหวางดนิ และพชื

3 ดินประกอบดวยอะไรบา ง ? ดนิ ทั่ว ๆ ไปจะประกอบดว ยส่งิ ตาง ๆ ดงั นี้ 1) แร มหี ลายชนดิ และมขี นาดตาง ๆ ต้ังแตแ รท ีม่ ีขนาดโตเปน เมด็ ทราย จนถึงแรดินเหนียวที่ มขี นาดเล็กมาก ๆ (มองไมเห็น) ถา ดนิ มีแรข นาดเมด็ ทรายมาก เรยี กดนิ เนอื้ หยาบหรือดนิ ทราย แตถามี แรข นาดเล็กมาก ๆ เปน สว นใหญ เรยี กดนิ เนอ้ื ละเอียดหรือดินเหนยี ว 2) อินทรียวัตถุ มาจากเศษซากพืชสัตวท่ีสลายตัวแลว อินทรียวัตถุชวยปรับสภาพดินให เหมาะสมแกการปลูกพืช เชน ทําใหดินเหนียวมีลักษณะรวนซุยไมอัดแนน ชวยใหดินเก็บน้ําเก็บปุยดี ขนึ้ และเปน แหลงใหธ าตุอาหารโดยเฉพาะธาตุทมี่ กั ไมมีในปุยเคมี 3) นํา้ แทรกอยใู นชองวา งในดิน 4) อากาศ รปู ท่ี 2 แสดงสดั สว น (% โดยปริมาตร) ขององคประกอบ ของดิน ทเ่ี หมาะสมตอการปลุกพชื นอกจากน้ี ในดินยังมีจุลินทรีย ซึ่งเปนสิ่งท่ีมีชีวิตขนาดเล็ก โดยปกติมองดวยตาเปลาไมเห็น จุลินทรียมีมากมายหลายชนิดสวนใหญมีกิจกรรมท่ีกอใหเกิดประโยชนในดิน เชนยอยสลายเศษซาก พืชสัตว เพ่ิมธาตุอาหาร (ไนโตรเจน)แกดิน เปนตน แตจุลินทรียบางชนิดก็มีกิจกรรมท่ีกอใหเกิดความ เสยี หายในดิน หรือกอใหเ กดิ โรคตา ง ๆ ได เชนกัน ดินในแตละบริเวณ หรือดินบริเวณหน่ึง ๆ สวนที่เปนหนาดินและดินลางลึก ๆ มักจะมี ลักษณะและสมบตั ิทแี่ ตกตา งกนั เนื่องจากมีองคป ระกอบของดนิ ที่แตกตางกัน

4 ลักษณะดนิ ทดี่ ี ควรมลี กั ษณะอยางไร ? ดนิ ท่ีเหมาะกบั การปลกู พืชควรมลี ักษณะทดี่ ีดงั น้ี :- 1) ดินรวนซยุ ไมอ ดั แนน (ยกเวน ดนิ นาขาวขงั นาํ้ ท่ีตองการดินท่เี ปน ดินเหนียว) 2) ดินลึก โดยเฉพาะการปลูกไมผล ไมย นื ตน 3) ดนิ ไมม ีกอนหนิ กอ นกรวดปะปนมาก 4) ดินไมยืด-หดตวั มาก เมอ่ื เปย ก-แหง (ไมแตกระแหงมาก) 5) ไมเปน กรด หรอื ดา ง มากเกนิ ไป 6) ไมเคม็ 7) มีธาตุอาหารพชื ครบถว น และมีในสัดสวนเหมาะสม 8) เก็บธาตอุ าหารไดด ี เมือ่ ใสป ยุ และพชื ใชธาตอุ าหารทกี่ กั เก็บไดงาย 9) กักเกบ็ น้ําไดด ี และนา้ํ ทก่ี กั เก็บไว พชื ใชไดมาก 10) ดนิ ไมค วรมีโรค-แมลงศัตรูพืช รวมทงั้ สารพิษตาง ๆ ตอพืชและมนุษย- สตั ว ดินท่มี ปี ญ หาในการปลกู พชื เปนอยา งไร? ดินท่ีมีปญหาก็หมายถึงดินที่ขาดลักษณะท่ีดี ดังไดกลาวมาแลว ดินแตละบริเวณอาจจะมี ปญหาไมเหมือนกัน บางแหงอาจมีปญหาเดียว บางแหงอาจมีหลาย ๆ ปญหารวมกัน ซ่ึงในการปลูก พืชใหไดผลดี ควรจะตอ งจดั การแกไ ขทุก ๆ ปญ หาทม่ี ี อยางไรกต็ ามปญ หาบางอยา งของดนิ อาจจะแก ไดยาก หรือแกไมได หรือไมคุมทุนท่ีจะแกไข ซึ่งในกรณีอยางน้ี อาจจะตองพิจารณาเลือกชนิดพืชท่ี พอจะปลกู ได หรือเลอื กวธิ จี ัดการทเี่ หมาะสม หรือไมใ ชปลูกพืช แตใ ชประโยชนใ นดา นอื่นไปเลย ดนิ ทมี่ ปี ญหาจะจัดการปรับปรงุ แกไขอยา งไร? ลกั ษณะของดนิ ทมี่ ีปญ หาและแนวทางการจดั การแกไข โดยสงั เขป มดี งั น้ี :- 1) ดินเหนียวแนนทึบ : ดินเหนียวเปนดินเนื้อละเอียดท่ีเม่ือช้ืนสามารถคลึงดวยน้ิวชี้และหัว แมมือเปนแทงเล็ก ๆ ไดยาว (ปกติยาวกวา 1 ซม.) ดินพวกน้ีสวนใหญอุดมสมบูรณดี ธาตุอาหารท่ี อาจจะขาดแคลนมักเปนธาตุที่พืชตองการมาก ๆ เชน เอ็น และพี แตดินน้ีมักจะมีปญหาเก่ียวกับการ อัดแนน และการแตกระแหง ทําใหพืชมีระบบรากไมดี รากลงลึกไมได รากนอย พืชดูดนํ้าไปใชไดยาก พชื หัวลงหัวยาก เปน ตน การแกไขปรับปรุงดินเหนียวเนนการจัดการใหดินมีลักษณะรวนซุย ทํา ไดโดยการใชวัสดุอินทรียตาง ๆ เชน แกลบ แกลบดํา ขุยมะพราว ปุยหมัก ขี้วัว ขี้ควาย ฯลฯ ใสลงไป แตอาจจะมีปญ หาวาตองใชคอนขางมาก และทสี่ ําคัญตองใสอยา งสม่ําเสมอโดยเฉพาะพวกปุยหมัก ขี้ วัว ท้งั น้ี เพราะพวกนี้จะสลายตวั สูญหายจากดินงายและที่สําคัญอีกประการหนึ่งคือ การจัดการดินมัก ปรับปรุงใหดินรวนซุยไดเฉพาะดินบนเทานั้น ซ่ึงถาปลูกพืชลมลุกหรือพืชรากตื้น เชน พืชผัก ก็ไมนาจะ มปี ญ หา แตถ าปลกู ไมผลหรอื ไมย นื ตนขนาดใหญอาจมปี ญหาเพราะรากลงลึกไมได พืชอาจจะโคนลม

5 ไดงาย และพืชมักจะมีรากสวนใหญอยูบริเวณผิวดิน การใสปุยเคมีอาจสัมผัสรากโดยตรงซ่ึงจะเปน อันตรายตอพืชไดโ ดยเฉพาะถา ใสป ุยครง้ั ละมาก ๆ ดินเหนียวสวนใหญพ บในบริเวณท่รี าบลุมที่ใชทํานา ถือวาเปนดินท่ีเหมาะสําหรับนาขาว แต ถามีการเปลย่ี นสภาพพืน้ ท่มี าปลกู พชื สวนก็มักจะมีปญหาดังที่ไดก ลาวมาแลว 2) ดินทราย : ดินพวกนี้เปนดินเนื้อหยาบเมื่อชื้นจะปนหรือคลึงเปนแทงเล็ก ๆ ไมได ดิน พวกนี้มีปญหาที่สําคัญเก่ียวกับ มีธาตุอาหารนอยแทบทุกธาตุ ไมเก็บน้ํา ไมเก็บปุยโดยเฉพาะเมื่อใส ปุยเคมี การจัดการดินพวกนี้ควรจะตองใชวัสดุอินทรียรวมกับปุยเคมี วัสดุอินทรีย เชน ปุยหมัก ข้ีวัว ฯลฯ ใสเพ่ือเพ่ิมความสามารถในการเก็บน้ํา เก็บปุย และเพิ่มธาตุอาหารโดยเฉพาะธาตุที่พืชตองการ นอย ๆ (จุลธาตุ) ซึ่งธาตุเหลาน้ี สวนใหญไมมีในปุยเคมีทั่ว ๆ ไป สําหรับปุยเคมีใสเพ่ือใหธาตุอาหาร หลักที่พืชตองการมาก ๆ แตการใสปุยเคมี ก็ไมควรใสคร้ังละมาก ๆ ตองใสคร้ังละนอย ๆ แตบอยครั้ง หรอื ใสโ ดยใหพรอ มกับระบบการใหน าํ้ 3) ดินท่ีมีกอนหินกอนกรวดปะปนมาก: การมีกอนหินกอนกรวดปะปนทําใหไถพรวนดิน ไดยากหรอื ไมไ ด นอกจากนีย้ ังทาํ ใหสว นทเ่ี ปน ดินจริง ๆ (สวนท่ีเปนที่อยูของราก สวนที่เก็บนํ้าและธาตุ อาหาร) มีนอ ยลง โดยปกติการกําจดั กอ นหินกอ นกรวดออกจากดินทาํ ไดย าก ดังนนั้ จึงควรปลูกพืชท่ีไม ตองการการไถพรวนมาก มีการใชป ุยรว มกนั ทงั้ ปุย อนิ ทรยี และปุยเคมีการใสปุยเคมีควรใสครัง้ ละนอ ยๆ แตบ อ ยคร้งั หรอื ใสรว มในระบบการใหน ํ้า เชน ระบบนาํ้ หยด 4) ดินต้ืน: หรือดินที่รากพืชถูกจํากัดบริเวณ เชนดินท่ีลุมที่มีน้ําใตดินต้ืน ๆ ดินท่ีมีชั้นดาน แข็ง หรือมีศิลาแลงเปนแผนแข็งใตผิวดิน ดินพวกนี้มักจะตองใชปลูกพืชรากต้ืนเชนพืชลมลุกสวนการ จัดการดิน สวนใหญจะจัดการเชน เดยี วกบั พวกดินทราย 5) ดินเปนกรด-ดางเกินไป: ดินแตละบริเวณจะมีสภาพกรด-ดางแตกตางกันไป และ สภาพกรด-ดางในดินมักจะเปล่ียนแปลงไดโดยธรรมชาติ รวมท้ังการใสวัสดุตางๆ ลงไป ไมวาจะเปน ปยุ อนิ ทรยี  ปุยเคมีหรอื วัสดุปรบั ปรุงดินตา ง ๆ ดงั นน้ั ควรมีการตรวจสอบสภาพกรด-ดางเสมอ

6 รปู ที่ 3 แสดงแหลง ทมี่ าของกรด-ดา งในดิน การตรวจสอบอาจทํางาย ๆ โดยใชนํ้ายาตรวจสอบ (มีจําหนายท่ีภาควิชาปฐพีวิทยา คณะ เกษตร ม.เกษตรศาสตร) คาทตี่ รวจสอบจะบอกออกเปน คา ตวั เลขท่เี รียกวา คา “พีเอช” ซ่ึงมีคาต้ังแต 1 ถึง 14 คา พีเอชท่ตี าํ่ กวา 7 แสดงวา ดนิ เปน กรด ถา มากกวา 7 แสดงวาดนิ เปนดา ง ตัวเลขยงิ่ นอยย่ิงเปน กรดมาก ตวั เลขย่งิ มากกจ็ ะเปนดา งมากเชนกนั คาพเี อชที่เหมาะสมสําหรับพืชทว่ั ๆ ไป ควรอยูระหวาง 5.5-7.0 รูปที่ 4 แสดงลกั ษณะดนิ กรดท่ีเกดิ จากการสลายตวั ของแรในดนิ (มจี ดุ ประสีเหลืองออน ๆ ในดิน) ถา ดินเปน กรดเกนิ ไป (คาพเี อชตํ่ากวา 5.5) ควรปรบั ปรุงแกไ ขโดยการใชพ วกปนู ตาง ๆ เชน ปนู ขาว ปนู มารล ปูนโดโลไมต และเปลอื กหอยบด เปน ตน ถา ไมแ กไ ขมักจะมปี ญ หาหลายประการที่ สาํ คญั คือ ทาํ ใหธาตุอาหารในดนิ บางธาตไุ มละลายนาํ้ พืชดูดกินไมได ถงึ แมใสป ยุ เพิม่ เติมธาตอุ าหาร พชื กย็ งั กนิ ไดนอ ยหรอื ไมไ ด ในทางตรงขา มธาตุบางธาตใุ นดินจะละลายออกมามากจนอาจเปน พิษตอ

7 พืช หรือละลายออกมาตกตะกอนกับปยุ ทใ่ี สทาํ ใหการใชปยุ ไมไดผล โดยเฉพาะปยุ ทีเ่ รง ราก และเรง การออกดอก (ปยุ ทม่ี ธี าตฟุ อสฟอรสั มาก ๆ) รปู ท่ี 5 แสดงดินทพี่ บบรเิ วณภเู ขาหนิ ปูนมสี ภาพเปน ดา ง (พบกอนปนู สขี าวปะปนในดนิ ) ถาดนิ เปน ดางก็มักจะมีปญหาเร่ืองธาตุหลายตัวไมละลายนํ้า พืชดูดกินไมไดเชนกัน การแกไข ดนิ ดางบางครง้ั ทําไดย าก เพราะดนิ พวกน้มี ักมีหินปูนซึ่งเปน ดา งปะปนอยู การใชปุยอินทรียและการให ปุยทางใบ รวมทั้งการเลือกพืชท่ีคอนขางขึ้นไดดีในดินพวกน้ีก็เปนแนวทางท่ีจะชวยบรรเทาปญหาดิน ดางลงได รปู ท่ี 6 แสดงชุดตรวจสอบความเปน กรด – ดางของดินและนํา้ ผลติ โดยภาควชิ าปฐพวี ิทยา คณะเกษตร มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร 6) ดินเคม็ : เปนดินท่ีมีเกลือสะสมมากเกินไปจนเกิดอันตราย คือ ทําใหพืชดูดนํ้าจากดินได นอย หรือไมได ทําใหเกิดอาการปลายใบขอบใบเห่ียวแหงหรือใบเหลือง หรือถาเค็มมากก็เหี่ยวตาย ทนั ทไี ปเลย ปกตดิ ินเคม็ จะเกดิ มากในบริเวณที่เปน แหลง สะสมเกลอื หรือน้าํ ใตดินมีเกลอื มาก การมีน้ํา จืดจะทําใหเกลือเจือจางหรือชะเกลือออกไปได แตถาดินเหนียวการชะเกลืออาจจะยาก เพราะน้ําซึม

8 ผานดินไดยาก ดินเค็มบางชนิดใชนํ้าจืดชะเกลืออยางเดียวไมไดตองใสยิปซั่มลงไปดวย ดินเค็มพวกนี้ มักจะมีคาพีเอชสูงมาก (ประมาณ 8.5) การท่ีจะดูวาดินเค็มหรือไม ตองใชเครื่องมือวัดความเค็มซ่ึง คอนขางยุงยาก แตเราอาจสังเกตงาย ๆ ดวยตา เชน ขณะท่ีดินแหง ถาหนาดินมีคราบเกลือขาว ๆ แสดงวาดินอาจจะเค็ม ย่ิงมีคราบเกลือมากก็นาจะเค็มมาก ปญหาดินเค็มในบานเรามักแกไขยาก เพราะน้ําจืดมีนอย (แหงแลง) การใชอินทรียวัตถุพวกปุยหมัก ขี้วัว หรือปุยพืชสดจะชวยทําใหดินช้ืนดี ชว ยลดความรุนแรงของความเค็มไดบ า ง นอกจากนี้การเลือกพืชทนเค็มก็ชวยทําใหสามารถปลูกพืชได การใชปุยเคมีในดินเค็มตองระวังมาก ๆ เพราะปุยเคมีเค็ม ถาใสครั้งละมาก ๆ จะย่ิงไปเพิ่มความเค็ม เปนอันตรายตอพืชได ทางท่ีดีควรงดการใชปุยเคมี ใชปุยอินทรียแทน แตถาตองใชปุยเคมีควรใสปุย ครง้ั ละนอ ย ๆ แตบอ ยครั้ง รปู ท่ี 7 สวนหนอ ไมฝ รง่ั อําเภอดาํ เนนิ สะดวก จังหวดั ราชบุรี ดนิ มีสภาพเปนดางและเปนดินเค็มดว ย 7) ดินขาดธาตุอาหาร หรือมีธาตุอาหารไมเหมาะสมตามที่ตองการ: ดินพวกดินทราย และดินท่ีใชปลูกพืชมาเปนเวลานาน ดินเหลาน้ีมักขาดธาตุอาหาร หรือมีธาตุอาหารในสัดสวนที่ไม เหมาะสม ดินที่ใสปุยเคมีเพ่ิมธาตุเอ็น พี เค ติดตอเปนเวลานานก็มักจะขาดพวกธาตุรองและจุลธาตุ บางตัวไดเชนกัน ซึ่งในการจัดการควรท่ีจะตองรูวาดินขาดธาตุอะไรบาง และพืชตองการธาตุอะไรมาก นอ ยแคไ หน หรือในแตละชว งของการเจรญิ เตบิ โต พชื ตอ งการหรือไมตองการธาตอุ ะไรมาก ดังนั้น เพ่ือใหสามารถจัดการธาตุอาหารในดินไดอยางถูกตองเหมาะสมควรท่ีจะตองมาทํา ความรจู กั เก่ยี วกับธาตอุ าหารพืชและปุยเปนวัสดุทีจ่ ะใชเปน ตวั เพมิ่ เติมธาตุอาหารใหแกด ิน

9 ธาตอุ าหารทจี่ ําเปนสาํ หรับพืชและหนาทที่ ส่ี าํ คญั ธาตุอาหารท่ีพชื ตอ งการมอี ยา งนอ ย 17 ธาตุ คือ 1) ธาตุที่พืชไดจากนํ้าและอากาศ: มี 3 ธาตุ คือ คารบอน (C), ออกซิเจน (O) และ ไฮโดรเจน (H) ธาตทุ งั้ 3 พืชตอ งการมาก โดยเฉลี่ยประมาณ 95-99% ของน้ําหนักสด โดยสวนใหญจะ อยูในรูปของน้ํา และองคประกอบตาง ๆ ของพืช ธาตุพวกนี้ถือวาไมมีปญหาการขาดแคลนเพราะใน การปลูกพืชตอ งมนี า้ํ และอากาศ 2) ธาตทุ ีพ่ ชื ตอ งการจากดิน : มีอยางนอ ย 14 ธาตุ ดงั ทไี่ ดกลาวมาแลว เมื่อเปรยี บเทยี บ กับธาตุท่ีพืชไดรับจากนํ้าและอากาศ พืชตองการธาตุจากดินในปริมาณที่นอยมาก โดยเฉพาะพวก พืชผัก พืชอวบนํ้า อยางไรก็ตามดินสวนใหญในปจจุบันมักจะมีธาตุเหลานี้ไมพอเพียง โดยเฉพาะถา ปลูกพชื ท่ใี หด อกผล ใหเ มล็ดใหหัว หรือใหผลผลติ ในปริมาณมาก ธาตุอาหารท่ีพืชมักไดรับไมพอเพียง น้ัน มักจะเปนพวกธาตุอาหารหลักที่พืชตองการมากๆ คือไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม หรือ ทีเ่ รยี กสนั้ ๆ วาธาตุ เอ็น พี และ เค ธาตทุ ัง้ 3 น้ีจะทําหนาทีห่ ลกั ๆ ดงั น้ี ไนโตรเจน (เอ็น) เปนธาตุที่ชวยสงเสริมการเจริญเติบโต สรางโปรตีน แตถาพืชไดรับ มากเกินไป พืชจะออนแอ อวบน้ํา โรคแมลงทําลายงาย หักลมงายพวกพืชผักกินใบตองการมาก พืช พวกไมดอก ไมผล ถาไดรับมากไปในชวงสรางตาดอก-สรางผลผลิต จะทําใหพืชเฝอใบมี ดอกผลนอย และคุณภาพผลผลิตไมดี ดังน้ันในชวงกอนออกดอก มักจะใสปุยท่ีไมมีหรือมีธาตุน้ีนอย ๆ แตมีธาตุท่ี สงเสริมการออกดอก (ธาตุฟอสฟอรัส) มากกวา ถาพืชไดรับไนโตรเจนไมพอเพียงพืชจะแคระแกรน ใบ แก ๆ จะเหลืองและรวง ฟอสฟอรัส (พี) ชวยสงเสริมการออกดอกผล การเจริญของราก การใสธาตุน้ีมาก เกนิ ไปในดิน จะทําใหไปลดความเปนประโยชนของจุลธาตุบางตัวในดินเชน สังกะสี เหล็ก สงผลใหพืช ขาดจุลธาตุเหลาน้ีได ถาพืชไดรับฟอสฟอรัสไมพอเพียงจะทําใหการออกดอกออกผลลดนอยลง พืช แคระแกรนและใบแก ๆ มักจะมีสีเหลอื งหรอื สีอน่ื ปะปน โพแทสเซียม (เค) ชวยในการสรางและสะสมอาหาร (สรางผล สรางหัว) และทําให พืชมีคุณภาพดี ถาพืชไดรับไมพอเพียง การสรางผล เมล็ด หรือการสรางหัวของพืชจะลดนอยลง และ ผลผลิตมีคุณภาพไมดี การขาดโพแทสเซียม มักจะทําใหใบแก ๆ ของพืชมีอาการปลายใบและขอบ ใบเหลืองและคอย ๆ แหง ตาย

10 รปู ท่ี 8 แสดงอาการขาดธาตุไนโตรเจนในขา วโพด(ภาพซาย) และอาการขาดธาตโุ พแทสเซยี มในขา ว (ภาพขวา) รูปท่ี 9 แสดงอาการขาดธาตุฟอสฟอรัสในขาวโพด (ภาพซาย) และอาการขาดธาตแุ คลเซยี มในถัว่ ลสิ ง (ภาพขวา) ธาตุอื่น ๆ ที่พืชตองการจากดิน (ธาตุรองและจุลธาตุ) จะทําหนาท่ีเสริมหนาที่หลัก ๆ ของ เอ็น พี เค เปนสวนใหญ จงึ ไมข อกลา วในรายละเอียด สําหรับการขาดธาตุรองและจลุ ธาตุสวนใหญ พืช จะแสดงอาการท่ยี อดหรอื ใบออน เชน อาจมีอาการใบออนเหลอื งซีด ยอดตาย เปนตน มีบางธาตุแสดง อาการทใ่ี บแกหรอื สว นอนื่ ๆ ของพืชไดเ ชนกัน ในการที่จะประเมินวาดินมีธาตุอะไร มากนอยแคไหนอาจจะทําการตรวจสอบไดโดยการ วิเคราะหดิน วิเคราะหพืช หรือดูลักษณะอาการที่พืชแสดงออก แตการดูลักษณะอาการผิดปกติที่พืช แสดงออกนี้อาจจะตอ งอาศยั ความชาํ นาญในการสงั เกต

11 รูปที่ 10 แสดงอาการขาดธาตสุ ังกะสใี นสมโอ (โรคใบแกว) ปุยคอื อะไร ? ปุยคือวัสดุที่เราใชโดยมีวัตถุประสงคเพ่ือเพิ่มเติมธาตุอาหารที่ขาดแคลนใหแกดิน และพืช แตเนื่องจากปุยมีมากมายหลายชนิด มีลักษณะ-คุณสมบัติ และมีธาตุอาหารตาง ๆ ตางกัน ปุยบางอยางใหเ ฉพาะธาตอุ าหารแตปุยบางอยางนอกจากใหธาตุอาหารแลวยังชวยปรับสภาพดินดวย ดงั นนั้ กอ นการใชป ยุ เราควรจะตองรจู ักปุยเสียกอ น ปยุ แบงออกเปน 2 พวกใหญ ๆ คอื 1) ปุยอินทรีย: จะรวมปุยทุกอยางที่มาจากพืช และสัตว เชน ปุยหมัก (ปุยหมักธรรมดา และปุยหมักน้ํา) ปุยคอก (มูลสัตวตาง ๆ) ปุยพืชสด รวมทั้งเศษวัสดุอินทรียตาง ๆ จากไรนา หรือจาก โรงงานอุตสาหกรรมท่ใี ชพ ืช-สตั ว เปน วตั ถุดบิ ปยุ เหลา น้ีมลี กั ษณะและสมบัติที่แตกตางกันไปมากมาย การใชท่ีไมถูกตองเหมาะสมก็กอใหเกิดอันตรายตอดินและพืช และกอใหเกิดผลเสียตอสภาพแวดลอม ได ลักษณะท่ัว ๆ ไปของปุยอินทรียคือมีธาตุอาหารครบทุกธาตุท่ีพืชตองการ แตมักจะมีใน ปริมาณนอย และนอกจากน้ียงั ชวยปรับสภาพดนิ ดงั ทไ่ี ดกลา วมาแลว วา ดนิ ตองมีอนิ ทรยี วัตถุ ถา ไม มีการเพิ่มเติม อินทรียวัตถุจะคอย ๆ สลายตัวเหลือนอยลงและทําใหดินสูญเสียสภาพท่ีดีไป ดินใน ปจจุบันสวนใหญ มีอินทรียวัตถุเหลืออยูนอยมาก ทําใหดินมีปญหาปลูกพืชไมไดผล พืชผักตาง ๆ โดยเฉพาะผักกินใบซึ่งตองการธาตุอาหารจากดินนอยมาก สวนใหญตองการน้ําและสภาพดินที่ดี ดังน้นั การใชปุยอนิ ทรยี แ ตเพียงอยา งเดยี วก็มกั จะเพียงพอกับพืชผักเหลานี้ ดินที่มีปญหาตาง ๆ เชน ดินทราย ดินเหนียวจัด ดินกรด ดินเค็ม ดินดาง ดินที่มีอินทรียวัตถุต่ํา ฯลฯ การใชปุยเคมี อยางเดยี วมักไมค อ ยไดผล ตองใชปุย อินทรียรวมดวยเสมอ 2) ปยุ เคมี: ปุยเคมเี ปนเกลอื ที่ประกอบดว ยธาตุอาหารพืชอยางเขมขน “ปุยเคมีไมใชสารพิษ” แตเปนวัสดุใหธาตุอาหารเหมือน ๆ กับปุยอินทรียตาง ๆ เพียงแต ปยุ เคมสี ว นใหญม ีธาตอุ าหารบางธาตุเทานน้ั โดยมีคอนขางเขมขน และเคม็ (ปยุ อนิ ทรียบางชนดิ ที่

12 มีธาตุอาหารคอนขางมาก ก็เค็มมากเชนกัน) ดังน้ันการใชปุยเคมีตองใชอยางถูกตอง เลือกปุยท่ีมีธาตุ อาหารตามท่ีดินขาดหรือพืชตองการมาก และอยาใสคร้ังละมาก ๆ เพราะอาจทําใหพืชไดรับอันตราย จากความเคม็ รวมทั้งจะเกิดการสญู เสียของปยุ ไดม าก กอนทีพ่ ชื จะทนั ไดด ดู กนิ “ปุยเคมีไมชวยปรับสภาพดิน” ซ่ึงโดยปกติดินที่ใชปลูกพืชจะคอย ๆ มีสภาพเส่ือมลง ไม วาจะใชหรือไมใชปุยเคมี ดังนั้นการปลูกพืชแลวใชปุยเคมีอยางเดียวดินยอมมีสภาพเสื่อมลงเปนปกติ ธรรมดา การเสื่อมของดิน เชน ดินอัดแนน ดินขาดธาตุรอง จุลธาตุ เกิดจากเกษตรกรไมใชปุยอินทรีย ทําใหดินขาดอินทรียวัตถุท่ีจะปรับสภาพดิน สําหรับดินที่เปนกรดสวนใหญเกิดจากกรดจากธรรมชาติ เชน จากฝน เปน ตน กรดจากปุยถอื วา มีนอยมาก การทดี่ ินในปจจบุ ันเส่อื มโทรมมาก นาจะกลา วไดวา เปนเพราะเกษตรกรไมใชปุยอินทรีย ทาํ ใหดนิ ขาดอนิ ทรียวัตถทุ ่ีจะชวยปรบั สภาพดนิ ใหดีอยเู สมอ ในทรรศนะของผูเขียน “ปุยเคมีคือ หัวอาหารพืช” ดังน้ันคงจะไมเหมาะท่ีจะใชแตปุยเคมี อยา งเดียว โดยเฉพาะถาดินมอี ินทรียวัตถนุ อ ย นอกจากนจ้ี ะตอ งใชปุยอยา งถกู ตอ งดว ยจงึ จะไดผล “สารพิษ” ที่หลายคนวิตก สวนใหญมาจากสารปองกันและกําจัดโรค-แมลง และสารกําจัด วัชพืช รวมท้งั พวกโลหะหนกั ท่ีเปนพิษตาง ๆ สินคาเกษตรของไทยท่ีไมสามารถสงขายตางประเทศไดก็ เพราะมีการปนเปอนวัสดุเหลาน้ีรวมท้ังอาจจะมีโรค-แมลงและจุลินทรียบางชนิดปะปน ดังน้ันผลผลิต พชื ท่ีใชปุยเคมี ถอื วา เปน ผลผลิตท่ปี ลอดภยั ตอ สุขภาพ จะรไู ดอ ยางไรวา ปุยเคมี มีธาตอุ ะไรบา ง และมอี ยมู ากนอยแคไ หน ? บนภาชนะบรรจุปยุ เคมี จะมตี วั เลขบอกปรมิ าณธาตุอาหารหลกั เรียกวา “สูตรปุย” เชน สูตร 16-8-10 หมายความวาปุยนี้มีไนโตรเจน (เอ็น) 16% มีฟอสฟอรัส (พี) 8% และมีโพแทสเซียม (เค) 10% หรือปุยสูตร 46-0-0 แสดงวามีแตไนโตรเจนอยางเดียว 46% อยางนี้เปนตน สําหรับปุยหิน ฟอสเฟตบดจะเห็นวาสวนใหญจะมีสูตร 0-3-0 ซึ่งดูเหมือนวามีฟอสฟอรัสนอยมาก แตความจริงจะมี ฟอสฟอรัสอยูมาก เพียงแตอยูในสภาพท่ีพืชยังใชไมได (ยังไมละลายน้ํา แตจะคอย ๆ ละลายออกมา อยา งชา) นั่นคือ ตวั เลขสตู รปยุ ทีบ่ ง บอกปริมาณธาตุอาหารน้ัน จะบง บอกเฉพาะในรูปทพี่ ืชสามารถดูด กนิ ไดทนั ทเี มอ่ื ใสป ุยลงไปในดนิ เทานั้น สตู รปยุ เคมี ปจ จุบันมีมากมายหลายรอยสตู ร ทําใหเ กิดความสบั สนในการเลือกใช สูตรปุยท่ี มีสัดสวน (เรโช) เอ็น:พี:เค เหมือนกันหรือใกลเคียงกัน ถือวาใชแทนกันได เชน สูตร 15-15-15, 16- 16-16, 14-14-14 มีสดั สว น เอ็น:พี:เค = 1:1:1 เหมอื นกนั หรือสูตร 20-10-10, 16-8-8 มสี ดั สวนเทากับ 2:1:1 เหมือนกัน ใชแทนกันไดเปน ตน ในปจจุบันมีปุยเคมีหลายชนิดโดยเฉพาะปุยเกล็ด และปุยน้ํา มักจะมีการเติมพวกธาตุรอง และจุลธาตุลงไปดวย และมักจะมีการเขียนบอกเอาไววามีธาตุอะไรบางและมีอยูเทาใด อยางไรก็ตาม

13 ปุยบางชนิดอาจจะมีธาตุรอง และจุลธาตุบางชนิดอยูดวย แตอาจจะไมมีการเขียนบอกไวก็ได เชน ปุย 21-0-0 นอกจากจะมีไนโตรเจน แลวยังมีกํามะถันดวย หรือปุยสูตร 0-0-60 นอกจากจะมีโพแทสเซียม แลว ยังมีคลอไรดอ ีกดวย ปุยผสมสูตรตาง ๆ ที่มีจําหนายท่ัว ๆ ไป ถาใชปุยสูตร 0-0-60 เปนแมปุยรวม ดวย ก็จะมีคลอไรดติดมาดวยเสมอ การมีคลอไรดปะปนมากในปุย อาจจะทําใหไมเหมาะที่จะใชกับ พชื หลายชนิด เพราะปกติพืชตองการคลอไรดนอยมาก แตถาไดรับมากไปก็อาจจะกอใหเกิดผลเสียตอ พชื บางชนิดได เชน ยาสูบ มนั ฝร่ัง ถ่วั บางชนดิ กลว ยไม สม และไมผลอ่ืนๆ บางชนิด แตพืชบางชนิดก็ ชอบคลอไรด เชน ผักกาดหวั และมะเขอื เทศ เปนตน หลักการใชปุย การปลกู พืชในดิน หลักการใชปุย ท่ถี กู ตอ งจะตองใชปุยเคมีรวมกับปุยอินทรีย โดยปุยเคมี เนนการใหธาตุอาหารหลกั พวก เอ็น-พี-เค โดยเฉพาะเพื่อปรับสัดสวนเอ็น-พี-เค ใหเหมาะสมตามท่ีพืช ตอ งการ สว นปุยอนิ ทรยี ใ ชเ พ่ือเพ่ิมพวกธาตรุ อง จุลธาตุ และชวยปรบั สภาพดิน ปุยเคมี ปุยอนิ ทรีย (เนน ให) (เนน ทีม่ าจากพืช เชน ปุย หมัก) (อาจมี) (มีนอยไมพอ) (เนน ปรบั ปรุง) (มนี อยแตพ อ) ธาตอุ าหารหลัก ธาตอุ าหารรองและจุลธาตุ สภาพดนิ ดี หลักการเลอื กใชป ยุ เคมี การใชปุยเคมีกับพืชทั่วไป เนนการใสเพ่ือปรับสัดสวนของ เอ็น-พี-เค ในดินใหเหมาะกับชนิด พืช หรือชวงการเจริญเติบโตของพชื สดั สว นของ เอ็น-พี-เค ทพ่ี ชื ทัว่ ๆ ไปตอ งการมีดงั นี้ 1) ผกั กินใบ 3-1-1 เชน ปุยสูตร 18- 6 - 6 2) ถั่วตาง ๆ 1-3-2 “--------“ 10-30-20 3) พืชหวั 2-2-3 เชน สูตรปยุ 12-12-18 4) ธญั พชื , หอม, 3-3-2 “--------“ 15-15-10 กระเทยี ม, พริก, มะเขอื 5) ไมผ ล ไมด อก 1-1-1 “-------“ 15-15-15

14 ในกรณีท่ีดินมีธาตุบางธาตุอยูบางแลว (รูไดจากการวิเคราะห) เราก็อาจจะปรับสัดสวนของ เอน็ -พ-ี เคในปยุ ใหเหมาะสมยิง่ ขึ้นได เชน ถา ดนิ มี พี และ เค พอเพียงอยูแลว การใชปุยกับพืชผักกินใบ อาจใชแคป ุยท่ใี ห เอ็นอยางเดยี วเชนปุยสูตร 46-0-0 ก็ได อยางไรก็ตามการใชปุย เรามักจะมีการแบงใสปุยหลาย ๆ ครั้ง เพ่ือใหพืชใชปุยไดดีข้ึน รวมทั้ง ชวยทําใหพืชไดรับสัดสวนของ เอ็น-พี-เค อยางเหมาะสมในแตละชวงการเจริญเติบโต โดยเฉพาะพวกไมผล ซง่ึ ในแตล ะชวงการเจรญิ เตบิ โตตองการสัดสวน เอ็น-พี-เค ตา งกัน ดงั นั้น เรามกั มี การปรบั เปลย่ี นการใชป ุยสูตรตา ง ๆ ดงั น้ี -ชว งกอ นออกดอก : ใชส ัดสวน 1-2-1 เชน สูตร 12-24-12 เพอื่ เรง ดอก -ชวงตดิ ผลเลก็ ๆ : ใชสัดสวน1-1-2 เชน สูตร 13-13-21 เพ่ือสรา งผล แตถ าชวงสรา งผลยาวนานชว งน้อี าจแบงยอยอีก เชน ใชสัดสวน 3-1-4 เชนสตู ร 15-5-20 ในชวงแรกและ ใชสดั สว น 1-1-2 เชนสตู ร 13-13-21 ในชวงใกลผลแก -หลงั เก็บผล : ใชส ัดสวน 2-1-1 เชน สูตร 20-10-10 เพ่ือบาํ รงุ ตน จะเห็นวา เม่ือรวมในรอบป ก็จะไดธาตุอาหาร เอ็น-พี-เค ในสัดสวนพอ ๆ กัน ตามท่ีพืชนี้ ตองการ เปน ตน การใชปุยเคมีกับพืชตางๆ ท่ีกลาวมานี้ เปนเพียงแนวทางในการปฏิบัติเทาน้ัน เพราะจริงๆ แลวการใสปุยในแตละป ในสภาพดินท่ีตางกัน มีการปฏิบัติดูแลรักษาและการใหนํ้าหรือสภาพฝนที่ ตางกัน การใชปุยเคมีในสูตร และอัตราเหมือนๆ กัน ก็อาจจะใหผลท่ีแตกตางกันได ผูใชปุยควรท่ี จะตองพิจารณาการตอบสนองตอ ปยุ ของพืช และปรบั เปลยี่ นการเลอื กใชป ุย ใหเหมาะสมอยูเสมอ นํา้ เพ่ือการเกษตร ลักษณะและสมบัติของนํ้าเพ่ือการเกษตรท่ีจะกลาวตอไปน้ี จะขอจํากัดตัวเองอยูในเฉพาะ เร่ืองของน้ําจากแหลงน้ําธรรมชาติ หรือน้ําบาดาล ท่ีจะใชเล้ียงกุงปลา หรือรดนํ้าตนไมเทานั้น จะไม กลา วถึงนํา้ จากแหลง นาํ้ ในเขตเมืองที่เนา เสีย เนอื่ งจากมสี ารอินทรยี ต า ง ๆ ปะปนอยูมาก ทาํ ใหนา้ํ ขาด อากาศ (ออกซเิ จน) นอกจากน้ียงั มสี ่ิงอ่ืน ๆ เจือปนอกี มาก ท้ังที่เปนและไมเปน พิษ ตอ คน สตั ว และพชื สมบัติของน้ําจากแหลงนํ้าตาง ๆ(ยกเวนน้ําในแมนํ้า ลําธาร) โดยปกติจะเก่ียวของกับ ลักษณะของดินบริเวณน้ัน ๆ เชน บริเวณท่ีเปนกรดจัด น้ําในบอบริเวณน้ันก็เปนกรดจัด หรือบริเวณท่ี เปน ดินเคม็ นาํ้ ในแหลงนํา้ บรเิ วณน้นั ๆ กเ็ คม็ ดวย ดงั นน้ั สมบัตขิ องน้าํ ทสี่ าํ คัญทีค่ วรทราบมดี งั น้ี 1) ความเปน กรด-ดาง 2) ความเคม็

15 ความเปน กรด-ดางของนํา้ น้ําถาเปนกรดหรือดางมากเกินไปจะไมเหมาะที่จะนํามาใชรดตนไม เพราะสามารถท่ีจะทํา ใหดินเปนกรดหรือดางได อยางไรก็ตามเก่ียวกับความเปนกรดดางของน้ํามักจะนํามาพิจารณาในการ ใชเ ล้ยี งกงุ -ปลา ดังน้ี - ถา นา้ํ มีคาพเี อช 4-5 : กุง ปลาอาจตาย และไมขยายพันธุ - ถาน้าํ มคี า พีเอช 5-7 : กงุ ปลาเจริญเตบิ โตชา - ถา น้ํามคี าพีเอช 7-8 : เหมาะสม - ถา นาํ้ มีคา พีเอช มากกวา 9 : กงุ ปลาเจริญเติบโตชา และอาจตายได การวัดความเปนกรดเปนดางของนํ้า สามารถทําไดเชนเดียวกับการวัดความเปนกรดเปน ดางของดิน โดยปกติน้ํามักมีปญหาเกี่ยวกับเปนกรดมากเกินไปในการแกไขความเปนกรดของนํ้าก็ สามารถใชปูนชนิดตางๆไดเชนเดียวกับการแกกรดของดิน แตการใสปูนลงน้ําโดยตรง ตองระวังเพราะ อาจทําใหนํ้าเปลี่ยนคาความเปนกรด-ดาง รวดเร็ว กุงปลาปรับตัวไมทันอาจจะตายได นอกจากนี้เมื่อ แกกรดไดร ะยะหนงึ่ จะเกิดกรดข้นึ อีก จากท่ไี ดกลาวแลววา กรดจะมาจากดินเปนสําคัญ ดังนนั้ ในกรณีท่ี บอกุงปลามีนํ้าเปนกรด มักจะแกไขสภาพดินบริเวณกนบอ และขอบบอ โดยการสูบน้ําออก ใสปูน คลุกเคลากับดินแลวอัดดินใหแนน สําหรับปริมาณปูนท่ีจะใชน้ัน ไดจากการตรวจสอบความเปนกรด ของดินกนบอ แลวใสปูนในปริมาณท่ีแสดงไวในตารางในชุดตรวจสอบความเปนกรด-ดาง ของดินและ นาํ้ ทมี่ ีจาํ หนา ยท่ภี าควิชาปฐพวี ทิ ยา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร ความเคม็ ของนํ้า การที่นํ้ามีความเค็ม เนอ่ื งจากมีเกลือที่ละลายน้าํ ไดปะปนอยู เชน เดียวกับดิน น้ําท่ีเค็มถาใช รดตนไมไปนาน ๆ ก็จะทําใหดินกลายเปนดินเค็มได การที่จะดูวาน้ําเค็มหรือไมนั้น เราใชเคร่ืองมือวัด ความเค็มเชนเดียวกันกับที่ใชวัดความเค็มของดิน คาความเค็มที่วัดได ถามากกวา 0.75 มิลลิซีเมน/ ซม. ก็ถือวาไมเหมาะสมแลว ไมแนะนําใหใชรดตนไม โดยเฉพาะถาดินเปนดินเหนียวจะเกิดการสะสม เกลือเกิดดินเค็มได แตถาดินเปนดินทราย ความเค็มน้ําระดับน้ี หรือมากกวาน้ีเล็กนอยยังพอใชได เพราะดินทราย เกลอื จะไมส ะสมหรือถกู ชะลางออกไดงา ย การแกไขความเค็มของน้ําเพื่อการเกษตร โดยปกติจะไมทํากันเพราะไมคุม โดยท่ัวไปถานํ้า เปนนาํ้ เคม็ มกั จะหลกี เลยี่ งการนํามาใชรดตนไม หรือใชกบั พืชทนเค็ม _____________________________


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook