Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิชาหลักภาษาไทนม.ปลาย

วิชาหลักภาษาไทนม.ปลาย

Published by สุภาวิตา ทองน้อย, 2019-08-23 05:01:11

Description: วิชาหลักภาษาไทนม.ปลาย

Search

Read the Text Version

หนงั สอื เรยี นสาระความร้พู ้ืนฐาน รายวิชา หลักภาษาไทย (พท 33002) ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย หลกั สตู รการศกึ ษานอกระบบระดับการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. 2554) ส�ำนกั งานส่งเสริมการศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศัยจังหวดั มหาสารคาม ส�ำนกั งานปลัดกระทรวงศกึ ษาธกิ าร กระทรวงศึกษาธกิ าร หา้ มจ�ำหนา่ ย หนงั สือเรยี นเล่มนจี้ ดั พมิ พด์ ้วยเงินงบประมาณแผน่ ดนิ เพ่ือการศึกษาตลอดชีวติ สำ� หรับประชาชน ลิขสิทธ์ิ เป็นของ สำ� นกั งาน กศน. สำ� นกั งานปลัดกระทรวงศกึ ษาธิการ ลขิ สทิ ธเ์ิ ปน็ ของ สำ� นกั งาน กศน. สำ� นกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ เอกสารทางวชิ าการลำ� ดับที่ 6/2555



ค�ำน�ำ กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 เม่ือวันท่ี 18 กันยายน พ.ศ. 2551 แทนหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการศึกษา นอกโรงเรียนตามหลกั สูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2544 ซ่งึ เป็นหลักสตู รทพี่ ัฒนาขน้ึ ตามหลกั ปรชั ญาและความเชอื่ พนื้ ฐานในการจดั การศกึ ษานอกโรงเรยี นทม่ี กี ลมุ่ เปา้ หมายเปน็ ผใู้ หญม่ กี ารเรยี นรแู้ ละ ส่ังสมความรู้และประสบการณ์อยา่ งต่อเน่อื ง ในปีงบประมาณ 2544 กระทรวงศกึ ษาธิการได้กำ� หนดแผนยทุ ธศาสตรใ์ นการขับเคล่อื นนโยบาย ทางการศึกษาเพ่ือเพมิ่ ศักยภาพและขดี ความสามารถในการแข่งขนั ใหป้ ระชาชนได้มีอาชีพท่ีสามารถสรา้ ง รายได้ท่ีม่ันคงและมั่นคง เป็นบุคลากรที่มีวินัยเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมและจริยธรรม และมีจิตส�ำนึก รบั ผดิ ชอบต่อตนเองและผู้อน่ื สำ� นกั งาน กศน.จึงไดพ้ จิ ารณาทบทวนหลกั การ จดุ หมาย มาตรฐานผลการ เรียนรู้ท่ีคาดหวัง และเน้ือหาสาระ ทั้ง 5 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ของหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับ การศกึ ษาข้ันพน้ื ฐานพทุ ธศกั ราช 2551 ใหม้ ีความสอดคลอ้ งตอบสนองนโยบายกระทรวงศึกษาธกิ ารซึง่ สง่ ผลใหต้ อ้ งปรบั ปรงุ หนงั สอื เรยี น โดยการเพม่ิ และสอดแทรกเนอื้ หาสาระเกยี่ วกบั อาชพี คณุ ธรรมจรยิ ธรรม และการเตรยี มพรอ้ มเพอื่ เขา้ สปู่ ระชาคมอาเซยี น ในรายวชิ าทมี่ คี วามเกยี่ วขอ้ งสมั พนั ธก์ นั แตย่ งั คงหลกั การ และวิธีการเดิมในการพัฒนาหนงั สือท่ีให้ผู้เรียนศึกษาค้นคว้าความรู้ด้วยตนเอง ปฏิบัติกิจกรรม ท�ำแบบ ฝึกหัด เพ่ือทดสอบความรู้ความเข้าใจ มีการอภิปรายแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับกลุ่ม หรือศึกษาเพิ่มเติมจาก ภมู ิปญั ญาทอ้ งถนิ่ แหล่งการเรียนร้แู ละส่ืออ่นื การปรับปรุงหนงั สือเรียนในครั้งนี้ได้รับความร่วมมืออย่างดีย่ิงจากผู้ทรงคุณวุฒิในแต่ละสาขาวิชา และผเู้ กย่ี วขอ้ งในการจดั การเรยี นการสอน ทศี่ กึ ษาคน้ ควา้ รวบรวมขอ้ มลู องคค์ วามรจู้ ากสอ่ื ตา่ งๆ มาเรยี บ เรยี งเนื้อหาให้ครบถว้ นสอดคลอ้ งกบั มาตรฐาน ผลการเรยี นรทู้ ่ีคาดหวงั ตวั ชวี้ ัดและกรอบเนอ้ื หาสาระของ รายวชิ า สำ� นกั งาน กศน.ขอขอบคณุ ผูม้ สี ่วนเกีย่ วขอ้ งทุกท่านไว้ ณ โอกาสนี้ และหวงั วา่ หนงั สือเรยี นชุดน้ี จะเป็นประโยชน์แก่ผูเ้ รียน ครู ผูส้ อน และผูเ้ กยี่ วข้องในทกุ ระดบั หากมีข้อเสนอแนะประการใด สำ� นกั งาน กศน. ขอนอ้ มรบั ด้วยความขอบคณุ ย่งิ



สารบญั หนา้ เรื่อง 1 ค�ำแนะนำ� การใชห้ นงั สือเรยี น 4 โครงสร้างรายวชิ าหลักภาษาไทย 7 ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย 8 บทท่ี 1 ระบบเสียงในภาษาไทย 11 อวัยวะทีเ่ ปลง่ เสยี งพูด 14 ชนดิ ของเสยี งพดู 17 บทที่ 2 อกั ษรไทย 18 ประวตั คิ วามเป็นมาของอกั ษรไทย 18 - สระ 21 - พยัญชนะ 22 - วรรณยุกต์ 25 บทท่ี 3 ค�ำและการประกอบคำ� 26 คำ� 31 ค�ำมูล 32 ค�ำประสม 35 ค�ำซอ้ น 36 คำ� ซ�้ำ คำ� สมาส ค�ำสนธิ บทท่ี 4 คำ� ไทยแทแ้ ละคำ� ท่ีมาจากภาษาอื่น คำ� ไทยแท้ คำ� บาลี-สันสกฤต ค�ำเขมร ค�ำที่มาจากภาษาอื่น บรรณานกุ รม

คำ� แนะน�ำการใช้หนงั สอื เรยี น หนงั สือเรียนสาระความรู้พ้ืนฐาน รายวิชาหลักภาษาไทย (พท33002) ระดับมัธยมศึกษาตอน ปลาย เป็นหนงั สอื เรยี นท่จี ดั ท�ำขึ้นส�ำหรบั ผู้เรยี นท่เี ป็นนกั ศึกษา นอกระบบในการศึกษาหนงั สือเรียนสาระ ความรู้พน้ื ฐาน รายวิชา หลกั ภาษาไทย ผู้เรยี นควรปฏบิ ตั ิดังนี้ 1. ศึกษาโครงสร้างรายวิชาให้เข้าใจในหัวข้อสาระสำ� คัญ ผลการเรียนรู้ท่ีคาดหวัง และขอบข่าย เนือ้ หา 2. ศกึ ษารายละเอยี ดเนอ้ื หาของแตล่ ะบทอยา่ งละเอยี ด และทำ� กจิ กรรมตามทก่ี ำ� หนด แลว้ ตรวจสอบ กับแนวตอบกจิ กรรมท่ีก�ำหนด ถ้าผเู้ รียนตอบผดิ ควรกลบั ไปศกึ ษาและทำ� ความเขา้ ใจในเน้อื หานน้ั ใหมใ่ ห้ เขา้ ใจกอ่ นทจ่ี ะศึกษาเรอื่ งตอ่ ไป 3. ปฏบิ ัตกิ ิจกรรมทา้ ยเรอ่ื งของแต่ละเร่อื ง เพ่ือเป็นการสรุปความร้คู วามเขา้ ใจของ เนื้อหา ในเรือ่ ง นนั้ ๆ อกี ครัง้ และการปฏิบัติกจิ กรรมของแต่ละเนอ้ื หาในแตล่ ะเรอื่ ง ผู้เรยี นสามารถน�ำไปตรวจสอบกับครู และเพอ่ื น ๆ ท่ีร่วมเรยี นในรายวิชาและระดบั เดยี วกนั ได้ 4. แบบเรียนเลม่ นมี้ ี 4 บท คอื บทท่ี 1 ระบบเสยี งในภาษาไทย บทที่ 2 อกั ษรไทย บทท่ี 3 ค�ำและการประกอบคำ� บทที่ 4 คำ� ไทยแทแ้ ละคำ� ทมี่ าจากภาษาอน่ื

คำ� อธิบายรายวชิ า พท33002 หลกั ภาษาไทย สาระการเรียนรู้ความรูพ้ ้นื ฐาน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จ�ำนวน 4 หน่วยกติ (160 ช่ัวโมง) มาตรฐานที่ 2.1 มีความรคู้ วามเขา้ ใจและทกั ษะพ้นื ฐานเกย่ี วกบั ภาษาและการส่ือสาร ศกึ ษาและฝึกทกั ษะเก่ยี วกับเรอื่ งตอ่ ไปนี้ ศึกษาหลักภาษาไทยเรื่องเสียงและอักษรไทย คำ� และการประกอบคำ� การสังเกตลักษณะคำ� ไทย แทแ้ ละคำ� ทม่ี าจากภาษาอนื่ เพอื่ ใหม้ คี วามรแู้ ละความเขา้ ใจหลกั ภาษาไทย สามารถน�ำความรไู้ ปใชว้ เิ คราะห์ การใชภ้ าษา ใช้ภาษาได้อย่างถูกต้อง อนั จะนำ� ไปส่กู ารอนุรกั ษ์และพัฒนาภาษาไทย การจัดประสบการณก์ ารเรยี นรู้ ระบบเสียงในภาษาไทย อวัยวะท่ีเปล่งเสียงพูด ชนดิ อิดของเสียงพูด ประวัติความเป็นมาของ อกั ษรไทย สระ พยัญชนะ วรรณยุกต์ ค�ำและการประกอบคำ� คอื ค�ำมลู ค�ำประสม ค�ำซำ�้ ค�ำซอ้ น คำ� สมาส ลกั ษณะค�ำไทยแท้ คำ� บาล-ี สนั สกฤต ค�ำเขมร และค�ำภาษาอนื่ การวัดผลประเมนิ ผล การสังเกต จากการอธิบายความหมาย ลักษณะของระบบเสยี งในภาษาและอักษรไทย การเขียน สะกดคำ� ได้ถูกตอ้ ง บอกวิธกี ารประกอบคำ� แยกประเภทของค�ำชนดิ ตา่ ง ๆ ได้ ตรวจใบงาน ตรวจแบบ ฝกึ หดั การทำ� แบบทดสอบในเร่ืองตา่ ง ๆ

รายละเอียดค�ำอธิบายรายวชิ า พท33002 หลกั ภาษาไทย สาระการเรียนรู้ความร้พู ื้นฐาน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จ�ำนวน 4 หน่วยกิต (160 ชั่วโมง) มาตรฐานท่ี 2.1 มีความรคู้ วามเขา้ ใจและทักษะพนื้ ฐานเกยี่ วกบั ภาษาและการสือ่ สาร ท่ี หวั เรอื่ ง ตัวช้วี ัด เน้ือหา จำ� นวน(ช่ัวโมง) 16 1 ระบบเสยี งในภาษาไทย มีความเข้าใจใน 1. อวยั วะทเ่ี ปล่งเสียงพูด 16 ธรรมชาตขิ องภาษาพดู 2. ชนดิ ของเสียงพดู 24 2 อักษรไทย 1.เขา้ ใจความสำ� คัญ ประวัติความเป็นมาของ 8 ของอกั ษรไทย อกั ษรไทย 8 2.เขียนสกดค�ำได้ - สระ 8 ถกู ตอ้ งตามอกั ขระวธิ ี - พยัญชนะ 8 - วรรณยุกต์ 8 24 3 คำ� และการประกอบค�ำ บอกวิธีการสรา้ ง 1. คำ� 8 ค�ำไทยได้ 2. ค�ำมลู 16 3. ค�ำประสม 8 4. คำ� ซอ้ น 8 5. ค�ำซ�ำ้ 6. คำ� สมาส 4 ค�ำไทยแท้และค�ำท่ีมา อธิบายลักษณะค�ำไทย 1. ค�ำไทยแท้ จากภาษาอ่ืน แท้และค�ำท่ีมาจาก 2. ค�ำบาลี-สนั สกฤต ภาษาอ่ืน 3. ค�ำเขมร 4. ค�ำท่จี ากภาษาอืน่

รายวิชา หลกั ภาษาไทย พท 33002 ม.ปลาย 1 บทที่ 1 ระบบเสยี งในภาษาไทย อวัยวะท่ีสำ� คญั ในการออกเสยี ง เสียงทมี่ นุษย์เปลง่ ออกมานนั้ เปน็ เสียงท่ีผลติ ขึน้ โดยอวัยวะชุดหนง่ึ ของร่างกายโดยเฉพาะ แต่สง่ิ ที่ นา่ สนใจคอื วา่ มนษุ ยไ์ มไ่ ดม้ อี วยั วะชดุ ใดชดุ หนงึ่ ทถ่ี กู สรา้ งขนึ้ มาเพอื่ ไวใ้ ชใ้ นการออกเสยี งพดู โดยเฉพาะแต่ เพยี งอย่างเดียว แต่อวยั วะต่าง ๆ ของร่างกายทีม่ นุษย์ใช้ในการออกเสียงพูดในภาษานน้ั มีหน้าทห่ี ลกั ทาง ชวี วทิ ยา เพ่อื ทำ� หน้าท่สี ำ� คัญตา่ ง ๆ ในการด�ำรงอยขู่ องรา่ งกายท้งั สนิ้ เชน่ การหายใจ, การเค้ยี วอาหาร, การกลนื , การอม แตก่ ารทอ่ี วยั วะเหลา่ นน้ั มาท�ำหนา้ ทใ่ี นการออกเสยี งพดู นเี้ ปน็ เพยี งหนา้ ทร่ี อง หรอื หนา้ ที่ โดยออ้ มของอวัยวะเหลา่ นน้ั เทา่ นน้ั คอื ใชร้ ะบบการทำ� งานต่าง ๆ อยู่ แลว้ ดัดแปลงการทำ� งานเหลา่ นนั้ ให้ เหมาะสมจนเกดิ เปน็ ภาษาพดู ขนึ้ มา นนั่ หมายความวา่ การพดู ไดพ้ ฒั นาขนึ้ ภายหลงั แตก่ ม็ คี นบางกลมุ่ ไม่ เชื่อความคิดดังกล่าว จึงพยายามค้นคว้าหาข้อคัดค้านว่าการพูดกับการกินนน้ั เกิดข้ึนมาพร้อม ๆ กัน โดยทัว่ ไป อวยั วะท่ีเราใช้พูดมีลกั ษณะเหมือนกนั ทกุ คน และทำ� งานในลักษณะเดียวกนั ผลที่ตามมา คือ ใครก็สามารถออกเสียงทเ่ี ป็นภาษาของมนษุ ย์ได้อย่างไมย่ ุ่งยาก เพียงแตอ่ าจจะจำ� กดั ในขอบเขตของอายุ เชน่ การทเี่ ดก็ สามารถเรยี นรภู้ าษาทต่ี นเขา้ ไปอยใู่ นสงั คมนน้ั ๆ ไดด้ ี เมอื่ เทยี บกบั ผใู้ หญท่ ต่ี อ้ งเรยี นรภู้ าษา ต่างประเทศ ความสามารถในการเรียนรู้ภาษาใหม่ของผู้ใหญ่จะประสบกับความยากลำ� บากกว่าเด็ก การพัฒนาทางภาษาของเด็ก ๆ จะเลยี นเสยี งผ้ใู หญท่ ี่อยู่รอบตัวเขา โดยเด็กจะเลือกออกเสยี งท่เี หมาะสม กบั ตัวเอง เม่ือเดก็ พน้ จากวัยรนุ่ ความสามารถทางภาษาจะนอ้ ยลง นอกจากนี้อวยั วะทใ่ี ชใ้ นการออกเสียง ของแต่ละบุคคลนนั้ ยังมีขนาดไม่เท่ากันอีกด้วย เสียงพูดของคนเรามีความแตกต่างกัน เราจึงสามารถจำ� เสยี งพดู และวธิ กี ารพดู ของคนทคี่ นุ้ เคยกนั ได้ นกั ภาษาศาสตรเ์ หน็ วา่ เสยี งพดู เปน็ ภาษาทส่ี มบรู ณท์ ส่ี ดุ และ มคี ณุ สมบตั ทิ จี่ ะอธบิ ายไดต้ ามหลกั เกณฑท์ างวทิ ยาศาสตร์ นกั ภาษาศาสตรจ์ งึ ใหค้ วามสนใจศกึ ษาเรอ่ื งราว เกี่ยวกับเสียงพูดอย่างกวา้ งขวาง อวยั วะทเี่ ขา้ มาเกยี่ วขอ้ งในการออกเสยี งของมนษุ ยม์ มี ากกวา่ ครงึ่ หนงึ่ ของรา่ งกาย ตงั้ แต่ ศรี ษะถงึ ชอ่ งท้อง อวยั วะท่ีใชใ้ นการออกเสียงนี้ สามารถแบง่ ออกเป็นระบบทีส่ ำ� คัญ 3 ระบบ คือ 1. ระบบหายใจ (Respiratory System) 2. ระบบการเกิดเสยี ง (Phonatory System) 3. ระบบการเปล่งเสียง (Articulatory System) 1. ระบบหายใจ (Respiratory System) ที่ต้ังของระบบน้ีอยู่ในช่วงอก (thorax) หมายถึง กระบังลม (diaphragm) ปอด (lungs) และหลอดลม (trachea , windpipe) ปอด (lungs) เป็นอวยั วะทสี่ ำ� คญั ในการผลิตเสียงพดู เปน็ ตน้ ก�ำเนดิ ใหญ่ของพลังงานท่ที ำ� ให้เกิด เสียง บริเวณใต้ปอดจะเป็นกระบังลม ซ่ึงมีลักษณะคล้ายโคมหรือฝาชีควำ�่ ตัวปอดเองเคล่ือนไหวไม่ได้ แต่เนื้อเยอื่ ของปอดยดื หยุน่ ได้ดว้ ยการท�ำงานของอวยั วะอ่นื ๆ เชน่ กลา้ มเน้อื ระหว่างกระดูกซี่โครง และ

2 รายวชิ า หลกั ภาษาไทย พท 33002 ม.ปลาย กระบังลม ในการหายใจเขา้ ออก เมือ่ หายใจเขา้ อากาศกจ็ ะเข้าไปสปู่ อดทำ� ให้ปอดขยายตวั แต่พอหายใจ ออกอากาศในปอดกม็ นี ้อยทำ� ให้ปอดหดตวั ในการพดู เปน็ การบงั คบั ใหล้ มออกจากปอดเป็นชว่ ง ๆ หลอดลม (trachea) เป็นหลอดยาวที่มีความอ่อนนิ่ม เป็นช่องทางเดินของอากาศที่เช่ือมโยง ระหวา่ งกลอ่ งเสยี งไปยังปอด โดยการเชื่อมโยงของทอ่ เล็ก ๆ ในปอดขณะทม่ี กี ารกินอาหารหรือการกลืน อาหาร ชอ่ งทางเขา้ หลอดลมจะถกู ปดิ โดย ลิ้นปิดเปิดกลอ่ งเสยี ง (epiglottis) ซ่ึงจะช่วยป้องกันไมใ่ หเ้ กดิ อาการส�ำลัก อันเนอื่ งมาจากอาหารตกลงไปในหลอดลมได้ 2. ระบบการเกิดเสยี ง (Phonatory System) ทีต่ ั้งของระบบนีอ้ ยู่ท่ีลำ� คอ หมายถึง กล่องเสียง และสว่ นประกอบต่าง ๆ ของกลอ่ งเสยี ง เช่น เสน้ เสียง กล่องเสยี ง (larynx) เป็นอวยั วะทีอ่ ยตู่ อนบนสดุ ของหลอดลม มคี วามซบั ซอ้ น ภายในตัวกล่อง เสียง ประกอบดว้ ยกระดกู อ่อนหลายช้นิ จัดตัวเรยี งกนั อยู่ในลกั ษณะช่วงบนกว้าง ช่วงล่างแคบ ยึดติดกัน โดยเอน็ , พงั ผืด, กลา้ มเนอ้ื และขอ้ ตอ่ กระดูกชนิ้ สำ� คญั ๆ ท่ปี ระกอบกนั เปน็ กล่องเสียงมี 4 ชนิ้ คอื - Hyoid bone เป็นกระดูกท่ีอยู่บนสุดของกล่องเสียงและเป็นที่เกาะของกล้ามเน้ือลิ้นปิดเปิด กลอ่ งเสียง - Thyroid cartilage อยู่ทางด้านหน้า ส่วนหนง่ึ คือ บริเวณที่เรียกว่า ลูกกระเดือก (Adam’s apple) - Cricoid cartilage เป็นกระดูกอ่อนที่เล็กแต่หนาและแข็งแรงมาก อยู่ในระดับที่ต่�ำท่ีสุดของ กลอ่ งเสียง ท�ำหนา้ ทีเ่ ปน็ ฐานของกล่องเสียง - Arytenoid cartilage เปน็ กระดกู อ่อนชน้ิ เลก็ ๆ 2 ชิ้น รูปร่างคล้ายปีรามิด อยูต่ ิดกบั ผิวดา้ นหลงั ตอนบนของ Cricoid cartilage ภายในกลอ่ งเสยี งจะมอี วัยวะทท่ี ำ� หน้าทสี่ ำ� คญั มากในการพูด คือ เส้นเสียง (vocal cord) วางพาดอยู่ เสน้ เสยี งมลี ักษณะเปน็ กล้ามเน้ือค่พู ิเศษ ซึง่ ประกอบดว้ ยแผ่นเน้อื เยอ่ื (tissue) และเอน็ ขนาดของเสน้ เสยี งนจ้ี ะแตกต่างกันตามอายุ เพศ และพัฒนาการทางกายภาพของแต่ละบุคคลอกี ด้วย โดยปกตเิ ดก็ และผ้หู ญิงจะมเี สน้ เสียงทส่ี ัน้ และเลก็ กว่าผชู้ าย โดยท่ัวไปเสยี งเด็กจะสงู กว่าเสียงผู้หญิง และเสยี งผหู้ ญิงจะสูงกว่าเสียงผู้ชาย 3. ระบบการเปลง่ เสยี ง (Articulatory System) ทตี่ งั้ ของระบบนอี้ ยสู่ ว่ นศรี ษะ หมายถงึ ชอ่ งปาก และสว่ นตา่ ง ๆ ภายในชอ่ งปาก (Oral Cavity) และชอ่ งจมกู (Nasal Cavity) ช่องปากและส่วนตา่ ง ๆ ภายในชอ่ งปาก รมิ ฝปี ากทง้ั สอง (lips) ริมฝปี ากมหี นา้ ท่ใี นการปดิ ชอ่ งปากในขณะท่กี �ำลังทำ� เสยี งพยัญชนะอยู่ รมิ ฝปี ากทงั้ สองนอี้ าจอยใู่ นลกั ษณะ “รมิ ฝปี ากหอ่ กลม” ขณะกำ� ลงั ออกเสยี งพยญั ชนะบางตวั เมอื่ ใดกต็ าม ทม่ี กี ารใช้รมิ ฝปี ากท้งั สองเปน็ ฐานกรณ์ เราจะเรียกเสยี งนนั้ วา่ bilabial sound ฟนั (teeth) เปน็ อวยั วะอกี ชน้ิ หนง่ึ ท่มี ีบทบาทในการทำ� ใหเ้ กดิ เสยี งพูด เสียงทเ่ี กิดทฐ่ี านฟนั เรียก ว่า dental sound ส่วนมากในการท�ำใหเ้ กดิ เสยี งในภาษานนั้ ฟนั บนจะมีบทบาทกว่าฟันลา่ ง ลนิ้ (tongue) เป็นอวยั วะออกเสยี งทมี่ ีความออ่ นพลวิ้ มากที่สุด ในบรรดาอวัยวะออกเสยี งทั้งหมด เนอ่ื งจากลน้ิ เปน็ อวยั วะทม่ี คี วามยดื หยนุ่ ตวั สงู จงึ ท�ำใหล้ นิ้ เปน็ ตน้ กำ� เนดิ เสยี งพดู จำ� นวนมาก ทง้ั นกี้ เ็ นอ่ื งจาก การใช้ตำ� แหนง่ ต่าง ๆ และการจัดตัวท่าตา่ ง ๆ ของลนิ้ นนั่ เอง ปมุ่ เหงือก (alveolar) คือ ส่วนทอ่ี ยู่ตอ่ จากฟนั บน

รายวชิ า หลกั ภาษาไทย พท 33002 ม.ปลาย 3 เพดานแข็ง (palate) คอื สว่ นท่ีเรมิ่ ตน้ จากปลายสดุ ของปุม่ เหงอื กมายังส่วนตน้ ของเพดานออ่ น เพดานอ่อน (soft palate, velar) คอื สว่ นของเพดานปากทอ่ี ยตู่ อ่ จากเพดานแข็ง เพดานออ่ น สามารถเล่อื นขึ้นลงได้ ถ้าเพดานอ่อนลดระดับลงมา กจ็ ะทำ� ให้มีช่องทางของอากาศออกส่โู พรงจมกู ทำ� ให้ เกดิ เสยี งนาสกิ (nasal sound) แตถ่ า้ เพดานออ่ นยกตวั ขน้ึ ไปปดิ กนั้ ทางเดนิ ของอากาศทจ่ี ะเขา้ สโู่ พรงจมกู ท�ำให้อากาศระบายออกทางช่องปากได้ทางเดียว ท�ำให้เกิดเป็นเสียงพยัญชนะท่ีเรียกว่า เสียงช่องปาก (oral sound) และถ้ามลี มระบายออกทางปากและจมูกพรอ้ ม ๆ กัน กอ็ าจเกดิ เป็นพยญั ชนะหรือสระแบบ ที่มเี สยี งขนึ้ จมูก (nasalized sound) เสยี งเกดิ การเคลือ่ นตวั ของล้นิ สว่ นหลังสเู่ พดานเรยี กว่า velar sound สว่ นปลายสดุ ของเพดานออ่ นทเ่ี ป็นตง่ิ ห้อยลงมาคือ ล้ินไก่ (uvula) และเสียงทลี่ ิน้ ไก่ท�ำหน้าท่เี ปน็ ส่วนฐาน กรณ์จะมชี อ่ื วา่ uvular sound ช่องจมูก (nasal cavity) คุณสมบัติหรือลักษณะของเสียงพูดที่เกดิ ข้ึน จะแปรผนั ไปตามการปิด เปดิ ของชอ่ งทางออกของอากาศทจ่ี ะออกสโู่ พรงจมกู ซงึ่ เปน็ ผลมาจากการยกขนึ้ หรอื เลอ่ื นลงของเพดานออ่ น เสียง เสียงที่ได้ยินเกิดจากการเดินทางของเสียงผ่านตัวกลางท�ำให้เกิดการเปล่ียนแปลง ของคลื่นเสียง (waveform) และแสดงออกมาในลักษณะที่แตกต่างกัน โดยจะเปล่ียนขนาด (amplitude) หรือความถี่ (frequency) ของการสั่นสะเทือนตามระยะเวลา การวัดระดบั ของคล่ืนเสียง มีหนว่ ยวัดท่เี กยี่ วข้อง 2 หน่วยคอื เดซิเบล (Decibel) เปน็ หน่วย วัดความดงั ของเสยี ง เฮริ ตซ์ (Hertz) เปน็ หน่วยวัดจำ� นวนรอบการแกว่งของคลืน่ เสยี งในหนงึ่ วนิ าที คอื ใช้ วัดความถขี่ องเสยี ง ระดับความดังและชนดิ ของ ชนดิ ของเสียง เสยี งความดัง (เดซิเบล) 0 เสียงทแ่ี ผว่ เบาท่สี ดุ ท่ีหูมนุษยไ์ ดย้ นิ 30 เสยี งกระซิบ หรือเสยี งในห้องสมดุ ทเ่ี งียบ 60 เสยี งพดู คุยตามปกติ เสยี งจักรเย็บผา้ หรอื เครอ่ื งพมิ พด์ ดี 85 เสียงตะโกนขา้ มเขาหรือในพน้ื ท่ีโลง่ เพื่อให้ได้ยนิ เสียงสะท้อนกลบั มา 90 เสยี งเครอื่ งตดั หญา้ เครอ่ื งจกั รในโรงงาน หรอื เสยี งรถบรรทกุ (ไมค่ วรไดย้ นิ เกินวนั ละ 8 ชม.) 100 เสยี งเลอื่ ยไฟฟ้า หรือเคร่อื งเจาะ (ไม่ควรได้ยนิ เกินวันละ 2 ชม.) 115 เสยี งระเบดิ หนิ เสยี งในคอนเสิร์ตรอ็ ค หรือเสียงแตรรถยนต์ (ไมค่ วรไดย้ นิ เกนิ วนั ละ 15 นาที) 140 เสยี งยิงปนื เสียงเครื่องบนิ เจ็ท ซ่ึงเปน็ เสียงทที่ ำ� ให้เกดิ อาการปวดหู และ อาจท�ำให้หูเส่ือมได้ แม้จะได้ยินเพียงคร้ังเดียว ดังนน้ั จะต้องสวมอุปกรณ์ ป้องกนั หูเสมอ

4 รายวชิ า หลกั ภาษาไทย พท 33002 ม.ปลาย เสยี งในภาษาไทย มี 3 ชนดิ คอื 1.) เสยี งสระ หรอื เสยี งแท้ 2.) เสยี งพยัญชนะ หรือเสยี งแปร และ 3.) เสียงวรรณยกุ ต์ หรอื เสียงดนตรี 1.) เสยี งสระ หรอื เสยี งแท้ คอื เสยี งทเ่ี ปลง่ ออกมาจากล�ำคอโดยตรง ไมถ่ กู สกดั กนั้ ดว้ ยอวยั วะสว่ น ใดในปาก แลว้ เกิดเสยี งกอ้ งกงั วาน และออกเสียงไดย้ าวนาน ซ่งึ เสยี งสระในภาษาไทยแบ่งออกเปน็ - สระเดีย่ ว มีจ�ำนวน 18 เสียง โดยสระเดย่ี ว แบง่ ออกเปน็ สระเสยี งส้ัน (รสั สระ) ได้แก่ อะ อิ อึ อุ เอะ แอะ โอะ เอาะ เออะ สระเสียงยาว (ทฆี สระ) ได้แก่ อา อี อื อู เอ แอ โอ ออ เออ - สระประสม มีจ�ำนวน 6 เสียง โดยสระประสม แบ่งออกเป็น สระเสยี งสัน้ (รสั สระ) ได้แก่ เอียะ เกดิ จากการประสมของ สระอิ + สระอะ เออื ะ เกิดจากการประสมของ สระอึ + สระอะ อวั ะ เกิดจากการประสมของ สระอุ + สระอะ - สระเสียงยาว (ทฆี สระ) ไดแ้ ก่ เอยี เกดิ จากการประสมของ สระอี + สระอา เออื เกิดจากการประสมของ สระอื + สระอา อวั เกิดจากการประสมของ สระอู + สระอา ความส�ำคญั ของเสียง การฝึกพดู เสียงมีความส�ำคัญมากอย่างหนงึ่ ในการกระต้นุ ใหค้ นเรามีการเจริญเติบโตตามปกติ นบั ตั้งแต่แรก เกิดเด็กท่ีหูหนวกแต่ก�ำเนดิ จะมีความพิการทั้งทางร่างกายและสมอง จนไม่สามารถอยู่ในสังคมปกติได้ คนทเี่ กดิ มาตาบอดทง้ั 2 ขา้ ง แตห่ ไู ดย้ นิ ปกตจิ ะมคี วามเจรญิ เตบิ โตทงั้ รา่ งกายและสมอง และอยใู่ นสงั คมได้ บางคนมีความสามารถเป็นพิเศษมากกว่าคนสายตาปกติ เราคงเคยได้เห็นและได้ฟังวงดนตรีคนตาบอด ซง่ึ สามารถเลน่ ไดท้ งั้ ดนตรไี ทยและสากลไดไ้ พเราะมาก คนตาบอดอา่ นหนงั สอื ไดโ้ ดยใชน้ ว้ิ มอื สมั ผสั อกั ษร พิเศษคอื อกั ษรเบรลล์ (Braille) คนท่ีหูหนวกแตก่ �ำเนดิ จะไมส่ ามารถปฏบิ ตั ิในสิง่ ทก่ี ลา่ วได้โดยเฉพาะคน หูหนวกและเป็นใบ้บางครง้ั แม้แตช่ ว่ ยตวั เองก็ยังไม่ได้ ไดม้ กี ารศกึ ษาและเปน็ ทย่ี อมรบั กนั แลว้ วา่ การไดย้ นิ เสยี งของเดก็ เปน็ ตวั กระตนุ้ ทส่ี �ำคญั อยา่ งมาก ต่อการเจริญเติบโตทางสมองของเด็กรวมท้ังพฤติกรรมทุกๆ ชนดิ ท่ีจะพัฒนาตามมา เช่นการนง่ั การเดิน การกนิ อาหาร รวมท้ังอารมณแ์ ละความเฉลยี วฉลาด การพดู ของเด็กจะพัฒนาขึน้ มาไดต้ อ่ เมอื่ เดก็ จะตอ้ ง ได้ยินเสยี งพูดก่อนเทา่ นนั้ เด็กหหู นวกจึงไมส่ ามารถพูดไดแ้ ละเปน็ ใบ้ ไม่สามารถติดต่อสอ่ื ความหมายกบั คนอน่ื โดยการพดู ได้ มนุษย์เราจัดอยูใ่ นสตั วช์ ั้นสูงสดุ แยกจากสตั ว์ชั้นอืน่ ๆ ได้เนือ่ งจากการทสี่ ามารถพดู ติดต่อกันได้นี้เอง จึงเป็นเรื่องส�ำคัญมากที่จะต้องวินจิ ฉยั ให้ได้โดยเร็วที่สุดนับแต่เด็กแรกเกิด ว่ามีความ พิการทางการได้ยินหรือไม่ คือ หูตึงหรือหูหนวกหรือไม่ ถ้ามีเป็นประเภทไหน และมากน้อยเพียงใด เพอ่ื จะไดเ้ รมิ่ ใหก้ ารชว่ ยเหลอื ตามขน้ั ตอนโดยวธิ กี ารตา่ งๆ ตามความเหมาะสมเทา่ ทค่ี วามรทู้ างการแพทย์ ในปจั จบุ นั นจี้ ะช่วยเหลือได้ โดยม่งุ ชว่ ยเหลือให้เดก็ มกี ารได้ยินและฝกึ พดู โดยเร็ว

รายวิชา หลักภาษาไทย พท 33002 ม.ปลาย 5 การผดิ ปกตขิ องการพูด เดก็ ทพี่ ดู ชา้ กวา่ ปกติ พดู ไมช่ ดั หรอื พดู ไมไ่ ดเ้ ลยนน้ั คนสว่ นมากเขา้ ใจผดิ คดิ วา่ เกดิ จากความพกิ าร หรอื ไมส่ มประกอบของอวัยวะท่ีเก่ยี วกบั การพดู ท่จี รงิ แลว้ สาเหตสุ ำ� คัญนนั้ คอื หตู ึง หรือหหู นวก (เดก็ ไม่ ได้ยินเสยี งเลย) ในรายทห่ี ูหนวกไมส่ ามารถพูดได้หรอื เปน็ ใบ้ ถา้ หตู งึ มากจะได้ยินเสยี งบ้างแต่ไมม่ ากนกั พูดได้ไม่ชดั หรือพูดผิดปกติ หรือพูดไดด้ ว้ ยความยากล�ำบากและออกเสยี งไดไ้ ม่ชดั เจน

6 รายวิชา หลกั ภาษาไทย พท 33002 ม.ปลาย แบบทดสอบท้ายบทท่ี 1 ค�ำสงั่ จงตอบค�ำถามต่อไปนใ้ี ห้ถูกตอ้ ง 1. เสยี งเกดิ จากอะไรเปน็ ส�ำคญั ก. ลมจากปอดผ่านสายเสียง ข. ลมจากปากผา่ นสายเสียง ค. ลมจากปอดผา่ นล�ำคอ ง. ลมจากปอดผา่ นชอ่ งปาก 2. อวัยวะใดเปน็ แหลง่ เริม่ ต้นของเสียงพูด ก. ปอด ข. หลอดลม ค. กะบังลม ง. กลอ่ งเสยี ง 3. อวยั วะในข้อใดมีหนา้ ทท่ี �ำเสยี งพูดอย่างเดยี ว ไมไ่ ด้ มีส่วนในการดำ� รงชวี ติ ประจำ� วนั ก. ฟัน ข. ลน้ิ ค. รมิ ฝปี าก ง. สายเสยี ง 4. เสียงพดู ในภาษาไทยมีชนดิ ใดบ้าง ก. เสียงกอ้ ง เสยี งไม่กอ้ ง เสียงนาสิก ข. เสยี งกอ้ ง เสียงไม่ก้อง เสียงเสยี ดแทรก ค. เสียงสระ เสียงพยัญชนะ เสียงวรรณยกุ ต์ ง. เสียงสระ เสยี งพยญั ชนะ เสยี งวรรณยกุ ต์ เสยี งนาสิก 5. คำ� ใดประสมสระเสียงเดยี วกันทงั้ หมด ก. กบ บน อร พณิ ข. แก่ง แช่ง แบง่ เรง่ ค. รอ่ น นอน กลำ้� เพลง ง. เพราะ สอ่ ง ชอล์ก กอ๊ ก

รายวิชา หลกั ภาษาไทย พท 33002 ม.ปลาย 7 บทท่ี 2 อกั ษรไทย ประวัติอักษรไทย จากศลิ าจารึกของพอ่ ขุนรามค�ำแหงมหาราช พบว่า มขี ้อความที่กล่าวถงึ เรื่องของตวั หนงั สอื ไทย เอาไว้ตอนหนง่ึ ว่า “เมอื่ กอ่ นนล้ี ายสอื ไทนีบ้ ม่ ี 1205 ศกปมี ะเมีย พอ่ ขนุ รามค�ำแหงหาใครใ่ จ ในใจและใส่ ลายสือไทน้ี ลายสือไทนจ้ี ึ่งมีเพ่ือขุนผู้นน้ั ใส่ไว้”ได้มีผู้สันนิษฐาน เรื่องตัวหนงั สือไทยไว้หลายแง่มุม เช่น จารึกอักษรทภี่ าพชาดกที่ผนงั อโุ มงวดั ศรชี มุ จังหวดั สุโขทยั นา่ จะเปน็ ตัวหนงั สือทม่ี ีมากอ่ นตวั หนงั สอื จาก ศลิ าจารึกของ พอ่ ขนุ รามค�ำแหงมหาราช และพอ่ ขนุ รามค�ำแหงมหาราช ปรบั ปรงุ ตวั หนงั สือเกา่ ท่ีเคยมมี า แล้ว จดั วางสระเสยี ใหม่ ค�ำวา่ ใส่อาจหมายถึง การกระท�ำเช่นน้ี แตก่ ็สรุปได้ว่า แต่กอ่ นไมม่ ตี ัวหนงั สอื ไทย แบบนี้ และเทา่ ทที่ ราบยงั ไมเ่ คยมผี ทู้ ราบวา่ มตี วั หนงั สอื ไทยแบบอนื่ ใชม้ ากอ่ นสมยั กรงุ สโุ ขทยั ไทยเราเปน็ ชาติที่เจริญเกา่ แก่มาแต่โบราณกาล ได้มีการศกึ ษาคน้ คว้ามาวา่ ชาติไทยนน้ั เคยมีภูมิลำ� เนาอยใู่ นดินแดน ที่เป็นส่วนหนงึ่ ของประเทศจีนในปัจจุบัน และเม่ือกาลเวลาผ่านไป มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหลายอย่าง ตามสภาพสงั คมและสง่ิ แวดลอ้ ม แตภ่ าษาพดู คนไทยเราเหน็ วา่ เปน็ สงิ่ สำ� คญั ทเี่ รายงั คงไว้ ไมเ่ ปลยี่ นแปลง ไปง่ายๆเหมือนเร่อื งอนื่ แมใ้ นปัจจบุ ัน คนที่พูดภาษา ซึ่งพอจะย้อนไปไดว้ า่ ต้นตอเป็นภาษาไทย มีอาศยั อยู่ทั่วไป ในดินแดนที่กว้างใหญ่ของจีน ในมณฑลอัสสัมของอินเดีย ในรัฐฉานตอนเหนือของพม่า ในลาวทง้ั หมด ในเวยี ดนามตอนเหนอื เรายังพอพดู พอฟงั เขา้ ใจกนั ได้ ในเรอื่ งทัว่ ๆ ไปในชวี ติ ประจ�ำวัน คำ� หลัก ๆ การสร้างรูปประโยค และไวยากรณ์ ยังคงอยู่ ภาษาจนี และภาษาไทย จดั เป็นภาษาอยูใ่ นกลุ่มเดยี วกัน เป็นภาษาทีก่ �ำหนดเอาเสียงหนง่ึ แทน ความหมายหนง่ึ จึงมีค�ำที่มีเสียงโดดเสียงเดียวอยู่เป็นอันมาก ท�ำให้ต้องมีค�ำอยู่เป็นจ�ำนวนมาก จึงต้อง อาศยั การทำ� เสียงสูง เสยี งต�ำ่ ให้มคี วามหมายแตกต่างกัน เพื่อให้มีเสียงพอกับค�ำท่คี ิดขึ้น แต่ถึงกระนนั้ ก็ ยังไม่เพียงพอ จึงตอ้ งมีค�ำผสมของเสยี งหลายพยางค์ เพ่ิมเติมขึ้นอีก ความแตกตา่ งจากภาษาอื่นประการ หนง่ึ คอื เรามเี สยี งวรรณยกุ ต์ สมยั พอ่ ขนุ รามคำ� แหงมหาราช พระองคไ์ ดท้ รงประดษิ ฐว์ รรณยกุ ตข์ นึ้ 2 เสยี ง คือ เสยี งเอก และเสยี งโท ซง่ึ เมื่อใช้ควบกบั อักษรเสียงสงู และเสียงต่ำ� หรือใช้อักษร “ห” นำ� อักษรเสยี งต่�ำ ทไ่ี ม่มคี ู่อักษรเสียงสงู แล้ว กส็ ามารถผนั เสยี งไดถ้ ึง 5 เสยี ง คอื เสียง สามญั เอก โท ตรี และจตั วาภาษา จีนก็มีเสียงท่ีเป็นวรรณยุกต์เหมือนกัน แต่ไม่มีเคร่ืองหมายเขียนในตัวหนงั สือ เสียงวรรณยุกต์ของจีนนี้ บา้ งกว็ า่ มี 4 เสยี ง และสงู สดุ ถงึ 8 เสยี ง ซง่ึ เมอื่ เทยี บกบั วรรณยกุ ตไ์ ทย กค็ งจะเปน็ เสยี ง ทเ่ี กดิ จากวรรณยกุ ต์ ผสมกบั สระเสยี งสนั้ เสยี งยาว ซงึ่ ทางไทยเราแยกเสยี งออกไปในรปู สระ ภาษาจนี และภาษาไทย มรี ปู ประโยค ท่เี กดิ จากการเอาค�ำมาเรียงกนั เปน็ ประโยค ขอ้ แตกตา่ งของไวยากรณไ์ ทย ท่ไี ม่เหมือนของจีน ทสี่ ำ� คญั คอื ค�ำคุณศัพท์ขยายนาม ภาษาไทยเราเอาไว้หลังนาม แต่จีนเอาไว้หน้านาม เช่นเดียวกับภาษาอ่ืน ๆ คำ� วเิ ศษณท์ ปี่ ระกอบกรยิ า ภาษาไทยเอาไวต้ ามหลงั กรยิ า แตภ่ าษาจนี มกั ไวห้ นา้ กรยิ า ค�ำวเิ ศษณท์ ปี่ ระกอบ คณุ ศพั ท์ ภาษาไทยเอาไว้หลังคณุ ศัพท์ แตภ่ าษาจีนเอาไวห้ น้าคณุ ศัพท์ และลักษณะนาม ภาษาไทยจะไว้

8 รายวชิ า หลักภาษาไทย พท 33002 ม.ปลาย หลงั นาม แตภ่ าษาจีนเอาไว้หน้านาม สระ หมายถึง เครื่องหมายใช้แทนเสียงที่เปล่งออกมาตามหลักภาษาถือว่าพยัญชนะจำ� เป็นต้อง อาศยั สระจงึ จะออกเสียงได้ รูปสระในภาษาไทยมี 21 รปู ดังนี้ 1. ะ เรยี กว่า วิสรรชนยี ์ 2. ั เรียกว่า ไม้หันอากาศ หรือ ไม้ผัด 3. ็ เรยี กว่า ไมไ้ ตค่ ู้ 4. า เรยี กว่า ลากขา้ ง 5. ิ เรยี กว่า พินทุ หรือ พทิ ุอิ 6. ่ เรียกวา่ ฝนทอง 7. ่ ่ เรยี กว่า ฟันหนู 8. ํ เรยี กวา่ นฤคหิต หรือ หยาดน้�ำค้าง 9. ุ เรยี กวา่ ตนี เหยยี ด 10. ู เรียกว่า ตีนคู้ 11. เ เรยี กวา่ ไม้หน้า 12. ใ เรยี กว่า ไม้ม้วน 13. ไ เรยี กวา่ ไม้มลาย 14. โ เรียกวา่ ไมโ้ อ 15. อ เรียกวา่ ตัวออ 16. ย เรียกวา่ ตวั ยอ 17. ว เรียกว่า ตวั วอ 18. ฤ เรียกว่า ตัว ฤ (รึ) 19. ฤๅ เรยี กวา่ ตวั ฤๅ (รอื ) 20. ฦ เรยี กว่า ตัว ฦ (ลึ) ปัจจุบนั เลกิ ใช้แลว้ 21. ฦๅ เรียกว่า ตวั ฦๅ (ลือ) ปัจจุบนั เลกิ ใช้แลว้ เสยี งสระในภาษาไทยมี 32 เสียง ดังน้ี อะ อา อิ อ ี อึ อ ื อุ อู เอะ เอ เเอะ เเอ เอียะ เอยี เออื ะ เอือ อัวะ อวั โอะ โอ เอาะ ออ เออะ เออ อ�ำ ใอ ไอ เอา ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ

รายวชิ า หลักภาษาไทย พท 33002 ม.ปลาย 9 เมื่อเวลาออกเสียงสระ เช่น อะ อา เอะ เอ เอียะ เอีย จะออกเสียงแตกตา่ งกัน บางตัวออกเสยี งสน้ั บางตัวออกเสียงยาว บางตัวเหมือนมีสระสองเสียงกลำ�้ กัน ดังนน้ั จึงจัดแบ่งเสียงสระเป็นพวกใหญ่ ๆ ได้ 5 พวกดว้ ยกนั คอื สระเสียงสนั้ ได้แก่ สระทีอ่ อกเสยี งสน้ั คือ อะ อิ อึ อุ เอะ แอะ โอะ เอาะ เออะ เอียะ เอือะ อัวะ ฤ ฦ อ�ำ ไอ ใอ เอา สระเสียงยาว ไดแ้ ก่ สระทอี่ อกเสยี งยาว คอื อา อี อื อู เอ แอ โอ ออ เออ เอยี เออื อัว ฤๅ ฦๅ สระเด่ยี ว ได้แก่ สระที่เปล่งเสียงออกมาเปน็ เสียงเดยี ว ไม่มเี สยี งอื่นประสมมี 18 ตวั ไดแ้ ก่ อะ อา อิ อี อึ อื อุ อู เอะ เอ แอะ แอ เออะ เออ โอะ โอ เอาะ ออ สระประสม คอื สระที่มเี สียงสระเดย่ี ว 2 ตัวประสมกัน มี 6 ตัวไดแ้ ก่ เอยี ะ เสยี ง อิ กับ อะ ประสมกนั เอยี เสยี ง อี กับ อา ประสมกนั เออื ะ เสยี ง อึ กับ อะ ประสมกัน เออื เสยี ง อื กบั อา ประสมกัน อัวะ เสยี ง อุ กับ อะ ประสมกนั อวั เสียง อู กับ อา ประสมกัน สระเกิน คือ สระท่ีมีเสียงซ�้ำกับสระเดี่ยว ต่างกันก็แต่ว่าสระเกินจะมีเสียงพยัญชนะประสมหรือ สะกดอยูด่ ว้ ย มี 8 ตัว ได้แก่ ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ (รึ รือ ลึ ลือ) มีเสยี งพยญั ชนะ ร ล ประสมอยู่ อำ� มีเสียง อะ และพยญั ชนะ ม สะกด ใอ ไอ มีเสยี ง อะ และพยัญชนะ ย สะกด (คอื อยั ) เอา มีเสียง อะ และพยญั ชนะ ว สะกด การใช้สระ 1. สระอะ (-ะ) เขยี นไวห้ ลงั พยญั ชนะ เมอ่ื นำ� มาประสมกบั พยญั ชนะ จะออกเสยี งพยญั ชนะ นน้ั ประสมด้วยสระอะ เชน่ กะ จะ ปะ สระอา (-า) เขยี นไวห้ ลังพยัญชนะ เม่ือน�ำมาประสมกับพยัญชนะ จะออกเสยี งพยญั ชนะนนั้ ประสมด้วยสระอา เช่น มา กา ตา 2. สระอิ (-ิ) เขียนไว้บนพยญั ชนะ เมื่อน�ำมาประสมกับพยญั ชนะ จะออกเสียงพยัญชนะ นนั้ ประสมดว้ ยสระอิ เชน่ บิ สิ มิ 3. สระอี (-)ี เขียนไวบ้ นพยัญชนะ เมอ่ื น�ำมาประสมกับพยญั ชนะ จะออกเสียงพยัญชนะ นนั้ ประสมดว้ ยสระอี เช่น ปี ดี มี 4. สระอึ (-)ึ เขยี นไวบ้ นพยญั ชนะ เมอ่ื น�ำมาประสมกับพยญั ชนะ จะออกเสียงพยญั ชนะ นนั้ ประสมด้วยสระอึ เช่น หึ สึ 5. สระอื (-ื) เขียนไว้บนพยัญชนะ เมอ่ื น�ำมาประสมกับพยัญชนะ จะออกเสยี งพยัญชนะ นนั้ ประสมด้วยสระอื แตก่ ารใชส้ ระอื ตอ้ งมี อ มาประกอบด้วย เช่น มือ ถือ ลอื 6. สระอุ (-ุ) เขียนไวใ้ ตพ้ ยัญชนะ เมือ่ น�ำมาประสมกับพยัญชนะ จะออกเสียงพยัญชนะ

10 รายวิชา หลกั ภาษาไทย พท 33002 ม.ปลาย นน้ั ประสมดว้ ยสระอุ เช่น ผุ มุ ยุ 7. สระอู (-ู) เขยี นไว้ใต้พยัญชนะ เมื่อนำ� มาประสมกับพยญั ชนะ จะออกเสียงพยญั ชนะ นนั้ ประสมดว้ ยสระอู เชน่ ดู รู งู 8. สระเอะ (เ-ะ) เขยี นไว้ทั้งหนา้ และหลงั พยญั ชนะ เม่อื นำ� มาประสมกับพยญั ชนะ จะ ออกเสียงพยญั ชนะนนั้ ประสมดว้ ยสระเอะ เชน่ เละ เตะ เกะ 9. สระเอ (เ-) เขยี นไวห้ นา้ พยญั ชนะ เมอ่ื นำ� มาประสมกบั พยญั ชนะ จะออกเสยี งพยญั ชนะ นน้ั ประสมด้วยสระเอ เช่น เก เซ เข 10. สระแอะ (แ-ะ) เขียนไวท้ ง้ั หนา้ และหลงั พยญั ชนะ เมื่อน�ำมาประสมกับพยญั ชนะ จะ ออกเสียงพยัญชนะนนั้ ประสมด้วยสระแอะ เช่น และ แพะ แกะ 11. สระแอ (แ-) เขียนไว้หน้าพยัญชนะ เม่ือน�ำมาประสมกับพยัญชนะ จะออกเสียง พยัญชนะนน้ั ประสมดว้ ยสระแอ เช่น แล แพ แก 12. สระเอยี ะ (เ-ยี ะ) เขยี นไวท้ งั้ หนา้ บน และหลงั พยญั ชนะ เมอ่ื นำ� มาประสมกบั พยญั ชนะ จะออกเสียงพยญั ชนะนน้ั ประสมดว้ ยสระเอยี ะ เชน่ เผยี ะ เพียะ เกยี ะ 13. สระเอยี (เ-ีย) เขยี นไว้ท้งั หน้าและหลงั พยัญชนะ เม่อื นำ� มาประสมกับพยัญชนะ จะ ออกเสยี งพยัญชนะนนั้ ประสมด้วยสระเอีย เชน่ เสีย เลยี เปีย 14. สระเอือะ (เ-ือะ) เขียนไวท้ ง้ั หนา้ บน และหลงั พยญั ชนะ 15. สระเอือ (เ-อื ) เขียนไวท้ ้ังหนา้ บน และหลงั พยัญชนะ เมื่อน�ำมาประสมกับพยัญชนะ จะออกเสยี งพยญั ชนะนนั้ ประสมดว้ ยสระเออื เชน่ เสอื เรือ เจือ 16. สระอวั ะ (-วั ะ) เขยี นไวบ้ น และหลงั พยญั ชนะ เมอ่ื น�ำมาประสมกบั พยญั ชนะ จะออก เสียงพยญั ชนะนนั้ ประสมด้วยสระอวั ะ เช่น ผัวะ ยัวะ 17. สระอวั (-ัว) เขยี นไวบ้ น และหลงั พยญั ชนะ เมอื่ นำ� มาประสมกับพยญั ชนะ จะออก เสียงพยญั ชนะนน้ั ประสมดว้ ยสระอัว เชน่ ตัว รวั หัว 18. สระโอะ (โ-ะ) เขียนไวห้ นา้ และหลงั พยัญชนะ เม่อื น�ำมาประสมกับพยัญชนะ จะ ออกเสียงพยัญชนะนนั้ ประสมด้วยสระโอะ เช่น โปะ โละ แต่ถ้ามีตัวสะกด จะตัดสระโอะออกเหลือแต่ พยญั ชนะต้นกับตวั สะกด เรยี กว่า สระโอะลดรปู เชน่ คน รก จง 19. สระโอ (โ-) เขียนไว้หน้าพยัญชนะ เมื่อน�ำมาประสมกับพยัญชนะ จะออกเสียง พยญั ชนะนนั้ ประสมด้วยสระโอ เชน่ โต โพ โท 20. สระเอาะ (เ-าะ) เขียนไวท้ ้งั หน้า และหลังพยัญชนะ เม่อื นำ� มาประสมกบั พยัญชนะ จะออกเสียงพยญั ชนะนนั้ ประสมด้วยสระเอาะ เช่น เลอะ เถอะ เจอะ 21. สระออ (-อ) เขียนไว้หลังพยัญชนะ เม่ือนำ� มาประสมกับพยัญชนะ จะออกเสียง พยญั ชนะนนั้ ประสมดว้ ยสระออ เช่น ขอ รอ พอ 22. สระเออะ (เ-อะ) เขียนไว้ทงั้ หน้า และหลงั พยญั ชนะ เม่อื น�ำมาประสมกับพยญั ชนะ จะออกเสยี งพยญั ชนะนน้ั ประสมด้วยสระเออะ เช่น เลอะ เถอะ เจอะ 23. สระเออ (เ-อ) เขยี นไวท้ งั้ หน้า และหลงั พยัญชนะ เมือ่ น�ำมาประสมกับพยัญชนะ จะ ออกเสยี งพยญั ชนะนนั้ ประสมด้วยสระเออ เชน่ เจอ เธอ เรอ ถ้ามี ย สะกด จะตดั อ ออกแล้วตามด้วย ย

รายวิชา หลักภาษาไทย พท 33002 ม.ปลาย 11 เลย เชน่ เขย เกย เฉย เรียกว่า สระเออลดรปู ถา้ มีตวั สะกดอน่ื ๆ ท่ไี มใ่ ช้ ย จะเปลีย่ น อ เป็นสระอิ เช่น เกิด เลกิ เงิน เรยี กวา่ สระเออเปลย่ี นรปู 24. สระอ�ำ (-ำ) เขยี นไว้บนและหลังพยัญชนะ เมื่อน�ำมาประสมกับพยญั ชนะ จะออก เสยี งพยัญชนะนน้ั ประสมดว้ ยสระอ�ำ เช่น รำ� ท�ำ จำ� 25. สระใอ (ใ-) เขียนไว้หน้าพยัญชนะ เมื่อนำ� มาประสมกับพยัญชนะ จะออกเสียง พยัญชนะนน้ั ประสมดว้ ยสระใอ มที ง้ั หมด 20 คำ� ได้แก่ ใกล้ ใคร ใคร่ ใจ ใช่ ใช้ ใด ใต้ ใน ใบ้ ใฝ่ ใย สะใภ้ ใส ใส่ ให้ ใหม่ ใหล ใหญ่ หลงใหล 26. สระไอ (ไ-) เขียนไว้หน้าพยัญชนะ เม่ือนำ� มาประสมกับพยัญชนะ จะออกเสียง พยัญชนะนน้ั ประสมดว้ ยสระไอ เชน่ ไป ไซ ไส ใชก้ บั ค�ำที่มาจากภาษาอังกฤษ เชน่ ไกด์ ไมล์ สไลด์ ใช้ กับคำ� ท่ีมาจากภาษาบาลสี ันสกฤตทแี่ ผลงสระอเิ ปน็ สระไอ เช่น ตรี - ไตร ใช้กับคำ� ทม่ี าจากภาษาเขมร เชน่ สไบ 27. สระเอา (เ-า) เขียนไวห้ น้าและหลงั พยญั ชนะ เม่ือนำ� มาประสมกบั พยัญชนะ จะออก เสยี งพยัญชนะนนั้ ประสมดว้ ยสระเอา เชน่ เกา เผา เรา พยญั ชนะไทยมที ั้งหมด 44 รปู กขฃคฅ ฆง จ ฉช ซ ฌญฎ ฏ ฐ ฑฒณด ตถทธ น บปผฝพ ฟภม ย ร ลว ศษส หฬอ ฮ พยัญชนะมี 21 เสียง 1. ก 2. ข ฃ ค ต ฆ 3. ง 4. จ 5. ฉ ช ฌ 9. ฑ บางค�ำ 10. ฏ ต 6. ซ ศ ษ ส 7. ญ ย 8. ฎ ด กับเสียง 14. ป 15. ผ พ ภ 19. ล ฬ 20. ว 11. ฐ ถ ฑ ฒ ท ธ 12. น ณ 13. บ 16. ฝ ฟ 17. ม 18. ร 21. ห ฮ 22. เสยี ง อ.ไมน่ ับ

12 รายวชิ า หลักภาษาไทย พท 33002 ม.ปลาย เสียงพยัญชนะ พยัญชนะเสยี งสงู : ข ฃ ฉ ฐ ถ ผ ฝ ศ ษ ส ห พยญั ชนะเสียงกลาง : ก จ ฎ ฏ ด ต บ ป อ พยญั ชนะเสยี งต�่ำ : ค ฅ ฆ ง ช ซ ฌ ญ ฑ ฒ ณ ท ธ น พ ฟ ภ ม ย ร ล ว ฬ ฮ พยัญชนะเสียงสูง มี 11 ตัว เเละผนั ได้ เสียงที่ 5, 2 เเละ 3 อกั ษรสูง หมายถึง พยญั ชนะท่ียังไมไ่ ด้ผันวรรณยุกต์ แล้วมีเสยี งอยใู่ นระดับสูง มที ัง้ หมด 11 ตัว วิธีทอ่ งจ�ำงา่ ย ๆ ผ ฝ ถ ฐ ข ฃ ศ ษ ส ห ฉ ผี ฝาก ถุง ข้าว สาร ให้ ฉนั พยญั ชนะเสียงกลาง มี 24 ตัว เเละผนั ไดท้ ั้งหมดห้าเสียง อกั ษรกลาง หมายถึง พยญั ชนะที่ยังไม่ไดผ้ นั วรรณยกุ ต์ แลว้ มเี สียงอยูใ่ นระดับกลาง มที ้งั หมด 9 ตัว วิธที อ่ งจ�ำงา่ ย ๆ ก จ ด ต ฎ ฏ บ ป อ ไก่ จิก เด็ก ตาย เด็ก ตาย บน ปาก โอ่ง การผันวรรณยุกต์ กบั อักษรกลาง ผันได้ครบ 5 เสยี ง ใชว้ รรณยุกต์ได้ 4 รปู พยญั ชนะเสยี งต�ำ่ มี 9 ตัว เเละผนั ได้ เสยี งท่ี 1, 3 เเละ 4 อักษรต่�ำ หมายถงึ พยัญชนะทีย่ ังไมไ่ ด้ผันวรรณยกุ ต์ แลว้ มเี สยี งอยใู่ นระดบั ต�่ำ มที ้งั หมด 24 ตวั ต่ำ� คู่ มเี สียงคู่อักษรสงู 14 ตัว พ ภ ฟ ฑ ฒ ท ธ ค ต ฆ ซ ฮชฌ ตำ�่ เดีย่ ว (ไรค้ ่)ู 10 ตัว วธิ ีทอ่ งจ�ำง่าย ๆ ง ญ น ย ณ ร ว ม ฬ ล งู ใหญ่ นอน อยู่ ณ รมิ วดั โม ฬี โลก หนา้ ทีข่ องพยญั ชนะ ท�ำหนา้ ที่ เปน็ พยญั ชนะตน้ กาเป็น สตั ว์ ใกล้สญู พนั ธ์ ก ป ส กล ส พ เป็น พยัญชนะตน้ พยญั ชนะตวั สะกด พยญั ชนะตวั สะกด มีท้ังส้ิน 39 ตัวเท่านนั้ ที่สามารถใช้เปน็ ตัวสะกดได้ โดยแบง่ เป็น 8 เสียงเรียก ว่ามาตราตัวสะกด 8 มาตราดงั นี้ แม่กก ออกเสยี งสะกด ก ซ่งึ จะใชพ้ ยญั ชนะ ก ข ค ฆ เปน็ ตัวสะกด เช่น นก เลข โรค เมฆ แมก่ ด ออกเสยี งสะกด ด ซึ่งจะใช้พยญั ชนะ ด ต ถ ท ธ ฎ ฏ ฐ ฒ จ ช ซ ศ ษ ส เป็นตัวสะกด เชน่ เปดิ จิต รถ แมก่ บ ออกเสยี งสะกด บ ซงึ่ จะใชพ้ ยญั ชนะ บ ป พ ภ ฟ เปน็ ตวั สะกด เชน่ ดาบ บาป ภาพ กราฟ โลภ แมก่ น ออกเสยี งสะกด น ซ่ึงจะใชพ้ ยัญชนะ น ร ญ ล ฬ เป็นตัวสะกด เช่น แขน คณู บุญ อาหาร กล ปลาวาฬ แม่กง ออกเสียงสะกด ง ซ่ึงจะใชพ้ ยัญชนะ ง เป็นตัวสะกด เช่น จรงิ วิ่ง ลงิ สิงห์ พิง มงุ่ ส่งั แมก่ ม ออกเสยี งสะกด ม ซงึ่ จะใชพ้ ยญั ชนะ ม เปน็ ตวั สะกด เชน่ นม ดม ลม พรม สม ชมิ แยม เจยี ม แม่เกย ออกเสียงสะกด ย ซงึ่ จะใช้พยญั ชนะ ย เปน็ ตัวสะกด เชน่ ยาย เนย เคย เลย คุย แมเ่ กอว ออกเสยี งสะกด ว ซง่ึ จะใชพ้ ยญั ชนะ ว เป็นตัวสะกด เชน่ สิว หวิ ววั

รายวชิ า หลักภาษาไทย พท 33002 ม.ปลาย 13 ทำ� หนา้ ทเี่ ป็นอกั ษรควบ พยญั ชนะควบกลำ้� นอกจากเสยี งนน้ั ยังมีพยัญชนะควบกล�ำ้ พยญั ชนะกล้ำ� คอื พยัญชนะ 2 ตัวประสมสระเดียวกันมี ร ล ว แบ่งเป็น 2 ชนดิ คือ ควบกลำ้� แท้ เป็นพยญั ชนะควบกล้�ำท่อี อกเสียงพรอ้ มกันทงั้ 2 ตัว เชน่ ควบดว้ ย ร กรอบ กราบ เกรง ครอบครัว ควบด้วย ล กล้วย กลบี ไกล แปลง ควบด้วย ว ไกว แกว่ง ควาย ขวา้ ง ควบกล้ำ� ไมแ่ ท้ เปน็ พยญั ชนะท่ีเขยี นเหมอื นควบกลำ�้ แท้ ร แตอ่ อกเสียงเพียงตวั เดยี ว เช่น จรงิ สรา้ ง สระ เศรา้ แสรง้ ศรี อา่ นวา่ (จิง) (สา้ ง) (สะ) (เส้า) (แส้ง) (สี) ตัวอยา่ งค�ำอักษรควบแทแ้ ละ ไมแ่ ท้ ท�ำหนา้ ที่เป็นอักษรนำ� -อกั ษรตาม อกั ษรน�ำ คือ พยญั ชนะ 2 ตัวเรยี งกนั ประสมสระเดียว พยญั ชนะตวั แรกของคำ� แบ่งตามลักษณะ การอา่ นได้ 2 ชนดิ คอื อ่านออกเสียงร่วมกนั สนทิ เปน็ พยางค์เดยี วกัน เมอ่ื มตี ัว ห และ ตัว อ เป็นอักษร นำ� ตัวอยา่ ง เชน่ เมื่อมีตวั ห เปน็ อกั ษรน�ำ เช่น หรู หรา หญงิ เหลือ หลาย เหลว ไหล หรหู รา –หรหู รา - ห อักษร สูง นำ� ร อักษรต่�ำ ออกเสียงวรรณยกุ ตต์ าม ห หญิง หญ้า ใหญ่ -หยงิ - ห อกั ษรสงู น�ำ ญ อักษรต�่ำ ออก เสยี งวรรณยกุ ตต์ าม ห เมอ่ื มตี ัว อ เป็นอกั ษรนำ� ย มี 4 ค�ำ คอื อยา่ อยู่ อยา่ ง อยาก อย่า อยู่ อย่าง อยาก -หย่า หยู่ หย่าง หยาก-อ อกั ษรกลาง น�ำ ย อกั ษรต่ำ� ออกเสยี งวรรณยุกตต์ าม อ อ่านออกเสยี งเปน็ 2 พยางค์ โดยพยางค์แรกอ่านออกเสียงเหมอื นมีสระ อะ ประสมอย่กู ึง่ เสียง สว่ นพยางค์หลงั อ่านตามสระทปี่ ระสมอยู่ และอา่ นออกเสียงวรรณยกุ ต์ตามพยญั ชนะตวั แรก เชน่ ขยับ ขะ-หยบั ข อกั ษรสงู น�ำ ย อักษรต่�ำ ออกเสยี งวรรณยุกต์ตาม ห ฉลาม ฉะ-หลาม ฉ อกั ษรสูง นำ� ล อกั ษรต�ำ่ ออกเสียงวรรณยกุ ต์ตาม ห ตลาด ตะ-หลาด ต อักษรกลาง นำ� ล อกั ษรต�่ำ ออกเสยี งวรรณยุกต์ตาม ต สนาม สะ-หนาม ส อกั ษรสูง น�ำ น อักษรตำ่� ออกเสยี งวรรณยกุ ต์ตาม ส ผลิต ผะ-หลิต ผ อกั ษรสูง นำ� ล อักษรตำ่� ออกเสยี งวรรณยุกต์ตาม ผ ตัวอย่างค�ำอกั ษรนำ� -อกั ษรตาม ขยะขยาดตลาดเสนอ.........ฉลาดเสมอเฉลิมไฉน สนมิ สนองฉลองไสว..........เถลไถลหวาดหวั่นแสวง อย่าอยอู่ ย่างอยากเผยอ..........ตลิง่ ตลบเสนอถลอกแถลง จมูกถนดั ขยะแขยง...............สวะสวงิ หนา่ ยแหนงขยับขยาย หรูหราหรุบหรับ(สา)หรา่ ย... สลับสลายเสนาะสนกุ สนาน สลิดเสลดสลัดสมาน .. หหวงั หลอกเหลนหลานหลากหลาย ทำ� หนา้ ทเ่ี ปน็ เปน็ สระ (อ ว ย ร) เชน่ สรรค์ รร ท�ำหนา้ ทแี่ ทนวิสรรชนยี ์ หรือสระอะ กวน ว เป็น สระอัวลดรูป เสีย ย เปน็ สว่ นประกอบของสระเอีย ขอ เสอื มอื อ เป็นสระ และเป็นสว่ นหนง่ึ ของสระ

14 รายวชิ า หลกั ภาษาไทย พท 33002 ม.ปลาย ท�ำหนา้ ทเ่ี ป็นตวั การันต์ เชน่ จนั ทร์ ทร์ เปน็ ตวั การนั ต์ ลกั ษณ์ ษณ์ เป็นตัวการันต์ ศิลป์ ป์ เปน็ ตวั การนั ต์ วรรณยกุ ตแ์ ละการผันวรรณยกุ ต์ ประโยชน์ของวรรณยุกต์คือช่วยท�ำให้ค�ำมีความหมายมากขึ้น แตกต่างจากภาษาของชาติอื่น ๆ เช่น ปา ปา่ ป้า ป๊า ปา๋ กล่าวคือ ปา หมายถึง ขว้างปา ป่า หมายถึง ทมี่ ตี น้ ไม้ภเู ขา และสตั ว์ ป้า หมายถึง พข่ี องพ่อหรอื แม่ ปา๊ หมายถงึ พอ่ ในภาษาบางภาษา ปา๋ หมายถงึ พ่อในภาษาบางภาษา วรรณยกุ ตม์ ี 4 รปู 5 เสยี ง เสียงสามญั คอื เสยี งกลาง ๆ เช่น กา มา ทา เป็น ชน เสียงเอก เช่น กา่ ข่า ปา่ ดกึ จมกู ตก หมด เสยี งโท เช่น กา้ ค่า ลาก พราก กลง้ิ สรา้ ง เสยี งตรี เชน่ กา๊ ค้า ม้า ชา้ ง โนต้ มด เสยี งจัตวา เชน่ กา๋ ขา หมา หลิว สวย หาม ปวิ๋ จ๋วิ การผนั วรรณยุกต์ ผันวรรณยุกต์ แบง่ ออกเปน็ 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ 1.วรรณยกุ ตม์ ีรูป หมายถึงวรรณยุกตท์ มี่ ีเครือ่ งหมายบอกระดับของเสยี งให้เห็นชดั เจนอยเู่ บือ้ ง บนอกั ษร มอี ยู่ 4 รปู คือ วรรณยุกต์ เอก วรรณยุกต์ โท วรรณยกุ ต์ ตรี วรรณยกุ ต์ จตั วา 2.วรรณยุกต์ไม่มีรูปต่างกับวรรณยุกต์ท่ีมีรูป คือ วรรณยุกต์ที่มีรูปจะต้องมีเคร่ืองหมายบอก เสยี งก�ำกบั อยู่บนตวั อักษร และมเี พยี ง 4 เสยี งเท่านน้ั คือ เสยี งเอก เสียงโท เสยี งตรี เสียงจตั วา ตามรูป วรรณยกุ ตแ์ ตไ่ ม่มเี สียงสามญั สว่ นวรรณยุกต์ไม่มรี ปู จะมีครบทั้ง 5 เสียงเตม็ ตามจำ� นวนเสียงทกี่ ำ� หนดใช้ อยู่ในภาษาไทย โดยไมม่ เี ครื่องหมายบอกเสียงกำ� กบั แตอ่ าศัยการออกเสยี งตามหมูข่ องอักษรทง้ั 3

รายวิชา หลักภาษาไทย พท 33002 ม.ปลาย 15 เสยี งของการผันวรรณยกุ ต์ เราแบง่ ไดด้ งั น้ี พนื้ เสยี ง คือ คำ� ท่ีไมม่ ีรปู วรรณยกุ ต์แต่มเี สียงวรรณยกุ ต์ คำ� เปน็ คือ คำ� ทีป่ ระสมกบั สระเสียงยาว หรือเสียงสนั้ ท่มี ตี ัวสะกดในแม่ กง กน กม เกย และ เกอว เชน่ มา กิน ขา้ ว ฯลฯ ค�ำตาย คอื ค�ำทป่ี ระสมกับสระเสียงสน้ั หรอเสียงยาวที่มีตัวสะกดในแม่ กก กด กบ เช่น เดก็ นะ จาก ฯลฯ ค�ำตาย ผันได้ 3 คำ� ใชว้ รรณยกุ ต์ เอก โท จัตวา แบง่ ออกเป็น 2 ชนดิ ดงั นี้ 1.ค�ำตายสระสัน้ พน้ื เสียงเปน็ ตรี เช่น คะ คก คด คบ ผันดว้ ยวรรณยุกต์เอก เปน็ เสียงโท เชน่ คะ่ คก่ คด่ ค่บ ผนั ด้วยวรรณยุกต์จัตวาเป็นเสยี งจัตวา เชน่ คะ๋ คก๋ คด๋ คบ๋ 2.คำ� ตายสระยาว พนื้ เสยี งเป็นโท เช่น คาก คาด คาบ ผันด้วยวรรณยุกต์โท เป็นเสียงตรี เช่น ค้าก คา้ ด ค้าบ ผนั ด้วยวรรณยุกตจ์ ตั วา เป็นเสยี งจัตวา เชน่ คา๋ ก ค๋าด ค๋าบ วิธีผนั อักษร 3 หมู่ ที่เรยี กว่า ไตรยางศ์ วิธีผันอกั ษร 3 หมู่ ที่เรยี กว่า ไตรยางศ์ นน้ั ใชผ้ นั รูปวรรณยกุ ตต์ ่าง ๆ กนั ดงั น้ี อักษรสงู ผันด้วย วรรณยกุ ต์ เอก และ โท ค�ำเปน็ ผนั ได้ 3ค�ำ ค�ำตายผนั ได้ 2 คำ� พยัญชนะเสยี งสูง ค�ำเปน็ พน้ื เสยี งเป็นเสียงจัตวา เชน่ ขา ขง ขน ขม เขย ขาว ผนั ดว้ ยวรรณยุกต์เอก เป็นเสียงเอก เช่น ข่า ข่ง ขน่ ข่ม เขย่ ข่าว ผนั ดว้ ยวรรณยุกต์โทเปน็ เสียงโท เชน่ ข้า ข้ง ข้น ข้ม เข้ย ข้าว คำ� ตาย พนื้ เสยี งเป็นเสียงเอก เช่น ขะ ขก ขด ขบ ขาก ขาด ขาบ ผนั ด้วยวรรณยกุ ตโ์ ท เป็นเสยี งโท เชน่ ขะ้ ขก้ ข้ด ข้บ ขา้ ก ขา้ ด ขา้ บ อักษรกลาง ผนั ด้วยวรรณยุกต์ เอก วรรณยกุ ต์ โท วรรณยกุ ต์ ตรี วรรณยุกตจ์ ตั วา พยญั ชนะเสยี งกลาง

16 รายวชิ า หลักภาษาไทย พท 33002 ม.ปลาย แบบทดสอบท้ายบทท่ี 2 คำ� ส่ัง จงตอบคำ� ถามตอ่ ไปนใี้ หถ้ กู ต้อง 1.สระไทยมีก่รี ูปก่ีเสยี ง ก. 44 รูป 32 เสยี ง ข. 21 รูป 32 เสียง ค. 21 รปู 24 เสียง ง. 20 รปู 24 เสยี ง 2.รปู สระในขอ้ ใดท่ีสามารถใชเ้ ป็นรปู พยัญชนะไดด้ ว้ ย ก. ฤ ภ อ ข. อ ย ฤ ค. อ ว ย ง. ณ ฤ ภ 3. “นำ�้ เน่าเสยี ” ประกอบดว้ ยรูปสระจ�ำนวนทั้งสน้ิ กีร่ ปู ก. 5 รปู ข. 6 รปู ค. 7 รูป ง. 8 รูป 4.ขอ้ ใดมที ง้ั สระลดรปู คงรปู และเปลย่ี นรปู ก. ทั้งลดทั้งแถม ข. คงเสน้ คงวา ค. นอ้ ยเนอ้ื ต่�ำใจ ง. ส้นิ ไรไ้ มต้ อก 5.รูปสระทเี่ ขยี นไวห้ นา้ พยญั ชนะมีท้งั สน้ิ กร่ี ูป ก. 4 รูป ข. 5 รปู ค. 6 รปู ง. 7 รปู

รายวชิ า หลกั ภาษาไทย พท 33002 ม.ปลาย 17 บทที่ 3 คำ� และคำ� ประกอบคำ� ความหมายของคำ� คำ� ไทย เปน็ สงิ่ สำ� คญั ในการใชต้ ดิ ตอ่ สอื่ สารกนั คำ� มคี วามหมายไดห้ ลายอยา่ ง อาจเปลยี่ นแปลงได้ ตามการนำ� ไปใช้ในการสอื่ สารกัน เมื่อเรียงเขา้ ประโยคจะมคี วามหมายเจตนาของผสู้ ง่ สาร ความหมายของค�ำแบ่งออกเปน็ 2 ประการ คือ 1. ค�ำที่มีความหมายโดยตรง เป็นคำ� ที่ปรากฏในพจนานกุ รม อาจมีไดม้ ากกว่า 1 ความหมาย เช่น ขัน น. ภาชนะส�ำหรับตักน�ำ้ หรอื ใสน่ ้�ำมหี ลายชนดิ ก. ท�ำให้ตึงหรือให้แน่นดว้ ยวธิ หี มนุ กวดเร่งเข้าไป เช่น ขันชะเนาะ ขันเกลยี ว ข. อาการร้องเป็นเสียงอย่างหนงึ่ ของไก่ หรอื นกบางชนดิ เช่น นกเขา ค. หวั เราะ นกึ อยากหวั เราะ 1.1 คำ� ทมี่ คี วามหมายใกลเ้ คยี งกนั อาจทำ� ใหผ้ สู้ ง่ สารใชผ้ ดิ พลาดได้ จงึ ตอ้ งระมดั ระวงั ในการเลอื ก ใช้คำ� ให้เหมาะสมถูกต้อง คำ� ทม่ี ีความหมายใกล้เคียงกัน เช่น เพม่ิ -เติม รัก-ชอบ เช็ด-ถู แออดั -คับค่ัง อวบ-อว้ น แคะ-แงะ เกลียด-ชงั ยุบ-บุบ โกรธ-แค้น ตัวอยา่ ง คำ� วา่ รกั -ชอบ หมายถงึ ความพอใจ รกั หมายถึง พอใจอยา่ งผูกพัน ช่นื ชมยนิ ดี ชอบ หมายถึง พอใจ อาจารยี ป์ ฏเิ สธการแตง่ งานกบั มงคล เพราะเธอไมไ่ ดร้ กั เขาเพยี งแตช่ อบแบบพช่ี ายเทา่ นน้ั 1.2. คำ� ทีม่ ีความหมายตรงกนั ขา้ ม จะชว่ ยเน้นให้เห็นความขดั แย้งกนั ชัดเจนมากยิ่งขนึ้ เช่น โง-่ ฉลาด ทุกข์-สุข อ้วน-ผอม รวย-จน แพ-้ ชนะ ขนึ้ -ลง ขาว-ด�ำ เขา้ -ออก สะอาด-สกปรก ดี-ชั่ว ร้อน-หนาว สูง-ตำ�่

18 รายวิชา หลกั ภาษาไทย พท 33002 ม.ปลาย 2. ค�ำทม่ี ีความหมายโดยนยั เปน็ ความหมายของคำ� ท่ีไมป่ รากฏตามตัวอกั ษร แตเ่ มื่อกล่าวแลว้ จะท�ำให้นกึ ไปถงึ อกี ส่งิ หนง่ึ ซึ่งเป็นความหมายแฝงอยู่ในค�ำนน้ั เชน่ หงส์ หมายถงึ นกจ�ำพวกเป็ด ลำ� ตัวใหญ่ คอยาว (ความหมายโดยตรง) หงส์ หมายถงึ ผู้ดี ผมู้ ีศกั ดิ์ศรี (ความหมายโดยนัย) ตัวอย่าง คำ� วา่ หงส์ หงส์ขาว หงส์ด�ำ เป็นพนั ธชุ์ นดิ หนงึ่ ของหงส์ (ความหมายโดยตรง) ถา้ มาลรี ู้จักเลอื กคบคนดี เธอจะเปน็ หงสไ์ ปด้วย (ความหมายโดยนัย) ค�ำทมี่ คี วามหมายโดยนยั ยงั มขี ้อสงั เกต ดังน้ี 2.1 คำ� บางคำ� มคี วามหมายนยั ประหวดั เมอื่ กลา่ วถงึ แลว้ จะไมไ่ ดน้ กึ ถงึ ความหมายโดยตรง แต่ จะนกึ ไปถงึ อีกสิ่งที่มคี วามหมายเกย่ี วโยงกนั กับ คำ� นนั้ เชน่ เธอมปี ญั หาอะไรควรปรกึ ษาผใู้ หญ่ 2.2 ค�ำท่ีมีความหมายเปรียบเทียบ การเปรียบเทียบจะช่วยให้เกิดความรู้สึก หรือเห็น ลักษณะของสง่ิ นนั้ ได้ชดั เจนข้ึน เชน่ ลูกคือดวงใจของพอ่ แม่ ค�ำมลู คอื คำ� ทเี่ กิดจากการประสมของโครงสร้างคำ� และมคี วามหมาย ผู้ฟังและผอู้ า่ นฟังแลว้ อ่าน แลว้ เขา้ ใจวา่ หมายถงึ อะไร หรอื สงิ่ ใด หรอื อยา่ งไร คำ� นน้ั จะเปน็ คำ� ไทย หรอื คำ� ทม่ี าจากภาษาอนื่ กไ็ ดค้ ำ� มลู แตล่ ะคำ� จะมคี วามหมาย คำ� มลู คำ� หนง่ึ มกั มคี วามหมายอยา่ งหนงึ่ แตม่ อี ยบู่ า้ งทคี่ ำ� คำ� เดยี ว รปู ลกั ษณอ์ ยา่ ง เดียวมีหลายความหมาย เช่น ตดิ มีความหมายวา่ ข้องอยู่ ไปไมไ่ ด้ เกาะอยู่ ท�ำใหแ้ นน่ ฯลฯ หรอื ค�ำหลาย ค�ำมรี ูปลกั ษณ์หลายอยา่ งแต่มคี วามหมายอยา่ งเดียว เช่น สตรี นารี ยุพา กญั ญา หมายถึง ผูห้ ญงิ คำ� พนื้ ฐานที่มคี วามหมายสมบรู ณ์ในตวั เอง กล่าวคือ เป็นค�ำทสี่ รา้ งขนึ้ โดยเฉพาะอาจเป็นคำ� ไทยดัง้ เดมิ หรอื เปน็ ค�ำทม่ี าจากภาษาอนื่ ก็ได้ และจะเปน็ ค�ำ “ พยางค์ “ เดยี วหรือหลายพยางค์กไ็ ด้ ค�ำมูลแบ่งเปน็ 2 ชนดิ คอื คำ� มูลพยางคเ์ ดียว เช่น เพลง,ชาม,พอ่ ,ยนื ,หวิ ,ย้ิม,สขุ ,ใน ( ค�ำไทยแท้ ) ฟรี,ไมค,์ ธรรม ( ค�ำทีม่ า จากภาษาอน่ื ) คำ� มลู หลายพยางค์ เปน็ คำ� หลายพยางค์ เมอ่ื แยกแตล่ ะพยางคแ์ ลว้ อาจมคี วามหมายหรอื ไมม่ คี วาม หมายก็ได้ แต่ความหมายของแต่ละพยางค์ไม่เกี่ยวข้องกับความหมายของค�ำมูลนน้ั เลย เช่น กระดาษ ศิลปะ กำ� มะลอ หรือกลา่ วได้วา่ คำ� มูล คอื คำ� ที่มีลกั ษณะอย่างใดอยา่ งหนงึ่ ค�ำทีเ่ กดิ ขึน้ โดยการสรา้ งค�ำจากคำ� มูล จะแบง่ ตามรูปลักษณะไดด้ งั นี้ ค�ำประสม คำ� ซ้อน คำ� ซำ�้ คำ� สมาส – สนธิ คำ� ประสม คือ คำ� ทีเ่ กดิ จากการนำ� ค�ำมูลตง้ั แต่ 2 คำ� ข้ึนไป และมคี วามหมายตา่ งกนั มาประสมกัน เป็นค�ำใหม่ คำ� มูลทีน่ �ำมาประสมกันอาจเป็นค�ำนาม สรรพนาม กรยิ า วิเศษณ์ และบพุ บท นาม+นาม หวั ใจ

รายวชิ า หลกั ภาษาไทย พท 33002 ม.ปลาย 19 นาม+กรยิ า บา้ นเชา่ นาม+สรรพนาม เพื่อนฝงู นาม+วเิ ศษณ์ นำ้� แขง็ นาม + บพุ บท คนนอก วเิ ศษณ+์ กริยา ด้อื ดงึ วเิ ศษณ์ +วิเศษณ์ หวานเยน็ หน้าที่ของค�ำประสม 1. ท�ำหนา้ ที่เปน็ นาม, สรรพนาม เชน่ พอ่ ครวั พอ่ บ้าน แมพ่ ระ ลูกเสือ นำ�้ ตก ช่างไม้ ชาวบ้าน เคร่อื งบนิ หัวใจ นกั การเมือง หมอต�ำแย ของเหลว 2. ท�ำหนา้ ทีเ่ ป็นกรยิ า เชน่ เสยี เปรยี บ กนิ แรง กินนอกกินใน อ่อนใจ ดีใจ เล่นตวั วางตวั ออกหน้า หักหน้า ลองดี ไปดี 3. ท�ำหนา้ ที่เปน็ วิเศษณ์ เชน่ กินขาด ใจร้าย ใจเพชร ใจรอ้ น หลายใจ คอแขง็ 4. ใชใ้ นเชงิ เปรยี บเทียบ เช่น ก้มหนา้ หมายถงึ จ�ำทน แกะดำ� หมายถึง คนท่ที ำ� อะไรผิดจากผอู้ น่ื ในกลุ่ม ถา่ นไฟเกา่ หมายถึง หญิงชายท่ีเลิกรา้ ง ไกอ่ ่อน หมายถึง ยังไมช่ �ำนาญ นกต่อ หมายถงึ คนทต่ี ดิ ต่อหรอื ชกั จงู ผ้อู นื่ ใหห้ ลงเชือ่ การสร้างค�ำประสม 1. สร้างจากค�ำไทยทุกค�ำ เชน่ แมน่ ้�ำ ท่ีราบ ลูกชา้ ง หมดตวั กินที่ แม่ยาย 2. สรา้ งจากค�ำไทยกับคำ� ภาษาตา่ งประเทศ เชน่ เผดจ็ การ นายตรวจ ของโปรด 3. สร้างจากค�ำภาษาต่างประเทศท้งั หมด เชน่ รถเมล์ รถบสั รถเกง๋ กิจจะลักษณะ 4. สรา้ งคำ� เลยี นแบบคำ� สมาส แตป่ นกบั ค�ำไทย เชน่ ผลไม้ คณุ คา่ พระอู่ เทพเจา้ พระทนี่ ง่ั ทนุ ทรพั ย์ ข้อสังเกตของค�ำประสม 1. ค�ำประสมอาจเกิดจากคำ� ตา่ งชนดิ รวมกนั เชน่ กินใจ (ค�ำกริยา+ค�ำนาม) นอกเรื่อง (คำ� บพุ บท+ค�ำนาม) 2. ค�ำประสมเกิดจากค�ำหลายภาษารวมกัน เช่นรถเก๋ง (บาลี+จีน) เคร่ืองอิเล็กโทน (ไทย+องั กฤษ) 3. ค�ำทีข่ ้ึนตน้ ดว้ ย ผู้ นกั เคร่อื ง ช่าง หมอ ของ เปน็ ค�ำประสม เชน่ ผดู้ ,ี นกั เรยี น, ชาวนา, เครื่องยนต์ ลกั ษณะของค�ำประสม 1. คำ� ประสมทน่ี �ำค�ำมลู ทม่ี เี นอื้ ความต่างๆ มาประสมกนั แลว้ ไดใ้ จความเปน็ อกี อยา่ งหนงึ่ เช่น “หาง” หมายถึง ส่วนท้ายของสัตว์ กับ “เสือ” หมายถึง สัตว์ชนดิ หนงึ่ รวมกันเป็นคำ� ประสมว่า

20 รายวิชา หลกั ภาษาไทย พท 33002 ม.ปลาย “หางเสอื ” แปลว่า เคร่อื งถอื ทา้ ยเรือ และคำ� อืน่ ๆ เช่น ลูกน�้ำ แมน่ ำ�้ แสงอาทิตย์ (ง)ู เปน็ ตน้ คำ� เหล่านี้มี ความหมายต่างกับค�ำมูลเดิมทง้ั นน้ั คำ� ประสมพวกนถี้ งึ แมว้ า่ มีใจความแปลกออกไปจากค�ำมลู เดิมก็ดี แต่ กต็ ้องอาศยั เคา้ ความหมายของค�ำมูลเดิมเปน็ หลักเหมอื นกนั ถ้าเป็นค�ำทไี่ ม่มเี ค้าความเน่ืองจากคำ� มูลเลย แต่เผอิญมาแยกออกเปน็ ค�ำมลู ได้นับว่าเป็นค�ำประสมจะนบั เปน็ ค�ำมลู 2. คำ� ประสมที่เอาค�ำมลู หลายค�ำซง่ึ ทกุ ๆ ค�ำก็มีเน้อื ความคงที่ แต่เมื่อเอามารวมกันเข้า เปน็ คำ� เดยี วกม็ เี นอื้ ความผดิ จากรปู เดมิ ไป ซงึ่ ถา้ แยกออกเปน็ ค�ำๆ แลว้ จะไมไ่ ดค้ วามดงั ทป่ี ระสมกนั อยนู่ น้ั เลย 3. คำ� ประสมทเี่ อาค�ำมลู มีรูปหรอื เนอื้ ความซำ้� กนั มารวมกันเปน็ คำ� เดยี ว ค�ำเหล่านบ้ี างทกี ็ มเี นอื้ ความคลา้ ยกบั ค�ำมูลเดมิ บางทีก็เพี้ยนออกไปบ้างเล็กนอ้ ย และอีกอย่างหนงึ่ ใช้ค�ำมลู รปู ไมเ่ หมือน กนั แต่เน้ือความอย่างเดยี วกนั รวมกนั เขา้ เปน็ คำ� ประสมซ่งึ มคี วามหมายตา่ งออกไปโดยมาก 4. คำ� ประสมทย่ี อ่ ออกมาจากใจความมาก ค�ำพวกนมี้ ลี กั ษณะคลา้ ยกบั ค�ำสมาสเพราะเปน็ ค�ำยอ่ อยา่ งเดียวกนั รวมทั้งค�ำอาการนามทีม่ ีค�ำว่าการหรือความน�ำหนา้ 5. ค�ำประสมท่มี าจากคำ� สมาสของภาษาบาลแี ละสันสกฤต เชน่ ราชกุมาร (ลูกหลวง) วธิ สี ร้างค�ำประสม คอื นำ� ค�ำตง้ั แตส่ องค�ำขนึ้ ไป และเปน็ ค�ำท่ีมีความหมายต่างกันมาประสม กันเป็นคำ� ใหม่โดยใช้คำ� ท่ีมีลักษณะเด่นเป็นคำ� หลักหรือเป็นฐาน แล้วใช้คำ� ที่มีลักษณะรองมาขยายไว้ข้าง หลงั คำ� ทเี่ กดิ ขนึ้ ใหมม่ คี วามหมายใหมต่ ามเคา้ ของคำ� เดมิ (พวกความหมายตรง) แตบ่ างทใี ชค้ ำ� ทม่ี นี ำ้� หนกั ความหมายเท่า ๆ กันมาประสมกัน ท�ำให้เกิดความพิสดารข้นึ (พวกความหมายอุปมาอปุ ไมย) เช่น 1. พวกความหมายตรง และอปุ มา (น�ำ้ หนกั ค�ำไม่เทา่ กนั ) นาม + นาม เช่น โรงรถ เรอื อวน ขนั หมาก ขา้ วหมาก นำ�้ ปลา สวนสัตว์ นาม + กรยิ า เชน่ รือแจว บา้ นพัก คานหาม กลว้ ยป้งิ ยาถา่ ย ไขท่ อด นาม + วิเศษณ์ เชน่ นำ้� หวาน แกงจืด ยาดำ� ใจแคบ ปลาเค็ม หมูหวาน กรยิ า + กรยิ า เช่น พัดโบก บุกเบกิ เรียงพมิ พ์ ห่อหมก รวบรวม รอ้ ยกรอง นาม + บพุ บท หรือ สนั ธาน เชน่ วงใน ช้นั บน ของกลาง ละครนอก หวั ตอ่ เบยี้ ล่าง นาม + ลักษณะนาม หรือ สรรพนาม เชน่ ล�ำไพ่ ตน้ หน คณุ นาย ดวงตา เพ่ือนฝูง วเิ ศษณ์ + วิเศษณ์ เชน่ หวานเยน็ เปร้ียวหวาน เขียวหวาน ใช้คำ� ภาษาตา่ งประเทศประสมกับค�ำไทย เชน่ เหยอื กน้ำ� เหยือก เปน็ ค�ำภาษาองั กฤษ โค ถึก ถกึ เปน็ คำ� ภาษาพมา่ แปลว่า หนุ่ม นาปรงั ปรัง เปน็ คำ� ภาษาเขมรแปลว่า ฤดูแลง้ เกง๋ จีน จีน เปน็ ภาษาจนี พวงหรดี หรีด เปน็ คำ� ภาษาองั กฤษ 2. พวกความหมายอปุ มาอุปไมย คำ� ประสมพวกนม้ี กั มคี วามหมายเปน็ สำ� นวน และมกั นำ� คำ� อน่ื มาประกอบดว้ ย เชน่ หนา้ ตา ประกอบ เป็น หน้าเฉย ตาเฉย นับหน้าถือตา เชิดหน้าชูตา บางค�ำประสมกันแล้วหาค�ำอ่ืนมาประกอบให้สัมผัส คล้องจองตามวิธขี องคนเจ้าบทเจ้ากลอนเพอื่ ใหไ้ ดค้ �ำใหมเ่ ป็นสำ� นวน เชน่ กอดจูบลบู คลำ� คผู่ วั ตวั เมยี จับ มอื ถอื แขนเยบ็ ปกั ถกั รอ้ ย หน้าใหญใ่ จโต ลูกเล็กเด็กแดง ให้สังเกตว่าท่ยี กมานค้ี ล้ายวลี ทกุ คำ� ในกลุ่มนมี้ ี ความหมายแตพ่ ดู ใหค้ ลอ้ งจองกนั จนเปน็ สำ� นวนตดิ ปาก แตม่ บี างคำ� ดงั ตวั อยา่ งตอ่ ไปน้ี ทบ่ี างตวั ไมม่ คี วาม หมายเพยี งแตเ่ สริมเขา้ ใหค้ ล้องจองเท่านนั้ เชน่ ก�ำเริบเสบิ สาน โกหกพกลม ขี้ปดมดเทจ็ ร้จู กั มกั จี่ หลาย ปดี ดี กั ตดิ สอยหอ้ ยตามบางทซี �้ำเสยี งตวั หนา้ แลว้ ตามดว้ ยคำ� ทม่ี คี วามหมายใกลเ้ คยี งกนั ทำ� ใหเ้ ปน็ กลมุ่ คำ�

รายวชิ า หลกั ภาษาไทย พท 33002 ม.ปลาย 21 ท่เี ป็นส�ำนวนข้นึ เชน่ ตามมีตามเกิด ตามบุญตามกรรม ขายหน้าขายตา ติดอกตดิ ใจ กนิ เลือดกนิ เน้อื ฝาก เนื้อฝากตวั ค�ำซอ้ น หมายถึง การสร้างค�ำอีกรูปแบบหนง่ึ มวี ิธีการเชน่ เดียวกับการประสมคำ� จึงอนุโลมให้ เป็นค�ำประสมได้ ความแตกต่างระหว่างค�ำประสมท่ัวไปกับค�ำซ้อน คือ ค�ำซ้อนจะสร้างค�ำโดยน�ำค�ำท่ีมี ความหมายคู่กันหรือใกล้เคียงกันมาซ้อนกัน คำ� ที่มาซ้อนกันจะท�ำหน้าที่ขยายและไขความซ่ึงกันและกัน และทำ� ให้เสียงกลมกลนื กนั ดว้ ย เช่น ค�ำซอ้ นที่มีเสียงพยญั ชนะเดยี วกนั ไดแ้ ก่ วนเวียน ชกุ ชมุ รอ่ แร่ ฯลฯ ค�ำซอ้ นทใ่ี ชเ้ สียงตรงข้าม ได้แก่ หนกั เบา เป็นตาย มากน้อย ฯลฯ ค�ำซอ้ นท่ใี ช้คำ� ความหมายเดียวกันหรอื ใกลเ้ คียงกัน ได้แก่ บ้านเรือน อว้ นพี มากมาย ฯลฯ ค�ำซ้อน 4 ค�ำ ที่มคี ำ� ท่ี 1 และค�ำท่ี 3 เป็นคำ� ๆ เดียวกัน ได้แก่ ผู้หลกั ผู้ใหญ่ รอ้ นอกรอ้ นใจ เขา้ ไดเ้ ข้าไป ฯลฯ ค�ำซ้อนทีเ่ ป็นกลมุ่ ค�ำมเี สียงสมั ผัส ไดแ้ ก่ เก็บหอมรอมริบ ข้าวยากหมากแพง ร้จู กั มกั คุ้นฯลฯ ความม่งุ หมายของการสรา้ งคำ� ซ้อน เพอื่ เนน้ ความใหช้ ดั เจนยงิ่ ขน้ึ โดยความหมายยงั คงเดมิ เชน่ ใหมเ่ อยี่ ม ละเอยี ดลออ เสอื่ สาด ทำ� ให้ เกดิ ความหมายใหมใ่ นเชิงอุปมาอปุ ไมย เชน่ ตัดสนิ เบิกบาน เกีย่ วขอ้ ง การซ้อนค�ำ เปน็ การน�ำคำ� ท่มี ีความหมายเหมอื นกัน หรือคล้ายกัน หรือประเภทเดยี วกนั มาเรียงซอ้ นกนั เมอ่ื ซอ้ นค�ำแลว้ ทำ� ใหเ้ กดิ ความหมายใหมข่ นึ้ แต่ยงั คงเคา้ ความหมายเดิมอยู่ หรอื ความหมายอาจไมเ่ ปล่ยี น ไป แต่ความหมายของคำ� หนา้ จะชัดเจนย่งิ ข้นึ เช่น บา้ นเรือน ทรัพย์สิน คบั แคบ เปน็ ตน้ ค�ำทเ่ี กดิ จากการ ซ้อนคำ� เช่นน้เี รียกวา่ ซ้อนค�ำ ค�ำที่ประกอบขึน้ ดว้ ยค�ำ 2 ค�ำข้ึนไปที่มีความหมายท�ำนองเดยี วกนั เช่น จิตใจ ถว้ ยชาม ข้าทาส ขบั ไล่ ขบั กล่อม ค่างวด ฆ่าแกง หยกู ยา เยียวยา แก่นสาร ทอดทิ้ง ท้วงติง แกไ้ ข ราบเรยี บ เหนอ่ื ยหน่าย ทำ� มาค้าขาย ชวั่ นาตาปี คำ� ท่ปี ระกอบขน้ึ ดว้ ยคำ� 2 ค�ำขึ้นไปท่ีมีความหมายตรงกนั ขา้ ม เชน่ หอมเหมน็ ถกู แพง หนกั เบา ยากง่าย มจี น ถูกผิด ชั่วดมี ีจน หนา้ ไหว้หลังหลอก คำ� ซ้อนทป่ี ระกอบด้วยค�ำ 2 คำ� ข้นึ ไปทข่ี ึ้นต้นดว้ ยพยญั ชนะเสยี งเดยี วกันหรอื มีเสยี งสระเข้าคู่กนั เชน่ เกะกะ เปะปะ รุ่งริง่ โยกเยก กรอบแกรบ กรีดกราด ฟดื ฟาด มากมายกา่ ยกอง อีลุ่ยฉยุ แฉก หรอื อาจจ�ำแนกออกได้เป็น 2 ชนดิ ตามหนา้ ที่ ไดแ้ ก่ คำ� ซอ้ นเพื่อเสยี ง คำ� ซอ้ นเพื่อความหมาย คำ� ซ้อนเพอ่ื เสยี ง เปน็ การนำ� คำ� ทมี่ คี วามหมายคลา้ ยคลงึ กนั มาซอ้ นกนั เพอื่ ใหอ้ อกเสยี งงา่ ยขน้ึ และมเี สยี งคลอ้ งจอง กัน ทำ� ให้เกิดความไพเราะขึ้น ค�ำซ้อนเพือ่ เสยี งนบี้ างทีเรียกว่าค�ำคู่ หรือคำ� ควบคู่

22 รายวชิ า หลักภาษาไทย พท 33002 ม.ปลาย นำ� คำ� ทม่ี พี ยญั ชนะตน้ เดยี วกนั แตแ่ ตกตา่ งกนั ทเ่ี สยี งสระ น�ำมาซอ้ นหรอื ควบคกู่ นั เชน่ เรอ่ รา่ เซอ่ ซ่า ออ้ แอ้ จู้จี้ เงอะงะ จอแจ ร่อแร่ ชงิ ช้า จรงิ จงั ทกึ ทกั หมองหมาง ตงึ ตัง น�ำคำ� แรกท่มี คี วามหมายมาซ้อนกบั ค�ำหลัง ซึง่ ไมม่ คี วามหมาย เพอ่ื ใหค้ ลอ้ งจองและออกเสียงได้ สะดวก โดยเสริมค�ำข้างหน้าหรือขา้ งหลังกไ็ ด้ ท�ำให้เนน้ ความเน้นเสียงได้หนกั แน่น โดยมากใชใ้ นคำ� พูด เช่น กวาดแกวด กินแกน เดินแดน มองเมิง ดเี ด่ ไปเปย น�ำค�ำที่มีพยัญชนะต้นต่างกันแต่เสียงสระเดียวมาซ้อนกันหรือควบคู่กัน เช่น เบ้อเร่อ แร้นแค้น จม้ิ ล้มิ ออมชอม อา้ งวา้ ง เรือ่ ยเจอื้ ย ราบคาบ นำ� คำ� ท่ีมพี ยญั ชนะตน้ เหมือนกนั สระเสียงเดียวกนั แต่ตัวสะกดตา่ งกันมาซ้อนกัน หรือควบคู่กนั เช่น ลกั ลนั่ อัดอ้นั หยอ็ กหยอ็ ย คำ� ซ้อนบางค�ำ ใชค้ �ำทมี่ คี วามหมายใกลเ้ คียงมาซอ้ นกนั และเพิ่มพยางคเ์ พือ่ ใหอ้ อกเสยี งสมดุลกัน เชน่ ขโมยโจร เป็น ขโมยขโจร สะกดิ เกา เป็น สะกดิ สะเกา จมูกปาก เปน็ จมูกจปาก ค�ำซอ้ นบางค�ำอาจจะเปน็ ค�ำซอ้ นทเ่ี ป็นค�ำคู่ ซึ่งมี 4 คำ� และมีสมั ผัสคู่กลางหรอื ค�ำท่ี 1 และค�ำท่ี 3 ซำ้� กัน คำ� ซ้อนในลกั ษณะนเี้ ปน็ ส�ำนวนไทย ความหมายของค�ำจะปรากฏที่ค�ำหนา้ หรอื คำ� ทา้ ย หรอื ปรากฏ ที่ค�ำข้างหน้า 2 ค�ำ ส่วนคำ� ท้าย 2 ตัว ไมป่ รากฏความหมาย เช่น เกะกะระราน กระโดดโลดเต้น บา้ นช่อง หอ้ งหอ เรอื แพนาวา ข้าเก่าเต่าเล้ยี ง กตัญญูรู้คณุ ผลหมากรากไม้ โกหกพกลม ติดอกติดใจ ค�ำซ้อนเพือ่ ความหมาย เกดิ จากคำ� มูลทม่ี ีความหมายอยา่ งเดียวกนั ต่างกันเลก็ น้อยหรือไปในทำ� นองเดยี วกัน หรือตา่ งกนั ในลักษณะตรงข้าม เมือ่ ประกอบเปน็ ค�ำซ้อนจะมคี วามหมายอยา่ งใดอย่างหนง่ึ ดงั นี้ 1. ความหมายอยทู่ ค่ี ำ� ใดคำ� หนงึ่ หรอื กลมุ่ ใดกลมุ่ หนงึ่ คำ� อนื่ หรอื กลมุ่ อน่ื ไมป่ รากฏความหมาย เชน่ หน้าตา ปากคอ เท็จจริง ดีรา้ ย ผดิ ชอบ ขวัญหนดี ฝี อ่ ถ้วยชามรามไห จบั ไม่ได้ไลไ่ ม่ทัน 2. ความหมายอยู่ที่ทุกค�ำแตเ่ ป็นความหมายที่กว้างออกไป เชน่ เส้อื ผ้า ไม่ได้หมายเฉพาะเสือ้ กบั ผ้า แตร่ วมถงึ เครือ่ งนุ่งห่ม เรือแพ ไม่ได้หมายเฉพาะเรอื กบั แพ แตร่ วมถงึ ยานพาหนะทางนำ้� ทัง้ หมด ข้าวปลา ไมไ่ ด้หมายเฉพาะข้าวกับปลา แตร่ วมถึงอาหารทัว่ ไป พีน่ อ้ ง ไม่ไดห้ มายเฉพาะพีก่ บั นอ้ ง แต่รวมถึงญาติท้ังหมด หมเู ห็ดเป็ดไก่ หมายรวมถงึ ส่ิงที่ใชเ้ ป็นอาหารทั้งหมด 3. ความหมายอยทู่ ค่ี ำ� ตน้ กบั คำ� ทา้ ยรวมกนั เชน่ เคราะหห์ ามยามรา้ ย ( เคราะหร์ า้ ย ) ชอบมาพากล (ชอบกล) ฤกษง์ ามยามดี (ฤกษ์ดี) ยากดีมจี น (ยากจน) 4. ความหมายอยูท่ ่ีคำ� ต้นหรอื ค�ำท้าย ซึง่ มคี วามหมายตรงข้ามกัน เชน่ ช่ัว ดี (ชั่วดอี ย่างไรเขาก็ เปน็ เพ่ือนฉนั ) ผิดชอบ (ความรับผิดชอบ) เท็จจริง (ข้อเท็จจรงิ ) ค�ำซ�ำ้ เป็นการซ�้ำค�ำมูลเดิม ความหมายของค�ำซ้�ำอาจเหมือนค�ำมูลเดิม หรืออาจมีน�้ำหนกั มากข้ึนหรือ เบาลง หรือแสดงความเปน็ พหูพจน์ เช่น เขยี ว ๆ แดง ๆ ไกล ๆ มาก ๆ นอ้ ย ๆ ชา้ ๆ เร็ว ๆ ดงั ๆ ถ่ี ๆ

รายวชิ า หลกั ภาษาไทย พท 33002 ม.ปลาย 23 หา่ ง ๆ จริง ๆ เพอื่ น ๆ หลาน ๆ คำ� ซำ้� ในคำ� ซอ้ น เปน็ การนำ� คำ� ซอ้ นมาแยกแลว้ ซำ�้ คำ� มลู แตล่ ะคำ� คำ� ซำ�้ ในคำ� ซอ้ นอาจมคี วามหมาย เทา่ คำ� ซอ้ นเดมิ หรอื มคี วามหมายหนกั ขนึ้ หรอื เบาลง หรอื แสดงความเปน็ พหพู จน์ หรอื มคี วามหมายเปลย่ี น ไปจากเดมิ มาก ค�ำซ�้ำ คอื การน�ำค�ำมูลมากล่าวซำ้� 2 ครั้ง เม่อื เขียนนยิ มใช้ไมย้ มกแทนคำ� หลัง ตวั อยา่ งคำ� ซำ�้ ในค�ำซ้อน ผวั ๆ เมีย ๆ (ความหมายเท่าผัวเมีย) สวย ๆ งาม ๆ (ความหมายเท่าสวยงาม) ดึก ๆ ด่ืน ๆ (ความหมายหนกั กวา่ ดึกด่นื ) ดอ้ ม ๆ มอง ๆ (ความหมายเบาลงกว่าด้อมมอง) ลกู ๆ หลาน ๆ (ความหมายแสดงจำ� นวนมากกวา่ ลกู หลาน) รูปลักษณข์ องค�ำซำ้� เขียนเหมอื น อา่ นเหมือน ความหมายเหมอื น เปน็ คำ� ชนดิ เดียวกนั ท�ำหน้าท่เี ดียวกนั อยใู่ นประโยคเดยี วกัน ตวั อยา่ งประโยคท่ีมรี ปู ลกั ษณ์ของค�ำซ้ำ� ฉนั มีเพ่อื น ๆ เปน็ คนตา่ งจังหวัด ลูก ๆ ของพระยาพิชัยรับราชการทุกคน ฉนั เหน็ เธอพดู ๆ ๆ อย่นู น่ั แหละ พวกเราเขา้ ไปนงั่ ๆ ฟงั เสยี หน่อย เกรงใจเจ้าภาพ ฉนั ไม่ไดต้ ้ังใจดเู ขาหรอก แตร่ สู้ ึกว่าเขามผี วิ สดี ำ� ๆ วิเคราะห์ คำ� วา่ เพือ่ น ๆ เปน็ คำ� ซำ�้ เพราะเขียนเหมอื นกัน อา่ นเหมอื นกนั ความหมายเหมือนกัน ซ่งึ เป็นคำ� นาม ทำ� หนา้ ทเี่ ปน็ กรรมของประโยคและอย่ใู นประโยคเดยี วกนั จงึ เรยี กว่า ค�ำซำ�้ คำ� วา่ ลูก ๆ เป็นคำ� ซ้�ำ เพราะเขยี นเหมือนกัน อา่ นเหมอื นกนั ความหมายเหมอื นกนั ซง่ึ เป็นค�ำนามเหมอื นกนั ท�ำหน้าทเี่ ป็นประธานของประโยค และอยใู่ นประโยคเดยี วกัน จงึ เรียกว่า คำ� ซำ้� คำ� วา่ พูด ๆ เปน็ ค�ำซำ้� เพราะเขยี นเหมอื นกนั อ่านเหมือนกัน ความหมายเหมอื นกนั ซึ่ง เป็นค�ำกรยิ าเหมือนกนั ทำ� หน้าที่เปน็ กรยิ าของประโยคย่อย และอยูใ่ นประโยคเดียวกัน จงึ เรยี กวา่ ค�ำซ�้ำ ค�ำว่า นง่ั ๆ เป็นค�ำซ�ำ้ เพราะเขียนเหมือนกัน อ่านเหมอื นกนั ความหมายเหมอื นกนั ซึ่ง เป็นค�ำกริยาเหมือนกัน ท�ำหน้าท่ีเปน็ กริยาแทข้ องประโยค และอยใู่ นประโยคเดยี วกัน จึงเรยี กวา่ คำ� ซำ�้ คำ� ว่า ดำ� ๆ เป็นค�ำซำ�้ เพราะเขียนเหมือนกนั อ่านเหมือนกนั ความหมายเหมือนกนั ซ่งึ

24 รายวชิ า หลกั ภาษาไทย พท 33002 ม.ปลาย เปน็ คำ� วเิ ศษณ์เหมือนกนั ทำ� หนา้ ท่ีเป็นวเิ ศษณ์ของประโยค และขยายค�ำนาม และอย่ใู นประโยคเดยี วกนั จึงเรยี กว่า คำ� ซ้ำ� วธิ กี ารซำ�้ คำ� นำ� ค�ำนาม คำ� สรรพนาม ค�ำกรยิ า หรอื คำ� วเิ ศษณม์ ากล่าวซ้ำ� เชน่ เดก็ ๆ เรา ๆ กนิ ๆ น�ำคำ� ทซ่ี �้ำกัน 2 ค�ำมาซอ้ นกัน แต่ค�ำค่นู น้ั จะตอ้ งมีความหมายใกลเ้ คียงกนั เช่น สวยๆ งามๆ เราๆ ท่านๆ เปน็ ๆ หายๆ น�ำค�ำซำ�้ กนั โดยเปล่ียนเสยี งวรรณยุกต์ เพอ่ื เน้นความหมาย เชน่ ซว้ ยสวย ดด๊ี ี เจบ็ ใจเ๊ จ็บใจ ดีใจด๊ ีใจ ความหมายของคำ� ซำ�้ การซ้�ำค�ำทำ� ให้เกิดความหมายแตกต่างกนั ไปในลกั ษณะตา่ ง ๆ กัน ดังน้ี ซ�้ำคำ� ท�ำใหเ้ ป็นพหูพจน์ แสดงถึงจำ� นวนมากกวา่ หนง่ึ เชน่ เดก็ ๆ ไปโรงเรยี น (หมายถงึ เดก็ หลายคน) ซำ�้ ค�ำเพื่อแสดงการแยกจำ� นวน เชน่ ท�ำให้เสรจ็ เป็นอย่าง ๆ ไป (หมายถึงทลี ะอยา่ ง) ซ้�ำค�ำเพื่อแสดงความหมายเปน็ กลาง ๆ เชน่ ผา้ ดี ๆ อย่างนี้หาซ้ือไม่ได้ ฉนั ไมซ่ ื้อปลา เปน็ ๆ มาท�ำกบั ขา้ ว ซ�้ำคำ� เพื่อแสดงความหมายโดยประมาณหรือไม่เจาะจง เชน่ เธอมาหาฉนั แตเ่ ช้า ๆ หน่อย (ไม่เจาะจงเวลา) ซ้�ำค�ำเพ่ือให้เป็นค�ำสั่ง มักเน้นค�ำขยายหรือบุพบท เช่น ท�ำดี ๆ นะ (ซ�้ำค�ำขยาย) เดินเร็ว ๆ (ซ้�ำคำ� ขยาย) ซ�ำ้ คำ� เพอ่ื แสดงกิริยาวา่ ทำ� ติดต่อกันไปเรือ่ ย ๆ และจะเนน้ คำ� ท่กี ริยา เขาพูด ๆ อยู่ก็เปน็ ลม เขายืน ๆ อยกู่ ถ็ ูกจบั ซ้ำ� คำ� เพื่อแสดงลักษณะส่วนใหญใ่ นกลมุ่ หรอื ในหมคู่ ณะ เชน่ มแี ต่ของเกา่ ๆ กนิ แตข่ อง ดี ๆ มแี ต่คนเลว ๆ ซ�้ำค�ำเพอ่ื แสดงอาการหรือเหตุการณท์ ี่ต่อเนื่องกัน เช่น ฝนตกปรอย ๆ เดก็ วงิ่ ต๊กั ๆ ปลา ดน้ิ พราด ๆ ซ�ำ้ คำ� เลยี นเสียงธรรมชาติ ไดแ้ ก่ เสียงสัตวร์ ้อง เชน่ เหมียว ๆ โฮ่ง ๆ ก๊กุ ๆ เสยี งเดก็ ร้อง ได้ เชน่ อุแว้ ๆ แง ๆ ซำ�้ ค�ำท�ำใหเ้ กดิ ความหมายใหม่ เช่น เดย๋ี ว ๆ เขาก็มองออกไปทางประตู /อยู่ ๆ กล็ กุ ขน้ึ กระโดด (ไมม่ สี าเหตุ) ซ�้ำเพื่อเน้นความหมายเดิมให้ชัดเจนย่ิงขึ้น ค�ำซ้�ำประเภทนี้มักจะเป็นค�ำวิเศษณ์ เช่น ดัง ๆ วนุ่ ๆ ค่อย ๆ ซ�้ำเพื่อบอกความหมายของเวลาหรือสถานท่ีโดยประมาณ เช่น ใกล้ ๆ ข้าง ๆ ดึก ๆ เชา้ ๆ ซำ้� เพ่ือบอกความหมายเป็นเอกพจน์ ซงึ่ คำ� ซำ�้ ชนดิ นม้ี กั สรา้ งจากค�ำลกั ษณะนาม เชน่ เรื่อ ๆ สว่ น ๆ ชิน้ ๆ ซำ�้ เพ่ือบอกความหมายเป็นพหูพจน์ เชน่ เพ่ือน ๆ เดก็ ๆ

รายวิชา หลักภาษาไทย พท 33002 ม.ปลาย 25 ซำ�้ เพ่ือบอกความหมายกวา้ งออกไป เชน่ นง่ั ๆ นอน ๆ ซ้ำ� เพื่อให้เกิดความหมายใหม่ เช่น หมู ๆ พน้ื ๆ ค�ำสมาส ค�ำสมาส คือ การน�ำค�ำท่ีมาจากภาษาบาลีสันสกฤตมารวมกับคำ� บาลีสันสกฤตแล้วเกิด ความหมายใหม่ แตย่ งั คงเคา้ ความหมายเดิมมลี กั ษณะดงั น้ี 1.เปน็ คำ� ท่มี รี ากศพั ทม์ าจากบา และสนั สกฤตเทา่ นน้ั เช่น สุขศกึ ษา อักษรศาสตร์ สงั คมศาสตร์ อดุ มศกึ ษา 2.อา่ นออกเสียงสระระหวา่ งค�ำท่ีสมาสกัน เช่น รัฐ + ศาสตร์ = รัฐศาสตร์ อา่ น รัด – ถะ – สาด ภมู ิ + ทัศน์ = ภมู ิทัศน ์ อา่ น พูม – มิ – ทดั พชื + มงคล = พืชมงคล อ่าน พืด – ชะ - มง – คน 3.แปลจากหลงั มาหน้า เช่น ราชโอรส หมายถึง ลกู ชายพระราชา กาฬพักตร ์ หมายถึง หนา้ ดำ� วรรณคด ี หมายถึง เรือ่ งราวของหนงั สอื 4.พยางค์สุดท้ายของคำ� หน้าท่ีมีเคร่ืองหมายทัณฑฆาต ( )เมื่อนำ� มาสมาสให้ตัดทิ้งแล้ว อา่ นออกเสียง “อะ”กึ่งเสียง เช่น สิทธิ์ + บตั ร เป็น สทิ ธบิ ตั ร ไปรษณยี ์ + บัตร เปน็ ไปรษณยี บตั ร สวัสด์ิ + ภาพ เป็น สวสั ดภิ าพ สัตว์ + ศาสตร์ เป็น สตั วศาสตร์ 5.ค�ำว่า “พระ” (แผลงมาจาก “วร”) นำ� หน้าคำ� ทมี่ าจากบาลสี นั สกฤต เช่น พระสงฆ์ พระเนตร พระบาท พระราชวงศ์ หลกั สังเกตค�ำสมาสในภาษาไทย 1. เกิดจากคำ� มลู ต้ังแตส่ องคำ� ขนึ้ ไป 2. เปน็ คำ� ทมี่ รี ากศพั ทม์ าจากภาษาบาลแี ละสนั สกฤตเทา่ นนั้ เชน่ กาฬพกั ตร์ ภมู ศิ าสตร์ ราชธรรม บตุ รทาน อักษรศาสตร์ อรรถคดี ฯลฯ 3. พยางค์สดุ ทา้ ยของค�ำหน้า หากมสี ระ อะ หรอื มตี ัวการนั ต์อยู่ ให้ยุบตัวนน้ั ออก (ยกเวน้ คำ� บาง ค�ำ เช่น กิจจะลักษณะ เปน็ ต้น) 4. แปลความจากหลงั มาหน้า เชน่ ราชบตุ ร แปลวา่ บุตรของพระราชา, เทวบัญชา แปลว่า ค�ำสง่ั ของเทวดา, ราชการ แปลว่า งานของพระเจ้าแผน่ ดนิ 5. สว่ นมากออกเสยี งพยางคท์ า้ ยของคำ� หนา้ แมจ้ ะไมม่ รี ปู สระกำ� กบั อยู่ โดยจะใชเ้ สยี ง อะ อิ และ อุ (เช่น เทพบตุ ร) แตบ่ างคำ� ก็ไม่ออกเสียง (เชน่ สมยั นยิ ม สมุทรปราการ) 6. ค�ำบาลีสันสกฤตที่มีค�ำว่า พระ ซึ่งกลายเสียงมาจากบาลีสันสกฤต ก็ถือว่าเป็นค�ำสมาส

26 รายวชิ า หลกั ภาษาไทย พท 33002 ม.ปลาย (เช่น พระกร พระจันทร)์ 7. สว่ นใหญจ่ ะลงท้ายว่า ศาสตร์ กรรม ภาพ ภยั ศึกษา ศลิ ป์ วทิ ยา (เชน่ ศกึ ษาศาสตร์ ทกุ ข ภาพ จิตวิทยา) 8. อา่ นออกเสียงระหวา่ งค�ำ เชน่ ประวตั ศิ าสตร์ อา่ นวา่ ประ – หวดั – ติ – ศาสตร์ นจิ ศีล อ่านวา่ นจิ – จะ – สีน ไทยธรรม อา่ นวา่ ไทย – ยะ – ท�ำ อุทกศาสตร์ อา่ นว่า อุ – ทก – กะ – สาด อรรถรส อ่านวา่ อดั – ถะ – รด จลุ สาร อ่านว่า จุน – ละ – สาน 9. คำ� ที่มคี �ำเหล่าน้อี ยดู่ ้วย มกั จะเปน็ คำ� สมาส คอื การ กร กรรม คดี ธรรม บดี ภยั ภัณฑ์ ภาพ ลกั ษณ์ วิทยาศาสตร์ ขอ้ สงั เกต 1. ไม่ใชค่ �ำทม่ี าจากภาษาบาลสี ันสกฤตท้ังหมด เช่น เทพเจ้า (เจ้า เป็นค�ำไทย) พระโทรน (ไม้ เป็นคำ� ไทย) พระโทรน (โทรน เปน็ ค�ำองั กฤษ) บายศรี (บาย เป็นคำ� เขมร) 2.ค�ำที่ไมส่ ามารถแปลความจากหลังมาหน้าไดไ้ ม่ใชค่ ำ� สมาส เชน่ ประวัตวิ รรณคดี แปลวา่ ประวัตขิ องวรรณคดี นายกสมาคม แปลวา่ นายกของสมาคม วพิ ากษ์วิจารณ์ แปลว่า การวพิ ากษ์และการวจิ ารณ์ 3. คำ� สมาสบางค�ำไมอ่ อกเสียงสระตรงพยางค์ของคำ� หน้า เชน่ ปรากฏ อา่ นว่า ปรา – กด – กาน สภุ าพบุรุษ อ่านว่า สุ – พาบ – บุ – หรุด สุพรรณบุรี อา่ นว่า สุ – พรรณ – บุ – รี สามญั ศึกษา อ่านวา่ สา – มัน – สึก – สา คำ� สนธิ คอื การสมาสโดยการเชอ่ื มค�ำเข้าระหว่างพยางคห์ ลังของคำ� หน้ากับพยางคห์ นา้ ของค�ำ หลงั เป็นการย่ออักขระให้นอ้ ยลงเวลาอา่ นจะเกดิ เสยี งกลมกลนื เปน็ คำ� เดียวกนั หลกั สงั เกตคำ� สนธิในภาษาไทย การสนธิแบง่ เปน็ 3 ประเภท คือ 1. สระสนธิ 2. พยญั ชนะสนธิ 3. นฤคหติ สนธิ 1. สระสนธิ คอื การนำ� ค�ำทีล่ งท้ายดว้ ยสระไปสนธิกบั คำ� ที่ข้ึนค้นดว้ ยสระ ซึง่ เมือ่ สนธแิ ลว้ จะมีการ

รายวิชา หลกั ภาษาไทย พท 33002 ม.ปลาย 27 เปลีย่ นแปลงรปู สระตามกฏเกณฑ์ - ตัดสระพยางคท์ ้ายคำ� หนา้ แลว้ ใชส้ ระพยางค์หน้าคำ� หลัง เชน่ ราช + อานภุ าพ = ราชานภุ าพ สาธารณ + อุปโภค = สาธารณูปโภค นิล + อบุ ล = นิลุบล - ตดั สระพยางคท์ า้ ยคำ� หนา้ และใชส้ ระพยางคต์ น้ ของคำ� หลงั โดยเปลยี่ นสระพยางคต์ น้ ของคำ� หลงั อะ เป็น อา อิ เป็น เอ อุ เปน็ อู อ,ุ อู เป็น โอ เชน่ พงศ + อวตาร = พงศาวตาร ปรม + อนิ ทร์ = ปรเมนทร์ มหา + อสิ ี = มเหสี - เปล่ียนสระพยางค์ทา้ ยของคำ� หนา้ เป็นพยัญชนะ คอื อิ อี เปน็ ย อุ อู เป็น ว ใชส้ ระพยางคต์ น้ ของคำ� หลงั ซงึ่ อาจเปลยี่ นรปู หรอื ไมเ่ ปลยี่ นรปู กไ็ ด้ ในกรณที สี่ ระพยางคต์ น้ ของคำ� หลังไม่ใช่ อิ อี อุ อู อย่างสระตรงพยางค์ท้ายของคำ� หน้า เชน่ กิตติ + อากร = กิตยากร สามัคคี + อาจารย์ = สามคั ยาจารย์ ธนู + อาคม = ธันวาคม คำ� สนธบิ างคำ� ไมเ่ ปลย่ี นสระ อิ อี เปน็ ย แตต่ ดั ทงิ้ ทง้ั สระพยางคห์ นา้ คำ� หลงั จะไมม่ ี อิ อี ดว้ ยกนั เชน่ ศักคิ + อานภุ าพ = ศกั ดานภุ าพ ราชนิ ี + อปุ ถมั ภ์ = ราชินูปถมั ภ์ หสั ดี + อาภรณ์ = หสั ดาภรณ์ 2. พยัญชนะสนธิ คอื การเชอ่ื มคำ� ดว้ ยพยญั ชนะเป็นการเช่อื มเสียง พยัญชนะในพยางค์ท้ายของ คำ� แรกกบั เสยี งพยญั ชนะหรือสระในพยางคแ์ รก ของคำ� หลัง เช่น - สนธเิ ข้าดว้ ยวธิ ี โลโป คือลบพยางค์สดุ ทา้ ยของคำ� หนา้ ทิ้ง เชน่ นริ ส + ภัย = นิรภยั ทุรส + พล = ทรุ พล อายุรส + แพทย์ = อายรุ แพทย์ - สนธิเข้าดว้ ยวธิ ี อาเสโท คือแปลงพยัญชนะทา้ ยของคำ� หน้า เป็นสระ โอ แลว้ สนธิตามปกติ เชน่

28 รายวิชา หลกั ภาษาไทย พท 33002 ม.ปลาย มนส + ภาพ = มโนภาพ ยสส + ธร = ยโสธร รหส + ฐาน = รโหฐาน 3. นฤคหติ สนธิ คอื การเชอ่ื มคำ� ดว้ ยนฤคหติ เปน็ การเชอ่ื มเมอ่ื พยางคห์ ลงั ของค�ำแรกเปน็ นฤคหติ กับเสยี งสระในพยางค์แรกของคำ� หลัง มี 3 วธิ ี คอื 1. นฤคหิตสนธิกับสระ ใหเ้ ปล่ยี นนฤคหิตเป็น ม แลว้ สนธิกนั เช่น สํ + อาคม = สม + อาคม = สมาคม สํ + อทุ ยั = สม + อุทยั = สมทุ ยั 2. นฤคหิตสนธิกับพยัญชนะของวรรค ให้เปล่ียนนฤคหิตเป็นพยัญชนะตัวสุดท้ายของ พยัญชนะในแตล่ ะวรรค ไดแ้ ก่ วรรคกะ เป็น ง วรรคจะ เปน็ ญ วรรคตะ เปน็ น วรรคฏะ เป็น ณ วรรคปะ เป็น ม เชน่ สํ + จร = สญ + จร = สญั จร สํ + นิบาต = สน + นบิ าต = สนั นิบาต 3. วรรคกะ เป็นสนธกิ บั พยัญชนะเศษวรรค ใหเ้ ปลย่ี นนฤคหิต เป็น ง เชน่ สํ + สาร = สงสาร สํ + หรณ์ = สงั หรณ์

รายวิชา หลกั ภาษาไทย พท 33002 ม.ปลาย 29 แบบทดสอบทา้ ยบทที่ 3 คำ� สัง่ จงตอบคำ� ถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง 1. ค�ำมลู หมายถึง ..................................................................................................................................... ตวั อยา่ ง 1. ................................................ 2. ................................................ 3. ................................................ 4. ................................................ 5. ................................................. 2. คำ� ประสม หมายถงึ ..................................................................................................................................... ตัวอย่าง 1. ................................................ 2. ................................................ 3. ................................................ 4. ................................................ 5. ................................................. 3. คำ� ซ้อน หมายถึง ..................................................................................................................................... ตัวอยา่ ง 1. ................................................ 2. ................................................ 3. ................................................ 4. ................................................ 5. ................................................. 4. ค�ำซ้�ำ หมายถึง ..................................................................................................................................... ตัวอย่าง 1. ................................................ 2. ................................................ 3. ................................................ 4. ................................................ 5. .................................................

30 รายวิชา หลกั ภาษาไทย พท 33002 ม.ปลาย 5. คำ� สมาส หมายถงึ ..................................................................................................................................... ตัวอยา่ ง 1. ................................................ 2. ................................................ 3. ................................................ 4. ................................................ 5. .................................................

รายวชิ า หลกั ภาษาไทย พท 33002 ม.ปลาย 31 บทที่ 4 ค�ำไทยแทแ้ ละคำ� ทมี่ าจากภาษาอ่นื ลกั ษณะค�ำไทยแท้ 1.ค�ำไทยแท้ส่วนมากมพี ยางค์เดียว ไมว่ ่าจะเปน็ คำ� นาม สรรพนาม วเิ ศษณ์ บพุ บท สนั ธาน อทุ าน ฯลฯ ซึ่งเรยี กวา่ ภาษาค�ำโดด เช่น ลงุ ปา้ นา้ อา กา ไก่ ฯลฯ มีค�ำไทยแท้หลายคำ� ท่มี ีหลายพยางค์ เชน่ มะมว่ ง สะใภ้ ตะวนั กระโดด มะพร้าว ทงั้ นี้เพราะสาเหตทุ เี่ กิดจาก 1.1 การกรอ่ นเสยี ง คำ� 2 พยางคเ์ มอ่ื พดู เรว็ ๆ เขา้ คำ� แรกจะกรอ่ นลง เชน่ มะมว่ ง - หมาก ม่วง ตะครอ้ – ตน้ คร้อ /สะดอื - สายดือ /มะตมู - หมากตมู 1.2 การแทรกเสยี ง คือค�ำ 2 พยางค์เรยี งกนั แลว้ มีเสียงแทรกตรงกลาง เช่น ลูกกระดมุ - ลูกดมุ /ผกั กระถิน - ผกั ถนิ /นกกระจอก - นกจอก /ลกู กระเดอื ก - ลกู เดือก 1.3 การเติมพยางค์หน้าค�ำมูลโดยเติมค�ำให้มีความหมายใกล้เคียงกัน เช่น จุ๋มจิ๋ม - กระจมุ๋ กระจม๋ิ /เดยี๋ ว - ประเด๋ยี ว /ท้วง - ประท้วง /ท�ำ - กระท�ำ 2. คำ� ไทยแท้ไมม่ ีตวั การันต์ ไมน่ ยิ มค�ำ ควบกล้�ำ แตม่ เี สียงควบกล้ำ� อยบู่ ้างเปน็ การควบกลำ้� ด้วย ร,ล,ว และมีตวั สะกดตรงตามมาตรา เชน่ เชย สาว จิก กดั ฯลฯ 3. ค�ำไทยแท้มี วรรณยุกต์ ทั้งมรี ูปและไมม่ ีรูป เพอื่ แสดงความหมาย เช่น ฉนั อ่านข่าว เร่ืองขา้ ว 4. การเรียงคำ� ในภาษาไทยสบั ท่ีกันท�ำใหค้ วามหมายเปล่ียนไป เช่น ใจน้อย - น้อยใจ กลัวไม่จริง - จริงไมก่ ลวั 5. ค�ำไทยจะใชร้ ูป “ไอ” กับ “ใอ” จะไม่ใชร้ ูป “อัย” เลย และจะไมพ่ บพยัญชนะต่อไปน้ี ฆ ณ ฌ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ธ ศ ษ ฬ ยกเว้นค�ำบางคำ� ท่เี ปน็ ค�ำไทย คือ ฆ่า เฆย่ี น ศกึ ศอก เศิก เศร้า ธ ณ ฯพณฯ ใหญ่ หญ้า เปน็ ตน้ คำ� ไทยแท้มีตวั สะกดตรงตามมาตราตัวสะกด มาตราตัวสะกดมี 8 มาตรา ค�ำไทยจะสะกดตรงตาม มาตราตัวสะกดและไม่มีการนั ต์ เช่น มาตราแม่กก ใช ้ ก สะกด เช่น มาก จาก นก จกิ รัก มาตราแมก่ ด ใช้ ด สะกด เชน่ กัด ตัด ลด ปดิ พดู มาตราแมก่ บ ใช ้ บ สะกด เช่น จบั จบ รับ พบ ลอบ มาตราแม่กน ใช ้ น สะกด เช่น ข้ึน อ้วน ร่นุ นอน กิน มาตราแมก่ ง ใช้ ง สะกด เชน่ ลง ล่าง อา่ ง จง พุ่ง มาตราแมก่ ม ใช ้ ม สะกด เช่น ลาม ริม เรยี ม ซอ้ ม ยอม มาตราแมเ่ กย ใช้ ย สะกด เชน่ ยาย โรย เลย รวย เฉย มาตราแม่เกอว ใช้ ว สะกด เช่น ดาว เคียว ขา้ ว เรยี ว เร็ว ค�ำท่ีมมี าตราตัวสะกดไม่ตรงตามมาตราตวั สะกด จะเปน็ คำ� ท่ีเป็นภาษาอน่ื ท่ียมื มาใชใ้ นภาษาไทย

32 รายวชิ า หลักภาษาไทย พท 33002 ม.ปลาย ลักษณะของภาษาบาลีและสันสกฤต ภาษาบาลแี ละสนั สกฤตอยใู่ นตระกลู ภาษาทม่ี วี ภิ ตั ปจั จยั คอื เปน็ ภาษาทท่ี ม่ี คี �ำเดมิ เปน็ คำ� ธาตุ เมอ่ื จะใช้ค�ำใดจะต้องน�ำธาตุไปประกอบกับปัจจัยและวิภัตติ เพื่อเป็นเครื่องหมายบอกพจน์ ลึงค์ บุรุษ กาล มาลา วาจก โครงสรา้ งของภาษาประกอบดว้ ย ระบบเสยี ง หนว่ ยค�ำ และระบบโครงสรา้ งของประโยค ภาษา บาลแี ละสนั สกฤตมีหน่วยเสียง 2 ประเภท คอื หน่วยเสียงสระและหน่วยเสยี งพยัญชนะ ดงั นี้ 1. หนว่ ยเสยี งสระ หน่วยเสยี งสระภาษาบาลมี ี 8 หนว่ ยเสยี ง คือ อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ หนว่ ยเสยี งภาษาสนั สกฤต ตรงกับภาษาบาลี 8 หนว่ ยเสียง และต่างจากภาษาบาลอี ีก 6 หนว่ ยเสยี ง เปน็ 14 หน่วยเสยี ง คอื อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ ไอ เอา ฤ ฤา ฦ ฦๅ 2. หน่วยเสยี งพยญั ชนะ หนว่ ยเสียงพยัญชนะภาษาบาลมี ี 33 หนว่ ยเสียง ภาษาสนั สกฤตมี 35 หน่วยเสียง เพิ่ม หน่วยเสยี ง ศ ษ ซ่งึ หนว่ ยเสยี งพยัญชนะทั้งสองภาษาน้ีแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ พยัญชนะวรรค และ พยัญชนะเศษวรรค วิธสี งั เกตคำ� บาลี 1. สงั เกตจากพยญั ชนะตวั สะกดและตัวตาม ตัวสะกด คือ พยัญชนะที่ประกอบอยู่ข้างท้ายสระประสมกับสระและพยัญชนะต้น เช่น ทุกข์ = ตวั สะกด ตวั ตาม คอื ตวั ท่ตี ามหลังตัวสะกด เช่น สัตย สัจจ ทกุ ข เป็นต้น คำ� ในภาษาบาลี จะต้อง มีสะกดและตวั ตามเสมอ โดยดูจากพยญั ชนะบาลี มี 33 ตวั แบ่งออกเป็นวรรคดงั นี้ แถวที่ 123 4 5 วรรค กะ กขค ฆ ง วรรค จะ จฉช ฌ ญ วรรค ฏะ ฏฐ ฑ ฒ ณ วรรค ตะ ตถท ธ น วรรค ปะ ปผพ ถ ม เศษวรรค ย ร ล ว ส ห ฬ อัง

รายวชิ า หลกั ภาษาไทย พท 33002 ม.ปลาย 33 มหี ลกั สงั เกตดังน้ี ก. พยัญชนะตัวท่ี 1 , 3 , 5 เปน็ ตัวสะกดไดเ้ ท่านน้ั (ต้องอยใู่ นวรรคเดยี วกัน) ข. ถ้าพยญั ชนะตวั ที่ 1 สะกด ตวั ที่ 1 หรอื ตัวที่ 2 เป็นตวั ตามได้ เชน่ สักกะ ทกุ ข สัจจ ปจั ฉมิ สัตต หัตถ บปุ ผา ค. ถา้ พยัญชนะตัวที่ 3 สะกด ตวั ที่ 3 หรอื 4 เป็นตัวตามได้ในวรรคเดียวกนั เช่น อคั คี พยัคฆ์ วชิ ชา อชั ฌา พทุ ธ คพภ (ครรภ์) ง. ถ้าพยัญชนะตัวที่ 5 สะกด ทกุ ตัวในวรรคเดียวกนั ตามได้ เช่น องค์ สงั ข์ องค์ สงฆ์ สัมปทาน สัมผัส สัมพนั ธ์ สมภาร เปน็ ต้น จ. พยัญชนะบาลี ตัวสะกดตวั ตามจะอย่ใู นวรรคเดียวกันเท่านนั้ จะข้ามไปวรรคอื่นไม่ได้ 2. สังเกตจากพยัญชนะ “ฬ” จะมใี ชใ้ นภาษาบาลใี นไทยเท่านนั้ เช่น จฬุ า ครุฬ อาสาฬห์ วิฬาร์ โอฬาร์ พาฬ เปน็ ต้น 3. สังเกตจากตัวตามในภาษาบาลี จะมาเปน็ ตวั สะกดในภาษาไทยโดยเฉพาะวรรค ฎ และวรรค อ่ืน ๆ บางตัว จะตัดตวั สะกดออกเหลอื แตต่ ัวตามเม่ือน�ำมาใช้ในภาษาไทย เชน่ บาลี ไทย บาล ี ไทย รัฎฐ รัฐ อัฎฐิ อฐั ิ ทฎิ ฐิ ทิฐิ วัฑฒนะ วัฒนะ ปญุ ญ บญุ วชิ ชา วชิ า สตั ต สัต เวชช เวช กิจจ กจิ เขตต เขต นสิ สติ นิสิต นสิ สัย นิสยั ยกเว้นค�ำโบราณที่น�ำมาใช้แล้วไม่ตัดรูปค�ำซ้�ำออก เช่น ศัพท์ทางศาสนา ได้แก่ วิปัสสนา จิตต วิสทุ ธิ์ กจิ จะลักษณะ เปน็ ต้น วิธีสังเกตค�ำสันสกฤต มีดังน้ี 1. พยัญชนะสันกฤต มี 35 ตวั คอื พยัญชนะบาลี 33 ตัว + 2 ตัว คอื ศ, ษ ฉะนน้ั จึงสงั เกตจาก ตัว ศ, ษ มักจะเปน็ ภาษาสันสกฤต เชน่ กษัตริย์ ศึกษา เกษยี ร พฤกษ์ ศีรษะ เป็นต้น ยกเวน้ ค�ำไทยบาง ค�ำทใี่ ชเ้ ขยี นด้วยพยัญชนะทง้ั 2 ตัวน้ี เชน่ ศอก ศกึ ศอ เศร้า ศก ดาษ กระดาษ ฝร่งั เศส ฝีดาษ ฯลฯ 2. ไม่มีหลกั การสะกดแน่นอน ภาษาสันสกฤต ตัวสะกดตัวตามจะอยูข่ า้ มวรรคกนั ได้ ไมก่ �ำหนด ตายตัว เช่น อปั สร เกษตร ปรัชญา อักษร เป็นต้น 3. สังเกตจากสระ สระในภาษาบาลี มี 8 ตวั คอื อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ สว่ นสนั สกฤต คอื สระ ภาษาบาลี 8 ตัว + เพิ่มอกี 6 ตัว คอื สระ ฤ ฤา ภ ภา ไอ เอา ถา้ มสี ระเหลา่ น้อี ยู่และสะกดไมต่ รงตาม มาตราจะเปน็ ภาษาสนั สกฤต เชน่ ตฤณมัย ไอศวรรย์ เสาร์ ไปรษณีย์ ฤาษี คฤหาสน์ เปน็ ต้น 4. สงั เกตจากพยัญชนะควบกล�ำ้ ภาษาสนั สกฤตมักจะมีคำ� ควบกล้ำ� ข้างทา้ ย เชน่ จกั ร อัคร บตุ ร สตรี ศาสตร์ อาทติ ย์ จันทร์ เปน็ ต้น

34 รายวิชา หลักภาษาไทย พท 33002 ม.ปลาย 5. สงั เกตจากค�ำทีม่ คี �ำว่า “เคราะห”์ มกั จะเปน็ ภาษาสันสกฤต เช่น เคราะห์ พิเคราะห์ สังเคราะห์ อนุเคราะห์ เปน็ ต้น 6. สังเกตจากคำ� ท่มี ี “ฑ” อยู่ เชน่ จุฑา กรีฑา ครุฑ มณเทียร จณั ฑาล เปน็ ตน้ 7. สังเกตจากค�ำทีม่ ี “รร” อยู่ เชน่ สรรค์ ธรรม์ วรรณ บรรพต ภรรยา บรรณารักษ์ มรรยาท กรรม ทรรศนะ สรรพ เป็นตน้ ลักษณะการยืมคำ� ภาษาบาลีและสนั สกฤต ภาษาบาลแี ละสนั สกฤตเปน็ ภาษาตระกลู เดยี วกนั ลกั ษณะภาษาและโครงสรา้ งอยา่ งเดยี วกนั ไทย เรารบั ภาษา ท้งั สองมาใช้ พจิ ารณาไดด้ ังน้ี 1. ถ้าคำ� ภาษาบาลีและสันสกฤตรูปร่างตา่ งกัน เมอื่ ออกเสียงเปน็ ภาษาไทยแล้วไดเ้ สียงเสยี งตรง กนั เรามกั เลอื กใชร้ ปู คำ� สนั สกฤต เพราะภาษาสนั สกฤตเขา้ มาสภู่ าษาไทยกอ่ นภาษาบาลี เราจงึ คนุ้ กวา่ เชน่ บาลี สันสกฤต ไทย กมฺม กรฺม กรรม จกฺก จกฺร จกั ร 2. ถ้าเสยี งตา่ งกันเลก็ น้อยแต่ออกเสียงสะดวกท้งั สองภาษา มักเลอื กใชร้ ปู ภาษาสนั สกฤตมากกว่าภาษา บาลี เพราะเราคุ้นกวา่ และเสียงไพเราะกว่า เชน่ บาลี สันสกฤต ไทย ครุฬ ครฑุ ครฑุ โสตถฺ ิ สฺวสตฺ ิ สวสั ดี 3. คำ� ใดรปู สันสกฤตออกเสยี งยาก ภาษาบาลีออกเสียงสะดวกกวา่ จะเลือกใชภ้ าษาบาลี เชน่ บาล ี สันสกฤต ไทย ขนตฺ ิ กฺษานตฺ ิ ขนั ติ ปจฺจย ปรฺ ตยฺ ปัจจัย 4. รปู คำ� ภาษาบาลสี นั สกฤตออกเสยี งตา่ งกนั เลก็ นอ้ ยแตอ่ อกเสยี งสะดวกทงั้ คบู่ างทเี รานำ� มาใชท้ ง้ั สองรปู ในความหมายเดยี วกัน เช่น บาลี สนั สกฤต ไทย กณฺหา กฤฺ ษณฺ า กัณหา,กฤษณา ขตฺติย กษฺ ตฺรยิ ขตั ติยะ,กษตั ริย์ 5. ค�ำภาษาบาลีสนั สกฤตท่อี อกเสียงสะดวกทั้งคู่ บางทเี รายืมมาใช้ทั้งสองรูป แตน่ ำ� มาใช้ในความ หมายที่ตา่ งกัน เช่น บาล ี สนั สกฤต ไทย ความหมาย กริ ิยา กฺริยา กิรยิ า อาการของคน กรยิ า ชนดิ ของคำ� โทส เทวฺ ษ โทสะ ความโกรธ เทวษ ความเศรา้ โศก

รายวิชา หลักภาษาไทย พท 33002 ม.ปลาย 35 ค�ำภาษาบาลีและสนั สกฤตในวรรณคดไี ทย ค�ำภาษาบาลีและสันสกฤตปรากฏในวรรณคดีไทยต้ังแต่สมัยสุโขทัยจนกระทั่งในสมัย ปัจจุบันท้ัง ทเ่ี ปน็ รอ้ ยแกว้ และรอ้ ยกรอง คอื พบตง้ั แตใ่ นศลิ าจารกึ สมยั พอ่ ขนุ รามคำ� แหงแมจ้ ะมไี มม่ ากนกั แตก่ เ็ ปน็ หลกั ฐานยืนยันได้ว่า ในสมัยสโุ ขทัยนนั้ ไทยได้นำ� ภาษาบาลแี ละสนั สกฤตมาใชใ้ นภาษาไทยของเราแลว้ และใน สมยั ต่อมาก็ปรากฏวา่ นิยมใช้คำ� ภาษาบาลแี ละสันสกฤตในการแตง่ วรรณคดีมากขึ้น ภาษาเขมร เปน็ หนง่ึ ในภาษาหลกั ของภาษากลมุ่ ออสโตรเอเซยี ตกิ และไดร้ บั อทิ ธพิ ลมาจากภาษา สนั สกฤต และภาษาบาลี พอสมควร ซึ่งอิทธิพลเหล่าน้ี มาจากอทิ ธพิ ลของศาสนาพุทธ และศาสนาฮินดู ตอ่ วัฒนธรรมของชาวเขมร ในขณะทีอ่ ิทธิพลอ่ืนๆ เชน่ จากภาษาไทย และภาษาลาว เปน็ ผลมาจากการ ติดต่อกันทางด้านภาษา และความใกล้ชิดกันในทางภมู ศิ าสตร์ ภาษาเขมรแปลกไปจากภาษาในประเทศเพอ่ื นบ้าน (ภาษาไทย ภาษาลาว และภาษาเวียดนาม) เนอื่ งจากไมม่ ีเสยี งวรรณยุกต์ ภาษาถ่ิน ภาษาถ่ินมีการแสดงอย่างชัดเจนในบางกรณี มีข้อแตกต่างที่สังเกตเห็นได้ระหว่างคน พดู จากเมืองพนมเปญ (เมืองหลวง)และเมอื งพระตะบองในชนบท ลกั ษณะของส�ำเนยี งในพนมเปญ คอื การออกเสยี งอยา่ งไม่เครง่ ครดั โดยทบี่ างสว่ นของค�ำจะน�ำมา รวมกนั หรอื ตดั ออกไปเลย เชน่ “พนมเปญ” จะกลายเปน็ “มเปญ” อกี ลกั ษณะหนงึ่ ของสำ� เนยี งในพนมเปญ ปรากฏในคำ� ทม่ี เี สยี ง r/ร เปน็ พยญั ชนะท่ี 2 ในพยางคแ์ รก กลา่ วคอื จะไมอ่ อกเสยี ง r/ร ออกเสยี งพยญั ชนะ ตวั แรกแขง็ ขนึ้ และจะอา่ นใหม้ รี ะดบั เสยี งตก เชน่ เดยี วกบั วรรณยกุ ตเ์ สยี งโท ตวั อยา่ งเชน่ “dreey” (“เตรย” แปลว่า “ปลา”) อ่านเปน็ “เถย็ ” (โดย d จะกลายเป็น t และมีสระคล้านเสยี ง “เอ” และเสียงสระจะสูงขึ้น) อกี ตวั อย่างหนง่ึ คอื คำ� วา่ “สม้ ” ออกเสียงว่า kroich โกรชในชนบท สว่ นในเมอื งออกเสียงเปน็ koich-โคช ไวยากรณ์ ลำ� ดบั คำ� ในภาษาเขมรมกั จะเปน็ ประธาน-กรยิ า-กรรม ภาษาเขมรประกอบดว้ ยคำ� เดยี่ วเปน็ หลกั แต่การสรา้ งค�ำจากการเติมหน้าค�ำและการเตมิ ภายในคำ� กม็ ีมาก อกั ษรเขยี น ภาษาเขมรเขยี นดว้ ยอกั ษรเขมร และเลขเขมร (มีลักษณะคล้ายเลขไทย) ใช้กันทวั่ ไปมากกวา่ เลข อารบิก ชาวเขมรได้รับตัวอกั ษรและตัวเลขจากอินเดียฝา่ ยใต้ อักษรเขมรนน้ั มีด้วยกนั 2 แบบ ดงั นี้ 1. อักษรเชรียง (อักซอเจรยี ง) หรอื อักษรเอน หรืออักษรเฉยี ง เปน็ ตวั อกั ษรทนี่ ยิ มใชท้ ่วั ไป 2. เดมิ นนั้ นยิ มเขียนเปน็ เสน้ เอียง แต่ภายหลังเมื่อมรี ะบบการพิมพ์ ไดป้ ระดษิ ฐอ์ ักษรแบบ เสน้ ตรงขึน้ และมีช่ืออกี อยา่ งวา่ อกั ษรยนื (อักซอโฌ) อักษรเอนนเี้ ปน็ ตัวยาว มีเหล่ียม เขยี นง่าย ถอื ได้วา่ เป็นอักษรแบบหวดั 3. อกั ษรมลู หรอื อกั ษรกลม เปน็ อกั ษรที่ใช้เขียนบรรจง ตวั กวา้ งกว่าอักษรเชรยี ง นิยมใช้เขยี น หนงั สือธรรม เชน่ คัมภีรใ์ นพระพทุ ธศาสนา หรือการเขียนหวั ขอ้ ทีต่ อ้ งการความโดดเดน่ หรอื การจารึกในท่ีสาธารณะ

36 รายวิชา หลักภาษาไทย พท 33002 ม.ปลาย การสงั เกตค�ำภาษาเขมรมีวธิ ีการดังนี้ - คำ� ไทยท่มี าจากภาษาเขมรมกั ใช้พยญั ชนะ จ ญ ร ล สะกด เชน่ เผด็จ สมเด็จ เดิร (เดิน) ถวิล ชาญ - ค�ำไทยที่มาจากภาษาเขมรมกั เปน็ ค�ำควบกล้�ำและเปน็ คำ� มากพยางค์เชน่ ขลาด โขมด โขนง เสวย ไถง กระบือ - คำ� ไทยทมี่ าจากภาษาเขมรมกั ใช้ บงั บนั บ�ำ แทน บ เชน่ บัง บงั คบั บงั คม บังเหียน บงั เกดิ บังคล บงั อาจ บนั บันได บันโดย บันเดิน บนั ดาล บนั ลอื บำ� บ�ำเพญ็ บำ� บดั บ�ำเหนจ็ บ�ำบวง - ค�ำไทยท่ีมาจากภาษาเขมรโดยวิแผลงคำ� มีหลายพวก - ข แผลงเป็น กระ เช่น ขดาน เปน็ กระดาน ขจอก เป็น กระจอก - ผ แผลงเป็น ประ ผสม - ประสม ผจญ - ประจญ - ประ แผลงเปน็ บรร ประทม เปน็ บรรทม ประจุ - บรรจุ ประจง - บรรจง - คำ� ไทยที่มาจากภาษาเขมรทเี่ ป็นคำ� โดด เชน่ แข โลด เดิน นกั อวย ศก เลิก คำ� ที่มาจากภาษาอ่นื ในภาษาไทยมกี ารขอยมื ค�ำจากภาษาอน่ื ๆ มากมาย เชน่ ภาษาบาลี ภาษาสมั นสกฤต ภาษาเขมร เป็นต้น คำ� ทม่ี าจากภาษาอนื่ เหลา่ น้ี จะมหี ลกั ในการสงั เกตแตกตา่ งกนั ท�ำใหเ้ ราสามารถทราบไดว้ า่ ค�ำเหลา่ น้ีมาจากภาษาใด 1. ค�ำท่ีมาจากภาษาบาลี ตัวอย่างค�ำ พทุ ธ ปัญญา มัจฉา บุปผา อคั คี จุฬา หทัย ทกุ ข์ บาป ราโชวาท มุทติ า ดาบส ชาตะ คฤหสั ถ์ ขอ้ สงั เกต 1) ทั้งตวั สะกดตรงตามมาตรา และไมต่ รงตามมาตรา 2) มอี กั ษรการันต์ 3) ไมม่ วี รรณยุกต์ และไมใ่ ชไ้ ม้ไตค่ ู้ 4) มกั ประสมด้วยพยัญชนะ ฆ ฌ ญ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ ธ ภ ฤ ศ ษ 2. คำ� ท่มี าจากภาษาสันสกฤต ตวั อย่างค�ำ เกษตร สตรี กรีฑา ครุฑ ปรชั ญา ธรรม ภรรยา ราตรี ฤดี ฤทยั ราเชนทร์ กัลบก ไพศาล บาป ขอ้ สงั เกต 1) ทั้งตัวสะกดตรงตามมาตรา และไม่ตรงตามมาตรา 2) มีอักษรการันต์ 3) ไมม่ วี รรณยุกต์ และไม่ใชไ้ ม้ไตค่ ู้ 4) มักประสมด้วยพยัญชนะ ฆ ฌ ญ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ ธ ภ ฤ ศ ษ

รายวิชา หลกั ภาษาไทย พท 33002 ม.ปลาย 37 3. มาจากภาษาเขมร ตวั อย่างคำ� ฉกาจ เขญ็ จำ� เนยี ร กงั วล เพญ็ เสด็จ เจริญ ขจร ทูล ขอ้ สงั เกต สะกดด้วย จ ญ ร ล ตวั อยา่ งคำ� ขลงั โขน ฉลอง เสวย เขนย เฉลย ขอ้ สังเกต มักใชค้ ำ� ควบกลำ�้ และคำ� ทีใ่ ชอ้ ักษรนำ� ตวั อย่างคำ� ก�ำจร ตำ� รวจ กำ� เนดิ ด�ำริ บงั คม จ�ำเรญิ ชำ� นรร ขอ้ สงั เกต คำ� 2 พยางค์ มักขน้ึ ตน้ ด้วยค�ำวา่ ก�ำ จำ� ชำ� ด�ำ ต�ำ ท�ำ บงั 4. มาจากภาษาชวา ตวั อยา่ งค�ำ กรชิ (มีดปลายแหลมมี 2 คม), กิดาหยัน (มหาดเล็ก), บุหงา (ดอกไม้), ปัน้ เหน่ง (เขม็ ขดั ), มะงมุ มะงาหรา (เที่ยวป่า) ข้อสงั เกต มกั จะเปน็ คำ� ที่มเี สยี งจัตวา 5. คำ� ท่ีมาจากภาษาจีน ไทยกับจีนมีความสัมพันธ์กันมาเเต่โบราณกาล ในสมัยสุโขทัยได้มีการท�ำสัญญาทางไมตรีกัน ระหว่างไทยกบั จนี ภาษาไทย และภาษาจนี จัดอยู่ในตระกลู ภาษาคำ� โดด ทัง้ สองภาษามเี สยี งสงู ๆ ต่�ำ ๆ เหมอื นเสียงดนตรี จึงได้ชือ่ ว่าเป็นภาษาดนตรี ค�ำที่มาจากภาษาจนี มลี ักษณะ ดังนี้ - มกั เปน็ คำ� พยางคเ์ ดยี ว - มรี ปู วรรณยุกต์เเละเสียงวรรณยุกต์ เพือ่ ใหเ้ กดิ ความหมาย ตัวอยา่ ง ค�ำท่มี าจากภาษาจีน คำ� นาม ก๊ก (หมเู่ หล่า) ก๋ง (ป่)ู ขิม (เคร่ืองดนตรชี นดิ หนงึ่ ) เซยี น (ผู้วเิ ศษ) ตงั เก (เรอื ) โสหุ้ย (ค่าใชจ้ ่าย) ซ้อ (สะใภ)้ อั้งโล่ (เตา) ฮอ่ งเต้ (กษตั ริย์) คำ� กรยิ า เก๊ก (วางท่า) เขียม (ประหยดั ) เจ๊า (เลกิ กันไป) แฉ (เปิดเผยให้ร้)ู ทซู่ ี้ (ทนท�ำต่อไป) เซง็ ล้ี (ขายตอ่ ) แฉ (เปดิ เผยใหร้ )ู้ เซง๊ (ขาย) ตอื้ (พยายาม) ตนุ (เกบ็ ไว)้ ตนุ๋ (ทำ� อาหารใหเ้ ปอ่ื ย) ตัวอย่าง ประโยคทใ่ี ชค้ ำ� ทมี่ าจากภาษาจีน กง ชอบฟงั หลานตี ขิม เวลานง่ั ดื่มน้ำ� เก๊กฮวย เธอเปน็ คน เขยี ม จึงไมช่ อบจัดงานเลี้ยงท่ตี ้องจ่ายคา่ โสหุย้ มาก ทินกรถกู เพือ่ น ตือ้ ให้ไปเท่ยี วทะเลด้วยกนั คนท่ี เกก๊ มาก ๆ มกั จะไมม่ เี พ่อื น

38 รายวชิ า หลักภาษาไทย พท 33002 ม.ปลาย แบบทดสอบท้ายบทท่ี 4 ค�ำส่งั จงตอบค�ำถามตอ่ ไปนี้ใหถ้ ูกต้อง 1. ข้อใดเปน็ คำ� ไทยแท้ทกุ คำ� ก. รู้กินเพมิ่ พลังงาน รอู้ ่านเพ่มิ ก�ำลงั ปัญญา ข. น�ำ้ มันขาดแคลน คยุ กบั แฟนกต็ อ้ งดับไฟ ค. รกั บา้ นตอ้ งลอ้ มร้ัว รกั ครอบครัวต้องล้อมรกั ง. ภาษาบอกความเปน็ ชาติ เอกราชบอกความเป็นไทย 2. ขอ้ ใดไม่มีค�ำท่มี าจากภาษาเขมร ก. โปรดเออื้ เฟ้ือแก่เด็กและคนชรา ข. เราจะไปรับหลานสาวทส่ี ถานีบางซ่อื ค. นวนิยายเรื่องนด้ี ำ� เนนิ เรอ่ื งได้กระชบั ดี ง. เขาเป็นคนเจ้าส�ำราญมาตั้งแต่ยงั หนุม่ 3. ข้อใดไมม่ ีค�ำทีม่ าจากภาษาบาลีหรือภาษาสนั สกฤต ก. เราต้องใชภ้ าษาไทยให้ถูกตอ้ ง ข. อย่าเลีย้ งลูกให้เป็นเทวดา ค. ช่ือของเขาอยู่ในท�ำเนยี บรุน่ ง. ภรรยาของเขาทำ� งานอยู่ทีน่ ี่ 4. ข้อใดมคี ำ� ท่ีมาจากภาษาตา่ งประเทศมากทส่ี ุด ก. จงเจรญิ ชเยศดว้ ย เดชะ ข. ปราชญ์แสดงด�ำรดิ ว้ ย ไตรยางศ์ ค. อา้ จอมจักรพรรดิผู้ เพญ็ ยศ ง. บณั ฑิตวนิ จิ เลิศ แถลงสาร 5. คำ� ประพนั ธต์ อ่ ไปนคี้ ำ� ยมื มาจากภาษาต่างประเทศรวมก่ีค�ำ “บ�ำรงุ บิดามา ตรุ ะด้วยหทยั ปรีย์ หากลกู และเมยี มี ก็ถนอมประหนงึ่ ตน” ก. 5 คำ� ข. 6 คำ� ค. 7 ค�ำ ง. 8 ค�ำ

รายวิชา หลักภาษาไทย พท 33002 ม.ปลาย 39 บรรณานุกรม กรมวชิ าการ, กระทรวงศึกษาธกิ าร คมู่ ือและหนังสือเรียนชุด หลักภาษาไทย. 14 : A beginning Course For Thai Students. กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์ครุ ุสภา. 2523. สำ�นักงานส่งเสรมิ การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั . หลักสตู รการศึกษานอกระบบ ระดับการศกึ ษาข้นั พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551. กรุงเทพฯ : รังสกี ารพมิ พ์. 2553. สำ�นักงานสง่ เสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย. หนังสือเรียนสาระความร้พู ้นื ฐาน วิชาไทยในชวี ติ ประจำ�วนั พต21001 ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนตน้ . 2554 อัญชลี เสรมิ สง่ สวัสด์ิ, ดร.วไิ ลลกั ษณ์ สาหรา่ ยทอง. หลกั ภาษาไทยสำ�หรับพนักงานขายของท่รี ะลกึ . การทอ่ งเทีย่ วแหง่ ประเทศไทย. 2546

40 รายวชิ า หลกั ภาษาไทย พท 33002 ม.ปลาย ท่ีปรกึ ษา คณะผ้จู ัดท�ำ นางสาวนพกนก บุรุษนนั ทน ์ นายชาญยุทธ ไชยะดา ผู้อ�ำนวยการส�ำนกั งาน กศน.จังหวดั มหาสารคาม นายอวิรทุ ธิ์ ภกั ดสี ุวรรณ ผู้อำ� นวยการ กศน.อำ� เภอกนั ทรวชิ ัย นายพิทักษ์ ศรีสภุ ักดิ ์ ผูอ้ �ำนวยการ กศน.อำ� เภอวาปีปทมุ นายกริชพฒั น์ ภวู นา ผู้อำ� นวยการ กศน.อำ� เภอเชยี งยืน นายสถติ ย์ แทน่ ทอง ผูอ้ �ำนวยการ กศน.อ�ำเภอบรบอื นางรตั นา ปะกคิ ะเน ผ้อู ำ� นวยการ กศน.อ�ำเภอพยัคฆภูมิพิสยั นายสายณั ห์ ถมหนวด ผู้อ�ำนวยการ กศน.อำ� เภอโกสุมพสิ ัย นางดุษฎี ดวงจำ� ปา ผ้อู ำ� นวยการ กศน.อำ� เภอชืน่ ชม นายศุภชยั วนั นติ ย ์ ผอู้ ำ� นวยการ กศน.อำ� เภอกดุ รัง นางบุญญรตั น์ พงษ์สมชาติ ผู้อำ� นวยการ กศน.อำ� เภอเมือง นางเทพี ภคู ะมา ผ้อู �ำนวยการ กศน.อำ� เภอนาเชือก นางวิมลรตั น์ จันทร์ยาง ผูอ้ ำ� นวยการ กศน.อ�ำเภอนาดนู นายคมสัน สารแสน ผอู้ ำ� นวยการ กศน.อ�ำเภอยางสีสุราช นายธนารักษ์ อุตรนิ ทร ์ ผูอ้ ำ� นวยการ กศน.อำ� เภอแกดำ� ขอ้ มลู /เรียบเรียง ครชู ำ� นาญการพเิ ศษ นางพรพมิ ล เอือ้ พิรพยะกลุ ครูช�ำนาญการ นางสาวสวุ ารี บรรณประสทิ ธ์ิ ครผู ู้ชว่ ย นายสทิ ธิศกั ดิ์ นามแสงผา ครูอาสาสมคั รฯ กศน.อำ� เภอกนั ทรวิชัย นางอจั ฉรีย์ เทยี งภักดิ์ ครู กศน.ต�ำบล นายวริ ตั น์ ปรุ ิเกษ ครู กศน.ต�ำบล นางสาวอนงคร์ ัก จันทะเขยี ง ครู กศน.ตำ� บล นางภัทรดา ธนสู า ครู กศน.ต�ำบล นางอมรรตั น์ สรุ ินทร ์ ครู กศน.ต�ำบล นายไพฑูรย์ วงศ์แสน ครู กศน.ตำ� บล นายนคร ชา่ งยันต์ ครู กศน.ต�ำบล นางศวิ พร คำ� มุลคร ครู กศน.ต�ำบล นางสาวสยุมพร ไตรเสนยี ์ ครู กศน.ตำ� บล

รายวิชา หลักภาษาไทย พท 33002 ม.ปลาย 41 บรรณาธิการ ผู้อำ� นวยการ กศน.อำ� เภอวาปปี ทมุ นายอวิรทุ ธ์ิ ภกั ดีสวุ รรณ ผู้อำ� นวยการ กศน.อ�ำเภอเมือง นายศภุ ชัย วันนติ ย ์ ผู้อำ� นวยการ กศน.อำ� เภอยางสีสุราช นางวิมลรัตน์ จันทร์ยาง ครอู าสาสมคั การศกึ ษานอกโรงเรียน นางสาวศศธิ ร บญุ หลา้ ครอู าสาสมัคการศึกษานอกโรงเรยี น นายธนาคร ภูดนิ ดาล ครูช�ำนาญการพิเศษ นายธนารกั ษ์ อตุ รนิ ทร์

42 รายวชิ า หลักภาษาไทย พท 33002 ม.ปลาย บันทกึ _____________________________________________________________________________________ _____________________________________________________________________________________ _____________________________________________________________________________________ _____________________________________________________________________________________ _____________________________________________________________________________________ _____________________________________________________________________________________ _____________________________________________________________________________________ _____________________________________________________________________________________ _____________________________________________________________________________________ _____________________________________________________________________________________ _____________________________________________________________________________________ _____________________________________________________________________________________ _____________________________________________________________________________________ _____________________________________________________________________________________ _____________________________________________________________________________________ _____________________________________________________________________________________ _____________________________________________________________________________________ _____________________________________________________________________________________ _____________________________________________________________________________________ _____________________________________________________________________________________ _____________________________________________________________________________________ _____________________________________________________________________________________ _____________________________________________________________________________________ _____________________________________________________________________________________ _____________________________________________________________________________________ _____________________________________________________________________________________ _____________________________________________________________________________________


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook