Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 20000-1102

20000-1102

Published by jidapha20217, 2020-08-20 00:23:42

Description: 20000-1102

Search

Read the Text Version

ใบความรู้ วชิ าภาษาไทยเพ่ืออาชพี (Thai for Careers) รหัสวิชา ๒๐๐๐๐-๑๑๐๒ รายวิชาภาษาไทยเพ่อื อาชีพ จานวน ๑ หนว่ ยกติ ๐–๒–๑ จุดประสงค์รายวชิ า เพอ่ื ให้ 1. มีทักษะในการใช้ภาษาไทยเพอ่ื ส่ือสารในงานอาชีพถกู ตองตามหลกั การใชภ้ าษา 2. สามารถนาทักษะทางภาษาไทยไปใช้พัฒนาตนเองและงานอาชีพ 3. เหน็ คุณค่าและความสาคัญของการใชภ้ าษาไทยในงานอาชีพ สมรรถนะรายวิชา 1. วเิ คราะห์สงเคราะห์และประเมินคา่ สารในงานอาชพี จากการฟงั การดแู ละการอ่านตามหลักการ 2. พูดส่อื สารในงานอาชพี ตามหลักการ 3. เขียนเอกสารในงานอาชพี ตามหลักการ คาอธบิ ายรายวิชา ปฏบิ ตั เิ กีย่ วกบั การฟงั คาส่งั หรอื ขอแนะนาการปฏิบัติงาน การฟังและดสู ารในงานอาชพี จากส่อื บุคคล สอื่ ส่ิงพมิ พส์ ่ืออิเล็กทรอนิกสแ์ ละแหล่งเรียนรูใ้ นชมุ ชน การอ่านค่มู อื การปฏบิ ตั ิงาน คมู่ อื การใช้อุปกรณห์ รอื รายละเอียดของผลิตภัณฑ์ การนาเสนอผลงาน การสาธิตข้นตอนการปฏิบัติงานหรือกระบวนการผลิตช้ินงานการ สมั ภาษณ์งาน การพูดตดิ ต่อสือ่ สารงาน การเขยี นรายงานการปฏบิ ตั ิงาน การเขียนโครงการและแผนธุรกจิ และการ เขียนโฆษณาประชาสมพันธ์ในงานอาชีพ

เร่อื ง การใช้ภาษาไทยในงานอาชีพ 1. สาระสาคญั ภาษาเป็นเคร่ืองมือสาหรับใช้ติดต่อสื่อสารในทุกสาขาอาชีพเป็นเคร่ืองมือในการพัฒนางานอาชีพให้มี ความก้าวหน้าและทันสมัยและเป็นเคร่ืองมือในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ที่ดีของคนในองค์กร ฉะนั้นจึงควรใช้ ภาษาไทยอย่างถูกวิธี 2. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ จดุ ประสงคท์ ่วั ไป 1) เพื่อให้มีความรู้เบ้ืองตน้ เกย่ี วกับการใช้ภาษาไทยในงานอาชพี 2) เพอื่ ใหม้ ีความเขา้ ใจกระบวนการสอื่ สารโดยการการใชภ้ าษาไทย จุดประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม/บูรณาการเศรษฐกจิ พอเพียง 1) พทุ ธพิ ิสัย 1. บอกความหมายของภาษาได้ 2. อธิบายความสาคัญของการใช้ภาษาไทยได้ 3. อธิบายการใชภ้ าษาไทยเพี่อประโยชน์ในงานอาชีพได้ 2) ทักษะพิสยั 1. สื่อสารได้โดยความเข้าใจในกระบวนการส่ือสาร 2. สอ่ื สารโดยใช้ภาษาไทยในงานอาชีพไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง 3. สอื่ สารโดยใช้ภาษาไทยอย่างมศี ลิ ปะในงานอาชพี 3) จติ พิสยั 1. เตรียมพร้อมอยเู่ สมอเมอื่ มโี อกาสฝึกการสอ่ื สารในงานอาชพี 2. หม่นั ฝกึ ปฏบิ ตั ิการสอื่ สารเม่อื มโี อกาสอย่างสม่าเสมอ 3. สมรรถนะประจาหน่วย สามารถใชภ้ าษาไทยในงานอาชพี ตามเง่อื นไขทกี่ าหนด 4. สาระการเรียนรู้ ความหมายของภาษา ภาษา คือ เคร่อื งหมายหรือสัญลกั ษณท์ ี่มนษุ ยค์ ดิ คน้ ขน้ึ เพอ่ื ใช้เป็นเครอื่ งมือในการติดต่อสอื่ สารซงึ่ กนั และกัน ทุกชาตทิ กุ ภาษายอ่ มมกี ารคดิ ค้นภาษาข้นึ ใชใ้ นหมชู่ นของตนเองเพอ่ื ประโยชนใ์ นการสือ่ สารและ ประโยชน์ดา้ นอน่ื ๆ อนั เปน็ ผลมาจากภาษา ความสาคัญของภาษาไทย 1.ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ของชนชาติไทย มลี กั ษณะเดน่ ดังน้ี -ภาษาไทยเปน็ ภาษาคาโดด เช่น คาเรียกคน สัตว์ ส่งิ ของ คาเรยี กเครือญาติ มกั เปน็ คา ๆ เดียวโดด ๆ จงึ เรียกว่า “ภาษาคาโดด”

-ภาษาไทยเป็นภาษาทีม่ คี วามลดหลัน่ ชัน้ เชิง เช่น การใช้คาเรียกทม่ี ีการแบง่ แยกตามระดบั อาวโุ ส ความสาคัญ หรอื ตามตาแหน่ง -ภาษาไทยมรี ะบบระเบยี บในการเรียงคาเขา้ ประโยค ในประโยคจะประกอบไปด้วยกลมุ่ คาทาหนา้ ทต่ี รง ตามท่ีกาหนดไว้ เชน่ ประธาน กริยา กรรม 2.ภาษาเป็นเครอ่ื งมือสื่อสารของคนในสงั คม ดงั น้ี -การประชาสมั พนั ธ์ในการจดั งานต่าง ๆ เชน่ โครงการพัฒนาทตี่ อ้ งอาศยั ความร่วมแรงรว่ มใจกัน ซ่งึ ตอ้ งอาศัยการสือ่ สารแบบประชาสัมพนั ธ์ -การตดิ ตอ่ ส่อื สารในชีวิตประจาวนั คนสว่ นใหญต่ ้องมีการติดตอ่ กจิ ธรุ ะต่อกันเป็นกจิ วตั ร โดยใช้ภาษา สื่อสารกัน -การช้แี จงกฎระเบียบข้อบังคับตา่ ง ๆ ใหแ้ กค่ นในสังคม -การปรึกษาหารือในการแกไ้ ขปญั หา โดยอาศยั ความรว่ มมอื ซึ่งกนั และกนั 3.ภาษาเปน็ เครอื่ งมอื ในการเผยแพร่วิชาความรู้ เชน่ -การเรียนการสอนในสถานศกึ ษาท่วั ไป -การรวบรวมจัดเก็บข้อมลู อยา่ งเปน็ ระบบ -การประชาสัมพันธ์ใหค้ วามรแู้ ก่ชุมชน การใช้ภาษาไทยเพ่ือประโยชนใ์ นงานอาชพี การใชภ้ าษาไทยเพือ่ ประโยชนใ์ นงานอาชีพผ้ใู ช้ภาษาจะตอ้ งคานงึ ถึงองคป์ ระกอบหลาย ๆ อย่างทจี่ ะทา ใหเ้ กดิ ผลสาเร็จในงานอาชพี โดยคานงึ ถงึ ส่งิ ตอ่ ไปนี้ 1.ความถกู ต้องในการใช้ภาษา -การอา่ นเครอื่ งหมายตา่ ง ๆ -การอ่านตัวเลขต่าง ๆ -การเขยี นศพั ท์บัญญตั ิ -การเขียนคาทบั ศัพท์

เรือ่ ง การฟังและดูสารในงานอาชีพ สาระสาคญั การฟังและการดูมีความสมั พนั ธก์ นั อยา่ งชัดเจนและเป็นทกั ษะทใี่ ชม้ ากทสี่ ดุ ในชวี ิตประจาวัน ผรู้ บั สารด้วย การฟังและดูควรใช้สติปัญญาไตร่ตรองอย่างมีวิจารณญาณเพราะอาจมีข้อมูลข่าวสารส่วนหนึ่งท่ีไม่มีการพิสูจน์ ขอ้ เท็จจรงิ ถอื เปน็ อนั ตรายอย่างยิ่งต่อการรบั สาร การฟังและการดู ก็คอื การรบั รู้ความหมายของสารโดยความสัมพันธข์ องอวัยวะรับสารจากสือ่ ประเภทที่มี เสียงหรือภาพ และท่ีมีทั้งเสยี งและภาพ ความสาคัญของการฟงั และดู ในชีวิตประจาวันของมนุษย์เรานั้นกิจกรรมที่ต้องใช้การฟังและดูมากท่ีสุดในแต่ละวัน การพัฒนา ความสามารถของมนุษย์เกิดจากการเรียนรู้ ฉะนั้น กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการฟังและดูจึงมีส่วนสร้างเสริมและ พัฒนาศักยภาพของมนษุ ยใ์ นหลาย ๆ ด้าน ดงั น้ี ด้านสตปิ ัญญา การฟงั และดมู ีส่วนชว่ ยในการพฒั นาสติปญั ญาของมนษุ ย์ ตัง้ แต่แรกเกิดและเจริญวัยขน้ึ โดยลาดบั ความรทู้ ี่ไดร้ บั จากการฟงั และดจู ะถูกเกบ็ สะสมไว้ และสามารถนามาใช้ได้ในทุกสถานการณ์ เชน่ การตอบขอ้ ซกั ถาม การตอบขอ้ สมั ภาษณ์ การอธิบาย การบรรยาย การปาฐกถา การเลา่ เรอื่ ง แมก้ ระทั่งการสนทนากันทวั่ ๆ ไปในชีวิตประจาวัน ดา้ นอารมณ์ กจิ กรรมที่เกย่ี วขอ้ งกับการฟังและดูทม่ี สี ่วนชว่ ยในพัฒนาการด้านอารมณข์ องมนุษย์ในยามทีจ่ ิตใจสบาย หรือต้องการผ่อนคลายความเครยี ด มนษุ ย์เรามวี ธิ ผี ่อนคลายความเครียดได้หลากหลายรปู แบบ หน่ึงในน้ันย่อมมี กจิ กรรมการฟงั และดูอยูด่ ้วย เชน่ ดูภาพยนตร์ ฟงั เพลง ดูคอนเสริ ต์ สารคดที ีไ่ มห่ นักสมองอยา่ งสารคดี ทอ่ งเทยี่ ว เป็นตน้ ด้านสงั คม โดยปกตแิ ลว้ กจิ กรรมทางสงั คมของมนษุ ย์ในแตล่ ะหนว่ ยงานหรอื องค์กรยอ่ มมคี วามสัมพนั ธก์ ับกจิ กรรม การฟงั และดูอยเู่ สมออย่างแยกไม่ออก ท่เี ป็นเช่นนก้ี ็เพราะว่าการฟังและดเู ปน็ ส่วนหนง่ึ ของชวี ติ ประจาวันของ มนษุ ยเ์ รานน่ั เอง ดงั น้นั ไม่ว่าหนว่ ยงานหรอื องค์กรจะจดั กิจกรรมใด ๆ ขน้ึ มาใหป้ ระสบผลสาเรจ็ บุคลากรในงาน จะตอ้ งรบั รู้รบั ทราบรว่ มกัน เริ่มต้ังแต่การเขา้ ประชุม รับฟังการประชุม ตรวจตราสถานท่จี ดั ดาเนนิ งาน และอ่ืน ๆ อกี มากมายที่จะตอ้ งใช้ความรู้และประสบการณ์ในการฟังและดู ด้านคณุ ธรรม คุณธรรมเป็นภูมคิ วามร้ขู ้ันสงู เหนือความรทู้ ั่วไปทีม่ สี ่ังสมไวเ้ ฉพาะมนุษยเ์ ทา่ นน้ั เกิดจากประสบการณ์ใน ฟังและดูในสิ่งทีก่ อ่ ใหเ้ กิดปัญญารคู้ ิดในเชิงสร้างสรรค์และนาน ๆ เข้ากพ็ ัฒนาขนึ้ กลายเปน็ คุณธรรมประจาตนของ บุคคลน้ัน ๆ อยา่ งไรก็ตาม มนุษยส์ ามารถพัฒนาตนเองในด้านคณุ ธรรมโดยอาศัยการฟงั และดู อาทิ การฟงั และ ดูรายการธรรมะ บทความหรือสารคดีในบางแงม่ ุมของชีวิตมขี อ้ คิด คาคม หรือคตคิ าสอนต่าง ๆ

จดุ มุ่งหมายของการฟงั และดู สิ่งสาคัญประการแรก ผู้ฟังสามารถกาหนดจุดมุ่งหมายในการฟังและดูสารให้สอดคล้องกับความต้องการ ของตนเอง เพราะจุดมุง่ หมายเปรียบเสมอื นเขม็ ทิศท่ีจะนาพาให้ผ้ฟู ังได้รบั ผลสมั ฤทธใ์ิ น การฟงั และดู จดุ มุ่งหมายของการฟังและดู มีดังนี้ 1.เพือ่ ความรู้ 2.เพอื่ ความเพลดิ เพลิน 3.เพื่อความจรรโลงใจ 4.เพอื่ การตดั สนิ ใจ ประเภทของส่ือในการฟังและดู จาแนกตามลกั ษณะของสอ่ื ทมี่ คี วามสัมพันธก์ ับการฟังและดู โดยไดจ้ าแนกประเภทของสื่อเปน็ 4 ประเภท คือ 1.สือ่ บคุ คล เช่น นักพูด นักวชิ าการ ผปู้ ระกาศข่าว นักปราชญ์ชมุ ชน นกั แสดง 2.ส่ือสิ่งพิมพ์ เชน่ หนงั สอื พมิ พ์ นิตยสาร วารสาร แผน่ พับ แผ่นโปสเตอร์ 3.ส่ืออิเล็กทรอนิกส์ เช่น วทิ ยุกระจายเสยี ง วทิ ยสุ ื่อสาร โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ 4.สอ่ื แหล่งเรยี นรู้ในชุมชน เช่น วดั โบราณสถาน พิพิธภัณฑ์ ศนู ยว์ ฒั นธรรม สวนพฤกษชาติ ประเภทของสารในงานอาชีพ 1.สารท่ีให้ความรู้ 2.สารท่ีใหค้ วามเพลดิ เพลนิ ใจ 3.สารทีใ่ หค้ วามจรรโลงใจ 4.สารทใี่ ห้ความโน้มนา้ วใจ หลักการฟงั และดูสารในงานอาชพี 1.เมือ่ ตอ้ งการจะทากิจกรรมในการฟงั และดู ผูฟ้ งั ควรตง้ั จดุ ประสงค์ในการฟังและดเู ปน็ อนั ดบั แรก เช่น ฟงั และดูขา่ วเกษตรกรเพราะสนใจเรอื่ งมีเทคนคิ อะไรใหม่ ๆ บา้ งในวงการเกษตร 2.ผู้ฟังควรมีวิจารณญาณในการฟังและดูในทุกกิจกรรมของการฟังและดู โดยเฉพาะการฟังและดูสารท่ี โนม้ นา้ วใจ โดยเรมิ่ ต้งั แต่การจบั ประเด็นสาคญั ของเร่ืองทไี่ ดฟ้ งั ให้ได้เสยี กอ่ น จากน้ันควรมีการแยกแยะข้อเทจ็ จริง ออกจากข้อคดิ เหน็ หรือข้อแสดงความรูส้ กึ และอารมณข์ องผู้ฟัง คานงึ ถึงผพู้ ดู วเิ คราะห์เน้ือหาสาระของสาร การ นาเสนอเปน็ ไปในทางสรา้ งสรรคห์ รือไม่ สุดทา้ ยควรประเมินค่า ความน่าเชอื่ ถอื ความเปน็ ไปได้ ความเหมาะสม ในการนาไปใช้ 3.ผฟู้ งั ควรมกี ารจดบันทกึ หรืออาจใช้เทคโนโลยีทที่ นั สมยั ช่วยในการบันทึกกไ็ ด้

เรอ่ื ง การฟังคาสง่ั และอา่ นคมู่ ือในการปฏบิ ตั งิ าน 1.สาระสาคญั การฟังคาส่งั และการอา่ นคู่มอื ในการปฏบิ ตั ิงาน เปน็ วิธกี ารรับสารรูปแบบหน่งึ ที่ใชใ้ นการสอื่ สารเพื่อการ ปฏบิ ัติงาน การฟังคาส่งั และอ่านคมู่ อื จาเป็นต้องอาศัยการฝึกฝนจนเกิดความชานาญ ผลก็คือจะชว่ ยให้เกดิ ประสทิ ธภิ าพย่ิงขน้ึ 2. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ จดุ ประสงคท์ วั่ ไป 1) เพื่อใหม้ คี วามรู้พ้นื ฐานเกย่ี วกับการฟงั คาสั่งในการปฏบิ ตั ิงาน 2) เพอ่ื ให้มคี วามร้พู ื้นฐานเกี่ยวกบั การอา่ นคมู่ อื ในการปฏบิ ัติงาน 3) เพ่ือใหร้ ูจ้ ักวิธีการฟังคาสั่งและอา่ นคู่มอื ในการปฏบิ ัตงิ าน จุดประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม/บรู ณาการเศรษฐกิจพอเพยี ง 1) พทุ ธิพิสัย 4.บอกความรู้ที่ไดร้ ับจากการฟังคาสง่ั ในการปฏิบัตงิ านได้ 5.บอกความรทู้ ีไ่ ด้รบั จากการอา่ นค่มู อื ในการปฏบิ ัตงิ านได้ 6.บอกหลกั ในการรบั ฟังคาสั่งและอา่ นคูม่ ือในการปฏบิ ัตงิ านได้ 2) ทักษะพสิ ยั 1.รับฟังคาส่ังในขณะปฏบิ ัตงิ านไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ 2.อ่านค่มู ือในขณะปฏบิ ัตงิ านได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3) จิตพสิ ัย 1. มีความตั้งใจในฝกึ การปฏบิ ตั ิงานตามคาสัง่ 2. มกี ระตอื รอื ร้นที่จะฝึกฝนการปฏิบตั ิงานอย่เู สมอ 3. สมรรถนะประจาหน่วย 1.ปฏบิ ัตงิ านตามคาสง่ั ในสถานการณ์ที่กาหนดให้ 2.อา่ นคู่มือตามเงอ่ื นไขและสถานการณท์ กี่ าหนดให้ 4. สาระการเรียนรู้ ความหมายของการฟังคาสง่ั การฟังคาสง่ั คอื การทีผ่ รู้ บั สารใช้การฟงั ในการรบั สาร แปลความหมายของสารท่อี ยู่ในรูปแบบของคาสง่ั และมปี ฏกิ ริ ยิ าตอบสนองต่อคาสั่งนัน้ ๆ ตามเงอ่ื นไขของสถานการณ์ ฉะน้นั ประสทิ ธภิ าพของการรับสารจึงอย่ทู ีอ่ งค์ประกอบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นผสู้ ่งสาร สาร สื่อ หรอื แมแ้ ตต่ ัวผรู้ บั สาร เอง การตอบสนองหรือการแปลความหมายของสาร เพราะทกุ องคป์ ระกอบลว้ นมสี ว่ นทจ่ี ะทาใหก้ ลไกหรอื ผลของ การสอ่ื สารเป็นไปอยา่ งมีประสทิ ธภิ าพหรอื ขาดประสิทธิภาพก็ได้ ประเภทของคาสงั่ ในการปฏิบตั ิงาน แบง่ ตามเงอ่ื นไขของโอกาสและสถานการณไ์ ด้ ดังนี้ 1)คาสั่งโดยตรง

2)คาสัง่ แบบขอรอ้ ง 3)คาสงั่ แบบการแนะนา จุดมุง่ หมายของคาสั่งในการปฏิบัตงิ าน แบ่งออกเปน็ 3 ลกั ษณะ คือ 1)สั่งใหก้ ระทา 2)ส่ังหา้ มกระทา 3)สัง่ ยกเลกิ การกระทา หลักในการรบั ฟังคาส่ัง 1)ผ้รู บั คาส่งั จะต้องจบั ประเดน็ ของคาส่งั ให้ได้ 2)ใชว้ ิจารณญาณในการฟงั คาส่ัง 3)หาแนวทางปฏิบัตใิ ห้เกิดประสิทธภิ าพ คุณสมบัติทด่ี ีของผ้รู บั ฟงั คาสง่ั 1)ตอ้ งเปน็ ผู้มไี หวพริบปฏิภาณฉับไว ทาความเขา้ ใจกับคาสัง่ ได้รวดเรว็ 2)ตอ้ งเป็นผู้มคี วามจดจาถกู ตอ้ งแม่นยา หรือจดบนั ทกึ อย่างละเอียด 3)ตอ้ งเปน็ ผแู้ สดงออกถงึ ความกระตอื รอื ร้นในการรับฟงั คาสัง่ 4)ต้องเปน็ ผมู้ ีมารยาทที่ดี นอบนอ้ มในการรับฟงั คาสงั่ ไมพ่ ดู จาโต้เถียงผู้สัง่ การ 5)ตอ้ งเป็นผู้มคี วามอดทน อดกล้นั ตอ่ การแสดงออกใด ๆ ในการรอรบั ฟงั คาส่งั 6)ต้องเป็นผู้มีสมาธิในการรับฟงั คาส่ัง แมใ้ นสถานการณท์ ่ี มีเสียงอกึ ทึกครึกโครม ความหมายของคมู่ ือ คู่มอื คือ เอกสารทจ่ี ัดทาข้นึ เพอื่ ใช้ประกอบหรือศกึ ษาในเรอ่ื งใดเรอื่ งหนง่ึ ฉะน้นั การอา่ นคมู่ อื คอื การ รบั สารโดยการอา่ นหรอื แปลความหมายของขอ้ มูลทอ่ี ยูใ่ นเอกสารประเภทคู่มือเพ่ือประโยชน์ในการใช้งานอย่างใด อยา่ งหนงึ่ ความสาคัญของคมู่ อื ในการปฏบิ ัตงิ านไมว่ า่ จะเป็นกิจกรรมงานประเภทใดย่อมมีปญั หา และอปุ สรรคเกดิ ขึ้น ได้มากหรอื นอ้ ย ขึน้ อยู่กับสภาพเหตุการณแ์ ละวิธกี ารทางานนน้ั การมีค่มู อื จงึ เป็นเครือ่ งช่วยอานวยความสะดวกนานปั การ เพราะ เนื้อหาของขอ้ มลู มักจะเกย่ี วข้องกบั การทางาน อาทิ เมือ่ ตอ้ งการจะประกอบพัดลมที่ซื้อมารา้ นอุปกรณ์ไฟฟา้ โดย ตอ้ งมาประกอบเอง ก็ตอ้ งอาศัยคมู่ อื ท่ใี ห้มาพรอ้ มในกลอ่ งพดั ลม หรอื ผลิตภัณฑ์บางอย่างมคี วามซับซ้อนเมอื่ ต้องการจะใชง้ านก็ตอ้ งมีคาอธิบายประกอบเพือ่ ชว่ ยใหผ้ ใู้ ช้เกิดความเข้าใจในการใชง้ าน หรือคู่มอื บางประเภทก็ ชว่ ยในด้านเทคนิคในการทางาน ให้ขอ้ เสนอแนะหรอื แนวทางแกไ้ ขปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติงาน ประเภทของคมู่ อื 1 .คมู่ อื การใชผ้ ลิตภณั ฑ์ เปน็ เอกสารท่จี ัดทาข้ึนเพ่ือใช้ประกอบการใช้ผลติ ภณั ฑห์ รือเครื่องมือ เครือ่ งใช้ อยา่ งใดอยา่ งหนึ่ง มีลักษณะเปน็ คาอธิบาย วธิ ีการหรือขนั้ ตอนในการใชง้ าน หรือวิธกี ารประกอบ เพือ่ ประโยชน์ สาหรบั ผใู้ ช้งานจะได้มีความเข้าใจและสะดวกในการทางาน เชน่ คู่มือการใชเ้ ครอ่ื งคอมพวิ เตอร์ คูม่ อื การใช้ เครอ่ื งซักผา้ คู่มือการใช้โทรศัพทเ์ คล่ือนที่ คู่มอื การใช้เคร่ืองไมโครเวฟ 2. คู่มอื การปฏบิ ตั ิงาน เป็นเอกสารทจี่ ดั ทาขึน้ เพ่ือใช้ประกอบการปฏิบัติงานของหน่วยงาน เปรียบเสมือนแผนที่บอกเสน้ ทางการทางานทมี่ จี ุดเริ่มต้น และสิ้นสุดกระบวนการ มีรายละเอยี ดครอบคลมุ เนอ้ื หา

ของงาน มีคาแนะนาในการทางานรวมทั้งวธิ กี ารทอ่ี งค์กรใชใ้ นการปฏิบัตงิ าน มีคาอธบิ ายรายละเอียดและข้นั ตอน ในการปฏิบตั งิ านโดยละเอยี ด จัดทาขน้ึ สาหรบั ลกั ษณะงานท่ีซบั ซอ้ น มีหลายข้นั ตอนและเกยี่ วขอ้ งกบั หลายฝา่ ย เพ่อื ให้เกิดการแบง่ แยกอานาจหนา้ ทใ่ี นการปฏบิ ัติของบุคลากรและผู้ปฏบิ ัตงิ านอยา่ งชัดเจน หลกั และวธิ กี ารอ่านคมู่ อื ทั่วไป 1.การอ่านค่มู ือการใชผ้ ลติ ภณั ฑ์ มีหลกั และวธิ กี ารอา่ น ดงั น้ี 1)โดยมากคูม่ ือการใชผ้ ลิตภัณฑ์จะจดั ทาเป็นรูปเล่ม ถ้าตอ้ งการร้รู ายละเอียดต่าง ๆ ใหศ้ กึ ษา โดยดูจากสารบญั เร่อื งและอา่ นคาแนะนาอย่างละเอยี ดรอบคอบ 2)อา่ นทบทวนรายละเอยี ดต่าง ๆ หลายคร้งั เพือ่ ให้เกดิ ความเขา้ ใจ และทดลองกระทาตามอย่าง ระมดั ระวัง 3)ทดสอบดอู ีกคร้งั หนงึ่ ก่อนการใช้งาน เพ่อื ให้แน่ใจวา่ ไมม่ ปี ัญหาและข้อขดั ขอ้ งใด ๆ เม่อื เกิด ความมัน่ ใจแลว้ นาผลิตภณั ฑไ์ ปใชต้ ามข้นั ตอนตามท่คี มู่ ือกาหนดไว้ 4)ผู้ใชจ้ ะตอ้ งตระหนักถงึ คาเตือนและขอ้ ควรระวงั ของคมู่ อื อยา่ งเครง่ ครัด 2.การอ่านค่มู ือการปฏบิ ตั งิ าน มหี ลกั และวธิ กี ารอ่าน ดงั น้ี 1)ผปู้ ฏิบตั ิงานต้องศึกษาภายในคู่มือโดยเร่ิมต้นจากการอ่านหน้าสารบัญ 2)ผู้ปฏบิ ัตงิ านต้องศึกษารายละเอยี ดอ่ืน ๆ เพราะคู่มอื การปฏิบัติงานมกั จะจดั ทาเปน็ รูปเล่ม ประกอบไปด้วยรายละเอียดต่าง ๆ เช่น ขอบเขตขององค์กร ขอ้ มูลแนะนาองค์กร ประวตั อิ งคก์ ร โครงสรา้ งองค์กร หน้าท่ีความรบั ผดิ ชอบ นโยบาย วิสัยทศั น์ ภารกจิ ขององคก์ ร ผงั กระบวนการของภายในองค์กร ตลอดจนรายละเอียดของกระบวนการโดยสงั เขป 3)ผู้ปฏบิ ัตงิ านตอ้ งตั้งใจอ่านและจับใจความสาคญั ใหไ้ ด้ แยกแยะให้ไดว้ ่า อะไรคือข้อควรปฏิบัติ อะไรคอื ข้อห้าม กฎ ระเบยี บ ข้อบังคบั ตา่ ง ๆ 4)ผปู้ ฏบิ ตั งิ านต้องพยายามทาความเข้าใจเก่ียวกับวตั ถปุ ระสงค์ นโยบาย วสิ ยั ทศั น์ และภารกิจ ขององคก์ ร ตลอดจนตาแหนง่ หนา้ ทท่ี ่จี ะต้องรบั ผดิ ชอบ 5)ผู้ปฏิบัตงิ านตอ้ งจดจาให้ได้วา่ กฎระเบียบ ข้อบงั ว่าดว้ ยเรื่องใดบา้ ง และจะตอ้ งปฏบิ ัตอิ ยา่ งไร 6)ผู้ปฏิบัติงานควรจดบันทึกข้อมูลหรือรายละเอียดทสี่ าคญั ทาเป็นสรปุ ยอ่ ไว้ เพ่อื สะดวกในการใช้ งาน

เร่ือง การนาเสนอผลงาน สาระสาคัญ การนาเสนอผลงานมบี ทบาทในสงั คมปจั จบุ ันอย่างย่ิง ทุกวงการไม่วา่ วงการธรุ กิจ การศึกษา หรือ หน่วยงานสาคัญ ๆ ได้นาไปใชใ้ ห้เกดิ ประโยชน์ การนาเสนอผลงานทาไดห้ ลายรปู แบบขึ้นอยู่กับปจั จยั แวดลอ้ ม ต่าง ๆ กอ่ ให้เกดิ ความรู้ท่แี พร่หลายกว้างขวาง สาระการเรยี นรู้ ความหมายของ “การนาเสนอผลงาน” การนาเสนอผลงาน หมายถงึ การสื่อสารเพอ่ื แสดงผลติ ผลของงานที่จัดทาข้ึน ใหผ้ ู้อนื่ ไดร้ ับรู้ เข้าใจ ประวัติความเปน็ มาและเนื้อหาของผลงานนนั้ ๆ ตลอดจนรจู้ ักแหลง่ ของผลงานและผู้จัดทา เชน่ ผลงาน ส่งิ ประดิษฐข์ องนักเรยี น นกั ศึกษา ผลงานทางวิชาการ ความสาคญั ของการนาเสนอผลงาน การนาเสนอผลงานมคี วามสาคญั และจาเปน็ อย่างย่ิง เพราะผลงานทถี่ ูกผลิตขึ้นมาแตไ่ ม่มใี ครทราบความ เปน็ มา วิธกี ารนาไปใชง้ านให้เกดิ ประโยชน์เป็นอย่างไรไม่มใี ครทราบ กไ็ ม่เกิดประโยชน์ต่อสงั คม ผลงาน บางอย่างมปี ระโยชนใ์ นทางสงั คมเป็นอย่างมาก เช่น ผลงานทางการแพทย์ ผลงานวิจัยท่ีสาคัญ ๆ ในวงการต่าง ๆ ฉะนั้น การเปิดโอกาสใหส้ าธารณชนไดร้ บั ร้วู า่ มีผลิตผลของงานทกี่ ่อให้เกิดประโยชนต์ อ่ สงั คมเกดิ ขึ้น นบั เป็น ประโยชนต์ ่อสังคมและประเทศชาตทิ ั้งในปัจจุบันและในอนาคตด้วย การนาเสนอผลงานเป็นการเปดิ โอกาสให้ สังคมได้รับรู้ว่าผลงานอันมีค่าน่าภมู ใิ จ และน่าศกึ ษาเหล่านัน้ อยูท่ ่ีใด ใครเปน็ ผูส้ รา้ ง และสามารถตดิ ตามคน้ หา ศกึ ษาไดง้ ่ายขึ้นนัน่ เอง จุดม่งุ หมายของการนาเสนอผลงาน ในการจดั ทาผลงานนอกจากจะเป็นความภาคภมู ใิ จของผจู้ ัดทาแลว้ ผูจ้ ดั ทายังมจี ดุ มุ่งหมายเพ่อื การเผยแพร่ ดังน้ี 1)เพือ่ เปน็ การเผยแพรร่ ปู ลกั ษณ์ และคุณสมบัตขิ องผลงานทีจ่ ัดทาขนึ้ ตอ่ สาธารณชน 2)เพื่อใหเ้ ปน็ การเผยแพร่วตั ถุประสงค์ วิธีการผลิต วธิ ีการใชง้ านและประโยชน์ของผลงานทไ่ี ด้ นาเสนอน้ัน 3)เพื่อเปิดโอกาสให้สังคมไดพ้ ิจารณาและประเมนิ คณุ ค่าของผลงาน รวมท้ังใหค้ าตชิ มหรอื ให้ ขอ้ เสนอแนะต่อผ้จู ัดทาผลงาน หลักการนาเสนอผลงาน การเผยแพรผ่ ลงานโดยวธิ กี ารนาเสนอมจี ุดมงุ่ หมายคอื ต้องการให้คนทว่ั ไปหรือกลุ่มเปา้ หมายไดร้ ับรู้ เพราะฉะนั้นจึงตอ้ งพิจารณาหลักการนาเสนอผลงาน ดงั น้ี 1)พยายามคัดเลือกสงิ่ ที่เปน็ จดุ เด่นของผลงานมานาเสนอ 2)จัดทาเป็นเอกสารประกอบเพ่ือให้รายละเอยี ดชดั เจนยงิ่ ข้นึ 3)พยายามเลือกกลุ่มเป้าหมายในการนาเสนอให้เหมาะสม 4)พยายามใช้เทคนคิ ต่าง ๆ เข้าชว่ ยในการอธิบายให้ผูฟ้ ังเขา้ ใจไดง้ ่าย

ใบงาน เรือ่ ง การใช้ภาษาไทยในงานอาชีพ คาส่งั จงทาเคร่ืองหมายกากบาท (X) ลงหน้าขอ้ ที่ถูกต้องทสี่ ดุ ตอนที่ ๑ จงทาเคร่อื งหมายกากบาท (X) ลงหนา้ ข้อท่ีถกู ต้องทส่ี ดุ ๑.ข้อใดคอื ความหมายของภาษา ง. สญั ลกั ษณท์ ม่ี นษุ ยค์ ิดคน้ ขน้ึ เพ่อื ใชต้ ิดตอ่ สือ่ สารซ่งึ กนั และกนั ๒. ข้อใดจดั เป็นภาษาคาโดดทุกคา จ. ปู่ ยา่ ตา ยาย พี่ น้อง ๓. ขอ้ ใดใชค้ าผิดความหมาย ง. เดีย๋ วนี้เขาดูพงุ พุ้ยมาก ๔. ข้อใดเป็นชอ่ื เฉพาะ ก. โรงพมิ พไ์ ทย ๕.ข้อใดไมไ่ ด้ใชภ้ าษาระดบั เดียวกนั ก.ม้ามงคลวิง่ นาหน้าอาชาตวั ท่ีวงิ่ ออกมาก่อน ๖.ขอ้ ใดไม่เก่ียวขอ้ งกับการอ่านตัวเลข ง. เครอื่ งหมาย ๗.ขอ้ ใดใชภ้ าษาไมช่ ัดเจน ค.แม่ค้าขายปลาตาย ๘. “น้าหนักมาก” ประโยคนีบ้ กพรอ่ งอยา่ งไร ค. ใชค้ ากากวม ๙. ข้อใดใช้การเขียนตัวสะกดการันต์ผดิ ทกุ คา ง. บรสิ ทุ ธ์ิ กาฬสินธุ กรรมพันธุ์ ๑๐.ข้อใดเป็นการใชค้ าบญั ญตั ิศพั ทผ์ ดิ ง. แสตมป์ – ตราไปรษณีย์ ตอนที่ ๒ จงเติมคาหรือข้อความลงในช่องวา่ งใหถ้ ูกต้อง ๑.ภาษา คอื เคร่อื งหมายหรอื สญั ลักษณ์ทม่ี นุษย์คดิ คน้ ขน้ึ เพื่อใช้เป็นเคร่ืองมือในการตดิ ตอ่ สือ่ สารซงึ่ กันและกัน ๒.ภาษาไทยมีลกั ษณะเด่น คอื ๑) ภาษาไทยเป็นภาษาคาโดด ๒) ภาษาไทยเปน็ ภาษาทม่ี คี วามลดหล่นั ชัน้ เชงิ ๓) ภาษาไทยมรี ะบบระเบยี บในการเรียงคาเขา้ ประโยค ๔) ภาษาไทยมกี ารกาหนดหมวดหมขู่ องคาอยา่ งชัดเจน ๓. การใชภ้ าษาไทยมีความสาคญั ดงั นี้ ๑)ภาษาเป็นเคร่ืองมือสอ่ื สารของคนในสังคม

๒)ภาษาเปน็ เครอ่ื งมอื ในการเผยแพรว่ ิชาความรู้ ๓)ภาษาเป็นเครอ่ื งมือสือ่ สารในงานอาชพี ๔.ภาษาไทยเป็นภาษาทม่ี ีความลดหลัน่ ช้นั เชิง หมายความวา่ อยา่ งไร การใชค้ าเรียกทมี่ ีการแบ่งแยกตามระดับอาวโุ ส ความสาคญั หรือตามตาแหนง่ ๕. การอ่านตัวเลขทีแ่ สดงมาตราสว่ น ๑ : ๕๐๐ อา่ นวา่ หน่ึง – ตอ่ – หา้ ร้อย ๖. การอ่านตัวเลขบ้านเลขท่ี ๕๖/๑๕ อา่ นว่า ห้า – หก – ทบั – หน่ึง – หา้ ๗. คาวา่ “chocolate” เขียนเปน็ คาทบั ศัพทว์ า่ ช็อกโกแลต ๘. คาว่า “ice cream” เขยี นเปน็ คาทบั ศพั ทว์ ่า ไอศกรมี ๙. คาว่า “แสตมป”์ มีการใชค้ าศพั ท์บัญญตั วิ ่า ดวงตราไปรษณีย์ยากร ๑๐. การเขยี นตวั สะกด การันต์ ไว้ โดยมากมักมาจากภาษาอน่ื ได้แก่ ภาษา องั กฤษ ฝร่ังเศส ภาษาบาลี – สนั สกฤต ตอนที่ ๓ จงตอบคาถามต่อไปนี้ ๑. “นา้ ร้อนหมดแลว้ ” ประโยคนไ้ี ม่เหมาะสมเพราะเหตใุ ด และควรแก้ไขอย่างไร เปน็ ประโยคกากวม ควรแกไ้ ขเป็น น้าร้อนไม่มีแลว้ ๒. นกั เรยี นคิดวา่ การใชภ้ าษาอยา่ งชดั เจนตรงประเดน็ มลี กั ษณะอยา่ งไร ใช้ภาษาใหต้ รงเปา้ หมายและชดั เจน ไม่ก่อใหเ้ กิดขอ้ บกพร่องหรือปญั หาในการส่อื สาร เช่น ในกรณีทใ่ี ห้ สัมภาษณ์บคุ คลผมู้ าติดตอ่ ขอสมั ภาษณ์ก็ตอ้ งตอบใหต้ รงกับหวั ขอ้ คาถามทไ่ี ดร้ บั อาจมีการเลา่ เรอ่ื งหรอื ยกตัวอยา่ ง ประกอบการตอบคาถามบา้ งเลก็ นอ้ ย ๓. ภาษามาตรฐานมลี กั ษณะอยา่ งไร ภาษามาตรฐานเป็นภาษาทน่ี ิยมใช้เขยี นในโอกาสทเ่ี ป็นทางการ เชน่ โรงหมอ ภาษามาตรฐานเป็น โรงพยาบาล ๔. นกั เรยี นคิดวา่ “คากากวม” คืออะไร และก่อใหเ้ กิดผลอยา่ งไรตอ่ การสอ่ื สาร เป็นการใช้คาท่ีส่อื ความหมายไมช่ ดั เจน อาจสรา้ งความเขา้ ใจผิดในการสื่อสารได้ ๕. เหตุใดจึงกล่าววา่ “ภาษาเปน็ เคร่อื งมอื สื่อสารของคนในสงั คม” เพราะต้องอาศัยการประชาสมั พันธข์ อ้ มลู ขา่ วสารให้สังคมได้รบั รู้ โดยอาศยั ความร่วมมิซ่ึงกันและกนั รวมท้ังการตดิ ต่อส่อื สารในชวี ิตประจาวัน

คาสง่ั จงทาเครือ่ งหมายกากบาท (X) ลงหน้าขอ้ ท่ถี กู ต้องทส่ี ดุ ตอนท่ี ๑ จงทาเครื่องหมายกากบาท (X) ลงหน้าขอ้ ที่ถูกต้องที่สดุ ๑.ขอ้ ใดตรงกับความหมายของการพดู แสดงความเห็น จ. คณุ สนองกลา่ วคัดคา้ นการยา้ ยสนามเปตอง ๒.นกั เรยี นคิดวา่ ขอ้ ใดมกี ารพดู เสนอความเหน็ ค. การทีบ่ คุ คลมาแก้ไขปญั หาร่วมกัน ๓.ข้อใดเกี่ยวขอ้ งกับการแสดงความคดิ เหน็ ง. ถกู ทงั้ ข้อ ก. และข้อ ข. ๔.ขอ้ ใด ไม่เกย่ี ว กับการเสนอความเห็นในทป่ี ระชมุ ข. เปน็ กิจกรรมทม่ี ีการเลี้ยงสงั สรรคร์ ่วมกนั ในองค์กร ๕.ขอ้ ใด ไม่ใช่ จดุ มุ่งหมายของการพูดในทปี่ ระชุม ง. เพอื่ รณรงคใ์ ห้องคก์ รใชเ้ วลาวา่ งใหเ้ ปน็ ประโยชน์ ๖.ข้อใดจดั เปน็ การเสนอความคิดเหน็ ในท่ีประชมุ ค. คณุ องอาจพดู มานน้ั ก็น่าสนใจครบั แตผ่ มว่ายงั มีส่ิงสาคญั อีก ๗.ขอ้ ใดเหมาะสมท่สี ุดในการใช้ภาษาโตแ้ ยง้ ง. ผมวา่ คุณนชิ าพดู มเี หตุผลนา่ ฟังครับ แตผ่ มไมค่ ิดเช่นนน้ั ๘.ข้อใดพงึ ควรระวงั ในการเสนอความคิดเห็น ค. ใชค้ วามเหน็ ส่วนตัวชี้นาให้ทีป่ ระชุมยอมรบั ๙.ข้อใดจัดเปน็ มารยาทในการพูดเสนอความเหน็ ข. ขออนุญาตประธานก่อนลกุ ออกจากห้องประชมุ ๑๐.ข้อใดไม่ใชป่ ระเภทของการเสนอความเหน็ ในที่ประชุม ค. ความเห็นก่ึงโตแ้ ย้ง ตอนท่ี ๒ จงเติมคาหรอื ข้อความลงในช่องวา่ งให้ถกู ต้อง ๑.ประโยชน์ในการพดู เสนอความเหน็ ในทป่ี ระชมุ คือ การที่บุคคลใชว้ ิธีการพูดเพอ่ื แสดงเหตผุ ลในการอธบิ าย ข้อเทจ็ จรงิ หลกั การหรอื แนวความคิดเห็นสว่ นตวั ให้ผู้อ่ืนเกิดความเชือ่ ถอื ยอมรับหรอื เห็นดว้ ยกับส่ิงท่ไี ด้กล่าวมาท้งั หมด ๒.จุดมงุ่ หมายของการประชมุ คือ ๑)เพ่ือรว่ มกนั ปรึกษาและพิจารณาเร่ืองต่าง ๆ ตามระเบียบวาระของการประชุม ๒)เพอ่ื ใหท้ ีป่ ระชุมไดช้ ี้แจงแถลงนโยบาย หรือแถลงข้อมลู ข่าวสารต่าง ๆ ๓)เพ่อื ใหเ้ กิดการประสานงานและดาเนนิ การในเรือ่ งต่าง ๆ มคี วามคลอ่ งตวั ๔)เพอ่ื ใหเ้ กดิ การแลกเปล่ยี นความรู้ ความคิดและประสบการณ์ต่าง ๆ ร่วมกัน ๕)การพูดเสนอความเหน็ ในทป่ี ระชุมมีก่ปี ระเภท ไดแ้ ก่อะไรบา้ ง จงอธบิ าย ๓. การพดู เสนอความเหน็ ในทีป่ ระชุม มี ๓ ประเภท ได้แก่ ๑)การเสนอแนวความคดิ ๒)การเสนอความเหน็ โตแ้ ยง้

๓)การเสนอความเห็นสนับสนนุ ๔. เมอ่ื สมาชกิ ผเู้ สนอความเห็นพดู จบลง สมาชิกอีกคนหน่ึงคาพูดทานองไม่เหน็ ด้วย จัดเป็นการเสนอความเหน็ แบบ โตง้ แย้ง ๕. เมอ่ื สมาชิกผู้เสนอความเหน็ พูดจบลง สมาชกิ อกี คนหนงึ่ คาพูดทานองเหน็ ดว้ ย จัดเป็นการเสนอความเห็นแบบ สนับสนนุ ๖. การใช้สรรพนาม ในการเสนอความเห็นนัน้ ผพู้ ูดต้องใช้คาสรรพนามใหเ้ หมาะสมกบั โอกาส และสถานการณ์ ได้แก่ ผม กระผม ดิฉนั ข้าพเจ้า ๗. การใช้ถ้อยคาบ่งชวี้ า่ เป็นการแสดงความเห็น ไดแ้ ก่ นา่ ทจี่ ะคิด คดิ วา่ นา่ จะ ควรจะ ๘. กอ่ นการเสนอความเหน็ นกั เรียนควรแสดงมารยาทโดย ๑)ควรขออนญุ าตประธานในท่ปี ระชุมกอ่ นการเสนอความเหน็ ๒)ควรทาความเคารพประธาน กอ่ นลกุ ออกจากห้อง ๓)ควรใช้นา้ เสยี งนมุ่ นวล และแสดงกริ ิยาวาจาทสี่ ุภาพ ๔)ไม่ควรใชค้ าพูดเสยี ดสีหรือพาดพิงใหผ้ ูอ้ ื่นเสยี หาย ๕)ควรใชร้ ะยะเวลาในการเสนอความเหน็ อยา่ งเหมาะสม ๖)ควรให้ความเคารพต่อ กฎ กตกิ าหรอื มติของทีป่ ระชุม ๙.การใช้ภาษาในการเสนอความเหน็ ในทป่ี ระชุมควรมลี กั ษณะ ดงั นี้ ๑)ใช้ประโยคทสี่ ่ือความหมายชัดเจน สมบรู ณ์ ๒)ต้องใช้คาสรรพนามให้เหมาะสมกับโอกาสและสถานการณ์ ๓)ตอ้ งใชค้ าท่บี ง่ บอกว่าส่ิงทจี่ ะพดู น้ีเปน็ ข้อมูลเชิงความคดิ เห็น เช่น อาจ คงจะ เปน็ ตน้ ๔)ใชภ้ าษาทีแ่ สดงเหตุผลและทีม่ าของเร่อื งให้เกิดความสมั พันธ์กนั ในเชิงอธิบาย ๑๐.ข้อดขี องใช้ภาษาและถ้อยคาที่สุภาพและให้เกยี รตติ อ่ ที่ประชมุ คอื ควรเปน็ คาพดู ท่สี ร้างบรรยากาศท่ีดแี ก่สมาชิกในทีป่ ระชมุ ตอนที่ ๒ จงเตมิ คาหรอื ขอ้ ความลงในชอ่ งวา่ งให้ถูกต้อง ๑. การประชาสัมพนั ธ์ มวี ตั ถุประสงคเ์ พ่อื ๑)เพอ่ื ใช้ในการตดิ ต่อสอื่ สารระหวา่ งองคก์ รกับกลุ่มเปา้ หมาย ๒)เพื่อใหค้ วามร้แู ละข้อมลู ท่ีกลมุ่ เป้าหมายจาเป็นจะต้องรับทราบ ๓)เพอ่ื สรา้ งความเขา้ ใจอนั ดรี ะหวา่ งองค์กรกับกลุม่ เปา้ หมาย ๔)เพือ่ ใช้ในการปอ้ งกนั ความเขา้ ใจผิดในหม่สู าธารณชน ๒. สือ่ ทใ่ี ชใ้ นการประชาสัมพันธม์ ี ๖ ประเภท ไดแ้ ก่ ส่อื บุคคล สอื่ อเิ ล็กทรอนิกส์ สือ่ สง่ิ พิมพ์ สอื่ กิจกรรม ส่ือ เคลอ่ื นท่ี สือ่ ตดิ ตง้ั นอกอาคาร ๓. สื่อสารอเิ ลก็ ทรอนิกส์ ไดแ้ ก่ วิทยุ โทรทศั น์ คอมพิวเตอร์ ๔. สือ่ เคลอ่ื นที่ ไดแ้ ก่ ป้ายติดขา้ งรถ ปา้ ยขบวนพาเหรด ๕. สื่อสิ่งพมิ พ์ ได้แก่ หนังสอื พมิ พ์ โปสเตอร์ ใบปลิว ๖. สอื่ บคุ คล ได้แก่ นักวชิ าการ นกั เขียน

๗. คณุ ลักษณะของการเขียนประชาสมั พันธ์ท่ีดี มลี ักษณะดงั น้ี ๑)ต้องมีประเด็นที่ชดั เจน ๒)ต้องมีการลาดบั เนือ้ หาตามขนั้ ตอน ๓)เนื้อหาหรือเร่ืองราวที่นาเสนอจะต้องไม่คลุมเครอื มีกระจ่าง ชัดเจน ๔)เลอื กใช้ภาษาให้เหมาะสมกบั กลมุ่ เป้าหมาย ๘. ข้อควรระวังในการเขียนประชาสมั พนั ธม์ ีดังน้ี ต้องสะกดตวั อกั ษรของช่อื – นามสกลุ ใหถ้ ูกต้อง ยศ- ตาแหนง่ และตวั เลข ๙. การเขียนขา่ วเพื่อการประชาสมั พนั ธ์ มวี ัตถุประสงค์เพ่อื ส่ือขา่ วสารแก่กลุ่มเปา้ หมายให้เกดิ ความรู้ ความเขา้ ใจ ท่ีดี ๑๐. การเขียนคาประกาศเพ่ือการประชาสัมพันธ์ มีวตั ถปุ ระสงค์เพอื่ ชแี้ จงสร้างความเข้าและป้องกันความเข้าใจ ผดิ หรือเหตุขัดขอ้ งทีจ่ ะเกดิ ขน้ึ แกก่ ลมุ่ เปา้ หมาย ตอนที่ ๓ จงตอบคาถามตอ่ ไปน้ี ๑.จงบอกความหมายของการเขยี นประชาสมั พนั ธ์ มาพอเข้าใจ การเขียนประชาสมั พนั ธ์ หมายถึง การส่อื สารด้วยการเขยี น เพื่อสร้างความสมั พันธก์ ันระหวา่ งองคก์ รและ ประชาชน หรือกล่มุ เป้าหมายท่ีเกย่ี วขอ้ งกับองคก์ ร ๒.จงบอกความสาคญั ของการประชาสัมพันธ์ มาพอเข้าใจ การเขียนประชาสัมพนั ธเ์ ป็นเครื่องมอื ในการประชาสัมพันธป์ ระเภทหน่ึงที่สามารถทาให้บรรลุ วัตถปุ ระสงค์ได้ ๓. จงอธิบายขน้ั ตอนในการเขียนประชาสัมพนั ธ์ ๑)การศกึ ษาวตั ถปุ ระสงค์ดา้ นการประชาสมั พนั ธ์ขององค์กร ๒)ศึกษาวเิ คราะห์กลมุ่ เปา้ หมายในการประชาสมั พันธ์ ๓)ศึกษาวิเคราะห์สอ่ื ท่จี ะใชใ้ นการประชาสัมพันธ์ ๔)กาหนดโครงเร่ืองสอดคล้องกบั วัตถุประสงคแ์ ละกลมุ่ เปา้ หมาย ๕)ลงมอื เขียนตามหลกั รปู แบบและองคป์ ระกอบของการประชาสัมพันธ์ ๖)ตรวจทานหรือพสิ จู น์อักษรเพอื่ การแกไ้ ขก่อนการนาเสนอ ๔.นกั เรยี นคิดวา่ ลกั ษณะบทความทีด่ ี มลี กั ษณะอยา่ งไร ลักษณะบทความท่ดี ี ได้แก่ ๑.เนือ้ หาต้องชัดเจน ระบวุ า่ ใครทาอะไร ทไ่ี หน เมอื่ ไร อยา่ งไร ๒.ลาดับเรอื่ ง ตามขัน้ ตอนกอ่ น – หลัง ๓.ชัดเจน ไมค่ ลมุ เครอื ๔.ใชภ้ าษาเหมาะสมกบั กลุ่มเป้าหมาย อา่ นงา่ ย กระชบั ถูกต้อง ๕. การใช้ภาษาในเขียนประชาสมั พันธค์ วรมลี ักษณะอย่างไร ๑)ใชถ้ ้อยคาทเี่ ขา้ ใจได้ง่าย มีความหมายชดั เจน ตรงประเดน็ ๒)ใช้ถอ้ ยคาทม่ี ลี ักษณะสัมผสั คลอ้ งจอง งา่ ยตอ่ การจดจา

๓)ใช้ภาษาโดยวิเคราะหก์ ล่มุ ผบู้ ริโภคว่าเป็นเพศใด วัยใด อาชีพใด ๔)ใชภ้ าษาถ่ายทอดเนื้อหาแบบบรรยายเรือ่ งราวตามลาดบั เหตุการณ์ ๕)ใช้รปู ภาพทม่ี ีความประผกอบกับการใช้ภาษาเขยี น ๖)ใช้ขอ้ ความทีส่ มั พนั ธก์ ับสงิ่ ทนี่ ามาโฆษณา ๗)ใชถ้ อ้ ยคาทส่ี ภุ าพ ไม่หยาบคาย

แบบทดสอบวชิ าภาษาไทยเพื่ออาชพี

ใบความรู้ การฟงั คาสัง่ หมายถงึ การทผ่ี รู้ บั สารใช้การฟงั ในการรบั สาร แปลความหมายของสารทอี่ ยใู่ นรูปแบบของ คาสง่ั และมปี ฏกิ ิรยิ าตอบสนองต่อคาสัง่ น้ัน ๆ ตามเงื่อนไขของสถานการณ์ ประเภทของคาส่ังในการปฏิบัตงิ าน มี ๓ ประเภท ไดแ้ ก่ ๑) คาส่ังโดยตรง ๒) คาสั่งแบบขอร้อง ๓) คาส่งั แบบการแนะนา ลักษณะคาสัง่ โดยตรง คือ การออกคาสงั่ แบบตรงไปตรงมา อาจเปน็ ไปในลกั ษณะใหก้ ระทาตามปฏิบตั ติ ามคาสั่ง หรือหา้ มกระทาอย่างสิน้ เชงิ อาจมีบทลงโทษ จุดม่งุ หมายของคาสง่ั โดยตรง คือ ๑) ส่ังใหก้ ระทา ๒) ส่ังหา้ มกระทา ๓) ส่งั ยกเลิกการกระทา คาสงั่ ห้ามกระทา มลี ักษณะดังนี้ ค่มู อื หมายถงึ เอกสารท่จี ดั ทาขึน้ เพือ่ ใชป้ ระกอบหรอื ศึกษาในเรอ่ื งใดเรอ่ื งหนึ่ ได้แก่ คมู่ ือการดูแลรักษา รถยนต์ คู่มือการใช้เคร่ืองซกั ผา้ คู่มอื การใชโ้ ทรศพั ท์เคล่ือนที่ เป็นต้น คู่มือการใชผ้ ลติ ภณั ฑ์ คือเอกสารที่ทาข้ึนเพอ่ื ให้ประกอบการใชผ้ ลติ ภัณฑห์ รอื เครือ่ งมอื คู่มอื การปฏิบัติงาน คอื เอกสารท่ีจัดทาขน้ึ เพอื่ ใหป้ ระกอบการปฏิบตั ิงานของหน่วยงาน วัตถปุ ระสงค์การใช้คมู่ ือ คอื ป้องกันความเสียหายและหลกี เลี่ยงอนั ตรายขณะทีน่ าไปใชง้ าน การอา่ นคูม่ อื การใชผ้ ลิตภัณฑ์ มหี ลกั ดงั น้ี ดูจากสารบัญเรอ่ื งคาแนะนา ทบทวนรายละเอียดเพือ่ ความเขา้ ใจ และก่อนใช้งานต้องมน่ั ใจวา่ นา ผลติ ภัณฑ์ไปใช้ตามข้ันตอนทีค่ ู่มอื กาหนดไวเ้ ม่ือจะต้องรับฟงั คาสั่งผ้รู บั คาสั่งจะต้องตั้งใจให้แน่วแนใ่ นการฟังคาสงั่ พยายามทาความเข้าใจกบั คาส่งั ท่ผี ู้สั่งการกาหนดใหท้ า โดยแยกแยะใหไ้ ด้วา่ เป็น คาสง่ั ประเภทใด •สงิ่ ใดบ้างที่ผรู้ บั ฟงั คาส่งั ไม่ควรปฏิบัตใิ นขณะรับฟงั คาสง่ั จากผู้บังคับบัญชา -ไม่พดู ขดั จังหวะในขณะทอ่ี ีกฝ่ายยงั พดู ไมจ่ บ หลีกเลยี่ งการโต้แยง้ ขณะรับคาสั่ง ความไม่มสี มาธิหรือทาสง่ิ อื่นไปดว้ ย •นกั เรยี นคิดวา่ คณุ สมบตั ทิ ด่ี ขี องผรู้ บั ฟงั คาส่ังควรเปน็ อยา่ งไร -ตั้งใจและมสี ตใิ นการฟังคาสง่ั ทาความเขา้ ใจคาสง่ั ที่ผู้ส่ังการกาหนดให้ทา ขณะที่ฟงั คาสั่งควรสบตาผ้สู งั่ การ ถ้าหากมคี าถามควรรอจนกวา่ อีกฝ่ายจะพดู จบและจดบนั ทึกชว่ ยจาเพือ่ ทาเปน็ ลายลกั ษณ์อกั ษร •นกั เรยี นคิดวา่ การอา่ นคมู่ ือมคี วามสาคญั -ชว่ ยให้ผูใ้ ชห้ รอื ปฏบิ ัตไิ ด้เข้าใจการใชง้ านได้ถูกตามข้ันตอน เทคนคิ การทางานใหง้ า่ ยขึ้นรวมทง้ั แนว ทางแกไ้ ขปัญหาอปุ สรรคในการปฏบิ ัติงาน •หลกั และวธิ กี ารอ่านค่มู อื ทวั่ ไป หลกั และวิธีการอา่ นคู่มอื ท่ัวไป ผ้ทู ี่จะอา่ นและศกึ ษาคู่มือทุกประเภทจะตอ้ งคานงึ ถึงส่ิงต่อไปน้ี

๑.การอา่ นค่มู ือการใชผ้ ลิตภัณฑ์ มีหลกั และวธิ กี ารอ่าน ดงั น้ี ๑)โดยมากคมู่ อื การใชผ้ ลติ ภัณฑจ์ ะจัดทาเป็นเลม่ ถ้าตอ้ งการรรู้ ายละเอยี ดตา่ ง ๆ ให้ศึกษาโดยดูจาก สารบญั เรื่องและอ่านคาแนะนาอยา่ งละเอียดรอบคอบ ๒)อา่ นทบทวนรายละเอยี ดตา่ ง ๆ หลายครัง้ เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจ และทดลองกระทาตามอย่าง ระมดั ระวัง ๓)ทดสอบดอู กี ครง้ั หน่ึงก่อนการใชง้ าน เพือ่ ใหแ้ นใ่ จว่าไม่มีปัญหาและขอ้ ขดั ข้องใด ๆ เมือ่ เกดิ ความมนั่ ใจ แล้วนาผลติ ภณั ฑไ์ ปใชต้ ามข้นั ตอนตามที่คูม่ ือกาหนดไว้ ๔)ผู้ใช้จะต้องตระหนักถงึ คาเตอื นและข้อควรระวงั ของคมู่ ืออยา่ งเคร่งครัด ๒.การอ่านคมู่ ือการปฏบิ ตั ิงาน มหี ลักและวธิ กี ารอา่ น ดงั น้ี ๑)ผปู้ ฏิบัติงานต้องศกึ ษาภายในคู่มอื โดยเร่มิ ต้นจากการอ่านสารบญั ๒)ผปู้ ฏิบตั งิ านต้องศึกษารายละเอียดอน่ื ๆ เพราะคมู่ อื ปฏิบัติงานมักจะจดั ทาเป็นรปู เล่มประกอบไปด้วย รายละเอียดต่าง ๆ เช่น ขอบเขตขององคก์ ร ข้อมลู แนะนาองคก์ ร ประวตั ิองค์กร โครงสรา้ งองคก์ ร หนา้ ทีค่ วาม รับผิดชอบ นโยบาย วิสยั ทศั น์ ภารกิจขององคก์ ร ผังกระบวนการของภายในองคก์ ร ตลอดจนรายละเอียดของกระ การโดยสงั เขป ๓)ผปู้ ฏิบัตงิ านต้องต้ังใจอ่านและจับใจความสาคญั ใหไ้ ดแ้ ยกแยะให้ได้วา่ คือข้อควรปฏิบัติ อะไรคอื ขอ้ ห้าม กฎระเบียบตา่ ง ๆ ๔)ผ้ปู ฏิบัติงานตอ้ งพยายามทาความเขา้ ใจเก่ยี วกับวัตถุประสงค์ นโยบาย วสิ ยั ทศั นแ์ ละภารกจิ ขององค์กร ตลอดจนตาแหน่งหน้าทท่ี จี่ ะรบั ผดิ ชอบ ๕)ผปู้ ฏิบัตงิ านตอ้ งจดจาให้ไดว้ า่ กฎระเบยี บขอ้ บงั คบั ว่าด้วยเรือ่ งใดบ้าง จะต้องปฏิบตั ิอยา่ งไร ผปู้ ฏบิ ตั ิงานควรจดบันทึกขอ้ มูลหรอื รายละเอียดทสี่ าคัญทาเป็นสรุปย่อไว้ เพือ่ สะดวกในการใช้งาน

ใบความรู้ เร่อื ง การนาเสนอผลงาน การนาเสนอ ( presentation ) หมายถึงวธิ กี ารในการสื่อสารถ่ายทอดข้อมลู เกย่ี วกบั งาน แผนงาน โครงการ ข้อเสนอผลการดาเนนิ งานและเรื่องตา่ ง ๆ เพือ่ ความเข้าใจและจงู ใจอาจรวมถงึ การสนับสนุนและอนุมัติ ดว้ ย รปู แบบของการนาเสนอ การนาเสนอมีไดห้ ลายรูปแบบซ่ึงจะต้องพจิ ารณาเลือกใช้รปู แบบให้เหมาะสมกบั วัตถปุ ระสงคข์ องการนาเสนอ และความตอ้ งการของผรู้ ับการนาเสนอ โดยท่วั ไปจะมีการใชอ้ ยู่ สองรูปแบบไดแ้ ก่ 1. แบบสรปุ ความ ( qutline ) คอื การนาเสนอเนื้อหาท้ังที่เปน็ ข้อเทจ็ จรงิ ความคิดเห็น และข้อพจิ ารณาเปน็ ข้อๆ 2. แบบเรียงความ ( essay ) คือ การนาเสนอดว้ ยการพรรณนา ถงึ เนือ้ หาละเอียด ตวั อยา่ งรูปแบบการนาเสนอ 1.เอกสารรายงานเชงิ วิชาการ 2.นทิ รรศการ (ภาพถ่าย ศิลปะสง่ิ ประดษิ ฐ์ ฯลฯ) 3.การอภปิ ราย สัมมนา 4.โตว้ าที 5.คลปิ หรือ ภาพยนตรส์ ั้น 6. เพาเวอร์พอยท์ 7. โปสเตอร์ 8. คลินกิ ความรู้ 9. แผน่ พับ (Brochure) 10.สมุดเลม่ เล็ก 11.หนงั สือพมิ พก์ าแพง 12. บทประพนั ธ์ (โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ฯลฯ) 13. ภาพวาดศิลปะ 14. บทความทางวิชาการ 15. ละคร การเลือกใชร้ ูปแบบใดรปู แบบหน่ึง จะตอ้ งคานึงถงึ ความเหมาะสม และสถานการณ์ในการนาเสนอ การ นาเสนอแบบสรปุ ความมักใช้ในการนาเสนอ ขอ้ มูลอนั ประกอบด้วยขอ้ เท็จจรงิ ส่ิงทค่ี น้ พบ เพือ่ ให้ผรู้ บั การนาเสนอ รบั รู้อย่างรวดเรว็ สว่ นการนาเสนอแบบเรยี งความ มกั ใช้ในการนาเสนอความคิดเห็นและการให้เหตผุ ลโนน้ นา้ วชัก จงู ใจ ซึ่งจะต้องมกี ารอรรถาธบิ ายในรายละเอียดต่างๆประกอบการนาเสนอ การเลือกใชร้ ูปแบบของการนาเสนอจะพจิ ารณาปรมิ าณของเนอื้ หาสาระ วตั ถุประสงคแ์ ละ จดุ มุ่งหมายที่ ต้องการบรรจกุ ารเรา้ ความสนใจ สถานการณใ์ นการนาเสนอ และความสัมพันธร์ ะหวา่ งผรู้ บั การนาเสนอกบั ผนู้ า เสนอ ในการนาเสนอขอ้ มลู เพื่อการพจิ ารณาจะนิยมใชต้ าราง และ แผนภาพ ประกอบเพื่อการวเิ คราะห์หรอื เปรยี บเทียบทเ่ี ห็นได้ชดั เจนและรวดเรว็ ลกั ษณะการนาเสนอทด่ี ี นอกจากการเลือกรูปแบบของการนาเสนอ ใหถ้ ูกตอ้ งและเหมาะสมแล้วจะตอ้ งคานงึ ถงึ ลักษณะของการ นาเสนอทจี่ ะชว่ ยใหบ้ รรลุผลตามวัตถปุ ระสงค์ของการนาเสนอด้วย

วัตถปุ ระสงคข์ องการนาเสนอผลงาน 1. ใหผ้ ูช้ มเขา้ ใจสาระสาคญั ของการนาเสนองาน 2.ใหผ้ ู้ชมเกิดความประทับใจ ซ่ึงจะนาไปสคู่ วามเชื่อถือในผลงานทน่ี าเสนอ ลักษณะของการนาเสนอท่ีดี ควรมดี งั ต่อไปน้ี 1. มวี ตั ถปุ ระสงคท์ ชี่ ัดเจนกล่าวคือ มคี วามตอ้ งการทีแ่ น่ชัดว่า เสนอเพื่ออะไรโดยไม่ต้องใหผ้ ูร้ ับ รับการนาเสนอต้องถามว่าต้องการใหพ้ จิ ารณาอะไร 2. มีรูปแบบการนาเสนอเหมาะสม กลา่ วคือ มีความกะทดั รัดได้ใจความเรียงลาดบั ไมส่ นใชภ้ าษา เข้าใจงา่ ย ใชต้ าราง แผนภูมิ แผนภาพช่วยใหพ้ ิจารณาข้อมลู ได้สะดวก 3. เนอื้ หาสาระดี กล่าวคอื มคี วามนา่ เช่ือถือเทยี่ งตรง ถูกตอ้ ง สมบรู ณ์ครบถ้วนตรงตามความ ต้องการ มขี ้อมูลที่เปน็ ปจั จบุ ันทนั สมยั และมีเนอ้ื หาเพยี งพอแก่การพจิ ารณา 4. มขี ้อเสนอทดี่ ี กลา่ วคือมีข้อเสนอทีส่ มเหตสู มผล มขี ้อพจิ ารณาเปรยี บเทยี บทางเลือกท่เี หน็ ได้ ชดั เสนอแนะแนวทางปฏิบตั ิทช่ี ัดเจนคณุ สมบตั ขิ องผนู้ าเสนอ ในการนาเสนอดว้ ยวาจาคุณสมบตั ิอันเป็น ลกั ษณะประจาตวั ของผู้นาเสนอถือได้วา่ เป็นสว่ นสาคญั ของความสาเรจ็ ในการนาเสนอเพราะคณุ สมบัติ ของผูน้ าเสนอจะมอี ทิ ธิพลต่อการโน้นนา้ วชัก จูงใหเ้ กิดความสนใจความไวว้ างใจ เชื่อถอื และการยอมรบั ไดม้ าก เทา่ กับหรือมากกว่าเน้ือหาที่นาเสนอ ผู้นาเสนอที่ประสบความสาเร็จส่วนใหญ่ จะมีคณุ สมบัตดิ ังตอ่ ไปนี้ 1. มีบุคลิกดี 2. มคี วามรู้อยา่ งถ่องแท้ 3. มคี วามน่าเชื่อถอื ไวว้ างใจ 4. มีความเชื่อมน่ั ในตนเอง 5. มภี าพลักษณท์ ่ีดี 6. มีนา้ เสยี งชดั เจน 7. มีจิตวิทยาโน้นน้าวใจ 8. มีความสามารถในการใชโ้ สตทศั นอปุ กรณ์ 9. มีความช่างสังเกต 10. มไี หวพรบิ ปฏภิ าณในการตอบคาถามดี การตอบคาถามในการนาเสนอการตอบคาถามเป็นสว่ นหนึง่ ของการนาเสนอแม้ว่าการนาเสนอเรอื่ งตา่ งๆ จะเป็นการนาเสนอทม่ี ีวัตถุประสงค์เพ่ือการบอกเลา่ เรื่องให้ทราบซึง่ เป็นการส่อื สารทางเดยี วจากผูน้ าเสนอไปยงั ผ้รู บั การนาเสนอแต่ในการทจ่ี ะใหเ้ กิดการส่ือสารที่สมบูรณ์มคี วามเขา้ ใจถกู ต้องตรงกัน ก็ควรจะมชี ว่ งเวลาทีเ่ ปิดให้ มีการซกั ถามขอ้ สงสัยหรือส่ิงท่ตี ้องการคาอธิบายเพ่มิ ขึน้ เปน็ การสอ่ื สารสองทาง ในการนาเสนอส่วนใหญ่จะมกี าร เชื้อเชิญใหม้ ีการซกั ถามในตอนทา้ ยของการนาเสนอดงั น้ันผนู้ าเสนอจงึ ตอ้ งมีหลักการเปน็ ข้อยึดถอื ในการปฏบิ ตั ิ ดังนี้ 1. ตอ้ งจดั เวลาให้เหมาะสมในการเปดิ การซกั ถาม อยา่ ใหม้ เี วลามากเกนิ ไปจนเกดิ คาถามท่ีไม่มีสาระหรือ คาถามทตี่ ัง้ ใจให้การนาเสนอเกดิ การเสยี หายแต่กค็ วรจะเผอื่ เวลาให้เพยี งพอ

2.. ต้องคาดคะเนคาถามที่จะเกดิ ขึน้ ไวล้ ว่ งหนา้ เพื่อจะได้เตรยี มคาตอบท่ีเหมาะสม และสามารถเตรยี ม เอกสาร หรือหลักฐานประกอบคาตอบได้ 3. ตอ้ งแสดงความยนิ ดีต้อนรับคาถาม แม้จะเป็นคาถามที่ไร้สาระหรอื แฝงดว้ ยความประสงคร์ ้ายแตก่ ็ สามารถจะเลอื กตอบ และสงวนคาตอบไวต้ อบเฉพาะตัวผู้ถามภายหลังกไ็ ด้ 4. ตอ้ งรจู้ กั การชว่ ยขดั เกลาคาถามท่วี กวน หรอื คลุมเครอื หรอื ช่วยเรยี บเรยี งคาถามท่มี ขี ้อความยืดยาว เยน่ิ เยอ้ื ให้กระชับขนึ้ 5. ต้องตอบให้ตรงประเด็น หมายถึงตรงกับเรอ่ื งท่ถี ามไม่ตอบเลยี่ ง หรือตอบคลุมเครือ นกั เรยี นควรนาความรู้ทไ่ี ดไ้ ปถา่ ยทอดใหผ้ ูอ้ น่ื ไดร้ บั รรู้ บั ทราบการคิดรปู แบบเพอ่ื นาเสนอมีคาแนะนาดังน้ี 1. คานงึ ถึงผ้อู ่านหรอื ผู้ฟังโดยยดึ หลักการนาเสนอให้เขา้ ใจง่าย น่าสนใจ 2.วิธีการนาเสนอ เช่น รายงานเปน็ เอกสารรายงานปากเปล่า จดั นทิ รรศการ อาจจาเปน็ ต้องทา หลายรูปแบบเพือ่ ใหผ้ ลงานแพร่หลายมากขนึ้ 3.ผลงานบางโครงงานมีวัสดุประกอบการรายงานจะต้องเลือกให้เหมาะสม 4.บางโครงงานอาจนาเสนอได้ด้วยการแสดง เล่าเป็นนิทานเชดิ หนุ่ ประกอบบรรยาย นาเสนอด้วย โปรแกรมคอมพวิ เตอร์ Power point 5.โครงงานที่นาเสนอตอ่ ชมุ ชน อาจทาในรปู แบบของแผงโครงงานซงึ่ เป็นแผงนทิ รรศการทีพ่ ับ เกบ็ สะดวก เคลอื่ นย้ายง่าย นาไปติดตั้งได้ทนั ที 6.การนาเสนอมหี ลากหลายวธิ ี ทัง้ น้ขี ้ึนอยู่กับความสามารถ ความคิดสรา้ งสรรคค์ วามต้องการ ของกลุ่ม และความเหมาะสมในแตล่ ะสถานการณแ์ ละเวลา 7.ตวั อยา่ งการนาเสนออื่น ๆ เช่น นิทรรศการ รายงานปากเปล่าเสนอแผงโครงงานรว่ มกับ รายงานปากเปลา่ จดั แสดงบนเวที เสนอด้วยแผน่ ใส หรือสไลด์หรอื วดี ที ัศนพ์ ร้อมคาอธิบาย หัวข้อในการนาเสนอโครงงาน มีดังน้ี 1. ชอ่ื โครงงาน 2. ชือ่ ผจู้ ัดทาโครงงาน 3. ช่ือครทู ีป่ รึกษา 4. ท่มี าของโครงงาน 5. วิธีดาเนนิ การ (ถา้ มรี ูปภาพประกอบดว้ ยจะดีมาก) 6. ผลการทดลอง 7. สรปุ ผล 8. ข้อเสนอแนะ ท้ังหมดทไ่ี ดก้ ลา่ วมาแล้วนัน้ จะต้องทาหรือเขยี นดว้ ยความประณตี สวยงามสามารถหาส่งิ ประดบั มา ตกแตง่ ให้สวยงามได้โครงงานท่ีทาเสร็จแลว้ ถ้าไมม่ ีการเผยแพรก่ ็ไม่เกิดประโยชน์ ดงั น้นั นกั เรยี นจึงควรให้ ความสาคัญในเรือ่ งน้ี และคิดวิธกี ารเผยแพรใ่ ห้นา่ สนใจเพอื่ ให้ผลงานของนกั เรยี นเกดิ ประโยชนส์ ูงสดุ ทงั้ ตอ่ ตัว นกั เรยี นเองและผทู้ ่ีสนใจ

เฉลย แบบทดสอบ วชิ าภาษาไทยเพอ่ื อาชีพ รหัสวชิ า 20000 – 1102 ใหน้ กั ศึกษาทาเคร่อื งหมาย × ในกระดาษคาตอบให้ถูกตอ้ งทีส่ ุดเลือกเพยี งคาตอบเดยี ว 1.เป็นความหมายของการฟงั และดู ก. การท่ีมที ง้ั เสียงและภาพ ข. การรบั ร้คู วามหมายของสาร ค.การรู้ความหมายของสารผา่ นสือ่ ง.การรับสารผ่านสอ่ื ทม่ี ีเสยี งหรอื ภาพ 2.ขอ้ ใดจัดเปน็ ความสาคญั ของการฟังและดู ก.เปน็ กจิ กรรมการส่อื สารทีต่ รวจสอบได้ ข.เปน็ กิจกรรมทีพ่ ัฒนาศักยภาพมนุษยไ์ ด้ ค.เปน็ กจิ กรรมท่มี นุษยท์ ุกคนสนใจร่วมกนั ง.เปน็ กจิ กรรมทมี่ นษุ ย์ใช้ในชีวติ ประจาวัน 3.ข้อใดฟังและดผู ่านสือ่ บคุ คลโดยตรง ก.ภาพยนตร์ ข.รายการคดเี ดด็ ค.คอนเสิรต์ การกุศล ง.รายการคณุ พระช่วย 4.ขอ้ ใดส่ือความหมายไดโ้ ดยไม่ใชเ้ สยี ง ก.ละครเวที ข.วิทยุชมุ ชน ค.นิทรรศการ ง.ภาพยนตร์สัน้ 5.ขอ้ ใดจัดเปน็ สารจากสื่อสงิ่ พมิ พ์ ก.สารคดี ข.ข่าวสาร ค.บทความ ง.ทกุ ข้อท่ีกลา่ วมา 6.ขอ้ ใดเปน็ มารยาทในการฟังและดู ก.โนรีเปดิ โทรทัศนเ์ สยี งดงั ดูอยู่คนเดยี ว ข.สมพรปรบมอื เมอ่ื มีการกลา่ วแนะนาตัวผู้พูด ค.วมิ ลนงุ่ กางเกงขาส้ันไปชมโบสถว์ ัดพระแกว้ ง.บงกชเดนิ เข้าออกบอ่ ยในขณะฟังปาฐกถา 7.ขอ้ ใดเปน็ สิ่งแรกท่จี ะตอ้ งทาในการฟังและดู ก.เตรียมจุดประสงค์ ข.เตรียมบันทึกภาพ

ค.เตรียมบนั ทกึ เสยี ง ง.เตรยี มตัวให้พร้อม 8. ข้อใดเป็นการฟังเพ่อื ความเพลิดเพลนิ ก.เวทีลกู ทงุ่ ไทย ข.ขา่ วเดด็ ยามดึก ค.พืชเกษตรเศรษฐกจิ ง.ขา่ วธรุ กจิ วเิ คราะหต์ ลาดหนุ้ 9.ข้อใดเปน็ การฟงั และดูเพ่อื การตัดสินใจ ก.ข่าวธุรกจิ บนั เทิงรายวนั ข.ประกาศขายสินคา้ มือสอง ค.สัมมนาผู้บรหิ ารการศึกษา ง.ประกาศผลการสอบคัดเลือก 10. ข้อใดเป็นการฟังและดเู พ่ือความรู้ ก.หาคลืน่ ความถว่ี ทิ ยุ ข.หาคาศพั ทจ์ ากเพลง ค.หาเพอื่ นทางอนิ เทอรเ์ น็ต ง.หาเบอรโ์ ทรศัพทจ์ ากเพื่อน 11.ขอ้ ใดไมใ่ ช่ประเภทของคาสงั่ ในการปฏิบตั งิ าน ก.คาสัง่ โดยอ้อม ข.คาสง่ั โดยตรง ค.คาส่งั แบบแนะนา ง.คาส่ังแบบข้อรอ้ ง 12. ขอ้ ใดจัดเปน็ คาสั่งโดยตรง ก.“ตา่ ยช่วยปิดไฟให้ด้วย” ข.“ตยุ้ อย่ายืนขวางทาง” ค.“ตุม้ ไปตักนา้ มาเรว็ ” ง.ขอ้ ข.. และข้อ ค. ถูก 13. ข้อใดจัดเปน็ คาส่งั แบบขอร้อง ก. “หนูนิดชว่ ยพายเรือใหป้ ้าพวงกอ่ น” ข. “พลอยใส อย่ารบี เดิน รอฉันด้วย” ค.“ตอ้ ยต่งิ อย่าแวะเลย ไปกอ่ นเถอะ” ง.ถูกทุกข้อทกี่ ล่าวมา 14. ขอ้ ใดแตกต่างจากข้ออนื่ ก.“นับดาวหยุดพูดเสยี ที ฉนั หนวกห”ู ข.“กกุ๊ ไกเ่ ปดิ ประตเู ดย๋ี วน้ี แม่จะเข้าบา้ น”

ค.“ลุงแตม้ ถามมันดูสิ มันอาจยอมบอกกไ็ ด”้ ง.“หา้ มทจุ รติ ถา้ พบว่าลอกกัน ครจู ะปรบั ตก” 15. ข้อใดแตกต่างจากข้ออ่นื ก. “อยา่ ไปซือ้ เขาขายแพง” ข. “ฝนตกอย่าออกไป เด๋ยี วจะเป็นหวดั ” ค. “เขาหา้ มหวีผมตอนกลางคืน ไม่รหู้ รือ” ง. “อยา่ มายิงนกตกปลานะ มันบาปรไู้ หม” 16. ขอ้ ใดคือความหมายของคูม่ อื ก.เอกสารเผยแพรค่ วามรู้สาหรับประชาชนทัว่ ไป ข.เอกสารรายงานการปฏิบัตงิ านทีใ่ ชส้ าหรบั เผยแพร่ ค.เอกสารทใ่ี ชส้ าหรับแปลความหมายคล้ายพจนานกุ รม ง.เอกสารท่จี ดั ทาขน้ึ เพื่อศึกษาเรื่องใดเรอ่ื งหน่ึงโดยเฉพาะ 17.ขอ้ ใดไมใ่ ชค่ วามสาคัญของคมู่ อื ก.ช่วยอานวยความสะดวกในระดับหนึง่ ข.ปอ้ งกนั ปัญหาท่ีจะเกิดขน้ึ กบั การทางาน ค.มกั จะมปี ระกอบมากับผลิตภัณฑท์ ีส่ ง่ั ซ้อื ง.เน้อื หาของข้อมลู เป็นประโยชนต์ อ่ การทางาน 18.ขอ้ ใดไมเ่ กยี่ วขอ้ งกบั คู่มอื การปฏิบัตงิ านองคก์ ร ก.คมู่ ือการปฏิบตั งิ านพัสดุ ข.คมู่ ือการปฏิบัติงานสารบรรณ ค.คมู่ อื การปฏบิ ตั ิงานด้านการเงนิ ง. ขอ้ ข. ขอ้ ค. ถูก 19.ข้อใดไมใ่ ชว่ ตั ถุประสงค์ของคมู่ อื การใช้ผลติ ภณั ฑ์ ก.ทาให้ผู้ใช้รูจ้ กั วธิ ีการใช้งานทีถ่ ูกต้อง ข.ทาใหก้ ารปฏบิ ตั งิ านองค์กรมีมาตรฐานเดียวกัน ค.ป้องกนั การเสียหายจากการใช้งานไม่ถกู ต้อง ง.ผู้ใช้งานสามารถแก้ปญั หาไดด้ ว้ ยตนเองในระดบั หน่งึ 20. ข้อใดคือความหมายของการนาเสนอผลงาน ก.การนางานท่ีผลิตขึ้นมาจัดแสดง ข.การนาผลงานจากท่ีอ่นื มาจัดแสดง ค.การผลติ ผลงานข้นึ เพ่อื การจัดแสดง ง.การนาผลงานของตนเผยแพรใ่ ห้สงั คมไดร้ บั ทราบ 21.ขอ้ ใดจดั เปน็ ข้อบกพร่องของการสาธิต ก.สารวยลืมแจกเอกสารผู้เขา้ ชมการสาธิต ข.สาราญลืมสอบถามท่อี ยขู่ องผมู้ าชมสาธิต

ค.นคิ มลืมเก็บน้ายาล้างจานหลังจบการสาธิต ง.กาจายลืมกญุ แจรถไวต้ อนท่อี ออกไปสาธิต 22.ขอ้ ใดไมเ่ หมาะทจ่ี ะนาเสนอแบบสาธติ ก.การผลติ หัวรถจักรไอนา้ ข.การจัดดอกไมส้ ไตล์ญีป่ ุ่น ค.การเปลย่ี นถ่ายน้ามันเครือ่ ง ง.การขับรถไถนาแบบเดนิ ตาม 23.ข้อใดเหมาะทจี่ ะนาเสนอแบบสาธติ ก.การผลติ นมอัดเมด็ ข.การทาปุ๋ยหมกั ชีวภาพ ค.การพาฝรั่งเทยี่ ววัดไทย ง.การทาบะหมีก่ ่ึงสาเรจ็ รปู 24.บคุ คลในขอ้ ใดควรปรบั ปรุงวิธกี ารนาเสนอ ก.ดารงชอบใช้วิธกี ารท่องจา ข.ชาตรีชอบอ่านให้ผูช้ มฟัง ค.ไมตรีอธบิ ายโดยให้ดูตัวอย่าง ง.นา้ มนต์ไม่ชอบสบตาผู้ฟังเลย 25.ขอ้ ใดจดั เปน็ ความไม่พรอ้ มในขณะท่ีนาเสนอ ก.ลูกนกเตรียมอุปกรณ์สาธติ ครบถ้วน ข.ลูกปลาฝกึ ซอ้ มทกุ ครง้ั ก่อนการสาธติ ค.ลูกหมูรสู้ ึกตื่นเตน้ เล็กน้อยขณะสาธิต ง.ลูกหมีรูส้ กึ หิวข้าวมากขณะนาเสนอ 26.ข้อใดไม่เหมาะท่ีจะนาเสนอแบบสาธติ ก.การจดั ต้ปู ลา ข.การจดั กระเช้า ค.การจัดทาบัญชี ง.การจดั วางสินคา้ 27.นกั เรยี นคิดวา่ ขอ้ ใดจะทาใหก้ ารนาเสนอประสบผลสาเรจ็ ก.ต้งั ใจจริง ข.เช่อื ม่ันสูง ค.เตรียมการดี ง.เนอ้ื หาพร้อม 28.ข้อใดใชภ้ าษาไดเ้ หมาะสมท่ีสดุ ในการสาธิตทาอาหาร ก.“เตมิ น้าปลาลงไปเลก็ น้อย แลว้ ลองชมิ ด”ู ข.“เตมิ น้าและเกลอื ลงไป แลว้ คนใหเ้ ข้ากัน”

ค.“เติมน้าตาลทรายหลังจากเมลด็ ถั่วเปือ่ ย” ง.“เตมิ ซีอวิ้ ขาว ๒ ชอ้ นโต๊ะแลว้ ปดิ ฝา” 29.ขอ้ ใดเปน็ ลกั ษณะของการสัมภาษณง์ านทีช่ ัดเจนท่สี ุด ก.การตดิ ต่อส่ือสารกันเรื่องงาน ข.การตอบคาถามของผู้สมั ภาษณ์ ค.การสอ่ื สารกนั ระหวา่ งบุคคลสองฝา่ ย ง.การพดู คยุ ซกั ถามเพอื่ คัดเลือกคนเขา้ ทางาน 30.ขอ้ ใดไมใ่ ช่คุณสมบตั ิของผใู้ ห้สมั ภาษณง์ าน ก.แต่งกายสุภาพเรยี บรอ้ ย ข.ตอบคาถามดว้ ยเสยี งทช่ี ดั เจน ค.ออกเสียงคาควบกล้าใหช้ ัดเจน ง.ควรใชภ้ าษาเฉพาะหรือคาสแลง 31.ข้อใดไมใ่ ชค่ ณุ สมบัติของผู้รับโทรศัพท์ ก.ตอบคาถามและใหค้ าปรกึ ษา ข.ระลึกเสมอวา่ เปน็ งานบรกิ าร ค.คานงึ ถงึ มารยาทในการพูด ง.พูดคุยธุระและเร่ืองสว่ นตวั 32.ข้อใดตรงกบั ความหมายของการพดู แสดงความเหน็ ก.คณุ สนิทเขา้ ประชุมสหกรณก์ ารเกษตร ข.คณุ สนองกลา่ วคดั ค้านการย้ายสนามเปตอง ค.คุณสนมแสดงความรสู้ กึ ยนิ ดีเม่อื เปิดการประชมุ ง.คุณนิยมขอให้ท่ปี ระชมุ รับรองรายงานการประชมุ 33.นกั เรยี นคิดวา่ ขอ้ ใดมกี ารพดู เสนอความเหน็ ก.การทบ่ี ุคคลมาพบปะกนั ข.การท่บี ุคคลมารว่ มสังสรรคป์ ใี หม่ ค.การทีบ่ คุ คลมาแกไ้ ขปัญหาร่วมกัน ง.การท่ีบุคคลมาแสดงความยนิ ดตี อ่ กนั 34.ขอ้ ใดเกย่ี วข้องกับการแสดงความคดิ เห็น ก.ไมค่ ดิ ทีจ่ ะกลา่ วคัดค้านในเร่อื งใดเรอ่ื งหน่งึ ข.ไมเ่ ห็นด้วย และแสดงการคัดค้าน ค.เหน็ ด้วย และกลา่ วความเห็น ง.ข้อ ก. และขอ้ ข. ถูก 35.ข้อใดไม่เกยี่ วกับการเสนอความเหน็ ในท่ีประชมุ ก.เป็นกจิ กรรมท่ีสร้างสรรคส์ งั คมองคก์ รรปู แบบหน่ึง ข.เป็นกจิ กรรมทม่ี ีการเล้ยี งสงั สรรค์รว่ มกนั ในองค์กร

ค.เปน็ กจิ กรรมทนี่ ามาใชแ้ ก้ปญั หาและอุปสรรคในองคก์ รได้ ง.เป็นกจิ กรรมทส่ี าคญั ยิง่ ในการระดมความคิดเหน็ ของผู้เข้าประชุม 36.ข้อใดไมใ่ ชจ่ ดุ มงุ่ หมายของการพูดในท่ีประชมุ ก.เพอื่ ใหเ้ กดิ การประสานงานในการดาเนนิ งาน ข.เพอื่ รณรงคใ์ ห้องคก์ รใชเ้ วลาวา่ งให้เปน็ ประโยชน์ ค.เพือ่ กระตุ้นและสร้างแรงจงู ใจในการดาเนินงาน ง.เพือ่ ใหเ้ กดิ การแลกเปลย่ี นความรูแ้ ละประสบการณ์ 37.ข้อใดจัดเปน็ การเสนอความคดิ เหน็ ในทปี่ ระชุม ก.ผมขอฝากให้ทกุ ท่านนาไปเผยแพรใ่ ห้ทัว่ ถงึ กัน ข.คุณครูทุกท่านได้เอกสารครบแล้วใช่ไหมครับ ค.คณุ วเิ ชียรชว่ ยใหเ้ ลขานกุ ารแจกเอกสารให้ครบดว้ ยครบั ง.คณุ องอาจพดู มานั้นก็น่าสนใจครับ แตผ่ มว่ายังมีสงิ่ สาคญั อกี 38.ข้อใดเหมาะสมทีส่ ดุ ในการใช้ภาษาโตแ้ ย้ง ก.ดฉิ ันเห็นวา่ ทีค่ ุณสนองพูดมายังไม่ถูกค่ะ ข.ผมเห็นวา่ คุณเพลินใจไม่นา่ พดู เช่นนน้ั ค.คณุ วณี าลมื ไปแล้วหรอื ครับวา่ ไม่ควรพดู เรื่องนี้ ง.ผมวา่ คุณนิชาพดู มเี หตผุ ลน่าฟังครับ แตผ่ มไม่คิดเชน่ นน้ั 39.ขอ้ ใดพึงควรระวังในการเสนอความคดิ เห็น ก.ใชถ้ อ้ ยคาทไ่ี มเ่ สียดสผี ใู้ ดในท่ปี ระชุม ข.การยอมรับฟังความคิดเหน็ ของผู้อ่ืน ค.เมอ่ื เสนอความเห็นจบแล้วใหส้ รุปอกี ครั้ง ง.ใช้ความเห็นส่วนตวั ชน้ี าให้ทีป่ ระชมุ ยอมรับ 40.ข้อใดจดั เปน็ มารยาทในการพูดเสนอความเห็น ก.ใช้คาพูดสุภาพและใชน้ ้าเสยี งน่มุ นวล ข.เคารพกฎ กตกิ าและใหเ้ กยี รตทิ ป่ี ระชุม ค.ขออนญุ าตประธานก่อนการเสนอความเหน็ ง.ขออนุญาตประธานก่อนลกุ ออกจากห้องประชมุ

แบบทดสอบ วิชาภาษาไทยเพื่ออาชีพ รหัสวชิ า 20000 – 1102 ให้นกั ศึกษาทาเคร่อื งหมาย × ในกระดาษคาตอบให้ถกู ตอ้ งทีส่ ุดเลือกเพียงคาตอบเดียว 1.เปน็ ความหมายของการฟังและดู ก.การท่ีมีทง้ั เสยี งและภาพ ข.การรบั รคู้ วามหมายของสาร ค.การร้คู วามหมายของสารผา่ นสอ่ื ง.การรบั สารผ่านสอ่ื ทีม่ เี สยี งหรอื ภาพ 2.ข้อใดจัดเป็นความสาคัญของการฟังและดู ก.เปน็ กิจกรรมการสอ่ื สารท่ีตรวจสอบได้ ข.เป็นกิจกรรมทีพ่ ฒั นาศักยภาพมนษุ ยไ์ ด้ ค.เป็นกจิ กรรมทีม่ นษุ ยท์ กุ คนสนใจรว่ มกนั ง.เป็นกิจกรรมทม่ี นษุ ยใ์ ชใ้ นชีวิตประจาวัน 3.ข้อใดฟังและดผู า่ นส่อื บคุ คลโดยตรง จ.ภาพยนตร์ ฉ.รายการคดีเดด็ ช.คอนเสิร์ตการกศุ ล ซ.รายการคณุ พระชว่ ย 4.ขอ้ ใดส่ือความหมายไดโ้ ดยไมใ่ ช้เสียง จ.ละครเวที ฉ.วทิ ยุชุมชน ช.นิทรรศการ ซ.ภาพยนตรส์ น้ั 5.ข้อใดจัดเปน็ สารจากสอื่ สง่ิ พมิ พ์ จ.สารคดี ฉ.ข่าวสาร ช.บทความ ซ.ทกุ ข้อท่กี ล่าวมา 6.ข้อใดเปน็ มารยาทในการฟงั และดู จ.โนรเี ปดิ โทรทัศน์เสยี งดังดูอยูค่ นเดยี ว ฉ.สมพรปรบมอื เม่ือมกี ารกลา่ วแนะนาตวั ผู้พูด ช.วิมลนุ่งกางเกงขาสั้นไปชมโบสถ์วัดพระแกว้ ซ.บงกชเดนิ เข้าออกบ่อยในขณะฟงั ปาฐกถา 7.ขอ้ ใดเป็นส่งิ แรกที่จะต้องทาในการฟงั และดู จ.เตรยี มจดุ ประสงค์ ฉ.เตรยี มบนั ทกึ ภาพ

ช.เตรยี มบันทกึ เสยี ง ซ.เตรยี มตัวใหพ้ ร้อม 8.ขอ้ ใดเปน็ การฟงั เพื่อความเพลิดเพลิน จ.เวทลี ูกท่งุ ไทย ฉ.ข่าวเด็ดยามดึก ช.พืชเกษตรเศรษฐกจิ ซ.ขา่ วธรุ กิจวเิ คราะหต์ ลาดห้นุ 9.ขอ้ ใดเปน็ การฟังและดเู พอื่ การตัดสนิ ใจ จ.ขา่ วธรุ กิจบนั เทิงรายวนั ฉ.ประกาศขายสินค้ามือสอง ช.สัมมนาผ้บู รหิ ารการศึกษา ซ.ประกาศผลการสอบคัดเลือก 10.ขอ้ ใดเป็นการฟังและดูเพ่อื ความรู้ จ.หาคลนื่ ความถี่วิทยุ ฉ.หาคาศพั ทจ์ ากเพลง ช.หาเพ่อื นทางอนิ เทอร์เนต็ ซ.หาเบอร์โทรศัพทจ์ ากเพ่ือน 11.ข้อใดไมใ่ ช่ประเภทของคาส่งั ในการปฏิบตั งิ าน จ.คาส่ังโดยออ้ ม ฉ.คาส่งั โดยตรง ช.คาสัง่ แบบแนะนา ซ.คาส่ังแบบขอ้ ร้อง 12.ข้อใดจัดเปน็ คาส่ังโดยตรง ก.“ตา่ ยช่วยปิดไฟใหด้ ว้ ย” ข.“ตุ้ยอยา่ ยืนขวางทาง” ค.“ตุ้มไปตกั น้ามาเรว็ ” ง.ขอ้ ข.. และขอ้ ค. ถูก 13.ข้อใดจัดเปน็ คาส่ังแบบขอร้อง ก.“หนูนิดชว่ ยพายเรอื ให้ป้าพวงกอ่ น” ข.“พลอยใส อยา่ รีบเดิน รอฉนั ดว้ ย” ค.“ตอ้ ยตงิ่ อยา่ แวะเลย ไปก่อนเถอะ” ง.ถูกทุกข้อทกี่ ล่าวมา 14.ข้อใดแตกตา่ งจากข้ออนื่ ก.“นับดาวหยุดพดู เสยี ที ฉนั หนวกห”ู ข.“กกุ๊ ไกเ่ ปดิ ประตเู ดย๋ี วน้ี แมจ่ ะเขา้ บา้ น”

ค.“ลงุ แต้มถามมนั ดูสิ มนั อาจยอมบอกกไ็ ด”้ ง.“หา้ มทจุ ริต ถ้าพบว่าลอกกัน ครูจะปรบั ตก” 15.ข้อใดแตกตา่ งจากข้ออน่ื ก.“อย่าไปซอื้ เขาขายแพง” ข.“ฝนตกอย่าออกไป เดี๋ยวจะเป็นหวัด” ค.“เขาห้ามหวีผมตอนกลางคนื ไมร่ ู้หรอื ” ง.“อย่ามายิงนกตกปลานะ มันบาปรู้ไหม” 16.ข้อใดคือความหมายของคู่มอื จ.เอกสารเผยแพรค่ วามร้สู าหรบั ประชาชนทั่วไป ฉ.เอกสารรายงานการปฏบิ ตั ิงานทีใ่ ช้สาหรบั เผยแพร่ ช.เอกสารทใี่ ช้สาหรับแปลความหมายคล้ายพจนานุกรม ซ.เอกสารท่ีจดั ทาข้ึนเพื่อศกึ ษาเร่อื งใดเร่ืองหน่ึงโดยเฉพาะ 17.ข้อใดไมใ่ ช่ความสาคัญของคู่มือ จ.ชว่ ยอานวยความสะดวกในระดับหน่งึ ฉ.ป้องกนั ปญั หาทจ่ี ะเกิดขึน้ กบั การทางาน ช.มกั จะมีประกอบมากบั ผลติ ภณั ฑ์ท่สี ั่งซื้อ ซ.เนอื้ หาของข้อมูลเปน็ ประโยชนต์ ่อการทางาน 18.ขอ้ ใดไม่เกยี่ วข้องกับคมู่ อื การปฏบิ ตั งิ านองค์กร จ.คมู่ อื การปฏิบตั ิงานพัสดุ ฉ.คูม่ อื การปฏบิ ตั งิ านสารบรรณ ช.คมู่ ือการปฏิบตั งิ านด้านการเงิน ซ.ขอ้ ข. ข้อ ค. ถกู 19.ข้อใดไมใ่ ช่วตั ถุประสงค์ของคู่มอื การใชผ้ ลติ ภัณฑ์ จ.ทาใหผ้ ใู้ ชร้ ูจ้ กั วิธกี ารใช้งานที่ถูกตอ้ ง ฉ.ทาให้การปฏบิ ตั ิงานองค์กรมมี าตรฐานเดยี วกัน ช.ป้องกนั การเสียหายจากการใชง้ านไม่ถกู ต้อง ซ.ผ้ใู ชง้ านสามารถแก้ปัญหาไดด้ ้วยตนเองในระดับหน่ึง 20.ข้อใดคือความหมายของการนาเสนอผลงาน จ.การนางานที่ผลติ ขน้ึ มาจัดแสดง ฉ.การนาผลงานจากทอี่ ่นื มาจัดแสดง ช.การผลติ ผลงานขึน้ เพ่ือการจัดแสดง ซ.การนาผลงานของตนเผยแพร่ใหส้ งั คมไดร้ บั ทราบ 21.ข้อใดจดั เปน็ ขอ้ บกพรอ่ งของการสาธิต จ.สารวยลมื แจกเอกสารผูเ้ ขา้ ชมการสาธิต ฉ.สาราญลมื สอบถามทอี่ ยู่ของผู้มาชมสาธิต

ช.นคิ มลมื เก็บนา้ ยาลา้ งจานหลังจบการสาธิต ซ.กาจายลมื กุญแจรถไวต้ อนทอ่ี ออกไปสาธิต 22.ขอ้ ใดไมเ่ หมาะทจี่ ะนาเสนอแบบสาธิต จ.การผลิตหวั รถจักรไอน้า ฉ.การจัดดอกไม้สไตล์ญป่ี นุ่ ช.การเปล่ยี นถา่ ยนา้ มันเครอ่ื ง ซ.การขับรถไถนาแบบเดนิ ตาม 23.ข้อใดเหมาะท่ีจะนาเสนอแบบสาธิต จ.การผลิตนมอดั เมด็ ฉ.การทาปุย๋ หมกั ชวี ภาพ ช.การพาฝร่ังเที่ยววัดไทย ซ.การทาบะหมก่ี ึ่งสาเร็จรูป 24.บคุ คลในข้อใดควรปรับปรุงวิธกี ารนาเสนอ จ.ดารงชอบใช้วธิ ีการทอ่ งจา ฉ.ชาตรชี อบอ่านใหผ้ ชู้ มฟงั ช.ไมตรีอธบิ ายโดยใหด้ ูตวั อย่าง ซ.น้ามนต์ไมช่ อบสบตาผู้ฟังเลย 25.ขอ้ ใดจัดเปน็ ความไม่พร้อมในขณะทีน่ าเสนอ จ.ลูกนกเตรยี มอปุ กรณส์ าธิตครบถว้ น ฉ.ลกู ปลาฝกึ ซอ้ มทุกครั้งกอ่ นการสาธติ ช.ลูกหมรู ูส้ ึกตืน่ เต้นเลก็ น้อยขณะสาธติ ซ.ลกู หมรี สู้ กึ หวิ ข้าวมากขณะนาเสนอ 26.ข้อใดไมเ่ หมาะที่จะนาเสนอแบบสาธติ จ.การจัดต้ปู ลา ฉ.การจัดกระเช้า ช.การจดั ทาบญั ชี ซ.การจัดวางสินคา้ 27.นกั เรยี นคิดวา่ ขอ้ ใดจะทาใหก้ ารนาเสนอประสบผลสาเรจ็ จ.ต้ังใจจริง ฉ.เชื่อมน่ั สงู ช.เตรียมการดี ซ.เน้ือหาพรอ้ ม 28.ข้อใดใชภ้ าษาไดเ้ หมาะสมท่สี ดุ ในการสาธิตทาอาหาร จ.“เติมน้าปลาลงไปเล็กนอ้ ย แลว้ ลองชิมด”ู ฉ.“เติมนา้ และเกลอื ลงไป แลว้ คนใหเ้ ขา้ กัน”

ช. “เติมนา้ ตาลทรายหลงั จากเมล็ดถั่วเป่ือย” ซ. “เตมิ ซอี ิว้ ขาว ๒ ชอ้ นโตะ๊ แลว้ ปดิ ฝา” 29.ข้อใดเปน็ ลักษณะของการสัมภาษณง์ านทช่ี ดั เจนทสี่ ดุ จ.การตดิ ต่อส่ือสารกันเร่อื งงาน ฉ.การตอบคาถามของผสู้ ัมภาษณ์ ช.การสอื่ สารกนั ระหว่างบคุ คลสองฝา่ ย ซ.การพดู คยุ ซกั ถามเพื่อคดั เลอื กคนเขา้ ทางาน 30.ข้อใดไมใ่ ชค่ ุณสมบตั ขิ องผู้ใหส้ มั ภาษณง์ าน จ.แต่งกายสภุ าพเรยี บร้อย ฉ.ตอบคาถามดว้ ยเสียงทช่ี ัดเจน ช.ออกเสียงคาควบกลา้ ใหช้ ดั เจน ซ.ควรใช้ภาษาเฉพาะหรอื คาสแลง 31.ขอ้ ใดไม่ใชค่ ณุ สมบัตขิ องผรู้ ับโทรศัพท์ จ.ตอบคาถามและให้คาปรึกษา ฉ.ระลกึ เสมอวา่ เปน็ งานบรกิ าร ช.คานงึ ถงึ มารยาทในการพูด ซ.พดู คยุ ธรุ ะและเร่ืองส่วนตวั 32.ขอ้ ใดตรงกบั ความหมายของการพดู แสดงความเห็น จ.คณุ สนิทเข้าประชมุ สหกรณก์ ารเกษตร ฉ.คุณสนองกลา่ วคัดค้านการยา้ ยสนามเปตอง ช.คณุ สนมแสดงความรูส้ กึ ยินดเี มอื่ เปิดการประชุม ซ.คุณนิยมขอใหท้ ีป่ ระชุมรับรองรายงานการประชมุ 33.นกั เรยี นคิดวา่ ขอ้ ใดมกี ารพดู เสนอความเหน็ จ.การทบ่ี คุ คลมาพบปะกนั ฉ.การทบ่ี คุ คลมารว่ มสังสรรค์ปใี หม่ ช.การทีบ่ คุ คลมาแก้ไขปญั หาร่วมกนั ซ.การทบี่ คุ คลมาแสดงความยนิ ดตี ่อกัน 34.ข้อใดเกย่ี วขอ้ งกบั การแสดงความคิดเหน็ จ.ไมค่ ดิ ทจี่ ะกล่าวคดั ค้านในเรื่องใดเรือ่ งหนึ่ง ฉ.ไมเ่ หน็ ด้วย และแสดงการคัดคา้ น ช.เห็นด้วย และกล่าวความเหน็ ซ.ขอ้ ก. และข้อ ข. ถกู 35.ข้อใดไมเ่ กยี่ วกับการเสนอความเหน็ ในที่ประชุม จ.เปน็ กจิ กรรมทส่ี ร้างสรรคส์ งั คมองค์กรรปู แบบหนึ่ง ฉ.เปน็ กิจกรรมท่ีมีการเลีย้ งสังสรรค์ร่วมกันในองคก์ ร

ช.เปน็ กิจกรรมทนี่ ามาใช้แก้ปญั หาและอุปสรรคในองคก์ รได้ ซ.เปน็ กจิ กรรมท่สี าคญั ย่งิ ในการระดมความคดิ เหน็ ของผ้เู ข้าประชมุ 36.ข้อใดไมใ่ ชจ่ ุดมงุ่ หมายของการพดู ในทป่ี ระชมุ จ.เพื่อให้เกดิ การประสานงานในการดาเนนิ งาน ฉ.เพอื่ รณรงค์ให้องคก์ รใชเ้ วลาวา่ งให้เป็นประโยชน์ ช.เพื่อกระตนุ้ และสร้างแรงจูงใจในการดาเนินงาน ซ.เพอ่ื ใหเ้ กิดการแลกเปล่ยี นความรู้และประสบการณ์ 37. ขอ้ ใดจดั เปน็ การเสนอความคิดเห็นในทีป่ ระชุม จ.ผมขอฝากใหท้ กุ ทา่ นนาไปเผยแพร่ใหท้ วั่ ถงึ กัน ฉ.คุณครูทุกท่านได้เอกสารครบแล้วใช่ไหมครับ ช.คณุ วเิ ชียรช่วยให้เลขานุการแจกเอกสารใหค้ รบดว้ ยครับ ซ.คณุ องอาจพดู มานนั้ กน็ ่าสนใจครบั แต่ผมวา่ ยงั มีส่ิงสาคญั อกี 38.ขอ้ ใดเหมาะสมทส่ี ดุ ในการใช้ภาษาโต้แยง้ ง.ดิฉันเหน็ ว่าท่ีคุณสนองพดู มายังไม่ถกู คะ่ จ.ผมเห็นว่าคุณเพลินใจไม่นา่ พูดเช่นน้ัน ฉ.คณุ วีณาลมื ไปแล้วหรอื ครับว่าไมค่ วรพดู เรื่องน้ี ฆ.ผมว่าคณุ นิชาพดู มีเหตุผลน่าฟังครับ แต่ผมไมค่ ดิ เช่นนัน้ 39. ข้อใดพงึ ควรระวงั ในการเสนอความคิดเหน็ จ.ใชถ้ ้อยคาท่ไี ม่เสียดสีผูใ้ ดในที่ประชมุ ฉ.การยอมรับฟงั ความคดิ เห็นของผอู้ นื่ ช.เมอ่ื เสนอความเหน็ จบแลว้ ให้สรปุ อีกครัง้ ซ.ใช้ความเหน็ ส่วนตัวช้นี าใหท้ ี่ประชมุ ยอมรบั 40. ข้อใดจดั เปน็ มารยาทในการพดู เสนอความเหน็ ก.ใชค้ าพดู สุภาพและใช้น้าเสยี งนมุ่ นวล ข.เคารพกฎ กติกาและใหเ้ กยี รติทปี่ ระชมุ ค.ขออนญุ าตประธานก่อนการเสนอความเห็น ง.ขออนุญาตประธานก่อนลกุ ออกจากหอ้ งประชุม


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook