“ การทางานไมจ่ าเปน็ ตอ้ งเปน็ อัจฉริยะ ไม่จาเปน็ ตอ้ งเหนือผู้อ่ืน แต่ขอให้ ทำงำนรว่ ม กับเขาได้ งานนนั้ ก็จะสาเร็จ ”
ทำไมจะต้องทำงำนเป็นทีม ทางานเกง่ คนเดียวเกง่ ได้ไมน่ าน เอาความเกง่ ของแต่ละคนมารวมกัน หลายหวั ดีกวา่ หวั เดยี ว
ประเด็นที่สำคัญ แนวคดิ และหลักการเก่ยี วกบั การทางานร่วมกนั ขนั้ ตอนการทางานเป็นทีม ปญั หาและอุปสรรคของการทางานเปน็ ทมี ลกั ษณะของทีมท่มี ีประสิทธภิ าพ ความสาคญั ในการสื่อสาร การเพิ่มพูนประสิทธภิ าพในการสื่อสาร เพ่ือประสานงานในการทางานเป็นทมี
ความสาคัญของทมี การสร้างทีมงานและการพัฒนาองค์กร นนั้ เป็นกิจกรรมที่ดีทส่ี ุด การทางานเปน็ ทมี จะเปน็ ประโยชน์สูงสุดของ องคก์ ร และมีโอกาสประสบผลสาเร็จมากกว่า การทางานคนเดยี ว แตก่ ารสร้างทีมงานนนั้ ตอ้ งใช้เวลา ในการ พัฒนาบคุ คล และพัฒนาทีมงานพอสมควร จงึ จะเปน็ ทมี ทีม่ ปี ระสิทธิภาพ “หลายหัวดกี ว่าหวั เดียว”
ลักษณะกำรทำงำนร่วมกัน 1. 1. 2. การทางาน การทางานร่วมกันแบบ แบบเอาบคุ คล เป็นคณะหรอื เปน็ ทมี โดยสมาชกิ ทราบ มารวมกลมุ่ วัตถปุ ระสงค์รหู้ นา้ ท่ี มีกฎระเบยี บผลงาน ไมม่ กี ารแบง่ หนา้ ที่ ออกมาสูงเป็นที่พอใจ ไมม่ ีกฎระเบยี บ ของสมาชกิ ทกุ คน ไมม่ ีวัตถุประสงค์ พอใจในผลงาน ผลงานอาจสูงหรอื ต่า
ทมี กลมุ่ ของบุคคลท่ที ำงำนรว่ มกัน เพ่ือบรรลุวตั ถปุ ระสงค์เดยี วกนั โดยสมาชกิ ต้องเสียสละความเป็นส่วนตวั มคี วามเขา้ ใจ มีความผูกพันและให้ความร่วมมือกัน เพ่ือให้บรรลเุ ป้าหมายของทมี ได้ กำรท่ีบคุ คล 2 คนข้ึนไป มำทำงำนรว่ มกัน เพื่อบรรลจุ ดุ ม่งุ หมายเดยี วกันอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ และผปู้ ฏบิ ัตติ า่ งเกิดความพอใจในการปฏบิ ตั ิ ตอ่ กนั และกัน ผลงานที่ได้มาจากการรว่ มแรงร่วมใจกนั ของสมาชกิ ในทีมทม่ี ีประสิทธภิ าพ บรรยากาศ ในทีมงานสมาชิกจะมีความร้สู ึกมีความสุขสนุกสนาน และรสู้ ึกว่าตนเองก้าวหน้าประสบความสาเรจ็
แรงจงู ใจของมนษุ ย์ ควำมตอ้ งกำรทำงดำ้ นรำ่ งกำย ควำมต้องกำรทำงด้ำนควำมมัน่ คง ควำมต้องกำรทำงดำ้ นสังคม ควำมต้องกำรท่จี ะมีช่อื เสียง ควำมต้องกำรควำมสมหวงั ในชีวิต
ธรรมชำตมิ นุษย์ มนษุ ยพ์ ฤตกิ รรม 1. ชอบแสดมงนตุษยัว์มี (EXTROฉVลปEาดญั RโญTง)่ าใน การแสดงออกทางวาจา 2. ชอบเก็บตตัวเัวอง สีหนา้ ท่าทาง (IN TROVERT) 3. หัวรุนแรง มนษุ ยม์ ีควำมร้สู ึกนึกคิด (AMBIVERT) (เหตุที่มนษุ ย์มีความรัก เกลยี ด กลวั โกรธ ชิงชงั ชอบ)
ข้ันตอนกำรทำงำนเป็นทมี วิเครำะหง์ ำน กำหนดเป้ำหมำยรว่ มกัน วำงแผนกำรทำงำน กำหนดกิจกรรม แบง่ งำนให้สมำชกิ ของทีม ปฏบิ ตั จิ รงิ ตำมแผน ติดตำมผล และนิเทศงำน ประเมินขัน้ สุดทำ้ ย
อุปสรรคของกำรทำงำนเปน็ ทีม สามคั คีนัน้ ดอี ยู่แต่ตัวขา้ พเจา้ ตอ้ งเปน็ ใหญ่ ทางานคนเดียวดแี ละเกง่ ทางานหลายคนเจ๊ง ต่างคนต่างอยู่ ธุระไมใ่ ช่มากคน ก็มากเรอื่ งชงิ ดชี ิงเด่น ทาอะไรได้ตามใจคอื ไทยแท้มองเหน็ แตผ่ ลประโยชน์ ส่วนตนมองไม่เหน็ ผลประโยชน์ร่วมทงั้ หมด
ปัจจยั ทที่ ำใหท้ มี ไม่ประสบควำมสำเรจ็ คน วธิ กี าร ทางาน มกี ารแข่งขันชงิ ดกี ัน ระหว่างสมาชกิ ขาดการประเมินผลการ ทางานของทมี เม่อื มกี ารขดั แย้งกนั ในเร่ืองของ ซง่ึ ควรจะทาเปน็ ระยะ อย่างสม่าเสมอ ความคดิ เห็นเกดิ ข้ึน ก็มไิ ดม้ ีการหารือกนั ทาให้ขาดการทบทวน ในทางท่สี รา้ งสรรค์ เป้าหมายและวิธีการ หรือผดุงประสิทธิภาพ ซ่ึงอาจจะตอ้ งมีการ เปลย่ี นแปลงไปใหส้ อดคลอ้ ง ของทีม กบั สถานะขององค์กร
อปุ สรรคกำรทำงำนเปน็ ทมี ขาดการตกลงกนั ตงั้ แตเ่ ริ่มตน้ ขาดการพูดกนั ไม่แจ้งเป้าหมายของงาน มีการปกปดิ ขอ้ มลู ผดิ พลาดที่ผ่านมาสมาชิก หลกี เลี่ยงทจี่ ะเผชญิ ปญั หาและรว่ มกนั วเิ คราะห์ ปญั หา ไม่ได้ใชว้ ธิ กี ารประชุมหารือ เป็นเครอื่ งกระตุ้นเพ่ือ ใช้สมาธเิ กิดความรสู้ ึกผูกผนั ขาดการวางแผนงานและเวลา ไมม่ ีการแบง่ ความรบั ผดิ ชอบ เพื่อใหส้ มาชิกไดร้ ้บู ทบาทที่ชัดเจน ขาดการประเมนิ ผลการทางานของทมี ตารางตรวจติดตามประเมนิ ผล
แนวทำงกำรลดปัญหำ ในกำรทำงำนเปน็ ทีม 1. สรา้ งบรรยากาศการทางานทีด่ ี 2. มอบหมายงานต้องชดั เจนแนน่ อน 3. ยอมรับในเร่อื งความแตกตา่ ง ของสมาชิก
แนวทำงกำรลดปัญหำ ในกำรทำงำนเปน็ ทีม 4. ให้ใชป้ ระสบการณท์ ีม่ ีอยู่ ให้เกิดประโยชนส์ ูงสุด 5. ใหท้ กุ คนมีส่วนร่วม ในการกาหนดเปา้ หมาย 6. กาหนดจานวนผ้ทู างานให้เหมาะสม
แนวทำงกำรลดปัญหำ ในกำรทำงำนเป็นทีม 7. ใหท้ ุกคนมวี นิ ัยในการทางาน และทาตามกฎระเบยี บ 8. จะต้องกาหนดกิจกรรมนัน้ ๆ จะมวี ธิ ีปฏบิ ัติอยา่ งไร 9. จะตอ้ งทาทไ่ี หน อย่างไร เพื่ออะไร เวลาใด โดยใคร
แนวทำงกำรลดปัญหำ ในกำรทำงำนเป็นทมี 10. จะตอ้ งใช้ทรพั ยากรอะไรบ้าง 11. จะประสานกบั กิจกรรมอน่ื ๆ อยา่ งไร
ทมี ท่ีดีควรเปน็ อย่ำงไร 1. สมาชิกทมุ่ เทกาลังกาย ความคดิ เพื่องานและความสาเรจ็ 2. ทกุ คนตระหนักว่าเปน็ ผลงานของทมี ไม่ใช่ของคนใดคนหนงึ่ 3. ทกุ คนแสดงความคิดเหน็ อยา่ งจริงใจ เปดิ เผย 4. ไมม่ ีการเล่นการเมือง
ทีมท่ีดีควรเปน็ อย่ำงไร 5. แกป้ ญั หาโดยเรว็ 6. แข่งขนั กันเพื่อดีกว่า หรอื มากกว่า ไมใ่ ชเ่ พ่ือเดน่ หรอื ทาลาย 7. เช่อื มนั่ และไว้วางใจกนั 8. มีบรรยากาศของการชว่ ยเหลอื เก้อื กูล
ทมี ที่ดคี วรเปน็ อย่ำงไร 9. มีความผิดพลาดจะตอ้ งชว่ ยกันแกไ้ ขเหมือนของตนเอง 10. ถือความสาเรจ็ ของงานเปน็ หลัก เปิดโอกาส ให้มกี ารเรียนรู้
ทมี งำนสรำ้ งผลสัมฤทธ์ิ ข้ันที่ 1 ขัน้ ที่ 2 ขั้นที่ 3 เปน็ หนงึ่ ประชมุ ส่ือสารทัว่ ถงึ เดยี วกนั สม่าเสมอ และหาแนวรว่ ม (ONENESS) ขนั้ ที่ 4 ขน้ั ที่ 5 ขั้นที่ 6 นาเสนอ พบปัญหา ประเมนิ เป็นระยะ ทบทวนใหม่ ตรวจสอบ เป็นระยะ ขั้นท่ี 7 ตรวจสอบ ความรูส้ ึก ความคดิ
ยทุ ธวิธีเสริมสร้ำงตวั เรำ ใหผ้ ้อู นื่ อยำกรว่ มงำนด้วย ทมีจ่ คี ะทวาามใหมส้มุ่นามคีเรนั่ ็จวาม เหน็ ประโยชน์ มคี วาม ส่วนร่วม ซื่อสัตย์สุจริต เปน็ รู้จักชมเชย ใหก้ าลังใจ ประชาธปิ ไ มคี วามสุภาพ เพื่อนรว่ มงาน ออ่ นโยนเมตตา มอี ารมณต์มนั่ ยคง มีความ ไม่จู้จ้ีจกุ จิก รบั ผดิ ชอบสูง เจา้ ระเบียบ เกนิ ไป ไมเ่ ปน็ คนดู ไมเ่ ป็นคน ปมรีคะชวาาธมผถปิ เปูกไอู้ ต็น่ืนดย ูหมนิ่ ดถู กู ดหู ม่นิ ผู้อืน่
กำรใหค้ วำมและรบั ควำมรว่ มมอื ความร่วมมือเปน็ ฉันใดใคร่จะรู้ มนั แฝงอยู่แหง่ ไหนให้ฉงน เหตุไฉนจึงติดปากแทบทุกคน บา้ งก็บน่ “เขาไมใ่ หค้ วามรว่ มมือ” ใครได้รับ ความร่วมมือ ก็ชอบจิต งามสัมฤทธิ์สมหวังดังยึดถือ ทกุ คนต่างหวงั จะได้ “ความรว่ มมอื ”ใครบา้ งหรือคดิ จะ “ให้” โดยไม่แคลง หากคดิ อยากจะ “ได้” จากใครเขา ก็ตัวเรา “ให”้ หรือยงั ดงั แถลง อนั น้าใจไมตรีทแ่ี สดงยอ่ มเปน็ แหล่งสรา้ งมิตรสนทิ นาน
กำรส่ือสำร คอื กำรถ่ำยทอดควำมรู้ ควำมเขำ้ ใจ ควำมคิด ควำมรูส้ ึก และประสบกำรณ์ จำกผพู้ ูดไปสู่ผ้ฟู งั โดยใชถ้ อ้ ยคำ ภำษำ น้ำเสียงและกิรยิ ำทำ่ ทำง
กำรสื่อสำรเพื่อควำมเขำ้ ใจ กบั ผมู้ สี ่วนเก่ยี วขอ้ ง คณุ ลักษณะและ การพูดเพื่อโนม้ นา้ ว ตวั ช้วี ดั การสื่อสาร และสร้างการยอมรบั ทมี่ ีประสิทธิภาพ การสื่อสาร เทคนิคการ ด้วยภาษาเขียน นาเสนอตอ่ กลุ่ม รายงานผลกระชับ และเปน็ ท่ยี อมรบั
ปัจจัยควำมสำเรจ็ ของผพู้ ูด 1. ทาความเข้าใจ 2. ทาให้เปน็ กบั ผรู้ บั ข่าว เร่ืองงา่ ย 3. ตรงประเด็น 4. สร้าง ความมนั่ ใจ ให้ตัวเอง
ข้อปฏบิ ตั ิของผ้รู ับขำ่ ว หรอื ผู้ฟงั ขอ้ มลู ขำ่ วสำร สบตาผพู้ ูดระหวา่ งฟงั ใช้ภาษาท่าทางและสีหนา้ แสดงให้เห็นว่า ตงั้ ใจฟงั เช่น สบตา หลกี เลี่ยงพฤติกรรมท่ีเบย่ี งเบนความสนใจหรือ แสดงการเบือ่ ถามคาถามทเ่ี กย่ี วขอ้ ง ทบทวนดว้ ยการใชค้ าพูดของผู้ฟงั หลกี เล่ียงการขดั จงั หวะของผพู้ ูด อย่าพูดมากกวา่ ผู้ให้ขอ้ มูล หรอื ผูส้ ่ือสาร เช่อื มโยงบทบาทอย่างนุ่มนวล ระหวา่ งผูส้ ่ือสารและผู้รบั สาร ด้วยการทบทวนความเข้าใจ ถามคาถาม ฯลฯ
พู ดโน้มน้ำวหรือจูงใจ “กำรพูดในเชงิ ชักชวน เกลย้ี กล่อม โนม้ น้ำว ให้ผฟู้ งั เช่ือถอื ศรทั ธำ มคี วำมคดิ เหน็ คลอ้ ยตำมยอมรบั และ ปฏิบัติตำม ในส่ิงทเ่ี ปน็ ประโยชน์ ตอ่ ส่วนรวมเป็นสำคญั ”
ทกั ษะ ในกำรทำงำนเป็นทมี
Search
Read the Text Version
- 1 - 29
Pages: