9 แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 1 หลักการ และความรู้ทว่ั ไปเก่ียวกับการบญั ชี หัวขอ้ เน้อื หา 1. ภาพรวมของการบัญชี 2. กรอบแนวคดิ ทางการบัญชี 3. จรรยาบรรณของผ้ปู ระกอบวิชาชีพบัญชี 4. ขอบเขตของกรอบแนวคดิ ทางการบัญชี 5. การจาแนกประเภทบัญชี วัตถปุ ระสงค์เชิงพฤติกรรม 1. สามารถอธิบ ายกรอบแนวคิดทางบัญ ชี ผู้จัดทางบการเงิน ผู้สอบบัญ ชี คณะกรรมการมาตรฐานการรายงานทางการเงิน และผ้ใู ชง้ บการเงนิ 2. สามารถอธิบายขอบเขตของกรอบแนวคิดทางบัญชี วัตถุประสงค์ ลักษณะเชิง คุณภาพของข้อมูล องคป์ ระกอบของงบการเงนิ และแนวความคิดเกย่ี วกบั ทุนและการรักษาระดับทุน 3. สามารถภาพรวมของการบัญชี ประเภทของผู้ใช้งบการเงิน ประเภทของการบัญชี สถาบนั ทเี่ กยี่ วขอ้ งกับวิชาชพี และรูปแบบของธุรกิจ วิธสี อน และกิจกรรมการเรยี นการสอน 1. วิธีสอน 1.1 วิธสี อนแบบบรรยาย 2. กิจกรรมการเรยี นการสอน 2.1 ยกตวั อยา่ งประกอบ การอภิปราย การซักถามประเด็นสาคญั ต่าง ๆ 2.2 การทาแบบฝึกหัด แบบฝึกปฏิบตั ิ สื่อการเรยี นการสอน 1. เอกสารประกอบการสอนวิชาการบัญชกี ารเงิน
2 2. เว็บไซต์ตา่ ง ๆ ท่ีเกย่ี วข้อง www.fap.or.th, www.sec.or.th, www.set.or.th, www.rd.go.th, www.dbd.go.th, www.bot.or.th, www.aicpa.org 3. แบบฝกึ หดั ท้ายบทเรยี น การวัดผล และการประเมนิ ผล 1. การตั้งคาถามเพื่อให้นักศึกษาตอบ และอภิปรายในช้ันเรียน 2. การสอบย่อย การสอบกลางภาค และการสอบปลายภาค 3. ความถูกต้องของการทาแบบฝึกหัดในชั้นเรยี น และแบบฝกึ หักนอกชั้นเรียน
3 บทท่ี 1 หลกั การ และความรู้ทวั่ ไปเกย่ี วกับการบัญชี การบัญชีมีบทบาทสาคัญในการให้ข้อมูลที่จาเป็นจะต้องใช้ในการตัดสินใจ ข้อมูลทาง บัญชีส่วนใหญ่จะเป็นข้อมูลทางการเงินที่เป็นตัวเลข และมีความเก่ียวข้องกับหน่วยงานทางธุรกิจ หน่วยงานทางธุรกิจอาจเป็นบุคคลธรรมดา ห้างหุ้นส่วน บริษัทจากัด หรือหน่วยงานที่ไม่หวังผลกาไร เช่นมหาวิทยาลัยก็ได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานทางธุรกิจในลักษณะใดก็ตาม หน่วยงานทางธุรกิจ เหล่าน้ีต่างก็ต้องทราบถึงฐานะทางการเงิน และผลการดาเนินงานท่ีผ่านมาว่าประสบผลสาเร็จหรือ ลม้ เหลวหรือสามารถบรรลุเป้าหมายท่ีวางไว้ได้ดเี พียงใด หากปราศจากข้อมลู ทางการบัญชี การตัดสนิ ใจ ในเรื่องต่าง ๆ อาจเป็นไปอย่างไร้ทิศทาง เช่น ผู้ลงทุนจะไม่ทราบว่าบรษิ ัทใดดาเนินงานแล้วมีผลกาไร บริษัทใดมีผลขาดทุน หรือบริษัทไหนมีโอกาสที่จะต้องเลิกกิจการ ธนาคารไม่สามารถประเมินความ เสี่ยงของเงินท่ีปล่อยกู้ ฝ่ายบริหารไม่มีข้อมูลใช้ในการควบคุมต้นทุน กาหนดราคาขาย รัฐบาลไม่มี ข้อมูลใช้ในการเก็บภาษี เมื่อมีการนาข้อมลู ทางการบัญชีมาใช้อย่างมีประสิทธภิ าพในการตัดสินใจเชิง เศรษฐกจิ จะมีผลทาใหเ้ กิดการกระจายทรพั ยากรทม่ี ีอยอู่ ย่างจากดั ได้อย่างมปี ระสิทธิภาพ ภาพรวมของการบญั ชี ความหมายของการบัญชีน้นั มีหนว่ ยงานและนักวชิ าการไดใ้ ห้คาจากัดความไว้ ดงั น้ี สมาคมผู้สอบบัญชรี ับอนญุ าตของประเทศสหรัฐอเมริกา (The American Institute of Certified Public Accountants) ให้คาจากัดความของ การบัญชี หมายถึง ศลิ ปะของการจดบันทึก การจาแนกให้เป็นหมวดหมู่ และการสรุปผลส่ิงสาคัญในรูปตัวเงิน รายการ และเหตุการณ์ต่าง ๆ ซ่ึง เก่ยี วข้องกบั ทางดา้ นการเงนิ รวมท้ังการแปลความหมายของผลการปฏบิ ัติดังกล่าวดว้ ย สภาวิชาชีพบัญชี ในพระบรมราชูปถัมภ์ (Federation of Accounting Professions) ให้คาจากัดความของ การบัญชี หมายถึง ศิลปะของการเก็บรวบรวม บันทึก จาแนก และสรุปข้อมูล เกี่ยวกับเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจในรูปตัวเงิน ผลงานขั้นสุดท้ายของการบัญชี คือ การให้ข้อมูลทาง การเงนิ ซงึ่ เป็นประโยชน์ต่อบุคคลหลายฝ่ายในกจิ กรรมของกิจการ จากคาจากัดความข้างต้น สรุปได้ว่า การบัญชี คือ กระบวนการรวบรวมข้อมูล การจด บันทกึ การจาแนก การสรปุ ผล และการจัดทารายงานทางการเงินไวใ้ นรูปของเงนิ ตรา รวมถึงการแปล ความหมายของรายงานเกี่ยวกับการเงินดังกล่าว เพื่อสามารถนาไปใช้ในการตัดสินใจและวาง แผนการดาเนนิ งาน
4 วัตถุประสงค์ของการบัญชี คือ การค้นหาข้อมูลทางการบัญชีที่สาคัญต่อการประกอบ ธุรกิจ ซ่ึงสามารถสรุปผลออกมาในรูปของรายงานทางการเงิน โดยที่รายงานการเงินสามารถแสดง ข้อมูลเก่ียวกับฐานะการเงิน ผลการดาเนินงานและการเปล่ียนแปลงฐานะการเงินของกิจการ ซ่ึงผู้ใช้ งบการเงินทั้งกลุ่มผู้ใช้ภายนอกและผู้ใช้ภายในกิจการจาสามารถนามาเป็นเครื่องมือในการตัดสินใจ ดาเนินงานของธุรกิจ ส่วนกลุ่มผู้ใช้ภายนอกสามารถนาข้อมูลทางการบัญชีท่ีได้ไปใช้เพ่ือประโยชน์ในการ ตดั สนิ ใจเชิงเศรษฐกจิ งบการเงินท่ีจัดทาขนึ้ เพ่ือวัตถปุ ระสงค์ทว่ั ไปหรืองบการเงนิ หมายถึง งบการเงนิ ท่ีจัดทา เพ่ือสนองความต้องการของผู้ใช้งบการเงินซึ่งไม่อยู่ในฐานะท่ีจะเรียกร้องให้กิจการจัด ทารายงานที่มี การดดั แปลงตามความตอ้ งการข้อมลู ทเ่ี ฉพาะเจาะจง มาตรฐานการรายงานทางการเงิน หมายถงึ มาตรฐานและการตคี วามที่ออกโดยคณะกรรมการ กาหนดมาตรฐานการบัญชี ซ่ึงประกอบด้วย 1) มาตรฐานการรายงานทางการเงิน 2) มาตรฐานการบัญชี 3) การตคี วามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน และ 4) การตคี วามมาตรฐานการบัญชี จุดมุ่งหมายของงบการเงิน คือ การนาเสนอฐานะการเงินและผลการดาเนินงานทางการเงิน ของ กิจการอย่างมีแบบแผน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเก่ียวกับฐานะการเงิน ผลการดาเนินงานและ กระแสเงินสดของกิจการ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจเชิงเศรษฐกิจของผู้ใช้งบการเงินกลุ่มต่างๆ นอกจากนี้ งบการเงินยังแสดงถึงผลการบรหิ ารงานของฝ่ายบริหาร ซง่ึ ไดร้ ับมอบหมายให้ดแู ลทรพั ยากร ของกิจการเพื่อที่จะบรรลวุ ตั ถปุ ระสงคด์ งั กลา่ ว ดังนัน้ งบการเงนิ จะให้ข้อมูลทกุ ข้อดงั ตอ่ ไปนี้เกย่ี วกับกิจการ สินทรัพย์ หน้ีสิน ส่วนของเจ้าของ รายได้และค่าใช้จ่าย รวมถึงผลกาไรและขาดทุน เงินทุนที่ได้รับจากผู้ เป็นเจา้ ของและการจัดสรรส่วนทุนใหผ้ ู้เป็นเจ้าของในฐานะท่ีเป็นเจ้าของ กระแสเงินสด ข้อมลู เหล่าน้ีและ ข้อมูลอ่ืนท่ีเปิดเผยในหมายเหตุประกอบงบการเงินช่วยผู้ใช้งบการเงินในการคาดการณ์เกีย่ วกับจังหวะเวลา และความแนน่ อนท่กี ิจการจะก่อให้เกดิ กระแสเงินสดในอนาคตของกิจการ นักบญั ชจี ะทาหนา้ ที่ตามกระบวนการทางการบัญชีในการการรวบรวมข้อมูล การบนั ทึก รายการที่เกิดขึ้นประจาวัน การสรุปผลของข้อมูลและการสื่อสารข้อมูลเพ่ือการตัดสินใจในธุรกิจ เหล่าน้ี โดยส่ือสารออกมาในรูปของรายงานทางการเงิน ประโยชนของการรายงานทางการเงินให้ ข้อมูลเกี่ยวกับ 1) ทรัพยากรของกิจการ 2) สิทธิเรียกร้องต่อกิจการ 3) ความรับผิดชอบในการใช้ ทรพั ยากรอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพและไดประสิทธิผลของฝ่ายและคณะกรรมการกากับดูแล 1. ประเภทของผใู้ ชง้ บการเงิน ผู้ใช้ข้อมูลงบการเงินสามารถแบ่งประเภทได้เป็น 2 กลุ่มดังนี้คือ กลุ่มผู้ใช้ภายนอก (external users) และกลมุ่ ผ้ใู ชภ้ ายใน (internal users)
5 1.1 กลุ่มผู้ใช้ภายนอก (external users) เป็นกลุ่มผู้ใช้งบการเงินของกิจการ ประกอบด้วยผู้ลงทุน ลูกจ้างผู้ให้กู้ ผู้ขายสินค้าและเจ้าหน้ีอื่น ลูกค้า รัฐบาล หน่วยงานราชการ และ สาธารณชน บุคคลหรือหน่วยงานต่าง ๆเหล่าน้ี ใช้งบการเงินเพ่ือตอบสนองความต้องการหรือ วัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน กล่าวคือ ผู้ลงทุนรวมทั้งที่ปรึกษาของผู้ลงทุน ผู้ลงทุนท่ีเป็นผู้ถือหุ้นใน ปัจจุบันและผู้ที่อาจตัดสินใจลงทุนในอนาคตต้องการทราบถึงความเสี่ยงและผลตอบแทนจากการ ลงทุน ข้อมูลท่ีจะช่วยในการประเมินเก่ียวกับความสามารถของกิจการในการจ่ายเงินปันผลด้วย ผู้ลงทุนต้องการข้อมูลที่จะช่วยในการพิจารณาตัดสินใจซื้อขาย หรือถือเงินลงทุนนั้นต่อไป ลูกจ้าง ต้องการข้อมูลเก่ียวกับความมั่นคงในการจ้างงาน และความสามารถในการทากาไรของนายจ้าง นอกจากนั้นยังต้องการข้อมูลที่จะช่วยให้สามารถประเมินความสามารถของกิจการในการจ่าย ค่าตอบแทนบาเหน็จ บานาญ และโอกาสในการจ้างงาน ผู้ให้กู้ต้องการข้อมลู ทีจ่ ะช่วยในการพจิ ารณา วา่ เงินที่จะให้กู้ยมื และดอกเบี้ยท่ีเกิดขึ้น ตนจะได้รับชาระเม่ือครบกาหนด ผู้ขอกู้มีความสามารถ หรือ มีแนวโน้มอย่างไรเก่ียวกับการจ่ายชาระหน้ีดังกล่าว ผู้ขายสินค้าหรือเจ้าหน้ีการค้า และเจ้าหนี้อื่น ต้องการข้อมูลที่จะช่วยในการตัดสินใจว่า ตนจะได้รับชาระหนี้สินเม่ือครบกาหนด เจ้าหนี้การค้าให้ ความสนใจข้อมูลของกิจการในระยะเวลาที่สั้นกว่าผู้ให้กู้เน่ืองจากว่าระยะเวลาการให้สินเช่ือทางการ ค้าส้ันกว่าระยะเวลาการให้สินเชื่อทางการเงินรวมถึงการดาเนินงานของเจ้าหน้ีนั้นข้ึนอยู่กับการ ดาเนินงานต่อเนื่องของกิจการ ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ ลูกค้าต้องการทราบและใช้ข้อมลู เกีย่ วกับความ ต่อเนื่องของการดาเนินงานของกิจการ โดยเฉพาะกรณีท่ีมีความสัมพันธ์อันยาวนาน หรือต้องพึ่งพา กิจการน้ัน รัฐบาล และหน่วยงานราชการต้องการทราบถึงข้อมูลเก่ียวกับการ ดาเนินงานของกิจการ ในการจัดสรรทรัพยากร และกิจกรรมต่างๆของกิจการ หนว่ ยงานเหล่าน้ี ตอ้ งการขอ้ มลู เพอื่ การกากับ ดูแลกิจกรรม การพิจารณากาหนดนโยบายทางภาษี และเพ่ือใช้เป็นฐานในการคานวณรายได้ ประชาชาติ และจัดทาสถิติในด้านต่างๆ สาธารณชนต้องการทราบข้อมูลกิจการซ่ึงอาจก่อให้เกิด ผลกระทบต่อสาธารณชนในหลาย ๆ ทาง เช่น ด้านความรับผิดชอบต่อสังคม ด้านสิ่งแวดล้อม และ ด้านการพฒั นาและความเจรญิ มาสู่ชุมชนและสงั คมของตน 1.2 กลุ่มผู้ใช้ภายใน (internal users) การใช้ข้อมูลของกลุ่มน้ีจะมีวัตถุประสงค์ เฉพาะเรื่อง โดยส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการวางแผน การบริหารงานภายใน เพ่ือให้สามารถดาเนิน ธุรกิจต่อไปได้ เชน่ ผู้บริหารของฝ่ายการตลาด ต้องการทราบข้อมูลต้นทุนสินค้าใหม่เพ่ือกาหนดราคา ขายของสนิ ค้า ซึง่ จะส่งผลต่อรายได้ท่ีจะเกิดขน้ึ ของกิจการ ผู้บริหารของฝ่ายผลิต ต้องการทราบข้อมูล ต้นทนุ เพื่อวางแผนการลดคา่ ใช้จ่ายลง ฯ หรือวางแผนการใช้ทรพั ยากรให้มีประสทิ ธภิ าพ แม้ว่างบการเงินไม่อาจตอบสนองความต้องการข้อมูลของผู้ใช้งบการเงินได้ทุกกลุ่ม แต่ผู้ใช้งบการเงินทุกกลุ่มมีความต้องการข้อมูลบางส่วนที่มีลักษณะร่วมกัน ข้อมูลใดในงบการเงินที่ สามารถตอบสนองความต้องการส่วนใหญ่ของผู้ลงทุน ข้อมูลเหล่านั้นก็จะสามารถตอบสนองความ
6 ต้องการของผู้ใช้งบการเงินกลุ่มอื่นได้เช่นกัน เน่ืองจากผู้ลงทุนจะใช้ข้อมูลในการตัดสินใจลงทุน ซึ่ง เป็นกิจกรรมที่มีความเส่ียงหากผู้ลงทุนสามารถใช้ข้อมูลนั้นได้ ผู้ใช้งบการเงินกลุ่มอื่น ก็สามารถใช้งบ การเงินได้รูปแบบการจัดตั้งธุรกิจองค์กรธุรกิจสามารถจัดต้ังได้หลายลักษณะข้ึนอยู่กับความต้องการ ของผปู้ ระกอบการ 2. ประเภทของการบญั ชี ประเภทของการบัญชีมี 2 ประเภท คือ การบัญชีการเงิน (financial accounting) และการบัญชีบริหาร (managerial accounting) โดยมีรายละเอยี ดดังตอ่ ไปน้ี 2.1 การบัญชีการเงิน (financial accounting) หมายถึง การจัดทาบัญชีและ การรายงานทางการเงนิ ของกิจการท่ีจดั ทาภายใตก้ ฎเกณฑ์หลักการบญั ชีที่รบั รองทั่วไปหรอื มาตรฐาน บัญชี ให้แกผ่ ู้ใช้ งบการเงินภายนอกกิจการ เพ่ือใช้ประกอบการวางแผน ควบคุม และตัดสินใจในการ ดาเนินการต่างๆ ซึ่งผู้ใช้งบการเงินเป็นบุคคลภายนอกองค์การที่มีส่วนได้เสีย มีรูปแบบนาเสนอ รายงานในรูปของงบการเงนิ ตามมาตรฐานการบัญชี เนื้อหาในการนาเสนอการบญั ชกี ารเงนิ ประกอบ ไปด้วย รายงานผลการดาเนินงานท้ังองค์กร บันทึกบัญชีโดยหลักระบบบัญชีคู่ มีการนาเสนอข้อมูลท่ี เกิดในอดีตมาสรปุ ในรูปรายงานทางการเงิน ระยะเวลาในการนาเสนอเป็นรอบไตรมาสหรอื ประจาปี โดยอย่างน้อยต้องนาเสนอปีละครั้ง กระบวนการตรวจสอบใช้กระบวนการรายงานการนาเสนอต้อง ได้รับการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชีรับอนุญาต และมาตรฐานการนาเสนอต้องปฏิบัติตามมาตรฐาน การบัญชีรับรองโดยท่ัวไป รวมทั้งตามกฎระเบียบและข้อบังคับของหน่วยงานท่ีกากับดูแลและ กฎหมายทเ่ี กย่ี วขอ้ ง 2.2 การบัญชีบริหาร (managerial accounting) หมายถึง การจัดทาบัญชี และ รายงานทางการเงินของส่วนงานต่างๆ ในองค์กรให้แก่ฝ่ายบริหารของกิจการเพ่ือใช้ในการวางแผน ควบคุม และตัดสนิ ใจ การจดั ทาขอ้ มูลทางบัญชีจะทาตามความเหมาะสม และตามความต้องการของ ฝ่ายบริหาร ซึ่งผู้ใช้งบการเงินเป็นบุคคลภายในองค์การ รูปแบบการนาเสนอการบัญชีบริหารไม่มี รปู แบบในการนาเสนอ จะนาเสนอตามความต้องการของผู้ใช้ เนื้อหาในการนาเสนอการบัญชีบริหาร ประกอบไปด้วย รายงานผลโดยละเอียดเฉพาะเรื่องตามความต้องการของผู้ใช้ ใช้หลักการบันทึก บัญชีนอกเหนือจากงานระบบบัญชีคู่ และโดยทั่วไปนาเสนอข้อมูลในอนาคต ระยะเวลาในการ นาเสนอได้บ่อยคร้ังตามต้องการ กระบวนการตรวจสอบใช้กระบวนการรายงานการนาเสนอไม่ต้อง ได้รับการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชีรบั อนุญาตและมาตรฐานการนาเสนอไม่ต้องปฏิบัติตามมาตรฐาน การบญั ชที ี่รับรองโดยทั่วไป จะนาเสนอข้อมลู ตามความต้องการของผู้ใช้ การบัญชีการเงินจะต้องจัดทางบการเงินเพื่อให้บุคคลภายนอกนาไปใช้ประโยชน์ใน การตัดสินใจเชิงเศรษฐกิจ งบการเงินจึงต้องจัดทาข้ึนตามหลักการบัญชีท่ีรับรองท่ัวไป และมีการ
7 ตรวจสอบให้ความเห็นโดยผ้สู อบบัญชีรบั อนุญาต ตามความหมายของการบัญชกี ารเงิน และการบัญชี บริหารจะใช้ข้อมูลชุดเดียวกันในการจัดทารายงาน เพียงแต่รูปแบบการนาเสนอและเนื้อหาในการ นาเสนอรายงานแตกตา่ งกนั 3. สถาบันท่เี กี่ยวข้องกับวชิ าชีพบญั ชี สถาบนั ทเี่ ก่ียวขอ้ งกบั วชิ าชีพบัญชี แบ่งประเภทได้เปน็ 5 หน่วยงาน คือ 3.1 ส ภ าวิ ช าชี พ บั ญ ชี ใน พ ร ะ บ รม ราชู ป ถั ม ภ์ (The Federation of Accounting Professions) เป็นองค์กรวิชาชีพของประเทศไทย จัดต้ังข้ึนตามพระราชบัญญัติ วิชาชีพ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมและพัฒนาวิชาชีพของประเทศไทย โดยมีเว็บไซต์ www.fap.or.th 3.2 สานักงานคณะกรรมการกากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตาม พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มีหน้าท่ีกากับและพัฒนาตลาดทุนของ ประเทศ โดยมีบทบาทการกากับดูแลและคุ้มครองผู้ลงทุน ได้แก่ การเสนอขายหลักทรัพย์ให้แก่ ประชาชน เป็นตลาดหลักทรัพย์หรือศูนย์ซื้อขาย (ตลาดรอง) ผู้ประกอบธุรกิจตัวกลางในตลาดทุนที่ ต้องได้รับความไว้วางใจจากผู้ลงทุน โดย ก.ล.ต. ดูแลให้ใบอนุญาตประกอบธุรกิจและกากับดูแลการ ปฏิบัติงาน โดยพิจารณาถึงความมั่นคงและความพร้อมของระบบงานและบุคลากรของผู้ประกอบ ธุรกิจ เป็นผู้ประกอบวิชาชีพในตลาดทุน เช่น ที่ปรึกษาทางการเงิน ผู้สอบบัญชี สถาบันจัดอันดับ ความนา่ เชอ่ื ถอื โดยมีเวบ็ ไซต์ www.sec.or.th 3.3 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาด หลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ตลาดหลักทรัพย์มีบทบาทสาคัญ ดังนี้ ทาหน้าท่ีเป็นศูนย์กลางการซ้ือขาย หลักทรัพย์จดทะเบียน และพัฒนาระบบต่างๆ ที่จาเป็นเพื่ออานวยความสะดวกในการซ้ือขาย หลักทรัพย์ ดาเนินธุรกิจใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการซ้ือขายหลักทรัพย์ เช่น การทาหน้าท่ีเป็นสานักหัก บัญชี (clearing house) ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ นายทะเบียนหลักทรัพย์ หรือกิจกรรมอ่ืน ๆ ที่ เกี่ยวข้อง การดาเนินธุรกิจอื่น ๆ ท่ีได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกากับหลักทรัพย์ ดังนั้น การดาเนินงานหลัก จึงเป็นการรับหลักทรัพย์จดทะเบียนและดูแลการเปิดเผยข้อมูลของบริษัทจด ทะเบียน การซ้ือขายหลักทรัพยแ์ ละการกากบั ดูแลการซ้ือขายหลักทรัพย์ การกากบั ดูแลบริษัทสมาชิก สว่ นที่เกี่ยวข้องกับการซ้ือขายหลักทรัพย์ ตลอดจนถึงการเผยแพรข่ ้อมูลและการส่งเสริมความรู้ให้แก่ ผลู้ งทนุ โดยมีเว็บไซต์ www.set.or.th 3.4 ธนาคารแห่งประเทศไทย มีหน้าท่ีดูแล และควบคุมสถาบันการเงินต่าง ๆ คณะกรรมการในต่างประเทศท่ีเป็นผู้กาหนดมาตรฐานการรายงานทางการเงิน สถาบันวิชาชีพใน ต่างประเทศท่ีสาคัญ ๆ คือ International Accounting Standard Board (IASB) ก่อตัวขึ้นในปี
8 1973 เพ่ือทาหน้าที่กาหนดมาตรฐานการรายงานทางการเงิน โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือที่จะปรับปรุง มาตรฐานการรายงานทางการเงิน และให้ประเทศต่าง ๆ ในโลกใชม้ าตรฐานการรายงานทางการเงินท่ี มีลักษณะเหมือนกัน เพื่อให้งบการเงินเปรียบเทียบกันได้ และ Financial Accounting Standards Board (FASB) เป็นคณะกรรมการท่ีทาหน้าท่ีออกมาตรฐานการรายงานทางการเงินของประเทศ สหรฐั อเมรกิ า โดยมีเว็บไซต์ www.bot.or.th 3.5 กรมพัฒนาธุรกจิ การค้า มีภารกจิ สาคญั ทเ่ี กี่ยวข้องกับภาคธุรกิจอย่างครบวงจร ต้ังแต่เริ่มต้นประกอบธุรกิจไปจนถึงเลิกกิจการ เรียกได้ว่าเป็นองค์กร “ต้นสายปลายทางธุรกิจ” คือ ให้บริการตั้งแต่ จดทะเบียนธุรกิจและข้อมูลธุรกิจการกากับดูแลธุรกิจให้ปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมาย การพัฒนาศักยภาพธุรกิจตลอดจนการดาเนินการให้ธุรกิจสิ้นสภาพ ภายใต้วิสัยทัศน์องค์การ “มือ อาชีพดา้ นบริการ สร้างธรรมาภิบาลและมาตรฐานธุรกิจไทย” โดย ปฏิบัติภารกิจหลักด้านการบริการ จดทะเบียนและข้อมูลธุรกิจให้มีความง่าย สะดวกรวดเร็ว และประหยัด กากับดูแลกฎหมายที่อยู่ใน ความรับผิดชอบของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า 9 ฉบับ เพื่อสร้างธรรมาภิบาลธุรกิจ ยกระดับการ ประกอบธุรกิจบริการของประเทศไทยให้มีศักยภาพ มีระบบการบริหารจัดการท่ีดีและสอดคล้องกับ มาตรฐานสากล รวมท้ังส่งเสริมบทบาทสถาบันการค้าเพ่ือการพัฒนาเศรษฐกิจต้ังแต่ระดับชุมชนถึง ระดบั ประเทศ โดยมีเวบ็ ไซต์ www.dbd.or.th 4. รปู แบบของธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการคา้ แบง่ รูปแบบขององค์กรธรุ กจิ มี 7 รปู แบบ ดังน้ี 4.1 กิจการเจ้าของคนเดียว (sole-proprietorship) ธุรกิจท่ีมีบุคคลคนเดียวเป็น ผ้ลู งทุน และเป็นเจ้าของกิจการโดยลาพัง จะจดทะเบียนหรือไม่จดทะเบียนก็ได้ เว้นแต่ดาเนินกิจการ ท่ีเข้าข่ายเป็นกิจการตาม พ.ร.บ. ทะเบียนพาณิชย์ พ.ศ. 2499 กาหนดจะต้องทะเบียน โดยเจ้าของ กจิ การตอ้ งยื่นขอจดทะเบียนพาณิชยภ์ ายใน 30 วัน นบั แตว่ ันทไี่ ดเ้ ริ่มประกอบกจิ การ 4.2 ห้างหุ้นส่วนสามัญ (ordinary partnership) ห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือห้าง หุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน คือ ห้างหุ้นส่วนประเภทท่ีบุคคลตั้งแต่ 2 คนข้ึนไปตกลงเข้ากันเพ่ือ กระทากิจการร่วมกัน ด้วยประสงค์จะแบ่งปันกาไรอันจะพึงได้แต่กิจการท่ีทาน้ัน และผู้เป็นหุ้นส่วน หมดทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกันเพ่ือหน้ีสินท้ังปวงของห้างหุ้นส่วนโดยไม่มีจากัด ซ่ึงมีสภาพเป็นนิติ บุคคลตามกฎหมาย ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนรับผิดชอบร่วมกันในบรรดาหนี้สินทั้งปวง และต้องรับผิดชอบ หน้ีสินโดยไม่จากัดจานวน ท้ังน้ี ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนมีสิทธิเข้าเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการได้ นอกจากจะมีสัญญา ตกลงกนั เป็นอย่างอื่น 4.3 หา้ งหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล (juristic ordinary partnership) ห้างหุ้นส่วน สามญั ที่ได้จดทะเบยี น จึงมีสภาพเป็นนติ บิ ุคคลตามกฎหมาย
9 4.4 ห้ างหุ้ น ส่ วน จ ากั ด (limited partnership) ห้ างหุ้ น ส่ วน ป ระเภ ท ที่ ประกอบด้วยผู้เป็นหุ้นส่วน 2 ลักษณะ คือ ผู้เป็นหุ้นส่วนคนเดียวหรือหลายคน ซึ่งจากัดความ รับผิดชอบเพียงไม่เกินจานวนเงินที่ตนรับจะลงหุ้น (limited partner) และห้างหุ้นส่วนประเภทที่ ประกอบด้วยผู้เป็นหุ้นส่วน 2 ลักษณะ คือ ผู้เป็นหุ้นส่วนคนเดียวหรือหลายคน ซ่ึงต้องรับผิดชอบ ร่วมกันในบรรดาหน้ีของห้างหุ้นส่วนไม่จากัดจานวน (general partner) ผู้เป็นหุ้นส่วนจาพวกไม่ จากัดจานวน (general partner) เท่านั้นทส่ี ามารถเปน็ หนุ้ ส่วนผู้จดั การได้ กรณที ่หี า้ งห้นุ สว่ นจากัดยัง มิได้ทาการจดทะเบยี น กฎหมายใหถ้ อื วา่ เปน็ ห้างหนุ้ สว่ นสามัญ 4.5 บริษัทจากัด (limited company) คือ บริษัทที่ตั้งขึ้นด้วยการแบ่งทุนเป็นหุ้น มีมูลคา่ เท่า ๆ กนั โดยผูถ้ ือหนุ้ ต่างรบั ผิดจากัดเพียงไม่เกินจานวนเงนิ ทต่ี นยงั ชาระไม่ครบตามมลู คา่ หุ้น ที่ตนได้ถอื อยู่ มีผู้ถอื หุ้นตง้ั แต่ 3 คนขนึ้ ไป และตอ้ งจดทะเบียนเปน็ นติ ิบุคคล 4.6 บริษัทมหาชนจากัด (public company limited) บริษทั ซ่ึงต้ังขึ้นด้วยความ ประสงค์ที่จะเสนอายหุ้นต่อประชาชน ให้ผู้ถือหุ้นมีความรับผิดจากัดไม่เกินจานวนเงินค่าหุ้นที่ต้อง ชาระ และตอ้ งมผี ้ถู ือหุน้ ไมน่ อ้ ยกว่า 15 คน รว่ มกนั จัดตง้ั บริษทั มหาชนจากดั 4.7 องค์กรธุรกิจไม่แสวงหากาไรจัดตั้งโดยกฎหมายเฉพาะ (business organization established under specific law) คือ สมาคมการค้า และหอการค้า สมาคม การค้า คือ สถาบันท่ีบุคคลหลายคนซึ่งเป็นผู้ประกอบวิสาหกิจ (หมายถึง บุคคลซ่ึงประกอบธุรกิจ ทางการค้า อุตสาหกรรมหรือการเงิน และให้หมายความรวมถึงบุคคลซึ่งประกอบธุรกิจอื่นใดในทาง เศรษฐกิจท่ีรัฐมนตรีได้กาหนดในกฎกระทรวง) จัดตั้งขึ้นเพื่อทาการส่งเสริมการประกอบวิสาหกิจอัน มิใช่เป็นการหาผลกาไรหรือรายได้แบ่งปันกัน มีคณะกรรมการเป็นผู้ดาเนินกิจการ (พ.ร.บ. สมาคม การค้า พ.ศ. 2509 มาตรา 4) หอการค้า คือ สถาบันท่ีบุคคลหลายคนจัดต้ังขึ้นเพื่อส่งเสริมการค้า การบริการ การประกอบวิชาชีพอิสระ อุตสาหกรรม เกษตรกรรม อันมิใช่เป็นการหาผลกาไรหรือ รายได้แบ่งปันกัน (พ.ร.บ. หอการคา้ พ.ศ. 2509 แกไ้ ขเพ่ิมเติมฉบับที่ 2 พ.ศ. 2550 มาตรา 3) กรอบแนวคดิ ทางบญั ชี กรอบแนวคิดทางบัญชีถือว่าเป็นหลักการสาคัญในการจัดทารายการแล้วจึงนาเสนองบ การเงิน สามารถใช้เป็นกรอบอ้างอิงในการแก้ปัญหาทางการจัดทาบัญชี กรอบแนวคิดเป็นส่วนที่ สนับสนนุ ในการจดั ทาข้อมลู ทางการบัญชี การบัญชชี ีจดั ทาข้ึนภายใต้กรอบเดียวกันเปน็ การเพิ่มความ ม่ันใจและเข้าใจใหก้ ับผู้ใช้ข้อมูลทางการบญั ชีได้เป็นอย่างดี ผ้ใู ช้ข้อมูลยงั ทาให้ทราบผลการดาเนนิ งาน และฐานะการเงนิ สามารถนาไปชว่ ยในการวางแผนและตัดสนิ ใจ สามารถนามาเปรียบเทียบกนั กรอบ
10 แนวคดิ น้ีไมใ่ ชม่ าตรฐานการรายงานทางการเงนิ ดังน้ันจงึ ไม่ได้กาหนดมาตรฐานต่างๆ สาหรับประเด็น การวัดมูลค่าหรือการเปดิ เผยข้อมลู ในเรอ่ื งใดเรื่องหนึ่ง กรอบแนวคิดทางบัญชี มีวัตถุประสงค์โดยได้กาหนดข้ึนเพ่ือวางแนวคิดที่เป็นพื้นฐานใน การจัดทา และนาเสนองบการเงิน โดยบุคคลที่เกี่ยวข้อง ดังน้ี ผู้จัดทางบการเงิน ผู้ใช้งบการเงิน ผสู้ อบบัญชี ตลอดจนคณะกรรมการมาตรฐานการรายงานทางการเงินต่างก็ใช้กรอบแนวคิดทางบัญชี เป็นแนวทางปฏิบัติไดท้ ั้งส้นิ 1. ผู้จดั ทางบการเงิน สามารถใช้กรอบแนวคิดทางบัญชีเป็นแนวทางในการนามาตรฐานการรายงานทาง การเงินมาปฏิบัติ รวมทั้งเป็นแนวทางในการปฏิบัติสาหรับเร่ืองที่ยังไม่มีมาตรฐานการรายงานทาง การเงินรองรับ 2. ผูส้ อบบญั ชี ใช้เปน็ แนวทางในการแสดงความเหน็ ต่องบการเงินว่า ได้จัดทาข้ึนตามมาตรฐานการ รายงานทางการเงินหรอื ไม่ 3. คณะกรรมการมาตรฐานการรายงานทางการเงนิ ใช้เป็นแนวทางในการออกมาตรฐานการรายงานทางการเงินหรือปรับปรุงมาตรฐาน การรายงานทางการเงนิ ให้สอดคล้องกัน และไม่ให้มาตรฐานการรายงานทางการเงนิ ในแต่ละฉบับเกิด การขดั แยง้ กนั เอง 4. ผู้ใชข้ อ้ มูลทางการบัญชี ผู้ใช้งบการบัญชีแบ่งออกเป็น 7 กลุ่ม ประกอบด้วย ผู้ลงทุน ลูกจ้าง ผู้ให้กู้ ผู้ขาย สนิ ค้าและเจา้ หนี้อื่น ลูกคา้ รฐั บาลและหนว่ ยงานราชการ และสาธารณชน โดยมีรายละเอียดดังนี้ 4.1 ผู้ลงทุน หมายถึง ผู้เป็นเจา้ ของเงินทนุ รวมท้งั ที่ปรึกษาซง่ึ ต้องการทราบถงึ ความ เสีย่ งและผลตอบแทนจากการลงทุน ผ้ลู งทุนต้องการข้อมลู เพ่อื ทจี่ ะช่วยในการพจิ ารณาตัดสินใจซ้อื ขาย หรอื ถือเงินลงทนุ นนั้ ตอ่ ไป นอกจากขอ้ มลู ดังกลา่ ว ผ้ลู งทนุ ท่เี ป็นผูถ้ ือหุน้ ยงั ต้องการข้อมูลทจี่ ะ ช่วยในการประเมนิ ความสามารถของกจิ การในการจ่ายเงนิ ปันผลด้วย 4.2 ลกู จา้ ง หมายถงึ ลกู จา้ ง รวมทงั้ กลุ่มตัวแทนซึง่ ต้องการขอ้ มูลเก่ียวกับความ ม่นั คง และความสามารถในการทากาไรของนายจ้าง นอกจากนน้ั ยงั ต้องการข้อมลู ทีจ่ ะช่วยให้
11 สามารถประเมินความสามารถของ กจิ การในการจา่ ยค่าตอบแทน บาเหนจ็ บานาญและโอกาสใน การจ้างงาน 4.3 ผ้ใู ห้กู้ หมายถงึ ผูซ้ ง่ึ ต้องการขอ้ มลู ท่จี ะช่วยในการพิจารณาว่าเงินใหก้ ู้ยมื และ ดอกเบ้ยี ทเี่ กดิ ขึ้นจะไดร้ ับชาระเม่ือครบกาหนด 4.4 ผูข้ ายสินคา้ และเจ้าหนี้อน่ื หมายถงึ ผูซ้ ่งึ ต้องการขอ้ มลู ท่ีจะชว่ ยในการ ตัดสนิ ใจวา่ หนี้สินจะได้รบั ชาระเม่ือครบกาหนด เจา้ หนก้ี ารคา้ อาจให้ความสนใจข้อมูลของกิจการใน ระยะเวลาที่ส้นั กวา่ ผ้ใู ห้กู้ นอกจากว่าการดาเนินงานของเจ้าหนี้นั้นขน้ึ อยู่กับการดาเนินงานตอ่ เนื่อง ของกจิ การซ่ึงเป็นลูกค้ารายใหญ่ 4.5 ลูกคา้ หมายถงึ ผู้ซึง่ ต้องการขอ้ มูลเกี่ยวกับการดาเนนิ งานตอ่ เนือ่ งของกิจการ โดยเฉพาะกรณีทีม่ คี วามสัมพันธ์อนั ยาวนานหรอื ตอ้ งพง่ึ พากจิ การนนั้ เชน่ บรษิ ัทประกัน บริษัท ก่อสร้าง 4.6 รฐั บาลและหนว่ ยงานราชการ หมายถงึ หน่วยงานท่ีต้องการขอ้ มลู เก่ยี วกบั การ ดาเนินงานของกจิ การในการจัดสรรทรัพยากร การกากบั ดูแล การพิจารณากาหนดนโยบายทางภาษี และเพ่ือใชเ้ ป็นฐานในการคานวณรายไดป้ ระชาชาติ และจัดทาสถติ ใิ นด้านตา่ ง ๆ 4.7 สาธารณชน หมายถึง ประชาชนผู้ซง่ึ ต้องการข้อมลู เกย่ี วกบั แนวโน้ม ความสาเร็จและการดาเนนิ งานของกจิ การ เนื่องจากกิจการอาจก่อใหเ้ กิดผลกระทบตอ่ สาธารณชนใน การจา้ งงาน และการรับซื้อสินค้าจากผูผ้ ลิตในท้องถ่ิน จรรยาบรรณของผปู้ ระกอบวชิ าชีพบัญชี จรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี ตามท่ีกาหนดในพระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ.2547 มาตรา 47 แล้วข้อบังคับสภาวิชาชีพบัญชี (ฉบับที่ 19) เร่ืองจรรยาบรรณของผู้ประกอบ วิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2553 และคาชี้แจงข้อบังคับสภาวิชาชีพบัญชี (ฉบับท่ี19) จรรยาบรรณของผู้ ประกอบวิชาชีพบัญชีเป็นสิ่งจาเป็นสาหรับผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีการกาหนดจรรยาบรรณและ แนวทางปฏิบัติ จาเป็นต้องพิจารณาจากโครงสร้างหรือองค์ประกอบของจรรยาบรรณตามหลักสากล ท่ัวไป ซึ่งประกอบด้วยวตั ถปุ ระสงคโ์ ครงสรา้ งและหลักการพื้นฐานของจรรยาบรรณ จรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชพี บัญชี หมายถงึ กรอบความประพฤติและวธิ ีปฏบิ ัติงาน ของผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีที่ต้องยึดปฏิบัติโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดารงไว้ซึ่ง ความเช่ือม่ันจาก ผู้รับบริการ ความเชื่อถือได้ในผลงาน ความเป็นมืออาชีพ และคุณภาพของงานบริการ สาหรับผู้ ประกอบวิชาชีพบัญชี นอกจากต้องปฏิบัตติ ามกฎหมายที่บัญญัติเป็นการท่ัวไปแล้วยังต้องปฏิบัติตาม
12 จรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชพี บญั ชีซึ่งเป็นบทบัญญัตเิ ฉพาะของวชิ าชีพและถือเป็นกฎเกณฑท์ ี่สูง กวา่ กฎหมาย แนวคิดหลักการสาคัญของจรรยาบรรณ ที่ถูกกาหนดใน พ.ร.บ.วิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547 ข้อ 47 ท่ีกาหนดให้สภาวิชาชีพบัญชีต้องจัดทาจรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชีพข้ึน โดยอย่างน้อย ต้องประกอบด้วย 1. ความโปรง่ ใส ความเป็นอสิ ระ ความเทย่ี งธรรมและความซ่ือสตั ย์สุจริต 2. ความรู้ความสามารถ และมาตรฐานในการปฏบิ ตั ิงาน 3. ความรับผิดชอบต่อผู้รับบรกิ าร และการรักษาความลบั 4. ความรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้น ผู้เป็นหุ้นส่วนหรือบุคคลหรือนิติบุคคลท่ีผู้ประกอบวชิ าชีพ บญั ชปี ฏบิ ตั ิงานให้ จรรยาบรรณของสภาวิชาชพี บัญชีฯ กับจรรยาบรรณของสหพนั ธ์นักบญั ชรี ะหว่างประเทศ (IFAC Handbook of the Code of Ethics (2012) สรปุ รายละเอียด ดงั นี้ หลักพน้ื ฐานของข้อบังคบั สภาวิชาชพี บัญชี IFAC Handbook of the Code of (ฉบบั ที่ 19) Ethics (2012) 1. ความโปร่งใส ความเป็นอิสระ ความเท่ียงธรรมและ 1. ความซ่ือสตั ย์สุจริต (Integrity) ความซอ่ื สัตย์สุจริต 2. ความเทยี่ งธรรม (Objectivity) 2. ความรู้ความสามารถ และมาตรฐานในการ 3. ความรู้ความสามารถทางวิชาชีพและ ปฏิบตั งิ าน ความระมัดระวงั รอบคอบ (Professional Competence and Due Care) 3. ความรับผิดชอบต่อผู้รับบริการ และการรักษา 4. การรกั ษาความลับ (Confidentiality) ความลบั 4. ความรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้น ผู้เป็นหุ้นส่วนหรือ 5. การปฏิบัติตนเย่ียงผู้ประกอบวิชาชีพ บุคคลหรือนิติบุคคลท่ีผู้ประกอบวิชาชีพบัญ ชี (Professional Behavior) ปฏบิ ตั ิงานให้
13 ขอบเขตของกรอบแนวคิดทางบัญชี กรอบแนวคิดนี้ไม่มีเรื่องใดท่ีอยเู่ หนอื กว่า มาตรฐานการรายงานทางการเงิน โดยกาหนด เนือ้ หาในเรื่องตา่ ง ๆ ไวด้ งั น้ี 1. วัตถุประสงคข์ องการรายงานทางการเงิน การรายงานทางการเงิน หมายถึง รายงานทางการเงินเพ่ือวัตถุประสงค์ทั่วไปและ การรายงานทางการเงินเพือ่ วัตถปุ ระสงค์ท่ัวไปถา้ ไม่ระบุเจาะจงเป็นอน่ื รายงานทางการเงิน จดั ทาข้ึน โดยมีวัตถุประสงค์ของการรายงานทางการเงินเพ่ือวัตถุประสงค์ท่ัวไป คือ การให้ข้อมูลทางการเงิน เก่ียวกับกิจการที่เสนอรายงานท่ีมีประโยชน์ต่อผู้ลงทุน ผู้ให้กู้ยืม หรือเจ้าหนี้อื่นทั้งในปัจจุบันและใน อนาคตเพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับการให้ทรัพยากรแก่กิจการ การตัดสินใจเหล่านี้เก่ียวกับ การซื้อ ขาย หรอื ถือตราสารทุนและตราสารหนแี้ ละการใหห้ รอื ชาระเงินกู้และสนิ เชอื่ ในรูปแบบอืน่ 2. ลักษณะเชงิ คุณภาพของข้อมลู ทางการเงินท่ีมปี ระโยชน์ กรอบแนวคิดสาหรับการรายงานทางการเงิน (ปรับปรุง 2557) ได้เปล่ียนแนวคิด ลักษณะเชิงคุณภาพจากเดิมท่ีกาหนดเป็นลักษณะเชิงคุณภาพของงบการเงิน (qualitative characteristics of financial statements) มาเป็นลักษณะเชิงคุณภาพของข้อมูลทางการเงินท่ีมี ประโยชน์ (qualitative characteristics of useful financial information) โดยระบุว่า ข้อมูลที่ เป็นประโยชน์ท่ีสุดต่อผู้ลงทุน ผู้ให้กู้ยืม หรือเจ้าหนี้อ่ืนใน ปัจจุบันและอนาคต ต้องมีลักษณะเชิง คุณภาพพ้ืนฐาน (fundamental qualitative characteristics) 2 ประการ ได้แก่ ความเก่ียวข้องกับ การตัดสินใจ (relevance) และความเป็นตัวแทนอันเที่ยงธรรม (faithful Representation) ท้ังน้ี ขอ้ มูลทางการเงินที่มีประโยชน์อันเก่ียวข้องกับการตัดสินใจและเป็นตัวแทนอันเที่ยงธรรมสามารถถูก เสริมด้วยลักษณะเชิงคุณภาพเสริม (enhancing qualitative characteristics) 4 ประการ ได้แก่ ความสามารถเปรียบเทียบได้ (comparability) ความสามารถพิสูจน์ยืนยันได้ (verifiability) ความ ทันเวลา (timeliness) และความสามารถเข้าใจได้ (understandability) ลั ก ษ ณ ะเชิ งคุ ณ ภ าพ พื้ น ฐ าน (fundamental qualitative characteristics) กล่าวคือ ข้อมูลทางการเงินมีประโยชน์ต่อผู้ใช้ ก็ต่อเมื่อข้อมูลน้ันมีความเก่ียวข้องกับการตัดสินใจ และความเปน็ ตัวแทนอัน เทย่ี งธรรม โดยมีรายละเอียด ดังน้ี 1. ความเก่ียวข้องกับการตัดสินใจ (relevance) กล่าวคือ ข้อมูลทางการเงินท่ีมี ความเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจสามารถทาให้ผู้ใช้ตัดสินใจแตกต่างไป ทั้งน้ี ข้อมูลท่ีมีความเก่ียวข้อง กับการตัดสินใจน้ันควรสารมารถนามาใช้ในกระบวนการพยากรณ์เหตุการณ์ในอนาคตหรือที่เรียกว่า
14 ข้อมูลน้ันมีคุณค่าทางการพยากรณ์ (predictive value) โดยข้อมูลที่มีคุณค่าทางการพยากรณ์ไม่ จาเป็นต้องเปน็ ค่าพยากรณ์หรือค่าคาดการณ์ (prediction /forecast) นอกจากขอ้ มูลนัน้ ควรมีคณุ ค่า ทางการพยากรณ์แล้ว ข้อมูลนั้นควรสามารถช่วยในการยืนยันหรือชี้ให้เห็นถึงผลของการประเมินใน อดีตหรือที่เรียกกันว่า ข้อมูลนั้นมีคุณค่าทางการยืนยัน (confirmatory value) ซึ่งโดยปกติแล้ว คุณค่าทางการพยากรณ์และคุณค่าทางการยืนยันของข้อมูลทางการเงินมีความสัมพันธ์กัน กล่าวคือ หากข้อมูลทางการเงินมีคุณค่าทางการพยากรณ์แล้วมักมีคุณค่าทางการยืนยันด้วย ตัวอย่างเช่น นัก ลงทุนนาข้อมูลผลการดาเนินงานในงบกาไรขาดทุนและกาไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอ่ืนสาหรับปีปัจจุ บันมา เปรียบเทียบกับปีก่อน เพื่อประเมินผลการดาเนินงาน ในอดีตและคาดการณ์ผลการดาเนินงานใน อนาคต เป็นต้น ทั้งนี้ นอกจากความเก่ียวข้องกับการตัดสินใจของข้อมูลข้ึนอยู่กับลักษณะของข้อมูล แล้วยังข้ึนอยู่กับ ความมีสาระสาคัญ (materiality) ของข้อมูลด้วย กล่าวคือ ข้อมูลมีสาระสาคัญก็ ตอ่ เมื่อการไม่แสดงขอ้ มูล หรือการแสดงขอ้ มลู ท่ีขดั ต่อข้อเทจ็ จรงิ มผี ลกระทบต่อผู้ใชข้ ้อมลู ทางการเงิน ในการตัดสินใจเชิงเศรษฐกิจ ซึ่งความมีสาระสาคัญต้องพิจารณาจากลักษณะหรือขนาดของรายการ ทั้งนี้ข้ึนอยู่กับบริบทเฉพาะของแต่ละกิจการ โดยในบางกรณีลักษณะของรายการเพียงอย่างเดียวก็ สามารถบอกได้ว่า ข้อมูลนั้นมีความเก่ียวข้องกับการตัดสินใจ เช่น ผลการดาเนินงานของส่วนงาน ดาเนินงานใหม่ เนื่องจากข้อมูลดังกล่าวสามารถบ่งบอก ถึงความสามารถในการทากาไรของกิจการใน อนาคตได้ เปน็ ต้น 2. ความเป็นตัวแทนอันเที่ยงธรรม (faithful representation) กล่าวคือ ข้อมูล ทางการเงินที่มีความเป็นตัวแทนอันเท่ียงธรรมน้ันต้องแสดงเนื้อหาและความเป็นจริงเชิงเศรษฐกิจ แทนทจ่ี ะเป็นรูปแบบทางกฎหมายเพยี งอย่างเดียว เนื่องจากในบางกรณขี ้อมูลทางการเงนิ ท่ีแสดงตาม เน้ือหาและความเป็นจริงเชิงเศรษฐกิจอาจแตกต่างไปจากข้อมูลทางการเงินที่แสดงตามรูปแบบทาง กฎหมาย ทั้งน้ีข้อมูลทางการเงินท่ีมีความเป็นตัวแทนอันเท่ียงธรรมต้องมีความครบถ้วน ความเป็น กลางและปราศจากข้อผดิ พลาด 3. คานิยาม การรับรู้รายการและการวดั มูลค่าองค์ประกอบของโครงสร้างงบการเงิน การรับรู้รายการขององค์ประกอบของงบการเงิน (recognition) หมายถึง กระบวนการของการแสดงรายการหรือการรวมรายการเข้าเป็นส่วน หน่ึงของงบแสดงฐานะการเงิน และงบกาไรขาดทุนและกาไรขาดทุน เบ็ดเสร็จอ่ืน หากรายการน้ันเป็นไปตามคานิยามของ องค์ประกอบของงบการเงินและเข้าเกณฑ์การรับรู้รายการท้ัง 2 ข้อ (criteria of recognition) ดังน้ี 1) มีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่ (probable) ที่กิจการจะได้รับหรือสูญเสียประโยชน์เชิงเศรษฐกิจใน อนาคตจากรายการดังกล่าว 2) รายการดังกล่าวมีราคาทุนหรือมูลค่าท่ีสามารถวัดได้อย่างน่าเช่ือถือ (reliably measurable) ทั้งนี้ ในกรณีที่กิจการไม่รับรู้รายการน้ัน แม้ว่ารายการนั้นเป็นไปตามคา
15 นิยามขององค์ประกอบของงบการเงินและเข้าเกณฑ์การรับรู้รายการท้ังสองข้อข้างต้น ในกรณีน้ี กรอบแนวคิดสาหรับการรายงานทางการเงิน (ปรับปรุง 2557) ถือว่าการละเลยไม่รับรู้รายการน้ีเป็น ข้อผิดพลาดที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วย การเปิดเผยข้อมูลนั้นเพ่ิมเติมในหมายเหตุประกอบงบการเงิน แทนได้ อย่างไรก็ตามหากรายการน้ัน เป็นไปตามคานิยามขององค์ประกอบของงบการเงินแต่ไม่ เข้าเกณฑ์การรับรู้ท้ังสองข้อ กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลที่เก่ียวข้องน้ันไว้ในหมายเหตุประกอบงบ การเงนิ หากข้อมูลนนั้ เกย่ี วข้องกับการตัดสนิ ใจของผ้ใู ชง้ บการเงนิ เช่น การเปิดเผยข้อมูลเก่ียวกับการ ถูกฟ้องร้องที่เกิดข้ึนในหมายเหตุประกอบงบการเงิน เป็นต้น นอกจากนี้ กรอบแนวคิดสาหรับการ รายงานทางการเงิน (ปรับปรุง 2557) ไม่อนุญาตให้นาเกณฑ์การจับคู่ต้นทุนกับรายได้ (matching principle) มาถือปฏิบัติเพื่อบันทึกรายการสินทรัพย์และหน้ีสินในงบแสดงฐานะการเงิน หากรายการ นัน้ ไม่เปน็ ไปตามคานยิ ามของสนิ ทรัพย์หรือหนสี้ ิน การวัดมูลคา่ องค์ประกอบของงบการเงิน หมายถึง กระบวนการกาหนดจานวนท่ีเป็น ตัวเงินเพ่ือรับรู้องค์ประกอบของงบการเงินในงบแสดงฐานะการเงินและงบกาไรขาดทุนและกาไร ขาดทุนเบ็ดเสรจ็ อื่น ท้งั น้ี กระบวนการดงั กลา่ วเกี่ยวข้องกบั การเลอื กเกณฑ์ใดเกณฑห์ น่ึงในการวดั มูล ค่าที่ถูกกาหนดไว้ในมาตรฐานการรายงานทางการเงินและกรอบแนวคิดสาหรับการรายงานทาง การเงิน ซ่ึงกรอบแนวคิดสาหรับการรายงานทางการเงิน (ปรับปรุง 2557) กาหนดเกณฑ์ในการวัด มลู คา่ ไว้ 4 เกณฑ์ ดังต่อไปนี้ 1. ราคาทุนเดิม (historical cost) กล่าวคือ การบันทึกสินทรัพย์ด้วยจานวนเงินสด หรือรายการเทียบเทา่ เงินสดท่ีจา่ ยไปหรือมลู ค่ายุติธรรมของส่ิงที่นาไปแลกสินทรัพย์ ณ วันที่ได้สินทรัพย์ น้นั มา 2. ราคาทุนปัจจุบัน (current cost) กล่าวคือ การบันทึกสินทรัพย์ด้วยจานวนเงิน สดหรือ รายการเทียบเทา่ เงนิ สดที่กจิ การต้องจ่ายในขณะนัน้ เพ่ือให้ไดม้ าซึ่งสนิ ทรพั ย์ชนดิ เดยี วกันหรือ สินทรพั ยท์ ่เี ทา่ เทยี บกนั มาทดแทนสินทรพั ยท์ ี่มีอยู่ (entry value) 3. มูลค่าที่จะได้รับ (จ่าย) (realizable or settlement value) กล่าวคือ การ บันทึกสินทรัพย์ด้วยจานวนเงินสดหรือรายการเทียบเท่าเงินสดท่ีกิจการจะได้รับในขณะน้ันจากการ ขายสินทรัพย์โดยไมใ่ ช่ การบังคบั ขาย (exit value) 4. มลู ค่าปัจจบุ ัน (present value) กลา่ วคือ การบันทึกสินทรัพย์ด้วยมูลคา่ ปจั จบุ ัน ของกระแสเงินสดรับสุทธใิ นอนาคตซ่ึงคาดว่าจะได้รับจากสินทรัพยน์ ั้นในการดาเนินงานตามปกติของ กิจการและการแสดงหน้ีสินด้วยมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดจ่ายสุทธิในอนาคตซ่ึงคาดว่าจะต้อง จ่ายชาระหน้ีสนิ ในการดาเนนิ งานตามปกตขิ องกจิ การ
16 4. แนวคิดของทนุ และการรักษาระดับทนุ แนวคิดเร่ืองทุน (concepts of capital) เป็นแนวคิดที่ใช้ในการจัดทางบการเงนิ ซึ่ง สามารถแบง่ แนวคิดเรอื่ งทนุ ออกเป็น 2 แนวคิดยอ่ ย ดังนี้ 1. แนวคดิ ทางการเงิน (financial concept of capital) เป็นแนวคดิ ของทุนทีใ่ ช้ตัว เงินที่ลงทุน หรืออานาจซอื้ ท่ีลงทุน ซึ่งเท่ากับสินทรัพย์สุทธิ (สนิ ทรพั ย์หักหนี้สิน) หรือส่วนของเจ้าของ เป็นหน่วยวัด โดยวัดอยู่ในรูปของตัวเงินท่ีเป็นหน่วยเงินตราเดิม หรือหน่วยเงินตราที่มีอานาจซื้อคงที่ โดยการปรับด้วยอัตราเงินเฟ้อ เช่น จานวนเงินบาท เป็นต้น ซึ่งกิจการส่วนใหญ่มักนาแนวคิดทุนทาง การเงินน้มี าใช้ในการจัดทางบการเงิน 2. แนวคิดทางกายภาพ (physical concept of capital) เป็นแนวคิดของทุนท่ีใช้ กาลังการผลิต ที่สามารถใช้ในการผลิตหรือที่ใช้ผลิตจริงเป็นหน่วยวัด ซึ่งสามารถวัดได้ในรูปของ ผลผลติ เช่น จานวนผลผลติ ท่ีผลิตได้ตอ่ วนั เปน็ ตน้ แ น ว คิ ด ก า ร รัก ษ า ร ะ ดั บ ทุ น แ ล ะ ก าร วั ด ผ ล ก าไร (concept of capital maintenance and the determination of profit) จากแนวคิดเก่ียวกับทุนข้างต้นทาให้เกิด แนวคิดการรักษาระดับทุนและการวัดผลกาไร ซ่ึงเป็นแนวคิดในการกาหนดระดับทุนที่กิจการต้อง รกั ษาและการวัดผลกาไร โดยสามารถแบง่ ออกเปน็ 2 แนวคดิ ยอ่ ย ดังนี้ 1. การรักษาระดับทุนทางการเงิน ตามแนวคดิ น้ีกาไรเกดิ ขึ้นเม่ือจานวนทเี่ ปน็ ตัวเงิน ของ สินทรัพยส์ ุทธิเม่ือส้ินรอบระยะเวลารายงานสงู กว่าจานวนที่เป็นตวั เงินของสนิ ทรัพย์สุทธิเมื่อเริ่ม รอบระยะเวลารายงาน แต่จานวนท่ีเพิ่มข้ึนน้ันต้องไม่รวมรายการที่เกิดข้ึนระหว่างกิจการกับเจ้าของ ในระหว่างรอบระยะเวลารายงาน เช่น เงินทุนที่ได้รับจากเจ้าของการแบ่งปันส่วนทุนให้กับเจ้าของ เป็นต้น ท้ังนี้การรักษาระดับทุนทางการเงินสามารถวัดค่าของทุนโดยใช้หน่วยเงินตามอานาจซื้อเดิม หรือใช้หนว่ ยเงินตามอานาจซือ้ คงที่ 2. การรักษาระดับทุนทางกายภาพ ตามแนวคิดน้กี าไรเกดิ ขึ้นเม่ือกาลังการผลติ หรือ ความสามารถในการดาเนินงาน หรือทรัพยากรหรือเงินทุนที่กิจการสามารถใช้ในการผลิตหรือที่ใช้ผลิต จริง เม่ือสิ้นรอบระยะเวลารายงานสูงกว่าเม่ือเร่ิมรอบระยะเวลารายงาน โดยต้องไม่รวมรายการที่ เกิดข้ึนระหว่าง กิจการกับเจ้าของในระหว่างรอบระยะเวลารายงาน ซึ่งแนวคิดน้ีต้องวัดมูลค่าโดยใช้ ราคาทนุ ปัจจบุ นั (current cost) เป็นเกณฑ์เทา่ น้ัน การจาแนกประเภทบญั ชี งบการเงินเป็นการนาเสนอฐานะการเงินและผลการดาเนินงานทางการเงินอย่างมีแบบ แผน โดยวัตถุประสงค์เพ่ือให้ข้อมูลเกี่ยวกับฐานะการเงิน ผลการดาเนินงานและกระแสนเงินสดของ
17 กิจการ ซ่ึงเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจเชิงเศรษฐกิจของผู้ใช้งบการเงินกลุ่มต่างๆ นอกจากน้ี งบการเงินยังแสดงถึงผลการบริหารงานของฝ่ายบริหารซึ่งได้รับมอบหมายให้ดูแลทรัพยากรของ กิจการ เพื่อท่ีจะบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว งบการเงินต้องให้ข้อมูลทุกข้อดังต่อไปนี้เก่ียวกับกิจการ จึงไดจ้ าแนกประเภทบญั ชี เป็น 5 ประเภท ดังน้ี 1. สินทรัพย์ สินทรัพย์ (assets) หมายถึง ส่ิงท่ีมีตัวตน หรือไม่มีตัวตนอันมีมูลค่า ซ่ึงบุคคลหรือ กิจการเป็นเจ้าของหรือสามารถถือเอาประโยชน์ได้จาก กรรมสิทธ์ิในอสังหาริมทรัพย์ สังหาริมทรัพย์ สทิ ธเิ รียกร้องมูลค่าที่ได้มา รายจ่ายท่ีเกิดสิทธิ และรายจ่ายของงวดบัญชีถัดไป ดังน้ี 1) สินทรัพย์ที่เป็นตัว เงินหรือเทียบเท่าเงิน เช่น เงินสด และตั๋วเงินรับต่าง ๆ 2) สินทรัพย์ท่ีเป็นสิทธิเรียกร้อง เช่น ลูกหนี้ 3) สินทรัพย์ที่มีตัวตน เช่น ที่ดิน อาคาร รถยนต์ 4) สินทรัพย์ท่ีไม่มีตัวตน เช่น สิทธิบัตร ลิขสิทธ์ิ สัมปทาน 5) รายจ่ายที่จ่ายไปแล้วจะให้ประโยชน์ต่องวดบัญชีถัดไป ได้แก่ ค่าใช้จ่ายล่วงหน้าประเภทต่าง ๆ เชน่ ค่าโฆษณาจา่ ยลว่ งหนา้ สินทรัพย์สามารถแบ่งออกเปน็ 2 ประเภท คอื ประเภทท่ี 1 สินทรัพย์หมุนเวียน (current assets) หมายถึง สินทรัพย์ที่มีสภาพคล่อง สามารถจะเปลี่ยนเป็นเงินสด เช่น เงินสด (cash) เงินฝากธนาคาร (cash at bank) เป็นต้น หรือสินทรัพย์ อ่ืนที่เปลี่ยนเป็นเงินสดได้เร็ว โดยปกติจะไม่เกิน 1 ปี ได้แก่ ลูกหนี้ต๋ัวเงินรับ (note receivable) ลูกหนี้ (receivable) ลูกหน้ีการค้า (account receivable) สินค้าคงเหลือ (inventory) เงินให้กู้ยืมระยะสั้น (short-term loans) ค่าใช้จ่ายล่วงหน้า (prepaid expense) รายได้ค้างรับ (accrued revenue) วัสดุ สานกั งาน (Office Supplies) ประเภทที่ 2 สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน (non – current assets) หรือ สินทรัพย์ถาวร (fixed assets) หมายถึง สินทรัพย์ที่ไม่สามารถเปล่ียนเป็นเงินสดได้โดยเร็วซึ่งมีระยะเวลามากกว่า 1 ปี เช่น เงินลงทุนระยะยาว เงินให้กู้ยืมระยะยาว (long-term loans) และการลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัท ต่าง ๆ โดยแบ่งออกเป็น 2ประเภทคือ ประเภทสินทรัพย์ท่ีมีตัวตน (tangible fixed asset) มีลักษณะการ ใช้งานท่ีคงทน และมีอายุการใช้งานนานเกินกว่า 1 ปี เช่น ท่ีดิน อาคาร และอุปกรณ์ (property, plant and equipment) รถยนต์ และประเภทสินทรัพย์ไม่มีตัวตน (intangible fixed asset) หมายถึง สินทรัพย์ที่ไม่มีรูปร่าง ไม่สามารถจับต้องได้ทางกายภาพ แต่สามารถตีราคาให้มีมูลค่าเป็นเงินตรา และ ถือกรรมสิทธิ์ได้ เช่น สิทธิบัตร (patent) ลิขสิทธิ์ (copyrights) สิทธิการเช่า (leasehold) สัมปทานและ การอนุญาตให้ใช้สิทธิ (franchises and licensing) เคร่ืองหมายการค้าและยี่ห้อการค้า (trademark and trade name) เคร่ืองหมายการค้า (trade Mark) เคร่ืองหมายบริการ (service mark) เครื่องหมาย รับรอง (certification mark) เครื่องหมายร่วม (collective mark) ค่าความนิยม (goodwill) ซอฟต์แวร์ (software)
18 2. หนสี้ ิน หนี้สิน (liability) หมายถึง ภาระผูกพันในปัจจุบันของกิจการท่ีต้องจ่ายชาระคืนแก่ บุคคลภายนอกในอนาคต ภาระผูกพันดังกล่าวเป็นผลของเหตุการณ์ในอดีตซึ่งการชาระภาระผูกพัน นัน้ คาดว่าจะส่งผลให้กจิ การสญู เสียทรัพยากรท่ีมปี ระโยชน์เชิงเศรษฐกจิ เชน่ เจ้าหนีก้ ารค้า เงินกู้ เงิน เบกิ เกนิ บัญชี เจา้ หน้จี านอง เปน็ ตน้ หนีส้ ินแบง่ ออกเป็น 2 ประเภท ไดแ้ ก่ ประเภทที่ 1 หนี้สินหมุนเวียน (current liabilities) หมายถึง ภาระผูกพันที่กิจการต้อง ชาระคืนภายในระยะเวลา ไม่เกิน 1 ปี เช่น เจ้าหน้ีการค้า (account payable) เจ้าหน้ีอ่ืน (other payable) เงินเบิกเกินบัญชีธนาคาร (bank overdraft) เงินกู้ยืมจากธนาคารระยะส้ัน (short-term borrowings from financial institutions) ตั๋วเงินจ่าย (notes payable) เงินเดือนค้างจ่าย (accrued payroll) ค่าสาธารณูปโภคค้างจ่าย (accrued utilities) ประเภทที่ 2 หนี้สินไม่หมุนเวียน (non – current liabilities) หมายถึง หน้ีสินซึ่งมี ระยะเวลาการชาระคืนเกินกวา่ 1 ปี หรือเกินกว่ารอบระยะเวลาการดาเนิน งานตามปกติของกิจการ เช่น เงินกู้ยืมระยะยาว (long-term borrowings) หุ้นกู้ (bonds payable) พันธบัตรเงินกู้ (bond loan) ตัว๋ เงนิ จ่ายระยะยาว (long-term notes payable) 3. สว่ นของเจ้าของ ส่วนของเจ้าของ (owner’s equities) หมายถึง ส่วนได้เสียคงเหลือในสินทรัพย์กิจการ หลังหักหน้ีสินท้ังส้ินออก กรรมสิทธ์ิท่ีเจ้าของกิจการมีในสินทรัพย์ เรียกว่า สินทรัพย์สุทธิ (สินทรัพย์ – หน้ีสิน) เช่น กาไรสะสม (retain earnings) ใบหุ้นบุริมสิทธิ (Preferred Stock) ทุนเรือนหุ้น (share capital) ใบสาคัญแสดงสิทธิ หรือวอแรนท์ (Warrant) ใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์ อ้างอิงไทย หรอื เอน็ วีดอี าร์ (Non - Voting Depository Receipt : NVDR) แสดงสทิ ธใิ นผลประโยชน์ที่เกิด จากหลักทรพั ยอ์ า้ งองิ (Depository Receipt : DR) 4. รายได้ รายได้ (revenue) หมายถึง กระแสเข้าของประโยชน์เชิงเศรษฐกิจ (Inflow of economic benefit) ก่อนหักค่าใช้จ่ายที่กิจการได้รับหรือค้างรับ ในรอบระยะเวลาบัญชีซ่ึงเกิดข้ึนจาก กิจกรรมตามปกติของกิจการเมื่อกระแสเข้านั้นส่งผลให้ส่วนของเจ้าของเพ่ิมข้ึนท้ังน้ีไม่รวมถึงเงินทุนท่ี ได้รับจากผู้มีส่วนร่วมในส่วนของเจ้าของกิจการ เงินท่ีกิจการเรียกเก็บแทนบุคคลที่สามการรับรู้รายได้ (revenue recognition) หมายถึง การรวบรวมรายการหรือเหตุการณ์ทางบัญชีเข้าเป็นส่วนหนึ่งของงบ กาไรขาดทุน ดังน้ัน เม่ือกิจการมีการรับรู้รายได้จะต้องปฏิบัติ คือ จะต้องนารายการหรือเหตุการณ์ทาง บัญชีนั้นไปบันทึกบัญชีเป็นรายได้ และนารายได้ดังกล่าวไปคานวณกาไรสุทธิในงบกาไรขาดทุน การรับรู้
19 รายได้ของธุรกิจมีดังต่อไปนี้ 1) การรับรู้รายได้ของธุรกิจขายสินค้า 2) การรับรู้รายได้ของธุรกิจให้บริการ 3) การรับรู้รายได้ค่าดอกเบ้ีย ค่าสิทธิ และเงินปันผล เช่น รับรู้รายได้ค่าดอกเบี้ย รับรู้ตามเกณฑ์สัดส่วน ของเวลาโดยคานึงถึงอัตราผลตอบแทนที่แท้จริงของสินทรัพย์ รับรู้รายได้ค่าสิทธิรับรู้ตามเกณฑ์คงค้างซ่ึง เป็นไปตามเน้อื หาของข้อตกลงท่เี กี่ยวขอ้ ง และรบั ร้รู ายได้เงนิ ปนั ผล รบั รู้เมื่อผูถ้ อื ห้นุ มีสิทธิได้รับเงนิ ปันผล 5. ค่าใชจ้ ่าย ค่าใช้จ่าย (expense) หมายถึง การลดลงของประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในรอบระยะเวลา บัญชีในรูปของกระแสออกหรือการลดลงของสินทรัพย์ หรือการเพ่ิมขึ้นของหนี้สิน อันส่งผลให้ส่วนของ เจ้าของลดลง ท้ังน้ีไม่รวมถึงการแบ่งปันส่วนทุนให้กับผู้มีส่วนร่วมในส่วนของเจ้าของ ประเภทของ ค่าใช้จ่าย ได้แก่ ต้นทุนขายหรือต้นทุนการให้การบริการ หมายถึง ต้นทุนของสินค้าที่ขาย หรือต้นทุน ของบริการที่ขาย ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร หมายถึง ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเนื่องจากการขาย และ ค่าใช้จ่ายทั่วไปซึ่งเกิดจากการดาเนินงาน ทั้งนี้ไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่นและดอกเบ้ียจ่าย และค่าใช้จ่ายอ่ืน หมายถึง ค่าใช้จ่ายในการดาเนินงานอ่ืนท่ีไม่ใช่ต้นทุนขายหรือต้นทุนการให้การบริการและค่าใช้จ่ายใน การขายและบรหิ าร สรปุ ท้ายบท การบัญชี คือ กระบวนการรวบรวมข้อมูล การจดบันทึก การจาแนก การสรุปผล และการจัดทารายงานทางการเงินไว้ในรูปของเงินตรา รวมถึงการแปลความหมายของรายงาน เก่ียวกับการเงินดังกล่าว เพ่ือสามารถนาไปใช้ในการตัดสินใจและวางแผนการดาเนินงาน ประเภท ของข้อมูลทางการบัญชีแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ การบัญชีการเงินและการบัญชีบริหาร การบัญชี การเงิน ผู้ใช้งบการบัญชีแบ่งออกเป็น 7 กลุ่ม ประกอบด้วย ผู้ลงทุน ลูกจ้าง ผู้ให้กู้ ผู้ขายสินค้าและ เจ้าหนี้อื่น ลูกค้า รัฐบาลและหน่วยงานราชการ และสาธารณชน กรอบแนวคิดนี้ไม่มีเรื่องใดที่อยู่ เหนือกว่า มาตรฐานการรายงานทางการเงิน โดยกาหนดเน้ือหาในเร่ืองต่าง ๆ ไว้ ดังน้ี 1. วัตถุประสงค์ของการรายงานทางการเงิน 2. ลักษณะเชิงคุณภาพของข้อมูลทางการเงินที่มี ประโยชน์ โดยมีลักษณะเชิงคุณภาพพื้นฐาน 2 ประการ ได้แก่ ความเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจและ ความเป็นตัวแทนอันเที่ยงธรรม ลักษณะเชิงคุณภาพเสริม 4 ประการ ได้แก่ ความสามารถ เปรียบเทียบได้ ความสามารถพิสูจน์ยืนยันได้ ความทันเวลา และความสามารถเข้าใจได้ 3. คานิยาม การรับรู้รายการและการวัดมูลค่าองค์ประกอบของโครงสร้างงบการเงิน การวัดมูลค่าองค์ประกอบ ของงบการเงิน กาหนดเกณฑ์ในการวัดมูลค่า ไว้ 4 เกณฑ์ ราคาทุนเดิม ราคาทุนปัจจุบัน มูลค่าท่ีจะ ได้รับ (จ่าย) มูลค่าปัจจุบัน 4. แนวคิดของทุนและการรักษาระดับทุน แนวคิดเร่ืองทุนออกเป็น 2 แนวคิดย่อย ดังน้ี แนวคิดทางการเงินและแนวคิดทางกายภาพ องค์ประกอบของงบการเงิน คือ
20 ประเภทของรายการ และเหตุการณ์ทางบัญชีที่แสดงไว้ในงบการเงินตามลักษณะเชิงเศรษฐกิจของ รายการ และเหตุการณ์น้ัน ๆ โดยแยกประเภทได้ 2 องค์ประกอบ คือ 1) องค์ประกอบที่เก่ียวข้อง โดยตรงกบั ฐานะการเงินของกจิ การ คือ สนิ ทรัพย์ หมายถึง ทรัพยากรท่ีอยใู่ นความควบคุมของกิจการ ทรัพยากรดังกล่าวเป็นผลจากเหตุการณ์ในอดีต ซ่ึงกิจการคาดว่าจะได้รับประโยชน์เชิงเศรษฐกิจจาก ทรัพยากรในอนาคต หนี้สิน หมายถึง ภาระผูกพันในปัจจุบันของกิจการ ภาระผูกพันดังกล่าวเป็นผล ของเหตุการณ์ในอดีต ซึ่งการชาระผูกพันนน้ั คาดว่าจะส่งผลให้กิจการสูญเสียทรัพยากรเชิงเศรษฐกิจ ในอนาคตและ ส่วนของเจ้าของ หมายถึง ส่วนได้เสียคงเหลือในสินทรัพย์ของกิจการหลังจากหัก หนี้สินออกแล้ว และ 2) องค์ประกอบท่ีเก่ียวข้องโดยตรงกับผลการดาเนินงาน คือ รายได้ หมายถึง การเพ่ิมข้ึนของสินทรัพย์ หรือการลดลงของหนี้สินในรอบระยะเวลาบัญชี ซ่ึงจะมีผลให้ส่วนของ เจ้าของเพ่ิมข้ึน ท้ังนี้ไม่รวมถึงเงินทุนท่ีได้รับจากผู้ลงทุนในส่วนของเจ้าของ เช่น รายได้จากการขาย รายได้ค่าบริการ รายได้ดอกเบ้ียและค่าใช้จ่าย หมายถึง การลดลงของสินทรัพย์ หรือการเพ่ิมขึ้นของ หนี้สินในรอบระยะเวลาบัญชี ท้ังนี้ไม่รวมถึงการแบ่งปันส่วนทุนให้กับผู้มีส่วนร่วมในส่วนของเจ้าของ เชน่ ต้นทุนขาย เงินเดอื นพนักงาน เป็นตน้ แบบฝกึ หัดท้ายบท 1. จงบอกถงึ วตั ถปุ ระสงค์ของแม่บททางการบญั ชอี ธบิ ายมาพอสังเขป? ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. จงบอกองค์ประกอบของงบการเงินมีอะไรบ้าง และแต่ละองค์ประกอบมีเกณฑ์ในการ รับร้รู ายการ และวดั มูลคา่ อยา่ งไร? ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….... ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….... ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….... 3. จงบอกถงึ วตั ถุประสงค์ของงบการเงนิ คอื อะไร? ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….... ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………....
21 4. จงบอกลกั ษณะเชิงคณุ ภาพของงบการเงินประกอบดว้ ยมีอะไรบา้ ง? ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….... ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….... ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….... 5. จงบอกแนวความคิดเกี่ยวกับทุนมกี แี่ นวคดิ อะไรบ้าง? ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….... ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….... ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….... 6. จงบอกรูปแบบของธุรกิจไดแ้ ก่อะไรบ้าง? ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….... ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….... ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….... 7. จงบอกความหมายของ “การบัญชี” คอื อะไร อธิบายมาพอสังเขป? ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….... ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….... ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….... 8. จงบอกความแตกตา่ งระหวา่ ง การบัญชีการเงินและการบัญชบี ริหาร อธบิ ายมาพอสังเขป? ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….... ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….... ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….... 9. จงบอกความหมายของคาเหล่าน้ีพร้อมอธิบายมาพอสังเขป สนิ ทรัพย์ (assets) หนี้สิน (liabilities) สว่ นของเจ้าของ (owner’s equity) รายได้ (revenues) ค่าใช้จ่าย (expenses) ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….... ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….... ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….... ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….... ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….... ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….... ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………....
22 10. จงพิจารณาว่ารายการสินทรัพย์ต่อไปน้ี เป็นสินทรัพย์ประเภทใด โดยทาเคร่ืองหมาย ลงในชอ่ งทถ่ี ูกต้อง ลาดบั รายการ สนิ ทรัพย์ สินทรัพย์ไม่ สินทรพั ย์ท่ี สินทรพั ยไ์ ม่ หมนุ เวียน หมนุ เวียน มตี วั ตน มีตัวตน 1 ค่าความนิยม 2 ค่าใชจ้ ่ายลว่ งหนา้ 3 สระว่ายน้า 4 เคร่ืองมอื 5 เคร่ืองหมายการค้า 6 รายไดค้ า้ งรับ 7 เครอื่ งหมายบรกิ าร 8 สทิ ธกิ ารเชา่ 9 รถจักรยาน 10 ลูกหน้ตี ๋วั เงนิ รบั 11 ลขิ สทิ ธิ์ 12 ลกู หนีก้ ารคา้ 13 เงนิ สด 14 เงินให้กู้ยมื ระยะส้นั 15 ซอฟต์แวร์ 16 ทีด่ นิ อาคาร และอปุ กรณ์ 17 สนิ ค้าคงเหลือ 18 โทรศัพท์มือถอื 19 เงินฝากธนาคาร 20 รถบรรทกุ 21 ห้องชดุ 22 วัสดุสานักงาน 23 สัมปทาน 24 เครอ่ื งหมายรบั รอง 25 สทิ ธิบัตร
23 11. จงพิจารณาว่ารายการต่อไปนี้รายการใดเป็นสินทรัพย์ หนี้สินและส่วนของเจ้าของ โดยทาเครื่องหมาย ลงในช่องทถี่ ูกต้อง ลาดับ รายการ สินทรัพย์ หน้ีสนิ ส่วนของเจ้าของ (assets) (liabilities) (owner’s equities) 1 กาไรสะสม (retain earnings) 2 คา่ ความนยิ ม (goodwill) 3 ค่าใชจ้ ่ายล่วงหน้า (prepaid expense) 4 คา่ สาธารณปู โภคค้างจา่ ย (accrued utilities) 5 ใบหุ้นบุรมิ สิทธิ (preferred stock) 6 เครื่องหมายการคา้ (trade mark) 7 เงินกู้ยืมระยะยาว (long-term borrowings) 8 เครื่องหมายการค้าและย่ีห้อการค้า (trademark and trade name) 9 ทนุ เรือนหุ้น (share capital) 10 เครื่องหมายบริการ (service mark) 11 ใบสาคัญแสดงสทิ ธิ หรือวอแรนท์ (warrant) 12 เครือ่ งหมายรว่ ม (collective mark) 13 เครื่องหมายรบั รอง (certification mark) 14 เงินกยู้ ืมจากธนาคารระยะส้ัน (short- term borrowings from financial institutions) 15 หน่วยลงทนุ (unit trust) 16 เงนิ เดือนค้างจา่ ย (accrued payroll) 17 เงินฝากธนาคาร (cash at bank) 18 เงินเบิกเกินบัญชธี นาคาร (bank overdraft) 19 เงนิ สด (cash) 20 เงินให้กยู้ ืมระยะส้นั (short-term loans) 21 เจา้ หน้กี ารคา้ (account payable) 22 ใบแสดงสทิ ธิในผลประโยชนท์ ่ีเกิดจาก หลกั ทรพั ย์อา้ งอิงไทย (non - voting
24 ลาดับ รายการ สินทรพั ย์ หนส้ี ิน สว่ นของเจ้าของ (assets) (liabilities) (owner’s equities) depository receipt : NVDR) 23 เจ้าหน้อี ่ืน (other payable) 24 ซอฟตแ์ วร์ (software) 25 ตว๋ั เงินจ่าย (notes payable) 26 รายได้ค้างรับ (accrued revenue) 27 ลขิ สทิ ธ์ิ (copyrights) 28 ลกู หนี้ (receivable) 29 ตว๋ั เงินจา่ ยระยะยาว (long-term notes payable) 30 แสดงสิทธิในผลประโยชน์ทีเ่ กิดจาก หลักทรพั ย์อา้ งอิง (depository receipt : DR) 31 ลกู หนี้การคา้ (account receivable) 32 หนุ้ กู้แปลงสภาพ (convertible debenture) 33 ลูกหนตี้ ๋วั เงนิ รบั (note receivable) 34 พันธบตั รเงินกู้ (bond loan) 35 วสั ดุสานักงาน (office supplies) 36 สว่ นเกินทนุ (premium on share capital) 37 สัมปทานและการอนญุ าตใหใ้ ชส้ ิทธิ (franchises and licensing) 38 สิทธกิ ารเชา่ (leasehold) 39 สิทธบิ ัตร (patent) 40 หนุ้ กู้ (bonds payable) 41 สนิ คา้ คงเหลอื (inventory) 42 หุ้นสามญั (common stock) 43 ถอนใช้สว่ นตัว (withdrawals)
Search
Read the Text Version
- 1 - 24
Pages: